หน้าเว็บ

room 1165

 room 1165

https://fiction-no-limit1.blogspot.com/p/room-1165.html












ข้อมูลเบื้องต้น...

ลำดับ พลังลมปราณ มี 8 ระดับ

ปราณสีม่วง ขั้น1-9

ปราณสีคราม ขั้น 1-9

ปราณสีน้ำเงิน ขั้น 1-9

ปราณสีเขียว ขั้น 1-9

ปราณสีเหลือง ขั้น 1-9

ปราณสีส้ม ขั้น 1-9

ปราณสีแดง ขั้น 1-9

ลมปราณสีรุ้งในตำนาน แบ่งออกเป็น 4 อาณาจักรพลัง

อาณาจักรพิภพ ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง

อาณาจักรสวรรค์ ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง

อาณาจักรนิรันดร์ ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง

อาณาจักรอนันต์



แผนที่อ้างอิงข้อมูล...



ตอนที่ 1 : กำเนิด ณ ต่างแดน ภาคเมืองเมฆคราม


"ท่านปู่!!" 

เด็กหนุ่มวัย 15 ปี ร้องตะโกนสุดเสียง พลางยื่นมือออกไปข้างหน้า ทันทีที่ลืมตาตื่นจากการหลับไหล มันรู้สึกได้ในทันที ว่าสถานที่ๆ ไม่คุ้นตานี้คือกลางป่าแห่งหนึ่ง ความสับสนอย่างหนักหน่วงก่อเกิดขึ้นภายใต้จิตใจ
 

"นี่มันที่ไหนกัน ท่านปู่ และคนในตระกูลทั้งหมด รวมถึงศัตรูเผ่าอสูร หายไปไหนหมด"

ทันทีที่หลุดจากภวังค์ มันมองสำรวจร่างกายตัวเองโดยทันที จากนั้นลองโคจรพลังลมปราณภายในร่าง รูม่านตาเบิกขยายอย่างตื่นตระหนก แทบมิอาจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้ได้


"บัดซบ!! เหตุใดพลังลมปราณในร่างข้า ถึงได้เหลือเพียงชั้นลมปราณสีม่วง ขั้นที่ 1!!"


 ชั้นลมปราณสีม่วงขั้นที่ 1 นั้นถือได้ว่าเป็นชั้นลมปราณขั้นต่ำสุด โดยชั้นลมปราณนั้นจะเริ่มจากชั้นสีม่วง สีคราม สีน้ำเงิน สีเขียว สีเหลือง สีส้ม สีแดง และสีรุ้งตามลำดับ แต่ละชั้นลมปราณ จะมีแตกย่อยอีก 9 ขั้นพลัง การที่มันอยู่ในชั้นลมปราณสีม่วงขั้นที่ 1 นั้นแทบจะไม่ต่างจากคนธรรมดาที่ไร้ซึ่งพลังลมปราณ สร้างความตกใจให้แก่เด็กหนุ่มวัยเยาว์เป็นอันมาก มันนั่งกุมขมับพยายามอย่างยิ่งยวดไล่เรียงความทรงจำ แต่กระนั้นก็ไม่อาจมีภาพใดผุดขึ้นในสมองแม้แต่น้อง


"เหอะ!! ตื่นมาก็โวยวายเลยนะเจ้าเด็กน้อย" เสียงหวานของสาวน้อยนางหนึ่งดังขึ้นมาทำให้เด็กหนุ่ม หันซ้ายขวา อย่างรวดเร็วเพื่อหาต้นตอของเสียงนั้น


"ไม่ต้องหาให้เสียเวลาหรอก ตัวเรานั้นอยู่ในจิตใต้สำนึกของเจ้าเอง เจ้าชื่อเล้งซานสินะ"


"เจ้าเป็นใคร เหตุใดเข้ามาอยู่ในจิตใต้สำนึกข้า!!" 


เล้งซานยังไม่แน่ใจ ในตัวตนของเสียงนี้ จึงกระจายคลื่นพลังลมปราณออกไปตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ แต่ด้วยพลังลมปราณอันต้อยต่ำ การกระจายคลื่นพลังในระยะ 3 เมตรคือระยะขีดสุดที่มันทำได้แล้ว แต่ก็มิได้พบสิ่งผิดปรกติ อันใด


"เราชื่อว่าเฟรย่า เป็นธิดาของราชาเผ่าเทพ เฮ้อ...เราคงต้องอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เด็กน้อยอย่างเจ้าฟังด้วยสินะ น่าเบื่อจริงๆ" เสียงทอดถอนหายใจเกิดขึ้นเล็กน้อย


"ไม่จำเป็น!! บอกข้าแค่ 3 ข้อก็เพียงพอแล้ว ตัวข้าอยู่ที่ไหน ตระกูลข้าอยู่ที่ไหน และศัตรูข้าอยู่ไหน!!!" 


เล้งซานกระแทกเสียงด้วยความอาฆาต โดยหาได้สนใจเสียงของ เฟรย่าที่ท่าทีเบื่อหน่ายไม่ ความร้อนใจของเล้งซานพุ่งถึงขีดสุด เพราะก่อนที่มันจะหลับไป ตระกูลของมันกำลังเข้าสู่วิกฤต จากการโจมตีของเผ่าอสูรจากอีกโลกซึ่งพลังของทั้งสองฝ่ายมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง 


"เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เพราะทุกอย่างมันจบไปแล้ว จากการคำนวนของเรา พวกเราข้ามผ่านช่วงเวลา ที่ตระกูลเจ้าถูกทำลาย มามากกว่า 1,500 ปี!!"


ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราวกับเรียบเฉย แต่กลับทำให้เด็กหนุ่มตัวสั่นสะท้าน หน้าตาขาวซีด ทั่วแผ่นหลัง และฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ จิตใจคล้ายร่วงหล่นจากที่สูงชันลงสู่เบื้องล่าง ความรู้สึกวูบวาบเกินกว่าคำอธิบาย


"เป็นไปได้อย่างไร!! ไม่จริง เจ้าโกหก เรื่องแบบนี้ตลอดชีวิตข้าล้วนไม่เคยได้ยิน!!"


"ข้า ธิดาแห่งเผ่าเทพผู้ทรงเกียรติ ตลอดชีวิตเรามิเคยโป้ปดผู้ได้" 


คำพูดประโยคนี้ตอกย้ำให้เล้งซาน คุกเข่าทรุดลงที่พื้นในบัดดล หากมีผู้ใดพูดเรื่องของการข้ามเวลา ผู้นั้นก็ย่อมกลายเป็นตัวตลกในทันที กล่าวได้ว่าเรื่องเช่นนี้นั้นเป็นเพียงนิทานหลอกเด็กก็ไม่เกินเลยแม้แต่น้อย แต่ในตอนนี้มันเริ่มลังเลใจที่จะเชื่อ ด้วยเหตุผลหลายๆข้อ มันมาที่นี่ได้อย่างไร? เหตุใดพลังลมปราณของมันจึงหายไป? เสียงเด็กสาวที่ออกมาจากจิตใต้สำนึกนี่อีก? ทุกอย่างนั้นไร้คำอธิบายภายในใจของมัน


"เอาล่ะเรา ธิดาเทพจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าฟัง เจ้าคงรู้ใช่มั้ย ว่าสิบปีก่อนที่ตระกูลเจ้าจะถูกโจมตี ปู่ของเจ้าเคยช่วยชีวิต บิดาของเราในช่วงที่โดนราชาเผ่าอสูรลอบทำร้ายในขณะที่บิดาเรา เดินทางมาที่โลกของเผ่ามนุษย์

และนับแต่นั้นมาเผ่าเราและตระกูลของเจ้าจึงเปรียบเสมือนเครือญาติห่างๆ ที่อยู่ต่างโลกกัน โดยคอยช่วยเหลือกันแม้มิได้โจ่งแจ้งแต่ก็มิได้ปิดบังผู้ใด"


"และเนื่องด้วยเหตุการณ์นี้ ราชาเผ่าอสูรแห่งโลกอสูร เกรงกลัวว่า พวกเราเผ่าเทพแห่งโลกเทพ และตระกูลเล้งซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในทวีปมังกรฟ้าของโลกมนุษย์ จะผนึกกำลังกันทำลายพวกมัน มันได้ออกอุบายยกทัพมายังเขตเชื่อมต่อเผ่าอสูรและเผ่าเทพ กระตุ้นให้บิดาและกองกำลังหลักเผ่าเทพไปตรึงกำลัง ณ เขตเชื่อมต่อ"


"จากนั้นก็ส่งนักรบอันแข็งแกร่งกว่า พันคนมาบดขยี้ตระกูลเจ้า จนพินาจย่อยยับ เราซึ่งถูกขอร้องโดยบิดา รีบเดินทางโดยหวังว่าอย่างน้อยจะรักษาสายเลือดตระกูลเล้งไว้ให้สืบต่อไป
 
แต่เราดูแคลนกำลังพันนายของเผ่าอสูรเกินไป ทหารทั้งพันนายล้วนไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเราแต่ผู้นำทัพของมันคือ อสูรเพลิงเฟิงหลุน นอกจาก บิดาเรา และ ราชาอสูร ใน 3 โลกนี้ล้วนไร้ผู้ซึ่งต่อกรมันได้ ตัวเราก็ถูกทำลายด้วยน้ำมือมัน 


ปู่เจ้าเล้งเทียน จึงใช้สมบัติประจำตระกูลเจ้า ลูกแก้วมังกร ผนึกเข้ากับร่างของเจ้าเพื่อเดินทางข้ามมิติเวลาซึ่งสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และได้ผนึกวิญญาณของเราลงไปด้วย แต่หากส่งเจ้ามาโดยที่เจ้ามีพลังเท่าแต่ก่อนจะสามารถส่งข้ามเวลามาได้เพียง 5-10ปี ซึ่งไม่เพียงพอในการหนีการตามล่าของเผ่าอสูร จึงได้สลายพลังลมปราณของเจ้าให้ต่ำที่สุดและส่งเจ้ามาเพื่อหนีตามล่า จนถึง ณ ที่แห่งนี้"


เล้งซานยังคงคุกเข่าที่พื้น มิได้ขยับแม้แต่น้อย ราวกับเรื่องที่เฟรย่าเล่านั้นมิได้เข้าหูมันแม้แต่น้อย จวบจนเวลาร่วงเลยไปถึงครึ่งชั่วยาม(1 ชั่วโมง) มันจึงเงยหน้ามองฟ้า พร้อมน้ำตาที่อาบเต็มใบหน้า 


"เหตุใดกัน ท่านปู่ถึงได้ทำเช่นนี้ แม้ตัวข้าจะมิได้แข็งแกร่งเยี่ยงท่านปู่ และท่านพ่อ แต่ข้าก็มิได้อ่อนแอกว่าผู้ใดในตระกูล แห่งใดจึงมิให้ข้าช่วยสู้ตายพร้อมคนในตระกูล.." 

เล้งซานพูดพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาจนกลายเป็นสีแดงฉาน มันคือเลือด! คนเราหากมิได้เสียใจจนถึงขีดสุดไหนเลยจะหลั่งเลือดแทนน้ำตา

"ราชาเผ่าอสูร อสูรเพลิงเฟิงหลุน ข้าจะต้องฆ่ามัน ฉีกมันเป็นชิ้นๆ เลือดทุกหยอด กระดูกทุกท่อนของมัน จะต้องเอามาเซ่นไหว้ตระกูลเล้ง!!!" เด็กหนุ่มเลือดนองใบหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเครียดแค้นกัดขบฟันแน่นจะแทบแหลกละเอียด


"เหอะ!! เจ้าจะบ้าหรอถึงเผ่าอสูรจะอายุยืนยาว แต่ก็อยู่ได้ไม่เกิน 500 ปี ป่านนี้มันคงไม่อยู่รอเจ้าแล้ว"


"ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะสังหารตระกูลมันให้หมดสิ้น!!"


"ดี!! เจ้าอย่าลืมคำพูดนี้ซะล่ะ และก็อย่าลืมว่าพลังเจ้าในตอนนี้ เพียงแค่มันพ่นลมหายใจใส่เจ้าก็ไม่เหลือแม้แต่ซากศพ"


เล้งซานตรวจสอบพลังยุทธของตนเองยังดีที่มันยังสามารถใช้พลังยุทธได้เช่นเดิม แต่หากกระบวนท่าที่ทรงพลังทั้งหลายมิอาจใช้ได้เนื่องจากพลังลมปราณอันต้อยต่ำ


"เฟรย่า แล้วเหตุใดธิดาเทพเช่นท่านจึงยอมถูกผนึกตามข้ามาด้วยเล่า"


"ข้าถูกสังหารโดยเฟิงหลุน แต่เราเผ่าเทพ แม้ร่ายกายถูกทำลาย วิญญาณ จะยังคงอยู่อีก 3 วัน และค่อยแตกสลายไป แต่ในช่วงเวลา 3 วันนี้เราสามารถผนึกเข้ากับผู้อื่นได้จะสามารถรักษาวิญญาณไว้ได้ และเมื่อมีวัตถุ และโอสถครบองค์ประกอบ เราก็สามารถคืนชีพได้อีกครั้ง"


"งั้นที่ท่านมาผนึกเข้ากับข้าเพื่อรอให้ข้าหาสิ่งของมาให้ท่านคืนชีพ งั้นสิ?"


"นั้นก็ส่วนนึง อีกส่วนนึงเราถูกขอร้องโดยปู่ของเจ้าให้เราช่วยเหลือเจ้าเท่าที่ทำได้ในโลกแห่งนี้ แต่ส่งต่อข้อความถึงเจ้าด้วย"


"ข้อความ? ท่านปู่มีข้อความอันใด จงรีบบอกแก่ข้า!!"


เฟรย่า เงียบ ไปซักระยะหนึ่ง คล้ายครุ่นคิด




"เฮ้อ.... อาจจะยังเร็วเกินไปสำหรับเจ้าในตอนนี้ แต่จงจำไว้ว่าตอนนี้ เจ้าได้รับร่างสถิตย์มังกรฟ้ามาแล้ว!!"


ตอนที่ 2 : ร่างสถิตย์มังกรฟ้า


"ร่างสถิตย์มังกรฟ้า มันคืออะไร?" เล้งซานขมวดคิ้วเล็กน้อย


"เจ้าในตอนนี้นั้นครอบครองพลังที่เหนือชั้นกว่าผู้ใด ถูกผนึกเข้ามายังร่างของเจ้าเพียงแต่จำเป็นต้องรอการเติบโตตามพลังลมปราณในร่างของเจ้า"


"และมันจะมีประโยชน์อันใด แก่ข้า.."


"มากมายเหลือคณาเลย มันคือพลังอันแข็งแกร่ง ที่จะได้รับพรตามแต่พลังลมปราณที่ครอบครอง

      ชั้นลมปราณสีม่วง ได้รับพร สัมผัสแห่งมังกร

     ชั้นลมปราณสีคราม  ได้รับพร ลมหายใจแห่งมังกร

     ชั้นลมปราณสีน้ำเงิน  ได้รับพร กล้ามเนื้อแห่งมังกร
    
     ชั้นลมปราณสีเขียว    ได้รับพร เกล็ดมังกร

     ชั้นลมปราณสีเหลือง  ได้รับพร ปราณมังกร

     ชั้นลมปราณสีส้ม      ได้รับพร ปีกแห่งมังกร

     ชั้นลมปราณสีแดง  และชั้นลมปราณสีรุ้งยังมิได้มีผู้ใดได้สัมผัส จึงยังคงเป็นพลังอันลึกลับ..."


ร่างกายเล้งซานถึงกับสั่นสะท้าน มันคือความพึงพอใจอันมากล้น มันมิอาจทราบได้ว่าพรมังกรจะทรงพลังซักเพียงใด แต่สิ่งที่มันเข้าใจคือแม้ว่ามันจะสำเร็จปราณขั้นสูงเพียงใด ก็ไม่เพียงพอในการกวาดล้างโลกอสูร ด้วยความต่างของพลังอันมหาศาล แต่หากมีพรมังกรเข้ามาเสริมแม้เพิ่มโอกาสเพียงแค่ หนึ่งในร้อยส่วนในการแก้แค้นก็นับว่าเป็นความพึงพอใจอย่างมากล้น เฟรย่ายังกล่าวต่อไปว่า
 

"เจ้าในตอนนี้ สามารถฝึกสัมผัสแห่งมังกร ได้แล้ว ลองตั้งจิต และดูความเปลี่ยนแปลงที่ต่างจากเดิมดูสิ"


เล้งซานนั่งสงบจิต และรวมรวมสมาธิทันที มันค่อยๆสัมผัสถึงออร่าสีฟ้าที่ห่อหุ้มร่างกายได้ทีละนิดและชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆเมื่อผ่านไปราวหนึ่งก้านธูปเล้งซานก็ปล่อยออร่าสีฟ้ากระจายพลังที่ห่อหุ้มร่างออกไป เป็นระลอกคล้ายหินที่ถูกทิ้งลงผืนน้ำ ค่อยๆกระจายระลอกพลังออกไปโดยมีตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง มันสามารถสัมผัสได้รับรู้ได้แม้กระทั้งการขยับของดอกหญ้า ที่ที่ถูกลมพลัดเบาๆ สัมผัสได้ถึงการขยับทุกครั้งของปีกแมลงแต่ละตัวโดยรอบ 


"วิเศษ!! เป็นญาณรับรู้ที่ทรงพลังมาก ข้าสามารถสัมผัสทุกสิ่งรอบตัวในระยะ  หนึ่งส่วนห้าลี้(ร้อยเมตร)"


'สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะในรอบพันปีของตระกูลเล้ง ที่เป็นความหวังฟื้นฟูตระกูล ปู่ของมันกล่าวว่าอาจใช้เวลา นับเดือนในการฝึกญาณรับรู้ แต่มันกลับใช้ได้ในทันทีที่เรากล่าวจบ โดยมิได้บอกโดยละเอียด'


เฟรย่าแม้เป็นธิดาเทพยังคงตะลึงกับอัจฉริยะผู้นี้ ได้แต่นึกในใจโดยมิได้กล่าวชมเฉยอะไร เพื่อมิให้มันหลงระเริงกับความสามารถของตัวมันเอง


เล้งซานยืนขึ้นและสำรวจสิ่งที่ติดตัวมาจากอดีต กลับมิพบสิ่งใดที่ติดตัวตัวมานอกจากเสื้อผ้าที่ตนสวมใส่ ภายในหัวทำการวิเคราะห์สถานการณ์ในตอนนี้ทันที


"ในเมื่อ ข้าต้องอยู่ที่นี่และไม่สามารถกลับไป ณ จุดเดิมได้ ข้าจะต้องรู้จักที่นี่ และก่อตั้งตระกูลเล้งขึ้นมาอีกครั้งให้จงได้!!"


จากการกระจายสัมผัสมังกร มันรู้สึกถึงปราณชีวิต หลายสายทางทิศเหนือ จึงเร่งเดินทางทันที ตลอดเส้นทางยังพบสัตว์ต่างๆมากมาย ผลไม้ที่คุ้นตา จึงแน่ใจกว่า 9 ส่วน ว่าที่นี้ยังคงเป็นโลกมนุษย์ แต่จะเจาะจงว่าทวีปใดนั้น ยังนับว่าเป็นเรื่องยาก 

ในอดีตโลกมนุษย์แบ่งออกเป็น 4 ทวีปหลัก ได้แต่ ทวีปมังกรฟ้า ทางตะวันออก ทวีปพยัคฆ์ขาวทางตะวันตก ทวีปเต่าทมิฬทางเหนือ และ ทวีปหงสาเพลิงทางใต้ ตระกูลเล้งเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปมังกรฟ้า แม้นับรวมทั้ง 4 ทวีปก็ยังนับเป็นอันดับ 1 หากพูดว่าตระกูลเล้งไร้ผู้ต่อต้านในโลกมนุษย์ คำกล่าวนี้ก็หาได้เกินจริงแม้แต่น้อย แต่ด้วยพลังลมปราณที่ขั้นต่ำสุดในปัจจุบันของเล้งซาน การก่อตั้งตระกูลให้กลับสู่จุดเดิม นับว่ายากยิ่งราวกับปีนป่ายสวรรค์ก็มิปาน


"ข้างหน้าราว 20 ลี้ มีหมู่บ้าน เราอาจจะพอสอบถามข้อมูลของทวีปนี้ได้ เจ้าจงเร่งเดินทางเถอะ"


เสียงของเฟรย่าแม้จะหวานไพเราะ แต่ทุกคำกล่าวล้วนไร้ซึ่งอารมณ์ทุกคำ รู้สึกได้เพียงความเบื่อหน่ายเท่านั้น เล้งซาน แม้มีสัมผัสแห่งมังกร ยังรับรู้ได้เพียงทิศทางไม่สามารถบอกตำแหน่งที่ชัดเจนได้เช่นเฟรย่า เล้งซานถึงกับขมวดคิ้วเล็กน้อย


'อดีตนางผู้นี้ มีพลังระดับใดกัน แม้เป็นเพียงวิญญาณ ยังมีสัมผัสที่น่ากลัวได้เช่นนี้'


เล้งซานเร่งเดินทางทันทีหวังเพียงข้อมูลเล็กน้อย เพื่อจะได้ตั้งเป้าหมาย ณ ที่แห่งนี้ได้ แต่ด้วยพลังปราณม่วง มันจึงทำได้เพียงวิ่งไปเรื่อย เก็บผลไม้กิน ตามทางและเดินทางร่วมครึ่งวัน กว่าจะพบหมู่บ้าน


"เฮ้ย!! เจ้าหนุ่ม เจ้าเป็นใครมาจากที่ใดกันเหตุใดออกมาจากป่าคนเดียว ข้ามิคุ้นหน้าเจ้าด้วย ไม่ใช่คนในหมู่บ้านเมฆาล่อง สินะ"


ทันทีที่เข้ามาในระยะสายตา ยามหน้าทางเข้าหมู่บ้านตะโกนทักทันที จากสัมผัสแห่งมังกรชายผู้นี้อยู่ในระดับปราณสีครามขั้นที่ 3 


"ครอบครัวข้านั้นเดินทางผ่านป่า เพื่อย้ายเมืองอาศัย แต่กลับถูกโจรป่าดักปล้น บิดาข้าเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อเปิดเส้นทางให้ข้าหลบหนี ด้วยความกลัวข้าวิ่งหนีร่วม ครึ่งวันจนพบหมู่บ้านแห่งนี้ ได้โปรดไปช่วย บิดา ข้าด้วยเถิด"


ทันทีที่พูดที่พูดมันเดินมาจับชายเสื้อยามเฝ้าหมู่บ้านด้วยท่าทีขอร้องด้วยชีวิต หน้าตาเศร้าหมอง อีกทั้งเหงื่อที่ท่วมตัวจากการวิ่งมาตลอดครึ่งค่อนวัน ทำให้การกระทำนี้ดูสมจริงยากจะจับพิรุธ ส่งเสริมการแสดงของเด็กหนุ่มได้อย่างแนบเนียน



'เหอะ!! เจ้าเด็กนี้ ช่างพลิกลิ้น ได้เก่งกาจกว่าพลังฝีมือ'


เฟรย่าสบทในใจ...

---2-

ตอนที่ 3 : เข้าสู่เรือนหัวหน้าหมู่บ้าน


ทหารเฝ้าประตูจ้องชำเรืองเล้งซานเล็กน้อย พลางส่ายหน้า


"ขอโทษนะ เจ้าหนุ่ม ตัวข้ามีหน้าที่ป้องกันหมู่บ้าน ไม่สามารถละทิ้งหน้าที่เพียงเพื่อช่วยเหลือเจ้า ข้าคงได้แต่เสียใจกับครอบครัวเจ้าด้วย โจรในป่ามันแอบซ่อนตัวและเหี้ยมโหดมาก แม้ทางการยังหาแหล่งกบดานจากมันได้ ไม่แน่ชัด ถึงข้าจะไปช่วยบิดาเจ้าไม่ได้แต่หากมีโจรชั่วผู้ใดกล้าไล่ตามเจ้า ข้าจะสังหารให้มันเอง!!" 

เล้งซานเมื่อได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยจนยากจะมองเห็น

'ไม่อยากจะเชื่อ ด้วยคำพูดลอยๆของข้า กลับมีโจรป่าอยู่จริงๆ เราต้องหาข้อมูลมากกว่านี้'


"มิทราบว่าที่นี่คือที่ใดหรือ ข้าติดตามครอบครัวมาร่วมเดือน แต่ก็ยังมิได้ถามไถ่ผู้ใดเป็นหลักแหล่ง"


"ที่นี่คือ หมู่บ้านบ้านเมฆาล่อง เป็นหมู่บ้านขนาดกลาง อยู่เขตทิศเหนือของทวีปเต่าทมิฬ หัวหน้าหมู่บ้านเป็นบุตรคนที่ 4 ของเจ้าเมือง เมฆคราม แต่ได้มาตั้งหลักปักฐาน ณ ที่แห่งนี้" ทหารยามกล่าวตอบ


เล้งซาน ครุ่นคิดซักครู่ จึงกล่าวต่อว่า "เมืองเมฆคราม?"


"อืม เมืองเมฆครามอยู่ห่างจากที่นี้ มิไกลมาก ราว 40 ลี้ ทางทิศตะวันออก เป็น 1 ใน 7 เมืองใหญ่ของ ทวีปเต่าทมิฬ"


"ขอบคุณผู้อาวุโส ที่บอกกล่าวแก่ข้า หากข้าเข้ามาตั้งหลักในหมู่บ้านโดยการทำงานแลกข้าว แลกที่พักได้จะทำให้ท่านมีความลำบากใจหรือไม่ ตัวข้าในตอนนี้นั้นตัวคนเดียวไร้ซึ่งที่พึ่งใด ขอผู้อาวุโสโปรดเมตตาผู้เยาว์ซักครา"


เล้งซานตีหน้าอาวรอีกครั้ง แววตาที่ฉานออกมานั้นแสดงถึงความต้องการความหวัง แต่ภายในใจมันคิดอยากถามข้อมูลมากกว่านี้ แต่กลัวจะถูกสงสัยในตัวตนเกินไป จึงหาข้ออ้างเข้าไปหาที่พัก และอาหารก่อน ด้วยคำพูดที่สุภาพ กริยาที่ถ่อมตน ทหารยามสำรวจปราณก็พอว่า มีเพียงปราณเริ่มแรกสุดที่อ่อนด้อย จึงได้พยักหน้า


"ตกลง เห็นแก่ที่ชีวิตเจ้าช่างอาภัพนัก ข้าจะเขียนจดหมายแนะนำเข้าให้แก่ท่านผู้ดูแลเรือนหัวหน้าหมู่บ้านที่สนิทกัน ให้ช่วยจัดหางานเล็กๆน้อยๆแลกที่พักพิงให้แก่เจ้า แต่จงจำไว้หากเจ้าสร้างปัญหาในหมู่บ้าน ข้าจะขับไล่เจ้าไปในทันที!!"


เล้งซานประสานมือขึ้นด้านหน้า พร้อมโค้งตัวเล็กน้อย


"ขอบคุณผู้อาวุโสที่เมตตา ตัวข้าในตอนนี้นั้นไร้ซึ่งสิ่งตอบแทน แต่บุญคุณครั้งนี้ข้าจะจดใจไว้ในใจมิลืมเลือน"


ทหารยามยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินเข้าในป้อม ซักครู่ก็เดินออกมา 


"ข้าชื่อ หลี่ซุน เป็นหัวหน้าทหารเฝ้าประตูทิศใต้ ถ้าลำบากก็มาหาข้าได้ เอานี่จดหมายแนะนำตัว เจ้าจงเข้าไปในหมู่บ้าน ไปที่เรือนที่ใหญ่ที่สุด บอกคนเฝ้าประตูว่า ขอพบ ชุนเกียงตู้ และเอาจดหมายนี่ให้มัน มันและข้าต่างเป็นสหายสนิทกัน"


เล้งซานรับจดหมาย ประสานมือและโค้งตัวเป็นเชิงขอบคุณ และเดินทางเข้าประตูทิศใต้ของหมู่บ้าน มันกระจายสัมผัสมังกรและมองบ้านเรือนตลอดข้างทาง แม้ที่นี่จะเรียกว่าเป็นหมู่บ้านแต่ก็ใหญ่โตพอสมควร มีบ้านเรือน ร่วม 300 หลังคาเรือน และเท่าที่จับสัมผัส มีชาวบ้านอาศัยอยู่ร่วม 500 คน ส่วนมากจะมีพลังปราณสีม่วงขั้นต้นถึงปลาย (ขั้นต้น คือ 1-3 ขั้นกลาง คือ 4-6 ขั้นปลายคือ 7-9) ซักระยะก็พบเรือนหลังใหญ่โต ทางเข้ามีป้ายขนาดใหญ่แขวนด้านบนว่า เมฆาล่อง มีทหารยืนประตูทางเข้า 2 นาย มีปราณสีม่วง ขั้นปลาย ทั้งคู่


"เรียนท่านทั้งสอง ผู้เยาว์ได้มีจดหมายจาก ผู้อาวุโสหลี่ซุน มามอบให้ท่าน ชุนเกียงตู้ มิทราบว่าที่นี้คือเรือนท่านหัวหน้าหมู่บ้านใช่หรือไม่"


เมื่อเห็นท่าทีสุภาพของเด็กหนุ่ม ทหารยามทั้งสองต่างพยักหน้า และมีทหารนายหนึ่งเดินเข้าไปในเรือน อีกคนหนึ่งเดินมาหาเล้งซาน


"ใช่แล้ว เจ้าหนุ่มรอซักครู่ พวกข้าจะไปตามท่านผู้ดูแล มาให้"


เพียงชั่วเวลาไม่นานก็มีคนออกมา 2 คน หนึ่งในนั้นคือทหารยามที่พึ่งเข้าไป ส่วนอีกคนเป็นชายอายุราว 50 ปีไว้เครายาว รูปร่างผอมสวมชุดคลุมสีฟ้า จากสัมผัสมังกรบอกได้ทันทีว่า ชายคนนี้อยู่ขั้นกลางของปราณสีคราม 


"ข้าคือ ชุนเกียงตู้ มีเหตุอันใดเกี่ยวกับสหายข้า"


เล้งซานประสานมือขึ้นมาด้านหน้าโค้งตัวเล็กน้อย จากนั้นหยิบจดหมาย ยื่นแก่ชุนเกียงตู้


"เรียนท่านผู้ดูแล ผู้อาวุโสหลี่ หวังฝากตัวผู้เยาว์ ไว้ในการดูแลของท่าน ตามแต่ความกรุณา นี่คือจดหมายจากท่านผู้อาวุโสหลี่"


ชุนเกียงตู้ขมวดคิ้วเล็กน้อยจากนั้นหยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน


"อืม...เจ้านี่นับว่าอาภัพยิ่ง ดีที่เรือนกำลังขาดคนพอดี จากนี้ไปเจ้าพักที่นี่ มีหน้าที่ทำสวนในอาณาบริเวณเรือนท่านหัวหน้าหมู่บ้าน แลกที่พักและอาหาร พร้อมทั้งเงินวันละ 1 เหรียญเงิน หากเจ้ายอมรับผลตอบแทนนี้ ก็ตามข้าเข้ามา"


'วันละ 1 เหรียญเงิน เมื่อเทียบกับยุคอดีต นับว่ามันค่าจ้างที่มิต่างกับยุคอดีตสำหรับคนงานในเรือน แสดงว่าผ่านไปพันกว่าปี หน่วยเงินมิได้มีการเปรียนแปลงเท่าใดนัก ดีกว่าเป็นขอทานหรือปล้นเค้ากิน สู้อยู่ที่นี่ซักระยะก็แล้วกัน'


100 เหรียญทองแดง เท่ากับ 1 เหรียญเงิน / 100 เหรียญเงิน เท่ากับ 1 เหรียญทอง หน่วยเงินนี้ใช้กันทั้ง 4 ทวีปในอดีต หมั่นโถ 1 ลูกมีราคาเท่ากับ 10 เหรียญทองแดง เล้งซาน วิเคราะห์อย่างรวดเร็ว จากนั้นประสานมือไว้ด้านหน้า โค้งเล็กน้อยให้แก่ทหารยามทั้งสอง แล้วจึงรุดหน้าตาม ชุนเกียงตู้ เข้าไปในเรือน

--3-
4 : อัจริยะแห่งตระกูลอันดับ 1


"อีกไม่นานตะวันคงตกดินแล้ว วันนี้เจ้าผ่านเรื่องราวมามากมาย ไปพักก่อนได้พรุ่งนี้เช้าค่อยเริ่มงาน แม้วันนี้อาจเป็นวันที่แย่ในชีวิตเจ้าที่เสียครอบครัว แต่จงอย่าให้การกระทำของบิดาเจ้าสูญเปล่า จงมีชีวิตต่อไป ลูกผู้ชายมักมีวันที่แย่เสมอ ห้องของเจ้าอยู่ทางด้านนู้น" 


ชุนเกียงตู้ผายมือออกไปด้านหน้า มีห้องเล็กๆติดกำแพงเรือน เรียงติดกันหลายห้องคาดว่าเป็นที่พักของคนงานในเรือนนี้ เล้งซานประสานมือโค้งตัวเล็กน้อยด้วยท่าทีสุภาพจากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้อง ในห้องมีเพียงเสื่อ และหมอน 1 ใบ เท่านั้น เล้งซานแม้เป็นถึงผู้สืบทอดกระกูลที่ยิ่งใหญ่ แต่หาได้ถือตัวไม่ มันมองไปที่เสื่อและหมอน ด้วยท่าทีสงบ


'นี่คือจุดเริ่มต้นของข้า ณ ที่แห่งนี้''


ทันทีที่ปิดประตู เล้งซานนั่งโคจรลมปราณในทันที


"เฟรย่า ท่านมีวิธีคืนพลังปราณกลับมาให้ข้าหรือไม่"


"เหอะ!! ลมปราณเจ้าถูกสลายนะ มิใช่ถูกผนึก จะมีวิธีได้อย่างไร จริงอยู่ที่เจ้าต้องเริ่มฝึกใหม่แต่ต้น ในการรวบรวมพลังลมปราณ แต่วรยุทธและทักษะทั้งหมดของเจ้า มิได้หายไป"


เล้งซานขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ตัวมันเองก็มิได้คาดหวังว่าจะได้พลังลมปราณคืนแต่อย่างใด เพราะมันเข้าใจถึงร่างกายตัวเองดีที่สุด มันทอดถอนหายใจอย่างแผ่วเบาคล้ายทำใจยอมรับ


"ในอดีตข้าฝึกพลังลมปราณตั้งแต่ อายุ 5 ปี ใช้เวลา 10 ปี ไปอยู่ในขั้นแรกของลมปราณสีส้ม วันนี้ข้าต้องเริ่มต้นใหม่ แต่ข้ามั่นใจว่าสามารถกลับไปจุดเดิมได้ภายใน 7 ปี"


"สมแล้วที่เป็นอัจริยะในรอบพันปี ของตระกูลอันดับ 1 ผู้คนส่วนใหญ่ แม้ใช้เวลา 10ปี เพิ่ม 2 ระดับชั้น ทั่วทั้ง 4 ทวีปนับได้ด้วยนิ้วมือ เจ้ากลับสามารถขึ้น 6 ระดับชั้นไปถึงปราณสีส้มด้วยวัยเพียง 15ปี เหอะ!! สัตว์ประหลาดชัดๆ อย่าว่าแต่ใน 4 ทวีปเลย แม้แต่ใน 3 โลกเรายังมิเคยได้ยินเรื่องเช่นนี้"


เล้งซานมิได้สนใจในคำพูดของเฟรย่าแม้แต่น้อย มันทำสมาธิรวบรวมลมปราณเข้าสู่จุดตันเถียน และกระจายไปทั่วร่าง จากนั้นตรึงพลังไว้สักระยะก็ดูดเข้าสู่จุดตันเถียนอีกรอบ และกระจายออกไป ทำแบบนี้ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า เพื่อขยายเส้นลมปราณในร่าง ทั่วร่างห่อหุ้มด้วยปราณสีม่วง จากตะวันตกดิน จนถึงรุ่งสางของอีกวัน รวมแล้วกว่า 5 ชั่วยาม(10 ชั่วโมง) จึงลืมตาตื่นขึ้นมา


"เหอะ!! เจ้าสัตว์ประหลาด เพียงคืนเดียวเจ้ากลับไต่จาก ขั้นที่ 1 ลมปราณสีม่วง มาอยู่ขั้นที่ 3 ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก" 

แม้น้ำเสียงของเฟรย่าคล้ายกระแทกแดกดัน แต่ก็แฝงไปด้วยความตื่นเต้น!! การเลื่อนระดับในชั้นลมปราณต่ำสุดอย่างลมปราณสีม่วงเช่นนี้ จะเป็นเรื่องง่ายมากหากเทียบกับระดับชั้นลมปราณอื่นๆ แต่อย่างน้อยการไต่ระดับขั้น จากขั้นที่ 1-3 ด้วยตนเองในคืนเดียวนั้นย่อมไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน ยกเว้นเสียแต่ว่าจะได้รับโอสถทิพย์ชั้นเลิศที่มีสรรพคุณสูงล้ำเท่านั้น หากรวบรวมลมปราณด้วยตนเองแล้ว คนธรรมดาสามัญจะต้องใช้เวลาไต่ระดับเช่นนี้อย่างน้อย 3 เดือน หากเป็นอัจฉริยะอาจใช้เวลา 1-2 เดือนเป็นอย่างต่ำ


เล้งซานแสยะยิ้มเล็กน้อย 

"สำหรับข้า ความยากจริงๆของการเลื่อนขั้นพลังคือช่วงขั้นกลาง และขั้นปลาย ช่วงขั้นต้นของทุกระดับชั้น ข้าสามารถทะลวงผ่านได้ ในเวลามิเกิน 3 ราตรี ด้วยเคล็ดวิชาเส้นลมปราณมังกร ที่ข้าคิดค้นขึ้นเอง แม้ข้าพยายามสอนผู้ใดในตระกูล แต่ทุกคนกลับมิอาจ รวบรวมพลังปราณที่จุดตันเถียนและกระจายออกซ้ำได้เกิน 3 รอบพลัง ในจุดนี้นับเป็นความสงสัยของข้ายิ่งนัก ว่าเหตุใดร่างกายจึงแตกต่างจากผู้อื่น"


เฟรย่าหลังจากได้ฟังก็เงียบไปช่วงเวลาหนึ่ง


"เรื่องนั้น...ข้ามิอาจเล่าให้เจ้าฟังได้ในช่วงเวลานี้ มันเป็นความลับที่ ท่านปู่ของเจ้าบอกข้ามา"


"ทะ..ทะ..ท่านปู่ทราบเรื่องนี้!!"


"ใช่ ท่านปู่ของเจ้าทราบและถ่ายทอดคำกล่าวมายังข้า แต่ก็กำชับข้าหนักแน่นว่ามิให้แพร่งพราย เมื่อเวลานั้นยังมิมาถึง"


"เวลานั้น?"


แต่จะพยายามสอบถามแต่เฟรย่ามิได้กล่าวสิ่งใดต่อ เล้งซานจึงจนใจและออกไปล้างหน้า ล้างตาพร้อมเริ่มงานในวันแรก ณ สถานที่แห่งนี้ หลังจากกินข้าวที่โรงครัว เล้งซานสอบถามจากคนงานในเรือนก็ทราบว่า ที่เรือนมี สวน 2 แห่งคือ สวนตะวันออกที่ใช้รับแขก และตะวันตกที่เป็นหน้าห้องหัวหน้าหมู่บ้าน ทันทีที่มาถึงสวนมันเห็น ชุนเกียงตู้ ยืนรออยู่


"ดีมาก ที่ตื่นแต่เช้าหน้าที่เจ้าไม่มีอะไรมาก เพียงแต่รดน้ำ พรวนดิน และตัดแต่งต้นไม้ให้อยู่ในสภาพเช่นนี้ทุกวัน เจ้าทำได้หรือไม่"


"เรียน ท่านผู้ดูแล ผู้เยาว์จะทำหน้าที่ มิให้ขาดตกบกพร่อง"


"ดี เจ้ามีนามว่าอะไร"


"ข้าแซ่ เล้ง ชื่อ ซาน"


ชุนเกียงตู้พยักหน้าเล็กน้อย 


"เล้งซาน อืม... ช่วงนี้ท่านหัวหน้าหมู่บ้านยุ่งเรื่องเฟ้นหาคนรุ่นเยาว์เช่นเจ้า เพื่อเข้าร่วมงานที่เมือง เมฆคราม จึงมิค่อยอยู่ที่เรือนมีเพียงข้าและ บุตรีของท่านคอยดูแลที่นี่ ไว้มีโอกาสประจวบเหมาะข้าจะแนะนำเจ้าแก่ท่านหัวหน้า"


"ร่วมงาน ที่เมือง เมฆคราม?"


"อ่อ งานประจำปี เป็นงานประลองของเหล่าอัจริยะรุ่นเยาว์ เป็นหน้าเป็นตาของเมือง แม้ท่านหัวหน้าจะมาตั้งรกรากใหม่ ณ ที่แห่งนี้ แต่ก็มิเคยลืมว่าตนเป็นบุตรของเจ้าเมือง เช่นกัน และมิเคยขาดการเข้าร่วมงานในทุกปี เฮ้อ...แต่นับว่าน่าเสียดายหมู่บ้านเราเล็กยิ่งนัก หาผู้เยาว์เข้าร่วมก็ยากแล้ว หาอัจริยะในหมู่บ้านเล็กๆ แทบมิต่างกับ หามังกรในสวนหลังบ้าน"


"ข้าเข้าร่วมได้หรือไม่?"


ทันทีที่เล้งซานเอ่ยปาก ชุนเกียงตู้ ถลึงตามองมาที่เล้งซาน ในทันที จากนั้นก็ถอนหายใจ และส่ายหน้า


"ไม่ไหว ลมปราณเจ้าอ่อนด้อยเกินไป แม้ขั้นต่ำสุดที่เข้าร่วมยังคงเป็น ขั้นพลังลมปราณสีคราม เจ้าพึ่งอยู่ใน ขั้นต้นของลมปราณสีม่วง นับว่ายังห่างไกล ผู้เยาว์อายุน้อยกว่าเจ้าบางคนยังลมปราณสูงกว่าเจ้าด้วยซ้ำ"


เล้งซานยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก จากนั้นประสานมือ โค้งตัวเล็กน้อยด้วยท่านอบน้อมประจำตัวของมัน



"เช่น นั้นผู้เยาว์ขอเสียมารยาท รับท่าน 3 ผ่ามือเพื่อทดสอบ!!"

--4--

ตอนที่ 5 : ปราณมังกรบรรพต


ชุนเกียงตู้ถลึงตาขึ้นทันทีด้วยความตะลึง หรือมันจะหูฝาดไป? ไม่...ไม่ใช่แน่นอน เล้งซานประกาศกล้ารับมันสามฝ่ามือเพื่อทดสอบ!!


"จะ...เจ้า!! รู้ตัวหรือไม่ว่ากล่าวสิ่งใดออกมา เหตุใดจึงมั่นใจในตนเองปานนั้น ความต่างชั้น 10 ขั้นลมปราณเช่นนี้ หากมีวรยุทธที่แข็งแกร่งกว่า อาจมีโอกาสต่อกรกันได้ราว 1 ในสิบส่วน แต่การรับฝ่ามือโดยตรงเช่นนี้ ซึ่งวัดกันที่พลังลมปราณล้วนๆ แม้ฝีมือเท่าเทียบผู้รับฝ่ามือก็ยังคงเสียเปรียบ มิอาจทำได้...มิอาจทำได้โดยเด็ดขาด!!"


ชุนเกียงตู้ ไม่ทราบว่าเล้งซานกินดีหมี หัวใจเสือแต่ใดมา ถึงได้กล้าทดสอบเช่นนี้ สิ่งที่มันทำมิอาจเรียกได้ว่ากล้าหาญ แต่มันคือความบ้าบิ่นอย่างถึงที่สุด แต่เมื่อหันมามอง เล้งซาน กลับพบร้อยยิ้มเต็มใบหน้าของมัน หาได้มีความกังวลใจแม้แต่น้อย 


ชุนเกียงตู้ ถึงกลับหน้าแดงกร่ำแม้ตัวมันเองยังไม่ถือเป็นผู้เยี่ยมยุทธ แต่ในหมู่บ้านเมฆาล่อง พลังลมปราณของมันเป็นรองเพียงแค่ หัวหน้าหมู่บ้าน และบุตรชายคนโตของหัวหน้าเท่านั้น มันพึ่งเคยพอเจอผู้เยาว์ ที่มีเพียงชั้นลมปราณสีม่วงขั้นต้น ออกปากรับมัน 3 ฝ่ามือ มันย่อมโกรธในความไม่ประมาณตนของเด็กหนุ่มที่กล้าท้าทายมัน


"ดี!! เห็นแก่ความกล้าของเจ้า เตรียมรับฝ่ามือแรก"


"ขออภัยที่ล่วงเกินท่านผู้ดูแล เชิญ"


เล้งซานย่อตัวเล็กน้อย โคจรลมปราณทั่วร่างให้หมุนวนภายในร่าง ออร่าสีม่วงเปล่งประกายอย่างเห็นได้ชัด มือซ้ายไขว้หลัง มือขวาผายออกทำท่าเชื้อเชิญแล้วจึงนำมาไขว้หลัง ยืดอกออกราวกับการท้าทาย


เมื่อเห็นดังนั้น ชุนเกียงตู้ ขมวดคิ้วทันที

'เจ้าเด็กนี่ ไม่แม้แต่จะใช้ฝ่ามือรับกระบวนท่า อีกทั้งยังแอ่นอก รับฝ่ามือโดยตรง บ้าชัดๆ ได้! ข้าจะสั่งสอนความไม่ประมาณตนของเจ้า'


ชุนเกียงตู้ โคจรพลังเพียงหนึ่งส่วน เพราะมันมิต้องการทำร้ายเด็กต้องการเพียงแค่สั่งสอนเล็กน้อยเท่านั้น 


"รับฝ่ามือแรก" 


'5 กระบวนตระกูลเล้ง กระบวนที่ 1 ปราณมังกรบรรพต!!'


ตูม!!!!


ชุนเกียงตู้ซัดเข้าที่หน้าอกของเล้งซานอย่างจัง แม้เป็นพลังเพียงส่วนเดียว แต่อนุภาพมิต่างจากชั้นปราณสีม่วงขั้นกลาง เป็นไปไม่ได้เลยที่ชั้นลมปราณสีม่วงขั้นต้นจะสามารถตั้งรับได้ 

แต่แล้วสิ่งที่มันสัมผัสได้คือฝ่ามือของมันราวกับซัดเข้าใส่กับภูเขาขนาดย่อม มิสามารถขยับร่างของเล้งซานได้แม้แต่ครึ่งก้าว สร้างความตกตะลึงให้แก่ ชุนเกียงตู้ เป็นอย่างมาก 


'ปราณคุ้มกันร้ายกาจมาก เจ้าเด็กนี่ มันเป็นใครกัน'


"ขอบคุณท่านผู้ดูแลที่ ออมมือ ผู้เยาว์พร้อมรับฝ่ามือที่สอง!!"


เล้งซาน ประสานมือ โค้งตัวเล็กน้อย จากนั้นก็เอามือไขว้หลังและแอ่นอกเล็กน้อยดังเดิม ซุนเกียงตู้ขมวดคิ้วขึ้นในทันที


"นับว่าเจ้ามีปราณคุ้มกันที่ร้ายกาจมาก ฝ่ามือที่สองนี้ ข้าจะใช้พลัง 5 ส่วน เตรียมรับมือ"

ลมปราณหมุนรอบตัวชุนเกียงตู้ทั่วร่างอีกครั้งและหนาแน่นกว่าคราแรกหลายเท่า มันสะบัดฝ่ามือกระแทกเข้าที่ทรวงอกของเล้งซานอีกครั้ง!!


ตูม!!!


ชุนเกียงตู้ ใช้พลัง 5 ส่วนตามที่ลั่นวาจาไว้จริงๆ มีพลังเทียบเท่าปราณสีม่วงขั้นปลาย เล้งซานแม้รับไว้ได้แต่ก็ทำให้ร่างกระเด็นถอยกรูดเป็นทางยาว ร่วม 3 ก้าว แต่ถึงกระนั้นตัวเล้งซานยังคงอยู่ในท่ามือไขว้หลังดังเดิม มิได้ขยับเขยื้อนร่างกายส่วนใดแม้เพียงนิ้วเดียว

ฝ่ามือของชุนเกียงตู้สั่นสะท้านเล็กน้อย หากบอกเมื่อครู่ตัวมันนั้นซัดฝ่ามือใส่ก้อนหินยักษ์ก็ไม่นับได้ว่าเกินเลย แต่!! มันไม่สามารถทำลายหินยักษ์ก้อนนี้ลงได้ ทำได้เพื่อสั่นคลอนเท่านั้น!!

'อะไรกัน!! ทำไมมันมีปราณคุ้มกันที่แข็งแกร่งเยี่ยงนี้ ทั่วทั้งเมือง เมฆคราม ผู้คนนับแสน ผู้ฝึกยุทธนับพันตระกูล ข้ามิเคยได้ยินว่ามีปราณคุ้มกันใด สามารถรับกระบวนท่าโดยตรงที่ห่างชั้นกว่าครึ่งระดับชั้นได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย'


เล้งซานแม้มิได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ทำให้ลมปราณทั่วร่างปั่นปวนทันที เนื่องจากการรับกระบวนท่าโดยตรงเช่นนี้มิต่างจากถูกฟาดเข้าด้วยค้อนเหล็กยักษ์ มันจึงโคจรพลังปรับลมปราณราว ยี่สิบลมหายใจแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมา


'ไม่คิดว่ามันจะใช้พลัง 5 ส่วนจริงๆ หากมันใช้พลังสิบส่วน ปราณมังกรบรรพต ย่อมมิอาจรับได้แน่นอน ความต่าง 1 ระดับชั้นนี้ มีช่องว่างของพลังมากเกินไป'

เล้งซานวิเคราะห์และเดินเข้ามาหา ชุนเกียงตู้ ในทันที พร้อมยกมือประสานโค้งตัวเล็กน้อยด้วยท่านอบน้อม


"ท่านผู้ดูแล หากข้ารับฝ่ามือสุดท้าย ผู้เยาว์ขอเพียงแค่ให้ท่านยื่นเรื่องเสนอท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ให้ข้าเข้าร่วมทดสอบก็เพียงพอแล้ว มิว่าจะได้เข้าร่วมหรือไม่ ผู้เยาว์ก็จะขอรับน้ำใจจากท่าน จดจำเป็นหนี้บุญคุณภายในใจ หวังว่าท่านผู้ดูแลจะออมมือ เชิญลงมือ"


ชุนเกียงตู้ มองดูเล้งซาน มันอายุกว่า 50 ปีอีกทั้งยังเป็นผู้ดูแลเรือนหัวหน้าหมู่บ้านดูแลคนงานหลายสิบชีวิต ย่อมดูออกว่าเล้งซานคิดการณ์ใด


'เจ้าเด็กตัวแสบนี่ ฉลาดจริงๆด้วยคำพูดของมันข้าย่อมมิอาจลงมือเต็มสิบส่วน เอาเถอะเห็นแก่ความกล้าของมัน ด้วยความแข็งแกร่งเช่นนี้แม้ข้าเสนอชื่อก็มิถือว่าน่าอับอาย'


"เห็นแก่เจ้า และความกล้าของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะรับฝ่ามือนี้ได้หรือไม่ ข้าจะเสนอชื่อเจ้าเข้าร่วมทดสอบเป็นตัวแทนหมู่บ้านเป็นแน่ แต่เพราะเป็นการทดสอบเจ้าอีกทางและให้เกียรติปราณคุ้มกันอันแข็งแกร่งของเจ้า ข้าลงมือสิบส่วนเต็มแน่นอน!! รับฝ่ามือที่สาม"


เล้งซาน ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย มันคิดไว้แล้วว่าฝ่ามือที่สาม ชุนเกียงตู้ จะลงมือเต็มสิบส่วนแน่นอน แต่คำกล่าวก่อนหน้านี้เพื่อต้องการให้ ชุนเกียงตู้ รับปากเสนอชื่อให้มัน 

ชุนเกียงตู้เปล่งออร่าสีครามออกจากร่างอย่างแจ่มชัด โคจรพลังไม่ต่ำกว่าสามรอบทั่วสรรพางค์กาย แรงกดดันมหาศาลทำให้เหงื่อไคลผุดขึ้นจากหน้าผากของเล้งซานไม่ต่ำกว่าสามเม็ด ชุนเกียงตู้กระแทกเท้าลงกับฟื้น และสะบัดฝ่ามือที่แฝงพลังลมปราณสิบส่วนเข้าใส่เล้งซานโดยไม่ลังเล!!


ทันทีที่ฝ่ามือพุ่งเข้ามาในชั่วพริบตา เล้งซานเปลี่ยนกระบวนท่าตั้งรับ จากที่สองมือไขว้หลัง มันกลับยกมือขวาขึ้นมา ประสานเข้ากับฝ่ามือที่พุ่งเข้ามาของ ชุนเกียงตู้ ในทันที



'มังกรเคลื่อนสมุทร!!'


--5--

ตอนที่ 6 : มังกรเคลื่อนสมุทร


ในทันที ที่ฝ่ามือประสานกัน คิ้วทั้งสองข้างของ ชุนเกียงตู้ ขมวดจนแทบจะชนกัน ความรู้สึกที่ได้รับไม่ใช่แรงปะทะ แต่เป็นความว่างเปล่า!!


'พลังลมปราณสีคราม สิบส่วนของข้า เหตุจึงรู้สึกราวซัดฝ่ามือใส่อากาศธาตุ ที่ว่างเปล่า บ้าน่า!!'


แสงประกายสีคราม จากฝ่ามือของ ชุนเกียงตู้ เมื่อสัมผัสเข้ากับฝ่ามือของเล้งซาน ประกายแสงมันมิได้หยุดอยู่กับที่แต่มันกลับวิ่งเข้าไปในร่างของเล้งซานราวกับมีชีวิต วิ่งผ่านมือขวา สู่แขนขวา ไหลจากแขนขวา ผ่านจุดตันเถียน และแยกเป็น 2 สายสู่ขาทั้งสองข้าง จากนั้นก็ไหลลงสู่พื้นปฐพี


ตูม!!


เสียงดังสนั่นทั่วทั้งบริเวณโดยรอบ พื้นดินที่เท้าของเล้งซานแตกเป็นรอยแยกและทรุดตัวลงจนมองมิเห็นเท้าของเล้งซาน ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก


"ขอบคุณท่านผู้ดูแลที่ออมมือ ผู้เยาว์จะไม่ทำให้ท่านผู้ดูแลต้องผิดหวังในการทดสอบ นี่ก็สายโด่งแล้วผู้เยาว์ขอตัวไปรดน้ำต้นไม้ตามหน้าที่"


จากนั้นเล้งซานประสานมือ โค้งเล็กน้อย และหันหลังเดินไปที่สวนอีกด้านในทันที


ชุนเกียงตู้ มิได้ขยับออกจากท่าเดิมแม้แต่น้อยราวกลับสิ่งที่เล้งซานกล่าวได้ผ่านหูมันไป มันยังคงยื่นมือค้างไว้ดังเช่นตอนออกฝ่ามือที่สาม แต่กายนั้นสั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้น จิตใจระส่ำระสายคล้ายโดนซัดตีด้วยคลื่นสมุทร


'มหัศจรรย์ ราวกลับมิใช่วิทยายุทธ มันเป็นอัจริยะโดยแท้จริง นี่ข้าพบมังกรในสวนหลังบ้านจริงๆหรือนี่!


คำพูดที่มันเคยเปรียบเปยให้เล้งซานฟังในตอนแรก ดังเข้ามาในจิตใจราวกับสายฟ้าที่ฟาดใส่จิตใจ


หลังจากที่เล้งเดินมาถึงสวนอีกด้าน เลือดไหลออกมาจากมุมปากของเล้งซาน มันเก็บอาการไว้และรีบรุดหน้ามาเพื่อมิให้ ชุนเกียงตู้ จับสังเกตได้ ลมปราณภายในร่างล้วนปั่นป่วน

"การตั้งรับกระบวนท่าที่สูงกว่า 1 ระดับชั้นลมปราณ นี่มันตึงมือเกินไปจริงๆ แต่หากข้ามิทำขนาดนี้คงยากที่จะมีคนยอมรับ ให้บุคคลที่มีลมปราณชั้นสีม่วงขั้นต้นอันต้อยต่ำ อย่างข้าได้เข้ารับการทดสอบ"


"ท่าสุดท้ายนั่นมันอะไรกัน เหตุใดจึงเคลื่อนย้ายพลังปราณที่สูงกว่าตนเอง 1 ระดับชั้นเยี่ยงนั้นลงสู่ปฐพีได้"


เสียงของเฟรย่า ที่เงียบไปนานดังออกมาในที่สุด


"ท่านยอมสนทนากับข้าแล้วหรอ?"


เล้งซานยิ้มที่มุมปาก ทันทีที่ได้ยินเสียงจากเฟรย่า


"เลิกเล่นลิ้นได้แล้วเจ้าเด็กน้อย บอกเรามาวิชาเมื่อครู่ เรามิเคยเห็นหรือเคยได้ยินมาก่อน มันช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก"


"ข้าเคยบอกท่านแล้ว ว่าร่างกายของข้าต่างจากผู้อื่น ข้านั้นจึงบัญญัติวิชาเฉพาะตัวมา 3 ประเภท 1 คือเคล็ดวิชาที่ใช้ยกระดับพลังปราณที่ใช้เมื่อคืน เส้นลมปราณมังกร 2 คือเคล็ดวิชาป้องกัน มังกรเคลื่อนสมุทร และสุดท้ายเป็นเคล็ดวิชาโจมตี ตราประทับมังกร 

ทั้ง 3 วิชานี้ล้วนเกิดขึ้นได้เพราะอาการผิดปรกติทางเส้นลมปราณของข้าที่มีความใหญ่ หนา และยืดหยุ่นกว่าผู้อื่น ในเคล็ดวิชา มังกรเคลื่อนสมุทร ข้าใช้เส้นลมปราณที่หนาและยืดหยุ่นของข้ารับพลังที่เข้ามาแล้วปล่อยไหลผ่านเส้นลมปราณในร่างลงสู่เท้าและเคลื่อนลงสู่พื้นดิน แม้เคล็ดวิชานี้จะร้ายกาจมาก แต่ก็มาพร้อมเงื่อนไขการใช้ที่มากมาย เช่นกัน"


"เงื่อนไข?" เฟรย่ายังคงอยากรับรู้ในพลังมันร้ายกาจนี้


เล้งซานยิ้มเล็กน้อย และกล่าวต่อว่า

"นี่คือความลับของข้ามิเคยแพร่งพรายออกไปเพราะลังแต่จะเป็นดาบมาสังหารตัวข้าเอง แต่ท่านและข้าในตอนนี้ล้วนเป็นตายร่วมกัน ข้ายังติดหนี้ท่านมากมายที่ช่วยเหลือตระกูลข้าจนต้องจบชีวิต หากท่านสัญญาว่าจะมิแพร่งพรายออกไปข้าจึงจะบอกท่าน


"เราสัญญา เราธิดาแห่งเผ่าเทพ มิเคยผิดสัญญา"


"ดี!! เงื่อนไขของเคล็ดวิชานี้ มี 2 ข้อ นั่นคือข้าไม่สามารถเคลื่อนย้ายถ่ายพลังที่สูงกว่าข้าได้เกิน 1 ระดับชั้นลมปราณ เพราะหากมากกว่านี้เส้นลมปราณในร่างข้าจะได้รับความเสียหายดังเช่นเมื่อครู่

และอีกข้อคือแม้ข้าจะสามารถย้ายพลังปราณที่เข้ามากระทบร่างได้ แต่ไม่ได้หมายถึงจะรับกระบวนท่าโจมตีได้ หากอีกฝ่ายใช้พลังปราณหลอมรวมกับธาตุอัคคีโจมตีใส่ แม้ข้าจะย้ายพลังลมปราณลงสูงปฐพีทำให้พลังลดลง 5 ส่วนแต่ก็ต้องแลกกับการโดนธาตุอัคคีนั้นแผดเผาจาก 5 ส่วนที่เหลือ หรือหากอีกฝ่ายใช้กระบี่รวมเข้ากับพลังลมปราณ แม้สลายพลังลมปราณออกไปได้ แต่ข้าก็จะต้องถูกกระบี่ทิ่มแทงอยู่ดี"


เล้งซานกล่าวจบก็ได้นั่งโคจรพลังขับลมปราณที่ยังหลงเหลือของ ชุนเกียงตู้ ส่วนเฟรย่าก็ครุ่นคิดถึงคำพูดของเล้งซาน จนต้องเอ่ยปากถามอีกรอบ



"แล้วเคล็ดวิชาโจมตี ตราประทับมังกร ของเจ้าล่ะ!!"


--6---
 ตอนที่ 7 : งามล่มเมือง


เล้งซาน ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย

"ท่านี้นับเป็นท่าไม้ตายอย่างแท้จริง ข้ามิอาจใช้เพียงเพื่อโอ้อวดท่านได้ เพราะเงื่อนไขการใช้มัน นับว่าลำบากกว่า เคล็ดมังกรเคลื่อนสมุทร มากนัก ไว้ในยามคับขันที่มีเส้นแบ่งความเป็นตายของข้า ท่านย่อมได้ชมแน่นอน"


"ชิ!! ยิ่งเจ้าพูดเยี่ยงนี้ มันลังแต่จะกระตุ้นความสนใจของเรา เราจะภาวนาทุกวี่วัน หวังให้เจ้าเข้าสู่ภาวะคับขันเป็นตายเท่ากัน!!"

เฟรย่า ใช้น้ำเสียงแดกดันในทันที เล้งซานได้แต่เพียงอมยิ้มไว้เล็กน้อยเมื่อเจอความเอาแต่ใจของ ธิดาเผ่าเทพผู้นี้


ทันใดนั้นพลังปราณสีคราม ก็สุกสว่างขึ้นเล็กน้อยที่จุดตันเถียนของ เล้งซาน และโคจรกระจายทั้งร่าง 1 รอบพลังและพุ่งกลับเข้าไปในจุดตันเถียนอีกครั้ง เปลี่ยนสีกลายเป็นแสงลมปราณสีม่วง ที่เข้มข้นกว่าเดิม เล้งซานได้เข้าสู่ ลมปราณสีม่วงขั้นที่ 4 แล้ว!! เฟรย่าที่สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงได้ถึงกับร้องออกมาในทันที


"จะ..จะ...เจ้า!! เอาพลังลมปราณที่ตกค้างของ ชุนเกียงตู้ มาแปลงสภาพให้กลายเป็นพลังลมปราณในร่าง เพื่อยกระดับขั้น กลายเป็นขั้นที่ 4 ของลมปราณชั้นสีม่วง"


"ใช่ นี่คืออีกขั้นของเคล็ดวิชาเส้นลมปราณมังกร ข้าในตอนนี้มีพลังอ่อนด้อยนัก จึงดูดซับได้เพียงพลังตกค้างเช่นนี้เท่านั้น"


เล้งซานตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่เฟรย่าหากมีร่างกายจะเห็นได้ในทันทีว่าถึงกลับถลึงดวงตาจนกลมโตด้วยความตกใจ


"บ้าชัดๆ!! การที่เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าหากเจ้ามีพลังลมปราณสูงส่งกว่า ณ ตอนนี้ เจ้าจะสามารถดูดซับพลังได้ทั้งหมด มาแปรเปลี่ยนเป็นการเสริมพลังของตนเอง นี่มันเป็นเคล็ดวิชาดูดซับพลังในตำนาน ที่หายซาบสูญ และไม่เคยปรากฏใน 3 โลกมาหลายพันปี"


"เฟรย่า ท่านก็กล่าวเกินไป สิ่งที่ข้าทำได้ก็เพียงดูดซับพลังปราณที่โจมตีใส่ตัวข้ามาเท่านั้น แต่ถ้าไร้ซึ่งการโจมตีจากพลังปราณใดๆข้าล้วนมิอาจบังคับให้ดูดซับโดยตรงได้ วิชาดูดซับในตำนานที่ท่านกล่าวถึงนั้น สามารถดูดซับจากร่างกายได้โดยตรง แม้ศัตรูจะขัดขืนก็มิอาจทำได้ จึงเป็นเพียงตำนานเท่านั้น"


"เหอะ!! แต่สิ่งที่เจ้าทำได้ก็มิต่างจากขั้นแรกของวิชาในตำนาน"


เล้งซานยิ้มที่มุมปาก จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย

"จริงของท่าน หากข้ามีเวลาศึกษามากกว่านี้สัก 10 ปี ข้ามั่นใจกว่า 9 ส่วน ว่าข้าจะสามารถปลุกเคล็ดวิชาในตำนานนี้ขึ้นมาได้ แต่ตอนนี้ยังนับว่าห่างไกล อีกทั้งข้ายังมีหน้าที่ ต้องฟื้นฟูตระกูลเล้ง เอาไว้ปลดภาระหน้าที่ในส่วนนี้แล้วข้าจึงค่อยคิดค้นวิชา"


พูดจบเล้งซานก็ทำหน้าที่รดน้ำต้นไม้ ในสวนต่อ จวบจนตะวันขึ้นตรงศีรษะในช่วงเที่ยงวัน จึงเสร็จสิ้นภาระกิจในวันนี้ 

ตั้งแต่ที่มายัง ณ ดินแดนนี้ เล้งซานยังมิเคยได้พักผ่อน หากมีปราณขั้นสูง แม้อดนอนนับสิบวัน ขาดอาหารนับเดือน ก็ยังมินับว่าลำบากสำหรับผู้มีปราณขั้นสูง แต่ด้วยปราณที่อ่อนด้อย ร่างกายจึงแทบจะถึงขีดสุดของมันแล้ว แม้ช่วงเวลานี้แดดจะแผดเผา แต่ก็ยังมีลมพัดจางๆให้พอเคลิบเคลิ้ม มันจึงทิ้งตัวนอนในสวนใต้ต้นไม้ฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นหน้าที่พักหัวหน้าหมู่บ้าน เพียงชั่ว 10 ลมหายใจเข้าออกมันก็ งีบหลับไป...


"ท่านเป็นผู้ใดกัน!! เหตุใดมางีบหลับ ณ สวนของเรือนเรา"


เสียงหวานเสนาะหูของหญิงสาว ทำให้เล้งซานหลุดจากภวังค์ มันลืมตาตื่นดีดกายขึ้นทันที มองไปที่ต้นตอของเสียงนั้น กลับพบหญิงสาวอายุราว 17-18ปี ผมดำสลวยใบหน้าโค้งได้รูป แววตาเปล่งประกายเฉิดฉายราวกับอัญมณีที่มิอาจประเมิณค่า จมูกโด่งราวหยกที่แกะสลักไว้ ริมฝีปากเปรียบดังบุปผาแรกแย้มดูน่าดึงดูด ผิวขาวละมุลเทียบเท่าหิมะเหมันต์ แม้จิตรกรเอกก็มิอาจวาดภาพความงามของนางออกมาได้หมดจด หากบอกว่ายามนี้มันยังมิได้ตื่นและยังคงอยู่ในห้วงแห่งความฝันมันนั้นพร้อมจะเชื่อทันทีว่ามีนางฟ้าธิดาสวรรค์มาปรากฏกายให้เห็น!! นางจ้องมาที่เล้งซาน เอียงคอเล็กน้อย ด้วยท่าทีสงสัย


'งดงามมาก หญิงสาวผู้นี้ นับว่ามีความงามล่มเมืองโดยแท้'


เล้งซาน แม้วัย 15 ปี แต่ด้วยคือผู้สืบทอดตระกูลอันดับ 1 มันล้วนประสบพบเจอสาวงามมากมาย ให้เลือกสรรค์แต่สาวงามเหล่านั้นยังมิอาจเทียบได้กับหญิงสาวผู้นี้ มันตกอยู่ในภวังค์แห่งความงามโดยทันที


"ท่านยังมิ ตอบแก่เรา?"


คำถามนี้ช่วยดึงจิตใจเล้งซานออกจากภวังค์ มันจึงกลับสู่บุคลิคเดิม ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย มันพอเดาออกทันทีว่าหญิงงามผู้นี้เป็นใคร จึงประสานมือ โค้งตัวเล็กน้อยด้วยท่านอบน้อมประจำตัว


"ข้าเป็นคนสวน คนใหม่ของเรือนนี้ พึ่งเข้ามาเมื่อวาน วันนี้ข้าเริ่มงานวันแรก หากเดามิผิด คุณหนูคงเป็นบุตรีของท่านหัวหน้าหมู่บ้าน"


"มิผิด เราเป็นบุตรสาวเจ้าของเรือนแห่งนี้ ตัวท่านช่างแปลกนัก ทั้งบุคลิก และรูปร่างหน้าตาของท่าน ไม่ว่าจะมองด้านใดก็ไม่เหมือนคนสวน หากบอกว่าท่านมาจากตระกูลใหญ่ ยังมินับว่าเกินเลยแม้แต่น้อย เหตุใดจึงมาเป็นคนสวนของเรือนเรา?"


เล้งซาน แม้ผิวไม่ได้ขาวนวล แต่ก็มิถึงขั้นคล้ำ รูปร่างสูงใหญ่เกินวัยเล็กน้อย ดูองอาจสมชายชาตรี จากการฝึกยุทธตั้งแต่ อายุ 5ปี ใบหน้าคมคายได้รูปปานหินพันปีที่แกะสลักไว้อย่างหมดจด  ผมยาวแต่ถูกมัดเกล้ารวบไว้เหมือนบัณฑิต...

----7---

ตอนที่ 8 : ปล่อยมังกรลงรังสุนัข


"เรียนคุณหนู เมื่อวานตัวข้าและครอบครัวเดินทางผ่านป่าทางใต้ของหมู่บ้าน กลับถูกโจรชั่วดักปล้น ทั้งครอบครัวยังถูกสังหารมากมาย บิดาข้าเสี่ยงชีวิตเปิดทางหนีให้แก่ข้า ตัวผู้น้อยนั้นวิ่งหนีอยู่ร่วมครึ่งค่อนวันจนมาถึงหมู่บ้าน จากนั้น..."


"เหตุใดท่านถึงโกหก เรา!!"

มิทันที่เล้งซานจะพูดจบ นางก็กล่าวสวนขึ้นมาในทันที ทำเอาเล้งซาน ถึงกับขมวดคิ้วเป็นปมอ้าปากแข็งค้างไปชั่วขณะหนึ่ง นางยังกล่าวต่ออีกว่า..


"เราเห็นเหตุการณ์ที่ท่านลุง ชุนเกียงตู้ ทดสอบท่านเมื่อตอนเช้า เห็นได้ชัดว่าด้วยพลังฝีมือของท่านไหนเลยโจรป่า จะทำอันตรายท่านได้ มิต้องพูดถึงบิดาท่าน หากเด็กหนุ่มเช่นท่าน ยังมีพลังฝีมือเยี่ยงนี้ คนในตระกูลล้วนต้องแข็งแกร่งระดับต้นๆของทวีปนี้!!"


เล้งซาน หน้าซีดในทันที

'บัดซบ!! นอกจากความงามล่มเมืองแล้ว ความฉลาดและไหวพริบยังร้ายกาจ ข้าไร้แก้ตัวโดยแท้'


ขณะที่เล้งซาน กำลังตะลึงกับประโยคตอบโต้ของหญิงงาม ทันใดนั้นเองมีเสียงดังมาจากหน้าประตูเรือน

"ท่านเจ้าเรือน กลับมาแล้ว เตรียมต้อนรับ!!"


หญิงสาวหันไปทางหน้าประตูในทันที เล้งซาน จึงใช้จังหวะนี้ปลีกตัวออกมาจากระยะสายตาของหญิงสาวอย่างรวดเร็วจนแทบจะใช้วิชาตัวเบา


'เกือบไปแล้ว หากท่านหัวหน้ามิกลับมาตอนนี้เราคงแย่ ต้องรีบหาข้อแก้ตัวก่อนนางจะไปรายงานบิดาของนางในเรื่องนี้'


เล้งซาน เมื่อเดินหลบมาทางห้องพักของมันก็พบ ชุนเกียงตู้ ยืนรออยู่

"ไปหานายท่าน กับข้า" ชุนเกียงตู้ กล่าวและหันหลังเดินไปที่ส่วนกลางของเรือนทันที เล้งซานจึงเดินตามหลังไปเช่นกัน


เมื่อมาถึงภายในเรือนส่วนกลาง มีห้องโถงใหญ่ หัวหน้าหมู่บ้านนามว่า เซี่ยวหลินหลุน รูปร่างสูงใหญ่องอาจ พลังปราณที่แผ่ออกมากนั้นบอกได้ทันทีว่ามันอยู่ในขั้นปราณสีน้ำเงินขั้นที่ 9 อีกก้าวเดียวคงทะลวงถึงขั้นลมปราณสีเขียว มันนั่งอยู่บนเก้าอี้ สลักลวดลายพญาอินทรีขนาดใหญ่ เป็นเก้าอี้ตัวโปรดที่อยู่กลางห้องโถง ข้อศอกขวาชันที่พนักพักแขนของเก้าอี้มือกุมศีรษะ ท่าทางเคร่งเครียด ถัดจากมันไปด้านขวา มีชายอีกคนรูปร่างสง่างาม หน้าตาหล่อเหลา อายุราว 20 ปี แต่กลับบรรลุถึงขั้นลมปราณสีครามขั้นที่ 8 นับได้ว่าเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่ง คนผู้นี้คือบุตรชายของ เซี่ยวหลินหลุน มีนามว่า เซี่ยวหลินฟง


"คารวะท่านพ่อ และท่านพี่"


'นางมาจริงๆ'

เล้งซาน มองดูบุตรี ของ เซี่ยวหลินหลุน เดินเข้ามาที่หน้าประตู จากนั้นทั้งคู่ได้สบตากันในช่วงครึ่งลมหาย เล้งซานรีบเบือนหน้าหนีทันทีแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้เฉไฉมองทางอื่น


"โอ้! ลูกเยว่ เจ้ามิต้องออกมาต้อนรับพ่อก็ได้ ร่างกายเจ้ามิค่อยแข็งแรง"

บุตรีของ เซี่ยวหลินหลุน มีนามว่า เซี่ยวหลินเยว่ นางมีร่างกายที่อ่อนแอ แต่กำเนิด ไม่สามารถฝึกยุทธได้ จึงไร้พลังลมปราณ สาเหตุหลักที่ เซี่ยวหลินหลุน ซึ่งเป็นบุตรคนที่ 4 ของเจ้าเมือง เมฆคราม มาตั้งหลักปักฐาน ณ หมู่บ้านแห่งนี้ล้วนเป็นเพราะ ความงามล่มเมือง ของนาง 


"ท่านพ่อกล่าวเกินไป แม้ร่างกายข้าอ่อนแอ แต่ข้ามิได้ล้มป่วย ท่านพ่อจากเรือนไปหลายวัน เมื่อกลับมา ลูกย่อมต้องมาต้อนรับท่าน"


"ฮ่า ๆ พ่อกลับมาเจอหน้า ลูกเยว่ ออกมาต้อนรับพ่อก็หายเหนื่อยในทันที"

เซี่ยวหลินหลุน ดีอก ดีใจที่ลูกสาวออกมาต้อนรับ ตัวมันนั้นรักลูกสาวมากจนยอมทิ้งบ้านเกิดเพื่อความสุขของลูกสาว


เมื่อเห็นหัวหน้าอารมณ์ดีขึ้น ชุนเกียงตู้ จึงก้าวเท้าออกมาเดินมาด้านหน้าเล็กน้อย 


"นายท่าน การหาผู้เยาว์เข้าร่วมประลองเป็นอย่างไรบ้าง"


"เฮ้อ..ในหมู่บ้านเรา มีเพียงบุตรชายหัวหน้าทหารเฝ้าประตูทิศใต้ หลี่ซุน เท่านั้นที่พอจะมีสิทธิ์เข้าร่วม ปีนี้มันอายุครบ 18 ปี ตามเกณฑ์สูงสุดของผู้เข้าร่วมได้พอดี มันบรรลุ ขั้นลมปราณสีคราม เมื่อเดือนก่อน แต่พูดตามตรงว่าด้วยลมปราณสีครามขั้น 1 การส่งมันลงประลองมิต่างจากปล่อยไก่ลงในรังสุนัข หลายวันมานี้ข้าออกไปหมู่บ้านใกล้เคียง ก็พบผู้เยาว์อีกคนหนึ่ง อายุ 17 ปี แต่มีลมปราณสีครามขั้นที่ 3 นับว่ามีโอกาสเข้ารอบลึกในการประลองได้ แต่มันเป็นลูกชาย ของหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนั้น มันบอกว่าหากข้ายอมจ่ายให้มัน 5,000 เหรียญทอง มันจึงจะยอมลงประลองในนามหมู่บ้านเรา"


"5,000 เหรียญทอง!! บัดซบ!! นี่มันปล้นเราชัดๆ"


"ข้าก็คิดเช่นนั้น เราคงทำได้แต่ส่งลูกชายของ หลี่ซุน เข้าร่วมประลอง จริงอยู่ที่เมื่อ 3 ปีก่อนเราได้อันดับ 3 ในการประลองด้วยฝีมือของลูกชายข้า เซี่ยวหลินฟง แต่ในปีนั้น ลูกฟงก็อายุได้ 18 ปีพอดี ในปีถัดไปจึงมิอาจเข้าร่วมได้ 2 ปีล่าสุดนี้ นับว่าสร้างความอนาถใจสำหรับพวกเรานักที่มิอาจกระทั้งผ่านรอบแรกของการประลอง"


ชงเกียงตู้ ยิ้มเล็กน้อย พลางประสานมือและกล่าว


"หากว่าการส่งบุตรชายของหลี่ซุน ลงประลองนั้นมิต่างจากปล่อยไก่ลงในรังสุนัข ถ้าเช่นนั้น เหตุใดเรามิปล่อยมังกรลงไปเล่า!!"

--8--
ตอนที่ 9 : ความเป็นมามิแน่ชัด?


"มังกร...มังกรอะไรกัน?"


ชุนเกียงตู้ เหลือบหันมามอง เล้งซาน และพยักหน้าเพื่อเป็นเชิงให้มันเข้า เล้งซาน จึงก้าวมาด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อยืนในระดับเดียวกับ ชุนเกียงตู้ มันประสานมือ โค้งเล็กน้อยให้แก่เซี่ยวหลินหลุน


"คารวะนายท่าน ข้ามีนามว่า เล้งซาน ท่านผู้ดูแลซุนเกียงตู้ พึ่งรับเป็นคนงานในเรือนเมื่อวันก่อน รับหน้าที่ทำสวน ฝั่งตะวันออก และตะวันตก ข้าได้ยินจากท่านผู้ดูแล ว่านายท่าน กำลังหาผู้เยาว์อายุ มิเกิน 18 ปี เข้าร่วมการประลองที่เมือง เมฆคราม ตัวข้านั้นปีนี้อายุครบ 15 ปี จึงหวังเข้ารับการทดสอบเพื่อเข้าร่วม"


เซี่ยวหลินหลุน ลองดูบุคลิคเล้งซานนับว่าน่าสนใจ อกผายไหล่ผึ่งสมส่วนด้วยสรีระร่างกายที่ฝึกยุทธมาเนิ่นนาน แต่พอมันใช้ปราณตรวจสอบพลังแล้วนั้น ถึงกับขมวดคิ้วในทันที สะบัดหน้าพร้อมส่งสายตาที่แฝงโทสะมาทาง ชุนเกียงตู้

"ชุนเกียงตู้!! นี่หรือมังกรของเจ้า ปราณสีม่วงขั้นกลาง อีกทั้งยังถึงขั้นกลางมินาน ด้วยซ้ำ!!"



ชุนเกียงตู้ หันไปมองหน้า เล้งซานทันที


'เจ้าเด็กนี่ ผ่านไปแค่ครึ่งวัน มันยกระดับขั้นเป็นปราณสีม่วงขั้นกลางแล้ว'


ชุนเกียงตู้ แสยะยิ้มด้วยความปลื้มใจ


"เรียนนายท่าน แม้เล้งซาน จะมีลมปราณอันน้อยนิด แต่..."


"แต่ อะไรของเจ้า?"


"มันสามารถเอาชัยจากผู้น้อยได้ ขอรับนายท่าน"


เซี่ยวหลินหลุน เผลอตัวลุกขึ้นยืนทันทีคล้ายลืมตัวด้วยความตกใจ และมองมาที่ ชุนเกียงตู้ สลับกับมองมาทางเล้งซาน

"จะ...จะ...เจ้า กล่าวว่ามันเอาชนะเจ้าได้หรือ!!"


"มิผิด นายท่านข้านั้นยอมรับความพ่ายแพ้แก่มัน"


"เป็นไปไม่ได้...มันอยู่ขั้นที่ 4 ของลมปราณสีม่วง แต่เจ้านั้น อยู่ขั้นที่ 5 ของลมปราณสีคราม ความต่างชั้นเกินกว่า 1 ระดับขั้นลมปราณ ย่อมมิอาจประมือกันได้ ข้าไม่เชื่อ!!"


ชุนเกียงตู้ ยิ้มที่มุมปาก โค้งคำนับเล็กน้อย

"เรียนนายท่าน ข้านั้นหาได้ประมือกับมัน แต่มันยอมรับข้า 3 ฝ่ามือเพื่อทดสอบตนเองโดนมิหลบเลี่ยงแม้แต่น้อย 2 ฝ่ามือแรกข้ามิกล้าลงมือเต็มที่ ด้วยความที่ไม่อยากทำร้ายเด็ก แต่ฝ่ามือที่ 3 ข้านั้นใช้พลังสิบส่วนเต็มของลมปราณสีคราม ถึงอย่างนั้นยังมิอาจทำให้มันบาดเจ็บได้แม้แต่น้อย"


เซี่ยวหลินหลุน ทิ้งตัวนั่งลงที่เดิม ยกมือที่สั่นเทาชี้มาที่ ชุนเกียงตู้ 


"เจ้าพูดจริงรึ!!"


"เรียนนายท่านบ่าวย่อมมิกล้าโป้ปด หากนายท่านยังมิปักใจเชื่อเชิญนายท่านทดสอบมันได้ด้วยตนเอง"


เซี่ยวหลินหลุน หันมามองที่เล้งซาน คิ้วขมวดเล็กน้อย ถึงแม้ชุนเกียงตู้ ติดตามมันมาหลายสิบปี เปรียบดังมือขวาของมันเอง แต่ด้วยคำพูดที่นับว่าเกินจริงเช่นนี้ จึงยากที่จะเชื่อ มันมิได้กล่าวสิ่งใดต่อเล้งซาน แต่หันมาหาชุนเกียงตู้อีกครา

"ชุนเกียงตู้ เจ้าสั่งคนให้ตาม บุตรชายของ หลี่ซุน มาหาข้าที"


ชุนเกียงตู้โค้งคำนับเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปหาทหารยามหน้าประตูเรือน


"ท่านพ่อ ลูกคิดว่าเล้งซานผู้นี้ ความเป็นมายังมิแน่ชัดเกรงว่าอาจเป็นมิใช่เรื่องดี หากให้มันเป็นตัวแทนของเราขึ้นประลอง"

เซี่ยวหลุนเยว่ กล่าวต่อบิดาของนาง ขณะนั้นก็หันมามอง เพื่อดูท่าทีของเล้งซาน แต่ไม่พบสีหน้าที่กังวลใจแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเห็นรอยยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากของมัน เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ นางก็ขมวดคิ้วขึ้นอย่างสงสัย


"ความเป็นมามิแน่ชัด?" เซี่ยวหลินหลุน


"เรียนท่านพ่อ จากที่ข้าทราบข่าวเกี่ยวกับคนผู้นี้ มันแจ้งต่อหลี่ซุนว่า ตนและครอบครัวถูกโจรป่าไล่ล่าจึงวิ่งหนีมาที่หมู่บ้านเรา แต่จากคำกล่าวของท่านลุงชุน ด้วยพลังฝีมือของมัน โจรป่าย่อมมิอาจทำร้ายมันได้แน่นอน"


เซี่ยวหลินหลุนพยักหน้าเห็นด้วยเล็กน้อย มันขมวดคิ้วและมองมาที่ เล้งซาน สายตาบ่งบอกชัดเจนว่ามันต้องการคำอธิบาย เล้งซานจึงประสานมือขึ้นและกล่าวตอบ


"เรียนนายท่าน ขออภัยที่ก่อนหน้านี้สิ่งที่ข้าบอกแก่กล่าวผู้อาวุโสหลี่ซุน มิใช่ความจริงแต่อย่างใด แต่เนื่องด้วยเหตุผลของข้า จึงมิอาจเล่าความเป็นมาแก่คนโดยทั่วได้" สีหน้าของเล้งซานสงบนิ่ง คล้ายไม่ยี่หระกับสิ่งใด


"เหตุผลอันใด หากเจ้ามิได้มีเหตุผลเพียงพอ ไม่เพียงข้าจะมิให้เจ้าทดสองเข้าร่วมประลอง แต่ข้าจะสั่งลงโทษเจ้า และขับเจ้าออกจากหมู่บ้านโดยทันที!!"


ปัง!!


เซี่ยวหลินหลุน กระแทกฝ่ามือใส่พนักพักแขนของเก้าอี้จนเกิดเสียงดัง เป็นเชิงข่มขู่ แต่ถึงกระนั้นหางคิ้วของเล้งซานยังไม่กระดิกแม้แต่กระผีกเดียว คล้ายการข่มขู่เช่นนี้ไม่ได้เกิดผลใดๆต่อจิตใจของมัน ก่อนจะกล่าวต่อ...


"เรียนนายท่าน แท้จริงแล้วข้าเป็นเด็กกำพร้า และได้เป็นศิษย์ของแกนหลักสำนักเทือกเขาไท่จู"


"สำนึกเทือกเขาไท่จู?" เซี่ยวหลินหลุนฉายความฉงนเล็กน้อยจากแววตา


"สำนักเทือกเขาไท่จู อยู่บนยอดเขาไท่จู ตั้งอยู่ ณ สุดเขตทิศใต้ของทวีปเต่าทมิฬ แต่แล้วสำนักเล็กๆของข้ากลับเกิดเรื่องมิคาดฝัน ปรากฏหายนะในรอบหลายร้อยปี สำนักข้าถูกรุกรานโดยสำนักใหญ่จากแดนใต้ เพื่อแย่งชิงเหมืองแร่ในเขาไท่จู แต่เหมืองแห่งนั้นคือสถานที่ต้องห้ามที่สำคัญที่สุดของสำนัก เป็นสุสานของ ผู้ก่อตั้งสำนัก และเจ้าสำนักอีก 7 รุ่น 

สำนักข้าเข้าสู้รบโดยมิยอมจำนน แต่แล้ว...ด้วยกำลังที่ต่างราวผืนปฐพีกับผืนฟ้า พวกข้าถูกสังหารหมดสิ้นทั้งสำนัก!! เหลือรอดเพียงข้าผู้เดียวแต่ก็บาดเจ็บสาหัสถึงขั้นสูญสิ้นพลังลมปราณทั้งหมดที่เคยบ่มเพาะ และเริ่มบ่มเพาะใหม่ตั้งแต่ชั้นลมปราณสีม่วงขั้นต้น ข้าได้หลบหนีและแฝงตัวตลอดการเดินทางจากสุดเขตทิศใต้ของทวีป ใช้เวลา 6 เดือนถึงได้มาอยู่ในทิศเหนือของทวีปเต่าทมิฬแห่งนี้ เพียงเพื่อหลบหนีการตามล่าของสำนักใหญ่นั่น" 

ขณะเล่าสาธยายเรื่องโป้ปดนานาประการของมัน เล้งซานตีสีหน้าสลดเศร้าสร้อยกึ่งเล่ากึ่งร่ำ ดวงตาฉายเปล่งทุกข์ระทมขมขื่น แสดงประกอบทุกวาจาที่พ่นออกมา


'เหอะ!! การพลิกลิ้นและการแสดงอากัปกิริยาของเจ้า นับเป็นอัจฉริยะ มิต่างจากพลังฝีมือจริงๆ' เฟรย่าแอบสบถออกมา

--9--

ตอนที่ 10 : หลี่เย่กวน


"เจ้ารู้ได้อย่างไร ว่ามีเทือกเขาไท่จู อยู่ในทิศใต้ของทวีป? ในเมื่อเราพึ่งมาถึง ณ ดินแดนนี้เพียง หนึ่งวัน" น้ำเสียงแฝงความสงสัยเป็นล้นพ้นของเฟรย่าดังขึ้นในจิตใจ


เล้งซานที่ยังมีสีหน้าสลด มิได้เปลี่ยนสีหน้าของมันตามคำถามของเฟรย่า แต่ได้ตอบกลับภายในจิตใจเช่นกันว่า...

"ข้าจะไปรู้จักเขาไท่จูได้อย่างไรเล่า ข้าก็พูดส่งๆ ตั้งชื่อลอยๆ ไปอย่างนั้นแหละ ยังไงซะทิศใต้ของทวีปมีเขานับหมื่น นับแสนลูก พวกมันมิอาจจดจำได้หมดแน่นอน และระยะทางจากที่นี่ไปยังแดนใต้ นับว่าห่างไกลกันมาก เดินทางมิต่ำกว่าครึ่งปี ใครจะบ้าถ่อไปยังที่แบบนั้น เพื่อตรวจสอบเรื่องของผู้เยาว์คนเดียว"


"เจ้า นี่มัน!!"


"ข้าทำไมรึ?"


"เจ้าคนปลิ้นปล้อน!!"


"ฮ่าๆ เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้รับคำเชยชมจากธิดาแห่งราชาเผ่าเทพ"



เซี่ยวหลินหลุน หรี่ตามองมายังเล้งซาน พลางครุ่นคิด เซี่ยวหลินเยว่ ยังคงมีเศษเสี้ยวความสงสัยอยู่ในคำตอบที่เล้งซานบอกออกมา และเมื่อนางเห็นบิดาแน่นิ่งไปจึงแย้งขึ้น


"ท่านมีหลักฐานอันใดเพื่อแสดงตัวว่าเป็นคนของสำนักเทือกเขาไท่จู หรือไม่?" เซี่ยวหลินเยว่ยังคงมิปักใจเชื่อ


"เรียนคุณหนู ตัวข้านั้นหาได้มีสิ่งของใดยืนยันคำกล่าว มีเพียงวรยุทธที่เรียนมาแสดงให้ดู หากวรยุทธที่ข้าใช้คล้ายคลึงสำนักใดที่ท่านรู้จักในดินแดนตอนเหนือแห่งนี้ ข้ายินดีรับการลงโทษในทันที แต่หากคุณหนูยังมิเชื่ออีก ข้านั้นก็จนใจ และยอมรับการลงโทษเรื่องที่เคยโป้ปดผู้อาวุโสหลี่ซุน และยอมจากหมู่บ้ายไปแต่โดยดี"


เล้งซาน ประสานมือ โค้งตัวเล็กน้อย ด้วยท่าทีอ่อนน้อม ด้วยคำกล่าวเมื่อครู่มันแสดงจุดยืนให้เห็นชัดเจนว่า มันสำนึกผิดและยอมรับความผิดแค่ที่มันโกหกหลี่ชุนเท่านั้น!! นอกเหนือจากนั้นมันมิได้ผิดอันใด ส่วนเรื่องที่มันกล้ากล่าวท้าทายด้วยเพลงยุทธนั้นเพราะ วรยุทธประจำตระกูลเล้งของมัน ย่อมไม่มีผู้ใดในทิศเหนือนี้ลอกเลียนแบบได้แน่นอน และมิใช่เฉพาะทิศเหนือทวีปเต่าทมิฬ ต่อให้หาทั่วทั้ง 4 ทวีป มันก็มั่นใจว่าไม่มีทางเจอ


"ถ้างั้นข้าขอถามเจ้าอีกซัก ข้อ..."


"พอเถอะลูกเยว่"


มิทันที่เซี่ยวหลินเยว่ จะกล่าวจบก็ถูก เซี่ยวหลินหลุนห้ามปรามไว้


"พ่อไม่เห็นว่ามันจะมีความจำเป็นใดโป้ปดเรา หรือลูกเยว่คิดว่ามันเป็นคนจากสำนึกอื่นในเมือง เมฆคราม แฝงตัวเข้าหมู่บ้านมาเป็นตัวแทนประลองอย่างนั้นหรือ?? พ่อกลับเห็นว่าการจะมาทำลายชื่อเสียงเราก็ไม่จำเป็นต้องลำบากเยี่ยงนั้น เพราะอย่างไรซะเรานั้นไร้ซึ่งอัจริยะที่เข้าร่วมอยู่แล้ว ไม่ว่ามันจะมีที่มาเยี่ยงใด หากมีฝีมือจริงก็ล้วนแล้วแต่เกิดผลดีกับเราทั้งสิ้น หากแพ้ก็แค่เสมอตัวยังไงซะที่ผ่านมาหมู่บ้านเราล้วนแต่ตกรอบแรก"


เซี่ยวหลินเยว่ จนในคำพูดแม้นางมิเชื่อเล้งซานนัก แต่ก็เป็นจริงดั่งที่บิดานางพูด เล้งซานเมื่อเห็น หญิงสาวยอมเชื่อบิดา ก็ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย


"ขอบคุณนายท่านที่ยังให้การสนับสนุนข้า ข้าจะมิทำให้ท่านผิดหวัง"


"อย่าใจร้อนนักสิเจ้าหนุ่ม แม้ข้าจะกล่าวไปเยี่ยงนั้น แต่ข้ายังมิได้ตัดสินใจว่าจะให้เจ้าลงประลองหรือไม่ จริงอยู่ว่าการพ่ายแพ้ในงานประลองสำหรับข้าถือว่ามิใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าเจ้ามิได้มีฝีมืออย่างที่ชุนเกียงตู้พูดมา การส่งเจ้าที่มีลมปราณอ่อนหัดเช่นนี้เข้าประลอง ข้ามิกลายเป็นตัวตลกในงานหรอกหรือ?"


"ถ้าเช่นนั้นท่านจะให้ข้าทดสอบเช่นใด?"


เซี่ยวหลินหลุนแสยะยิ้มเล็กน้อย แต่มิได้กล่าวสิ่งใด มันเพียงแค่มองสำรวจมาที่ เล้งซาน

'เด็กหนุ่มผู้นี้ บุคลิกองอาจสมชาย หน้าตาหล่อเหล่าหมดจด ดูเยี่ยงไรก็มิใช่คนที่จะหนีตายมาร่วมครึ่งปี หากบอกว่ามันพึ่งออกจากตระกูลใหญ่ มาเยี่ยมชมหมู่บ้านข้า ยังเชื่อง่ายกว่าการที่มันมาขอเป็นคนสวนเสียอีก'


ทันใดนั้นเอง ชุนเกียงตู้ก็เดินเข้ามาที่ห้องโถง พร้อมผู้เยาว์ผู้หนึ่ง ตัวสูงใหญ่ผิวคล้ำดำแดง หน้าตาดุดัน มันมองมาที่เล้งซานเล็กน้อย และยิ้มที่มุมปาก 


"เรียนนายท่าน ผู้นี้คือ หลี่เย่กวน บุตรชายของหัวหน้าทหารเฝ้าประตูทิศใต้"


"หลี่เย่กวน คารวะท่านหัวหน้าหมู่บ้าน" 


เซี่ยวหลินหลุน พยักหน้าเล็กน้อย 


"พวกเจ้าทุกคน ออกมากับข้าที่สวนตะวันออก" 


กล่าวเสร็จ เซี่ยวหลินหลุน ก็ลุกจากเก้าอี้ เดินนำไปที่สวนทิศตะวันออกทันที คนในห้องโถงทุกคนล้วนเดิมตามไป

ที่สวนตะวันออก ณ บริเวณที่เล้งซานรับ 3 ฝ่ามือจากชุนเกียงตู้เมื่อเช้า เป็นที่โล่งกว้างพอสมควร ทุกคนมารวมกัน ณ ที่แห่งนี้ 


"เอาล่ะ ข้าจะทำการทดสอบพวกเจ้าว่ามีคุณสมบัติพอจะเข้าร่วมการประลองในเมือง เมฆคราม หรือไม่ เล้งซาน หลี่เย่กวน พวกเจ้าทั้งคู่ก้าวออกมา!!"


เล้งซาน และ หลี่เย่กวน สบตากันเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวออกมาพร้อมกัน เซี่ยวหลินหลุน ชายตามองทั้งคู่เล็กน้อย และแสยะยิ้ม 


"พวกเจ้าจงประมือกับ ข้าให้เวลา 1 ก้านธูป หลี่เย่กวน ขอให้เจ้าลงมือเต็มที่ห้ามออมมือเด็ดขาด!!"


หลี่เย่กวน ขมวดคิ้วทันที ประสานมือและกล่าวตอบ

"ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน จะดีหรือที่ให้ข้าลงมือเต็มที่ น้องชายผู้นี้อยู่เพียงขั้นกลางของลมปราณสีม่วงเท่านั้น ข้าเกรงว่า..."


"ขอพี่หลี่อย่าได้ออมมือ โดยเห็นว่าผู้น้อง ลมปราณอ่อนด้อยกว่า ตัวข้านั้นเป็นหนี้บุญคุณผู้อาวุโสหลี่ซุนอยู่ ข้ามิทำร้ายท่านบาดเจ็บแน่นอน"


เล้งซานประสานมือ โค้งตัวเล็กน้อย ดูท่าทางอ่อนน้อมแต่การที่มันพูดขัดขณะที่หลี่เย่กวนยังมิทันกล่าวจบ อีกทั้งคำพูดที่มันใช้ ก็เปรียบดังสายฟ้าฟาดใส่คู่แข่ง ราวกับมันจะออมมือให้ หลี่เย่กวน ทั้งที่ขั้นลมปราณอ่อนกว่า ถึง 6ขั้น!! หลี่เย่กวนหน้าแดงกร่ำในทันที เพราะคำกล่าวเช่นนี้ดูถูกมันอย่างเห็นได้ชัด


เซี่ยวหลินหลุนหันมามองเล้งซาน จากนั้นก็แสยะยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง และแววตาของเซี่ยวหลินหลุนก็ได้ฉายออกมาทางเล้งซานอย่างแปลกๆ จนทำให้เล้งซาน เกิดจิตใจสั่นสะท้านเล็กน้อยอย่างไม่อาจอธิบาย แต่มันก็ยังคงเก็บอาการทั้งหมดมิได้แสดงออก จากนั้นเซี่ยวหลินหลุน ก็กล่าวต่อ...


"อย่าต้องให้ข้าพูดซ้ำ หลี่เย่กวน ห้ามออมมือเด็ดขาด ส่วนเล้งซาน ในช่วงเวลาประลอง 1 ก้านธูป...เจ้าห้ามตอบโต้ใดๆทั้งสิ้น!!"

--10--

ตอนที่ 11 : วิญญาณมังกร


ทุกคนในสวนม่านตาเบิกกว้าง ทุกคนล้วนตกตะลึง กับเงื่อนไขที่เซี่ยวหลินหลุนตั้งไว้ เงื่อนไขเช่นนี้ มิอาจนับว่าเป็นการประลองเลยแม้แต่น้อย หากเป็นสถานการณ์โดยทั่วไป ความต่างถึง 6 ขั้นลมปราณ ต่อให้เอาเงื่อนไขของ หลี่เย่กวน และ เล้งซาน มาสลับกับ ผู้มีลมปราณสูงกว่า ก็ยังนับเป็นเรื่องยาก หากมิตอบโต้อันใดเลย แต่เงื่อนไขนี้กลับเป็นผู้มีลมปราณอ่อนด้อยกว่า ที่ถูกห้ามมิให้ตอบโต้!!


"นายท่าน เงื่อนไขเช่นนี้ข้าว่ามันออกจะ..." ชุนเกียงตู้ กำลังจะเอ่ย แต่ถูกเซี่ยวหลินหลุนยกมือขึ้นเพื่อห้ามปราม


"ก็เจ้าบอกเองนี่ ว่ามันสามารถรับฝ่ามือเต็มสิบส่วนของเจ้าได้ หลี่เย่กวน ลมปราณก็อ่อนด้อยกว่าเจ้าถึง 4 ขั้น เหตุใดมันจะรับมือไม่ได้กัน ข้าแค่อยากจะรู้ว่าปราณคุ้มกันมันจะแข็งแกร่งอย่างที่เจ้าพูดหรือป่าว หากข้าเห็นว่ามีอันตราย เจ้าคิดว่าด้วยฝีมือข้า จะหยุดเด็กตีกันมิได้เชียวหรือ?"


ชุนเกียงตู้ได้แต่พยักหน้า เหลือบมองมาทางเล้งซานเล็กน้อยอย่างจนปัญญาช่วยเหลือ มิกล้ากล่าวสิ่งใดต่อ

เล้งซานขมวดคิ้วแน่นลงต่ำ ทันที


'ตาแก่นี่เจ้าเล่ห์นัก มันต้องการให้ข้าเผยไพ่ทั้งหมดในการประลองนี้ ในระยะเวลาหนึ่งก้านธูป ด้วยลมปราณของข้าในตอนนี้ ย่อมมิอาจใช้ มังกรบรรพต ได้เต็มช่วงเวลา งั้นข้าจะทำให้เจ้าประจักษ์เอง ว่ายิ่งถูกลองดี ข้านั้นยิ่งมีดีจะอวด!!'


"เริ่ม ประลองได้!!" เซี่ยวหลินหลุน ยกมือให้สัญญาน


"น้องเล้ง ข้าต้องขอล่วงเกินแล้ว"


"เชิญ ท่านพี่หลี่"


หลี่เย่กวน กระจายออร่าสีครามออกมาโดยรอบ รังสีของพลังที่เปล่งออกมาแม้ดูน้อยนิดในสายตาผู้ใช้ลมปราณชั้นสูง แต่เมื่อเทียบกับของเล้งซานแล้วยังนับได้ว่ามากมายกว่ากันอยู่หลายเท่า!! หลี่เย่กวนเหลือบตามองมาที่เล้งซานเล็กน้อย กลับพบว่าเล้งซานไม่มีท่าทีตั้งรับเสียด้วยซ้ำ!! มันยังยืนด้วยท่าทีกิริยาไม่ยี่หระต่อสิ่งใดโดยรอบ หลี่เย่กวนจากที่เหลือบมองมันเปลี่ยนสายตาเป็นจ้องเขม็งทันที ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ด้วยพลังทั้งหมดที่มี เล้งซานเห็นเช่นนั้น กลับเอามือไขว้หลังทั้งสองข้างฉีกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและเริ่มโคจรพลังในร่าง เปิดใช้วิชาตัวเบาชั้นสูง!!


'5 กระบวนตระกูลเล้ง กระบวนที่ 2 วิญญาณมังกร!!'


หลี่เย่ชวน ง้างหมัดเต็มพลังสิบส่วน ต่อยเข้าใส่ยอดอกของเล้งซานอย่างแม่นยำหมายจบการต่อสู้ในการปะทะครั้งแรกนี้เพื่อแสดงความต่างชั้นให้เห็น


ฟืบบบบบ!!

เสียงที่ออกมากลับมิใช่เสียงที่ปะทะกับร่างกาย มันคือเสียงหมัดที่ต่อยใส่อากาศธาตุ!! ร่างของเล้งซานเลือนราง หายไปต่อหน้าต่อตา สร้างความตกตะลึงแก่ทุกคนอย่างเห็นได้ชัด เซี่ยวหลินหลุน และ ชุนเกียวตู้ เบิกตากว้าง แต่ผู้ที่ตะลึงยากจะเชื่อที่สุดแน่นอนว่ามันคือ หลี่เย่กวน!! 

มันชักหมัดกลับทันทีและหันมอง ซ้ายขวาอย่างรวดเร็วแต่สิ่งที่เห็นคือ เล้งซาน ยังยืนอยู่ ในท่าเดิม และที่เดิม!! มือไขว้หลัง  มองมันโดยที่มุมปากยังคงแสยะยิ้ม หลี่เย่กวน สะบัดเท้าขวาซัดเพลงเตะ ต่อเนื่องทันที แต่ก็เหมือนเหตุการณ์เดิมหลอกหลอน ร่างของเล้งซานเลือนรางหายไปอีกครั้ง และพอชักเท้ากลับ มันกลับโผล่มาในจุดเดิม ราวกลับมิได้ขยับตัวแม้แต่ครึ่งก้าว หลี่เย่กวนเบิกตากว้าง ถอยรูดมาด้วยหลังเพื่อตั้งหลักไหม่ ในทันทีแม้แต่เซี่ยวหลินหลุน ที่มีปราณสีน้ำเงินขั้นสูงสุด ยังมิอาจอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้ชัดเจน มันเบิกตากว้างตกตะลึง และยกมือขึ้นขยี้ตาตนเองเบาๆ


'วิชาตัวเบาชั้นสูง!! เหตุใดเจ้าเด็กนี่ถึงมีวิชาตัวเบาชั้นสูงราวกับปาฏิหาริย์เช่นนี้ มันใช้ท่าทางอันรวดเร็วหลบการโจมตีของ หลี่เย่กวน จากนั้นก็กลับมายืน ณ จุดเดิมในชั่วพริบตาเดียว'


หลี่เย่กวน แม้ยังตะลึงมิหาย แต่นี่เป็นการทดสอบ เพื่อเข้าประลองที่เมือง เมฆคราม อย่างไรซะนี่เป็นโอกาสสร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวมัน มันพลาดโอกาสเช่นนี้มิได้เช่นกัน หลี่เย่กวนกัดขบฟันแน่นและพุ่งตัวเข้าไปอีกครั้ง เพลงหมัด เพลงเตะถูกซัดใส่ เล้งซาน หลายสิบกระบวนท่า แต่ทุกกระบวนทะลุผ่านร่างของเล้งซานราวกับว่าเล้งซานเป็นเพียงวิญญาณ ที่หลอกหลอนมัน สำหรับหลี่เย่กวน ทุกครั้งที่มันออกกระบวนท่า ใบหน้าของมันก็ซีดลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นซีดเผือดขาวราวกับไร้โลหิตหมุนเวียนบนใบหน้า มันได้ถอยรูดออกมาอีกครั้ง ค่อยๆยกมือที่สั่นเทา ชี้ไปที่เล้งซาน


"จะ..จะ..เจ้า มิใช่มนุษย์!!" ร่างหลี่เย่กวน สั่นเทาตาทั้งสองเลิ่กขึ้นสูงอย่างชัดเจน

ทุกคน ที่เห็นภาพตรงหน้า ต่างตกตะลึง ม่านตาเบิกกว้าง ยื่นอ้าปากค้างอย่างหลงลืมตัว หลี่เย่กวน ที่มีลมปราณสีครามขั้นที่ 1 ซึ่งมากกว่าเล้งซานถึง 6 ขั้นลมปราณ มิอาจแตะต้องแม้เส้นผมของเล้งซาน ได้!!!


เล้งซาน ประสานมือ ก้มโค้งเล็กน้อย ยิ้มที่มุมปาก

"ท่านพี่หลี่ หากประลองกันเช่นนี้ กว่าจะจบ 1 ก้านธูปข้าว่ามันออกจะเสียเวลาผู้อื่นที่รับชมจนเกินไป เหตุใดเรามิตัดสินกันใน 1 กระบวนเลยเล่า ข้าเล้งซาน จะมิหลบเลี่ยงกระบวนท่าท่านแม้แต่น้อย หากข้าขยับแม้แต่ครึ่งก้าว ถือว่าข้าแพ้ แต่ถ้าหาก...ข้าโชคดี? สามารถรับกระบวนท่านได้ ข้าใคร่ขอให้ท่านยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยความสมัครใจ"


หลี่เย่กวน รู้ตัวดีว่าด้วยวรยุทธของมันในตอนนี้ มิอาจตามท่าทางของเล้งซานได้ทัน แม้ในใจยอมรับความพ่ายแพ้ในการประลองไปกว่า 9 ส่วนแล้ว แต่มันยังคงมั่นใจว่าหากปะทะกันซึ่งหน้า มันย่อมต้องมิต้องอับอายเช่นนี้ ด้วยพลังลมปราณที่เหนือกว่าร่วม 6 ขั้น นี่นับเป็นโอกาสหนึ่งเดียวของมัน มีหรือที่มันจะปฏิเสธ


"ตกลง เตรียมรับกระบวนท่า!!"


"เพลงเตะ ป่นศิลา!! ย๊าาาา"


หลี่เย่กวน กระโดดสูงเหนือศีรษะของเล้งซาน ยกเท้าสูง และสะบัดส้นเท้าลงมาจากมุมสูงด้วยพลังเต็ม สิบส่วน นี่คือโอกาสเดียวและโอกาสสุดท้ายของมัน มันย่อมไม่ออมแรงไว้แม้แต่น้อย หลังรับกระบวนท่านี้หากเล้งซานบาดเจ็บขึ้นมา มันก็ตั้งใจจะขอโทษขอโพยในภายหลัง


แต่มันจะเป็นเยี่ยงนั้นได้อย่างไร...


เล้งซานเอี้ยวตัวเล็กน้อย ยกมือขวาขึ้นเตรียมรับเพลงเตะ กดมือซ้ายลงที่ผืนปฐพี แขนทั้งสองข้างกางเป็นเส้นตรงตั้งมุมฉาก กับผืนปฐพี..



'มังกรเคลื่อนสมุทร!!'


ตูม!


เสียงสนั่นไปทั่วบริเวณ ฝุ่นฟุ้งกระจายทั่งบริเวณ หลังจากฝุ่นจางลง ทุกคนมองมีที่ทั้งคู่ เล้งซานอยู่ในท่าเดิม โดยมือขวายกค้างอยู่ที่เท้าของ หลี่เย่กวน ส่วนผืนดินด้านล่างที่มือซ้ายเล้งซานสัมผัส เกิดรอบแตกแยกอย่างเห็นได้ชัด นิ้วทั้ง 5 ของมือซ้ายจมเข้าไปจนมิอาจมองเห็น 

เมื่อเช้าเล้งซานเคยฝืนใช้กระบวนท่ามังกรเคลื่อนสมุทรรับพลังลมปราณสิบส่วนของชุนเกียงตู้ที่สูงเกินกว่า 1 ชั้นลมปราณ ทำให้เส้นลมปราณของมันบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ครานี้นั้นต่างออกไป เนื่องเพราะความต่างเพียง 6 ขั้นพลัง เส้นลมปราณพิศดารของมันย่อมรองรับพลังระดับนี้ได้อย่างง่ายดาย ไร้อาการบาดเจ็บใดๆดั่งคราแรก เล้งซานกระโดดถอยออกมาหนึ่งก้าวอย่างสง่างาม พลางประสานมือ โค้งเล็กน้อย มีรอยยิ้มมุมปากเช่นเดิม


"ขอบคุณ ท่านพี่หลี่ที่ออมมือ"
---11---

 ตอนที่ 12 : ความลับของการปรุงยา


"นะ..นะ..นั่นมัน วิชาอะไรกัน!! ถ่ายโอนลมปราณที่โจมตี ลงสู่ปฐพี มะ..มะ..ไม่อยากจะเชื่อว่ามีวิชาเช่นนี้อยู่ในโลก อัศจรรย์โดยแท้!!"

"อีกทั้งท่าทางวิชาตัวเบาที่ราวปาฏิหาริย์นั่นอีก ชุนเกียงตู้ การที่เจ้าเรียกมันว่ามังกรนั้น มิผิดแม้แต่น้อย!!"

เซี่ยวหลินหลุน ม่านตาเบิกกว้าง กายสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น ขณะที่กล่าวยังมิอาจเก็บอาการไว้ได้ทั้งหมด แม้แต่ ชุนเกียงตู้ ที่เคยสัมผัสโดนตรงกับเคล็ดวิชานี้มาแล้ว แต่การที่ได้มาเห็นประจักษ์สายตาในฐานะผู้ชมอีกครั้งนั้น มันยังอดตื่นเต้นมิได้

หลี่เย่กวน แข็งค้างอยู่ครู่หนึ่ง หากเป็นการต่อสู้อย่างสูสีและพลาดพลั้งพ่ายแพ้มันอาจเจ็บใจจนเก็บอาการไม่อยู่ แต่ครั้งนี้กลับเป็นการพ่ายแพ้อย่างขาดลอย!! ไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่าหรือพลังฝีมือมันประจักษ์เป็นที่เรียบร้อยว่าไม่สามารถเปรียบเทียบสิ่งใดกับเล้งซานได้เลย โดยรู้แจ้งอยู่แก่ใจเลยว่าเล้งซานยังมิได้ใช้ฝีมือทั้งหมดของมันเสียด้วยซ้ำ!! หลี่เย่กวนขอยอมแพ้แต่โดยดีพลางประสานมือให้แก่เล้งซาน เป็นเชิงขอบคุณที่เล้งซานยั้งมือให้แก่มันดังที่เคยกล่าวไว้

เซี่ยวหลินฟง พยักหน้าเล็กน้อย 

"ท่านพ่อ ยินดีด้วย ปีนี้เรามีหวังแล้ว"


"ฮ่าๆๆ วิเศษ...วิเศษ จริงๆ ข้าขอประกาศ!! เล้งซาน เจ้าจงเป็นตัวแทนหมู่บ้าน เมฆาล่อง เข้าร่วมประลองที่เมือง เมฆคราม ที่จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ช่วงเวลาต่อจากนี้ เจ้ามิจำเป็นต้องทำงานในเรือน จงหมั่นลับฝีมือ เพื่อขึ้นประลอง มีผู้ใดคัดค้านหรือไม่?"


ทุกคนพยักหน้าเห็นพ้อง มีเพียง เซี่ยวหลินเยว่ ที่หันหลังและเดินเข้าเรือนตนเองโดยมิกล่าวสิ่งใด เซี่ยวหลินหลุน ชำเลืองมองเล็กน้อยแต่มิพูดอะไรออกมา เพียงทอดถอนหายใจเล็กน้อยเท่านั้น


"เมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้าน เป็นอันตกลงตามนี้ เล้งซาน เจ้าไปพักได้ ขาดเหลือสิ่งใด ขอให้จงบอกแก่ข้าโดยตรง"


เล้งซานประสานมือ ก้มโค้งตัวลง

"ขอบคุณนายท่านที่เมตตา ผู้เยาว์จะทำสุดความสามารถให้สมกับที่นายท่านตั้งความหวัง ข้ามิขาดเหลือสิ่งใดขอเพียงมีข้าวทุกมื้อ และที่ซุกหัวนอน ก็นับเป็นบุญคุณมากล้นแล้ว"


"ยอดเยี่ยม!! นับว่าเจ้ามีความถ่อมตน น่าส่งเสริม"


"ถ้าเช่นนั้นผู้เยาว์ขอตัวไปพักก่อน"


เล้งซาน หลบมาพักใต้ต้นไม้สวนตะวันตก โคจรดูดซับพลังตกค้างของ หลี่เย่กวน แต่ยังไม่เพียงพอให้มันขึ้นสู่ขั้นที่ 5 เพราะช่องว่างของพลังจะมากขึ้นเรื่อยๆตามระดับชั้นและระดับขั้นลมปราณ


"เฟรย่า ท่านมีวิธีการได้ เพิ่มลมปราณอย่างก้าวกระโดดหรือไม่?"


"เหอะ!! ข้าคือธิดาแห่งราชาเผ่าเทพ ในอดีตพลังปราณของเราสูงกว่าเจ้าเสียอีก เราล้วนมีวิธีเพิ่มลมปราณอย่างก้าวกระโดด นับสิบวิธี"


"จริงหรือ!!"


"เรา มิเคยโป้ปด"


"ไหนท่านลองแจ้งแก่ผู้น้อย ซักหนึ่งวิธีเป็นอย่างไรเล่า?" เล้งซานกล่าวอย่างตื่นเต้น มือสองข้างถูสีกันไปมาราวกับเด็กอยากได้ของเล่น


"ง่ายมาก!! สำหรับเจ้านั้น ด้วยทรัพยาการของโลกมนุษย์ วิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้คือ ใช้โอสถ และเม็ดยาเพิ่มลมปราณ"


เล้งซานขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมส่ายหน้าและถอนหายใจหนักหน่วง


"เฮ้ออออ.. วิธีเช่นนั้นข้าย่อมรู้อยู่แล้ว แต่ด้วยเงินที่พอเพียงยาไส้ อีกทั้งที่นี่ยังเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆไหนเลยจะหาโอสถชั้นดีได้ หากอยู่ที่ตระกูลเล้งในอดีตด้วยทรัพยากรมากมาย ข้าย่อมไปถึงขั้นลมปราณสีน้ำเงิน ใน 1 ปี"


"เจ้าเด็กโง่!! คิดว่าโอสถ ทั้งหลายมาจากที่ใด?"


"ล้วนถูกปรุงโดยนักปรุงยา"


"และเหตุใดนักปรุงยาเหล่านั้น จึงปรุงยาได้?"


"เพราะมีสูตรยาที่สืบทอดมาแต่โบราณ ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น"


"ผิด!! จริงอยู่ที่สูตรยามีการสืบทอดมา แต่สูตรยาในโลกมนุษย์กว่า 8 ส่วนมาจากพวกเราเผ่าเทพ ที่เมตตาและแสดงสูตรยาให้แก่มนุษย์"


"ทะ..ท่านจะบอกว่า ตัวท่านสามารถปรุงยาได้!!"


"เหอะ!! เราธิดาแห่งราชาเผ่าเทพ มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนวิชาแพทย์ และวิชาปรุงยาในเผ่าเทพ เรารู้วิธีรักษาโรคภัยและอาการบาดเจ็บ กว่าเจ็ดพันวิธี สูตรปรุงยากว่าสองหมื่นสูตร แม้หมอเทวดา ในโลกมนุษย์ที่พวกเจ้ายกย่องสรรเสริญ ก็มีความรู้ทางการแพทย์และปรุงยา ไม่ถึง 3 ในสิบส่วนของเรา!!"


เล้งซาน เบิกตากว้าง มันมิเคยรู้เรื่องเกี่ยวกับการปรุงยา เพราะที่ตระกูลจะจัดหาให้มันมาตลอดมิเคยขาด การที่มาอยู่ ณ ดินแดนเช่นนี้ด้วยตัวคนเดียว วิชาแพทย์และวิชาปรุงยามีความสำคัญเป็นรองเพียงแค่พลังฝีมือเท่านั้น


"เฟรย่า ท่านผู้เป็นถึงหัวหน้าผู้ฝึกสอน มิคิดจะสอนผู้น้อยบ้างหรือ?"


"ชิ!! เจ้าเด็กแก่แดด หากอยากเรียนอย่างน้อยเจ้าต้องมีปราณอัคคีเสียก่อน จึงจะปรุงยาเองได้ เรานั้นไร้ร่างกาย ทำได้เพียงสอนวิธีเท่านั้น"


"ช่างน่าเสียดาย ตระกูลเล้งของข้า ไม่ได้มีเคล็ดวิชาปราณอัคคี ข้าคงต้องรอจนกว่าจะเจอสำนักไหนซักแห่งที่มีเคล็ดวิชาสายอัคคีนี้" เล้งซานเศร้าใจเล็กน้อยและรู้สึกเสียดายโอกาส ในการเป็นนักปรุงยา


"มีวิธีที่ง่ายกว่านั้นอยู่ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าเป็นร่างสถิตย์มังกรฟ้า"


"เกี่ยวอันใดกับร่างสถิตย์มังกรฟ้า?"


"หากเจ้าทะลวงถึงขั้นลมปราณสีคราม เจ้าจะได้รับพร ลมหายใจแห่งมังกร"


"ลมหายใจแห่งมังกร?" เล้งซานขมวดคิ้วเล็กน้อย


"หายใจเข้าคือวายุ หายใจออกคือเปลวเพลิง นั่นคือมังกร พรลมหายใจแห่งมังกรคือการที่เจ้าเปลี่ยนลมปราณในร่างให้กลายเป็นอัคคีได้ดังใจ ควบคุมและเคลื่อนไหวอัคคีได้รวดเร็วดั่งวายุ ปลดปล่อยพลังได้ง่ายดายเทียบเท่าการหายใจ ซึ่งนั้นก็คือปราณธาตุอัคคี และยังเป็นอัคคีแห่งมังกร ส่วนแตกต่างจากอัคคีทั่วไปอย่างไรนั้น แม้ปู่เจ้าก็มิอาจบอกได้..."


---12---
ตอนที่ 13 : เทพพิโรธถล่มฟ้า


"ปราณอัคคีแห่งมังกร!!" เล้งซานม่านตาเบิกกว้าง ด้วยความตื่นเต้น


"ใช่ การจะได้พลังนั้นมา เจ้าจำเป็นต้องทะลวงชั้นลมปราณสีครามเสียก่อน"


"เข้าใจแล้ว เช่นนั้นปัญหาของข้าในตอนนี้การทะลวงชั้นลมปราณสีครามให้เร็วที่สุด บอกตามตรงข้านั้นไม่มีความมั่นใจในการเข้าประลอง ที่เมือง เมฆคราม แม้แต่น้อย" เล้งซานเริ่มตีสีหน้าสลดอีกครั้ง


"เพราะเหตุใดกัน? ฝีมือของเจ้าในตอนนี้ เรากลับไม่คิดว่าการประลองกับผู้เยาว์คนอื่นจะเป็นปัญหาสำหรับเจ้าแม้แต่น้อย การจะทำร้ายเส้นผมเจ้าซักเส้นยังนับว่ายากสำหรับผู้เยาว์ด้วยกัน" เฟรย่านั่นไม่สงสัยในฝีมือของเล้งซานเลยแม้แต่น้อยเพราะนางยอมรับว่าเล้งซานเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง


เล้งซาน ส่ายหน้าเล็กน้อย 

"บอกตามตรงว่า หากแม้ต้องประมือ กับศัตรูที่มีชั้นลมปราณสีน้ำเงิน ข้าก็มั่นใจกว่า 9 ส่วนว่าสามารถเอาชีวิตรอดได้ แต่การจะได้รับชัยชนะนั้น ผิดกันอย่างยิ่ง ด้วยพลังลมปราณชั้นสีม่วงขั้นกลางนี้ ข้าใช้กระบวนตระกูลเล้ง ได้เพียง 2 กระบวนเท่านั้น นั้นคือปราณมังกรบรรพตที่เป็นพลังปราณคุ้มกันร่าง และวิญญาณมังกร ที่เป็นวิชาตัวเบา ข้าหาได้มีกระบวนท่าใด พอจะไปทำร้ายอีกฝ่ายได้ อย่างมากที่สุดข้าทำได้เพียงห่อหุ้มเพลงหมัด และเพลงเตะด้วยลมปราณเข้าโจมตี แต่การโจมตีเยี่ยงนี้มิอาจผ่านปราณคุ้มกันของผู้มีลมปราณชั้นสีครามได้ แม้แต่น้อย"


"อะไรกัน!!" เฟรย่าร้องด้วยความตกใจ นางมิคิดว่าอัจริยะผู้นี้ จะมีแต่กระบวนท่าที่ใช้ป้องกันตัวเอง ไม่สามารถโจมตีได้


"ช่างน่าขำอย่างยิ่งสินะ ฮ่าๆ ข้ายังนึกสมเพชตนเองนักที่มีลมปราณอ่อนด่อยเช่นนี้ ในอดีตข้าทะลวงชั้นปราณสีครามได้ตั้งแต่อายุ 7 ปี แต่ตอนนี้กลับหาวิธีทะลวงขึ้นไปในระยะสั้น มิได้" เล้งซานหัวเราะกับตัวเองเบาๆ อย่างน่าเวทนา


"เฮ้ออ..ถ้างั้นเราจะยอมผิดกฎเทพ สอนเด็กโง่อย่างเจ้าซักกระบวนท่าก็แล้วกัน"


"กระบวนท่าอันใด?" เล้งซานตื่นเต้นอย่างมาก เพราะหากมันมีกระบวนท่าโจมตี จะยกระดับพลังในการต่อสู้อีกมากมาย


"กระบวนท่านี้ชื่อว่า เทพพิโรธถล่มฟ้า จะระเบิดพลังลมปราณในร่างและปล่อยออกไป ยิ่งลมปราณสูงเท่าใด ยิ่งทรงพลังเท่านั้น จงตั้งสมาธิซะ เราจะถ่ายทอดให้เจ้าผ่านจิตสำนึกโดยตรง มิจำเป็นต้องฝึกปรือ ขอเพียงทำความเข้าใจในการควบคุมลมปราณก็เพียงพอแล้ว"


ทันใดนั้นเคล็ดวิชาอันทรงพลังก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที เล้งซานตั้งสมาธิและจดจำทุกขั้นตอนการควบคุมลมปราณ


"วิเศษ!! กระบวนท่านี้ทรงพลังอย่างยิ่งยวด" เล้งซานร่างกายสั่นเทาจากการตื่นเต้น


"ขอบคุณมาก เฟรย่าเพื่อเป็นการขอบคุณ ข้าจะหาวิธีสร้างร่างไหม่ให้เจ้าโดยเร็ว จะว่าไปท่านยังมิได้บอกข้าเลย ว่าต้องใช้สิ่งใดบ้างในการสร้างร่างไหม่ให้ท่าน"


"เหอะ!! ลืมมันไปซะเถอะ เงื่อนไขแรกสุดที่เจ้าจะสร้างร่างไหม่ให้เราได้นั้น เจ้าต้องอยู่ในชั้นลมปราณสีแดงเป็นอย่างน้อย"


"ชั้นลมปราณสีแดง!!" เล้งซานหน้าซีดขึ้นทันที แม้ในอดีตเล้งซานจะใช้เวลา 10 ปีในการไต่ขึ้นมาถึงชั้นลมปราณสีส้ม แต่การจะไปยังชั้นลมปราณสีแดงนั้นยากราวกับปีนป่ายสวรรค์ แม้ตระกูลเล้งจะเป็นตระกูลอันดับ 1 แต่มีเพียงท่านปู่ที่อายุร่วมร้อยปีของมันผู้เดียว ที่อยู่ในชั้นลมปราณสีแดง และยังเป็นเพียงขั้นที่ 1 เท่านั้น!! แต่ก็นับเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกมนุษย์อย่างแท้จริง


"เด็กโง่ เจ้ามิต้องกังวลใจไป แม้ข้ายังไม่มีร่างไหม่ในเร็วๆนี้ แต่เราก็สามารถอยู่กับเจ้าได้ จนกว่าเจ้าจะสิ้นชีพ" เฟรย่าเห็นท่าทางเล้งซานดูเป็นกังวลจนเกินไปจึงอยากเปลี่ยนข้อสนธนา 


"ตอนนี้เจ้ามิจำเป็นต้องทำงานในเรือนแล้ว เหตุใดเรามิออกไปหาสมุนไพรมาทำโอสถ เพื่อเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะพลังปราณเล่า.."


"ไหนท่านบอกว่าการปรุงยาจำเป็นต้องมีปราณธาตุอัคคีก่อน?" เล้งซานขมวดคิ้วเล็กน้อย


"เจ้าเด็กโง่!! เรื่องนั้นเราหมายถึงการปรุงยาเม็ดสำหรับเพิ่มพลังลมปราณโดยตรง แต่ถ้าหากเพียงแค่โอสถสำหรับเพิ่มความเร็วในการฝึก เราย่อมทำได้โดยทันที"


"ทำได้โดยทันที!!" เล้งซานเบิกตากว้างด้วยความตกใจ 


"เช่นนั้น ท่านรอข้าซักครู่"


เล้งซานเข้าไปในเรือนเพื่อขอพบ เซี่ยวหลินหลุนโดยทันที จากนั้นจึงสอบถามสถานที่ ที่มีสมุนไพรในบริเวณใกล้ๆหมู่บ้าน แล้วจึงขออนุญาต เซี่ยวหลินหลุนออกจากหมู่บ้าน โดยรับปากมาจะกลับมาภายในหนึ่งเดือนก่อนช่วงประลอง ที่เมืองเมฆคราม เซี่ยวหลินหลุน ลังเลเล็กน้อยแต่ก็อนุญาต ให้มันออกจากหมู่บ้านได้ 


"เซี่ยวหลินหลุน บอกว่าหุบเขาหมื่นพฤกษา อยู่ทางตะวันตกของหมู่บ้านไป 200ลี้ เป็นป่าที่มีสมุนไพรซ่อนอยู่มากมาย แต่มันอันตรายเป็นอย่างมาก เพราะมีสัตว์อสูรชั้นลมปราณมากมายเช่นกัน เฟรย่าท่านว่าเราสมควรไปเสี่ยงหรือไม่?"  (สัตว์อสูร ไม่ใช่เผ่าอสูรนะครับ)


"สมควรอย่างยิ่ง เลือดเนื้อของสัตว์อสูร มีค่าสำหรับการปรุงยาอย่างมาก"


เล้งซานใช้เวลา 3 วันโดยเดินทางแทบไม่หยุดพัก และแล้ว ก็มองเห็นภูเขาขนาดใหญ่ หลายร้อยลูกเรียงกันไกลสุดลูกหูลูกตา....


---13---

ตอนที่ 14 : บ่อโลหิตอสูร


"เจ้าเด็กน้อย หลังจากตรงนี้เป็นต้นไป ขอให้เจ้ากระจายสัมผัสมังกร ตลอดเวลา ห้ามเว้นแม้ยามกิน ยามนอน"


เล้งซานขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงตั้งสมาธิ และค่อยๆกระจายสัมผัสมังกรออกไป โดยรอบบริเวณ

"เฟรย่า ในหุบเขานี้ ด้วยสัมผัสของท่านบอกได้หรือไม่ ว่ามีสัตว์อสูรเท่าใด?"


"เหอะ!! หากเราเอ่ยไป เจ้าก็จะได้หนีกลับหมู่บ้านหน่ะสิ" 


"น่ากลัว ขนาดนั้นเลยหรือ?"


"อืม...ในป่ามีสัตว์อสูรชั้นลมปราณม่วงมากมาย ชั้นลมปราณสีครามอีกมิใช่น้อย แต่ที่น่ากลัวจริงๆสำหรับเจ้าคือ ชั้นลมปราณสีน้ำเงินและสีเขียว"


"มีกระทั้งชั้นลมปราณสีเขียว!!"


"ใช่และที่สำคัญที่สุด เราสัมผัสพลังลมปราณได้จางๆจากสัตว์อสูรชั้นลมปราณสีเหลือง"


เล้งซาน หน้าซีดทันที

"สัตว์อสูรตั้งแต่ชั้นลมปราณสีเหลืองขึ้นไป จะมีสติปัญญาเฉกเช่นมนุษย์ สามารถใช้ปราณของมันรับรู้และพูดภาษามนุษย์ได้ บอกได้เลยว่าหากเราพบเจอมันโอกาสรอดไม่มีแม้แต่น้อย"


"ไม่เข้าถ้ำพยัคฆ์ มีหรือจะได้เจอลูกพยัคฆ์ เฟรย่าท่านสามารถสัมผัสถึงสมุนไพรที่ต้องการได้หรือไม่?"


"แม้เรามิอาจควบคุมร่างกายเจ้าได้ แต่เราใช้สัมผัสทั้งห้าร่วมกันกับเจ้า เพียงแค่ได้กลิ่นของสมุนไพรเราล้วนสามารถแยกแยะออกได้ ตัวเราสามารถบอกตำแหน่งได้หากเข้าใกล้สมุนไพรในระยะครึ่งลี้(250เมตร) "


"เยี่ยม!! ถ้าเช่นนั้นเพียงแค่ข้าเดินอย่างระวังไปเรื่อยๆ หากหุบเขานี้มีสมุนไพรที่เราต้องการ เราย่อมได้ครบอย่างแน่นอน เซี่ยวหลินหลุน ได้ให้ข้ายืมแหวนมิติมาใช้สำหรับเก็บของ แม้มันสร้างมิติได้ไม่กว้างมาก แต่น่าจะเพียงพอในการเก็บสมุนไพร รอข้ามีลมปราณสูงกว่านี้ ข้าย่อมมีวิธีสร้างมิติได้ด้วยตนเอง"


เล้งซานเดินเก็บสมุนไพรตามตำแหน่งที่เฟรย่าบอก และค่อยระวังหลบเลี่ยงสัตว์อสูรลมปราณทุกตัวที่มันสัมผัสได้ แม้จะมีแหวนมิติ แต่มิติที่แหวนสร้างขึ้น มีพื้นที่ไม่เพียงพอให้เก็บร่างของอสูรลมปราณที่มีขนาดใหญ่ลงไปได้ มันจึงหลีกเลี่ยงการต่อสู้โดยไม่จำเป็น พอตกค่ำมันหาถ้ำขนาดเล็กที่มีมากมายในหุบเขา พักผ่อน แต่ก็ไม่ลืมที่จะกระจายสัมผัสมังกรทิ้งไว้ 


"เจ้าเด็กน้อย ในวันรุ่งขึ้น เจ้าจงเข้าไปให้ลึกกว่านี้ อย่างน้อย 10 ลี้(5 กม.) จากนั้นหาถ้ำขนาดกลางที่มีความลึกจากปากถึงด้านใน มิต่ำกว่า 1 ส่วน 5 ลี้(100เมตร) ให้พบก่อนอาทิตย์ตกดิน"


"ตกลง" เล้งซานตอบโดยมิถามแม้แต่น้อยว่าเพราะเหตุใด มันย่อมเข้าใจว่าเฟรย่า จะสอนมันทำโอสถเพื่อเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะพลังปราณ


เช้าวันรุ่งขึ้นเล้งซานเร่งเดินทางเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาทันที แต่ก็มิลืมเก็บสมุนไพรไปด้วยตลอดทาง จบจนตะวันใกล้ตกดินเล้งซานเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งในหุบเขาหมื่นพฤกษา


"เฟรย่า ถ้ำนี้ใหญ่พอหรือไม่?"


"อืม...นับว่าใช้ได้คราวนี้เจ้าจงขุดบ่อที่ด้านในถ้ำให้ลึกพอให้ตัวเจ้าลงไปแช่ตัวได้ จากนั้นตักน้ำมาใส่ให้เต็มบ่อ และจับอสูรลมปราณชั้นลมปราณสีม่วงขั้นกลางมา 1 ตัว เจ้ามีเวลา 1 ชั่วยามก่อนตะวันจะตก ลงเร่งมือซะ"


เล้งซานรีบดำเนินการทันที จากนั้นเฟรย่าก็ได้ให้เล้งซานบดสมุนไพรตามที่บอกทีละชนิด และค่อยๆใส่ลงไปในบ่อที่ขุดไว้ ซึ่งรวมแล้วกว่า 16 ชนิด จากนั้นสังหารอสูรที่จับมาและนำเลือดของมันใส่ลงในบ่อที่ขุดไว้ ผ่านไปซักพัก น้ำในบ่อก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มมองดูแล้วช่างน่ากลัวมิต่างจากยาพิษ!!


"เจ้าเด็กน้อย เจ้าลองเอานิ้วจุ่มลงไปซักเล็กน้อยและค้างไว้ 10 ลมหายใจ"


เล้งซานทำตามทันที สีม่วงจากบ่อค่อยๆซึมผ่านผิวหนังทีละนิดเข้าไปในนิ้วและเมื่อผ่านไปสิบลมหายใจ มันรู้สึกถึงความผิดปรกติที่นิ้ว มันรีบชักนิ้วออกจากบ่อทันที


อ๊ากกกกก!!!

"เฟรย่า!! นี่มันอะไรกันข้าใส่ยาผิดสูตรรึ เหตุใดนิ้วข้าจึงรู้สึกราวกับถูกแมลงนับพัน กัดและฉีกกระชากเนื้อออกเช่นนี้!!"


"เหอะ!! อย่าได้สำออยนักสิ สูตรยานั่นนับว่าถูกแล้ว นี่คือบ่อโอสถ ชื่อว่าบ่อโลหิตอสูร หากร่างกายถูกแช่ในบ่อ การบ่มเพาะลมปราณภายในนั้นจะรวดเร็วกว่าการบ่มเพาะปรกติหลายสิบเท่า แต่สิ่งที่ต้องแลกมาคือความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เพราะโลหิตของสัตว์อสูรนั้นมีความเป็นพิษสำหรับมนุษย์แต่มันกลับมีประโยชน์อย่างมากสำหรับพลังลมปราณ ยิ่งสัตว์อสูรลมปราณชั้นสูงเลือดยิ่งเป็นพิษร้ายแรงขึ้นตามลำดับ แต่ก็เพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะก็มากขึ้นตามลำดับด้วยเช่นกัน สมุนไพรที่ให้เจ้าใส่ไปในบ่อทั้ง 16 ชนิดคือสมุนไพรใช้สลายพิษในเลือดสัตว์อสูร แต่มิได้สลายความเข้มข้นในการบ่มเพาะพลังปราณ"


"หากไม่รวมวันที่เราจะต้องเดินทางกลับ ก่อนถึงวันประลองที่เมือง เมฆคราม  เราเหลือเวลาบ่มเพาะเพียง 20 วันเท่านั้น!! เพราะฉะนั้นในวันพรุ่งนี้เจ้าจงออกไปเตรียมเสบียงสำหรับ 20 วันมาไว้ในถ้ำให้เพียงพอ จากนั้นปิดปากถ้ำซะ!! ป้องกันมิให้สัตว์อสูรมารบกวน จงใช้เวลา 10 วัน ค่อยๆจุ่ม แขนทีละข้าง ขาทีละข้าง เพื่อให้คุ้นเคยกับความเจ็บปวดซะ จากนั้นใน 7 วันสุดท้ายเจ้าต้องลงไปแช่ทั้งตัวอย่างน้อยวันละ 5 ชั่วยาม จะกว่าจะครบกำหนดเวลา ข้าคิดว่านั่นคงพอให้เจ้าทะลวงขั้นที่ 7 ของลมปราณสีม่วงได้ไม่ยาก"


เล้งซานยืนจ้องมองที่บ่อโลหิตอสูร มือขวายังคงสั่นเทาจากความเจ็บปวดที่นิ้ว แต่ภายในใจกลับร้อนรุ่มครุ่นคิดจนหลงลืมความเจ็บปวดเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น

"ที่ท่านกล่าว นับว่าช้าเกินไป!!!" เล้งซานพุ่งไปที่ปากถ้ำในทันที ลมปราณสีม่วงเปล่งประกายที่หมัดขวา มันซัดเข้ากับผนังถ้ำอย่างจัง


ตูม!!


เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วหุบเขา ปากถ้ำพังลงมาปิดทางทั้งหมด ภายในถ้ำมืดสนิทจนมิอาจมองเห็นกระทั่งมือตนเองที่ยกขึ้นมา แต่ด้วยสัมผัสมังกร แม้ในถ้ำมืดมิด แต่เล้งซาน ยังสัมผัสทุกอย่างได้ชัดเจนราวกับยืนกลางแจ้ง


"เจ้าจะทำสิ่งใด!!" เฟรย่าร้องตะโกนขึ้นมา


เล้งซาน มิตอบอะไรมันปลดสายรัดเอว สลัดเสื้อทั้งหมดออก และโดดลงบ่อโลหิตในทันที!!


"เจ้าเด็กโง่!! อยากตายหรือไง เจ้าทนความเจ็บปวดแสนสาหัสนี้ไม่ไหวหรอก เจ้าจะตายเสียก่อน!!!"

' 1 ลมหายใจ'

' 2 ลมหายใจ'

'3 .....'

'4 ....'

'5 ...'

'6 ..'

'7.'

'8'

'9'

'10!!!'

---14---
ตอนที่ 15 : จิตใจมันทำด้วยสิ่งใดกัน!!


"อ๊ากกก!!!" 


เล้งซานหน้าตาบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด หากบอกว่านี่เป็นความเจ็บปวดที่สุดตั้งแต่เกิดมาก็มิได้เกินเลยแม้แต่น้อย ลมปราณในร่างพลุกพล่านจนถึงขีดสุด อย่ากล่าวถึงการโคจรพลังปราณ แม้แต่จะรักษาสติไว้ยังนับว่ายากยิ่ง เล้งซานพยายามอย่างยิ่งยวด เพื่อมิให้ร้องออกมาอีก มันกัดฟันทนจนเลือดไหลออกจากมุมปากไม่ขาดสาย


"เจ้าเด็กโง่!! รีบออกจากบ่อโลหิตเดี๋ยวนี้!!" เฟรย่าพยายามร้องเรียก เพราะตัวนางที่ใช้สัมผัสทั้งห้าร่วมกับเล้งซานย่อมได้รับความเจ็บปวดเช่นกัน แต่เพราะมิใช่ร่างกายของนางโดยตรงจึงเจ็บปวดแค่ราว หนึ่งส่วนของเล้งซานเท่านั้น


"ไม่!!! แม้เจ็บปวดกว่านี้ซักสิบเท่าร้อยเท่า ยังมิได้ครึ่งของความเจ็บปวดที่ครอบครัวถูกสังหารต่อหน้าต่อตา มิอาจปกป้องคนในตระกูลได้!!"


"อ๊ากกก!!"


'ความมุ่งมั่นของเจ้าเด็กนี่ น่าหวาดหวั่นยิ่งนัก บวกกับความเป็นอัจฉริยะไร้ที่ติของมัน ช่างน่ากลัวสำหรับศัตรูมันยิ่งนัก!!' เฟรย่าที่เฝ้าดูมันอยู่ตลอดเวลารู้สึกได้ถึงความน่าหวาดหวั่นของผู้เยาว์ผู้นี้


บัดนี้ผ่านไปร่วมสองชั่วยาม(4 ชม.)แล้วความเจ็บปวดยังมิอาจพูดได้ว่าเคยชิน มันยังร้องออกมาเป็นระยะมิขาดสาย จนกระทั้งผ่านไป ห้าชั่วยาม(10 ชม.) เสียงร้องค่อยๆหายไปแต่กายมันยังคงสั่นสะท้าน มิต่างจากเดิม
เมื่อผ่านไป สิบชั่วยาม เฟรย่าเริ่มสังเกตเห็นลมปราณสีม่วงค่อยๆกระจายออกจากจุดตันเถียน ค่อยๆโคจรไปทั่วร่างอย่างช้าๆ 


ผ่านไป 3 วัน เล้งซานยังมิได้ออกจากบ่อโลหิต แม้แต่ก้าวเดียว ตอนนี้มันเคยชินกับความเจ็บปวด ด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายใจ มันสามารถนอนหลับภายในบ่อโลหิตได้แล้ว แต่ก็หลับได้มิเกิน 20 ลมหายใจก็ถูกดึงออกจากภวังค์ด้วยความเจ็บปวด


"เด็กโง่!! ใกล้ถึงขีดสุดของเจ้าแล้ว เจ้าจำเป็นต้องลุกไปหาเสบียงเพื่อเสริมพลังชีวิต" 


"ไม่!! ข้าจะไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อยเพื่อจุดมุ่งหมายของข้า!!" เล้งซานย่อมเข้าใจร่างกายตนเองดีกว่าเฟรย่ามันรู้อยู่เต็มอกว่ามันใกล้ถึงขีดสุดแล้ว ทันใดนั้นมันเหลือบไปเห็นร่างของสัตว์อสูร ที่มันรีดโลหิตออกมาอยู่ข้างบ่อ มันใช้ลมปราณเฉียนเนื้อสัตว์อสูรออกมาประมาณ 1ชั่ง(500กรัม) และถือไว้ในมือ

"อย่าแม้แต่จะคิด!! เนื้อของสัตว์อสูรเป็นพิษมิต่างจากโลหิต หากเจ้ากินมันเข้าไปความเจ็บปวดจะแล่นเข้าสู่อวัยวะภายใน หากเป็นเช่นนั้นย่อมน่ากลัวกว่าความเจ็บปวดในการแช่บ่อโลหิตอสูร นับสิบเท่า!!"


"หากเปรียบเทียบกับความลำบากในการล้มล้างเผ่าอสูร ความเจ็บปวดนี้ย่อมมิอาจเทียบเท่าแม้แต่ 1 ใน 100 ส่วน!!"


เล้งซานหลับตาลงและกัดชิ้นเนื้อหนึ่งคำ และกลืนทันทีโดนมิเคี้ยวแม้แต่น้อย เนื้อสัตว์อสูรไหลผ่านลำคอเข้าไปสู่กระเพาะ อย่างรวดเร็วเนื่อจากร่างกายขาดอาหารมาหลายวัน และเมื่อผ่านไปสิบลมหายใจ.....


"อ๊ากกกกกกกกกกกกก!!!"


 มือทั้งสองข้างกุมที่ท้อง ร่างกายดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวด ราวกับแมลงนับล้านกัดกินอวัยวะภายใน น้ำในบ่อโลหิตอสูร กระเด็นเต็มผนังทั้งสองด้านของถ้ำ สติของมันแทบจะขาดออก เล้งซานในตอนนี้เรียกได้ว่ายืนอยู่บนเส้นแบ่งความเป็นตายอย่างแท้จริง!! 


เล้งซานรักษาสติไว้อย่างยากลำบาก มันพยายามหยุดดิ้นพล่านด้วยร่างกายที่สั่นเทา จากนั้นมันก็ดื่มน้ำในบ่อโลหิตอสูร ตามลงไปในทันที!!


'เจ้าเด็กนี่!! จริงอยู่ที่น้ำในบ่อโลหิตอสูร ผสมไปด้วยสมุนไพรขจัดพิษอสูร 16 ชนิด แต่การจะดื่มสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดมากมายเช่นนี้ลงไปนั้น ย่อมทรมาณเพิ่มกว่าเดิมเป็นเท่าตัว... จิตใจมันทำด้วยสิ่งใดกัน!!'


"อ๊ากกกกกกกกกกกก!!"

เล้งซานยังคงร้องต่อเนื่องไปอีกครึ่งชั่วยาม จากนั้นจึงค่อยๆสงบลง และมันก็หยิบเนื้อสัตว์อสูรกัดต่อคำที่สอง และดื่มน้ำในบ่อโลหิตตามอีกทันที มันทำเช่นนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ จนเนื้อ 1 ชั่งทั้งหมด หายเข้าไปในกระเพาะมัน เมื่อชินชากับความเจ็บปวดแล้ว มันก็ได้ค่อยๆโคจรลมปราณ ทีละนิด.....


หากเฟรย่ามีร่างกาย ย่อมต้องเห็นใบหน้าที่ซีดราวกับไร้โลหิตของนาง เมื่อเห็นการกระทำทุกอย่างของเด็กหนุ่ม ซึ่งมีอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น!! 


.......................


ณ ห้องโถงกลาง เรือนหัวหน้าหมู่บ้าน เมฆาล่อง เซี่ยวหลินหลุน นั่งอยู่ที่เก้าอี้สลักลายพญาอินทรีตัวโปรดของมัน ข้อศอกขวาวางบนพนักพักแขนเก้าอี้ มือขวากุมศีรษะ หน้าตาเคร่งเครียด มีอาการลุกลี้ลุกลนกระสับกระส่ายตลอดเวลา


"นายท่านโปรดรักษาสุขภาพ" ชุนเกียงตู้ข้างกายมัน กล่าวขึ้นด้วยความกังวล


"เหอะ!! อีกสองวันจะถึงวันประลอง ที่เมืองเมฆคราม อยู่แล้ว ไหนพวกเราจะต้องใช้เวลาเดินทางอีก หนึ่งวัน แต่นี่อะไร เหตุใดเล้งซานมันยังมิยอมกลับมา!!" เซี่ยงหลินหลุน กล่าวพลาง คิ้วทั้งสองข้างขมวดเป็นปน 


"หรือว่ามันจะถูกสัตว์อสูรฆ่าตายที่หุบเขาหมื่นพฤกษา ด้วยพลังลมปราณอันน้อยนิดของมัน การเข้าไปในหุบเขาหมื่นพฤกษา มิต่างจากเดินไปที่ตาย แต่กระนั้นข้าก็มิอาจห้ามปรามมันได้!!"


"เรียนนายท่าน ข้าคิดว่าด้วยวิชาตัวเบาชั้นสูงของมัน นับว่ายากมาก ที่สัตว์อสูรจะทำอันตรายมันได้" ชุนเกียงตู้กล่าว


"ถ้าเช่นนั้นเหตุใดมันยังมิกลับมา!! หรือมันเป็นคนจากสำนักอื่นแฝงตัวมาหลอกลวง พวกเราจริงๆ"


ทันใดนั้นมีทหารจากหน้าประตูเรือนวิ่งเข้ามา


"เรียนท่านหัวหน้าหมู่บ้าน เล้งซาน มันกลับมาแล้ว!!"


เซี่ยวหลินหลุน เบิกตากว้างลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้

"ตามมันเข้ามาพบข้าเดี๋ยวนี้!!"


ซักพักเล้งซาน จึงเดินเข้ามา ประสานมือ โค้งตัวเล็กน้อยด้วยท่านอบน้อมประจำตัวของมัน

"ข้าอภัยนายท่านที่ผู้เยาว์กลับมาช้า หวังว่าคงมิสายเกินไป"


เซี่ยวหลินหลุน ยิ้มไม่หุบด้วยความดีใจ จากนั้นสีหน้าค่อยๆเปลี่ยนไป รูม่านตาเบิกกว่าร่างกายสั่นเทา ขณะยกมือขึ้นชี้ไปที่เล้งซาน


"จะ..จะ...เจ้า ขั้นที่ 9 ลมปราณชั้นสีม่วง ครึ่งก้าวลมปราณชั้นสีคราม!!"

เล้งซานยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก แต่มิพูดสิ่งใด ผิดกับ เซี่ยวหลินหลุน และ ชุนเกียงตู้ ความตื่นตกใจระลอกแล้ว ระลอกเล่า บังเกิดขึ้นภายในจิตใจของมันทั้งสอง


'เลื่อนขึ้น 5 ขั้นลมปราณใน 1 เดือน บ้าชัดๆ!! จวบจนอายุปูนนี้ ข้ามีเคยได้เห็นการบ่งเพาะที่รวดเร็วเพียงนี้ หากนำไปบอกกล่าวแก่ผู้ใด ลังแต่จะถูกหัวเราะเยาะ โดยหาว่าโป้ปดเป็นแน่แท้!!'


"ยอดเยี่ยม!! อัจฉริยะโดนแท้!! ข้ามิรู้ว่าเจ้าได้ไปกระทำสิ่งใดมาจึงมีการบ่มเพาะที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ สิบอันดับแรกในการประลอง ต้องถูกสั่นคลอนโดยเจ้าเป็นแน่แท้!! ฮ่าๆๆๆๆ"


เซี่ยงหลินหลุน ตื่นเต้นเป็นอย่างมากปีนี้มันอาจลบความอับอายของสองปีที่ผ่านมาลงได้


"เตรียมรถม้า!! เราจะออกเดินทางไปเมือง เมฆคราม โดยทันที"
---15---
ตอนที่ 16 : ณ เมืองเมฆคราม


เมือง เมฆคราม เป็น 1 ใน 7 เมืองใหญ่บนทวีปเต่าทมิฬ และยังเป็นเมืองใหญ่แห่งเดียวในทิศเหนือของทวีป มีประชากรรวมแล้วกว่า 2 ล้านคน เจ้าเมืองคือ เซี่ยวหลินเฟิง เป็นบิดาแท้ๆของ เซี่ยวหลินหลุน 

ที่นี่มีพรรค และตระกูลผู้ใช้ลมปราณน้อยใหญ่อยู่มากมาย เกือบทุกสำนักจะส่งผู้เยาว์เข้าร่วมได้สำนักละ 1 คนเท่านั้น ยกเว้น 3 พรรคใหญ่ ที่ส่งผู้เยาว์เข้าร่วมได้ 3 คน ได้แก่ พรรคตระกูลเซี่ยวหลิน พรรคป้อมอัคคี และพรรคกระบี่เหิน ซึ่งทั้ง 3 เป็นพรรคใหญ่ที่ทรงอำนาจที่สุดในเมือง แน่นอนเซี่ยวหลินหลุนเคยสังกัดพรรคตระกูลเซี่ยวหลิน แต่เนื่องจากขอแยกตัวออกมาก่อตั้งหมู่บ้าน เมฆาล่อง ที่นอกเมือง จึงสามารถส่งผู้เยาว์เข้าร่วมได้โดยมิถูกนับรวมกับพรรคตระกูลเซี่ยวหลิน


"เรียนนายท่าน อีกมิเกินครึ่งชั่วยามเราจะถึงประตูทิศตะวันตกของเมืองแล้ว นายท่านจะแวะที่ใดก่อนไปลงสมัครเข้าร่วมประลองหรือไม่" ชุงเกียงตู้ กล่าว


"ไม่ เราจะไปลงสมัครเข้าร่วมประลองก่อน จากนั้นข้า ลูกเฟย ลูกเยว่ จะไปแวะเยี่ยมบิดา เจ้าและเล้งซานไปหาที่พักในเมือง ไว้สำหรับพวกเราทุกคนด้วย"


"รับทราบนายท่าน" ชุนเกียงตู้ โค้งตัวคำนับเล็กน้อย


เมื่อเข้าเมือง เล้งซาน ตื่นตากับสิ่งต่างๆในเมืองเล็กน้อย

'เวลาพันห้าร้อยปีช่างยาวนานนัก สิ่งต่างๆล้วนเปลี่ยนไป จิตรกรรมที่ไม่คุ้นตา ลักษณะบ้านเรือนที่ไม่คุ้นเคย คงมีเพียงเราที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยเช่นนี้'


หลังการเข้าร่วมสมัครเสร็จสิ้น เล้งซานและชุนเกียงตู้จึงแยกตัวมาหาที่พักในเมือง เล้งซาน เกิดความสงสัยเคลือบแคลงจึงใคร่สอบถาม ชุนเกียงตู้

"ท่านผู้ดูแล เหตุใดพวกเราจึงมิพักที่ตำหนักเจ้าเมืองเล่า? อย่างไรซะนายท่านก็เป็นถึงบุตรชาย ของเจ้าเมือง"


ชุนเกียงตู้ ส่ายหน้าเล็กน้อย

"เจ้ายังมิรู้อะไร ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง เมื่อ 4 ปีก่อน นายท่านยังอยู่ในเมืองนี้ด้วยฐานะบุตรชายของเจ้าเมือง ล้วนมิมีเรื่องลำบากใดๆ อีกทั้งยังอยู่ในตำแหน่งผู้อาวุโสของพรรคตระกูลเซี่ยวหลิน ผู้คนทั่วทั้งเมืองต่างให้ความเคารพนับถือ และในตอนนั้นคุณหนูเซี่ยวหลินเยวาอายุได้ 14 ปี แต่แล้วด้วยความงามล่มเมืองของคุณหนู เกิดต้องตาบุตรชายของผู้นำพรรคป้อมอัคคี ซึ่งเป็นหนึ่งในสามพรรคใหญ่ในเมืองนี้ ผู้นำพรรคจึงได้มาสู่ขอคุณหนูโดยตรงจากท่านเจ้าเมือง นายท่านคัดค้านทันที เพราะบุตรชายของผู้นำพรรคป้อมอัคคีนั้น ลือชื่อไปทั่วเมืองว่าเจ้าชู้ เจ้าสำราญเพียงใด นายท่านที่รักคุณหนูปานแก้วตาย่อมมิยินยอมในเรื่องนี้"


"แต่ภายในเมืองนี้อำนาจของพรรคป้อมอัคคีนั้น มิได้เป็นรองพรรคตระกูลเซี่ยวหลิน แม้แต่น้อยหากมีการปะทะกัน อาจถูกลบชื่อออกไปจากเมืองได้ทั้งคู่ เพื่อหลีกหนีเรื่องราวใหญ่โต นายท่านจึงประกาศขอแยกตัวออกจากพรรคตระกูลหลิน"


"แต่ถึงแม้จะแยกตัวออกมาแล้ว พรรคป้อมอัคคี ย่อมมิกล้าใช้วิธีรุนแรงบีบบังคับให้นายท่าน ยอมยกลูกสาวให้ได้ เพราะอย่างไรซะนายท่านก็เป็นบุตรของเจ้าเมืองเป็นน้องชายแท้ๆของผู้นำพรรคตระกูลเซี่ยวหลิน"(เจ้าเมืองไม่ใช่ผู้นำพรรคนะครับ ผู้นำพรรคคือลูกชายคนโต)


"ถ้าเช่นนั้น ศัตรูของนายท่านคือพรรคป้อมอัคคีสินะ"


"ถูกแล้ว!! หากในการประลองเจ้าได้เจอพรรคป้อมอัคคี เล่นงานมันให้หนัก มิต้องออมมือ ขอแค่อย่าให้มันตายก็พอ"


"ท่านผู้ดูแลโปรดวางใจ" เล้งซานยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย


'เซี่ยวหลินเยว่ นางมิค่อยชอบหน้าข้าเท่าไหร่ หากกำจัดศัตรูให้นาง นางอาจจะเปลี่ยนท่าทีต่อข้า'


...........


เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นรอบแรกของการประลอง มีผู้สมัครมารวมกันที่เวทีประลองอย่างคับคั่ง รวมผู้เข้าร่วมประลองทั้งสิ้น 800 คน ในรอบแรกมีการแบ่งสายออกเป็น 16 สาย สายละ 50 คน การแข่งรอบแรกคือให้ทั้ง 50 ลงสู่เวทีประลองขนาดใหญ่ผู้เหลือรอด 2 คนสุดท้ายคือผู้ชนะในรอบแรกและจะผ่านเข้าไปรอในรอบถัดไป เมื่อครบทั้ง 16 สายจะได้ผู้เข้าประลองในรอบที่ 2 ทั้งสิ้น 32 คน ผลการจับสลากทำให้ เล้งซาน อยู่ในสายที่ 7 เมื่อการจับสลากเสร็จสิ้น ผู้เข้าประลองทุกคน ลงไปรอที่ด้านล่างเวที และสลับขึ้นเวที รอบละสายโดยเริ่มจากสายที่ 1


"เรียนนายท่าน เล้งซาน อยู่ในสายที่ 7 ข้าตรวจสอบดูแล้ว ในสายนี้นอกจากผู้เยาว์ผู้หนึ่ง ทุกคนล้วน มีลมปราณชั้นสีคราม มิเกินขั้นที่ 3" ชุนเกียงตู้ เดินเข้ามารายงานต่อเซี่ยวหลินหลุน


"ยอดเยี่ยม!! ถือว่าเราจับสลากได้มีโชคมากๆ ไม่น่าจะมีปัญหาในการผ่านรอบนี้ ว่าแต่ ผู้เยาว์อีกคนที่เจ้าว่า คือใคร?" 


"เอ่อออ...." ชุนเกียงตู้ ทำท่าอ้ำอึ้ง


"อย่ามัว พิรี้พิไร บอกมาว่ามันเป็นใคร มีลมปราณขั้นใด"


"เรียนนายท่าน มันคือตัวเกร็งชนะเลิศในปีนี้ อายุ 15 ปีเท่ากับเล้งซาน มีลมปราณสีครามขั้นที่ 7 สูงสุดในการประลองครั้งนี้ ยอดอัจฉริยะอันดับ 1 ในเมืองเมฆคราม บุตรชายเพียงคนเดียวของผู้นำพรรคกระบี่เหิน ชื่อว่า อี้หลงหวัง!!"


เซี่ยวหลินหลุน ม่านตาเบิกกว้าง หันมามองหน้าชุนเกียงตู้


"จะ..เจ้าว่า อะไรนะ!!"
---16---
ตอนที่ 17 : ข้าจะเป็นขยะให้เจ้าดู!!


เซี่ยวหลินหลุน ตื่นตระหนกอย่างมาก อัจฉริยะ ผู้นี้ในปีที่แล้ว มันอายุเพียง 14 ปี นับว่าน้อยที่สุดตั้งแต่มีการจัดการประลองเมืองเมฆคราม แต่กลับสร้างความตื่นตระหนกแก่ทุกคนในเมืองเมฆครามด้วยการคว้าอันดับ 1 ไปครอง ในตอนนั้นมันยังอยู่เพียงขั้นที่ 4 ของลมปราณสีคราม ในรอบชิงชนะเลิศ มันกับเอาชนะ เซี่ยวหลินจื่อ อัจฉริยะผู้เยาว์ของพรรคตระกูลเซี่ยวหลิน ที่อายุ 18 ปี และอยู่ในขั้นที่ 6 ของลมปราณสีคราม การประลองในครานั้นลือเลื่องไปทั่วทิศเหนือของอาณาจักรเต่าทมิฬ


"เฮ้อออ..เราคงได้แต่หวังว่า เล้งซานมันจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับ อี้หลงหวัง ยังไงซะ หนึ่งในผู้ผ่านเข้ารอบของสายนี้ ย่อมเป็นอี้หลงหวัง เป็นแน่แท้"


เซี่ยวหลินหลุน มือกุมขมับพลางส่ายหน้าเล็กน้อย


............

การประลองในแต่ละสายเป็นอย่างดุเดือดก้ำกึ่งสูสี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากในสนามประลองสายในมีศิษย์ของสามพรรคใหญ่ในเมือง ที่ในสายมีสมาชิกของพรรคเหล่านั้นซ้อนทับกันเกินกว่าสองคนขึ้นไป จะเกิดการเข้าห่ำหั่นกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน 

ด้วยฝีมือศิษย์ของทั้งสามพรรคที่อยู่ในระดับไม่เหลื่อมล้ำกันมาก ถึงแม้จะได้รับชัยชนะแต่ก็ย่อมได้นับบาดเจ็บในระดับหนึ่งในการผ่านเข้ารอบ การประลองดำเนินต่อไปเรื่อยๆด้วยความเร้าใจเหล่าผู้ชม เสียงเฮ้ลั่นกังวาลไปทั่วเมืองเมฆคราม จวบจนกระทั้งมาถึงสายที่ 7


"ผู้เข้าประลอง สายที่ 7 จงขึ้นมาบนเวที" หนึ่งในกรรมการ การประลองประกาศเรียก


ผู้เข้าประลองทะยอยขึ้นมาบนเวที แต่ถว่า!! ผู้ที่ขึ้นมากลับมีเพียง 18 คนจาก 50 คน!! 

เหตุผลนั้น แม้มิต้องสอบถามก็เดาได้มิยาก เป็นเพราะ อี้หลงหวัง!! อัจฉริยะตัวเก็งชนะเลิศของการแข่งในครั้งนี้ ด้วยพลังลมปราณที่ค่อนข้างสูงล้ำกว่าผู้อื่นอยู่หลายขั้น อีกทั้งยังเป็นนายน้อยผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำพรรคกระบี่เหินที่ยิ่งใหญ่ในรุ่นต่อไป แม้ไม่กล่าวถึงพลังลมปราณ อาศัยเพียงวรยุทธวิชาที่ได้รับสืบทอดย่อมต้องเหนือล้ำกว่าเหล่าศิษย์แกนหลักของพรรคที่นับเป็นมังกรในหมู่ชน หากบอกว่าอี้หลงหวังเป็นมังกรในหมู่มังกร ก็ย่อมมิใช่คำกล่าวที่เกินเลยแม้แต่น้อย

พวกที่มิกล้าขึ้นเวทีประลองมานั้น เนื่องจากเกรงว่าหากบาดเจ็บร้ายแรงจะเสียอนาคตในการฝึกยุทธทันที ส่วนพวกที่กล้าขึ้นมานั้นมันหวังเพียงแค่ให้เหลือรอดเป็นคนที่สองต่อจาก อี้หลงหวัง
 

และเมื่อทันทีที่เล้งซานก้าวขึ้นเวที เสียงวิพากษ์วิจารณ์ ก็ดังกระหึ่มขึ้น!!


"เฮ้ย!! เจ้าขยะลมปราณสีม่วงนั้นมันกล้าขึ้นเวทีด้วย"


"ฮ่าๆๆ ดูเจ้าบ้านั้นสิ"


"กลับบ้านไปเจ้าสวะ!!"


"ตามผู้ปรุงยามาหน่อย ปรุงยาแก้บ้าให้มันที ฮ่าๆๆ"


ไม่มีแม้แต่เสียงเดียวที่กล่าวในด้านดี รอบเวทีประลองโดยทั่วได้ยินชัดเจน เพียง 2 คำ ขยะ!! สวะ!!

เล้งซานฉีกยิ้มเล็กน้อย มันย่อมมิใส่ใจกับคำพูดเช่นนี้

'หากพวกเจ้าต้องการให้ข้าเป็นขยะ ข้าจะเป็นขยะให้พวกเจ้าดูและจากนั้นค่อยขยี้พวกเจ้า!!'


เมื่อเล้งซานขึ้นมาถึงบนเวที กลับสังเกตเห็นว่าผู้เข้าประลองด้านบน ต่างถูกแยกเป็น สองทาง อย่างแจ่มชัด!! ทางหนึ่งคือผู้เข้าประลอง 16 คน ส่วนอีกทาง คือบุรุษร่างเล็กผู้หนึ่ง มันสูงมิพอหัวไหล่ของเล้งซานด้วยซ้ำ แต่แววตาคบกริบ ในหน้าโค้งมน ดูงดงามราวอิสตรี มือสองข้างไขว้หลัง ดูสง่างามอย่างยิ่ง แต่ลมปราณที่กระจายออกมานั้น ชั้นลมปราณสีครามขั้นที่ 7 !!


"เริ่มประลองได้!!"

ทันทีที่กล่าวจบ ทางด้านผู้เข้าประลองทั้ง 16 คนปล่อยกระบวนท่าใส่กันทันที เกิดการต่อสู้นัวเนียชนิดที่ว่ายกทุกอย่างที่มีทุ่มเข้าใส่กัน ดุเดือดถึงขั้นเลือดตกยางออกใช่ชั่วเวลาไม่ถึง ห้าอึดใจ


"ย๊ากกกกกกก"


"ดัชนีพิรุณ"


"กรงเล็บอินทรีสะบั้นศิลา!!"

กระแสลมปราณและรังสีวิชาสาดประกายทั่วทั้งครึ่งสนาม ย้ำว่า ครึ่งสนาม!! เพราะในอีกครึ่งนั้นไร้ซึ่งพลังลมปราณใดๆหลุดรอดเข้าไปแม้แต่นิ้วเดียว

เล้งซานมองไปอีกด้าน กลับเห็นบุรุษร่างเล็กยืนอยู่ที่เดิม มิได้ขยับท่วงท่าแม้แต่น้อย!! อีกทั้งหากฝั่งผู้ประลองทั้ง 16 มีผู้ใดเสียหลักไปทางบุรุษร่างเล็ก มันจะตื่นตระหนกและรีบกระโจนกลับเข้าไปในกลุ่มผู้ประลองทันทีแม้จะเสียท่าก็ตาม


ในกลุ่มผู้ประลองทั้ง 16 ในที่สุดก็มี สองคนในนั้นสังเกตเห็นเล้งซาน มันทั้งคู่พุ่งเข้าใส่ทันที!!


"เจ้าสวะ!! ข้าจะเก็บเจ้าก่อน!!"


เล้งซาน เห็นดังนั้นมันแสยะยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย จากนั้นโคจรลมปราณทั่วร่างหมุนวนเสริมอัดเข้าที่ขาทั้งสองแล้วก็........วิ่งหนี!!


"อย่าพึ่งทำข้า!! ข้ากลัวแล้ว!!"

"อย่าทำร้ายข้า อย่าทำร้ายข้า"

เล้งซานวิ่งหนีพร้อมตะโกนไปทั่วเวที...


ไม่ว่าจะเป็นผู้ชมข้างเวที หรือผู้ประลองบนเวที แม้แต่กรรมการยัง อึ้ง!! กล่าวเป็นคำพูดออกมาไม่ได้แม้แต่น้อย จากนั้นเสียงหัวเราะก็ดังกระหึ่มขึ้นโดยรอบเวที


"ฮ่าๆๆๆ ดูเจ้าสวะนั้นสิ มันวิ่งหนี!!"


"ตั้งแต่ชมการประลอง ไม่ว่าจะไปใดก็มิเคยเห็นคนที่น่าสมเพช เช่นนี้ ฮ่าๆๆ"


"ใครช่างกล้าส่งมันลงเป็นตัวแทน น่าอับอาย...น่าอับอายยิ่งนัก"


หน้าของเซี่ยวหลินหลุน และชุนเกียงตู้ หดแคบเหลือเท่าฝ่ามือ


'เหตุใดมันทำเรื่องน่าทุเรศ เช่นนั้น' ทั้งสองคนคิดมิต่างกัน


แม้เสียงหัวเราะเยาะจะดังขึ้นรอบทิศทาง แต่เล้งซานก็ยังมิหยุดวิ่ง อีกทั้งยังมิหยุดตะโกน


"อย่าทำร้ายข้า ข้ากลัวแล้ว"


แต่เมื่อมีผู้ประลองคนใดเข้าใกล้ตัวมันและโจมตีใส่ มันจะหลบอย่างเฉียวฉิวใช้มือผลักเบาๆ ทุกคนที่ออกกระบวนท่าใส่มันจะเสียหลักล้มลงไปอย่าง งงๆ ว่ามันล้มไปได้อย่างไร แต่ทุกการกระทำของเล้งซาน มิอาจเล็ดรอดสายตา บุคคลผู้หนึ่งบนเวที อี้หลงหวัง 


'คนผู้นี้ปกปิดฝีมือที่แท้จริง'


เมื่อดูสักระยะก็เห็นว่า ยังไงเล้งซานก็ไม่ยอมแสดงฝีมือออกมา มันขมวดคิ้วเล็กน้อย 


"เพื่อความรวดเร็วในการประลอง ข้าอี้หลงหวัง จะตัดสินพวกแทนกรรมกรให้เอง!!"


"กระบี่ เจิดจรัส!!" 


อี้หลงหวังกระจายลมปราณออกจากร่าง ปราณเหล่านั้นค่อยๆเปลี่ยนรูปเป็นกระบี่ ปราณกระบี่จำนวน 17 สายสาดแสงสร่างทั่วเวที พุ่งเข้าใส่ผู้ประลองทุกคนบนเวที ในทันที มันหวังใช้เป็นข้ออ้างในการทดสอบวรยุทธของเล้งซาน

เล้งซานขมวดคิ้วเล็กน้อย รับรู้สึกได้ของปราณกระบี่ที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะหลบ


"ปราณมังกรบรรพต!!"


เกร้งงงงงงง!! เสียงราวกับกระบี่กระแทกเข้ากับโลหะแข็ง


เมื่อแสงจากปราณกระบี่ที่เจิดจ้าหายไป ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของทุกคนคือบุรุษผู้เดียวยืนอยู่บนเวที นั่นคือ อี้หลงหวัง ผู้ประลองทั้ง 16 คน นอนร้องโอดอวนอยู่บนพื้น ส่วนเล้งซาน....


มันนั่งคุดคู้อยู่ที่ขอบเวทีด้วยร่างที่สั่นเทา...

อี้หลงหวังขมวดคิ้วแน่น สีหน้าและแววตาแสดงความงงงวยอย่างยิ่งยวด


'มันมีปราณคุ้มกัน อันแข็งแกร่ง!! แต่เหตุใดถึงแกล้งทำตัวอ่อนแอเช่นนี้!!'
---17---

ตอนที่ 18 : มันยังไม่ถึงเวลา


"ผู้เข้าประลอง 16 คนหมดสภาพ ผู้ชนะในสายที่ 7 คือ อี้หลงหวัง จากพรรคกระบี่เหิน และ เล้งซานจาก หมู่บ้านเมฆาล่อง" กรรมการ ประกาศผลการประลอง


"เฮ้ย!! ไอขยะที่เอาแต่วิ่งหนีมันผ่าน!! บัดซบ!!"


"นรกเอ๊ย!! มันโชคดีชะมัด การวิ่งวนไปรอบๆของมันทำให้กระบี่ของ อี้หลงหวัง พลาดแน่ๆ"


"กรรมการตาถั่วหรือไง ไม่เห็นหรอ ว่าไอขยะนั่นเอาแต่วิ่งหนี ดันให้มันชนะ"


กรรมการผู้ชี้ขาดในการประลองในครั้งนี้ ถูกส่งมาจาก ราชวงศ์เสวียนอู่ ที่ปกครองทวีปนี้ เพื่อความเป็นกลางในการแข่งขัน ชายวัยกลางคนผู้นี้ชื่อว่า เสวียนอู่จินฉาน มีพลังลมปราณชั้นสีเขียว ขั้นที่ 6 

แม้การกระทำของเล้งซาน ไม่ว่าจะมองมุมด้วย ล้วนเกิดจากโชคของมันที่ผ่านเข้ารอบ แต่การกระทำทุกอย่างมิอาจเล็ดลอด สายตาของ เสวียนอู่จินฉาน ไปได้!! มันมิทราบเหตุผลว่าเหตุใดเล้งซานจึงกระทำกริยาเช่นนั้น แต่มันรู้อย่างแน่นอนว่า เล้งซานเก็บงำปกปิดฝีมือที่แท้จริงเอาไว้ จึงยอมให้ผ่านรอบนี้เข้าไปสู่รอบสองโดยมิได้คัดค้าน

จากนั้นการประลองเข้าสู่สายต่อไป จวบจนครบทั้ง 16 สาย ผู้ที่ผ่านรอบแรกทั้งหมด 32 คน ถูกกรรมการเรียกขึ้นมาบนเวที


"ต่อไปข้าจะประกาศ รายละเอียดเกี่ยวกับการประลองในรอบที่สอง ในรอบนี้ผู้ที่ผ่านรอบที่หนึ่งในแต่ละสาย ต้องจับคู่กัน!! เพื่อประลองแบบ 2 ต่อ 2 กับผู้เข้าประลองในสายข้างๆ ผู้ชนะทั้งคู่จะผ่านสู่รอบที่สาม ส่วนผู้แพ้จะตกรอบทั้งคู่เช่นกัน ขอให้สายที่ 1 และ 2 อยู่บนเวที สายอื่นๆโปรดลงไปรอที่ข้างเวที"


การประลองยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนถึง รอบของคู่ เล้งซาน และอี้หลงหวัง

ในรอบนี้ มิต่างจากรอบแรกเล้งซาน ยังคงวิ่งวนไปรอบเวที ในเวลาไม่ถึง สิบลมหายใจ อี้หลงหวัง เพียงคนเดียวก็เอาชัยจากผู้ประลองทั้งคู่ในสายที่ 8 ลงได้

"เจ้าสวะนั้นมันโชคดีอีกแล้ว มันดันได้คู่กับอี้หลงหวัง"

"กรรมการ!! นี้มันไม่ยุติธรรมเลย ไอขยะนั่นมันผ่านเพราะโชคเท่านั้น"

"โอ๊ยยยย เจ้าสวะลมปราณสีม่วง นั่นผ่านเข้ารอบสาม แต่ข้าดันตกรอบแรก โธ่~นรกเถอะ!!"


ผู้เข้าประลองที่ตกรอบ โวยวายอย่างมากโดยเห็นว่าเล้งซาน เอาแต่หนี แต่กลับผ่านถึงรอบสูงๆ แต่ก็ไม่เป็นผล กรรมการปฏิเสธการคัดค้านในทุกเสียง เพราะเล้งซานอยู่ในกรอบของกติกาที่ตั้งไว้


จวบจนการแข่งผ่านพ้นไปครบทุกสาย ได้ผู้ผ่านเข้ารอบทั้งสิ้น 16 คน

"ข้าขอประกาศ ผู้ผ่านเข้ารอบที่สาม ทั้งสิ้น 16 คน ในรอบที่สามนี้ จะเป็นการจับสลาก สู้แบบ 1 ต่อ 1 แพ้คัดออก ขอให้ผู้เข้าร่วมประลองทุกคน มาจับสลากจับคู่แข่งบนเวที" 


ทั้ง 16 คนจับสลากเรียบร้อย โดยเล้งซาน ได้ประลองเป็นคู่ที่ 1 ในรอบนี้

"การประลองจะเริ่มในเช้าวันพรุ่งนี้ ขอให้ผู้เข้าประลองที่ผ่านเข้ารอบทั้งหมดกลับไปพักฟื้นร่างกาย และมาใหม่ในวันพรุ่งนี้!!" กรรมการประกาศ


หลังจากนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกันไป โดยเรื่องของเล้งซาน ได้ถูกลือไปทั่วเมืองเมฆคราม!! ระดับชั้นลมปราณสีม่วงที่อ่อนด้อยที่สุดในการประลอง ผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้าย อีกทั้งยังผ่านเข้ารอบโดยการวิ่งหนีตลอดการแข่งขัน!! เกิดเสียงครหาไปทั่วทั้งเมืองเมฆครามไม่หยุดหย่อนถึงสายตาของเหล่ากรรมการตัดสิน โดยเหล่าพวกกลุ่มคนที่ครหาล้วนแล้วแต่อยากเห็นสภาพที่อเนถอนาถของเล้งซานในวันพรุ่งจนเนื้อตัวสั่น

หลังจบการจับสลากผู้เข้าแข่งขันต่างทำการแยกย้ายกลับพรรคของตนเพื่อที่จะรีบฝืนสภาพร่างกายด้วยยาโอสถ หรือไม่ก็ให้เหล่าแพทย์ลมปราณประจำพรรคถ่ายทอดพลังฟื้นฟูให้ร่างกายสมบูรณ์ที่สุดในการแข่งต่อเนื่องวันพรุ่งนี้


"ข้าอย่างทราบเหตุผล ว่าเพราะอะไรเจ้าถึงปกปิดฝีมือ และแสดงกริยาเช่นนั้นบนเวที" อี้หลงหวังเดินเข้ามาที่ด้านหลังเล้งซาน และเอ่ยปากถาม


เล้งซาน หันไปสบตาเล็กน้อย จากนั้นยิ้มที่มุมปาก มันทราบอยู่แล้วว่าสิ่งที่มันกระทำถูกอี้หลงหวัง มองออกตั้งแต่แรก

"มันยังไม่ถึงเวลา!!" เล้งซานตอบสั้นๆ


อี้หลงหวัง ขมวดคิ้วเล็กน้อย และหันหลังเดินจากไป

"บุรุษผู้นี้ฝีมือร้ายกาจมาก สมแล้วที่ถูกขนานนามว่า อัจฉริยะอันดับ 1 ในเมืองนี้ปราณกระบี่นับว่าร้าจกาจ หากมีกระบี่ในมือ ข้าก็ยากจะเอาป้องกันได้"


"เหอะ!! เจ้าเด็กโง่ นี่เจ้ายังไม่รู้จริงๆหรือนี่" เสียงของเฟรย่าดังขึ้น


"รู้ สิ่งใด?"เล้งซานขมวดคิ้ว สงสัยเล็กน้อย


"คนผู้นี้ เป็นอิสตรี"


เล้งซาน เบิกตากว้าง รีบเหลียวหลังหันกลับไปมอง อี้หลงหวัง ที่เดินไปทันที

"แม้โค้งหน้าจะงดงามราวอิสตรี แต่เหตุใดรูปร่าง? หน้าอก? สะโพก? หายไปไหน?" เล้งซานแสดงสีหน้าโง่งม ครั้นจะไม่เชื่อก็กระไรอยู่ เพราะด้วยศักดิ์ศรีของนางแล้ว เฟรย่ามิเคยพูดปด


"เหอะ!! เจ้าช่างตาถั่วนัก ด้วยวิชาแพทย์ของเราย่อมเข้าใจโครงสร้างร่างกายทั้งหมด นางผู้นี้ใช้ลมปราณปรับแต่งโครงสร้างร่ายกาย ลดขนาดหน้าอก และสะโพก อีกทั้งยังสร้างลูกกระเดือกให้สังเกตเห็นเล็กน้อย แต่ย่อมมิอาจหลอกสายตาเรา"


"หากคืนสภาพเดิม นางผู้นี้ย่อมเป็นสาวล่มเมือง ความงามมิด้อยกว่า เซี่ยวหลินเยว่แม้แต่น้อย!!"


"โอ้ววว!! นางช่างหลอกคนทั้งเมืองได้แนบเนียนยิ่ง" เล้งซานยิ้มเล็กน้อยพลางลูบเบาๆที่ปลายคางตนเอง



............



"เจ้าบ้า!! แม้เจ้าจะผ่านทั้งสองรอบไปได้ แต่เหตุใดต้องแสดงกริยาเช่นนั้น!!"


เซี่ยวหลินหลุน หน้าแดงกร่ำ ตะหวาดใส่เล้งซาน


"ขออภัยนายท่าน ข้าก็แค่เห็นว่ายังมิถึงเวลาต้องลงมือ ในเมื่อคนทั้งเวทีคิดว่าข้าเป็นขยะอยู่แล้ว ข้าก็เพียงเดินตามบทที่ผู้อื่นตั้งความหวังไว้ก็เท่านั้นเอง" เล้งซานกล่าวด้วยใบหน้านิ่งสงบไม่ยี่หระต่อคำว่ากล่าวของเซี่ยวหลินหลุน


"เฮ้อออ... เจ้านี่มัน" เซี่ยวหลินหลุน ถอนหายใจ พลางส่ายหน้าเล็กน้อย


"ช่างเถอะแต่ในเมื่อผ่านเข้ามารอบลึกขนาดนี้ข้าก็จะยอมตามใจเจ้า รอบถัดไปจงแสดงฝีมือให้เต็มที่ ล้างความอับอายใน สองรอบแรกซะ"


"ขอบคุณนายท่าน รอบถัดไปนี้ข้าจะมิทำให้ผิดหวัง" เล้งซาน ประสานมือ โค้งตัวเล็กน้อยอย่างนอบน้อม


"พูดถึงรอบถัดไป คนที่เจ้าจะต้องเจอในรอบแรกคือ จงเกียงฟาน เป็นบุตรชายของหัวหน้าหมู่บ้าน วายุประจิม มันนี่แหละที่เสนอค่าตัว 5,000 เหรียญทอง ต่อข้าเพื่อเป็นตัวแทนหมู่บ้านเรา เจ้าห้ามพ่ายแก่มันเด็ดขาด"


"โอ้ววว เจ้านี่เองหรือที่เป็นมิจฉาชีพในคราบนักบุญ ถ้าเช่นนั้นผู้เยาว์จะสอนมันในการประลองให้เอง ว่าแม้แต่ 5 เหรียญทองมันก็ยังมิคู่ควร!!" เล้งซานแสยะยิ้ม


"ดีมาก!! เจ้าไปพักได้ พักฟื้นร่างกายให้สมบูรณ์สำหรับวันพรุ่ง"


.......


เช้าวันประลองรอบที่สาม ผู้คนส่วนมากมิค่อยสนใจการประลองในวันแรกสักเท่าไหร่ เพราะรอบตัดสินจะอยู่ในวันที่สอง ตอนนี้มีผู้คนมากกว่าเมื่อวานถึง 3 เท่า เวทีถูกจัดไว้ในอีกสถานที่เพื่อรองรับผู้คนนับแสน ที่มาเยี่ยมชมการประลองรอบสุดท้ายนี้ 


ผู้ประลองทั้ง 16 คนเข้ามารายงานตัว ผู้ที่จะชนะเลิศได้นั้นจะต้องชนะติดต่อกันทั้งหมด 4 รอบ ตัวเก็งชนะเลิศย่อมมิพ้น อี้หลงหวัง


และแล้วการประลองคู่แรกก็มาถึง เล้งซาน ปะทะ จงเกียงฟาน ทันทีที่ทั้งคู่ขึ้นเวที เสียงรอบเวทีก็กระหึ่มขึ้น!!


"ฮ่าๆๆ เจ้าขยะนั่นมันกล้าขึ้นเวทีด้วย หว่ะ!!"

"รอบนี้ ไม่มี อี้หลงหวัง ช่วยหนุนดวงเจ้าแล้วนะ เจ้าสวะเอ้ย!!"

"วิ่งให้รอบเลยนะ ข้าจะเป็นกำลังใจให้เจ้าอยู่พ้น 3 ลมหายใจ ฮ่าๆๆ"


เสียงถากถางมากมายดังกระหึ่มรอบทิศทาง เล้งซานมิได้สนใจแม้แต่น้อยมันยังคงยิ้มที่ มุมปาก และมอง จงเกียงฟาน 


เล้งซานประสานมือ โค้งตัวเล็กน้อย ด้วยท่านอบน้อมประจำกาย

"ท่านจงเกียงฟาน โปรดออมมือด้วย" 


จงเกียงฟานหันมามอง เล้งซาน แสดงสายตารังเกียจราวกับมองขยะชิ้นหนึ่งออกมาอย่างแจ่มชัด


"นี่หรือ ตัวแทนหมู่บ้านเมฆาล่อง? หากมันยอมรับข้อเสนอของข้าแต่แรกก็มิต้องรับความอับอายเช่นนี้!!" จงเกียงฟานกล่าวพร้อมใช้หางตาเหลือบมองเล้งซาน


"เห็นแก่ท่าทีอ่อนน้อมของเจ้า ข้าจะต่อให้เจ้าซักหนึ่งกระบวนท่า เข้ามาสิเจ้าสวะ!!" จงเกียงฟาน ยื่นมือขวาออกมาด้านหน้า ตวัดปลายนิ้วเล็กน้อยเชื้อเชิญ


เล้งซานแสยะยิ้มเล็กน้อย จากนั้นร่างของมันก็หายไปจากสายตาผู้คนโดยรอบ มาโผล่ที่ด้านหน้าของ จงเกียงฟาน โคจรพลังปราณไปที่ฝ่ามืออย่างรวดเร็ว


เพี๊ยยยยยะ !!!


เสียงดังสนั่นผู้คนโดยรอบได้ยินอย่างและเห็นอย่างชัดเจน เล้งซานตบไปที่หน้าของจงเกียงฟานอย่างจัง!!


ศีรษะ ของ จงเกียจฟาน สะบัดตามแรงฝ่ามือ พาร่างของมันกระเด็นออกไปร่วม สิบก้าว!!



"โอ๊วววว ขอบคุณท่านจงเกียงฟาน ที่ต่อให้ข้าหนึ่งฝ่ามือ...."
---18---

ตอนที่ 19 : ความสง่างามที่ถูกลืมเลือน


ทุกคนโดยรอบลานประลองเบิกตาจนกลมกว้าง ตกตะลึงกับสิ่งที่บังเกิดเบี่ยงหน้า ผู้คนที่กล่าวดูถูกเหยียดหยามเล้งซานเมื่อครู่ ราวกลับถูกแช่แข็งค้าง ร่างกายมิอาจขยับไปได้ชั่วขณะ 

กรรมการ ทะยานร่างเข้าไปบนเวทีประลองทันที ตรวจสอบชีพจรของ จงเกียงฟาน ม่านตาของมันเบิกกว้าง ตกใจ


'หมดสติทันที เพียงหนึ่งฝ่ามือ ร้ายกาจนัก!!'


"จงเกียงฟาน มิอาจสู้ต่อได้ ผู้ชนะคือ เล้งซาน แห่งหมู่บ้านเมฆาล่อง!!"


รอบเวที นิ่งเงียบสงบราวกลับมิมีผู้ใดอยู่ ทันทีที่กรรมการประกาศ ราวกับเรียกสติของพวกมันขึ้น


"หนะ..หนะ..หนึ่งฝ่ามือ เพียงหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น!!"


"บัดซบ!! เจ้านี่มันปกปิดฝีมือมาตลอดการแข่งเมื่อวาน"


"ร้ายกาจมาก คู่ต่อสู้ลมปราณสูงกว่าถึง 3 ขั้นลมปราณ และอยู่คนละระดับชั้นพลังเสียด้วยซ้ำไป กลับพ่ายใน ฝ่ามือเดียว!!"


หากบอกว่าเมื่อครู่ มีแต่เสียงทับถม ดูถูกเล้งซาน อาจพูดได้ว่าเหมือนเรื่องโกหก เพราะตอนนี้เสียงที่ได้ยินกลับกลายเป็นเสียงแห่งความตื่นตระหนกของผู้ชมโดยรอบ


เล้งซาน ปัดเสื้อผ้าเล็กน้อย สะบัดมือทั้งสองข้างมาไขว้ด้านหลัง และเดินลงจากเวทีอย่างสง่างาม ก่อนหน้านี้ด้วยพลังลมปราณอันน้อยนิด บวกกับกริยาการแสดงที่มันกระทำ ทำให้ผู้คนโดยรอบลืมเลือนไปว่า


'บุรุษผู้นี้หล่อเหลา มิเป็นรองผู้ใด' 

โครงสร้างร่างกายสมชายชาตรี รูปร่างสูงใหญ่ แต่สง่างาม แม้ผิวมิขาวมาก แต่ละเอียดเนียนดั่งอิสตรี ตอนนี้มันเป็นที่จับตามองของสาวงามทั่วทั้งเมือง เมฆคราม!!


'คนผู้นี้ แม้มีลมปราณชั้นสีม่วง แต่กระบวนท่าเฉียบคม ไม่มีการขยับท่วงท่าเกินความจำเป็นแม้แต่น้อย เรามั่นใจว่าเมื่อครู่มันยังเก็บซ่อนวรยุทธไว้อย่างแนบเนียน' 

อี้หลงหวังคาดเดา และมองเล้งซานมิวางตา


"ฮ่าๆๆๆ ต้องอย่างนี้สิ" เซี่ยวหลินหลุน ยืนขึ้นพร้อมปรบมือด้วยความดีใจ




"เชิญคู่ที่สองเข้าประลองได้ ซูกวนเปียว แห่งพรรคป้อมอัคคี ปะทะ ตี้หลงกวน แห่งตระกูลตี้ " กรรมการประกาศบนเวที


เล้งซาน หลี่ตามองเล็กน้อย

'บุตรชายคนโตของผู้นำพรรคป้อมอัคคี ที่ชุนเกียงตู้เล่าให้ฟังเมื่อคราวก่อน ชื่อ ซูกวนหยู ส่วนเจ้า ซูกวนเปียว ผู้นี้เป็นน้องชายแท้ๆของมัน ดีล่ะ!! ข้าจะเอาใจช่วยให้เจ้าผ่านรอบนี้ไปให้ได้ และรอบต่อไปข้าจะขยี้เจ้าเพื่อเป็นของกำนัลไปสู่ ซูกวนหยู!!' 


เมื่อเริ่มการประลอง ก็เป็นไปตามคาด ซูกวนเปียว สมแล้วที่เป็นบุตรคนที่สองของผู้นำพรรคใหญ่ในเมืองนี้ มันเอาชนะ ตี้หลงหวนกวนอย่างง่ายดาย ในสิบกระบวนท่า จากนั้นการประลองก็ผ่านไปเรื่อยๆจบครบทั้ง 8 คู่


"ข้าขอประกาศ ผู้ผ่านเข้ารอบ ในรอบ 8 คนสุดท้าย

เล้งซาน แห่งหมู่บ้านเมฆาล่อง ปะทะ ซูกวนเปียว แห่งพรรคป้อมอัคคี

กวนซังเทียน แห่งพรรคพิรุณ ปะทะ เซี่ยวหลินเจิน แห่งตระกูลเซี่ยวหลิน

จางจี่เทียน แห่งพรรคกระบี่เหิน ปะทะ ลี้เอียง แห่งพรรคป้อมอัคคี

เซี่ยวหลินจาง แห่งตระกูลเซี่ยวหลิน ปะทะ อี้หลงหวัง แห่งพรรคกระบี่เหิน"


"เล้งซาน และ ซูกวนเปียว ขึ้นเวทีได้" กรรมการประกาศ

เล้งซานค่อยๆเดินขึ้นมาบนเวที มือทั้งสองยังคงไขว่หลังท่าทางสง่ามาก เมื่อขึ้นมามันพบสายตาที่ปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างท่วมท้นแน่นอนว่ามันคือ ซูกวนเปียว!! มันปล่อยออร่าพลังลมปราณสีครามขั้นที่ 5 กระจายออกมา เล้งซานขมวดคิ้วขึ้นทันที


'มันคิดสังหารข้า!!' เล้งซานหรี่ตาเล็กน้อย พร้อมแสยะยิ้มบางๆ
 

"เล้งซาน ข้าและเจ้ามิได้มีเรื่องบาดหมางกัน แต่ทว่า นับว่าเป็นคราวซวยของเจ้าที่มาเป็นตัวแทนของหมู่บ้านเมฆาล่อง!!"


"โอ๊ววววว นายน้อยพรรคป้อมอัคคีอันยิ่งใหญ่ ผิดสิ่งใดหรือที่ข้าเป็นตัวแทนหมู่บ้านเมฆาล่อง??" 


"เจ้าสวะ!! อย่ามาแกล้งมิรู้มิชี้กับข้า รอบที่ผ่านมาอย่าได้ใจกับชัยชนะที่ได้จากหมู่บ้านเล็กๆพรรค์นั้น ข้าจะสั่งสอนให้เจ้ารู้ว่าแผ่นฟ้านั้นสูงเพียงใด!!"


"หืม? แผ่นฟ้าสูงเพียงใด? ข้ามิเห็นอยากรู้ แต่สิ่งที่ข้าอยากรู้คือ หากผู้ใดถูกสวะบดขยี้ ทุกคนจะเรียกมันว่าตัวอะไรกัน!!"


เล้งซานเปิดใช้วิชาตัวเบา วิญญาณมังกร และหายตัวไปจากสายตาผู้คนทันที!!

หมัดขวาที่อัดลมปราณม่วงขั้นที่ 9 พลังเต็มสิบส่วน กระแทกเข้าใส่ท้องน้อยของ ซูกวนเปียว อย่างจัง!! โดยที่มันยังมิได้โคจรปราณคุ้มกันใดๆได้ทันเสียด้วยซ้ำ!!


ตูม!!


"อ๊ากกกกกกกก!!" 

เสียงร้องของ ซูกวนเปียว ดังลั่นรอบเวทีประลอง พร้อมร่างที่ลอยขึ้นฟ้าสูงมิต่ำกว่า 5 เมตร แต่ทันทีที่ร่างกำลังจะโรยล่วงสู่พื้นเวที กลับมีมือที่เย็นยะเยือกราวกับมือมัจจุราช จับขว้าไว้ที่ลำคอของ ซูกวนเปียว อย่างแม่นยำ เล้งซานปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ร่างของซูกวนเปียว สั่นสะท้าน มิใช่เพราะอาการบาดเจ็บแต่อย่างใด แต่มันสั่นเพราะจิตคุมคามที่น่ากลัวถาโถมเข้าไปในจิตใจราวกับคลื่นสมุทร ม่านตาของซูกวนเปียวเบิกกว้าง กางเกงของมันเริ่มจะเปียกแฉะจากนั้นน้ำสีเหลือง ก็ไหลนองทั่วพื้นเวที!!


"โอ๊ววววว นายน้อยแห่งพรรคป้อมอัคคีอันยิ่งใหญ่ ไฉนท่านปัจสาวะเรี่ยราดต่อหน้าชาวเมืองเช่นนี้เล่า?"


ผู้คนโดยรอบเวทีตกตะลึงกลับภาพที่ปรากฏบนเวทีประลอง พวกมันมิกล้ากระทั่งกลืนน้ำลายตัวเอง บริเวณผู้คนที่อยู่หน้าสุดของเวทีล้วนสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันท่วมท้น แผ่นหลังของพวกมันเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ไหลมิต่างจากน้ำ


"ความจริงข้าเพียงคิดสั่งสอนเจ้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เจ้ากลับคิดสังหารข้า อย่าโทษว่าข้าเหี้ยมก็แล้วกัน!!" 


เล้งซานมิได้กล่าวเสียงดัง มันพูดเบาๆเพื่อให้ได้ยินเพียง ซูกวนเปียวเท่านั้น


มือซ้ายที่ขว้าคอ ซูกวนเปียว ยกสูงขึ้นเล็กน้อย เล้งซานยกมือขวาขึ้นมาพร้อมโคจรพลัง

' 5 กระบวนตระกูลเล้ง กระบวนที่ 3 มังกรพิษ!!'


เล้งซานเคลื่อนมือขวา มาทาบลงไปที่ท้องของซูกวนเปียวเบาๆ

"อ๊ากกกกกกกกก!!" เสียงของซูกวนเปียวร้องอย่างโหยหวนอีกครั้ง ปลายนิ้วมือและเท้าต่างเหยียดเกร็ง ทั่วทั้งสรรพางค์กายสะทกสะท้านด้วยเคลื่อนพลังลมปราณสายหนึ่งที่แทรกซึมเข้าผ่านร่าง เสียงโหยหวยของซูกวนเปียวทำให้ผู้คนรอบเวที ถึงกับสั่นงันงก ปากฉีกเบิกกว้างตกตะลึงถึงขีดสุด

เล้งซานฉีกยิ้มอ่อนๆแต่แววตาของมันเปลี่ยนดังสัตว์ร้ายที่คร่าชีวิตเหยื่อไปเรียบร้อยแล้ว จากนั้นมันสะบัดแขนซ้ายเหวี่ยงร่างของ ซูกวนเปียว ลงไปด้านล่างเวที


เสวียนอู่จินฉาน ที่เป็นกรรมการชี้ขาดรีบทะยานร่างมาดูอาการของ ซูกวนเปียว ในทันที!!

หลังจากจับชีพจร เสวียนอู่จินฉาน ม่านตาเบิกกว้างกลมโตแทบถลนออกมา มันเหลือบหันไปมองเล้งซานในฉับพลัน!!


'ชีพจรและเส้นลมปราณ ถูกลมปราณอีกสายที่แหลมคมแทรกซึมเข้าไป ตัดขาดสะบั้นทั่วร่าง พิการโดยสมบูรณ์!! วิชานี้ร้ายกาจ และเหี้ยมโหดนัก เจ้าเด็กนี่มันเป็นคนจากสำนักใด ข้ามิเคยเห็นวิชาเช่นนี้เลยตลอดอายุข้า' 


"ซูกวนเปียว หมดสภาพมิอาจสู้ต่อได้ เล้งซานเป็นฝ่ายชนะ!!" เสวียนอู่จินฉานประกาศดังทั่วเวทีประลองด้วยตนเองแทนกรรมการบนเวที


ข้างเวทีประลองโดยรอบ เกิดเสียงดังกระหึ่มขึ้นพร้อมกัน!!


"จะ...จะ...เจ้านั่นมันเป็นใครกัน!! มันหยิบยื่นความพ่ายแพ้ให้นายน้อยพรรคป้อมอัคคี ในชั่วเวลามิถึง สิบลมหายใจ"


"มันขยี้ซูกวนเปียว โดยสมบูรณ์!!"


"จิตสังหาร มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!!"


เล้งซาน ยังคงเดินลงจากเวทีอย่างสง่างาม แต่ใบหน้าขมวดคิ้วเล็กน้อย


'ข้าทำนายน้อยพรรคป้อมอัคคีลงจากเตียงเองมิได้ตลอดชีวิต พวกมันย่อมมิปล่อยข้าไว้แน่หลังจบการประลอง เห็นทีข้าจำเป็นต้องชนะเลิศเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองจากคนในเมืองเมฆความเสียแล้ว' 

---19---
 ตอนที่ 20 : เล้งซาน ปะทะ อี้หลงหวัง


"เฟรย่า ท่านมองวิชาที่ใช้ปรับแต่งโครงสร้างร่างกายของอี้หลงหวังออก แล้วท่านใช้ได้หรือไม่"


"เหอะ!! ช่างง่ายดาย"


"และวิชานี้สามารถเปลี่ยนโครงหน้าได้ด้วยหรือไม่?"


"เราไม่รู้ว่า อี้หลงหวัง นางสามารถทำได้หรือไม่ แต่สำหรับเรานับว่ามิใช่เรื่องยาก เจ้าสนใจหรือ?"


"ใช่ข้าสนใจอย่างมาก เพราะหลังจบการประลองข้ามั่นใจกว่า 9 ส่วนว่าพรรคป้อมอัคคีย่อมไม่กล้าระรานหมู่บ้านเมฆาล่อง เพราะบารมีตระกูลเซี่ยวหลิน แต่กับข้า มันย่อมพลิกเมืองตามหาเพื่อล้างแค้นแน่นอน หากมีวิชานี้จะเพิ่มโอกาสหนีให้ข้าเป็นแน่ ท่านสอนข้าได้หรือไม่"


"เหอะ!! การสอนนับว่าง่ายดาย แต่อยู่ที่ความพอใจของเรา ณ ตอนนั้น"

เล้งซานขมวดคิ้ว พลางส่ายหน้าเล็กน้อย


...........


ในคู่ที่ 2 ผู้ชนะคือ เซี่ยวหลินเจิน แห่งตระกูลเซี่ยวหลิน ซึ่งรอบถัดไปจะเจอกับเล้งซาน แต่เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บจากคู่นี้ และเล้งซานก็ถูกส่งมาโดยหมู่บ้าน เมฆาล่อง ซึ่งนับเป็นเครือญาติกับตระกูลเซี่ยวหลิน ดังนั้น เซี่ยวหลินเจินจึงขอสละสิทธิ์ในการประลอง ทำให้เล้งซานผ่านเข้าสู่รอบชิงโดยทันที....


ในคู่ที่ 3 ผู้ชนะคือ จางจี่เทียน แห่งพรรคกระบี่เหิน การต่อสู้นั้นนับว่าสูสีอย่างมาก ทั้งคู่ต่างอยู่ในขั้นที่ 5 ลมปราณสีคราม แต่สุดท้าย จางจี่เทียนก็ได้รับชัยชนะไป...


ในคู่ที่ 4 ผู้ชนะคือ อี้หลงหวัง ตามความคาดหมาย ทุกอย่างจบลงใน 3 กระบวนท่า...


อี้หลงหวัง และ จางจี่เทียน ล้วนมาจากพรรคกระบี่เหิน จางจี่เทียนจึงขอสละสิทธิ์


จึงได้คู่ชิงในการประลองนี้!!! เล้งซาน ปะทะ อี้หลงหวัง


.........


"เจอกันอีกแล้วนะ คุณชายอี้หลง" เล้งซาน ประสานมือ โค้งตัวเล็กน้อยพลางยิ้มที่มุมปาก


"เจ้าชั่งแอบซ่อนฝีมือ ไว้แนบเนียน แม้กระทั่งบัดนี้ ยังมิได้แสดงฝีมือที่แท้จริง"


"แม่นาง...เอ๊ย!! คุณชายอี้หลง ชมข้าเกินไปแล้ว หากพูดถึงความแนบเนียน ตัวข้าย่อมไม่อาจเทียบท่านได้" เล้งซาน แสยะยิ้มเล็กน้อย เพราะมันตั้งใจ!!


เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของ อี้หลงหวัง ใบหน้าซีดเซียวราวกับไร้โลหิตโดยทันที


"จะ..จะ..เจ้า!!!"


"เชิญ แม่...เอ๊ย คุณชายอี้หลง ลงมือ.."


'ฮ่าๆๆ การกลั่นแกล้งนางผู้นี้ ช่างเป็นเรื่องสนุกเสียจริงๆ'


อี้หลงหวัง ขมวดคิ้วเล็กน้อย และกระจายลมปราณออกมารอบตัว ลมปราณสีครามค่อยๆเปลี่ยนรูปเป็น กระบี่และพุ่งเข้าใส่เล้งซานนับสิบสาย


"กระบี่ เจิดจรัส!!"


เล้งซาน แสยะยิ้มเล็กน้อย 


'วิญญาณมังกร!!'


ทันทีที่ปราณกระบี่พุ่งเข้ามา ปราณกระบี่ทั้งสิบสายพุ่งทะลุร่างที่เลือนลางของเล้งซานราวกับอากาศธาตุ


"อย่าได้ออมมือ เชิญ" เล้งซาน ยกมือขวาขึ้นตวัดปลายนิ้วเล็กน้อยเป็นการเชื้อเชิญ


"เหอะ! รับกระบวนท่า!!"


คราวนี้อี้หลงหวัง ทะยานมาด้วยตนเองเพลงหมัดและเพราะเตะนับสิบกระบวน ถูกถาโถมเข้ามาใส่เล้งซาน เล้งซานแสยะยิ้มเล็กน้อย มันรับทุกกระบวนท่าด้วย 2 มืออย่างง่ายดาย จากนั้นค่อยๆขยับมือซ้ายของมันมาไขว้ที่กลางหลัง 


'มันรับทุกกระบวนท่าด้วยมือข้างเดียว!!'


ผู้คนรอบเวทีตื่นตะลึง!! พวกมันทุกคนมิกล้ากระพริบตาแม้แต่น้อย!! ตัวเก็งอันดับหนึ่งในการแข่งครั้งนี้ ชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วทิศเหนือแห่งทวีปเต่าทมิฬ ในฐานะอัจฉริยะอันดับ 1 โหมกระบวนท่าใส่ผู้ที่มีลมปราณด้อยกว่าตนถึง 8 ขั้น แต่กลับถูกรับไว้ทุกกระบวนท่าด้วยมือข้างเดียว!!


"วรยุทธร้ายกาจมาก!! แม้ลมปราณจะด้อยกว่า แต่การออกกระบวนท่า ไม่มีการสูญเปล่าแม้แต่น้อย หากนับที่ความเร็วและกระบวนท่า มันเหนือกว่าอี้หลงหวัง หลายขั้นนัก!!" เสวี่ยนอู่จิงฉาน กล่าวพร้อมเบิกตากว้าง


อี้หลงหวัง เห็นว่ามิอาจเอาชนะด้วยเพลงหมัด และกระบวนท่าได้ มันเร่งลมปราณสิบส่วนรวบรวมที่ฝ่ามือ


"ฝ่ามือทลายฟ้า!!"


เล้งซานหรี่ตาเล็กน้อย จากนั้นกดมือซ้ายลงที่พื้น และใช้มือขวารับฝ่ามือ



"มังกรเคลื่อนสมุทร!!"



ตูม!! 


"บ้าน่า!! มันถ่ายโอนพลังลมปราณของเราลงสู่พื้นเวที เป็นไปไม่ได้!!"


พื้นเวทีที่สัมผัสมือซ้ายของเล้งซาน แตกแหลกละเอียดเป็นวงกว้าง


อี้หลงหวังตกใจถึงขีดสุด มันไม่คิดว่าเล้งซานจะมีวิชาพิศดารเช่นนี้ มันถอนฝ่ามือและถอยรูดไปทันที


เล้งซาน มิย่อมให้ อี้หลงหวัง ได้ตั้งหลักมันทะยานร่างตามไป รวบรวมลมปราณไว้ที่หมัด และซัดใส่อี้หลงหวัง ทันที


ด้วยท่าร่างที่รวดเร็วของเล้งซาน อี้หลงหวังหมดทางหนี ได้เพียงเก็งลมปราณไว้ที่แขนและยกขึ้นตั้งรับ 


ตู๊มมมมมมมมมมม!!


 เสียงดังสนั่นไปทั่ว อี้หลงหวังกระเด็นร่วมสิบก้าว จนสุดขอบเวทีประลอง มันอยู่ในท่าที่ชันเข่าลงกับพื้นเวทีหนึ่งข้าง เงยหน้าขึ้นมองเล้งซานเล็กน้อยเลือดไหลออกจากมุมปาก


"ไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นการโจมตีของพลังลมปราณชั้นสีม่วง การปะทะเมื่อครู่ช่างมิต่างจากลมปราณสีครามขั้นกลาง" อี้หลงหวังรู้ทันทีว่ามันประเมินเล้งซานต่ำเกินไป


อี้หลงหวัง ค่อยๆลุกขึ้นยืน และจ้องมองไปที่เล้งซาน 


"เล้งซาน!! ตั้งแต่วันนี้ไปข้าขอยกตำแหน่งอัจฉริยะอันดับ 1 ของเมืองเมฆครามให้กับเจ้า แต่ตำแหน่งผู้ชนะในวันนี้นั้น ยอมต้องเป็นข้าอี้หลงหวัง!!"


"ขอขอบคุณคุณชายอี้หลง ข้าย่อมมิกล้ารับตำแหน่งอัจฉริยะอันดับ 1 ของเมืองเมฆคราม เพราะตำแหน่งที่ข้าต้องการคือ อันดับ 1 ของทวีปแห่งนี้!!"


เล้งซานกระจายลมปราณสีม่วงออกมามากมาย จนเกือบจะปกคลุมทั้งเวที


อี้หลงหวัง ก็โคจรพลังปราณอีกครั้ง ในรอบนี้ลมปราณที่กระจายออกมาหมุนวนรุนแรงจนสัมผัสเห็นชัดด้วยตาเปล่า


"นี่จะเป็นกระบวนท่าสุดท้ายของข้า!! หากยังมิอาจเอาชัยจากเจ้าได้ข้าอี้หลงหวัง แห่งพรรคกระบี่เหิน จะขอยอมรับความพ่ายแพ้ทันที!!" 


ปราณกระบี่ นับพันๆ สายพุ่งออกจากร่างของอี้หลงหวัง ปิดล้อมเล้งซานในทุกทิศทาง


"ปราณกระบี่ คลุมสวรรค์!!"


เล้งซานมองดูกระบี่ที่พุ่งมารอบทิศทาง มันแสยะยิ้มเล็กน้อย จากนั้นโคจรพลังรวมที่ ฝ่ามือทั้งสองข้าง



"เทพพิโรธทล่มฟ้า!!"
--20--

























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น