หน้าเว็บ

room 772-010

  room 772-010

https://fiction-no-limit1.blogspot.com/p/room-772-010.html

(1200-1224)



บทที่ 1200 เงาร่างที่โดดเดี่ยว


เกาก้วนดูดแผ่นหยกมาไว้ในมือ หลังจากอ่านคร่าวๆ รอบหนึ่ง เขาก็ลงตราอิทธิฤทธิ์ยืนยัน แล้วส่งให้เถิงเฟยที่อยู่ข้างๆ


ลูกน้องของเถิงเฟยก็ถือแผ่นหยกเข้ามารายงานเช่นกัน “รายงานจอมพล นับดูแล้วขอรับ สมาชิกผู้เข้าร่วมการทดสอบที่เข้ามามีทั้งหมดหนึ่งล้านแปดแสนห้าหมื่นสามร้อยยี่สิบสามคน”


เถิงเฟยก็ดูดแผ่นหยกมาไว้นมือเช่นกัน หลังจากอ่านจบแล้วก็ลงตราอิทธิฤทธิ์ส่งต่อให้เกาก้วน ทั้งสองฝ่ายยืนยันแล้วว่าจำนวนคนที่ส่งต่อให้กันไม่ผิดพลาด ทำแบบนี้จะได้ไม่มีคนโกงการทดสอบ


“ได้แล้วหรือยัง?” เถิงเฟยเก็บแผ่นหยกแล้วเอ่ยถาม


เกาก้วนพยักหน้า


“ถ่ายทอดคำสั่งลงไปให้ปล่อยได้!” เถิงเฟยเอียงหน้าสั่ง


เมื่อเสียงถ่ายทอดคำสั่งดัง กำลังพลหลายแสนที่ล้อมผู้เข้าร่วมการทดสอบก็วนกลับเข้ามาทางราวกับกางแขนสองข้างทันที เผยผู้เข้าร่วมทดสอบจำนวนหนึ่งล้านแปดแสนกว่าคนอยู่ในท้องฟ้าของแดนอเวจี


เห็นได้ชัดว่าผู้เข้าร่วมทดสอบรู้สึกปลอดภัยกว่าเมื่อโดนล้อมไว้ พอข้างหน้าเปิดทาง ก็ไม่มีใครกล้าขยับไปไหนซี้ซั้ว ทุกคนต่างกวาดสายตามองไปรอบๆ มีบางคนถึงขั้นกลืนน้ำลายด้วยความวิตกกังวล ที่จริงตั้งแต่เริ่มเข้ามาที่นี่ ที่จริงทุกคนก็เริ่มมองสำรวจท้องฟ้ารอบๆ ด้วยความวิตกกังวลตั้งแต่ตอนแรกที่เข้ามาแล้ว


เห็นได้ชัดว่าท้องฟ้าผืนนี้ไม่ปกติ อย่างน้อยก็แตกต่างจากท้องฟ้าปกติด้านนอก หมอกเพลิงที่อยู่ในจุดลึกของท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนแปลงสีสันอย่างพิลึกกึกกือ บางครั้งก็เหมือนหมอกบางที่พรั่งพรูออกมาจากหุบเขา บางครั้งก็เหมือนสัตว์ประหลาดกำลังอ้าปาก บางครั้งก็เหมือนเทพธิดาเริงระบำ บางครั้งก็เหมือนมารปีศาจที่กำลังยิ้มอย่างชั่วร้าย บางครั้งก็เหมือนภูเขาไฟปะทุ แสงสุกสกาวเปลี่ยนรูปแบบหลากหลายอยู่ในจุดลึกของท้องฟ้า


ที่แปลกที่สุดก็คือ ในจุดลึกของท้องฟ้าเหมือนมีเสียงคนกระซิบพึมพำอยู่เสมอ บางครั้งก็มีเสียงกรีดร้อง แต่ถ้าฟังให้ดีๆ ที่จริงแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรสักนิดเลย


“เจ้าได้ยินหรือเปล่า?”


“ได้ยินแล้ว”


มีบางคนอดไม่ได้ที่จะถามเพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างกาย ผลปรากฏว่าแน่ใจแล้วว่าไม่ได้หูแว่วไปเอง มีเสียงประหลาดดังอยู่ในท้องฟ้าผืนนี้จริงๆ


ทว่าตามหลักการแล้ว ภายใต้สถานการณ์ปกติ ถ้าไม่ได้ร่ายอิทธิฤทธิ์ก็ไม่มีทางที่จะส่งเสียงออกมาได้เลย แต่ไม่รู้สึกเลยว่าในเสียงที่ดังแว่วนั้นมีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ใดๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงดังออกมาได้อย่างไร อย่างไรเสียก็รู้สึกว่าไม่ใช่เสียงปกติ เหมือนมีคนกำลังเปล่งเสียงอยู่ในหัวสมองของตัวเอง ไม่ใช่เสียงที่ดังผ่านหู พอเป็นแบบนี้ก็ยังเพิ่มรสชาติความเหลวไหลลวงโลกให้กับท้องฟ้าผืนนี้ไม่น้อยเลย


“นายท่าน ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จะเริ่มเลยมั้ยขอรับ?”


หลังจากคุยกับลูกน้องพักหนึ่ง จุยหย่วนก็เหาะไปรายงานตรงหน้าเกาก้วนและเถิงเฟยที่ยืนอยู่บนที่สูงอีกครั้ง


เกาก้วนกวาดสายตามองกำลังพลนับล้านที่สวมเกราะทอง แล้วพยักหน้าเบาๆ “เริ่มได้!”


“รับทราบ!” จุยหย่วนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง หันตัวมาโบกมือ นำกลุ่มที่ปรึกษาเหาะไปตรงหน้าสุดของทัพใหญ่หนึ่งล้าน


กลองสะท้านฟ้าเส้นผ่าศูนย์กลางหน้ากลองยาวถึงห้าจั้งที่เลี่ยมขอบทองลายเมฆถูกเรียกออกมาจำนวนสิบสองใบ เรียงเป็นหนึ่งแถวโดยเว้นระยะเท่าๆ กัน เรียงแถวอยู่ตรงหน้าสุดของทัพใหญ่นับล้าน


จุยหย่วนเหยียบลงบนกลองลูกหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง เผชิญหน้ากับทัพใหญ่หนึ่งล้าน แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดัง “ผู้เข้าร่วมทดสอบทุกคนฟังคำสั่ง ใช้กลองนี้เป็นเขตแดน เริ่มการทดสอบนอกเขต เมื่อเสียงกลองดังจบสามยก แล้วมีใครยังไม่ออกจากเขต ประหาร! เริ่มการทดสอบ ตีกลอง!”


ทหารที่ลอยอยู่หน้ากลองใหญ่ร่ายอิทธิฤทธิ์โบกไม้กลอง ควงแขนสองข้างตีหน้ากลองอย่างบ้าคลั่ง


ตุ้งๆๆๆๆ…


เสียงกลองที่ทุ้มต่ำทว่ามีจังหวะเขย่าใจคนดังก้องอยู่ในท้องฟ้า


พอคำสั่งประหารและคำสั่งเริ่มการทดสอบดังขึ้น รูปขบวนของทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เข้าร่วมทดสอบก็วุ่นวายทันที เพื่อที่จะหลบเลี่ยงคำสั่งประหารก่อน พวกเขาไม่สนใจอะไรแล้ว ออกจากเขตแดนให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน


กำลังพลหนึ่งล้านแปดแสนไหลพุ่งจากระหว่างกลองสะท้านฟ้าขนาดใหญ่สิบสองใบราวกับอุทกภัยทันที


พอมีกลองมาวาดเส้นแบ่งเขตแดนสำหรับออกเดินทาง คนส่วนใหญ่ก็เริ่มลนลานวุ่นวาย ถอดเกราะรบเครื่องแบบตำหนักสวรรค์บนตัว เปลี่ยนใส่เกราะรบผลึกม่วง หรือไม่ก็เกราะรบผลึกแดงที่ขั้นสูงยิ่งกว่านั้น คนที่มีปัจจัยพร้อมถึงขั้นเรียกสัตว์เทพออกมาเป็นสัตว์พาหนะแล้ว


ส่วนคนที่ไม่มีปัจจัย ส่วนใหญ่เป็นผู้เข้าร่วมทดสอบที่มาฝ่าฟันเพื่ออนาคต เดิมทีก็มาเพราะกลุ้มใจที่ไร้โอกาสแสดงความสามารถอยู่แล้ว จะหาสัตว์เทพที่ไหนมาเป็นสัตว์พาหนะได้ล่ะ ส่วนใหญ่ไม่มีเกราะรบขั้นสูงด้วยซ้ำ ทำได้เพียงสวมเกราะรบเครื่องแบบของตำหนักสวรรค์แก้ขัดไป


พวกจางฮั่นฟางเปลี่ยนสวมเกราะรบผลึกแดง ซูลี่เด็กติดตามของพวกเขาทำได้เพียงอิจาฉาตาร้อน แต่ถึงอย่างไรก็ทำมาหากินอยู่ที่ตลาดสวรรค์ เกราะรบผลึกม่วงก็ยังพอถูไถหามาได้ ไม่นับว่าเป็นเกราะรบผลึกม่วงขั้นสูงสักเท่าไร เป็นแบบธรรมดาทั่วไป


ขณะที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย กำลังพลแต่ละฝ่ายก็รีบเข้าหากลุ่มคนที่ตัวเองดึงมาเป็นพรคคพวกไว้ก่อนหน้านี้ พวกเขาพยักหน้าทักทายกันอย่างกระตือรือร้น รอยยิ้มเต็มไปหน้า เรียกได้ว่าสุภาพเกรงใจต่อกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซูลี่ย่อมยังคงตามติดอยู่ข้างหลังพวกจางฮั่นฟาง


มีการรวมพลทั้งกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่อย่างรวดเร็ว คนที่อยู่ในกลุ่มมีทั้งมากทั้งน้อย ที่สำคัญคือต้องดูว่าคนที่เป็นแกนกลางของกลุ่มมีภูมิหลังใหญ่โตขนาดไหน คนที่มีภูมิหลังใหญ่โตก็จะรวบรวมคนได้เอยะกว่า


การหาพวกเข้ากลุ่มรอบนี้ไม่ได้ทำไปเพื่อการเข่นฆ่าระหว่างกัน สาเหตุแรกคือเกาะกลุ่มกันไว้เพื่อปกป้องชีวิต ป้องกันไม่ได้โดนฆ่าทำร้าย ต่อให้จะมีการเข่นฆ่าระหว่างกัน แต่ก็เป็นหลังจากที่มีการวาดผลลัพธ์การสำรวจออกมาแล้วแล้ว ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นตอนนี้


แม้แต่ผู้เข้าร่วมทดสอบทั่วไปที่ไม่มีภูมิหลังก็ยังรีบเข้าไปรวมตัวกับกลุ่มใหญ่ๆ ไม่ได้กังวลว่าในการทดสอบครั้งนี้จะมีความขัดแย้งภายใน หรือถูกคนยึดแย่งผลงานที่สำรวจมาได้อย่างยากลำบาก สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย ตำหนักสวรรค์มีตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แปดพันกว่า หรือพูดได้อีกอย่างว่าหนึ่งกลุ่มเพียงพอที่จะจุได้แปดพันคน


แบบนี้ก็หมายความว่าสิ่งที่คนหนึ่งคนสำรวจได้สามารถแบ่งคนได้ทั้งกลุ่ม ถ้าคนทั้งกลุ่มแบ่งปันกัน แบบนั้นทุกคนก็จะมีผลประโยชน์มากกว่า จะได้คะแนนมากกว่า ถ้าตอนสุดท้ายของการทดสอบกลุ่มไหนทำคะแนนได้เหนือกว่า ก็หมายความว่าคนทั้งกลุ่มจะสามารถเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ได้


เมื่อมีกฎกติกาแบบนี้ เบื้องล่างก็ย่อมมีแผนสำหรับหาช่องโหว่ของกติกา


“ตอนนี้ยังกินอีกเหรอ สมองมีปัญหาแล้วมั้ง?” ชายรูปร่างผอมสูงที่สวมเกราะรบสีแดงทุบพุ่งใหญ่ของชายอ้วนที่อยู่ข้างกัน


ชายอ้วนขาวที่สวมเกราะรบผลึกแดงถือน่องไก่กัดคำหนึ่ง แล้วกรอกสุราใส่ปากคำหนึ่ง เขาเคี้ยวพลางส่ายหน้า แล้วตอบอย่างคลุมเครือว่า “ถ้าท้องข้าไม่มีอาหาร ข้าก็จะไม่มีความมั่นใจ ในห้องต้องมีอาหารเพียงพอ หัวใจถึงจะไม่หวาดกลัว เฮ้อ! ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน ให้ข้าเตรียมตัวเป็นผีที่ไม่หิวโหยเถอะ”


เตรียมตัวทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อุปกรณ์ก็เปลี่ยนครบแล้ว รวมกลุ่มเสร็จหมดแล้ว พวกจางฮั่นฟางถึงได้มีกะจิตกะใจไปสนจอย่างอื่น จู่ๆ ผู้บัญชาการใหญ่เหลียนฟางอวี้ก็ถามอย่างแปลกใจว่า “หนิวโหย่วเต๋อล่ะ? เขาคงไม่หนีไปแล้วหรอกใช่มั้ย?”


“อยู่นั่นไง ยังไม่ออกจากเขต!” ซูลี่ชี้บอก เขาเฝ้าระวังเหมียวอี้มาตลอด สังเกตทิศทางการเคลื่อนไหวของเหมียวอี้อยู่เป็นระยะ


พอได้ยินแบบนั้น พวกจางฮั่นฟางก็มองเข้าไปในเขตที่ถูกแบ่งโดยกลองทันที เงาร่างที่สวมเกราะม่วงยืนโดดเดี่ยวอยู่ในจุดเริ่มต้น คนที่อยู่รอบข้างไปหมดแล้ว มีเพียงเขาคนเดียวที่ลอยอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน


กลุ่มคนกรูกันออกมา จ้านหรูอี้ที่สวมเกราะรบหยกแดงขี่สัตว์เกราะทองคำรามฟ้า ในมือถือทวนยาว นำกลุ่มคนโผล่ออกมา แม้แต่คนในกลุ่มนางรวมทั้งนางก็ยังจ้องไปที่เงาร่างโดดเดี่ยวในเขตแดนนั้น


จาเหรินจวิ้นเปลี่ยนมาสวมเกราะรบหยกแดงแล้วเช่นเดียวกัน ตอนนี้กำลังขี่เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็น ในมือถือทวนยาว นำคนกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมา จ้องมองเงาร่างโดดเดี่ยวในเขตแดนด้วยสีหน้าเยาะเย้ยถากถาง


“สถานการณ์อะไรกัน?” ชายอ้วนกำลังถือน่องไก่และกรอกสุราใส่ปาก เขาพบเห็นทิศทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนแปลกไป จึงหันไปมองแล้วถามว่า “เจ้าหนุ่มนั่นเป็นใคร ทำไมยังไม่ออกจากแขตแดน?”


ชายรูปร่างผอมไว้หนวดเคราและจอนผมที่อยู่ข้างกันตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อ! ข้ากับเขาเคยรู้จักกันตอนการทดสอบครั้งก่อน” เขาไมม่ใช่ใครที่ไหน โฉวตั้งไห่ลูกน้องของโค่วเหวินหวงที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งก่อน มีหรือที่จะไม่รู้จักเหมียวอี้


การทดสอบครั้งก่อนไม่ราบรื่น อนาคตของโค่วเหวินหวงในตระกูลโค่วตกต่ำลง  ถูกโค่วเหวินหลานแทนที่ โฉวตั้งไห่ที่ก้าวเท้าพลาดย่อมอับอายอยู่แล้ว การทดสอบครั้งนี้ก็นับว่าเป็นฝ่ายมาลงชื่อสมัครเอง ตอนนี้พอได้เห็นเงาร่างที่โดดเดี่ยวนั่นก็เรียกได้ว่าแค้นจนกัดฟันกรอด ถ้าไม่ใช่เพราะคนคนนี้ เขาก็คงไม่ต้องมาลงชื่อสมัครเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้


ชายร่างผอมสูงที่อยู่ข้างชายอ้วนอุทานอย่างตกตะลึง “เขาคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? จุจุ สถานการณ์ไม่ดีเลยนะ! ดูท่าแล้วคงยากที่จะพ้นเคราะห์! แต่ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราหรอก ตระกูลโค่วสั่งมาแล้ว จะไม่ไว้หน้าก็ไม่ได้ บอกต่อๆ กันไว้ด้วย ให้ทุกคนอยู่ห่างจากขบวนการสู้รบนี้เอาไว้หน่อย ภายนอกต้องไว้หน้ากัน กลับไปจะได้อธิบายกับตระกูลโค่วได้สะดวก เมื่อถึงตอนนั้นจะได้ไม่อธิบายลำบาก”


กำลังพลสี่แสนกว่าของสายระกา สายจอ สายกุนบอกข่าวต่อๆ กันแล้ว ตอนนี้กำลังทยอยกันออกจากขบวนทัพใหญ่หนึ่งล้าน เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้น


และเบื้องล่างก็ยังมีคนที่นับว่าเป็นผู้มีฝีมือในการทดสอบครั้งนี้ทยอยกันโผล่ออกมาจากกลุ่มคน พวกเขาปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าและด้านหลังของแถวทัพใหญ่ จ้องมองเงาร่างที่โดดเดี่ยวด้วยสายตาเย็นเยียบ


เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่สวมเกราะรบหยกแดงกำลังขี่นกชิงหลวน ในมือถือดาบใหญ่ นำคนเบียดออกมาจากกลุ่มคน เขามองดูคนทางซ้ายและขวาที่กำลังใช้สายตาดุร้ายจ้องเหมียวอี้ แล้วลูบคางพร้อมด่าว่า “แม่งเอ๊ย ลงนามสัญญาบ้าอะไรล่ะ ไอ้เวรนี่มันจะตายห่าตั้งแต่ตอนเริ่มต้นแล้ว”


ต่งอิ้งเกาที่ยืนอยู่ข้างกันจ้องเงาร่างที่โดดเดี่ยวพร้อมพูดเย้ยว่า “พี่เซี่ยโห้วไม่ต้องลงมือเองหรอก อีกประเดี๋ยวถ้ามีโอกาส ข้าจะเด็ดหัวมันมาให้พี่เซี่ยโห้วระบายความโกรธ”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงหันกลับมาบอกว่า “เจ้าแย่งได้เหรอ? คนที่อยากจะฆ่าเขาไม่ได้มีแค่คนสองคน ไม่ได้มีแค่กลุ่มสองกลุ่มด้วย”


“คนเยอะแล้วยังไงล่ะ ต่งคนนี้จะพยายามเต็มที่!” ต่งอิ้งเกากล่าวอย่างอวดดี


ฝานอวี้เฟยมาปรากฏตัวอยู่ข้างกาย บอกว่า “อย่าประมาทเชียวนะ ข้าเคยประมือกับเขามาก่อน คนคนนี้เป็นทหารกล้าที่หาพบได้ยาก เชี่ยวชาญการสู้รบ ไม่ใช่ผู้ที่คนธรรมดาจะสู้ไหว!”


นางคือลูกน้องของเซี่ยโห้วหู่เฉิง สาเหตุที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากโฉวตั้งไห่เท่าไร อีกสาเหตุหนึ่งคือได้รับคำสั่งจากเซี่ยโห้วหู่เฉิงให้มาปกป้องเซี่ยโห้วหลงเฉิง


“นั่นก็ต้องดูว่าเป็นใคร” ต่งอิ้งเกาหัวเราะเบาๆ พลางพูดเหน็บแนม นอกจากทวนยาวที่ถืออยู่ในมือ เขายังยกมือลูบ ‘ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์’ ที่สะพายเฉียงอยู่ที่บ่าด้วย


“เชอะ!” ฝานอวี้เฟยเชิดใส่ เพียงแต่แววตาที่มองเงาร่างโดดเดี่ยวแทบจะมีไฟลุกออกมา ตอนนี้นางมีฉายา ‘สาวงามผมแหว่ง’ แล้ว นี่เป็นความอัปยศของนาง และเป็นผลงานของคนคนนั้นด้วย


ตรงทางออก โค่วเหวินชิงที่อยู่ในขบวนแถวที่ปรึกษามองดูเงาร่างที่โดดเดี่ยวในสนาม ในใจรู้สึกปลงอนิจจัง ทำสีหน้าเหมือนทนมองตรงๆ ไม่ได้ แล้วก็มองดูกำลังพลกลุ่มใหญ่ของตระกูลโค่วที่กำลังแยกตัวออกไป นางแอบทอดถอนใจ ถึงอย่างไรตระกูลโค่วก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว


ปี้เย่วฮูหยินที่อยู่ในขบวนแถวแม่ทัพภาคจ้องมองเงาร่างที่โดดเดี่ยว นางส่ายหน้าเบาๆ พลางถอนหายใจ ถึงอย่างไรก็เคยเป็นลูกน้องคนสนิท ตอนนี้กลับได้แต่มองดู…


“โง่เง่าจริงๆ!” เมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่ที่เข้าร่วมการทดสอบรวมกลุ่มหาพวกกันหมดแล้ว เถิงเฟยก็อดไม่ได้ที่จะพ่นเสียงทางจมูก “ถ้ากระจายตัวกันจะมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่า การรวมกลุ่มอยู่ด้วยกันเป็นการรนหาที่ตาย ไม่คิดดูบ้างเลย…หืม? คนคนนั้นคือใคร ทำไมยังไม่ลงสนาม สงสัยจะมีคนไม่เห็นคำสั่งประหารของทูตขวาเกาอยู่ในสายตาซะแล้ว!”


เขาพบว่าผู้เข้าร่วมทดสอบจำนวนมากมีปฏิกิริยาแปลกไป สายตาจึงจ้องตามไปเจอเงาร่างที่โดดเดี่ยวอยู่ในสนาม


สายตาของเกาก้วนก็หยุดอยู่บนเงาร่างที่โดดเดี่ยวนั่นเช่นกัน “จะเป็นใครไปได้ล่ะ? คนที่พังร้านค้าของตระกูลเจ้าไง อย่าบอกนะว่าจอมพลเถิงจำไม่ได้?”


…………………………

บทที่ 1201 ใครขวางข้า ตาย!


“พังร้านค้าของข้า…” จอมพลเถิงงงไปชั่วขณะ ด้วยฐานะอย่างเขา เรื่องบางอย่างถ้าผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไป จะเอาแต่จดจำตัวละครเล็กๆ อย่างเหมียวอี้ได้อย่างไร แต่ในขณะที่ตะลึงงัน หางตาก็ไปหยุดอยู่บนเกราะม่วงของแม่ทัพบนตัวเหมียวอี้ เมื่อเชื่อมโยงกับคำพูดของเกาก้วน เขาก็เข้าใจในทันที “หนิวโหย่วเต๋อ? เขาคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”


“เป็นเขานั่นแหละ!” เกาก้วนพยักหน้าเล็กน้อย “ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่ต่ำต้อยคนหนึ่ง แต่สามารถทำให้จอมพลเถิงลำบากจดจำชื่อไว้ได้ ก็นับว่าเป็นเกียรติของเขาเหมือนกัน”


ขณะที่เถิงเฟยมองเหมียวอี้อย่างงุนงง ก็พูดเหน็บแนมกลับเช่นกัน “สามารถทำให้ทูตขวาเกาจดจำได้ทั้งชื่อทั้งตัว เกรงว่าจะเป็นเกียรติยิ่งกว่า?”


เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่เหมือนกัน ข้าเห็นเขาตั้งแต่การทดสอบครั้งก่อนแล้ว ตอนหลังเมื่อเกิดคดีร้านค้าที่ดาวเทียนหยวนข้าก็สอบสวนเขาด้วยตัวเอง นับว่าดึงดูดความสนใจของข้าแล้ว ข้าพบว่าเขามีความสามารถ อยากจะรับเขามาทำงานในหน่วยตรวจการฝ่ายขวา แต่เขากลับไม่ตอบตกลง เขาย่อมตราตรึงอยู่ในความทรงจำของข้าอยู่แล้ว”


เถิงเฟยลูบเคราพลางกวาดสายตามองกลุ่มคนที่จ้องมองอย่างดุร้าย “งั้นตอนนี้เขาก็คงจะนึกเสียใจทีหลังแทบตายแล้ว ถ้าไปทำงานกับทูตขวาเกาตั้งแต่แรก ก็คงไม่เกิดเรื่องอย่างวันนี้ขึ้นกับเขา วันนี้เจ้าเด็กนี่ไม่รอดแล้ว เนรคุณความปรารถนาดีของทูตขวาเกาเสียแล้ว!”


“ก็ไม่แน่หรอก! คนที่ทำให้ข้ามองเห็นความสำคัญได้ ย่อมต้องมีฝีมืออยู่บ้าง ไม่ครจะตกต่ำอยู่ที่นี่สิถึงจะถูก” เกาก้วนกล่าว


“อ้อ!” เถิงเฟยกล่าวอย่างรู้สึกสนใจทันที “ถ้าเขารอดชีวิตกลับมาได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วจริงๆ พวกเรามาเดิมพันกันดีมั้ย ข้าเดิมพันว่าเขาต้องตายอยู่ที่นี่ เจ้าบอกเงินเดิมพันมาสิ!”


“ไม่มีอะไรน่าเดิมพัน!” สายตาของเกาก้วนจ้องเหมียวอี้อย่างสงบเงียบ “ถ้าแม้แต่เหตุการณ์เล็กๆ แบบนี้ยังผ่านไปไม่ได้ เช่นนั้นก็เลือกคนผิดแล้วจริงๆ…”


“เลือกคนผิดเหรอ?” เถิงเฟยหันกลับมาถามอย่างแปลกใจ


เกาก้วนถือโอกาสพูดต่อว่า “ถ้าแม้แต่อุปสรรคแบบนี้ยังก้าวข้ามไปไม่ได้ ก็แสดงว่าตอนแรกข้าไม่ควรเลือกเขา เป็นอย่างที่เจ้าบอก ในเมื่อเนรคุณความปรารถนาดีของข้าแล้ว ไม่สู้ตายอยู่ที่นี่ไปเสียดีกว่า ในอนาคตจะได้ไม่ยึดครองตำแหน่งแล้วทำเสียเรื่อง เป็นการทดสอบไง ทดสอบทั้งคนอื่น แล้วก็ทดสอบเขาด้วยเหมือนกัน ถ้าผ่านด่านนี้ถึงจะใช้ทำงานสำคัญได้ ถ้าไม่ผ่านตำแหน่งจะได้ว่าง ตำแหน่งบางคำแหน่ง พวกไร้ความสามารถไม่มีวาสนาได้ครองหรอก นี่เป็นจุดประสงค์ที่ราชินีสวรรค์จะปรับปรุงตลาดสวรรค์ไม่ได้เหรอ?”


“เหตุการณ์เล็กๆ? คันดินแบบนี้?” เถิงเฟยหลุดขำอย่างอัศจรรย์ใจ “เจ้าคิดว่าเขามีวรยุทธ์เท่าเจ้าเหรอ? เหตุการณ์นี้ อุปสรรคนี้ไม่เล็กสำหรับเขาเลยนะ เจ้าไม่ดูบ้างล่ะว่ามีคนตั้งเท่าไรอยากให้เขา…” คำพูดหยุดชะงัก ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้


เกาก้วนเอียงหน้าช้าๆ มองไปที่เขา แต่กลับเห็นจอมพลเถิงทำหน้าตึงและรีบหยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อกับใคร


ที่จริงคำพูดของตัวเองเมื่อครู่นี้ก็ทำให้เถิงเฟยนึกขึ้นได้เช่นกัน เขาคาดเดาว่าในบรรดาคนที่ล้อมโจมตีเหมียวอี้คงจะมีคนของเขาด้วย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ไม่ใช่การคาดเดา แต่แน่ใจว่ามีคนของเขาแน่นอน


ความคิดจิตใจของพวกลูกน้องเป็นอย่างไร ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขานั่งรักษาการณ์อยู่ที่นี่ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา พวกลูกน้องจะต้องยิ่งอยากทุ่มเทกำลังเพื่อแสดงผลงานแน่นอน


การตายของเหมียวอี้คนเดียวไม่สำคัญอะไรสำหรับเขา ถ้าลูกน้องต้องการจะทำแบบนี้ เขาก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไรเหมือนกัน คนที่กล้ามาลูบเคราของเขา ถ้าไม่ให้บทเรียนไว้สักหน่อย หรือถ้าไม่เชือดไก่ให้ลิงดูสักหน่อย ต่อไปไม่ว่าใครก็กล้าทำซี้ซั้วน่ะสิ ร้านค้าของจอมพลเถิงไม่ได้พังกันง่ายๆ ขนาดนั้น


เมื่อเดินขึ้นมาอยู่ในระดับอย่างเขา บารมีชื่อเสียงกับความน่าเกรงขามของตัวเองก็ไม่ได้มาจากการกระทำของตัวเองแล้ว ถ้าวางมาดแบบนั้นจะเสียเกียรติ แต่ต้องอาศัยให้พวกลูกน้องขับดุนให้เด่น เมื่ออยู่ในระดับนี้ การไม่วางมาดต่างหากที่เป็นมาดอันสง่างามอย่างแท้จริง และแน่นอน คนที่อยู่ในระดับอย่างเขาก็ไม่มีทางไปเสนอะแนะให้ลูกน้องทำเรื่องพรรค์นี้เช่นกัน ถ้ารู้ไปถึงไหนก็เสียเกียรติอยู่ดี แค่ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็พอแล้ว


แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้ เรื่องราวแสดงให้เห็นอยู่ทนโท่ หนึ่งในสิบสองจอมพลผู้สง่าผ่าเผยมองดูกลุ่มลูกน้องตัวเองรุมตัวละครเล็กๆ คนหนึ่ง แบบนี้มันใช่เรื่องเสียที่ไหนกัน? จอมพลคนอื่นๆ สามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้ แต่เรื่องเกิดอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ได้เหรอ?


นี่คือการทดสอบที่ราชินีสวรรค์ใช้อำนาจนอกวังหลังเพื่อจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ถ้าเขาเอาแต่ปล่อยให้ลูกน้องทำแบบนี้โดยไม่ห้าม ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว บางครั้งการมีตำแหน่งสูงเกินไปก็เป็นอุปสรรคเหมือนกัน


แต่คนที่เข้าร่วมทดสอบครั้งนี้ โดยส่วนใหญ่ก็มีแต่ตัวละครเล็กๆ ทั้งนั้น เขาไม่มีทางติดต่อกับคนกลุ่มนี้ได้โดยตรง ตอนนี้กำลังรีบติดต่อกับพ่อบ้านของตัวเอง สั่งให้จัดการเรื่องนี้อย่างด่วนจี๋เป็นพิเศษ


เขาใจร้อนขนาดนี้ ลูกน้องก็ย่อมไม่ชักช้า ข่าวกระจายไปถึงผู้นำทัพของกำลังพลสายชวดอย่างรวดเร็ว


มีการตอบสนองเร็วมาก เห็นในทัพใหญ่หนึ่งล้านเกิดความวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง กำลังพลหนึ่งแสนกว่าคนของสายชวดรีบปลีกออกจากทัพใหญ่อย่างรวดเร็ว ออกห่างไปเหมือนกำลังพลของตระกูลโค่ว ออกห่างจากความขัดแย้งสนามนี้ไป


เมื่อเห็นการตอบสนองที่รวดเร็วแบบนี้ เถิงเฟยที่จ้องไม่ละสายตาก็ถอนหายใจเบาๆ


เกาก้วนเหล่ตามองสำรวจ พอเห็นการเคลื่อนไหวที่เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่แบบนี้ ก็พอจะเดาได้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงกล่าวเสียงเรียบว่า “จอมพลเถิง ตัวเจ้าอยู่ในสนามทดสอบ ควบคุมสถานการณ์ในสนามทดสอบแบบนี้ กำลังทำผิดกฎปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ!”


“ทำผิดกฎอะไร?” เถิงเฟยลูบเคราพูดเหยียดว่า “ทูตขวาเกาไปฟ้องข้าต่อหน้าราชันสวรรค์หรือไม่ก็ราชินีสวรรค์ก็สิ้นเรื่องแล้ว”


อีกฝ่ายพูดไม่ผิดหรอก ตามกฎกติกา คนที่อยู่ในสนามทดสอบนี้ หากไม่ใช่ผู้ที่เข้าร่วมทดสอบก็ห้ามแทรกแซงการทดสอบ แต่การแหกกฎแบบนี้ ต่อให้อีกฝ่ายจะฟ้องร้องอย่างไรก็ทำอะไรเขาไม่ได้


เกาก้วนกล่าวอย่างสบายใจว่า “เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวข้าจะรายงานขึ้นไปตามความจริงแน่”


เถิงเฟยขี้คร้านจะสนใจเขา


เสียงกลองหยุดลง เสียงกลองหนึ่งยกจบไปแล้ว จุยหย่วนที่ยืนอยู่เหนือกลองหันกลับมามองเงาร่างที่โดดเดี่ยวนั้น เขาเองก็รู้จักเหมียวอี้เช่นกัน เมื่อเห็นเหมียวอี้ยังไม่ลงสนาม เขาก็ขมวดคิ้วนิดหน่อย โบกมือสั่งให้ตีกลองยกที่สอง


เหมียวอี้ยืนลำพังอยู่ที่เดิม สาเหตุที่ทำแบบนี้ไม่ใช่เพื่อวางมาดหล่อ วางมาดภูมิฐาน และไม่ใช่เพื่อเรียกร้องความสนใจด้วย แต่เป็นเพราะเมื่อครู่นี้ถูกกดดันจนหมดทางเลือกแล้วจริงๆ


บอกได้เพียงว่าดวงไม่ดี มารดาเจ้าเถอะ ตำแหน่งที่เขายืนไม่ได้อยู่ข้างหน้าสุดหรือข้างหลังสุด แต่ซ้ายขวาหน้าหลังของเขาเต็มไปด้วยคน เขาโดนล้อมอยู่ตรงกลางทัพใหญ่หนึ่งล้านคนพอดี ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่ได้เตรียมตัวเลยสักนิด ต่อให้เขาจะมั่นใจในตัวเองแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าตามขบวนทัพพุ่งออกไปนอกเขตป้องกันทั้งๆ ที่รู้ว่ามีคนโขยงใหญ่ต้องการจะฆ่าตัวเอง ถ้าคนที่อยู่รอบข้างรวมตัวกันมาโจมตีเขา ถ้าไม่ตายก็แปลกแล้ว เขาไม่ได้มีร่างกายเป็นทองคำที่จะไม่บุบสลาย


ดังนั้นภายใต้ความจนใจ เขาจึงทำได้เพียงทำตัวโดดเด่นเหนือคนอื่น ปล่อยให้ทึกคนชื่นชมไป ที่จริงเขาไม่อยากทำตัวนอกคอกแบบนี้เลย


ส่วนตรงด้านหน้า ก็มีคนหลายกลุ่มกำลังจ้องมองเขา ขนาดตอนยังไม่เข้าร่วมการทดสอบก็มีคนจ้องมองเขาอย่างดุร้ายอย่างเสือแล้ว ไม่ใช่คนจำนวนน้อยๆ ด้วย


เขารู้ตั้งแต่ก่อนการทดสอบแล้ว ว่าเมื่อตัวเองเข้าสู่สนามทดสอบ นั่นก็อาจจะเป็นเวลาที่อันตรายที่สุดสำหรับเขา แต่นึกไม่ถึงว่าหลังจากไอ้พวกเวรตะไลมันรวมกลุ่มกันแล้ว จะมีคนกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ดักทางตัวเองไว้ ดึงผู้เข้าร่วมทดสอบทั่วไปที่ไร้ภูมิหลังไร้อำนาจมาปะปนอยู่ด้วยกัน


ที่ฝั่งตรงข้าม ยังไม่มีใครออกไปทดสอบสักคน ต่างก็กำลังเฝ้ารอตนอยู่ตรงนั้นอย่างดุร้าย บางทีอาจจะมีบางคนมาดูเอาสนุก ช่างประเมินผู้บัญชาการใหญ่หนิวสูงจริงๆ!


เดิมทีเขาคิดว่าการที่มีคนหลักพันหรืออย่างมากก็หลักหมื่นพุ่งเป้ามาที่เขาก็แย่มากแล้ว ด้วยศักยภาพ ประสบการณ์และความมั่นใจจากการรบมาทั้งชีวิตของเขา ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่วงล้อมไม่หนาแน่น เดิมทีก็คิดว่าจะสามารถสังหารฝ่าทางออกไปได้ แต่เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้เผชิญหน้ากับทัพใหญ่จำนวนหนึ่งล้านเพียงลำพัง ต้องอาศัยกำลังของตัวเองเผชิญกับทัพใหญ่หนึ่งล้านของตำหนักสวรรค์!


นี่เป็นจำนวนคนที่มากมายหมือนทะเลเหมือนภูเขา! จะฝ่าออกไปได้เหรอ? จะเอาตัวรอดได้เหรอ?


ที่เขายืนเงียบเหงาอยู่ตรงนี้ไม่ขยับไปไหน ไม่ใช่เพราะกลัวการต่อสู้ ก่อนการทดสอบยังกังวลอยู่บ้างนิดหน่อย แต่มากังวลตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ดังนั้นในใจเขาตอนนี้ไม่คิดด้วยซ้ำว่าคำว่า ‘กลัว’ หน้าตาเป็นอย่างไร แต่กำลังครุ่นคิดพิจารณาถึงปัญหานี้อยู่จริงๆ ไม่ครุ่นคิดคงไม่ได้!


เสียงกลองยกแรกหยุดลง เสียงกลองยกสองที่ดังขึ้นได้ดึงเขากลับมาจากความรู้สึกนึกคิดอย่างช้าๆ เขาค่อยๆ กวาดสายตามองกำลังพลที่มากมายดุจขุนเขาและมหาสมุทร


เขาพิจารณาอย่างกระจ่างมากแล้ว คิดจะหนีเหรอ? ถึงแม้ความเร็วของเฮยทั่นจะไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ถนัดเรื่องการเหาะเหิน ไม่มีทางพาตนหนีไปได้เลย ถ้าหนีจะต้องโดนไล่ตามแน่นอน และถ้าจะสู้ด้วยของวิเศษล่ะ? ของวิเศษของตนไม่เหมาะกับการโจมตีหมู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการโจมตีหมู่ของคนนับล้านเลย มิหนำซ้ำของวิเศษในมืออีกฝ่ายก็ไม่ได้แย่กว่าของตนด้วย แถมยังมีจำนวนมากกว่านแน่นอน ถึงอย่างไรก็มีลูกหลานของผู้มีอำนาจมากมาย เป็นไปไม่ได้ที่จะทรัพย์จาง ถ้าประลองของวิเศษกันจะเป็นการรนหาที่ตาย


จะถอนตัวจากการทดสอบก็ไม่ได้ จะหนีก็ไม่พ้น ทั้งยังต้องหาทางหลบเลี่ยงการโจมตีจากของวิเศษจำนวนมากของอีกฝ่ายด้วย วิธีการเดียวที่เป็นไปได้ก็คือรุกโจมตี สังหารเข้าไปในฝูงชน อาศัยโอกาสที่อีกฝ่ายใช้ของวิเศษไม่สะดวกเพราะมีคนเยอะเกินไป นี่คือทางออกเดียวที่พอจะเป็นไปได้


อวิ๋นจือชิว พวกเจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปดีๆ นะ!’


ในใจพึมพำประโยคนี้เงียบๆ ความคิดในใจก็ถูกกำหนดแล้วเช่นกัน ตอนที่ปณิธานอันแน่วแน่ค่อยๆ ปรากฏอยู่ในแววตา เสียงกลองยกที่สองก็จบลงแล้ว


สายตาของทุกคนมารวมอยู่บนตัวเขาหมดแล้ว ต่างก็กำลังสงสัยว่าเขาจะกล้าออกไปหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ออกไปก็จะตายสถานเดียว


เกาก้วนไม่คุยเล่นกับเถิงเฟยอีก สายตากำลังจ้องเขาอย่างเย็นชา เถิงเฟยก็กำลังจ้องเขาเช่นกัน


ท่ามกลางทัพใหญ่หนึ่งล้านมีคนไม่น้อยที่กำลังจ้องเขาด้วยแววตาหยอกล้อ ทุกคนกำลังจับตาดูปฏิกิริยาของเขา


พอจุยหย่วนที่กำลังยืนมองเขาอยู่บนกลองโบกมือ ตุ้งๆๆๆ…กลองยกที่สามเริ่มดังขึ้นแล้ว


เหมียวอี้ที่ถอนหายใจช้าๆ เฮือกหนึ่งกางแขนสองข้าง เกราะรบบนตัวกลายเป็นหมอกสีม่วงเก็บเข้าแหวนเก็บสมบัติ เกราะรบผลึกแดงตกอยู่ในฝ่ามือ สวมครอบทั้งร่างกายเสียงดังเปาะแปะ เป็นเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูง!


เมื่อเกราะแดงคลุมตัว สายตาก็จ้องตรงไปหาทัพใหญ่หนึ่งล้านตรงหน้าอย่างสงบเงียบ มือขวาขยุ้มกลางอากาศอย่างมีพลัง ทวนเกล็ดย้อนพลันปรากฏอยู่ในมือ พอเขาสะบัดมือชี้เฉียงไปเบื้องล่าง “กรรร” เสียงมังกรคำรามดังแว่วไม่หยุด ลักษณะท่าทางเปลี่ยนไปในชั่วพริบตาเดียว ดุร้าย!


พอโบกมือข้างซ้าย เงาร่างของเฮยทั่นก็แฉลบออกมาจากกระเป๋าสัตว์


เฮยทั่นยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มันสั่นหัวส่ายหางพลางเหลียวซ้ายแลขวา


“สัตว์พาหนะตัวนี้เหมือนจะเป็น ‘หลีหลง’ ชนิดหนึ่งนะ” เถิงเฟยที่กำลังมองดูกล่าวเสียงเรียบ


เกาก้วนไม่ได้กล่าวปฏิเสธ ไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น ยังคงมองดูทุกการกระทำของเหมียวอี้อย่างเงียบๆ


แต่พอเหมียวอี้ชี้มือซ้ายไปที่เฮยทั่น ห่วงเหล็กบนคอเฮยทั่นเปล่งแสงสีทองทันที แยกออกกลายเป็นโลหะสีแดงที่ไหลกลิ้ง ชั่วพริบตาเดียวก็ครอบทั้งร่างกายเฮยทั่นเอาไว้ สัตว์พาหนะที่หน้าตาเหมือนมารปีศาจปรากฏตัวขึ้นในทันที


มือขวาถือทวน มือซ้ายชี้เฮยทั่นพร้อมกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้างหน้าคือศัตรูทั้งหมด กล้าไปสู้ตายด้วยกันกับข้ามั้ย!”


เฮยทั่นที่สั่นหัวส่ายหางหยุดนิ่งทันที ดวงตาสิงโตสีแดงเลือดจ้องทัพใหญ่ตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นก็เริ่มแสดงอาการกระสับกระส่ายร้อนรน ร่างกายโยกไหวอย่างช้าๆ แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นฟ้าคำราม “อ๋าว…”


เสียงดังสะเทือนท้องฟ้า มันหันขวับมองไปที่เหมียวอี้


เหมียวอี้มองออกถึงความเร่าร้อนในแววตาของมัน เงาร่างของเขาถลันวูบ ไปตกลงบนหลังของมันแล้ว


ในชั่วพริบตาเดียว เฮยทั่นก็แบกเขาพุ่งออกไปราวกับลูกธนูพุ่งออกจากสาย ไม่มีการเลี้ยวอ้อม พุ่งชนไปหากลองสะท้านฟ้าที่ดังอยู่ตรงหน้าไม่หยุด


เหมียวอี้บอกว่าข้างหน้าคือศัตรูทั้งหมด เฮยทั่นย่อมไม่เกรงใจอยู่แล้ว


เหมียวอี้เองก็นึกไม่ถึงว่าเฮยทั่นจะบุ่มบ่ามขนาดนี้ แต่ภายใต้ฉากและเหตุการณ์นี้ คนที่ผ่านสนามรบมานานอย่างเขารู้ว่าอะไรคือการทำให้สำเร็จลุล่วงในรวดเดียว เขาไม่ได้ห้ามมัน แต่กลับกระทุ้งออกไปเพื่อเสริมพลังอำนาจ


เสียงมังกรคำรามดังขึ้น บึ้ม! กลองสะท้านฟ้าถูกกระแทกจนแตกเป็นเสี่ยงๆ คนตีกลองตกใจจนลนลานหนีออกไป เงาร่างของเฮยทั่นพุ่งฝ่าเศษกลองที่ปลิวว่อนออกไปแล้ว ดูมีพลังเข้มแข็งเกรียงไกร!


จุยหย่วนที่ยืนอยู่บนกลองนึกไม่ถึงว่าจะเกิดฉากนี้ขึ้นมา ภายใต้ความตื่นตะลึง เขาตะโกนเสียงเข้มว่า “บังอาจ!”


“ปล่อยเขาไป!” ยินเกาก้วนถ่ายทอดเสียงอันราบเรียบมาถึงข้างหู เขาหันกลับไปมอง เห็นเพียงเกาก้วนยกมือท่ามกลางฝูงชนเพื่อห้ามเขาไม่ให้แสดงปฏิกิริยาอะไรอีก


จู่ๆ ก็เกิดฉากแบบนี้ขึ้น ฉากที่อาละวาดกะทันหันแบบนี้ทำให้ทุกคนในเหตุการณ์ตกใจ ทัพใหญ่หนึ่งล้านโดนข่มพลังอำนาจไปสามส่วนโดยปริยาย


เหมียวอี้หยุดสัตว์พาหนะแล้ว คุมเชิงอยู่ตรงหน้าทัพใหญ่หนึ่งล้านตามลำพัง ถือทวนชี้ออกไป พลังอำนาจยามพังกลองสะท้านฟ้าของตำหนักสวรรค์ได้เขย่าขวัญคนทั้งสนาม “หลีกไป! ใครขวางข้า ตาย!”


…………………………

บทที่ 1202 ก้อนอิฐที่ใช้โยนล่อหยก



ทุกคนนิ่งเงียบ เสียงกลองสะท้านฟ้าระเบิดยังคงดังหึ่งๆ


คนตีกลองที่อยู่ตรงหน้ากลองสะท้านฟ้าอีกสิบเอ็ดใบก็หยุดตีกลองเพราะตกใจในการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้เช่นกัน จนกระทั่งพบความผิดปกติและจะตีกลองอีกครั้ง จุยหย่วนก็โบกมือสั่งให้หยุดตีกลองแล้ว ถ้าสั่งให้หยุดแล้วตอนนี้เจ้าก็ตีข้าก็ตี เสียงกลองจะต้องดังมั่วเป็นแถบๆ แน่นอน แบบนี้ใช่เรื่องเสียที่ไหนกัน มิหนำซ้ำผู้เข้าร่วมทดสอบก็ลงสนามไปแล้ว จะตีกลองหรือไม่ตีกลองก็ไม่เป็นอะไร


กล้าพังกลองสะท้านฟ้าในโอกาสและสถานที่แบบนี้ อย่างน้อยผู้เข้าร่วมทดสอบหนึ่งล้านที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่มีใครกล้าทำ และไม่มีใครอยากทำด้วย


โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากพังกลองสะท้านฟ้าไปแล้วหนึ่งใบ เสียงกลองที่ทำให้ทุกคนวิตกกังวลเงียบแล้ว พลังอำนาจที่แสดงออกมา ทำให้คนตะลึงค้างอย่างแท้จริง


เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เบิกตากว้างมองเหมียวอี้กระตุกมุมปาก ตอนนี้หุบปากไม่ลงแล้ว ขาเองก็นับว่ากำเริบเสิบสาน แต่ก็ยังไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้ต่อหน้าทูตขวาตรวจการเกาก้วน ต่อให้มีความกล้าหาญอีกร้อยเท่าก็ไม่กล้าทำแบบนี้ วันนี้นับว่าได้รู้จักแล้วว่าอะไรเรียกว่ากำเริบเสิบสาน!


พวกจางฮั่นฟางจากจวนแม่ทัพภาคตงหัวก็ยิ่งตกตะลึงอ้าปากค้าง นี่ยังใช่เจ้าเต่าหัวหดขี้ขลาดที่โดนด่าแล้วไม่ตอบโต้อยู่มั้ย?


ซูลี่ที่ติดตามอยู่ข้างๆ รวบรวมสมาธิโดยจิตใต้สำนึก ในที่สุดวันนี้ก็ได้เห็นพลังอำนาจของผู้บัญชาการใหญ่หนิวอีกครั้ง  ผู้บัญชาการใหญ่หนิวที่สั่งคำเดียวแล้วหัวสามพันหัวร่วงลงพื้น แตกต่างกับผู้บัญชาการใหญ่ตอนอยู่จวนแม่ทัพภาคราวฟ้ากับดิน!


โค่วเหวินชิงตาค้าง ปี้เย่วฮูหยินเผยอปากงามเล็กน้อย จ้านหรูอี้ประหลาดใจ จาเหรินจวิ้นพูดไม่ออก


“พลังอำนาจข่มทัพใหญ่หนึ่งล้าน น่าสนใจทีเดียว!” เถิงเฟยที่กำลังมองดูเดาะลิ้น เอามือลูบหนวดพลางเหล่ตาถามว่า “ทำลายบารมีตำหนักสวรรค์ต่อหน้าฝูงชน ทูตขวาเกาจะจัดการลงโทษอย่างไรล่ะ?”


เกาก้วนจ้องหมียวอี้ลางกล่าวเสียงเรียบ “ถ้าผ่านด่านนี้ไปได้ ข้าก็จะไว้ชีวิตเขาสักครั้ง แต่ถ้าผ่านด่านนี้ไปไม่ได้ แลช้วคนพวกนั้นไม่ฆ่าเขา ข้าก็จะต้องประหารเขาเอง!”


“เจ้าไม่เหลือทางถอยไว้ให้เขาสักนิดเลยเหรอ!” เถิงเฟยกล่าว


“เขายังมีทางให้ถอยอีกเหรอ? ในใต้หล้านี้ มีข้าคนเดียวให้ทางถอยกับเขาแล้วจะมีประโยชน์อะไร?” เกาก้วนถาม


สายตาของเถิงเฟยไปหยุดอยู่บนสัตว์พาหนะของเหมียวอี้ “ขนาดสัตว์พาหนะยังสวมเกราะรบผลึกแดง สงสัยเจ้าหนุ่มนี่จะตักตวงที่ตลาดสวรรค์ได้ไม่น้อยเลย ในนั้นอาจจะมีคุณูปการของร้านค้าด้วยก็ได้”


สายตาของคนอื่นก็ค่อยๆ ไปหยุดอยู่บนตัวเฮยทั่นเช่นกัน ทุกคนยังเคยเห็นสัตว์พาหนะสวมเกราะรบเป็นครั้งแรกด้วย เกราะรบหน้าตุร้ายทั้งตัวชุดนั้น จะต้องไปหาคนมาทำให้โดยเฉพาะแน่นอน หาซื้อโดยตรงจากร้านค้าไม่ได้แน่ ทั้งยังเป็นเกราะรบผลึกแดงด้วย ดูจากพื้นที่ที่เกราะรบชุดนี้ครอบคลุม อย่างน้อยก็เท่ากับเกราะรบบนตัวคนเจ็ดแปดคน หลอมสร้างออกมาไม่ได้ภายในเวลาสั้นๆ แบบนี้ต้องใช้เงินมากเท่าไรกัน? อย่างน้อยก็แพงกว่าสัตว์พาหนะที่เป็นสัตว์เทพ ไม่มีมครทำแบบนี้ไหว แต่ต่อให้ทำไหว ในเมื่อมีเงินมากมายขนาดนั้นก็ไม่สู้ซื้อสัตว์พาหนะที่เป็นสัตว์เทพเตรียมไว้หลายๆ ตัวจะเหมาะสมกว่า ถึงอย่างไรเกราะรบก็อาจจะปกป้องสัตว์พาหนะไม่ได้


เมื่อเชื่อมโยงกับเกราะรบบนตัวเหมียวอี้ ก็มีคนไม่น้อยจ้องตาเป็นมัน แอบพึมพำว่าเจ้าหมอนี่มันทุ่มทุนจริงๆ


ที่ตรงนั้นเงียบงันไร้เสียง เหมียวอี้โบกชี้คมทวน แล้วตะโกนบอกอีกครั้ง “หลีกไป! ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าทวนของหนิวไร้ความเมตตา!”


“อ๋าว…” เฮยทั่นยื่นหัวคำรามใส่ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่อยู่ตรงหน้า ไม่เห็นกลุ่มวีรบุรุษอยู่ในสายตาเลยจริงๆ มันเองก็นับว่าผ่านสนามรบมานับร้อยแล้วเช่นกัน


“กรรร!”


“โฮก!”


เกิดการตอบสนองของสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เทพมีสติปัญญาในระดับหนึ่ง สามารถเข้าใจความหมายที่สื่อสารระหว่างสัตว์เทพด้วยกัน เฮยทั่นกำลังท้าทายอย่างโอหังอวดดี ไม่เห็นสัตว์เทพตัวอื่นอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ยั่วให้บรรดาสัตว์เทพของทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เรียงแถวอยู่ตรงหน้าคำรามตอบทันที คำรามตอบเพื่อโอ้อวดอานุภาพ ทำให้กลุ่มคนต้องควบคุมสัตว์พาหนะไว้เช่นกัน


ชั่วขณะนั้น ในสนามเกิดพลานุภาพเหมือนทัพใหญ่พร้อมจะปะทะกันได้ทุกเมื่อ เสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดของสัตว์เทพจำนวนมากดังต่อเนื่องเป็นระลอก


“คางคกอ้าปากหาว โอ้อวดไม่เบา ถามทวนในมือปู่คนนี้ก่อนเถอะ!”


จาเหรินจวิ้นที่อยู่ตรงหน้ากลุ่มคนชี้ทวนเข้ามา ชิงกลั่นแกล้งก่อนคนอื่น ก่อนหน้านี้ตอนไปหาเหมียวอี้เคยโดนเหมียวอี้สร้างความอับอายให้ ทั้งแค้นเก่าแค้นใหม่ บวกกับที่เคยประกาศไว้ต่อหน้าฝูงชนว่าจะให้บทเรียนเหมียวอี้ มีหรือที่จะยอมเสียหน้า อีกทั้งอาศัยช่วงที่เหมียวอี้กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งใต้หล้า ขอเพียงสามารถฆ่าเหมียวอี้ได้ ต่อให้ช่วงหลังของการทดสอบจะซ่อนตัวไม่ยอมออกมา แต่สำหรับเขาก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อเรื่องสำคัญอยู่ดี เขาเคยพูดจาโอ้อวดต่อหน้าท่านอาหญิงไปแล้ว อย่างน้อยกลับไปจะได้มีคำอธิบาย


“นายน้อยจา!”


นี่ยกง ไก้อู๋ซวง หู่โพ่ ฮัวต้าหลางที่ติดตามอยู่ทางซ้ายและขวาของเขาถ่ายทอดเสียงห้ามพร้อมกัน


เนี่ยกงรีบถ่ายทอดเสียงโน้มน้าว “นายน้อยจา จะดูถูกใครก็ได้แต่อย่าดูถูกศัตรู ตอนการทดสอบที่สถานที่ไร้ระเบียบ เขามีพลานุภาพข่มหมู่วีรบุรุษ ไม่ได้มีดีแค่ชื่อเสียงแน่นอน ประมาทไม่ได้เด็ดขาด ให้คนอื่นทดสอบฝีมือเขาก่อนดีกว่า ค่อยตัดสินใจตอนหลังก็ยังไม่สาย!”


ล้อเล่นอะไรกัน? จาเหรินจวิ้นหันกลับมามองซ้ายมองขวา “ข้าพูดออกมาแล้ว ถ้าถอยออกไปตอนนี้ ข้าจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้ยังไง?”


แต่หลังจากที่ได้ฟังพวกเขาพูดแล้ว ตัวเองก็รู้สึกไม่มั่นใจนิดหน่อย มาดอันทรงพลังอ่อนลงแล้ว เปลี่ยนเป็นพูดว่า “เดี๋ยวข้าจะประลองกับเขาสักสองสามท่าก่อน  ถ้าข้าไม่ไหว พวกเขาก็นำคนโจมตีเข้าไปพร้อมกัน!”


“นายน้อยจา!” ทั้งสี่อุทานห้ามอีกครั้ง


ทว่าสายไปแล้ว จาเหรินจวิ้นไม่มีทางยอมเสียหน้าแบบนี้ ควบขี่เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นเข้าไปแล้ว พร้อมโบกทวนตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “หนิวโหย่วเต๋อ รับความตายซะเถอะ!”


เนี่ยกงและอีกสามคนพูดไม่ออก เรียกได้ว่าแอบร้องอย่างขมขื่น คิดในใจว่า เจ้าพูดโอ้อวดนิดหน่อยเพื่อกู้หน้ากลับมาก็พอแล้ว ถ้าจะลงสนามรบไปสู้กันจริงๆ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แล้ว เจ้ามีวรยุทธ์แค่บงกชทองขั้นสี่ ทั้งยังไม่มีประสบการณ์ในสนามรบ จะผลีผลามไปสู้กับหนิวโหย่วเต๋อผู้มีชื่อเสียงอันยาวนานทั้งยังโด่งดังในการรบได้อย่างไร? อีกฝ่ายไต่เต้ามาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เพราะอาศัยเส้นสายภูมิหลัง แต่เป็นการสังหารฝ่ามาตลอดทางต่างหาก! ไม่ใช่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ทั่วไปแน่นอน จะมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดาได้อย่างไร! สาเหตุที่คนอื่นได้แต่รอจังหวะบุกโจมตี ก็เพราะอยากจะให้คนอื่นไปทดสอบฝีมือหนิวโหย่วเต๋อก่อน แต่ดูเจ้าทำสิ เป็นฝ่ายกระโดดออกไปสำรวจเส้นทางให้คนอื่น จะทำอะไรก็ไม่ทำ ดันจะไปเป็นอิฐที่ถูกโยนล่อหยก[1]เสียอย่างนั้น!


ทั้งสีร้อนใจราวกับโดนไฟเผา กังวลว่าจาเหรินจวิ้นจะทำพลาด ที่ทั้งสี่มาที่นี่ก็เพราะได้รับการฝากฝังจากฮูหยินของเทพประจำดาว ว่าให้ปกป้องนายน้อยท่านนี้ให้ดี ขอเพียงให้นายน้อยรอดชีวิตกลับไปได้ ไม่ว่าผลคะแนนจะเป็นอย่างไร ฮูหยินของเทพประจำดาวก็จะรับประกันอนาคตของพวกเขา


ในทางกลับกัน ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับจาเหรินจวิ้น เมื่อทั้งสี่กลับไปแล้วก็จะไม่มีทางแก้ตัวได้ จึงต่างคนต่างถืออาวุธไว้ในมือทันที หันกลับมาถ่ายทอดเสียงให้คนในกลุ่มข้างหลังเตรียมตัวบุกโจมตี หากเกิดอันตรายขึ้นกับจาเหรินจวิ้น ทุกคนก็ต้องพุ่งเข้าไปช่วยชีวิตทันที


คนนี้อีกแล้วเหรอ! เหมียวอี้กวาดมองด้วยสายตาเย็นเยียบ เรื่องที่จาเหรินจวิ้นกำเริบเสิบสานใส่เขาตอนอยู่ในพื้นแอ่ง เขายังจำได้อย่างชัดเจน เหมือนจะมาล้างแค้นให้เยว่สวินเกา ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร? จึงโบกทวนชี้ถาม “ข้าไม่สังหารทหารเลวไร้นาม บอกซื่อแซ่มา!”


ทหารเลวไร้นามเหรอ? จาเหรินจวิ้นรู้สึกว่าตัวเองโดนดูหมิ่นแล้ว จึงเร่งพุ่งเข้าไปพร้อมตะโกนอย่างเดือดดาล “บังอาจพูดาจาโอหังอวดดี ข้าคือท่านปู่จาของเจ้าไง จาเหรินจวิ้นอยู่นี่แล้ว!”


จาเหรินจวิ้น? เหมียวอี้เข้าใจทันที เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ชื่อนี้ไม่ได้แปลกหู ตอนแรกเยว่สวินเกาก็มาหาเขาเพราะคนคนนี้ ถ้าเขาจำไม่ผิด นี่คงจะเป็นหลานชายของฮูหยินเทพประจำดาวเถาะฟ้า


พูดกันตามจริง เขาไม่อยากสร้างความแค้นกับผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ และไม่อยากฆ่าจาเหรินจวิ้นที่อยู่ตรงหน้านี้ด้วย


แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ในตอนนี้ ทำให้เขาไม่มีทางถอยแล้ว ศึกแรกมีแต่ต้องแสดงอานุภาพของตัวเองเท่านั้น จะให้สูญเสียความมั่นใจในตัวเองไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะทำให้ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่อยู่ตรงหน้าดูถูก ถ้าอีกฝ่ายโจมตีเข้ามาแบบมืดฟ้ามัวดิน ตัวเองก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว!


ถ้าอยากจะรอดชีวิตจากศึกนี้ ก็ต้องทำให้คนสะเทือนขวัญในศึกแรกให้ได้ ต้องข่มขวัญกำลังใจทหารของอีกฝ่าย ต้องทำให้คนส่วนใหญ่เกรงกลัวการรบ ตนจะได้รับมือได้อย่างสบายๆ หน่อย!


แล้วอีกอย่าง ตอนนี้ระบบของตลาดสวรรค์ก็ถูกแยกออกมาจากสังกัดของผู้มีอิทธิพลฝ่ายต่างๆ แล้ว ต่อให้เป็นเทพประจำดาวเถาะฟ้าก็ยากที่จะกลั่นแกล้งเขาได้ง่ายๆ มีอะไรต้องกลัวล่ะ?


ถ้าจะพูดแบบเบาๆ หน่อยก็คือ ชีวิตของจาเหรินจวิ้นสำคัญกว่า หรือชีวิตขงตัวเองสำคัญกว่าล่ะ?


ฆ่า!


ในดวงตาเหมียวอี้ฉายแววมุ่งสังหาร ขณะมองดูจาเหรินจวิ้นที่มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่แยกเขี้ยวยิงฟันโบกทวนพุ่งเข้ามา เขาก็เรียกได้ว่าทำสีหน้าเหยียดหยาม เพราะเขาเองก็วรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่เหมือนกัน แต่ทวนเกล็ดย้อนของเขาบวกกับเกราะรบบนตัวก็เกือบจะต้านทานพลังได้ครึ่งหนึ่งแล้ว แค่จาเหรินจวิ้นกระจอกๆ คนเดียวจะมีอะไรน่ากลัวล่ะ?


แต่ที่น่าขำก็คือ ดูจากเจตนาของจาเหรินจวิ้นแล้ว มีเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นแต่ไม่ใช้ประโยชน์มัน กลับดันทุรังมาประลองทวนกับตนตรงๆ เป็นการรนหาที่ตายแท้ๆ เลย!


ตอนทดสอบที่สถานที่ไร้ระเบียบ เขาก็ได้รับรู้ถึงอานุภาพของเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นแล้ว มีความสามารถในการโจมตีด้วยคลื่นเสียง


เมื่อเห็นศัตรูพุ่งโจมตีเข้ามา เฮยทั่นก็บ้าดีเดือดทันที ต้องการจะพุ่งโจมตีออกไป ทว่ากลับโดนเหมียวอี้แอบควบคุมเอาไว้


คนหนึ่งคนกับสัตว์พาหนะหนึ่งตัวเห็นศัตรูพุ่งเข้ามา แต่กลับสงบนิ่งอยู่ที่เดิม ไม้สะทกสะท้านดุจขุนเขา


“ตาย!” จาเหรินจวิ้นที่พุ่งมาตรงหน้าตะโกนเสียงดัง โบกทวนเล่นลูกไม้หลอกล่อ หมายจะทำให้เหมียวอี้สับสน เพราะที่จริงแอบซ่อนท่าไม้ตายเอาไว้ อาศัยการพุ่งโจมตีของสัตว์พาหนะ มีความรวดเร็วมากจริงๆ


เหมียวอี้ที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่แม้แต่จะยกทวนขึ้นมาเลย ใช้สายตาเย็นเยียบมองดูความเร็วในการลงมือของอีกฝ่าย เผยยิ้มเหยียดหยามตรงมุมปากอย่างชัดเจน


จนกระทั่งทวนที่เล่นลูกไม้จ่อมาถึงตรงท่า จู่ๆ เหมียวอี้ที่นิ่งสงบดุจขุนเขาก็เคลื่อนไหวรวดเร็วดุจไฟเผา โบกทวนกวาดออกมาหนึ่งครั้ง ไม่สนใจว่าเจ้าจะเล่นลูกไม้ลอกล้อหรือไม่ กวาดทวนออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน


แกร๊ง! เกิดเสียงดังสะเทือน


ด้ามทวนกระแทกกับด้ามทวน ตีจนเงาทวนที่ยุ่งเหยิงปราฏฏร่างเดิมแล้ว


จาเหรินจวิ้นตกใจทันที พบว่าเหมียวอี้จับทวนมือเดียว ใช้มือข้างเดียวถือทวนสู้กับเขา บวกกับรอยยิ้มมุมปากแสดงอาการเหยียดหยามของเหมียวอี้ ช่างไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยจริงๆ ในใจเรียกได้ว่าทั้งตะหนกทั้งโมโห สองมือที่จับทวนออกแรงผลักทันที ถือโอกาสอาศัยแรงเฉื่อยที่พุ่งเข้ามาแทงไปทางศีรษะของเหมียวอี้


ทว่าเหมียวอี้ส่งทวนออกไปด้วยมือข้างเดียวก่อนเขาแล้วหนึ่งก้าว หัวทวนสามแฉกที่แหลมคมมาพร้อมกับเสียงมังกรคำราม จ่อแทงไปตรงหน้าผากของอีกฝ่ายแล้ว


จาเหรินจวิ้นตกใจมาก ได้แต่มองดูหัวทวนที่แหลมคมจาอมาตรงหน้าตัวเองตาปริบๆ ความหวาดกลัวที่ฉายในดวงตานั้นยากที่จะปิดบังไว้ได้ เพียงชั่วแวบเดียว ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงความโหดร้ายของสนามรบแล้ว ไม่ใช่สถานที่ที่ลูกหลานผู้มีอำนาจอย่างเขาจะมาเล่นได้เลย


ไม่ได้ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะมาพลีชีพที่นี่ แค่บุคลิกอย่างเดียวก็ต่างกันไม่ใช่น้อยๆ แล้ว บนสนามรบให้ความสำคัญกับกับบุคลิกกับขวัญกำลังใจในการรบ!


ที่จริงวิชาทวนของเขาก็ไม่ได้แย่ เพียงแต่ของบางอย่างที่มีไว้สู้กันจริงจัง ถ้าไม่พากเพียรฝึกแบบถลกหนังให้ถึงแก่นแท้จนควบคุมได้อย่างอิสระราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตัวเอง ต่อให้เป็นวิชาทวนที่ดีกว่านี้ก็เป็นแค่หมัดบุปผาขาผ้าปักลาย[2]อยู่ดี!


ชั่วระเดี๋ยวเดียวก็มีเสียงดังฉึก เสียงมังกรคำรามของทวนเกล็ดย้อนเงียบลง เลือดสาดกระจายออกมาจากหัวทวน หัวทวนจมลงในใบหน้าที่ครอบด้วยเกราะหัวแล้ว


ร่างของจาเหรินจวิ้นแยกออกจากเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นในชั่วพริบตาเดียว ยังไม่ทันได้เปล่งเสียงกรีดร้องออกมา ก็โดนทวนของเหมียวอี้ปาดขึ้นมาแล้ว หัวทวนปาดเสยที่เกราะหัว  ปาดยกขึ้นมาทั้งเกราะหัวทั้งตัวคนที่ห้อยอยู่ข้างล่าง ร่างกำลังห้อยต่องแต่งอยู่บนทวนที่เหมียวอี้ใช้แขนข้างเดียวปาดขึ้นมา


เดิมทีจาเหรินจวิ้นคิดว่าต่อให้ตัวเองจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมียวอี้ แต่อย่างน้อยก็ยังปะทะกันได้สักสองสามท่า ถ้าม่ไหวจริงๆ ก็ยังมีคนคอยมาช่วยสนับสนุน แต่ชั่วพริบตาเดียวก่อนตายเขาถึงได้นึกเสียใจทีหลัง ว่าตัวเองรับมืออีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่ท่าเดียวด้วยซ้ำ…


ปั้ง! จู่ๆ ร่างของเฮยทั่นก็เลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง มันสะบัดหางออกไปด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ ปลายหางลากลูกกลมกรวยแหลมผลึกแดง ภายใต้สถานการณ์ที่แม้แต่เหมียวอี้เองก็ยังไม่ได้เตรียมใจ เทพมังกรสะบัดหางหนึ่งทีอย่างฉับพลัน โอกาสพอเหมาะพอดี อัศจรรย์ราวกับเป็นพู่กันของพระเจ้า


ลูกกลมกรวยแหลมฟาดหน้าผากเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นที่แฉลบผ่านร่างกายมันไปอย่างแรง ฟาดจนเกราะน้ำแข็งของมันแตก ของเหลวที่อยู่ในศีรษะสาดกระจายไปทั่วทิศ


“อู…” เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นกรีดร้องอย่างเศร้าโศก ร่างกายพลิกไปพลิกมาอยู่กลางอากาศ


เหมียวอี้หันกลับไปมองแวบหนึ่ง รู้สึกว่าน่าเสียดายแล้ว


เฮยทั่นก็หันกลับมามองหน้าเขาแวบหนึ่งเช่นกัน แต่กลับพลิกกรงเล็บแหลมแล้วแลบลิ้นเลีย ทำท่าทางเหมือนยังไม่ถึงอกถึงใจ


…………………………


[1] โยนอิฐล่อหยก 抛砖引玉 การใช้ของที่มีค่าไม่มากไปหลอกล่อเพื่อให้ได้ของที่มีค่ามากกว่ากันหลายเท่า


[2] หมัดบุปผาขาผ้าปักลาย 花拳绣腿 อุปมาถึงเพลงมวยที่สวยแต่กระบวนท่า แต่ใช้งานจริงไม่ได้



บทที่ 1202 ก้อนอิฐที่ใช้โยนล่อหยก

 


บทที่ 1203 วิธีรวมพลสู้รบตามมาตรฐาน


เจ้านายกำจัดเจ้านายฝ่ายศัตรูทิ้งด้วยการโจมตีครั้งเดียว สัตว์พาหนะก็กำจัดสัตว์พาหนะของศัตรูทิ้งได้ภายในการโจมตีครั้งเดียว ทั้งสองสังหารได้อย่างสบายๆ ราวกับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว


จาเหรินจวิ้นพุ่งโจมตีโดยหันหลังออก คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นวรยุทธ์ของเขา แต่คนจำนวนไม่น้อยที่พอจะมีประสบการณ์ในการเข่นฆ่าอยู่บ้างเห็นแล้วส่ายหน้าทันที มีเพียงคำว่า ‘รนหาที่ตาย’ มอบให้ มีทักษะเล็กน้อยแค่นี้ แต่ยังกล้าไปท้าท้ายอันดับหนึ่งของการทดสอบในสถานที่ไร้ระเบียบอีก ถ้าไม่เรียกว่ารนหาที่ตายแล้วจะเรียกว่าอะไร? เจ้าดูสิว่าอีกฝ่ายสังหารได้อย่างสบายมือ เป็นการวิ่งไปชนหัวทวนของอีกฝ่ายเองแท้ๆ


ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่สำหรับนักพรตส่วนใหญ่ที่อยู่ในทัพใหญ่หนึ่งล้าน พวกเขายังคงเกิดความสั่นคลอนในใจ กำลังพิจารณาว่าถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเองแล้วจะรับมือกับทวนเมื่อครู่นี้ได้หรือไม่


ในศึกแรกของเหมียวอี้ แค่โจมตีทีเดียวก็ปลิดชีพฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว ลงมือได้อย่างผ่อนคลายและโอหังที่สุด ความทรงพลังนี้ทำให้คนไม่น้อยเกิดความกดดันในจิตใจ ในจิตใตสำนึกแอบวาดระยะห่างกับเหมียวอี้อย่างชัดเจน สำหรับคนส่วนใหญ่ ถึงอย่างไรก็มาทดสอบเพื่อฝ่าฟันอนาคตอยู่แล้ว ไม่ได้มาสู้ตายกับเหมียวอี้เพื่อให้มีอนาคตที่ดี ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมาก็จะไม่คุ้ม


สำหรับคนพวกนี้ การที่จาเหรินจวิ้นตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ไม่ได้เหนือความคาดหมายเลยสักนิด แต่กลับเป็นสัตว์พาหนะของเหมียวอี้ที่แสดงฝีมือได้อย่างยอดเยี่ยม ในสายตาของคนพวกนี้ เฮยทั่นกลับข่มการแสดงฝีมือของเหมียวอี้ด้วยซ้ำ


และสำหรับคนที่ดูการต่อสู้อยู่ตรงหน้า จากแท่นจิตตรงหว่างคิ้วของจาเหรินจวิ้นก็มองออกแล้วว่าวรยุทธ์ของจาเหรินจวิ้นก็ไม่ได้สูงเท่าไรเหมือนกัน


เถิงเฟยส่ายหน้าเล็กน้อย “มีความสามารถเล็กน้อยแค่นี้ แต่ยังกล้าสู้ตัวต่อตัวกับอันดับหนึ่งที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งให้ ช่างเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ จาเหรินจวิ้นนี่เป็นใครกัน ซ้ายขวามีคนติดตาม ดูแล้วเหมือนจะมีภูมิหลังอยู่นิดหน่อยนะ”


เขาก็แค่ถามส่งเดชไปอย่างนั้น ถึงอย่างไรตำหนักสวรรค์ก็มีคนที่มีเส้นสายภูมิหลังมากมาย ใครจะไปสนใจไหว


แต่ใครจะคิดว่าเกาก้วนจะตอบกลับเสียงเรียบว่า “จาหรูเยี่ยน ฮูหยินของเทพประจำดาวเถาะฟ้า จาเหรินจวิ้นก็คือหลานชายของนาง”


เถิงเฟยหันกลับมามองเขา ไม่รู้ว่านับเป็นการพูดเน็บแนมหรือเปล่า “ข่าวกรองในมือเจ้าช่างกุมสถานการณ์ไว้กว้างขวางจริงๆ แม้แต่เรื่องแบบนี้ก็ควรค่าให้เจ้าสนใจด้วยเหรอ?” เขากันกลับมามองเหมียวอี้ “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้รู้รึเปล่าว่าจาเหรินจวิ้นคือหลานของฮูหยินผังก้วน เทพประจำดาวเถาะฟ้า?”


เกาก้วนบอกว่า “จาหรูเยี่ยนเคยอยากจะยัดจาเหรินจวิ้นให้เป็นลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อ แต่หนิวโหย่วเต๋อไม่ไว้หน้า ถึงได้มีหัวคนหลายพันร่วงลงพื้นไงล่ะ เจ้าว่าเขารู้หรือไม่ล่ะ?”


เถิงเฟยกล่าวกลั้วหัวเราะทันที “รู้แล้วยังกล้าฆ่า นี่จะสู้ตายโดยไม่สนใจอะไรใช่มั้ย? อืม ก็สู้ตายจริงๆ นั่นแหละ!” เขาจ้องเหมียวอี้พลางหรี่ตาเล็กน้อย


เหมียวอี้สะบัดทวนแล้ว ไม่เพียงแค่ของบนตัวจาเหรินจวิ้นที่ถูกเก็บไปหมด คาดว่าคงไม่อยากจะทำอะไรยุ่งยาก จึงเก็บร่างที่ไม่สมประกอบของจาเหรินจวิ้นไปด้วยเสียเลย


ต่อหน้าทัพใหญ่หนึ่งล้าน เขาหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่ใช่ต้นเดียว แต่เป็นสองต้น ขยำเข้าด้วยกันแล้วตบเข้าปาก แล้วพยายามร่ายอิทธิฤทธิ์กลืนลงไป ยังไม่จบแค่นั้น เขาหยิบยาเม็ดม่วงทองอีกหนึ่งเม็ดยัดใส่ปากอีก


ยาเม็ดม่วงทองนี้ หลังจากที่เขาได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบครั้งก่อน ตำหนักสวรรค์ก็ให้รางวัลเป็นยาเม็ดม่วงทองหนึ่งแสนเม็ด ยาชนิดนี้เม็ดเดียวเทียบเท่ากับยาแก่นเซียนหนึ่งร้อยเม็ด นอกจากจะมีพลังจิตวิญญาณเต็มเปี่ยม ประโยชน์ที่มากที่สุดก็คือพลังจิตวิญญาณที่อยู่ในยาเม็ดชนิดนี้ก่อตัวแข็งแล้ว ไม่เหมือนยาแก่นเซียนที่พอฝ่าเปลือกออกแล้วพลังจิตวิญญาณที่อยู่ข้างในจะเต็มจนล้นออกมา ยังต้องร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเอาไว้ แต่ยาเม็ดม่วงทองกลับไม่ได้ยุ่งยากแบบนี้ อยากจะกลั่นกรองเมื่อไรก็กลั่นกรองได้ทุกเมื่อ


ภายใต้สถานการณ์เร่งด่วน ของสิ่งนี้สามารถฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ได้เป็นอย่างดี ในขณะที่มียาแก่นเซียนไว้ฝึกตน นอกจากจะนำยาเม็ดชนิดนี้มาทดลองสรรพคุณ เหมียวอี้ก็ไม่ค่อยได้ใช้งานมันเท่าไรเลย เตรียมติดตัวไว้รับมือกับสถานการณ์เร่งด่วน เอาไว้ป้องกันเหตุไม่คาดคิด


พอกลืนลงไปเม็ดหนึ่ง เขาก็พลิกฝ่ามือหยิบอีกเม็ดยัดเข้าปาก ยัดเข้าปากเม็ดแล้วเม็ดเล่า


ทุ่มกินยาไปก่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวเอาไว้สำหรับการบาดเจ็บ เป็นจังหวะก่อนที่จะสู้สุดชีวิต ด้วยเหตุนี้เอง เวลาที่สายตาของเขาจ้องไปทางไหน กำลังพลที่อยู่ตรงนั้นก็จะเตรียมป้องกัน ‘อย่างสะเทือนใจ’ อยู่พักหนึ่ง ป้องกันไม่ให้เขาพุ่งสังหารเข้ามา


ส่วนพวกเนี่ยกงก็เหม่อค้างแล้ว ยังไม่ได้สติกลับมา นึกไม่ถึงว่าจาเหรินจวิ้นจะหายไปแบบนี้ เร็วจนไม่มีเวลาให้พวกเขานึกออกว่าต้องเข้าไปช่วยชีวิตด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าแค่ท่าเดียวก็ถูกจัดการได้แล้ว!


อาศัยทักษะแค่เท่านี้  เจ้ายังกล้าถ่อเข้าไปสู้กันตัวต่อตัวอีกเหรอ?’


พวกเนี่ยกงตกตะลึงตาค้างอยู่นานกว่าจะได้สติกลับมา ในใจพวกเขาร่ำร้องอย่างโมโหปนเศร้าโศก เคยเห็นคนที่วางกับดักคนอื่น แต่ไม่เคยเห็นใครเอาชีวิตตัวเองมาวางกับดักคนอื่นเล่นแบบนี้เลย โดนลูกหลานผู้มีอำนาจที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเล่นงานถึงตายแล้วจริงๆ


การที่จาเหรินจวิ้นตายไป พวกเขาไม่ได้เศร้าใจหรือเป็นทุกข์เลย แต่ท่านอาหญิงของจาเหรินจวิ้นจะเศร้าโศกทุกข์ใจแน่ ถ้าผู้หญิงคนนั้นเศร้าโศกทุกข์ใจขึ้นมา แล้วพวกเขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไม่ล้างแค้นให้จาเหรินจวิ้น เดี๋ยวกลับไปพวกเขาก็จะต้องกลายเป็นศัตรูอาหญิงของจาเหรินจวิ้นเสียเอง มารดาเจ้าเถอะ นี่มันเรื่องะอไรกันวะ!


“คนที่ตัดหัวหนิวโหย่วเต๋อมาได้ จะได้รางวัลเป็นยาแก่นเซียนสิบล้านเม็ด หลังจากการทดสอบถ้ารอดชีวิตกลับไป จะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่อาณาเขตดาวเถาะฟ้า!” เนี่ยกงพลันพูดจาบ้าบิ่น ทำเหมือนตัวเองเป็นเทพประจำดาวเถาะฟ้า ก็เพราะไม่มีทางเลือก การตายของจาเหรินจวิ้นทำให้เขาประสาทเสียอย่างถึงที่สุด สุดท้ายก็โบกทวนตะโกนเสียงดังว่า “ตามข้าไปสังหาร!”


สัตว์พาหนะของเขาพุ่งน้ำเข้าไปก่อน ไก้อู๋ซวง หู่โพ่ ฮัวต้าหลางกางแขนตะโกนเสียงดังตามไปทีหลัง “ฆ่า!”


ทั้งสี่ล้วนมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้า สามารถทำให้จาหรูเยี่ยนเรียกมาปกป้องหลานชายตัวเองได้ วรยุทธ์ย่อมไม่แย่อยู่แล้ว


เขาว่ากันว่า ถ้าตบรางวัลอย่างงามย่อมต้องมีผู้กล้าออกมาทำงานให้ ทว่าความจริงนั้นมีไม่เยอะ


ถึงแม้ตรงนี้จะมีคนไม่น้อยรู้ถึงฐานะภูมิหลังของจาเหรินจวิ้นอยู่ก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นจาเหรินจวิ้นคงรวบรวมกำลังพลไม่ได้มากขนาดนี้ แต่คนประมาณห้าหมื่นคนที่มาจากอาณาเขตดาวเถาะฟ้า มีเพียงหมื่นคนเท่านั้นที่ตะโกนตามว่า “ฆ่า” แล้วโจมตีตามออกไป ส่วนคนที่เหลือก็ได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่กและยืนอยู่ที่เดิมอย่างลังเลมาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้เข้าร่วมทดสอบที่ไม่มีอำนาจและภูมิหลังอะไร


คนที่ติดตามพวกเนี่ยกงไปมีเพียงคนสามร้อยกว่าคนที่ขี่สัตว์เทพ ในจำนวนนั้นมีผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เพียงสองร้อยกว่าคน คนพวกนี้ส่วนใหญ่ทำมาหากินอยู่ในอาณาเขตของเทพประจำดาวเถาะฟ้า ถ้าหลานชายของฮูหยินเทพประจำดาวเถาะฟ้าโดนฆ่าตายแล้วตัวเองไม่ออกหน้า แบบนั้นยังจะคิดหลบอยู่ในแดนอเวจีจนกว่าการทดสอบจะจบอีกเหรอ? ต่อให้สามารถหลบได้จนถึงตอนสุดท้าย แต่หลังจากออกไปแล้ว ถ้ารักษาตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ไว้ไม่ได้ ยังคิดที่จะย้ายไปตำแหน่งอื่นอย่างราบรื่นอยู่หรือเปล่า? ตำแหน่งเทพแห่งผืนดินหรือผีหลักเมืองก็มีตั้งมากมาย ถ้าการทดสอบไม่ราบรื่นจะได้มีข้ออ้างพอดี ต่อให้ตัวเองมีเส้นสายสักหน่อยก็คงไม่อนาถขนาดนั้น แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าไม่ออกหน้าก็จะแก้ตัวไม่ขึ้นแล้ว เป้าหมายคือหนิวโหย่วเต๋อเชียวนะ เดิมทีก็ต้องการจะแสดงความสามารถของตัวเองให้อำนาจเส้นสายที่อยู่เบื้องหลังเห็นอยู่แล้ว ถ้าไม่ออกหน้าตอนนี้แล้วจะไปออกหน้าตอนไหน?


กลุ่มผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่เดิมทีคิดว่าจะซ่อนตัวอย่างราบรื่นจนกว่าการทดสอบจะจบ ตอนนี้กลับถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้อง จำเป็นต้องแข็งใจบุกโจมตีเข้าไป


ส่วนคนอีกเกือบหมื่นคนที่เหลือก็เหาะตามไป ถ่อมาเข้าร่วมการทดสอบถึงที่นี่ แต่แค่สัตว์พาหนะก็ยังหามาไม่ได้ ย่อมเป็นพวกที่ไม่มีภูมิหลังเส้นสายอะไรเช่นกัน


คนพวกนี้ตะโกนว่าฆ่าเสียงดังพลางพุ่งตัวตามออกไป แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะอยากล้างแค้นให้จาเหรินจวิ้น แต่เพราะคิดว่าข้างหน้ามียอดฝีมือมากมายคอยกันไว้ให้ คาดว่าคงไม่ถึงคราวที่พวกเขาจะได้ลงมือหรอก แค่โผล่หน้าออกไปสักหน่อยเผื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองได้พยายามก็พอแล้ว ถ้าข้างหน้าต้านทานไว้ไม่อยู่ ตัวเองค่อยหนีไปก็ยังไม่สาย ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อนั่นจะเก่งขนาดไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตามทันคนนับหมื่นที่หนีกระจัดกระจาย


คนที่ลังเลตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่เดิม เห็นได้ชัดว่ารู้ตัวช้าไปหน่อย รอจนกระทั่งคิดได้เหมือนคนกลุ่มแรกที่อยู่ตรงหน้า ก็มีกำลังพลอีกเกือบสองหมื่นตะโกนว่า “ฆ่า” และพุ่งตัวออกไปแล้ว คนที่เหลือเห็นว่ามีคนมากจึงเกิดความกล้าหาญ บวกกับค่อยๆ คิดได้แล้วเช่นกัน คนที่เหลือจึงโจมตีตามออกไปทั้งหมด


ดังนั้นกำลังพลห้าหมื่นกว่าคนจึงพุ่งสังหารตามกันเข้าไป เป็นฉากที่อลังการงานสร้างมาก


“จุจุ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงลูบคางพลางเดาะลิ้น ยิงฟันยิ้มพร้อมพูดว่า “ใช้ฝูงชนก็ทำให้ไอ้เวรนั่นตายได้เหมือนกัน!”


“เฮ้อ!” เมื่อเห็นนักพรตบงกชทองหลายหมื่นพุ่งโจมตีไปทางนักพรตบงกชทองคนเดียวอย่างเหมียวอี้ โค่วเหวินชิงก็ถอนหายใจเบาๆ


สุดท้ายก็ยากจะพ้นเคราะห์! ปี้เย่วฮูหยินส่ายหน้ายิ้มอย่างขื่นขม ในใจรู้สึกปลงอนิจจัง รู้อยู่ชัดๆ ว่าเป็นหลานของฮูหยินเทพประจำดาวเถาะฟ้า แต่ก็ยังฆ่าอย่างโหดเหี้ยม แบบนี้ไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกเหรอ!


จ้านหรูอี้ถือทวนในมือเขย่าเบาๆ เก็บทวนเอาไว้แล้ว ผลลัพธ์สามารถคาดเดาได้ ตัวเองไม่ต้องลงมือแล้ว


อย่างน้อยนางก็คิดว่าถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเอง ก็คงจะรับมือกับการโจมตีของทัพใหญ่ห้าหมื่นไม่ไหวเช่นกัน นี่ไม่ใช่ทัพใหญ่ของนักพรตบงกชแดงหรือบงกชม่วง แต่เป็นทัพใหญ่ของนักพรตบงกชทอง วรยุทธ์ของทุกคนล้วนอยู่ระดับบงกชทอง จะสู้ยังไงล่ะ? ต่อให้มีของวิเศษที่ร้ายกาจ แต่ก็ยากจะรับมือไหว มิหนำซ้ำก็เป็นไปไม่ได้ที่ตรงนี้จะมีคนที่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะหาของวิเศษระดับนั้นมาได้ หรือต่อให้จะหามาได้ แต่นักพรตวรยุทธ์บงกชทองจะควบคุมของวิเศษระดับนั้นได้อย่างไร


ดังนั้น เหมียวอี้ก็คือคนตายคนหนึ่งในสายตานาง เพียงแต่น่าเสียดายที่ให้คนอื่นเก็บผลงานไปก่อน


ซูลี่ที่ติดตามอยู่ข้างกายพวกจางฮั่นฟางเรียกได้ว่าโล่งอก


“จอมพลเถิง นี่ก็คือความร่ำรวยและวาสนาที่ลูกหลานผู้มีอำนาจควรจะได้รับอย่างที่เจ้าบอก ขนาดลูกน้องยังสามารถให้รางวัลเป็นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่แทนเทพประจำดาวเถาะฟ้าได้เลย เห็นตำแหน่งขุนนางตำหนักสวรรค์เป็นอะไรไปแล้ว? ที่ราชินีสวรรค์จัดการทดสอบครั้งนี้ขึ้นมา ก็เพื่อจะแต่งตั้งและให้รางวัลผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เท่านั้น!” เกาก้วนที่มองดูเหตุการณ์กล่าวเสียงเรียบ


กล้ามเนื้อบนใบหน้าเถิงเฟยกระตุกเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อ เปลี่ยนเรื่องพูดว่า “หนิวโหย่วเต๋อนั่นจะกลืนยาเม็ดม่วงทองเยอะขนาดนั้นไปทำไม? อาศัยวรยุทธ์อย่างเขา เกรงว่าใช้เวลาหลายวันก็ยังใช้ไม่หมดเลยมั้ง?”


เกาก้วนเพียงจ้องมอง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน


เหมียวอี้กลืนยาเม็ดม่วงทองไปสิบเม็ดเม็ดติดต่อกัน เมื่อเห็นทัพใหญ่พุ่งเข้ามา ก็หยุดยัดของเข้าปากแลว้ เขาถือทวนไว้ในมือ เตรียมตัวจะพุ่งเข้าไปสังหาร


แต่ใครจะคิดว่าพวกเนี่ยกงก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน จู่ๆ ก็หยุดอยู่กับที่และเรียงแถวหน้ากระดาน รอจนกระทั่งกำลังพลที่อยู่ข้างหลังพุ่งมาถึง ก็ต่างคนต่างหันตัวไปโบกทวนสั่ง “กลุ่มพวกเจ้าตามข้ามา”


“กลุ่มพวกเจ้าตามข้ามา เร็วๆ หน่อย ใครขัดคำสั่ง ประหาร!” ไก้อู๋ซวงตะโกนขู่อย่างเกรี้ยวกราด


ทั้งสี่รีบจัดกลุ่มกำลังพลห้าหมื่นกว่าคนที่ทยอยกันพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว แค่มองก็รู้ว่าเป็นผู้มีฝีมือที่บัญชาการกองทัพมาเป็นเวลานาน บัญชาการรบได้อย่างเชี่ยวชาญมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะจัดกำลังพลที่กระจัดกระจายวุ่นวายได้ทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็ว จากนั้นก็ต่างคนต่างนำกองทัพของตัวเองแยกย้ายกันพุ่งไปข้างหน้า ใช้ทั้งปากทั้งนิ้วคอยบัญชาการไม่หยุด


ในกำลังพลจำนวนห้าหมื่นกว่านั้น เห็นได้ชัดว่ามีคนไม่น้อยที่คุ้นชินกับการบัญชาการแบบนี้แล้ว แค่ได้ยินได้เห็นก็เข้าใจ ส่วนคนที่เหลือต่อให้จะฟังไม่เข้าใจ แต่ติดตามคนกลุ่มใหญ่ไปก็พอแล้ว


เหมียวอี้แสยะยิ้มในใจ กำลังคิดอยู่เลยว่าถ้าอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาพร้อมกันทั้งหมด ตัวเองคงเปลืองแรงที่จะฝ่าสังหารออกไป แต่นึกไม่ถึงว่าศัตรูจะเป็นฝ่ายกระจายกำลังให้เอง แบบนี้จะสกัดตนได้อย่างไร เฮยทั่นร้อนรนจนทนไม่ไหวตั้งนานแล้ว มันสั่นหัวส่ายหาง แล้วจู่ๆ ก็พุ่งออกไปราวกับธนูยิงออกจากสาย ไม่หลบหลีกเลยสักนิด มันพุ่งโจมตีเข้าไปหากลุ่มคนโดยตรง


“กระจาย!” พวกเนี่ยกงรีบโบกอาวุธบัญชาการ


กำลังพลที่กำลังจะมาถึงตรงหน้าเหมียวอี้กระจายตัวไปสี่ทิศอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เหมียวอี้ฝ่าออกไปแล้ว


“ล้อม!”


พวกเนี่ยกงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดแทบจะพร้อมกัน กำลังพลห้าหมื่นที่เพิ่งจะกระจายตัวรีบบุกเข้ามาล้อมเหมียวอี้อีกครั้ง


“เตรียมเชือกมัดเซียน!”


ตามเสียงตะโกนของพวกเนี่ยกงที่ดังต่อเนื่องกัน กำลังพลห้าหมื่นพากันหยิบเชือกมัดเซียนของตำหนักสวรรค์ออกมา


“ปล่อย!”


ทั้งสี่ตะโกนพร้อมกัน ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร ขณะเดียวกันก็ได้พิสูจน์แล้วว่าทั้งสี่บัญชาการรบทัพใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง


เชือกมัดเซียนหลายเส้นถูกโยนมาจากซ้ายขวาหน้าหลังทันที พุ่งเข้ามาอย่างหนาแน่นทั่วสารทิศราวกับฝนกระหน่ำ


เหมียวอี้ตกใจมาก ถึงแม้จะทำงานอยู่กับตำหนักสวรรค์มาหลายปี แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นวิธีรวมพลสู้รบตามมาตรฐานของตำหนักสวรรค์


…………………………

บทที่ 1204 ล้อมโจมตี


เสียแรงที่เมื่อครู่เขารู้สึกว่าเมื่ออีกฝ่ายกระจายกำลังแล้วเขาจะโจมตีฝ่าได้สะดวก นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวจะตกอยู่ในสภาพที่อับจนแล้ว และยิ่งนึกไม่ถึงว่าเจ้าสี่คนนั้นจะจัดกำลังที่กระจัดกระจายมาสู้รบได้รวดเร็วขนาดนี้ รู้สึกได้ว่าสี่คนที่อยู่ข้างกายจาเหรินจวิ้นไม่ธรรมดา ทั้งหมดมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้า แต่ไม่นาเชื่อว่าจะไม่ปะทะกับตนตรงๆ แต่ใช้วิธีการที่มั่นใจและเชื่อถือได้ยิ่งกว่ามาสู้กับตน ไม่ยอมมาเสี่ยงอันตรายง่ายๆ


พอเห็นลักษณะท่าทางของทั้งสี่ ก็ชัดเจนมากว่ามีพื้นเพมาจากทหารประจำการของตำหนักสวรรค์ มีประสบการณ์เรื่องระดมกำลังที่สุด เหมียวอี้ที่อยู่ตำหนักสวรรค์มานานเพิ่งเคยสู้รบกับทหารประจำการของตำหนักสวรรค์เป็นครั้งแรก ไม่ใช่ทหารสวรรค์ที่เฝ้าประตูเฝ้าสวนอย่างตนจะเทียบติด


กำลังพลห้าหมื่นกว่าที่กระจายตัวรีบโอบล้อมเข้ามารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ล้อมเหมียวอี้ไว้อย่างแน่นหนาจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านเข้าออกไม่ได้ และโบกแขนสองข้างโยนเชือกมัดเซียนออกมาพร้อมกัน ภาพเหตุการณ์นี้หาพบได้ยาก เป็นฉากที่ยิ่งใหญ่อลังการ


คนที่อยู่ด้านนอกมองไม่เห็นว่าเหมียวอี้ที่อยู่ข้างในมีสภาพเป็นอย่างไร มีคนไม่น้อยที่ถืออาวุธในมือเริ่มหละหลวมแล้ว ต่างก็คิดว่าเหมียวอี้จบเห่แล้ว เชือกมัดเซียนมากมายขนาดนี้ล้อมโจมตีพร้อมกัน ต่อให้เป็นนักพรตบงกรุ้งก็ยากที่จะรอดตัวไปได้


สาเหตุก็ไม่ซับซ้อน เชือกมัดเซียนมีทั้งความแข็งแกร่งและอ่อมนุ่มประสานส่งเสริมกัน ต่อให้วรยุทธ์ของเจ้าจะสูงแต่ก็ทำลายให้พังไม่ได้


สาเหตุที่เชือกมัดเซียนถูกเรียกว่าเชือกมัดเซียน ก็เพราะมีคุณสมบัติต้านทานในระดับหนึ่ง สามารถเลื้อยอยู่ท่ามกลางพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดราวกับเป็งูเทพ ตราบใดที่มีคนร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุม เมื่อพันตัวเป้าหมายที่ถูกมัด เป้าหมายก็จะดิ้นหลุดได้ยากมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกใช้งานเพื่อมัดนักพรตที่ทำผิดกฎหรอก


แน่นอนว่า ต่อให้นักพรตบงกรุ้งจะถูกมัดแล้ว แต่เชือกมัดเซียนระดับนี้ก็คงจะมัดไม่ไหว ถ้าอีกฝ่ายอาศัยวรยุทธ์ก็คงจะทำให้พังขาดได้ แต่การรับมือคนคนที่วรยุทธ์สูงกว่านั้น ก็ย่อมต้องมีนักพรตที่ระดับสูงกว่านั้นลงมือ และมีเชือกมัดเซียนที่ระดับสูงกว่านั้นเช่นกัน


เพียงแต่การใช้กระบวนทัพในตอนนี้รับมือกับเหมียวอี้ ก็เรียกได้ว่ามากเกินพอแล้ว


เหมียวอี้ที่พุ่งไปข้างหน้าต่อชกเชือกมัดเซียนที่กรูเบียดมาตรงหน้าจนปลิวออกไป อยากจะโจมตีให้เกิดช่องโหว่เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้น แต่ว่าไม่ได้ผล เชือกมัดเซียนที่ปลิวออกไปอยู่ภายใต้การร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุม มันสั่นไหวอยู่พักหนึ่งแล้วปลิวกลับมาอีกครั้ง


และเวลาก็ไม่สะดวกจะให้เขาพัวพันอยู่แบบนี้ เชือกมัดเซียนที่โจมตีเข้ามาหนาแน่นเกินไปแล้ว เกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหนก็ปกป้องตัวเองไมได้ ของสิ่งนี้มีคุณสมบัติต้านทานในระดับหนึ่ง สามารถเลื้อยต่อไปได้ท่ามกลางเกราะล่องหน


เหมียวอี้ปาดทวนที่อยู่ในมือด้วยความเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็ฟันเชือกมัดเซียนได้ต่อเนื่องสิบกว่าเส้น ฟันของวิเศษที่เปลี่ยนแปลงได้ชนิดนี้จนระเบิดเป็นผงทองกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า


เชือกมัดเซียนสู้กับความแหลมคมของอาวุธผลึกแดงได้ยาก มิหนำซ้ำยังเป็นทวนเกล็ดย้อนที่ทำมาจากผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงด้วย


แต่ก็ยังคงไร้ประโยชน์ ถ้ามีแค่ร้อยเส้นพันเส้นเขาก็ยังพอรับมือไหว แต่เพราะเชือกมัดเซียนที่โยนเข้ามาหนาแน่นเกินไปจริงๆ ปลิวเข้ามาห้าหมื่นกว่าเส้นในรวดเดียว สามารถฝังกลบเขาได้ด้วยซ้ำ ไม่มีใครสามารถลงมือได้เร็วถึงขั้นปาดทวนหลายหมื่นครั้งในชั่วพริตาเดียวได้หรอก


ขอเพียงให้เขาโดนเชือกมัดเซียนสักเส้นเกาะติดขึ้นมา ก็จะสามารถมัดไขว้เขาทั้งตัวได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจำนวนที่มากขนาดนั้น


เขาถึงขั้นคิดว่าจะใช้ลูกกลมตีไม่พังมาปกป้องตัวเองด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ นอกเสียจากเจ้าจะอยากหลบอยู่ในลูกกลมตีไม่พังตลอดชีวิตโดยไม่ออกไปไหน มิหนำซ้ำเชือกมัดเซียนยังสามารถเปลี่ยนเป็นยาวได้ สามารถมัดลูกกลมตีไม่พังไว้ด้วยกันได้เลย


ขณะกำลังฉุกละหุก ในหัวเหมียวอี้ก็พลันมีแสงสว่างวาบ ทวนเกล็ดย้อนที่โบกอยู่ในมือพลันหายไป ถูกเขาเก็บเอาไว้แล้ว


โอกาสรอดชีวิตเป็นช่วงเวลาที่เกิดขึ้นสั้นมาก ภายใต้ความวิตกกังวลแบบนี้ เขาดูแลเฮยทั่นไม่ไหวด้วยซ้ำ แผ่นเกล็ดบนเกราะรบพลันตั้งขึ้นมา หนามบนแผ่นเกล็ดทุกแผ่นก็ตั้งขึ้นมาเช่นกัน บนเกราะรบราวกับมีหนามงอกใอย่างฉับพลัน นี่ก็คือเกราะรบที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้เขาในตอนแรก


วูบ! ชั่วพริบตาเดียวเหมียวอี้ก็หมุนวนอย่างรวดเร็วราวกับพายุหมุน


ฉึกๆๆๆ…


เชือกมัดเซียนระเบิดกลายเป็นหมอกสีทองเส้นแล้วเส้นเล่า


เกราะรบที่กำลังหมุนวนอย่างรวดเร็วนั้นแหลมคมราวกับมีคมดาบนับไม่ถ้วนกำลังกรอตัด เชือกมัดเซียนที่เข้ามาใกล้จะถูกฟันแหลกในทันที ไม่มีทางเข้าใกล้ตัวของเหมียวอี้ได้เลย ร้ายกาจยิ่งกว่าตัวเม่นเสียอีก เรียกได้ว่าเชือกมาเท่าไรก็ตัดขาดเท่านั้น ชั่วพริบตาเดียวรอบกายเหมียวอี้ก็ปกคลุมไปด้วยหมอกสีทองที่ระเบิดออกมาอย่างหนาแน่น


“อ๋า!” มีเสียงร้องตกใจท่ามกลางทหารสวรรค์ที่ร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเชือกมัดเซียน


“เป็นอะไรไป?” เนี่ยกงที่บัญชาการรบอยู่ข้างๆ หันกลับมาตะคอกถาม ตอนนี้เชือกมัดเซียนที่กรูเข้าไปมีเยอะมากจริงๆ มองเห็นสภาพของเหมียวอี้ที่โดนขังอยู่ในนั้นได้ไม่ชัดเลย


คนที่อุทานตกใจตอบว่า “เชือกมัดเซียนของข้าน้อยถูกทำพังแล้วขอรับ”


“จะร้องโวยวายตกใจทำไม เขาก็แค่ดิ้นรนตอนใกล้ตายเท่านั้น ความเสียหายของเจ้า เดี๋ยวกลับไปจะชดเชยให้สองเท่า!”


เนี่ยกงที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ในนั้นชัดเจนตะคอกตำหนิ


แต่ไม่นานเขาก็พบความไม่ชอบมาพากลแล้ว เสียงร้องตกใจท่ามกลางกำลังพลหลายหมื่นดังขึ้นต่อเนื่องเป็นระลอก บวกกับเสียงระเบิดของเชือกมัดเซียนก็ถี่เกินไป


คนที่ดูการต่อสู้อยู่ภายนอกก็สังเกตเห็นสีหน้าสะเทือนใจของกำลังพลหลายหมื่นที่ล้อมเป็นรูปวงกลมเช่นกัน ทำให้แต่ละคนเบิกตากว้างมองดูทันที ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในนั้น อย่าบอกนะว่าขนาดใช้เชือกมัดเซียนหลายหมื่นก็ยังจับหนิวโหย่วเต๋อนั่นไม่ได้?


เกาก้วนที่เดิมทีเหลือบตาลงเล็กน้อย ตอนนี้พลันลืมตาจ้องมองไปทางนั้นแล้วเช่นกัน ส่วนเถิงเฟยที่ลูบหนวดอยู่ข้างกันก็หยุดชะงัก สายตาจ้องตรงจุดที่กำลังพลล้อมไว้


ไม่ว่าจะเป็นคนที่รู้จักหรือไม่รู้จักเหมียวอี้ ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่ทำสีหน้าตกตะลึงประหลาดใจ


ในขบวนทัพที่กำลังพลหลายหมื่นรวมตัวกัน พวกเนี่ยกงสบตากันอยู่ไกลๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง แอบคิดในใจว่าเป็นไปได้อย่างไร


ไม่นานการคาดเดาของพวกเขาก็ได้รับการพิสูจน์แล้ว เชือกมัดเซียนหลายหมื่นที่โผเข้าไป สิ่งที่ได้คืนมากลับเป็นหมอกสีทองผืนใหญ่ หมอกสีทองที่ระเบิดออกมาครอบเชือกมัดเซียนที่ตามมาทีหลังเอาไว้ ทำให้มองเห็นไม่ชัดว่าข้างในเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าหมอกสีทองเกิดขึ้นหลังจากเชือกมัดเซียนระเบิดออก


ทันใดนั้น หมอกสีทองที่อบอวลก็กระเพื่อมไปยังทิศทางเดียวภายใต้การพัดม้วนของพลังอิทธิฤทธิ์ ปรากฏเงาคนคนหนึ่งรางๆ อยู่ในหมอกสีทอง


“อิ๋งอิ๋ง” เสียงมังกรคำรามที่นุ่มนวลพลันดังขึ้น ในหมอกสีทองที่เลือนรางมีหัวทวนสามแฉกที่แหลมคมแทงออกมา


ตามทวนที่แทงออกมา หมอกสีทองที่อยู่รอบหัวทวนขยายออกไปอย่างฉับพลัน เผยให้เห็นเหมียวอี้ที่กำลังทำสายตาเย็นเยียบดุร้ายและถือทวนด้วยมือข้างเดียว


ทุกคนตกตะลึงอ้าปากค้าง พวกเนี่ยกงตกใจจนหน้าถอดสี พากันร่ำร้องในใจอย่างบ้าคลั่งว่า เป็นไปได้อย่างไร?


“ฝีมืออ่อนด้อย ยังกล้างัดออกมาใช้ทำร้ายข้าอีก!” เหมียวอี้ที่โบกทวนไปทางซ้ายทางขวาอย่างช้าๆ หลันหยุดชะงัก ทวนชี้ไปที่เนี่ยกง พร้อมตะโกนเสียงดังด้วยเสียงอันดุร้าย “หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่แล้ว ใครกล้าสู้ตายกับข้าสักตั้งมั้ย!”


“อ๋า…” กำลังพลหลายหมื่นที่กำลังตกตะลึงถูกเสียงตะโกนนี้ปลุกเรียกสติ พวกเขาสูดหายใจอย่างตกตะลึง โอ้สวรรค์! ขนาดเชือกมัดเซียนหลายหมื่นก็ยังทำอะไรเจ้าเวรนี่ไม่ได้!


เมื่อได้ยินเสียงนี้ คนส่วนใหญ่ก็พากันถอยหลังโดยจิตใต้สำนึก


ถึงแม้จะอยากหลบหลีกการท้าสู้นี้ แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางสายตาคนที่ดูการสู้รบอยู่ข้างนอก บวกกับเสียงอันเกรี้ยวกราดของเหมียวอี้ที่ตะโกนออกไปแล้ว ช่างเหมือนกับเป็นเสียงตะโกนขู่ให้ทัพใหญ่หลายหมื่นถอยหลังจริงๆ ทุกคนที่ดูการต่อสู้ทำสีหน้าตื่นตะลึง ไม่รู้ว่าในนั้นเกิดเรื่องน่ากลัวอะไรขึ้นกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้หนิวโหย่วเต๋อมีพลังอำนาจขนาดนี้!


ข้างนอกไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่มองมาตรงนี้อย่างตกใจ จ้องมองตรงนี้ตาไม่กะพริบ อยากจะรู้มากว่าในนี้เกิดเรื่องอะไรกันแน่


ส่วนเหมียวอี้ที่อยู่ในนั้นก็พลันหันกลับมา ด้านหลังมีเสียงระเบิดดังครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นเพียงเฮยทั่นที่โดนมัดไว้อย่างแน่นหนาดิ้นรนจนเชือกมัดเซียนขาดหลายเส้น มันกางกรงเล็บแหลมคมสี่ข้างตะกุยบนร่างกายตัวเอง กรงเล็บแหลมผลึกแดงขยุ้มจนเชือกมัดเซียนที่มัดตัวเองอยู่ระเบิดออกเส้นแล้วเส้นเล่า


เพียงแต่ร่างกายของมันใหญ่โตเกินไป มีบางจุดที่กรงเล็บของมันตะกุยไปไม่ถึงเลย และไม่มีทางโดนแรงดึงออกด้วย


เหมียวอี้เห็นแล้วอึ้งไปชั่วขณะ เรียกได้ว่าดีใจเหนือความคาดหมาย เด็กดีเอ๋ย พลังกายของเจ้าอ้วนนี่จะต้องเยอะขนาดไหนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะอาศัยแรงกายดึงเชือกมัดเซียนจนขาด


ถึงแม้เขาจะเคยเห็นมาก่อนว่าพลังของเฮยทั่นสามารถทะลุผ่านภูเขาได้ รู้ว่าเฮยทั่นมีพละกำลังมาก แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะมากถึงขั้นนี้ สามารถดึงเชือกมัดเซียนให้ขาดได้โดยตรง อย่างน้อยนักพรตระดับบงกชทองก็ไม่มีทางดึงเชือกมัดเซียนที่ทำจากผลึกทองให้ขาดได้แบบนี้แน่


“ซี๊ด…” กำลังพลที่ล้อมสูดหายใจอย่างตกตะลึงอีกครั้ง มองเฮยทั่นด้วยความตื่นตะลึง


เหมียวอี้ถลันตัวเข้าไป แทงทวนยาวไปที่เฮยทั่น พอทวนแทงบนเกราะรบบนตัวเฮยทั่น หัวทวนที่แหลมคมก็กรีดหนึ่งครั้ง ทำให้เชือกมัดเซียนบนตัวเฮยทั่นขาดหมดในชั่วพริบตาเดียว


“อ๋าว…” พอเฮยทั่นหลุดจากการถูกมัด มันก็คำรามใส่กลุ่มคนอย่างเกรี้ยวกราดบ้าระห่ำทันที เผยฟันคมที่น่ากลียดดุร้าย มันกำลังสะบัดร่างกาย ในดวงตาสิงโตสีเลือดฉายแววโกรธแค้นบ้าคลั่ง


เหมียวอี้ขึ้นไปเหยียบบนหลังมัน คนกับสัตว์พาหนะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง


เมื่อเห็นว่าขนาดทำแบบนี้แล้วยังล้อมเหมียวอี้ไว้ไม่ได้ พวกเนี่ยกงที่กำลังตกใจก็ส่งสายตาให้กัน หลังจากพยักหน้าพร้อมกันแล้ว ก็หันไปชูมือตะโกนบอกกำลังพลที่อยู่ข้างหลัง “ฆ่า!”


ทั้งสี่คนพุ่งนำออกไป โอบล้อมโจมตีเหมียวอี้จากสี่ทิศ ในเมื่อไม่สามารถจัดการเหมียวอี้ได้อย่างมั่นใจและประหยัดแรง ทั้งสี่ก็ทำได้เพียงออกโรงด้วยตัวเอง ถ้าตอนนี้ไม่ทำตัวเป็นผู้นำ ก็เป็นเรื่องยากที่จะปลุกระดมให้คนอื่นขึ้นมาข้างหน้า ถึงอย่างไรคนพวกนี้ก็ไม่ใช่ลูกน้องของตน ใช่ว่าตนสั่งคำเดียวแล้วจะเชื่อฟังได้ ตอนนี้ทำได้เพียงนำหน้าไปก่อน


สัตว์พาหนะสามร้อยกว่าตัว คนสามร้อยกว่าคนที่มีสัตว์เทพเป็นสัตว์พาหนะแข็งใจพุ่งสังหารตามเข้าไป กำลังพลหลายหมื่นที่ล้อมอยู่ทั้งสี่ทิศต่างก็กำลังเหลียวซ้ายแลขวา ตอนนี้ยังไม่มีใครเคลื่อนไหวอะไร


เหมียวอี้ถือทวนมองไปรอบๆ สีหน้าเย็นเยียบมุ่งสังหาร


เมื่อเห็นว่ากำลังจะโอบล้อมได้ ฮัวต้าหลาง หนึ่งในคนที่นำกำลังพลบุกเข้ามาก็พลันยกฝ่ามือ เถาวัลย์สิบกว่าเส้นพลันยิงออกมา เลื้อยขยายครอบคลุมไปที่เหมียวอี้ บนเถาวัลย์ทุกเส้นมีดอกไม้ตูมสีชมพูหลายดอก


เหมียวอี้พลันหันกลับมา เจอกับปีศาจเถาวัลย์อีกแล้ว เขาโบกทวนชี้ไป เลือกเป้าหมายแรกที่จะโจมตี ใครลงมือก่อนเขาก็จะฆ่าคนนั้นก่อน!


เหมียวอี้โบกทวนฟันเถาวัลย์ที่โผเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ฟันจนเถาไม้ปลิวว่อน แล้วโจมตีไปหาฮัวต้าหลางโดยตรง


ฮัวต้าหลางที่พุ่งเข้ามาตรงหน้ามองข้ามเถาไม้ที่โดนตัดฟันไม่หยุดหย่อน มุมปากกลับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์


เหมียวอี้ที่สังเกตเห็นรู้สึกได้ลางๆ ว่าต้องมีลับลมคมใน แต่ช่วยไม่ได้ที่ไหวตัวไม่ทันแล้ว จู่ๆ ดอกไม้ตูมบนเถาไม้ที่โดนตัดขาดก็เบ่งบาน ชั่วพริบตาเดียวกลีบดอกไม้ขนาดใหญ่ดอกหนึ่งก็อ้าออกและหุบลง กลืนเหมียวอี้เข้าไปพร้อมกับสัตว์พาหนะ


จากนั้นเถาไม้นับไม่ถ้วนก็ระเบิดออกมาจากฮัวต้าหลาง เป็นลักษณะท่าทางที่บ้าบิ่น รัดดอกไม้ที่กลืนเหมียวอี้เอาไว้แน่นแล้วม้วนเป็นก้อนใหญ่ราวกับก้อนหิมะกลิ้ง


เมื่อใช้ท่านี้สำเร็จ ฮัวต้าหลางก็เงยหน้าหัวเราะลั่น “โจรกระจอก! ติดกับดักแล้ว!”


พวกเนี่ยกงที่พุ่งเข้ามาก็เหมือนจะมีความมั่นใจในตัวเขาสุดๆ เช่นกัน แต่ะคนเผยรอยยิ้มชั่วร้าย


เป็นเพราะทั้งสามรู้ว่าพิษที่เกิดขึ้นในดอกไม้สดที่กลืนกินเหมียวอี้เข้าไปสามารถฝ่าเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ได้ มันร้ายกาจที่สุด เป็นท่าไม้ตายของฮัวต้าหลาง เมื่อพลาดท่าจะต้องติดกับดักแน่นอน และลูกตะกร้อที่กำลังกลิ้งนั้น ไม่ว่าตอนอยู่ข้างในเจ้าจะทำลายมันอย่างไร แต่มันก็จะงอกมาเสริมใหม่ได้อย่างรวดเร็ว มันจะขังเจ้าไว้ตรงกลางตลอด


เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ในกำลังพลหลายหมื่นก็มีคนพุ่งเข้ามาเสริมอานุภาพทันที เมื่อมีคนนำ ทุกคนก็เข้าใจในทันที การมอบถ่านท่ามกลางหิมะ[1]เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่ถ้าจะให้เพิ่มดอกไม้บนผ้าดิ้นที่สวยงาม[2]ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร พวกเขาจึงกรูกันเข้าไป พร้อมตะโกนว่า “ฆ่า” ไม่หยุด ขวัญกำลังใจในการรบเพิ่มขึ้นสูงมาก มีพลังอำนาจน่าหวาดกลัว


เมื่อมองจากด้านนอก ผู้ที่ดูการต่อสู้รู้สึกงุนงง ดูท่าแล้ว หรือว่าจะโจมตีโต้ตอบสำเร็จอีกแล้วอีกแล้ว?


แต่ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ฮัวต้าหลางที่หัวเราะลั่นอยู่ในนั้นถึงทำสีหน้างุนงง จ้องลูกตะกร้อมที่หยุดกลิ้งและขยายใหญ่ขึ้นอย่างงุนงง พร้อมอุทานว่า “เป็นไปไม่ได้!”


พวกเนี่ยกงมองตาม ทำให้ตกใจเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าลูกตะกร้อนั่นจะเปลี่ยนสีแล้ว กลายเป็นถ่านไปแล้ว


ส่วนฮัวต้าหลางก็เขย่าเถาวัลย์แล้ว ทำท่าเหมือนกลัวว่าจะหนีไม่ทัน ตัดขาดการเชื่อมต่อกับเถาวัลย์นั่นอย่างเหี้ยมหาญ


บึ้ม! ลูกตะกร้อระเบิดออก เหมียวอี้พาสัตว์พาหนะสังหารฝ่าออกมาแล้ว


“จะหนีไปไหน!” เนี่ยกงตะโกน รีบพุ่งเข้าไปแทนที่ แล้วโบกทวนดักสังหาร


เหมียวอี้พุ่งออกมาอย่างดุร้าย เขากวาดมองอย่างเย็นเยียบพร้อมสะบัดทวนออกมา บนหัวทวนก็มีจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองหมุนวน พุ่งเข้าไปปะทะกับเนี่ยกงอยางกล้าหาญ


เกิดเสียงดังปั้ง ทวนในมือเนี่ยกงหลุดมือกระเด็นออกไปแล้ว


เกิดเสียงดังบึ้ม ทวนเกล็ดย้อนโจมตีอาวุธในมือเนี่ยกงจนกระเด็น ยังไม่หยุดแค่นั้น หัวทวนที่แหลมคมจ่อไปโดนเกราะรบผลึกแดงบนหน้าอกของเนี่ยกงแล้ว


อุบ! เนี่ยกงเงยหน้ากระอักเลือดขึ้นฟ้าอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายสะเทือนจนกระเด็นถอยหลังออกจากตัวสัตว์พาหนะราวกับฝนดาวตก กระแทกใส่กลุ่มคนที่พุ่งตามมาข้างหลัง


การเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันเพียงชั่วแวบเดียว เรียกได้ว่าทำให้กำลังพลหลายหมื่นที่ตะโกนว่าฆ่าและพุ่งเข้ามาตกใจจนเหม่อค้างไปตามๆ กัน!


…………………………


[1] มอบถ่านให้ท่ามกลางหิมะ 雪中送炭 อุปมาว่าช่วยเหลือคนที่กำลังลำบาก


[2] เพิ่มดอกไม้บนผ้าดิ้นที่สวยงาม 錦上添花 อุปมาว่าเสริมแต่งในสิ่งที่ไม่จำเป็น ไปช่วยเหลือคนที่สบายดีอยู่แล้ว

บทที่ 1205 สงบเงียบ! เศร้าระทมทว่างดงาม!


วูบ…ปั้ง!


เฮยทั่นก็ไม่แสดงความอ่อนแอเช่นกัน สะบัดหางออกมาอีกครั้ง เหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่เฉียดผ่านมันไปถูกลูกกลมหนามกวาดโดน ทำให้เลือดสดที่ปนกับขนเหล็กสาดกระเด็น “วี้ด…” มันส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดพลางม้วนกลิ้งออกไป


เนี่ยกงมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้า ไม่น่าเชื่อว่าโดนโจมตีแค่ครั้งเดียวก็กระเด็นแล้ว อย่าว่าแต่คนอื่นที่ตกใจ ไก้อู๋ซวง หู่โพ่ ฮัวต้าหลางที่โผโจมตีเข้ามาก็ตกใจเช่นกัน


“ฆ่า!” ท่ามกลางเสียงตะโกนอันเดือดดาล เหมียวอี้โบกทวนชี้ออกไป


เฮยทั่นที่เลี้ยวเบี่ยงเส้นทางเล็กน้อยแบกเหมียวอี้กระโจนไปหาไก้อู๋ซวงด้วยความเร็วสูงแล้ว


ทั้งสามที่พุ่งเข้ามาตกใจมาก เห็นกับตาว่าเนี่ยกงโดนโจมตีครั้งเดียวจนกลายสภาพเป็นแบบนั้น ทั้งสามไม่ได้คิดว่าตัวเองมีความสามารถมากกว่าเนี่ยกง ที่จริงในบรรดาทั้งสี่คน เนี่ยกงคือคนที่เก่งที่สุด ขนาดเนี่ยกงยังทนการโจมตีเพียงครั้งเดียวไม่ไหว แล้วทั้งสามตะกล้าใช้กำลังปะทะตรงๆ ได้อย่างไร


ที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่เห็นว่าทวนยาวในมือเหมียวอี้มีจุดที่พิเศษตรงไหน เป็นทวนวิเศษขั้นห้าชิ้นหนึ่งแท้ๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะอาศัยกำลังโจมตีเนี่ยกงทีเดียวจนล้มคว่ำ เป็นพลังที่น่ากลัวเกินไปแล้ว


ตอนนี้ทั้งสามเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว ว่าอันดับหนึ่งที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งและประทานรางวัลให้เป็นอย่างที่ร่ำลือจริงๆ ไม่ใช่ชื่อเสียงอันจอมปลอม ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปลูบคมได้


เรียกได้ว่ารีบหยุดอย่างกะทันหัน หันเลี้ยวอย่างลนลาน จะกล้าใช้กำลังปะทะตรงๆ ได้อย่างไร


เมื่อเห็นเหมียวอี้โผเข้ามาหาตัวเอง ไก้อู๋ซวงก็ตกใจจนขนลุกซู่ เลี้ยวหนีอย่างลุกลี้ลุกลน อยากจะหลบคมทวนของเหมียวอี้ เพราะไม่สามารถสู้กับคนคนนี้ไหวเลย โหดเกินไปแล้ว!


แต่ช่วยไม่ได้ เพราะคนที่พุ่งเข้ามาโหดเกินไป ถ้าอยากจะเลี้ยวหนีให้ไวก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่พูด เขาชักช้า แต่เหมียวอี้กลับโผเข้ามาอย่างรวดเร็ว


ชั่วขณะนั้นไม่มีทางหลีกกันพ้น “ย๊า!” ไก้อู๋ซวงพยายามใช้วรยุทธ์ทั้งหมดฟันดาบอย่างบ้าคลั่งไปทางเหมียวอี้ที่โผเข้ามาด้านข้าง หมายจะสร้างอุปสรรคเพื่อให้คลาดผ่านกันไป


เหมียวอี้ทำสีหน้ามุ่งสังหาร มีหรือที่จะปล่อยอีกฝ่ายไป เขากระโจนขึ้นจากตัวเฮยทั่น อาศัยแรงเฉื่อยจากเฮยทั่นเพิ่มความเร็วในการโผเข้ามา หัวทวนที่มีจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองหมุนวนแทงเฉียงจากข้างบนลงข้างล่างหนึ่งครั้ง


ปั้ง! ทวนที่รวดเร็วดุดันปานอัสนีบาตฟาดดาบใหญ่ที่ฟันเข้ามาอย่างบ้าคลั่งจนกระเด็นออกไป และตอนนี้ทวนก็โดนเกราะหัวของไก้อู๋ซวงแล้ว


อั้ก! ศีรษะครึ่งหนึ่งของไก้อู๋ซวงถูกโจมตีจนจมลงไปในทรวงอก เลือดสดทะลักจากปากและจมูกพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่ลิ้นก็จุกปากออกมาครึ่งหนึ่งแล้ว ดวงตาสองข้างที่มีเลือดไหลเบิกกว้าง ทั้งร่างกายล้มลงอย่างฉับพลัน สะเทือนจนเหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่เขาขี่อยู่ร้อง “วี๊ด” ด้วยความเศร้าโศก มันเสียสมดุลและสะบัดไก้อู๋ซวงพลิกกระเด็นเสียงดังโครม


โชคดีที่บนตัวไก้อู๋ซวงสวมเกราะรบผลึกแดง ไม่อย่างนั้นทวนนี้จะต้องโจมตีจนหัวเขาระเบิดแน่นอน


เฮยทั่นพุ่งตามมาติดๆ พอรับเหมียวอี้แล้วก็รีบเลี้ยวออกไป เร่งไล่สังหารหู่โพ่


หู่โพ่หันกลับมามอง เห็นเหมียวอี้ใช้ทวนเดียวสังหารไก้อู๋ซวงอีกแล้ว ใช้ทวนแก้ปัญหาอีกแล้ว แล้วตอนนี้เทพสังหารอย่างเขาก็ไล่ตามตนมาอีก เรียกได้ว่าตกใจจนหนังหัวชาวาบ ลนลานเร่งให้เหยี่ยวมารวานรยักษ์รีบพาหนี


ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนจะผ่านไปช้า แต่ที่จริงการต่อสู้ดำเนินไปเร็วมาก กำลังพลหลายหมื่นที่พุ่งเข้ามาอย่างงุนงง มีบางคนเพิ่งจะหยุดยั้งการพุ่งเข้ามา ยังจะมีทางเหลือให้เขาหนีได้อย่างไร โดนอุดหมดแล้ว


แต่หู่โพ่จะสนใจอะไรขนาดนั้น เขาโบกทวนฟันอย่างบ้าคลั่งติดต่อกัน ฟันพวกเดียวกันที่กำลังขี่สัตว์เทพจนล้มตายไปหลายคน


เขาถูกความโหดเหี้ยมของเหมียวอี้ทำให้รู้สึกขี้ขลาด ตอนนี้สนใจแต่จะหนีเอาชีวิตรอด จะไปสนใจความเป็นความตายของ ‘พวกเดียวกัน’ ได้อย่างไร มิหนำซ้ำทุกคนก็มารวมตัวกันแค่ชั่วคราวอยู่แล้ว ไม่ได้นับว่าเป็นพวกเดียวกันเลย


“อา…” พวกเดียวกันล้มลงบนสัตว์พาหนะท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าหู่โพ่จะฆ่าลูกน้องตัวเองเพื่อเอาชีวิตรอด


จากนั้นก็เห็นเหมียวอี้สังหารเข้ามาอีก คนที่ขี่สัตว์เทพพวกนั้นเอาเยี่ยงอย่างทันที สนใจแต่เรื่องหนีเอาชีวิตรอดก่อน พอข้างหน้ามีคนขวางทาง ก็โบกอาวุธสังหารฝ่าวงล้อมอย่างบ้าคลั่งทันที


ก็ช่วยไม่ได้แล้ว ถ้าก่อนหน้านี้นักพรตหลายหมื่นยังหยุดอยู่ที่เดิมต่อไป พอประสบเหตุการณ์แบบนี้ก็ยังกระจายตัวง่ายหน่อยแต่ ตอนนี้กรูกันเข้ามาเพื่อ ‘เพิ่มดอกไม้บนผ้าดิ้นที่สวยงาม’ เบียดกันอยู่ในขอบเขตเล็กๆ ล้อมทั้งข้างนอกข้างในเอาไว้ไม่รู้ตั้งกี่ชั้น คนที่อยู่นอกวงไม่เห็นด้วยซ้ำว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น คนที่ความรู้สึกช้ายังพุ่งมาทางนี้ด้วย


คนเบียดกัน ข้างนอกไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนข้างในพุ่งออกข้างนอก แถมยังไม่มีคนบัญชาการ คนข้างนอกและคนข้างในพุ่งชนใส่กัน เกิดความพัลวันพันเกทันที คนข้างในอยากจะฝ่าออกไปแต่ก็มีอุปสรรคหลายชั้น ทำได้เพียงโบกอาวุธใส่ ‘พวกเดียวกัน’ เพื่อเปิดทาง


คนที่ยังเบียดออกไปไม่ได้ย่อมไม่รอความตายอยู่เฉยๆ ในเมื่อไม่เห็นว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน พวกเขาก็ย่อมต้องสู้สุดชีวิตเพื่อปกป้องตัวเอง ควงอาวุธฟันมั่วๆ เพื่อต่อต้าน ยิ่งเป็นกลุ่มนักพรตที่ขี่สัตว์เทพก็ยิ่งฝ่าออกไปได้ยาก


“อา…” เสียงกรีดร้องดังเป็นแถบๆ


ยามระดมทัพใหญ่สู้รบ สิ่งที่ถือเป็นข้อห้ามมากที่สุดก็คือการเสียระเบียบ ต้องทราบไว้ว่าตอนนี้ไม่ได้วุ่นวายแค่คนสองคน แต่วุ่นวายเป็นกลุ่ม นี่คือข้อห้ามที่ใหญ่ที่สุดของทหาร


ส่วนกลุ่มคนที่ดูการต่อสู้อยู่ข้างนอกก็เห็นทัพใหญ่หลายหมื่นชุลมุนวุ่นวายราวกับผึ้งแตกรัง แล้วก็เห็นหนีกระเจิดกระเจิง ทุกคนพากันเบิกตากว้างมองดูอย่างตกตะลึง


ขนาดพวกเขาฆ่า ‘พวกเดียวกัน’ แล้วยังไม่รู้สึกผิดปกติทางจิตใจเลย เหมียวอี้ก็ย่อมไม่เกรงใจอยู่แล้ว พุ่งเข้าไปในกลุ่มคนที่หมดขวัญกำลังใจและเอาแต่หลบหนีเหมือนแมลงวันไร้หัว ออกทวนราวกับมังกร สังหารจนเห็นเลือดตลอดทาง ไม่มีใครสกัดขวางได้


เมื่อมีพวกหู่โพ่เบิกทางอยู่ข้างหน้า เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าสังหารฝ่าออกไปได้อย่างสบายๆ


ส่วนทหารสวรรค์เกราะทองพวกนั้น ต่อให้สวมเกราะทองไปก็ไม่มีประโยชน์ จนทนการปาดจากทวนเกล็ดย้อนได้อย่างไร เมื่อคมทวนไปถึงตรงไหน ตรงนั้นก็มีเลือดสาดเหมือนฝนตก


ที่จริงสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเฮยทั่น มันไม่สนใจว่าข้างหน้ามันจะมีอะไรอยู่ เอาแต่ใช้หัวที่มีกรวยแหลมพุ่งชนอย่างบ้าคลั่ง ใช้กรงเล็บข่วนเกาตลอดทาง ลากหางที่เป็นลูกกลมหนามกวาดไปทางซ้ายทางขวาอย่างบ้าคลั่ง มันไปตรงไหนตรงนั้นก็จะมีเสียงกรีดร้องเป็นแถบ บดขยี้อยู่ในกลุ่มคนจะเกิดทางเลือด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งตลอดทาง


แต่มุทะลุดุดันก็ส่วนมุทะลุดุดัน เฮยทั่นร่างกายใหญ่โตเกินไป เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ถูกโจมตีเลยเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชน ภายใต้การโต้ตอบจากกลุ่มคนที่ชุลมุนวุ่นวาย ก็ไม่รู้ว่าเฮยทั่นโดนโจมตีไปกี่ครั้งแล้ว โดนทำร้ายจนคำรามอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด


ตอนแรกเหมียวอี้ยังดูแลมันได้ กลัวว่ามันจะเจ็บตัว เพราะต่อให้มีเกราะรบผลึกแดง แต่ก็รับประกันได้ยากว่าจะไม่ถูกทำให้สะเทือนจนบาดเจ็บ ผลก็คือยิ่งเจ้าสัตว์ตัวนี้โดนทำร้าย มันก็ยิ่งบ้าบิ่นดุดัน เขาพบว่าความทนทานต่อการโจมตีของเจ้าอ้วนยังไม่หายไป แต่กลับแข็งแกร่งยิ่งขึ้นหลังจากวิวัฒนาการ ยังทนมือทนเท้าเหมือนอย่างที่เคยเป็น


แบบนี้เหมือนเสือติดปีกจริงๆ! เหมียวอี้ดีใจมาก เมื่อมีเจ้าอ้วนคอยช่วย การปลีกตัวออกไปก็มีความมั่นใจยิ่งขึ้นแล้ว!


มีเฮยทั่นที่กล้าหาญแบบนี้ เหมียวอี้ก็ยิ่งออกทวนได้รวดเร็วดุดันยิ่งขึ้น จุดไหนที่คมทวนไปถึง อุปสรรคข้างหน้าก็จะถูกกวาดล้างอย่างรวดเร็ว ทำให้ตามหู่โพ่ทันได้เร็วมาก


สัตว์พาหนะของหู่โพ่โดน ‘พวกเดียวกัน’ โต้กลับจนบาดเจ็บ เขาเห็นอยู่ตำตาว่าตัวเองกำลังจะฝ่าวงล้อมออกไปได้ แต่พอได้ยินเสียงกรีดร้องข้างหลังแล้วหันกลับไปมอง ก็พบว่าเหมียวอี้ที่เลือดเปื้อนเต็มตัวตามทันแล้ว ให้ทวนสังหารเข้ามาอย่างบ้าระห่ำ


หู่โพ่ตกใจจนขวัญกระเจิงทันที เขาอาศัยวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่ายื่นมือไปคว้าทหารสวรรค์คนหนึ่งทุ่มไปข้างหลัง ต้องการจะสร้างอุปสรรคให้กับเหมียวอี้สักหน่อย


ตรงหน้ากำลังจะฝ่าวงล้อมได้แล้ว ขอเพียงสร้างอุปสรรคขัดขวางเพิ่มสักหน่อยก็พอ เขามองออกว่าสัตว์พาหนะของเหมียวอี้เหาะได้ไม่เร็วเท่าเหยี่ยวมารวานรยักษ์ของตน ตอนหลังก็ย่อมปลีกตัวหนีไปได้


ทว่าความจริงมักโหดร้ายเสมอ ความเป็นความตายบนสนามรบเป็นเรื่องที่พูดยาก บทจะรอดก็รอด บทจะตายก็ตาย


ฉึก! หู่โพ่ที่หันหน้ากลับมาร่างสะเทือนอย่างรุนแรง พบว่าร่างของตัวเองแยกออกจากสัตว์พาหนะอย่างควบคุมไม่ได้แล้ว


พอเหลือบตาลงมองไปตามคมทวนที่เสียบคอตัวเองอยู่ ถึงได้พบว่าทวนยาวที่ย้อมไปด้วยคาวเลือดแทงทะลุเกราะทองของคนที่ตัวเองจับทุ่มออกไปแล้ว ทะลุหน้าอกขงคนคนนั้นออกมาจอปาดอยู่บนคอตัวเองโดยตรง


มั่นคงเด็ดเดี่ยวและแม่นยำ หนึ่งทวนที่ว่องไวปราดเปรียว ไม่น่าเชื่อว่าขนาดตัวเองก็ยังหนีไม่พ้น…ขณะที่หู่โพ่ถลึงตามอง ความคิดเล็กน้อยเช่นนี้ก็แวบเข้ามาในหัว จนกระทั่งตอนตายก็ยังไม่ได้เห็นหน้าศัตรูที่ใช้ทวนแทงคอตัวเอง เพราะเงาร่างของอีกฝ่ายถูกบังด้วยคนที่ตัวเองทุ่มเข้าไป ขนาดตัวเองอยากจะเคลื่อนสายตาไปมองยังยากเลย


เฮยทั่นที่ไล่ตามมาใช้กรงเล็บทั้งคู่ตะปบไปข้างหน้า เสียบเข้าแผ่นหลังเหยี่ยวมารวานรยักษ์ของหู่โพ่ อาศัยกำลังอันป่าเถื่อนดึงเหยี่ยวมารวานรยักษ์กลับมาทั้งตัว แล้วอ้าปากที่เหมือนแอ่งเลือดกัดไปที่คอของเหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่กำลังจะหันหน้ากลับมาจิกโต้ตอบ มันกัดไว้แล้วส่ายหน้าฉีก บวกกับออกแรงที่กรงเล็บทั้งสองข้าง มันฉีกคอของเหยี่ยวมารวานรยักษ์จนขาดเสียงดักแคว่ก


ท่ามกลางกลุ่มคนที่หนีกระเจิดกระเจิง ฉากที่ทั้งคู่สังหารฝ่าออกมาจากฝูงชนทำให้ทุกคนต้องกลั้นหายใจ สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เฮยทั่น เป็นเพราะเกราะรบของเฮยทั่นสะดุดตาเกินไป บวกกับเป็นทิศทางที่กองทัพหลายหมื่นชุลมุนที่สุด ถ้าไม่อยากให้สนใจก็คงยาก


ภาพนี้ปรากฏอยู่ในสายตาของทุกคน ทุกคนที่ดูการต่อสู้ได้แต่มองดูตาปริบๆ


ท่ามกลางกลุ่มคนที่ชนออกมา เฮยทั่นฉีกเหยี่ยวมารวานรยักษ์ทั้งเป็น ส่วนเหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนหลังเฮยทั่นก็ยิ่งปลิดสองชีวิตได้ในหนึ่งทวน ด้ามทวนแทงทะลุคนหนึ่ง หัวทวนกำลังปาดอีกคนหนึ่ง ใช้วิธีการที่เขย่าขวัญสังหารฝ่าออกมาจากกองทัพที่ชุลมุน


การกระทำของคนหนึ่งคนกับสัตว์พาหนะหนึ่งตัวยังไม่ทันมีอะไรเปลี่ยนแปลง แค่พุ่งฝ่าฝูงชนจนแตกกระเจิง สังหารฝ่าออกมาอย่างห้าวหาญไร้ที่เปรียบ!


ไม่รู้ว่าฉากนี้ตราตรึงอยู่ในใจคนมากมายตั้งเท่าไร


กองทัพที่ชุลมุนวุ่นวายอยู่ข้างหลังไม่กล้าเข้าใจเหมียวอี้ราวกับเห็นเทพแห่งโรคระบาด ขวัญกำลังใจนักรบพังทลายหมดแล้ว ลนลานหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศ


บนปากเฮยทั่นยังกัดหัวเหยี่ยว เหมียวอี้ที่ยังถือทวนคาศพสองศพหันขวับกลับมาอย่างดุร้าย ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองไปรอบๆ ไม่นานก็เห็นฮัวต้าหลางที่หนีออกมาจากอีกฝั่ง


ส่วนฮัวต้าหลางที่หันหน้ากลับมา พอเห็นเหมียวอี้ใช้วิธีการแบบนั้นปาดทวนใส่หู่โพ่ เห็นเจ้าเวรที่น่าสยองมันฆ่าเพื่อนร่วมงานไปแล้วอีกคน เขาก็ยิ่งรู้สึกสะท้านใจ จึงหันเลี้ยวอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกลี้ลุกลนหลบหนี เพราะกลัวว่าเหมียวอี้จะไม่ปล่อยเขาไป เขาไม่กล้าอยู่ตรงนี้นานแล้ว หนีไปยังจุดลึกในท้องฟ้า พันธมิตรที่ดึงมาเป็นพวกก็ย่อมไม่สนใจแล้ว


นักพรตอีกสองร้อยกว่าคนที่ขี่สัตว์เทพฝ่าออกมาจากกองทัพชุลมุนก็ยิ่งตระหนกตกใจ ในจำนวนนั้นส่วนใหญ่เป็นลูกหลานผู้มีอำนาจ ไม่ค่อยมีใครได้เห็นการเข่นฆ่าที่โหดร้ายทารุณแบบนี้มาก่อน หนีกระเจิงไปคนละทิศทาคนละทางเช่นกัน


กำลังพลหลายหมื่นที่รวมตัวกันชั่วคราวกลัวว่าจะโดนเหมียวอี้กวาดล้าง จึงกระจัดกระจายเหมือนผึ้งแตกรัง ไม่คุ้มที่จะเอาชีวิตมาทิ้งกับเรื่องแบบนี้ รีบหนีเอาชีวิตรอดแล้ว


กำลังพลห้าหมื่นกว่าที่รวมตัวกันแตกกระเจิงตรงนี้ เหมียวอี้พวกข้ามคนพวกนั้น จ้องแค่ฮัวต้าหลาง แต่เฮยทั่นดันเหาะช้ากว่าคนอื่น ทั้งยังทิ้งระยะห่างกันไปแล้ว ต่อให้ไล่ตามตอนนี้ก็ตามไม่ทัน ทำได้เพียงมองดูเจ้านั่นหนีเอาชีวิตรอดไปได้


จู่ๆ ก็รู้สึกหนักที่หัวทวน พอเหมียวอี้หันไปมอง ถึงได้พบว่าหู่โพ่ปรากฏร่างเดิมแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเสือโคร่งรูปร่างใหญ่ตัวหนึ่ง ร่างเดิมของเขาไม่สามารถฝ่าการรัดพันของเกราะรบผลึกแดงบนตัวได้ ทำให้เบียดจนเลือดเนื้อและกระดูกระเบิดออกมา


เหมียวอี้ใช้เท้าถีบหนึ่งที มีเสียงปั้งดังสองครั้งติดต่อกัน คนที่ห้อยอยู่บนด้ามทวนชนกับหู่โพ่ ทั้งสองถูกถีบกระเด็นออกไปพรัอมกัน


ใช้มือข้างเดียวคว้าทวนมาถือเฉียงไว้ในมือ ทั้งตัวเหมียวอี้เต็มไปด้วยเลือดราวกับไปอาบน้ำเลือดมา ตอนนี้กำลังใช้สายตาเย็นเยียบกวาดมองรอบข้าง เลือดสดบางส่วนที่เปื้อนอยู่บนร่างกายกลายเป็นไข่มุกเลือดลอยขึ้นมาช้าๆ ภายใต้สภาพไร้แรงโน้มถ่วง สงบเงียบ! เศร้าระทมทว่างดงาม!


เฮยทั่นที่อยู่ใต้เท้าก็เหมือนกับเปื้อนเลือดมาเช่นกัน มันกำลังเลียกรงเล็บตัวเอง


เสียงกรีดร้องโวยวายหายไป รอบข้างสงบเงียบ!


ศพของสัตว์เทพเกือบร้อยตัวลอยช้าๆ อยู่รอบด้าน ทั้งยังมีร่างมนุษย์อีกสองพันกว่า บางคนยังคงดิ้นรนอยู่นิดหน่อย ที่จริงเหมียวอี้ไม่ได้ฆ่าเยอะขนาดนั้น ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเข่นฆ่ากันเองเพื่อเอาชีวิตรอดในกองทัพอันชุลมุนวุ่นวาย


…………………………

บทที่ 1206 ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ลูกธนูดาวตก


แต่ในสายตาคนนอกกลับไม่เป็นแบบนี้ พวกเขาเห็นแค่ทัพใหญ่ห้าหมื่นโยนเชือกมัดเซียนหลายหมื่นเส้นออกไป แล้วตอนหลังก็ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ตอนนี้เห็นเพียงทัพใหญ่หลายหมื่นคนโดนเหมียวอี้สังหารจนกรีดร้องขวัญกระเจิงอย่างต่อเนื่อง หลังจากบาดเจ็บล้มตายก็ไม่มีใครหนีพ้น กองทัพหลายหมื่นคนถูกซัดจนแพ้ย่อยยับ


สิ่งที่ทำให้คนตกตะลึงที่สุดก็คือ หลังจากทัพแตกแล้ว ก็ไม่มีกำลังพลคนไหนหนีเข้ามาในกลุ่มคนที่กำลังดูการต่อสู้อยู่ แต่กลับหนีไปยังจุดลึกในดาราจักร ราวกับว่าต่อให้มีคนมากกว่านี้แต่ก็ไม่มีทางสกัดขวางการไล่สังหารของหนิวโหย่วเต๋อได้ แบบนี้ต้องตระหนกตกใจมากขนาดไหน?


และฉากที่เหมียวอี้เพิ่งสังหารฝ่าศึกเลือดออกมาก็น่าตกตะลึงเช่นนี้ พวกเขามองดูศพที่ลอยอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง


ขนาดตกอยู่ท่ามกลางแนวรบ ไม่น่าเชื่อว่าขนาดเชือกมัดเซียนหลายหมื่นเส้นก็ยังมัดเขาไว้ไม่ได้!


ไม่น่าเชื่อว่าวงล้อมโจมตีของทัพใหญ่หลายหมื่นคนจะถูกเขาคนเดียวทำศึกเลือดจนแตกพ่ายยับเยิน!


ทัพใหญ่ห้าหมื่นล้อมโจมตี แต่ก็ยังโดนเขาคนเดียวสังหารตายไปสองพันกว่าคนแล้ว!


ก่อนหน้านี้โค่วเหวินชิงยังทอดถอนใจด้วยความเป็นห่วงและทนมองไม่ได้ ตอนนี้นางได้แต่ตกตะลึงพูดไม่ออก จ้องมองคนที่เหมือนปีนออกมาจากกองเลือดอย่างเหม่อค้าง ในใจนึกเสียดายไม่หยุด เหวินหลานมีลูกน้องคนสนิทที่ห้าวหาญขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าตระกูลโค่วจะพลาดไปเพราะผลได้ผลเสียชั่วคราว ถ้าไม่ใช่เพราะโค่วเหวินหลานอยากจะตอบแทนน้ำใจ เกรงว่า…ถ้าทุ่มทรัพยากรฝึกเลี้ยงทหารกล้าแบบนี้ แล้วให้เวลาสักระยะเพื่อรอให้วรยุทธ์สูงขึ้นมา แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร น่าเสียดายจริงๆ!


ปี้เยว่ฮูหยินตะลึงค้างอย่างแท้จริง ช่วงสุดท้ายของการทดสอบที่สถานที่ไร้ระเบียบ นางก็ได้รู้ถึงความห้าวหาญของเหมียวอี้แล้ว แต่ไม่เคยเห็นเหมียวอี้เหี้ยมหาญขนาดนี้มาก่อน อาศัยกำลังรบของตัวเองคนเดียวสู้กับทัพใหญ่หลายหมื่นคนและตีจนแพ้ยับเยิน!


ในจนางเรียกได้ว่าทอดถอนใจด้วยความเสียดายไม่หยุด นักพรตห้าหมื่นกว่าคนที่วรยุทธ์อยู่ในระดับเดียวกันโดนหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวทำศึกเลือดจนแพ้ย่อยยับ!


คนหนึ่งคนตีทัพใหญ่ของนักพรตบงกชทองจำนวนห้าหมื่นคนจนแตกยับหมายความว่าอะไรล่ะ? อย่างน้อยถ้าเอาค่าจ้างของทัพใหญ่ห้าหมื่นไปแลกก็ไม่ขาดทุนอยู่ดี!


ปี้เยว่ฮูหยินไม่รู้ว่าถ้าท่านโหวเทียนหยวนสามีของนางได้รู้เรื่องนี้แล้วจะรู้สึกอย่างไร คาดว่าถ้าได้รู้แล้วก็คงจะไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อมาร่วมการทดสอบครั้งนี้แน่นอน ต่อให้ลดขั้นเป็นเทพแห่งผืนดินหรือผีหลักเมือง แต่ก็คุ้มค่าที่จะทุ่มทรัพยากรเลี้ยงต่อไป มีพื้นฐานแบบนี้ ต่อให้เป็นหนึ่งหมื่นปีก็ยังคุ้มค่าที่จะรอคอย จะทนแรงกดดันขัดใจกับคนบางพวกก็ไม่เป็นอะไร  ทหารนับพันนั้นหาง่าย แต่แม่ทัพคนเดียวนั้นหายาก!


“ปี้เยว่ ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นลุกน้องคนสนิทของเจ้าไม่ใช่เหรอ?” ข้างๆ มีแม่ทัพภาคคนหนึ่งหันกลับมาถ่ายทอดเสียงถาม ในน้ำเสียงแฝงอารมณ์อิจฉาเล็กน้อยด้วย


“…” ปี้เยว่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี บอกไม่ถูกว่าบนใบหน้าแสดงความรู้สึกอะไร


เดิมทีเขาเป็นลูกน้องคนสนิทของนางจริงๆ นางเองก็นึกไม่ถึงว่าลูกน้องคนสนิทของตัวเองจะห้าวหาญถึงขั้นนี้ แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำกับลูกน้องคนสนิทก่อนจะถึงการทดสอบ นางก็ไม่เชื่อว่าเหมียวอี้จะไม่เข้าใจเลยสักนิด คาดว่าตัวเองคงทำให้เหมียวอี้ผิดหวังไปแล้ว


พอคิดถึงเรื่องนี้ นางก็มานึกเสียใจทีหลังแทบแย่ ในใจเริ่มบ่นโทษท่านโหวเทียนหยวน ในปีนั้นผู้ชายคนนั้นบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนมีฝีมือ ทั้งยังสั่งไม่ให้ตนเมินเฉยไม่ดูแลด้วย ปรากฏว่าพอเจอกับจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่ต้องเลือกก็เปรียบเปรียบผลประโยชน์ทันที เขาบอกนางว่า ‘คนมีฝีมือที่ไม่มีโอกาสเติบโต ก็เท่ากับเป็นคนไม่มีฝีมือ’ ก็แน่ล่ะ ขนาเจ้ายังไม่ให้โอกาสคนมีฝีมือได้เติบโตเลย แล้วอีกฝ่ายจะเติบโตได้อย่างไรล่ะ? เอาแต่พิจารณาผลประโยชน์ พิจารณาไปพิจารณามาจนมองคนผิด ทำเอาข้าเสียลูกน้องคนโปรดที่สามารถพบเจอแต่ได้มิอาจไขว้คว้าไปหนึ่งคน!


เถิงเฟยเอามือปั่นขยี้เคราครู่หนึ่งขณะจ้องเหมียว จากนั้นก็ลูบเคราต่อไปพลางส่ายหน้าเบาๆ “เดิมทีก็ผ่านการทดสอบมาครั้งหนึ่งแล้ว ทั้งยังอาศัยศักยภาพที่แท้จริงช่วงชิงอันดับหนึ่งมา ไม่ต้องสงสัยในความสามารถแล้ว แต่กลับยังต้องถูกโยนลงมาในนรกอีกครั้ง อาจจะน่าเสียดายไปหน่อยนะ…การทดสอบครั้งนี้ไม่ค่อยยุติธรรม!”


คำพูดสื่อความหมายชัดเจนมาก เกิดรักในความสามารถขึ้นมาแล้ว กังวลว่าเหมียวอี้จะตายอยู่ในนรก


“ไม่มีอะไรยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม ถ้าวันนี้เขาผ่านด่านนี้ไปได้ สิ่งที่เข้าจะได้รับกลับมา คิดว่าจะมีแค่คนมาเรียกร้องความยุติธรรมให้เขางั้นเหรอ? ต้องมีการจ่ายถึงจะมีผลตอบแทน จอมพลเถิง เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?” เกาก้วนถามเสียงเรียบ


เถิงเฟยได้ยินแล้วทำท่าครุ่นคิด จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ วันนี้ต่างหากที่เป็นการ ‘รบครั้งเดียวเลื่องชื่อ’ ของหนิวโหย่วเต๋ออย่างแท้จริง อาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวเพื่อตีทัพใหญ่ห้าหมื่นจนแตกพ่าย ผลการรบที่ฆ่าตายไปสองพันคน ขอเพียงแค่รอดชีวิตกลับไปได้ ไม่สนว่าตอนสุดท้ายจะมีคะแนนการทดสอบจะเป็นอย่างไร สำหรับเบื้องล่าง เขาได้ใจคนเต็มที่ ลูกน้องไม่กล้าไม่เชื่อฟัง สำหรับเบื้องบน ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็จะมีคนมาเสนอตัวรับประกันอนาคตให้เขาเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าสามารถได้หนิวโหย่วเต๋อมาเป็นลูกน้องได้ จอมพลเถิงก็จะต้องเน้นเลี้ยงดูฝึกฝนเป็นพิเศษแน่นอน


“ถ้าสามารถรอดชีวิตกลับไปได้ การทดสอบครั้งนี้ก็ย่อมทำให้เขาสมปรารถนาแล้ว แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะรอดชีวิตกลับไปได้หรือเปล่า” เถิงเฟยกล่าว


“ดังนั้นถึงได้เรียกว่าการทดสอบไงล่ะ”


“กรร…” เฮยทั่นที่เลียกรงเล็บเสร็จพลันคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ทำลายความเงียบสงบที่อยู่รอบข้างแล้ว


หันหน้ามองไปรอบๆ แวบหนึ่ง เมื่อเห็ฯว่าไม่มีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีก เหมียวอี้ถึงได้เริ่มเก็บกวาดสนามรบ


จุดไหนที่เฮยทั่นแบกเขาไป ทั้งศพทั้งของก็ถูกเหมียวอี้เก็บไปพร้อมกันหมด


เนี่ยกงยังตายไม่สนิท กำลังลืมตาครึ่งหนึ่งหนึ่ง ยังไม่ขาดใจตาย แต่กลับขยับเขยื้อนไม่ได้ ได้แต่มองดูเหมียวอี้ใช้ทวนแทงเข้ามา


ตราบใดที่ยังไม่ตายสนิท เหมียวอี้ก็จะใช้ทวนแทงเสริมเพื่อให้ตาย ท่ามกลางสายตาของฝูงชน เขาไม่ปล่อยให้รอดไปสักคน เก็บกวาดของกำนัลจากการรบที่เป็นของตัวเองอย่างรวดเร็ว


ทุกคนได้แต่มองดูเหมียวอี้เก็บกวาดสิ่งของอยู่อย่างนั้น


ฉากและเหตุการณ์แบบนี้ ถ้าจะพูดถึงคนที่ตกตะลึงพรึงเพริดจริงๆ ก็คงหนีไม่พ้นจางฮั่นฟางและผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีกแปดคนของของจวนแม่ทัพภาคตงหัว เรียกได้ว่าทั้งตกตะลึงทั้งหวาดกลัวเมื่อนึกย้อนไป พอนึกถึงภาพที่ตัวเองดูหมิ่นผู้บัญชาการใหญ่หนิวตอนนั้น แล้วมองดูผู้บัญชาการใหญ่หนิวในตอนนี้อีกครั้ง พวกเขาก็รู้สึกหนาวหลังคอ อีกฝ่ายกลัวพวกเขาเสียที่ไหนกัน แค่ยังไม่แผลงฤทธิ์ก็เท่านั้นเอง หรือไม่ก็ไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลย ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะยังรอดชีวิตอยู่อย่างนี้เหรอ!


ซูลี่ที่ตามก้นพวกเขาอยู่ก็ยิ่งหน้าซีด ทั้งมือเท้าทั้งหนังศีรษะชาวาบ วันนี้ถึงได้รู้ว่าอำนาจบารมีของผู้บัญชาการใหญ่หนิวที่ปกคลุมตลาดสวรรค์ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เป็นคนที่ซูลี่จะไปสบประมาทได้เหรอ…


จ้านหรูอี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มคนจ้องมองการกระทำของเหมียวอี้ ในดวงตาฉายแววลังเลนิดหน่อย ไม่รู้ว่าควรจะก้าวขึ้นไปท้าสู้หรือไม่ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ได้พูดจาโอหังต่อหน้าหนิวโหย่วเต๋อไปแล้ว แต่ศักยภาพของหนิวโหย่วเต๋อที่ได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบก็ไม่ได้อ่อนด้อยเลยจริงๆ นางไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้


เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็อยู่แถวหน้าของกลุ่มคนเช่นเดียวกัน เขากำลังจ้องเหมียวอี้ที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดอย่างตะลึงค้าง นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะห้าวหาญโหดเหี้ยมถึงขนาดนี้ พอนึกถึงสัญญาศึกตัดสินที่ตัวเองลงนามกับเหมียวอี้ก่อนหน้านี้ มุมปากก็กระตุกนิดหน่อย


ยังไมต้องพูดถึงเรื่องนั้น โชคดีที่ตนลงนามสัญญาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยอย่างตน ก็เกรงว่าคงจะไม่ถึงคราวให้จาเหรินจวิ้นลงสนามหรอก ตนคงจะกระโดดออกไปลุยก่อนแล้ว พอลองนึกถึงผลลัพธ์นั้น เขาก็ยังรู้สึกกลัวอยู่บ้างเหมือนกัน ได้แต่เหล่ตามองต่งอิ้งเกาที่พูดจาโอหังไว้ก่อนหน้านี้


“ทักษะของหนิวโหย่วเต๋อร้ายกาจกว่าในปีนั้นไม่ใช่น้อยๆ!” ฝานอวี้เฟยพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็เหล่ตามองต่งอิ้งเกาเช่นกัน แต่กลับพูดหยอกล้อว่า “ต่งอิ้งเกา เจ้าบอกว่าเจ้าจะเด็ดหัวเขามาไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ทำไมไม่พูดอะไรสักคำล่ะ กลัวแล้วล่ะสิ?”


“ช้างหน้าขำ! ข้าน่ะเหรอกลัวเขา? ขาก็แค่ให้เขาช่วยเก็บของให้ข้าเท่านั้นเอง” ต่งอิ้งเกาพูดดูถูก


ไม่ได้พูดแค่ปากเท่านั้น มือก็เคลื่อนไหวอย่างไม่ชักช้า พลิกมือถอด ‘ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์’ ที่สะพายอยู่บนบ่าลงมา ตัวธนูขยายใหญ่หนึ่งเท่าในชั่วพริบตาเดียว พอกางนิ้วทั้งห้า ลูกธนูดาวตกอันแหลมคมที่เต็มไปด้วยลายเมฆก็ปรากฏขึ้นมาสามดอก คีบอยู่ระหว่างนิ้วพร้อมกัน ลูกธนูสามดอกขึ้นสายพร้อมกัน


ชิวพริบตาที่ดึงสายธนู บนธนูโค้งที่งามประณีตจะมีแสงสีทองสายหนึ่งกระเพื่อมราวกับเป็นระลอกคลื่น เมื่อดึงสายธนูเต็มที่ ลำแสงนั้นก็ออกจากสองฝั่งไปรวมอยู่ที่สายธนูทันที


ต่งอิ้งเกาที่กางแขนดึงสายธนูเบี่ยงทิศทางเล็กน้อย คมธนูเล็งไปยังเหมียวอี้ที่กำลังเก็บกวาดของกำนัลจากการรบ ผลปรากฏว่าเห็นเหมียวอี้ก็เงยหน้าช้าๆ มองมาที่เขาเช่นกัน


เหมียวอี้ยังไม่อวดดีถึงขั้นมองข้ามทุกสิ่งอย่าง ตอนที่เก็บของบนสนามรบก็ยังคอยระแวดระวังรอบข้างอยู่ตลอด ต่งอิ้งเกาที่ยืนอยู่แถวหน้าคุยโวโอ้อวดขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมองไม่เห็น


ต่งอิ้งเกาไม่แยแส มุมปากโค้งยิ้มเล็กน้อยอย่างเยือกเย็น จะเห็นได้ว่ามีความมั่นใจในตัวเองขนาดไหน


ภายใต้สายตาที่จับจ้องอยู่ทางซ้ายและขวา นิ้วทั้งห้าของต่งอิ้งเกาพลันปล่อยสายธนู ลำแสงบนสายธนูที่ตึงแน่นเชื่อมโยงไปถึงลูกธนูดาวตกสามดอกในชั่วพริบตาเดียว เกิดเสียงดังสะเทือน พลังอิทธิฤทธิ์กระเพื่อมไปรอบด้าน ลูกธนูสามดอกพลันยิงออกจากสาย พังทลายกลางอากาศ กลายเป็นลำแสงสามสายรูปตัวอักษร ‘品’ และหายไปอย่างรวดเร็ว


ความเร็วของลูกธนูทำให้เหมียวอี้ตกใจมาก ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ เขาพบว่าตรงส่วนหน้าของลำแสงสามสายมีจุดสีดำสามจุดกำลังหมุนวน ถึงแม้จะไม่ใหญ่เท่าจุดสีดำตอนที่เขาลงมือ มีขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว แต่ก็ไม่มีทางที่เหมียวอี้จะไม่รู้ว่าสิ่งนี้หมายความว่าอะไร


ภายใต้สถานการณ์คับขัน เหมียวอี้รีบกระโดดขึ้นจากหลังเฮยทั่น ต้องการจะหลบหลีก


แต่ใครจะคิดว่าลำแสงสามสายนั้นจะเลี้ยวยิงเข้ามาเป็นเส้นโค้ง ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถไล่ติดตามยิงได้ นี่คือสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเหมียวอี้มาก


“บัดซบ!” เหมียวอี้ตะโกนเสียงดัง โบกทวนตีอย่างบ้าคลั่ง บนหัวทวนก็มีจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองหมุนวนอยู่เหมือนกัน


แต่สิ่งที่ทำให้เขารับมือลำบากก็คือ ทวนเกล็ดย้อนฟันโดนลำแสงสองสายนั้นไปแล้วแท้ๆ แต่กลับวาดผ่านลำแสงไป ไม่มีวัตถุจริงใดๆ กีดขวาง รู้สึกถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ราวกับช้อนเงาพระจันทร์จากในน้ำ


ชั่วพริบตาเดียว ลำแสงสามสายก็มาถึงด้านหน้าของหน้าอกเขา แล้วปรากฏเป็นร่างจริงอย่างฉับพลัน กลายเป็นลูกธนูของจริงสามดอกที่มีจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียวลอยหมุนวน ฝ่าเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาอย่างเหี้ยมโหด


แกร๊งๆๆ! มีเสียงสะเทือนดังขึ้นสามครั้งแทบจะพร้อมกัน ลูกธนูสามดอกยิงโดนหน้าอกและท้องของเหมียวอี้


อั้ก! เหมียวอี้เงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมกระอักเลือดสดคำหนึ่ง สะเทือนจกระเด็นออกไปหลายสิบจั้ง สูญเสียแรงโน้มถ่วงและกำลังลอยกลิ้งอยู่กลางอากาศไม่หยุด


ส่วนลูกธนูดาวตกสามดอกที่ยิงโดนเหมียวอี้ก็พลิกกลางอากาศ ยิงย้อนกลับไปอีก ความเร็วสู้ตอนที่ยิงออกมาไม่ได้ พอต่งอิ้งเกากางนิ้วทั้งห้า ลูกธนูดาวตกสามดอกก็ถูกคว้ากลับมาอยู่ในมือเขา


พอบุ้ยปากไปทางเหมียวอี้ที่ลอยอยู่ในท้องฟ้าอย่างไร้แรงโน้มถ่วง ต่งอิ้งเกาก็ใช้สายตาเหยียดหยามมองฝานอวี้เฟยที่ค่อนข้างตกใจ แล้วพูดเหน็บแนมว่า “สาวงามผมแหว่ง เป็นยังไงล่ะ? ข้าเด็ดหัวหนิวโหย่วเต๋อได้ง่ายๆ เหมือนหยิบของในกระเป๋าเท่านั้น!”


ฝานอวี้เฟยมองธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในมือของเขาอย่างอึ้งๆ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าธนูนี้จะมีอานุภาพมากขนาดนี้ พอยิงธนูครั้งเดียวก็ทำให้หนิวโหย่วเต๋อที่เมื่อครู่นี้ยังองอาจห้าวหาญล้มคว่ำแล้ว


“ดี!” ทันใดนั้น เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ปรบมือพร้อมตะโกนชมเสียงดัง


“ดี!” กำลังพลของกระบวนทัพเดียวกันตะโกนตามทันที


“ดี!” บางกระบวนทัพที่ขัดแย้งกับเหมียวอี้ก็ตะโกนชมเช่นกัน เมื่อครู่นี้ถูกพลังอำนาจของเหมียวอี้ข่มจนหายใจไม่ทั่วท้อง นึกไม่ถึงว่าพอโดนลูกธนูที่อยู่ฝั่งนี้ก็ล้มคว่ำแล้ว ทำให้ขวัญกำลังใจในการรบของทุกคนเพิ่มขึ้นทันที


“ของไม่เลวเลยนี่ วันหลังข้าขอยืมเล่นมั่งสิ”


ท่ามกลางเสียงตะโกนชม จู่ๆ ก็มีเสียงที่ไม่เข้าพวกดังขึ้นหนึ่งประโยค เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่จ้องธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ตาเป็นมันกล่าวขึ้นมา


เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ต่งอิ้งเกาก็ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน ในใจบ่นด่าอย่างบ้าคลั่ง นิสัยอย่างเจ้าน่ะ ของที่ให้ยืมไปแล้วยังมีหวังจะได้กลับคืนมาอีกเหรอ?


ฝานอวี้เฟยกลั้นขำ คิดในใจว่าพี่ชายแท้ๆ ของผู้บัญชาการใหญ่เซี่ยโห้วไม่ใช่คนดีอะไรนัก มีชื่อเสียงเรื่องไร้เหตุผล พอต่งอิ้งเกาโดนพัวพันอยู่แบบนี้ เดี๋ยวเจ้าตัวคงได้เป็นทุกข์แน่


“อ๋าว…” เสียงคำรามอันเดือดดาลช่วยแก้ไขความลำบากใจของต่งอิ้งเกาแล้ว


ทุกคนหันไปมอง เห็นสัตว์พาหนะที่สวมเกราะรบของของหนิวโหย่วเต๋อคำรามหนึ่งครั้ง ราวกับเป็นบ้าประสาทเสียไปแล้ว มันพุ่งเข้ามาอบ่างบ้าบิ่น ตรงไปหาต่งอิ้งเกา


ต่งอิ้งเกาทำสีหน้าเหยียดหยาม ลูกธนูดาวตกสามดอกดึงเหนี่ยวอยู่บนสายธนู ปั้ง! เสียงระเบิดดังท่ามกลางพลังอิทธิฤทธิ์ที่สาดซัด


แกร๊งๆๆ! เฮยทั่นโดนลูกธนูสามดอกภายในชั่วพริบตาเดียว ร่างกายที่ใหญ่โตขนาดนี้ก็สะเทือนจนกระเด็นออกไปได้เหมือนกัน


“ดี!” กลุ่มคนตะโกนชมอีกครั้ง


แต่ความทนทานของเฮยทั่นนั้นไม่ธรรมดา ร่างกายม้วนกลิ้งอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เลี้ยวกระโจนเข้ามาอีก


ต่งอิ้งเกาตกตะลึงนิดหน่อย เหมือนจะนึกไม่ถึงว่าเฮยทั่นจะถึกทนขนาดนี้ เขากวักมือเรียกลูกธนูดาวตกสามดอกกลับมาแล้วง้างสายธนูอีกครั้งทันที


แกร๊งๆ! เฮยทั่นถูกทำให้สะเทือนจนกระเด็นอีกครั้ง


ทว่าพอเฮยทั่นยืนอย่างมั่นคงได้ มันก็โผเข้ามาอีก สู้สุดชีวิตแบบไม่ตายเลิกจริงๆ!


“ข้าก็อยากจะเห็นว่าเดรัจฉานอย่างเจ้าจะทนลูกธนูของข้าได้สักกี่ครั้ง!” ต่งอิ้งเกาแสยะยิ้ม ลูกธนูดอกแล้วดอกเล่ายิงจนเฮยทั่นล้มคว่ำ ราวกับกำลังเล่นกับเด็กสามขวบ


…………………………


บทที่ 1207 เจ้าโจรอ้วนระเบิดอารมณ์


“อ๋าว…”


เฮยทั่นคำรามอย่างบ้าระห่ำ ถูกยิงจนคว่ำกระเด็นครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ม้วนตัวลุกขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีก


มันเองก็ไม่ได้โง่ หลังจากเสียเปรียบไปหลายครั้ง พอลุกขึ้นได้ก็อยากจะวิ่งอ้อมเข้ามาใกล้ทันที แต่จนใจเพราะลูกธนูดาวตกที่ยิงเข้ามาร้ายกาจเกินไป นอกจากความเร็วแล้ว ยังเลี้ยวไล่ตามโจมตีได้ด้วย ทำให้มันล้มลงอีกครั้ง


“อ๋าว…” เฮยทั่นที่คำรามอย่างบ้าคลั่งไม่มีทางเข้าใกล้ต่งอิ้งเกาได้ เมื่อเข้าใกล้ไม่ได้ก็ไม่มีทางล้างแค้นได้ ได้แต่กระวานกระวายอยู่อย่างนั้น


ยิ่งมันกระวนกระวาย คนจำนวนไม่น้อยก็ยิ่งรู้สึกสนใจ เหมือนจะมีลูกหลานผู้มีอำนาจจำนวนไม่น้อยที่ชอบความบันเทิงแบบนี้ เสียงร้องให้กำลังใจดังเป็นแถบ


พอเฮยทั่นโดนยิงจนล้มกระเด็นหนึ่งครั้ง พวกเขาก็จะร้องชมเสียงดังหนึ่งครั้ง พอพวกเขาตะโกนว่าดีมาก คนรอบนอกที่ให้พวกเขาเป็นจุดศูนย์กลางก็ส่งเสียงยกย่องตามทันที ย่อมร้องตะโกนตามว่าดีมาก


“ยิง! รีบยิงสิ! มันลุกขึ้นมาอีกแล้ว” เซี่ยโห้วหลงเฉิงโวยวายเสียงดังพลางโบกมือเร่ง


พวกจางฮั่นฟางก็รู้สึกคึกคักเช่นกัน ซูลี่เองก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ร้องว่าดีมากตามพวกเขา


บนจุดสูงสุดของดาวเคราะห์ที่ลอยนิ่งอยู่ไม่ไกลจากทางออก คนสองคนยืนเคียงข้างกัน มองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ


เกาก้วนที่สวมหมวกทรงสูงและคลุมผ้าสีดำที่บ่ายืนเอามือไขว้หลัง จ้องมองไปยังจุดที่โห่ร้องชื่นชม พลางถามอย่างเย็นชาว่า “จอมพลเถิง เจ้าเห็นหรือยังล่ะ?”


เถิงเฟยไม่ได้ตอบอะไร ตอนนี้สีหน้าแย่มาก ไม่ใช่เพราะเหมียวอี้ สายตาเย็นเยียบกวาดมองช้าๆ ผ่านกลุ่มคนที่กำลังโห่ร้อง…


หลังจากต่งอิ้งเกายิงธนูต่อเนื่องกันได้สักพัก สายตาที่มองดูเฮยทั่นก็ค่อยๆ แสดงอาการตกตะลึง สัตว์พาหนะตัวนี้โดนลูกธนูไปเยอะขนาดนั้น แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เป็นอะไรเลยสักนิด คนอื่นไม่รู้ถึงอานุภาพลูกธนูของเขา แต่เขากลับรู้อย่างชัดเจน


ถึงแม้สัตว์พาหนะตัวนี้จะสวมเกราะรบผลึกแดง ทำให้อานุภาพของลูกธนูเจาะทะลุได้ยาก แต่พลังโจมตีกลับสามารถส่งต่อได้ ดูจากที่หนิวโหย่วเต๋อโดนลูกธนูครั้งเดียวแล้วล้มคว่ำก็รู้แล้ว แต่สัตว์พาหนะโดนลูกธนูของตนไปเจ็ดแปดครั้ง แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะยังไม่ตาย


คนอื่นอาจจะไม่รู้ชัดเจน แต่เขาเองรู้อย่างแจ่มแจ้ง ว่าด้วยอานุภาพของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ผนึกกับลูกธนูดาวตก อย่างมากก็สามารถยิงลูกธนูได้สิบห้าครั้ง หลังจากยิงลูกธนูไปสิบห้าครั้งแล้ว อานุภาพที่อยู่ในนั้นก็จะถูกใช้ไปจนหมด จะต้องใช้ยาเจี๋ยตันเติมเข้าไปใหม่ พอเติมไปแล้วก็ต้องรอให้มันย่อยอีก


“กลับมา!” เสียงกลัดกลุ้มที่แฝงไปด้วยความบ้าระห่ำดังขึ้น


โค่วเหวินชิงที่จ้องเหมียวอี้ด้วยสีหน้ากังวลมาตลอด ตอนนี้ตาเป็นประกายทันที เหมียวอี้ที่ถ่างแขนถ่างขาลอยนิ่งและกำทวนเกล็ดย้อนไว้แน่นขยับตัวแล้ว ทั้งร่างกายพลันลุกขึ้นมาอีกครั้ง เสี่ยงนั้นก็คือเสียงของเหมียวอี้นั่นเอง


“ถุย!” เหมียวอี้เอียงหน้าถ่มเลือดออกมาคำหนึ่ง ยกมือถูรอยเลือดบนจมูกและปาก แยกไม่ออกเหมือนกันว่าตรงไหนคือเลือกของตัวอเง ตรงไหนคือเลือดของคนอื่น เขาก็ยกมือกดหน้าอกและท้องด้วยความเจ็บแปลบ กระดูกซี่โครงสะเทือนจนหักไปแล้วหลายท่อน ได้รับบาดเจ็บภายในไม่น้อยเลย


เขารู้สึกโชคดีมาก ถ้าไม่ใช่เพราะบนตัวสวมเกราะรบผลึกแดง ก็เกรงว่าคงจะโดนลูกธนูเจาะทะลุไปแล้ว และก็โชคดีมากที่ลูกธนูสามดอกนั้นมีอานุภาพไม่เยอะเท่าไร ถ้าจุดดำสามจุดที่หมุนวนนั่นใหญ่เท่าจุดดำขนาดเม็ดถั่วเหลืองที่ตัวเองลงมือ ตัวเองคงถูกกำจัดทิ้งไปแล้วแน่นอน เคราะห์ดีที่เกราะรบของเยารั่วเซียนช่วยคลายพลังของฝ่ายตรงข้ามได้ส่วนหนึ่ง


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ถึงแม้ชั่วพริบตาที่โดนลูกธนูเขาจะรีบหันตัว แต่ก็ตอบสนองและป้องกันตัวได้เร็ว ทำให้คมธนูที่ยิงโดนตัวเองเบี่ยงไปเล็กน้อย


อย่าไปมองว่าเป็นแค่การเบี่ยงตัวเล็กน้อยจากการตอบสนองอันรวดเร็ว เพราะที่จริงมันช่วยเขาได้เยอะมาก ไม่ได้ทำให้พลังโจมตีทั้งหมดมีผลกับร่างกายเขาโดยตรง นี่ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาคลายพลังโจมตีอันรุนแรงได้ ไม่อย่างนั้นตอนนี้ก็ไม่มีทางลุกไหวเลย อาศัยวรยุทธ์อย่างเขา ต่อให้มีเกราะรบที่รั่วเซียนหลอมสร้างให้แต่ก็ต้านทานไม่ไหวอยู่ดี


ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังถูกอานุภาพของลูกธนูทำให้มึนงงอยู่ดี ได้รับบาดเจ็บแล้ว


โชคีที่เขากลืนสมุนไพรเซียนซิงหัวไว้ตั้งแต่แรก ทำให้ตัวเองได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว และทำให้ร่างกายบรรเทาจนลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง


ตอนนี้เขากำลังใช้สายตาเย็นเยียบมองดูกลุ่มคนที่ตะโกนโห่ร้องเสียงดัง รอยยิ้มบนใบหน้าแต่ละหน้านั้น ในสายตาเขาคือหน้าตาอัปลักษณ์ดุร้าย ราวกับสีหน้าของกำลังพลนับล้านนั่นฝังลึกอยู่ในหัวสมองของเขาในชั่วพริบตาเดียว ตราตรึงใจไม่รู้ลืม!


ทุกคนกำลังหัวเราะเยาะตน ทุกคนอยากจะเหยียบย่ำตนไว้ใต้เท้าใจจะขาด!


เฮยทั่นคำรามอย่างเกรี้ยวกราดร้อนรนหลังจากโดนยิงจนล้ม แต่กลับถูกหัวเราะเยาะเหมือนตัวตลก ภาพนี้ยิ่งทำให้ไฟโกรธสุมเต็มอกเขา จิตสังหารปะทุ ทวนเกล็ดย้อนพลันสะบัดเสียงดังอยู่ในมือ โบกชี้ไปที่กลุ่มคน ส่งเสียงมังกรครางเบาๆ ทั้งหมดเป็นคนที่สมควรตาย!


เฮยทั่นโดนยิงล้มและลุกขึ้น พอได้ยินเสียงเรียกก็หันหน้าไปมอง เห็นเหมียวอี้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง “อ๋าว…” มันคำรามหนึ่งครั้ง แล้วเลิกสนใจต่งอิ้งเกาทันที รีบวิ่งกลับไปหาเหมียวอี้แล้ว


เสียงหัวเราะที่ดังต่อเนื่องเป็นระลอก เสียงโห่ร้องชื่นขมพลันเงียบลง แต่ละคนกำลังมองมาทางนี้


ต่งอิ้งเกาทำสีหน้างุนงง จะเป็นไปได้ยังไง? จากที่เขารู้มาตอนลงสมัครเข้าร่วมการทดสอบ เหมียวอี้มีวรยุทธ์ระดับบงกชทองขั้นสี่เท่านั้น นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงพูดได้อย่างมั่นใจว่าจะเด็ดหัวเหมียวอี้ วรยุทธ์แค่บงกชทองขั้นสี่ จะเป็นไปได้อย่างไรที่โดนลูกธนูดาวตกของเขาแล้วยังลุกขึ้นได้ หรืว่าเจ้าเวรนี่มันปิดบังวรยุทธ์ที่แท้จริงเอาไว้? แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ตอนที่รวมตัวกันในพื้นแอ่งก่อนหน้านี้ก็น่าจะโดนตรวจสอบแล้ว เป็นสิ่งที่ปิดบังไม่อยู่


เฮยทั่นเข้ามาแบกรองเหมียวอี้ไว้โดยตรง เหมียวอี้ชี้ทวนไปที่ต่งอิ้งเกา แต่ไม่ได้ตะโกนเสียงดัง แค่พึมพำด้วยเสียงทุ้มต่ำคำเดียวว่า “ฆ่า!”


“อ๋าว…” เฮยทั่นเงยหน้าคำรามเสียงพิโรธ แล้วพุ่งพรวดออกไปทันที โผตรงไปหาต่งอิ้งเกาอีกครั้ง


กลุ่มคนที่อยู่ทางซ้ายและขวามองไปทางต่งอิ้งเกาทันที ดุว่าเขาจะรับมืออย่างไร


“เฮอะ! ช่างไม่รู้จักความเป็นความตาย!” ต่งอิ้งเกาแสยะยิ้ม แล้วคว้าลูกธนูดาวตกสามดอกมาง้างที่สายธนู เล็งเป้า!


เมื่อเห็นเหมียวอี้พุ่งเข้ามาใกล้ เสียงระเบิดก็ดังขึ้น ท่ามกลางพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาด ลำแสงสามสายยิงออกมาเร็วมาก


เหมียวอี้ที่พุ่งตรงมาข้างหน้าพลันยกฝ่ามือข้างเดียวผลัก แสงสีทองจุดหนึ่งระเบิดในฝ่ามือ ในชั่วพริบตาเดียว ลูกกลมสีแดงขนาดใหญ่ก็ถูกผลักออกมากำบังลำแสงสามสายที่ยิงเข้ามา


ลูกกลมสีแดงปะทะกับลำแสงสามสาย ชั่วพริบตาที่สัมผัสกัน ลำแสงสามสายพลันกลายเป็นลูกธนูดาวตกสามดอกชนกับลูกกลมสีแดง


บึ้ม! เสียงระเบิดดังสะเทือนก้องท้องฟ้า


คนที่ดูการต่อสู้ยังนึกว่าตัวเองตาฝาดไป ต่งอิ้งเกาก็นึกว่าตัวเองตาฝาดเช่นกัน เห็นเพียงวินาทีที่ลูกกลมสีแดงชนปะทะ ขณะที่มันระเบิดพลิกกลับด้าน ไม่น่าเชื่อว่าจะกลืนลูกธนูดาวตกสามดอกเข้าไปในคำเดียว


ทุกคนยังไม่ทันรู้ชัดว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ต่งอิ้งเกาก็ยังไม่ทันรู้ตัวเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลูกกลมสีแดงนั่นก็หดเล็กลงหลายเท่าแล้ว หายไปอย่างฉับพลัน


เมื่อเห็นลูกกลมสีแดงหายไป เหมียวอี้ที่ไร้ลูกกลมสีแดงกำบังก็พลันปรากฏตัวพุ่งเข้ามา ต่งอิ้งเการีบเรียกลูกธนูดาวตกสามดอกนั้น


ลูกธนูดาวตกถูกกลืนอยู่ในท้องของลูกกลมตีไม่พังแล้ว ถูกเหมียวอี้เก็บเข้ากำไลเก็บสมบัติพร้อมกัน ตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่างต่งอิ้งเกากับลูกธนูดาวตก ถ้าสามารถเรียกกลับมาได้ก็แปลกแล้ว


เมื่อไม่สามารถเรียกลูกธนูดาวตกกลับมาได้ ต่งอิ้งเกาก็ตกใจจนหน้าถอดสี รู้สึกหวาดกลัวถึงขีดสุด เพราะลูกธนูดาวตกไม่ได้หลอมสร้างกันได้ง่ายๆ นี่เป็นของวิเศษที่เขาบังเอิญได้มา ธนูมีหนึ่งคัน ลูกธนูมีสามดอก ไม่ใช่ลูกธนูที่ใช้กันทั่วไป ไม่ใช่ประเภทที่ยัดไว้ในกระบอกได้เป็นกองเพื่อเตรียมใช้ ใช่ว่าเก็บลูกธนูอะไรมาวางไว้บนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้วจะสำแดงอานุภาพได้


ถ้าไม่เกิดเรื่องที่เหมียวอี้โจมตีทัพใหญ่ห้าหมื่นจนแตกพ่ายด้วยตัวคนเดียว วรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้าอย่างเขาก็ยังกล้าที่จะสู้กับเหมียวอี้สักตั้ง แต่ตอนนี้ไม่มีของวิเศษให้พึ่งพาแล้ว มีคนตายมากขนาดนั้นให้เห็นเป็นบทเรียน เมื่อเห็นเหมียวอี้สังหารเข้ามาราวกับมารปีศาจร้าย เขาก็ตกใจจนแทบจะขวัญหนีดีฝ่อ


เขายังจะกล้าหยุดอยู่ที่เดิมได้อย่างไร ไม่สนใจจะอารักขาเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้ว อันที่จริงเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ขาดคุณธรรมน้ำมิตรเอามากๆ รีบถลันหลบไปอีกด้านพร้อมสีหน้าหวาดกลัวแล้ว ไม่ได้มีแค่เซี่ยโห้วหลงเฉิงเท่านั้น คนที่อยู่ทางซ้ายและขวาลนลานหนีออกเป็นสองฝั่ง แม้แต่ ‘สาวงามผมแหว่ง’ ที่แค้นเหมียวอี้จนกัดฟันกรอดก็หมดอารมณ์ล้างแค้นแล้ว รีบหนีอย่างไว


ต่งอิ้งเกาขี่เดรัจฉานสับปลับพุ่งขึ้นฟ้าอย่างฉับพลัน


เหมียวอี้จะปล่อยอีกฝ่ายหนีไปง่ายๆ ได้อย่างไร เขาอาศัยความเร็วของเฮยทั่นที่พุ่งเข้ามา กระโจนตัวพุ่งขึ้นฟ้าในแนวเฉียงราวกับลูกธนูที่ยิงออกจากสาย เฮยทั่นที่ช้ากว่าหนึ่งก้าวตามขึ้นไป กำลังพลที่อยู่เบื้องล่างแหงนหน้ามอง


เดรัจฉานสับปลับที่อยู่ด้านบนพลันก้มหัว พ่นหมอกแดงร้อนจี๋ออกมาคำหนึ่ง


เหมียวอี้ที่กำลังไล่ตามไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลย เขาฝ่าเข้าไปในหมอกแดงโดยตรง แทงทวนออกไปหนึ่งครั้งราวกับดาวตก หัวทวนที่แหลมคมเข้าไประเบิดอยู่ในท้องของเดรัจฉานสับปลับ แล้วก็เห็นเหมียวอี้โบกทวนทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง “อู…” ท่ามกลางเสียงครวญครางของเดรัจฉานสับปลับ ร่างกายขนาดยักษ์ถูกคว้านท้องกลางอากาศ เลือดร้อนๆ สาดกระจายอย่างบ้าคลั่ง


ต่งอิ้งเกาที่ตกตะลึงพรึงเพริดเหยียดขาหนีขึ้นฟ้าอีกครั้ง โบกมือโยนเหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวหนึ่งออกมา ต้องการจะให้มันพาบินหนี


จู่ๆ เบื้องล่างก็มีเงาร่างสายหนึ่งผ่านเหมียวอี้ไปอย่างรวดเร็ว เฮยทั่นพุ่งขึ้นมาอาศัยแรงเหมียวอี้แล้ว มันยื่นกรงเล็บตะปบก้นเหยี่ยวมารวานรยักษ์ ตะปบจนเลือดปนขนเหล็กสาดกระจาย “วี๊ด…” เหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่เพิ่งจะออกมาร้องเสียงแหลม ร่างกายเอียงลง ตามติดด้วยเสียงดังสะเทือนหนึ่งครั้ง โดนเฮยทั่นที่โบกกรงเล็บเป็นครั้งที่สองตบจนปลิวออกไป เฮยทั่นคำรามพลางไล่ตามไปหาต่งอิ้งเกาที่อยู่ด้านบนโดยตรง


แต่ใคจะคิดว่าต่งอิ้งเกาจะโยนเหยี่ยวมารวานรยักษ์ออกมาอีกตัว ขณะเดียวกันก็ควงดาบฟันไปทางหัวเฮยทั่นที่อยู่ด้านล่างอย่างบ้าคลั่ง


เฮยทั่นโบกกรงเล็บคลั่งออกมาหนึ่งที ปะทะกับดาบที่ฟันเข้ามา ต้องการจะใช้กำลังอันป่าเถื่อนของตัวเองปะทะกับพลังอิทธิฤทธิ์ของต่งอิ้งเกาอย่างมุทะลุดุดัน


ปั้ง! ดาบใหญ่สะบัดในแนวขวาง ไม่น่าเชื่อว่าต่งอิ้งเกาที่มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้าจะถูกทำให้ร่างกายพลิกหนึ่งรอบ แขนก็ยิ่งสะเทือนจนชา ดาบใหญ่แทบจะกระเด็นหลุดมือ


ร่างกายยังไม่ทันยืนได้อย่างมั่นคง เฮยทั่นที่พุ่งเข้ามาก็ใช้หัวชนต่งอิ้งเกาแล้ว ชนจนต่งอิ้งเกากระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง “วี้ด…” ข้างกันมีเสียงเหยี่ยวร้องอย่างเจ็บปวด โดนหางของเฮยทั่นที่สะบัดออกมาฟาดจนพลิกคว่ำแล้ว


พอเฮยทั่นพลิกตัว ก็สะบัดหางฟาดบนหน้าอกของต่งอิ้งเกาอย่างบ้าคลั่งหนึ่งชุด ทำให้ต่งอิ้งเกาสำลักเลือดออกมา เฮยทั่นหันตัวมากระแทกอย่างดุร้าย แล้วก็ใช้หัวชนบนตัวของต่งอิ้งเกาอย่างดุดันหนึ่งครั้ง หลังจากชนจนต่งอิ้งเกากรเด็นออกไปแล้ว มันก็ไล่ตามไปใช้ทั้งกรงเล็บทั้งอุ้งเท้าตะปบอย่างโหดร้ายอีกหนึ่งชุด


ก่อนหน้านี้มันต้านทานอานุภาพของลูกธนูดาวตกไม่ไหว โดนทำร้ายจนยับเยิน แต่ตอนนี้มันจับต่งอิ้งเกามาระบายความโกรธแค้นอย่างเต็มที่แล้ว


ทุกคนที่อยู่ข้างล่างมองจนตกตะลึงอ้าปากค้าง หนิวโหย่วเต๋อห้าวหาญ แม้แต่สัตว์พาหนะของเขาก็ยังโหดขนาดนี้เลยเหรอ?


เหมียวอี้ที่เงยหน้ามองการต่อสู้ด้านบนถูกเฮยทั่นทำให้ตะลึงค้างแล้ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าโจรอ้วนจะมีพละกำลังเยอะถึงขั้นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะทารุณจนนักพรตบงกชทองขั้นเก้าไม่มีแรงจะโต้ตอบ!


ตอนนี้เขาถึงได้พบว่ายาเจี๋ยตันที่ทุ่มไปบนตัวเฮยทั่นมาหลายปีไม่ใช่สิ่งที่ไร้ความยุติธรรมสักนิดเลย ทำไมถึงว่าได้ว่าเจ้าโจรอ้วนไม่มีพลังปาฏิหาริย์ที่ร้ายกาจ มีพลังเยอะไม่สิ้นสุด ถึกทนแข็งแรงนับว่าเป็นพลังปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งด้วยรึเปล่า?…เหมียวอี้ไม่กล้าฟันธง


เมื่อเห็นต่งอิ้งเกาโดนเฮยทั่นโจมตีจนย่อยยับแล้ว เหมียวอี้ก็ก้มหน้ามอง แล้พุ่งตัวกลับลงข้างล่าง คนข้างล่างหลีกทางให้เป็นช่องว่างทันที ยังมีคนฝืนยิ้มให้เหมียวอี้ด้วย แต่ใครจะคิดว่าตอนที่เพิ่งจะยิ้มออกมา ดวงตาก็พลันเบิกกว้าง แสงเย็นหลายสายยิงเข้ามาแล้ว


“อา…” ชั่วพริบตาเดียวเสียงกรีดร้องก็ดังเป็นแถบๆ เหมียวอี้พลันลงมือปาดทวนใส่คนที่อยู่บนสัตว์พาหนะจนกระเด็นออกไปรวดเดียวสามคน พุ่งเข้าไปราวกับลูกธนูยิงออกจากสาย เงาร่างที่โดดเดี่ยวพุ่งตรงไปยังจุดลึกของกลุ่มคน ออกทวนราวกับมังกร เห็นใครก็ฆ่าหมด บุกสังหารกลางทัพใหญ่หนึ่งล้านอย่างบ้าระห่ำ ไม่สนใจความเป็นความตายแล้วจริงๆ


พอเฮยทั่นที่อยู่ด้านบนหันมามอง มันก็อ้าปากกว้างที่เหมือนแอ่งเลือดทันที มันกัดหัวของต่งอิ้งเกาไว้ในปากแล้ว ฟันที่แหลมคมน่ากลัวเจาะทะลุคอต่งอิ้งเกา ลากศพหนึ่งร่างพุ่งลงไล่ตามไปหาเหมียวอี้


…………………………

บทที่ 1208 พูดคำไหนคำนั้น


ราวกับว่ามันฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย ทุกคนได้เห็นประจักษ์ชัดแจ้งกันหมดแล้ว จู่ๆ มันพุ่งเข้ามาในกลุ่มคนแบบนี้ ก็ทำให้เกิดฉากที่เหมือนกับโยนกินลงน้ำแล้วเกิดคลื่นนับพันชั้น


จู่ๆ เหมียวอี้ก็เปิดฉากสังหารใหญ่ ทำให้คนที่อยู่ข้างล่างชุลมุนวุ่นวายไปหมดแล้ว เฮยทั่นพุ่งเข้ามาประสมโรงอีก แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร


หลังจากคนหนึ่งคนกับสัตว์พาหนะหนึ่งตัวร่วมมือกันด้วยกัน ก็ช่างเหมือนกับปลาที่ได้น้ำจริงๆ ปราณปีศาจโลหิตพัดม้วนขึ้นมาจากตัวเหมียวอี้ บนคมทวนเสริมด้วยปราณเลือดชั่วร้าย ด้านบนโบกทวนปาดไม่หยุด เฮยทั่นที่อยู่ด้านล่างแยกเขี้ยวยิงฟันสะบัดหางชนมั่วๆ สังหารจนเกิดเสียงกรีดร้องอย่างต่อเนื่องท่ามกลางกลุ่มคนที่แตกกระเจิง ใครที่หนีช้าหน่อยก็จะประสบหายนะ


โหดเหี้ยมห้าวหาญ ไม่น่าเชื่อว่าคนหนึ่งคนกับสัตว์พาหนะหนึ่งตัวจะกล้ารุกโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้าน โค่วเหวินชิงกับปี้เยว่ฮูหยินเหม่อค้างนิดหน่อย ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรตะลึงค้าง


เกาก้วนที่เอามือไขว้หลังยืนดูการต่อขมวดคิ้วขึ้น รู้สึกว่าเหมียวอี้ทำเกินไปหน่อย สู้ไปศึกแรกก็สะเทือนขวัญคนพวกนี้แล้ว ไม่มีใครลงมือกับเจ้าแล้ว ได้รับทั้งชื่อเสียงทั้งผลประโยชน์แล้ว สามารถปลีกตัวออกไปได้เลย ตอนนี้ทำแบบนี้เท่ากับเป็นการยั่วความโมโหของฝูงชนและรนหาที่ตาย


ที่จริงคนที่อยากจะประมือกับเหมียวอี้ก็มีไม่เยอะเลย ภาพเหตุการณ์ตอนนี้ไม่ได้มีกำลังพลห้าหมื่นไปรวมตัวกันที่จุดเดียวเหมือนก่อนหน้า กำลังพลห้าหมื่นโดยส่วนใหญ่จะกระจายตัวกัน ทั้งด้านบนและด้านล่างของดาราจักรมีพื้นที่ว่างมากมายให้หลบหนี เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะมีคนเบียดกัน


เหมียวอี้ขี่เฮยทั่นพุ่งสังหารเป็นเส้นตรง ครั้งนี้ได้ทำให้ทุกคนเห็นศักยภาพของเขาอย่างแท้จริงแล้ว ความเร็วในการออกทวน คนที่มักลงมือก่อนกลับถูกคนที่ลงมือทีหลังอย่างเขาใช้ทวนปาดกระเด็น สังหารไปข้างหน้าตลอดทาง ราวกับกับตัดฟันคลื่น สังหารจนเกิดเป็นทางเลือดหนึ่งทาง แทบจะไม่มีใครสู้เขาได้เกินหนึ่งท่า


ที่สำคัญคือไม่มีใครอยากจะประมือกับเขา คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีความแค้นอไรกับเขา ใครจะอยากไปสู้ตายกับเขาล่ะ บวกกับถูกความองอาญห้าวหาญของเขาเขย่าขวัญ ขวัญกำลังใจในการรบถูกเหมียวอี้ทำลายไปแล้ว


เถิงเฟยที่เอามือขยี้หนวดจ้องเหมียวอี้พร้อมกล่าวชม “เป็นวิชาทวนที่ดี!”


ยิ่งผู้บัญชาการใหญ่หนิวห้าวหาญร้ายกาจมากเท่าไร คนที่อยู่ข้างหลังก็ยิ่งไม่กล้ามาลูบคม ทิศทางที่เส้นทางการสังหารของเขามุ่งไป กำลังพลพากันหลีกหนีไปทางซ้ายขวาบนล่าง หลีกหนีอย่างรวดเร็ว


ผ่านไปไม่นาน คนหนึ่งคนกับอาชามังกรหนึ่งตัวก็ทะลุผ่านกำลังพลหนึ่งล้านอย่างห้าวหาญ สังหารฝ่าทัพใหญ่หนึ่งล้านจนเกิดเป็นทางเลือดแนวเส้นตรงออกมา


คนที่ดูการต่อสู้ตะลึงค้างแล้ว ทัพใหญ่หนึ่งล้านสั่นสะเทือน ปี้เยว่ฮูหยินอ้าปากกว้าง เหมือนไม่กล้าเชื่อว่านี่คือลูกน้องของตัวเอง


พวกจางฮั่นฟางก็หุบปากไม่ลงเช่นกัน ซูลี่หน้าซีดเผือด


“แต่งตัวเป็นหมูเพื่อมากินเสือ มารดาเจ้าเถอะ ลงนามสัญญาเพราะอยากจะวางกับดักข้าชัดๆ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ใบหน้าเหมือนโดนตะคริวกินพึมพำกับตัวเอง


แม้แต่เกาก้วนเองก็ยังจ้องเหมียวอี้อย่างตกตะลึงปนประหลาดใจ


ขบวนของทัพใหญ่หนึ่งล้านถูกตัดครึ่งเป็นสองส่วน แสดงความแตกต่างกันอย่างชัดเจน กำลังพลที่อยู่ในนั้นถูกเหมียวอี้ถือทวนบุกเดี่ยวมาสังหารจนแตกซ่าน ศพนับพันลอยล่องอยู่ทั้งข้างล่างข้างบน มีคนไม่น้อยที่โดนทวนแล้วยังไม่ตาย แต่กลับโดนปราณเลือดชั่วร้ายรุกเข้ากัดกิน ทำให้กรีดร้องดิ้นพล่านอยู่กลางอากาศ


ก่อนหน้านี้ทุกคนยังไม่เห็น ตอนนี้ทุกคนได้เห็นเหมียวอี้บุกเดี่ยวสังหารคนตายนับพันในรวดเดียว ถึงแม้ในจำนวนนั้นจะมีผลงานของเฮยทั่นอยู่ไม่น้อย แต่สิ่งที่ได้เห็นและได้ยินที่นำความตกตะลึงมาให้ทุกคนก็ยากที่จะบรรยายออกมาได้


หลังจากสังหารฝ่าออกมาจากทักใหญ่หนึ่งล้าน เหมียวอี้ที่หันหลังให้กลุ่มคนก็ทำกระพุ้งแก้มพองลม เขาไม่ได้กลั้นเอาไว้ ที่ปากและจมูกมีเลือดทะลักออกมา เป็นเพราะลูกธนูสามดอกของต่งอิ้งเกาทำให้บาดเจ็บหนักจริงๆ เขาดันทุรังเปิดศึกเลือดโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บสาหัส กอปรกับตอนที่พุ่งสังหารเมื่อครู่นี้ ร่างกายก็โดนโจมตีไปครั้งหนึ่ง ถึงแม้จะกินสมุนไพรเซียนซิงหัวไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ความเร็วในการเยียวยาของสมุนไพรเซียนซิงหัวก็ไม่ได้ทำให้หายในทันทีเช่นกัน


สภาพร่างกายสู้ไม่ไหว หลังจากเหมียวอี้สังหารฝ่าออกมาแล้ว เดิมทีอยากจะควบเฮยทั่นเข้าไปในจุดลึกของดาราจักรที่กว้างใหญ่โดยตรง แต่เขาแววตาวูบไหว ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ กระตุกมุมปากอย่างดุร้ายครู่หนึ่ง


จู่ๆ เฮยทั่นก็หยุดและหันตัวมาสะบัดหัว ศพของต่งอิ้งเกาที่คาบอยู่ในปากตลอดถูกโยนออกมา


เหมียวอี้ที่ถือทวนเฉียงอยู่ในมือโบกทวนเก็บอย่างดุร้าย พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์รีบกวาดมองทัพใหญ่ที่ถูกตัดออกเป็นสองฝั่ง ไม่นานก็เห็นพวกจางฮั่นฟางแล้ว เขาแยกแยะและจ้องตรงไปที่ซูลี่อีก จากนั้นโบกทวนชี้ พร้อมจะโกนด้วยเสียงดุดัน “ซูลี่ บังอาจทรยศข้า เอาชีวิตมาซะ!”


ยังพูดไม่ทันจบ เฮยทั่นที่กำลังคลั่งก็แบกเขาพุ่งกลับมาแล้ว พุ่งสังหารอย่างบ้าคลั่งไปยังกำลังพลที่อยู่ทางด้านขวา


เดิมทีนึกว่าเขาจะหนีออกจากฝูงชนไปตอนนี้ แต่จู่ๆ ก็เห็นเขาพุ่งสังหารกลับมา กำลังพลที่อยู่ทางขวาหวาดกลัวทันที กำลังพลที่อยู่ข้างหลังเดิมทีก็เหาะเหินโดยไม่มีสัตว์เทพอยู่แล้ว จะมีใครกล้าขวางล่ะ?


ที่กลัวกว่าคือซูลี่ที่อยู่ในนั้น พอโดนเหมียวอี้ตะโกนเรียกชื่อ ก็ตกใจจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทันที เขายังไม่ทันไหวตัวหลบหนี พวกจางฮั่นฟางก็รีบขี่สัตว์เทพออกจากทัพใหญ่หนีไปยังจุดลึกของดาราจักรแล้ว


“ผู้บัญชาการใหญ่จาง รอข้าด้วย รอข้าก่อน พาข้าไปด้วย ผู้บัญชาการใหญ่เหยียนช่วยข้า…” ซูลี่ที่รู้ตัวรีบไล่ตามทันที โบกมือร้องเรียกตลอดทาง


แต่นอกจากจะหันกลับมามองนิดหน่อย พวกจางฮั่นฟางก็ไม่มีใครพาเขาไปด้วยเลย ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วยชีวิตเขา แต่การพาเขาไปด้วยอาจจะล่อให้เหมียวอี้ไล่สังหารไม่ปล่อยก็ได้ ย่อมต้องทิ้งซูลี่อยู่แล้ว ทิ้งซูลี่ไว้อาจจะช่วยถ่วงเวลาให้พวกเขาหลบหนีได้บ้าง


ซูลี่เร่งไล่ตามและมองดูตลอดทาง ไม่เห็นพวกจางฮั่นฟางมีท่าทีว่าจะหยุด กลับหนีเร็วยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ ส่วนผู้บัญชาการใหญ่หนิวที่อยู่ข้างหลังก็สังหารฝ่ากลุ่มคนเข้ามาแล้ว สังหารมาตลอดทางราวกับฝ่าตัดคลื่น ขนาดเจอทางที่ใกล้กว่าก็ยังไม่ยอมลัดไป ดันทุรังจะสังหารฝ่าแรงต้านเข้ามาให้ได้ โหดเหี้ยมจนคนต้องยกนิ้วให้จริงๆ


ซูลี่รู้ตัวว่าถ้าอาศัยการความเร็วในการเหาะของตัวเองก็ไม่มีทางหนีการไล่โจมตีนี้พ้นเลย เมื่อเห็นว่าไม่มีใครช่วยเหลือ ทั้งยังมีคนไร้พ่ายไล่ฆ่าอยู่ข้างหลัง อารมณ์สิ้นหวังเศร้าโศกปนเดือดดาลบนใบหน้าเขาก็ยากจะบรรยายออกมาได้ อารมณ์นึกเสียใจทีหลังก็บรรยายได้ยากเช่นกัน ถ้ารู้แต่แรกว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ ขนาดทัพใหญ่หนึ่งล้านยังต้านไม่ไหว มีหรือที่ตนจะทรยศได้


ยังมีอีกคนที่สีหน้าเปลี่ยน ปี้เยว่ฮูหยินเรียกได้ว่าทำสีหน้าขื่นขม หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ไม่ปล่อยแม้แต่คนของตัวเองด้วยซ้ำ แต่พอลองคิดดูว่าก่อนหน้านี้ ‘พวกเดียวกัน’ ทำอะไรหนิวโหย่วเต๋อไว้บ้าง เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็สมเหตุสมผลไม่ใช่เหรอ


สรุปก็คือตอนนี้นางเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว ไม่ใช่เพราะหนิวโหย่วเต๋อกลัวพวกจางฮั่นฟาง แต่หนิวโหย่วเต๋อกำลังป้องกันนางอยู่! อดกลั้นไว้ในใจตลอดจนมาถึงที่นี่ พอหลุดพ้นอำนาจอิทธิพลของนางแล้วค่อยลงมือ


เหมียวอี้เข้าแล้วออก สังหารเข้ามาอีกครั้ง ครั้งนี้กลับไม่มีแรงต้านอะไร ทุกคนเตรียมใจไว้นานแล้ว เมื่อเห็นเขาพุ่งเข้ามาทางนี้ ก็พากันถลันตัวหลบออกไปทันที


การทะลุผ่านครั้งนี้สังหารไปไม่กี่สิบคนเท่านั้น แต่เสียงกรีดร้องสิบกว่าครั้งก็ยังทำให้คนหวาดระแวงกลัวอยู่ดี


มีบางคนรู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย ทำไมถึงรู้สึกว่าฆ่าไปแค่ไม่กี่สิบคนเท่านั้นล่ะ? ปกติทุกคนฆ่าได้ไม่กี่คนก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว ตอนนี้จู่ๆ ก็พบว่าคนไม่กี่สิบที่ตายด้วยน้ำมือหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้เรียกว่าฆ่าคนด้วยซ้ำ


คนที่เบียดอยู่สองข้างทางมองดูเหมียวอี้ทั้งตัวมีปราณปีศาจโลหิตไหลกลิ้งแฉลบผ่านหน้าไป


สังหารฝ่าออกมาจากทัพใหญ่อีกครั้ง เหมียวอี้จ้องและไล่ตามไปหาซูลี่อย่างรวดเร็ว


“ซูลี่คนนี้เป็นใครกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีค่าพอให้หนิวโหย่วเต๋อกัดไม่ปล่อย?” เถิงเฟยที่กำลังดูการต่อสู้ถามอย่างแปลกใจ


เกาก้วนตอบเสียงเรียบว่า “เป็นผู้บังคับการกองร้อยคนหนึ่งของเขา ก่อนการทดสอบทรยศเขาเพื่อไปรวมกลุ่มกับคนอื่น ใช้วิธีการดูหมิ่นเหยียดหยามหนิวโหย่วเต๋อต่อหน้าฝูงชนเพื่อเป็นใบรับรองสมาชิกกลุ่ม”


“มิน่าล่ะ!” ขณะที่เถิงเฟยพยักหน้าก็อึ้งอีกครั้ง หันหน้าช้าๆ กลับมา ถามว่า “ขนาดเรื่องนี้เจ้ายังรู้เลยเหรอ ยังไม่อะไรที่หน่วยข่าวกรองของเจ้าไม่รู้บ้าง?”


“ที่ข้ายังมีสิ่งที่เจ้าอยากจะรู้อีก แต่เจ้าไม่กล้าถามหรอก” เกาก้วนกล่าว


“…” เถิงเฟยกระตุกมุมปากเล็กน้อย ไร้คำพูดโต้ตอบ


ซูลี่เหาะหนีสุดชีวิตและหันกลับมามองตลอดทาง เมื่อเห็นเหมียวอี้เข้ามาประชิด จู่ๆ ไม่หนีแล้ว เพราะรู้ว่าต่อให้หนีก็หนีไม่รอด จึงถือทวนหันตัวมา แล้วกล่าวเสียงดังด้วยสีหน้าหวาดกลัวว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว! ผู้บัญชาการใหญ่โปรดไว้ชีวิต ข้าน้อยก็โดนกดดันจนไม่มีทางเลือกเหมือนกัน! ข้าน้อยแค่อยากหาทางรอด แค่อยากจะหาทางรอดก็เท่านั้นเอง! ผู้บัญชาการใหญ่โปรดเมตตา!”


เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ตอนที่เจ้าทรยศข้า เจ้ายังจำที่ข้าพูดได้มั้ย? กล้าทำก็ต้องกล้ารับผลที่ตามมา แค่ยอมจำนนก็พอ!”


ซูลี่ ถ้าเจ้าอยากจะต่อสู้เพื่ออนาคต ข้าก็ไม่ขัดขวางเจ้าหรอก เจ้ากลัวว่าข้าจะทำให้เจ้าลำบากไปด้วย ข้าก็ไม่โทษเจ้าเช่นกัน แต่มีอยู่คำหนึ่งที่เจ้าต้องจำไว้ให้ดี ข้าไม่ถือสาที่คนเรามีปณิธานต่างกัน แต่ถ้าเป็นคนทรยศ ข้าไม่ปล่อยไปเด็ดขา!’


ในหัวซูลี่มีคำพูดเหล่านี้แวบเข้ามา ราวกับดังอยู่ในหูอีกครั้ง!


เมื่อเห็นว่าร้องขอชีวิตแล้วไม่ได้ผล ซูลี่ก็พลันคำรามอย่างเดือดดาล “อ๋า! หนิวโหย่วเต๋อ ข้าจะสู้ตายกับเจ้า!” พูดจบก็ถือทวนพุ่งเข้ามา จนตรอกเป็นสุนัขกระโดดกำแพงจริงๆ จะซ้ายหรือขวาก็ตายอยู่ดี ทำได้เพียงดิ้นรนก่อนตายสักตั้ง


ชั่วพริบตาที่ทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กัน ซูลี่โบกทวนแทงเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนตัวเฮยทั่นที่พุ่งเข้ามาทำสีหน้าเหยียดหยาม ใช้มือข้างเดียวแทงทวนออกไปหนึ่งครั้งอย่างฉับพลัน


แกร๊ง! เสียงดังชัดเจน ทวนยาวในมือซูลี่โดนทวนเกล็ดย้อนทำลายหัก การเคลื่อนไหวของหัวทวนสามคมยังไม่หยุด แทงทะลุเกราะทองของซูลี่เสียงดังฉึก ทิ่มเข้าไปในหัวใจ ทะลุออกมาจากแผ่นหลัง เลือดสดพุ่งกระฉูด


โจมตีสังหารภายในทวนเดียว สังหารได้อย่างเบาสบายมือ


ซูลี่ที่โดนทวนปาดหิ้วขึ้นมาเอามือจับด้ามทวนเกล็ดย้อน มุมปากมีเลือดสดไหลทะลัก บนใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์สิ้นหวัง พบว่าสู้สุดชีวิตไปก็ไม่มีประโยชน์ ทั้งสองไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันเลย


“เหอะๆ!” จู่ๆ ซูลี่ก็ฝืนหัวเราะอย่างน่าเวทนา แล้วกล่าวพร้อมหายใจติดๆ ขัดๆ ว่า “ผู้บัญชาการใหญ่พูดคำไหนคำนั้นจริงๆ ด้วย ไม่ปล่อยข้าน้อยไปจริงๆ!”


ซวบ! ทวนเกล็ดย้อนพลันดึงออกมา คมทวนกวาดหนึ่งครั้ง กวาดบนคอซูลี่จนละอองเลือดสาดกระจายหนึ่งสาย


เหมียวอี้โบกมือเก็บทั้งคนเก็บทั้งของ แล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปยังจุดลึกในดาราจักร เขาตามพวกจางฮั่นฟางไม่ทันแล้ว เฮยทั่นแบกเขาเลี้ยวกลับมาอีกครั้ง


เมื่อเห็นเจ้าเวรนี่พุ่งกลับมาอีก ทัพใหญ่ที่ชุมนุมกันเพิ่มความระวังตัวอย่างสูงทันที ป้องกันไม่ให้เขาพุ่งเข้ามาสังหารอีก


แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะมาหยุดอยู่ตรงหน้ากระบวนทัพ แล้วโบกทวนชี้ไปที่กลุ่มคน พร้อมตะโกนเสียงดังว่า “มัวแต่หลบซ่อนจะนับเก่งอะไรล่ะ ผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนอยู่นี่แล้ว ถ้าอยากจะได้ชีวิตข้า ก็รีบมาสู้ตายกับข้าสักตั้ง!”


เมื่อเผชิญหน้ากับคนเลอะเลือดที่กลิ่นอายสังหหารพลุ่งพล่าน ไม่น่าเชื่อว่าในทัพใหญ่จะไม่มีใครพูดอะไรเลย แต่ละคนหันซ้ายหันขวา มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา


จ้านหรูอี้ที่ยืนอยู่แถวหน้ากัดฟัน ในใจลังเลไม่หยุด อีกฝ่ายคืออันดับหนึ่งที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งให้ นางก็เป็นอันดับหนึ่งที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งให้เช่นกัน ตอนนี้เจอประกาศท้าทายต่อหน้าฝูงชน ถ้าหากหลีกเลี่ยงที่จะสู้…ที่สำคัญคือนางเคยพูดไว้ต่อหน้าทุกคนแล้วว่าจะเอาชีวิตเหมียวอี้ กอประกับมาเป็นหน้าเป็นหน้าให้กับตระกูลอิ๋ง ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่สู้ ก็อาจจะน่าอับอายเกินทน


เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบรับ เหมียวอี้ที่รออยู่ครู่หนึ่งก็โบกทวนชี้ไปที่กลุ่มคนอีกครั้ง เสียงดังกว่าเดิมหลายเท่า ตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่แล้ว ใครกล้าสู้กับข้า!”


“อ๋าว…” เฮยทั่นที่สั่นหัวส่ายหางก็เงยหน้าคำรามเสริมอานุภาพเช่นกัน


ภายใต้การท้าสู้ที่ต่อเนื่อง จ้านหรูอี้ทนไม่ไหวแล้ว จู่ๆ ก็หันกลับมาตะคอกเสียงเข้ม “จะให้ไอ้โจรกระจอกนี่มันเย้ยว่าเราไร้ความสามารถเหรอ ตราบใดที่พวกเราร่วมใจกัน เขาจะต้องตายแน่นอน ข้าจะรบอยู่แนวหน้า  ทุกคนร่วมมือกับข้า วันนี้ต้องเอาชีวิตเขาให้ได้ ติดตามข้าไปสังหาร ฆ่า!”


…………………………

บทที่ 1209 พวกหนูต่ำต้อย


เมื่อนางกล่าวแบบนี้ คนที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็ด่าในใจอย่างบ้าคลั่ง เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะส่งนางเข้าหอโคมเขียว


แต่ก็ไม่มีทางเลือก ผู้หญิงคนนี้พูดไม่ผิดเช่นกัน ถ้าโดนท้ายทายแบบนี้แล้วไม่ทำอะไรสักหน่อย กลับไปก็จะแก้ตัวไม่สะดวกแล้วจริงๆ ที่สำคัญก็คือ ถ้าปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับท่านนี้ ต่อไปยังอยากจะทำมาหากินอยู่เปล่า พวกเขาล้วนเป็นคนของอ๋องสวรรค์อิ๋ง สี่อ๋องสวรรค์แห่งตำหนักสวรรค์ อยากจะย้ายไปไหนก็คงย้ายไม่สะดวก


“ฆ่า!” ทุกคนโบกอาวุธเรียกกำลังพลข้างหลัง กัดฟันติดตามจ้านหรูอี้ไปสังหาร


ชั่วพริบตาเดียว ทหารสวรรค์ที่ขี่สัตว์เทพสามพันกว่าตัวก็ตะโกนว่าฆ่าพร้อมพุ่งโจมตีออกมา


กำลังพลกลุ่มใหญ่ที่อยู่ข้างหลังเชื่องช้านิดหน่อย รวมตัวกันได้หนึ่งแสนกว่าพุ่งออกไป ความคิดของคนพวกนี้ไม่ซับซ้อนเลย นั่นก็คือข้างหน้ามีสามพันคนร่วมมือกัน อย่าว่าแต่หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวเลย ต่อให้เป็นนักพรตบงกชรุ้งก็โดนโจมตีจนหมอบได้เหมือนกัน กลัวก็แต่จะไม่สามัคคีกัน แต่ตอนนี้พร้อมใจกันโจมตี เวลาลงมือขึ้นมาก็เกรงว่าคงจะไม่ถึงคราวของพวกเขา


ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือตามไปประสมโรงเฉยๆ


จ้านหรูอี้ที่ขี่สัตว์เกราะทองคำรามฟ้าหันกลับมามองข้างหลัง ทำให้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นเยอะมากทันที


นางกลัวแค่คนพวกนี้จะไม่สามัคคีกันและไม่กล้าออกมาต่อสู้ ตอนนี้มีคนมากมายขนาดนี้ติดตามนางออกรบ คนที่มีของวิเศษติดตัวมีไม่น้อย ถ้าใช้ของวิเศษทุ่มไปพร้อมกัน ต่อให้สู้กับนักพรตบงกชรุ้งพวกนางก็ชนะอยู่ดี จะต้องชนะศึกนี้แน่นอน!


“ฆ่า!” ท่ามกลางเสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราด เหมียวอี้โบกทวนชี้ออกไป


“อ๋าว…” เฮยทั่นพุ่งออกไปอย่างกะทันหัน ไม่มีอะไรขวางกั้นได้


นี่คือการบุกโจมตีของคนหนึ่งคนกับกำลังพลนับแสน ชนปะทะกัน!


ถ้ามองจากมุมสูงลงไป ฉากที่ทำให้คนตกตะลึงนี้ปนด้วยความเศร้าสลดและเร้าใจอยู่หลายส่วน


ชายอ้วนกินน่องไก่ไปได้ครึ่งเดียวแล้วก็หยุด หยุดกินตั้งแต่ตอนที่เริ่มสู้รบกัน น่องไก่ที่มันเลี่ยนถูกกำอยู่ในมือ ส่วนมืออีกข้างถือไหสุรา เขากำลังก้มมองท้องฟ้าที่อยู่ข้างล่าง


ชายผอมที่อยู่ข้างกันกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ยื่นมือไปหยิบไหสุราในมือชายอ้วน เงยหน้ากรอกเข้าปากไปหนึ่งคำ พอเช็ดปากแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวชมว่า “ช่างเป็นวีรบุรุษ! เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย สามารถสละเลือดร้อนๆ ได้สักครั้ง ก็นับว่าไม่เสียชาติเกิดเหมือนกัน!”


“ตอนแรกมีข่าวลือ บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อโดนเพื่อนร่วมงานด่าทอดูหมิ่น แต่ยอมหดหัวเป็นเต่าไม่กล้าเถียงกลับ ช่างเป็นเรื่องที่ผิดพลาดที่สุดในใต้หล้า เป็นเรื่องน่าขำที่สุดในโลก!” ชายอ้วนหันกลับมา ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้าดูการปะทะข้างล่างต่อไป


ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ที่ก่อนหน้าที่พุ่งใส่ขบวนทัพใหญ่หนึ่งล้าน ก็เป็นเพราะคนส่วนใหญ่หลบเลี่ยงการต่อสู้ ตอนนี้กำลังพลหนึ่งแสนกว่าไม่ได้วางกำลังรบ และไม่ได้หลบหลีกเช่นกัน แต่รวมตัวกันเป็นฝ่ายพุ่งเข้ามาโจมตีก่อน ทหารสวรรค์สามพันกว่าคนที่ขี่สัตว์เทพก็คือกำลังหลัก แค่ลักษณะพลังที่แสดงออกมาก็ไม่เหมือนกันแล้ว เมื่อกำลังแบบนี้รวมตัวกันขึ้นมา ต่อให้เป็นนักพรตบงกชรุ้งก็ยังต้องถอย แต่เหมียวอี้กลับดันทุรังพุ่งเข้าใส่


ฉากนี้ทำให้แม้แต่จอมพลเถิงเฟยก็ยังทำสีหน้าตกตะลึง ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น นี่ต้องใช้ความกล้าหาญขนาดไหนถึงจะทำแบบนี้ได้? ถ้าเปลี่ยนเป็นคนปกติทั่วไปก็คงรีบหนีแล้ว เขายอมรับว่าถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเองในปีที่วรยุทธ์เท่านี้ ก็ทำอะไรแบบนี้ไม่ได้อยู่ดี


“ยอมตายดีกว่ายอมแพ้เหรอ? ทำไมต้องลำบากขนาดนี้!” จอมพลเถิงถอนหายใจ


บรรยากาศอันน่าตกตะลึงที่แฝงไปด้วยความเศร้าโศกเร้าใจทำให้โค่วเหวินชิงเบิกตากว้าง ในดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง มีแต่ความตกตะลึง ตกตะลึงอยู่ในหัวใจ นางอยู่ในแดนฝึกตนมาหลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นผู้ชายแบบนี้


ปี้เยว่ฮูหยินที่ทำสีหน้าสะเทือนอารมณ์ก็ได้แต่ตาค้างเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น


เกาก้วนกลับขมวดคิ้วมุ่น เหมียวอี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่กำลังฝืนประคองตัวเองอยู่ ถึงแม้จะปิดบังคนอื่นได้ แต่กลับปิดบังสายตาของเขากับเถิงเฟยไม่ได้ ในสายตาเขา การกระทำของเหมียวอี้คือการรนหาที่ตาย เขาคิดไม่ตกว่าทำไมเหมียวอี้ต้องทำแบบนี้


หารู้ไม่ว่าสำหรับเหมียวอี้แล้ว ในใจตอนนี้มีอยู่เหตุผลเดียว นั่นก็คือไม่มีเหตุผล!


ถ้าจะให้หาเหตุผลสักข้อหนึ่ง นั่นก็คือยังฆ่าคนได้ไม่มากพอ! ยังฆ่าไม่หนำใจ! ข้าก็แค่อยากจะใจร้อนวู่วามสักรอบ! ไม่อย่างนั้นในใจก็จะเป็นทุกข์เพราะเก็บกด!


ใบหน้าแต่ละหน้าที่ตราตรึงอยู่ในใจเขาก่อนหน้านี้ ตอนแรกเขาอยู่ลำพังแต่กลับมีคนอยากเอาชีวิตเขา การหลบหนีของพวกจางฮั่นฟางได้จุดไฟบางอย่างขึ้นในใจเขาแล้ว ไม่มีใครเข้าใจได้ถึงความรู้สึกที่เขาเก็บกลั้นเงียบๆ ตลอดมาหลังจากโดนหยามหมิ่นที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว…


เมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กัน จู่ๆ จ้านหรูอี้ที่ขี่สัตว์พาหนะนำรบอยู่แนวหน้าก็กระทืบเท้า


“กรรร…” สัตว์เกราะทองคำรามฟ้าพลันคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ปากที่เหมือนแอ่งเลือดอ้าออก แสงสีทองเรืองรองสายหนึ่งที่เหมือนทั้งคลื่นเมฆทั้งระลอกคลื่นก็โจมตีไปยังเหมียวอี้ที่พุ่งมาตรงหน้า


ปฏิกิริยาแรกของเหมียวอี้ก็คือ สัตว์พาหนะของอีกฝ่ายเป็นประเภทที่สามารถใช้คลื่นเสียงโจมตีได้ คลื่นเสียงสามารถกลายเป็นแสงสีทองที่มีรูปร่างได้ คาดว่าคงจะมีความพิเศษยิ่งกว่าเดิม


ไม่สนใจว่าจะใช่หรือไม่ใช่ เหมียวอี้ไม่สนด้วยว่ารสชาติหลังจากถูกโจมตีจะเป็นอย่างไร รีบใช้เพลิงจิตปกป้องร่างกายอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ปกป้องเฮยทั่นด้วย


แทบจะเป็นชั่วพริบตาเดียว แสงสีทองหลายชั้นที่ถาโถมเข้ามาก็ปกคลุมเขากับเฮยทั่นเอาไว้แล้ว รอบกายทั้งสองมีระลอกคลื่นสาดซัดหนึ่งชั้น รู้สึกได้ถึงพลังโจมตีไร้รูปร่างที่สามารถทำให้คนสะท้านใจ ส่วนความรู้สึกทุกข์ทรมานอย่างอื่นนั้นไม่มี


คนหนึ่งคนกับสัตว์พาหนะหนึ่งตัวพุ่งไปหาจ้านหรูอี้ต่อ


“เอ๋! ต้านทานการโจมตีกลืนวิญญาณของสัตว์เกราะทองคำรามฟ้าได้ยังไง” จอมพลเถิงที่ดูการต่อสู้กล่าวอย่างประหลาดใจ “สงสัยหนิวโหย่วเต๋อจะฝึกเคล็ดวิชาลับที่ไม่ธรรมดา”


นี่ก็คือความคิดของจ้านหรูอี้เช่นกัน เห็นเหมียวอี้ยังขี่สัตว์พาหนะอย่างมั่นคงและโจมตีฝ่าแสงสีทองที่สัตว์เกราะทองคำรามฟ้าพ่นเข้ามา ไม่มีปฏิกิริยาผิดปกติเลยแม้แต่น้อย นางตกใจอยู่บ้าง จึงรีบยกมือขึ้น ในกำไลเก็บสมบัติพลันมีกระบี่วิเศษผลึกแดงบริสุทธิ์ยาวประมาณหนึ่งจั้งพ่นออกมา


จ้านหรูอี้ใช้มือข้างหนึ่งจับทวน แล้วใช้มืออีกข้างชี้ควบคุม กระบี่ใหญ่ฟันออกไปอย่างฉับพลัน รอบๆ ตัวกระบี่มีกระแสไฟฟ้าลอยขึ้นมา


เหมียวอี้ใช้ฝ่ามือข้างเดียวยันไว้ ขณะกำลังจะผลักลูกกลมตีไม่พังออกมาต้านทาน คาดไม่ถึงว่าจ้านหรูอี้จะกางนิ้วทั้งห้า กระบี่ใหญ่พลันกลายเป็นกระบี่เล็กยาวเท่าแขนกระจายออกมาร้อยเล่ม ลากเป็นตาข่ายสายฟ้ากระจายออกมา ราวกับมีแหใหญ่ผืนหนึ่งครอบเหมียวอี้กับเฮยทั่นเอาไว้ด้วยกัน


เหมียวอี้ล้มเลิกความคิดที่จะใช้ลูกกลมตีไม่พังทันที ร่างกายของเขาพลิกอย่างรวดเร็ว อ้อมไปหลบอยู่ใต้ท้องเฮยทั่น


กระบี่บินที่มีตาข่ายไฟฟ้ายิงเข้ามาราวกับพายุฝน เฮยทั่นก้มหน้าปกป้องเหมียวอี้ที่อยู่ใต้ท้อง แล้วใช้หัวพุ่งชนเข้าไป


แกร๊งๆๆ! กระบี่บินสิบกว่าเล่มที่ยิงมาตรงหน้าถูกชนจนพลิกปลิวออกไป เฮยทั่นฝ่าออกจากตาข่ายไฟฟ้าได้อย่างห้าวหาญ กระแสไฟฟ้าโจมตีโดนตัวมัน แต่ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับมันเลย มันพุ่งตัวไปข้างหน้าต่อ


จ้านหรูอี้ตระหนกตกใจ สัตว์พาหนะของอีกฝ่ายไม่กลัวสายฟ้างั้นเหรอ?


นางจะไปรู้ได้อย่างไร ว่าเฮยทั่นสามารถอาบน้ำอยู่ท่ามกลางสายฟ้าตอนเรียกฟ้าเรียกฝนได้ ในจุดนี้เหมียวอี้รู้ดีกว่านาง ถึงได้ให้เฮยทั่นมาเป็นโล่กำบังให้


มือข้างหนึ่งช้อนออกมาใต้ท้องเฮยทั่น คว้ากรวยแหลมแท่งหนึ่งที่อยู่บนเกราะรบเฮยทั่น แล้วพลิกตัวโผล่ออกมาจากใต้ท้องเฮยทั่นโดยตรง


ปฏิกิริยาอันรวดเร็วในการขึ้นลงนี้ทำให้คนที่กำลังดูการต่อสู้รู้สึกทึ่งมาก


พอจ้านหรูอี้โบกมือ กระบี่บินร้อยเล่มที่พุ่งเข้ามาก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เลี้ยวโค้ง กระบี่ใหญ่ที่มีสายฟ้าฟันไปทางแผ่นหลังของเหมียวอี้อย่างเกรี้ยวกราด


เหมียวอี้สาวเท้าเหยียบจากแผ่นหลังเฮยทั่นขึ้นไปบนยอดหัวของเฮยทั่น อาศัยแรงเฉื่อยจากการพุ่งโจมตีของเฮยทั่นเพื่อเหยียดเท้าดีดตัวออกมา รีบดึงระยะห่างระหว่างตัวเองกับจ้านหรูอี้ให้เข้าใกล้กัน แล้วปาดทวนออกมาโดยตรง


แต่ใครจะคาดคิด จ้านหรูอี้ไม่แสดงฝีมืออ่อนด้อยเลยสักนิด สาวเท้ากระโจนตัวขึ้นมาเช่นเดียวกัน ทะยานฟ้าพร้อมกางแขน ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นคนที่มีสามหัวหกแขน ในมือถือทวนสามด้าม โจมตีไปที่เหมียวอี้พร้อมกัน ร้ายกาจถึงขีดสุด ทั้งคู่ทะยานขึ้นฟ้าปะทะกันอย่างคล่องแคล่วแข็งแรง


สองหัวสี่แขนและทวนยาวหนึ่งด้ามของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นภาพมายา ดวงตาอิทธิฤทธิ์ไม่มีทางมองออกได้ และเหมียวอี้ก็ใช้ตาทิพย์ไม่ทันด้วย จึงรีบเอียงหน้าหลับตา พอสะบัดมือ ทวนยาวที่มีจุดดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองหมุนวนก็เอียงเล็กน้อย


จ้านหรูอี้ที่ใช้ทวนสามด้ามพร้อมกันตกใจมาก เห็นอีกฝ่ายหลับตามองข้ามภาพมายาของนาง แต่ยังสามารถปะทะกับอาวุธจริงของนางได้อย่างแม่นยำ


นางเปลี่ยนท่าไม่ทันแล้ว ทำได้เพียงโจมตีปะทะกันตรงๆ


ตอนที่ทวนสองด้ามสัมผัสกัน จ้านหรูอี้ก็นึกเสียใจทีหลังทันที พลังที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งทำให้แขนของนางสูญเสียความรู้สึก ความรู้สึกสุดท้ายที่แวบเข้ามาในหัวก็คือเหลือเชื่อ


ปั้ง! ปั้ง!


เสียงสะเทือนดังขึ้นต่อเนื่องสองครั้ง ทวนยาวหลุดมือจ้านหรูอี้กระเด็นออกไปในชั่วพริบตาเดียว แล้วก็ถูกทวนแทงเข้ามาที่หน้าอกหนึ่งครั้ง “อั้ก!” นางตาเหลือกพร้อมเงยหน้ากระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง สะเทือนจนร่างกระเด็นออกไปราวกับผีพุ่งใต้


เถิงเฟยที่หรี่ตามองพึงพำว่า “วิชาทวนของเจ้าบ้านี่บรรลุถึงความหมายที่ลึกซึ้งของการทำลายความว่างเปล่าแล้ว มิน่าล่ะ” เมื่อครู่นี้เขาสังเกตเห็นจุดสีดำที่แวบผ่านบนหัวทวนตอนที่เหมียวอี้ออกทวนแล้ว


เหมียวอี้ที่ยังไม่ทันลืมตาสะบัดหลัง ลูกกลมตีไม่พังเม็ดหนึ่งที่แขวนอยู่ข้างหลังพลันลอยออกมาปรากฏตัว กลายเป็นวัตถุขนาดใหญ่กันข้างหลังเขาเอาไว้


ปั้ง! กระบี่ใหญ่สายฟ้าที่ฟันโจมตีเข้ามาโดนลูกกลมสีแดง ชั่วพริบตาเดียวก็โดนแว้งกัด โดนลูกกลมสีแดงกลืนเข้าไปแล้ว


จากนั้นเหมียวอี้ก็ลืตาแล้วหันมาโบกมือเก็บลูกกลมตีไม่พังเอาไว้ เฮยทั่นที่พุ่งตามมาที่หลังแบกเขาสังหารไปข้างหน้าต่อ


ทั้งสองประมือสู้กันเพียงชั่วพริบตาเดียว คนที่ดูอยู่ทอดถอนใจด้วยความทึ่ง ต่างก็พากันชื่นชมอยู่ในใจ สมกับเป็นอันดับหนึ่งที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งให้ทั้งคู่


ไม่ว่าใครก็ว่าจ้านหรูอี้ไร้ความสามารถไม่ได้ อย่างน้อยนางรู้ทั้งรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อห้าวหาญขนาดนี้แต่ก็ยังกล้าสู้กันตรงๆ ความกล้าหาญนี้ควรค่าแก่การชื่นชม ที่จริงความสามารถที่จ้านหรูอี้เพิ่งแสดงไปเมื่อครู่นี้ ทุกคนก็ได้เห็นแล้วเช่นกัน เพียงแต่หนิวโหย่วเต๋อมีระดับเหนือกว่าก็เท่านั้นเอง


ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อไม่เพียงแค่ห้าวหาญดุร้ายเท่านั้น แต่ดูจากวิธีการรับมือรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินในชั่วพริบตาเดียวนั้น ก็รู้แล้วว่าเขาเชี่ยวชาญเรื่องการรบที่สุด


ทัพใหญ่หลายแสนที่พุ่งเข้ามาโจมตี พอเห็นแม่ทัพที่บุกนำมาโดนเหมียวอี้โจมตีจนกระเด็นออกไป พวกเขาก็ตกใจไม่เบาจริงๆ จ้านหรูอี้มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้าเชียวนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะต้านทานการโจมตีของหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว ล้อเล่นอะไรกัน!


ที่จริงในการรบครั้งนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหมียวอี้เอาชนะนักพรตบงกชทองขั้นเก้าได้ภายในท่าเดียว ที่สำคัญคือก่อนหน้านี้ทุกคนไม่เห็นเอง


ก็เป็นเพราะว่าไม่เคยเห็นนี่แหละ พอมาเจออะไรแบบนี้กะทันหัน คนที่พุ่งตามมาข้างหลังถึงได้หวาดกลัวเพราะไม่ได้เตรียมใจ ขนาดนักพรตบงกชทองขั้นเก้ายังต้านไม่ไหวแม้แต่ท่าเดียว แถมอีกฝ่ายยังมีของที่เอาไว้เก็บของวิเศษโดยเฉพาะ ยังจะสู้กันทำบ้าอะไรล่ะ!


เมื่อเห็นจ้านหรูอี้สะเทือนจนกระเด็นถอยหลัง ก็มีคนรีบมาคว้าแขนจ้านหรูอี้เอาไว้ หัวสมองตอบสนองเร็วเหมือนกัน หันเลี้ยวแล้วหนีทันที ทั้งยังไม่ลืมที่จะหาข้ออ้างเพื่อให้ตัวเองมีผลงานและไร้ความผิดอย่างสง่าผ่าเผย ตะโกนเสียงดังว่า “ปกป้องผู้บัญชาการใหญ่จ้าน!”


เขาปกป้อง ส่วนคนอื่นๆ ก็ลนลานหนีตามหลังไป ตามไปปกป้องแล้ว


พอทำแบบนี้ ทัพใหญ่ก็วุ่นวายไร้ระเบียบทันที กำลังหลักสามพันคนที่ขี่สัตว์เทพอยู่ข้างหน้าหนีไปทางซ้ายและขวา ทำให้กำลังพลที่ตามมาข้างหลังประสบหายนะ เหมียวอี้ที่ควบเฮยทั่นพุ่งมาเข้าไปในกลุ่มคนแล้ว ออกทวนราวกับมังกรสังหารเป็นทางเลือดอีกครั้ง สังหารจนมีเสียงกรีดร้องระงม


พอเถิงเฟยที่ดูการต่อสู้เห็นสภาพการณ์นี้ ก็รีบหยิบระฆังดาราออกมาแล้ว ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน


กำลังพลแสนกว่าที่รวมตัวกันพุ่งเข้ามาเปลี่ยนเป็นหนีกระเจิดกระเจิงทันที เหมียวอี้ที่ยังสังหารไม่หนำใจพุ่งไปหาทัพใหญ่ที่รวมตัวกันตอนหลัง


คนที่อยู่ข้างหลังไม่กล้าแม้แต่จะบุกโจมตี ย่อมไม่มีใครมีเจตนาจะต่อสู้ ไม่มีใครเล่นกับเขาแล้ว ลนลานหนีกระเจิงอย่างสะบักสะบอมทันที


หลังจากเหมียวอี้สังหารฝ่าออกมาจากทัพใหญ่ ก็เหาะไปยังดาราจักรอันกว้างใหญ่ต่อ ครั้งนี้ไม่ได้กลับไปอีก


หัวหน้าของกำลังพลสายชวดที่อยู่บนฟ้าสูงและทำตัวอยู่นอกเหตุการณ์มาตลอด จู่ๆ ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ถามเสียงดังว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ทำไมไม่มาเป็นพันธมิตรกับข้าเพื่อรับมือการทดสอบล่ะ?”


เหมียวอี้ไม่รู้เลยว่าข้างหลังมีใครกำลังพูดกับเขาอยู่ เพียงตอบกลับเสียงดังว่า “พวกหนูต่ำต้อย หนิวอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอับอาย! ของที่ข้าไม่เก็บก็ถือว่าเป็นรางวัลให้พวกเจ้าแล้วกัน ใครเก็บได้ก็ถือว่าเป็นของคนนั้น”


พอพูดจบ จู่ๆ เหมียวอี้ที่หันหลังให้พวกเขาก็ยกมือกดหน้าอก ถ่มเลือดสดออกมาอีกคำ เลือดสดระหว่างปากและจมูกเริ่มไหลซึม แต่กลับดันทุรังไม่ปล่อยให้ร่างกายโอนเอน เพียงให้เฮยทั่นเร่งความเร็วจากไป


“…” คนที่ตะโกนขอเป็นพันธมิตรพูดไม่ออก


เกาก้วนมองตามเหมียวอี้จากไปไกล เหล่ตามองเถิงเฟยแวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าอยากจะรับเขาไว้ ก็ต้องถามผู้บังคับบัญชาของเขาก่อนว่าจะยอมปล่อยตัวมาหรือเปล่า”


…………………………


บทที่ 1210 สมาคมร้านค้า


เถิงเฟยไม่ได้ปฎิเสธว่าการขอเป็นพันธมิตรเมื่อครู่นี้มีเขาบงการอยู่เบื้องหลัง และไม่ปฏิเสธเช่นกันว่ามีความคิดจะรับเหมียวอี้เข้ามาทำงานด้วย เพียงแต่ขณะที่มองดูทิศทางที่เหมียวอี้หายไป ดวงตาเขาก็เป็นประกายเล็กน้อย เอามือขยี้เคราพลางกล่าวชมว่า “ช่างเป็นทหารเสือจริงๆ! สังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน องอาจห้าวหาญ มีอะไรมากกว่านี้แล้ว หากเวลาผ่านไปสักระยะ จะต้องเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่ห้าวหาญเกรียงไกรที่สุดในใต้หล้าแน่นอน น่าเสียดายแล้ว! เทียนหยวน เจ้าเวรนั่นมันไม่สนใจความเป็นความตายของทหารดีๆ!”


เกาก้วนเงียบงัน ดวงตาฉายแววล้ำลึก จ้องตรงไปยังจุดลึกของดาราจักรที่เปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้า


“ท่าไม่ดีแล้ว! จะเกิดเรื่องแล้ว!” จู่ๆ เถิงเฟยก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไมเจ้าบ้านั่นใจกว้างไม่เก็บของไป ทั้งยังบอกว่าใครเก็บได้ก็เป็นของคนนั้น คงจะวางอุบายไว้เพราะจงใจจะให้เกิดเรื่อง”


เกาก้วนได้สติหันกลับมา แล้วมองตามสายตาของเขา มองดูศพสองพันกว่าร่างที่เหมียวอี้บุกสังหารและทิ้งไว้ก่อนหน้านี้ พร้อมบอกเบาๆ ว่า “คนยังไม่ทันแยกย้าย แต่ก็ตายไปมากมายขนาดนี้แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเจ้ากับข้าจะแก้ตัวกับราชินีสวรรค์ไม่ได้เลย สั่งให้คนเก็บกวาดศพพวกนี้ให้หมด เก็บเป็นของหลวงให้หมด”


“คิดว่าพวกเรากลัวเจ้ารึไง?” จนกระทั่งเหมียวอี้หายไปในจุดลึกของท้องฟ้า เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็เริ่มพูดมากอีกแล้ว โบกมือบอกทางซ้ายและขวาอย่างโอหังอวดดีว่า “ทุกคนมาที่นี่เพื่อทดสอบ ไม่ได้มาสู้ตายแลกชีวิตกับเจ้า ถ้าพวกเราสามัคคีรวมใจกันขึ้นมาจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง ทุกคนว่ามั้ย?”


“ใช่!” เสียงตอบกลับที่แผ่วเบาหร็อมแหรมดังขึ้น


ฝานอวี้เฟยที่อยู่ข้างๆ เอียงหน้ามองด้วยสายตาดูถูก คิดในใจว่าถ้าทุกคนมีความคิดแบบเจ้ากันหมด จะสามัคคีรวมใจกันได้ก็แปลกแล้ว


คนที่มีความคิดดูถูกเหมือนนางมีไม่น้อยเลย ทว่าความคิดนี้ยังไม่ทันหายไป ก็ได้ยินเซี่ยโห้วหลงเฉิงแหกปากตะโกนอีกว่า “ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าใครก็ห้ามแย่ง! พี่น้องทั้งหลาย ลุย! ใครกล้าแย่งคนนั้นตาย!”


เล่นอะไรของเจ้า? ฝานอวี้เฟยหันกลับไปมอง ถึงได้พบว่าศพสองพันกว่าร่างที่เหมียวอี้ไม่ได้เก็บไป ในจำนวนนั้นเป็นร่างของผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อยู่ไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นเนื้อก้อนใหญ่


แต่จนใจที่ไม่ใช่ทุกคนที่จะฟังคำสั่งเซี่ยโห้วหลงเฉิง ขู่ได้เพียงพวกที่ไม่มีคนหนุนหลัง คนอื่นๆ เรียกได้ว่าเข้ามาแย่งอย่างไม่ชักช้า ชัดเจนว่าใครเก็บได้ก็เป็นของคนนั้น เป็นของที่ไม่มีเจ้าของ


เมื่อเห็นว่าไม่มีใครไว้หน้า เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็เดือดดาลทันที โบกดาบฟันจนเกิดเสียงร้องระงมพลางนำกลุ่มคนฝ่าเข้าไปแย่ง


ของที่ไร้เจ้าของ ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ แม้แต่คนของตระกูลโค่วกับกำลังพลสายชวดก็ฝ่าเข้ามาแย่งเช่นกัน


เมื่อเห็นว่าการตะลุมบอนกลุ่มใหญ่ที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายกำลังจะเริ่มขึ้น เสียงของจอมพลเถิงเฟยก็ดังขึ้นอย่างน่าตกใจราวกับฟ้าผ่า “หยุดนะ!”


ทุกคนที่ถืออาวุธอยู่ในมือหันกลับมามอง พบว่าจอมพลเถิงหน้าดำคร่ำเครียดเหมือนก้นหม้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นทูตตรวจการฝ่ายขวาที่ทำสีหน้าเย็นเยียบอยู่ข้างกายเขา แต่ละคนก็ทำสีหน้าอับอายทันที ไม่มีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีกแล้ว แม้แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงเองก็ยังต้องหัวหัว ถ้าเกาก้วนฆ่าเขาแล้ว เกรงว่าแม้แต่ท่านอาหญิงก็คงจะไม่พูดอะไรมาก


จะไม่ให้จอมพลเถิงหน้าดำคร่ำเครียดคงไม่ได้ ถ้าต่อสู้กันขึ้นมาในเหตุการณ์แบบนี้ ก็จะบาดเจ็บล้มตายเยอะกว่าตอนที่สู้กับเหมียวอี้เยอะ กองทัพตะลุมบอนกันไม่ใช่ของเด็กเล่น เวลาคนตายขึ้นมาก็ไม่ใช่แค่พันสองพันแล้ว ไม่ทันไรก็นับได้เป็นหมื่น ไม่ว่าจะเป็นเกาก้วนหรือเถิงเฟย ก็ไม่มีทางยอมปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น


“ทหาร!” เถิงเฟยโบกมือ “เก็บของทั้งหมดหมดไว้เป็นของหลวง ใครเก็บไว้ส่วนตัว ประหาร!”


คำว่า ‘ประหาร’ ที่พูดตอนสุดท้ายเรียกได้ว่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เจ้าพวกคนไม่เอาถ่านทำให้ไฟโกรธสุมเก็บกดอยู่ในใจเขา กำลังพลหนึ่งล้านถูกนักพรตวรยุทธ์ระดับเดียวกันแค่คนเดียวสังหารจนขี้ขลาดตาขาว แต่เวลาจะชุบมือเปิบและสู้กันเองภายในกลับไม่มีใครเกี่ยงกัน อีกประเดี๋ยวถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูราชันสวรรค์ ดีไม่ดีอาจจะปรับปรุงในระดับที่เข้มข้นกว่านี้ก็ได้ ขนาดเขายังทนมองไม่ไหวเลย แล้วจะนับประสาอะไรกับราชันสวรรค์ล่ะ!


“รับทราบ!” มีคนนำทัพพุ่งออกมาทันที ตะคอกให้กำลังพลที่กำลังจะตะลุมบอนกันถอยออกไป แล้วทำการเก็บยึดสิ่งของ


นับตั้งแต่ตอนนี้ไป ความครึกครื้นตอนเข้านรกถึงได้นับว่าหายไปอย่างเป็นทางการ กำลังพลหนึ่งล้านดึงความสนใจกลับมาสู่การทดสอบอีกครั้ง เหมียวอี้ไม่อยู่แล้ว ระหว่างพวกเขาไม่มีความแค้นอะไรต่อกัน การหาพันธมิตรและแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเองต่างหากที่สอดคล้องกับความจริง


เพียงแต่น่าเสียดายความตั้งใจของเหมียวอี้ เหมียวอี้เองก็หมดความสามารถที่จะบุกสังหารต่อไป ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัสคือสาเหตุแรก สูญเสียจิงชี่เสินเหมือนกับตอนใช้ท่าไม้ตายนึ่งทวนหนึ่งสังหารกับหนึ่งทวนสิบสังหาร อย่างแรกกับอย่างหลังต่างกันแค่ใช้หลายครั้งกับใช้ครั้งเดียวก็เท่านั้นเอง


ที่จริงเหมียวอี้สามารถใช้ท่าหนึ่งทวนหนึ่งสังหารได้เพียงเก้าครั้ง ครั้งที่สิบถึงแม้จะมีแรงเหลืออยู่นิดหน่อย แต่ก็ไม่สามารถรวบรวมจิงชี่เสินเพื่อใช้มันออกมาได้อีก ไม่เหมือนท่าหนึ่งทวนสิบสังหารที่สามารถทำให้คนหมดช่องว่างโต้ตอบได้โดยสิ้นเชิง และตอนที่สู้กับเนี่ยกงและอู๋ไก้ซวงก่อนหน้านี้ เหมียวอี้ก็ใช้ท่านี้กับพวกเขาไปคนละหนึ่งครั้ง ตอนสู้กับธนูดาวตกของต่งอิ้งเกาก็ใช้ไปหนึ่งครั้งแล้วเหมือนกัน ตอนสู้กับจ้านหรูอี้ก็ใช้ไปหนึ่งครั้ง รวมทั้งหมดใช้ท่านี้ไปแล้วสี่ครั้ง สูญเสียจิงชี่เสินไปไม่น้อยเลย กอปรกับอาการบาดเจ็บสาหัส การบุกสังหารอันดุเดือดหลายครั้งทำให้ได้รับบาดเจ็บเพิ่ม ภายใต้ความจนใจถึงได้ทิ้งของกำนัลจากการรบไว้เป็นกองแล้วจากไป หวังว่าจะหลอกล่อให้คนพวกนั้นฆ่ากันเอง เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนพวกนั้นจะยังอ่อนโยน จิตใจดี ให้เกียรติและอดกลั้นได้


เดิมทีสถานการณ์ก็ดำเนินไปตามทิศทางที่เขาวางแผนไว้ แต่จนใจที่โดนเกาก้วนกับเถิงเฟยขัดขวาง ทำลายแผนการดีๆ ของเขาไปแล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้คึกครื้นแล้วจริงๆ


รอจนกระทั่งคนที่เข้าร่วมการทดสอบแยกย้ายกันไป ทั้งหมดหายไปในจุดลึกของดาราจักรแล้ว เกาก้วนกับเถิงเฟยก็สบตากันแวบหนึ่ง แล้วก็ต่างคนต่างสั่งระดมพลของตัวเอง ทำให้กำลังพลที่คุมและรับผิดชอบการทดสอบมารวมตัวกันทันที ก่อนจะรีบไปยังจุดลึกของทะเลดาวที่กว้างใหญ่ไพศาล ตรงนี้ไม่มีทางกลับ ต้องออกไปผ่านทางออกของนรก


ปี้เย่วฮูหยินที่ติดตามขบวนจากไปยังคงรู้สึกไม่สงบใจ ทำสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก หันหน้ามองไปยังทิศทางที่เหมียวอี้หายไปอยู่เป็นระยะ…


ตอนนี้เหมียวอี้กำลังฟื้นฟูสภาพร่างกายอยู่บนตัวของเฮยทั่นแล้ว ในมือถือระฆังดาราติดต่อกับจีฮวน : นัดกันแล้วไงว่าจะเจอกันตรงใกล้ๆ ทางเข้า พวกเจ้าอยู่ที่ไหนกัน?


จีฮวน : เจ้าอย่ามาโทษพวกเราเลย กว่าพวกเราจะออกจากที่ซ่อนตัวไปตรงทางเข้าได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ประสบอันตรายไปหลายครั้ง เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว พวกเราไม่ได้เบี้ยวนัดด้วย พวกเราไปถึงตั้งนานแล้ว แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ ตำหนักสวรรค์จะส่งทัพใหญ่มากวาดล้างตรงทางเข้าออกเป็นบริเวณกว้าง โชคดีที่พวกเราหนีได้เร็ว เกือบจะโดนขนาบอยู่ระหว่างทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์กับโจรกบฏในนรก โจรกบฏกลุ่มนั้นก็ดักซุ่มอยู่ในนี้ตั้งนานแล้วเหมือนกัน น่าหวาดเสียวมาก โชคดีที่อวิ๋นอ้าวเทียนหนีได้เร็ว เออใช่ พวกเราก็ติดต่อเจ้าเหมือนกัน ทำไมเจ้าไม่ตอบ?


เรื่องนี้เหมียวอี้สามารถเข้าใจได้ ตำหนักสวรรค์ส่งคนมากวาดล้างล่วงหน้าแล้วจริงๆ ส่วนสถานการณ์ของเหมียวอี้ตอนนั้นก็ไม่สะดวกจะติดต่อกับภายนอก จึงถามอีกว่า : พวกเจ้าอยู่ที่ไหนกัน?


เมื่อหาพันธมิตรจากทัพใหญ่ของการทดสอบไม่ได้ เขาก็ทำได้เพียงมาหาพวกอวิ๋นอ้าวเทียน ตอนนี้ต่อให้มีคนจากทัพใหญ่ที่เข้าร่วมการทดสอบอยากจะมาเป็นพันธมิตรกับเขา แต่เขาก็จะไม่รับพิจารณาเหมือนกัน


จีฮวน : ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าอยู่ที่ไหน บนแผนที่ดาวก็หาชื่อไม่เจอ เพื่อให้เจอกับเจ้าได้สะดวก พวกเราจึงไม่ได้เพ่นพ่านไปไหน เจ้าหยิบแผนที่ออกมาดู ทิศทางที่อยู่ตรงข้ามกับทางเข้านรก อาศัยวรยุทธ์อย่างเจ้าน่าจะใช้เวลาประมาณสามวัน ถ้าเห็นกลุ่มดาวสีฟ้าก็แสดงว่าถึงแล้ว ถ้าเห็นเจ้าแล้วพวกเราจะโผล่หน้าไป ระหว่างทางคงการติดต่อเอาไว้ จะได้คอยบอกทางหเจ้าได้


ผีหลอก! ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ในทิศทางตรงกันข้าม!


เหมียวอี้ไม่ได้บอกว่าตัวเองประสบภัยอะไรมา พอเก็บระฆังดาราแล้วหันกลับ กลับไปตรงทางเข้านรก แต่เขาไม่กล้ากลับโดยใช้เส้นทางตรง แต่เหาะลงข้างล่างเพื่ออ้อมกลับมา…


ใช้เวลาเดินทางสามวัน เวลาสามวันนี้เพียงพอที่จะให้เกิดเรื่องราวกับขึ้นมากมาย


ในวันนั้น หลังจากผ่านไปสองชั่วยาม ณ สมาคมร้านค้า ตลาดสวรรค์ ดาวเทียนหยวน


โจวหราน หัวหน้าสมาคมร้านค้าที่ถูกเลือกขึ้นใหม่กำลังนั่งอยู่เบื้องบน กำลังนิ่งเงียบไม่พูดอะไร


ที่เขาสามารถขึ้นนั่งในตำแหน่งหัวหน้าสมาคมได้ ก็ย่อมมีเหตุผลอยู่แล้ว เพียงเพราะเขาเป็นผู้จัดการร้านของร้านค้าตระกูลเซี่ยโห้วที่อยู่ที่นี่ ก็ช่วยไม่ได้ ถึงแม้ลูกหลานของตระกูลเซี่ยโห้วจะถูกสังห้ามไม่ให้ยุ่งกับตแหน่งขุนนางในตลาดสวรรค์ แต่ราชินีสวรรค์ก็ควบคุมตลาดสวรรค์ทั้งหมด ต่อให้ราชินีสวรรค์ไม่ทำอะไร แต่ผลประโยชน์ที่นำมาให้ตระกูลเซี่ยโห้วก็เป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่ดี


ทางซ้ายและขวามีหัวหน้าสมาคมสาขาของสี่เขตเมืองนั่งอยู่ฝั่งละสองคน ข้างล่างยังมีอีกสองแถว แถวละหกคน เป็นตำแหน่งของกรรมการสิบสองคน


ผู้จัดการร้านของตระกูลสี่อ๋องสวรรค์ไม่เกี่ยงที่จะถูกเลือกเป็นรองหัวหน้าสมาคม ผู้จัดการร้านของสิบสองจอมพลถูกเลือกเป็นกรรมการ ส่วนกรรมการอีกสิบสองตำแหน่งที่เหลือ ตระกูลของสามสิบหกเทพประจำดาวครองไปแล้วแปดตำแหน่ง ได้ไปเขตเมืองละสองคน คนอื่นๆ ที่ไม่ถูกเลือกก็ทำได้เพียงโทษว่าตัวเองไม่มีผลการลงคะแนนมากพอ ส่วนตำแหน่งกรรมการที่เหลืออีกสี่ตำแหน่งมอบให้ร้านค้าที่ไม่มีทางการหนุนหลัง สมาคมร้านค้าต้องการมีตัวแทน เป็นไปไม่ได้ที่จะกันคนที่ไม่มีทางการหนุนหลังไว้ข้างนอกทั้งหมด


คนที่ได้นั่งในที่ประชุมมีทั้งหมดยี่สิบเก้าคน หวงฝู่จวินโหรวก็เป็นหนึ่งในกรรมการเช่นกัน อวี้ซวีเจินเหรินก็ครอบครองได้หนึ่งตำแหน่ง


รสชาติของการได้คุมอำนาจสมาคมร้านค้าของตลาดสวรรค์อีกครั้งไม่เลวเลย กลุ่มคนข้างล่างกำลังหัวเราะกระซิบกระซาบกัน หลังจากผู้จัดการร้านหูอวี้หยวนคุยกับคนข้างๆ ไปสักพัก ก็เอียงหน้าเหลือบมองด้านบน แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “หัวหน้าสมาคมโจว ทุกคนมากันครบแล้ว ทำไมท่านไม่พูดอะไรสักที มีเรื่องอะไรกันแน่?”


โจวหรานได้ยินแล้วดึงสติกลับมา นั่งตัวตรงแล้วถอนหายใจ “ทุกท่าน เรื่องาการทดสอบที่นรกเกิดหักมุมนิดหน่อย นายท่านที่อยู่เบื้องหลังพวกเราเกรงว่าจะไม่มีทางลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อได้อีกแล้ว”


ทุกคนได้ยินแล้วงงทันที หวงฝู่จวินโหรวรีบถามว่า “หมายความว่ายังไง?”


ดวงตาของทุกคนล้วนฉายแววสอบถาม ต่างก็รู้ว่าราชินีสวรรค์เป็นคนจัดการทดสอบในนรก ข่าวของตระกูลเซี่ยโห้วย่อมไวกว่าทุกคนอยู่แล้ว ในด้านนี้ต่อให้เป็นสมาคมวีรชนที่ได้ชื่อว่าข่าวไวก็เทียบไม่ติด


“เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ เพิ่งได้ข่าวมาจากนรก…” โจวหรานหยุดชะงัก เหมือนลำบากที่จะเอ่ยคำต่อไปออกมา


“หัวหน้าสมาคมโจว เกิดอะไรขึ้นท่านก็บอกมาสิ”


“ใช่ ทุกคนรออยู่นะ”


“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำมถึงลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้?”


กลุ่มคนพากันถามซักไซ้หลายปาก


โจวหรานถอนหายใจ สายตาไปหยุดอยู่ที่กรรมการคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างล่าง “ผู้จัดการร้านเถียน เจ้าต้องเตรียมทำใจไว้ให้ดีนะ  จาเหรินจวิ้น หลานชายนายหญิงเจ้าของร้านของเจ้าตายด้วยน้ำมือหนิวโหย่วเต๋อแล้ว”


ผู้จัดการร้านเถียนเฟิงฮ่าวที่นั่งอยู่ข้างล่างอ้าปากค้าง จากนั้นก็โบกมือซ้ำๆ “หัวหน้าสมาคมโจว ข่าวของเจ้าจริงหรือปลอม? เพื่อที่จะปกป้องนายน้อยจา นายหญิงร้านค้าส่งยอดฝีมือระดับผู้บัญชาการใหญ่ไปสี่คน เป็นนักพรตบงกชทองขั้นเก้าที่เชี่ยวชาญการรบทั้งหมด สู้กับหนิวโหย่วเต๋อไม่มีทางเสียเปรียบแน่”


โจวหรานถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข้ารู้ สี่คนนั้นมีเนี่ยกง ไก้อู๋ซวง หู่โพ่ ฮัวต้าหลาง แต่หนิวโหย่วเต๋อนั่นเหี้ยมหาญจริงๆ นายน้อยจาของเจ้ากระโดดออกไปท้าสู้คนแรก ผลก็คือโดนหนิวโหย่วเต๋อใช้ทวนปาดทีเดียวตายเลย จากนั้นสี่คนที่เจ้าบอกก็ระดมทัพห้าหมื่นกว่าคนมาล้อมโจมตีหนิวโหย่วเต๋อทันที ผลก็คือเนี่ยกง ไก้อู๋ซวงกับหู่โพ่ตายด้วยทวนของหนิวโหย่วเต๋อทั้งหมด แต่ฮัวต้าหลางหนีไว โชคดีเอาชีวิตรอดมาได้ ส่วนกำลังพลห้าหมื่นนั่นก็โดนหนิวโหย่วเต๋อบุกเดี่ยวโจมตีจนแตกกระเจิง โดนหนิวโหย่วเต๋อใช้ทวนฟันตายคาที่ไปสองพันกว่าคน ฆ่าจนคนหนีหัวซุกหัวซุน ศึกเดียวของหนิวโหย่วเต๋อทำให้ทัพใหญ่หนึ่งล้านสั่นสะเทือนแล้ว! เรื่องนี้ไม่ผิดพลาดแน่นอน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองชั่วยามก่อนหน้านี้เอง ได้รับการยืนยันแล้ว คาดว่าอีกไม่นานเจ้าคงได้รับข่าว ที่นี่แค่รู้เร็วกว่าเจ้าก้าวหนึ่งเท่านั้นเอง”


…………………………

บทที่ 1211 กฎระเบียบในครอบครัว


เมื่อเขากล่าวแบบนี้ ทุกคนก็ย่อมประหลาดใจสุดขีด


“หนิวโหย่วเต๋อใจกล้าขนาดนี้ได้ยังไง รู้ถึงผลที่ตามมาจากการฆ่านายน้อยจารึเปล่า?” เถียนเฟิงฮ่าวถามอย่างทำใจเชื่อได้ยาก


โจวหรานกล่าวว่า “เจ้าบ้านั่นจะให้เหตุผลปกติมาอ้างอิงได้ยังไง ศีรษะหลายพันใบที่โดนตัดอยู่นอกจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกยังอธิบายปัญหาไม่ได้อีกเหรอ? แล้วอีกอย่าง เขาโดนกดดันเป็นสุนัขกระโดดกำแพงแล้ว ยังมีอะไรที่ไม่กล้าทำอีก”


เถียนเฟิงฮ่าวยังไม่ทันได้ถามอะไรมาก หวงฝู่จวินโหรวก็แย่งถามต่อด้วยท่าทางสุดร้อนใจแล้ว “หัวหน้าสมาคมโจว ท่านบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวโจมตีกำลังพลห้าหมื่นจนแตกพ่ายเหรอ?”


“นั่นน่ะสิ! จะเป็นไปได้ยังไง” เถียนเฟิงฮ่าวกล่าว


ทุกคนทำสีหน้าเหมือนไม่เชื่อ


“เป็นไปได้ยังไงน่ะเหรอ? ยังมีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่านั้นอีก” โจวหรานถอนหายใจเบาๆ “ตีทัพห้าหมื่นแตกยังไม่เท่าไรหรอก ความโหดยังอยู่ตอนหลัง ซูลี่ที่พวกเราเอามาคุยเล่นเป็นเรื่องตลกกันก่อนหน้านี้ พวกเจ้าเดาสิว่าเป็นยังไง? เพื่อที่จะกำจัดสิ่งสกปรกในบ้านตัวเอง หนิวโหย่วเต๋อบุกเดี่ยวสังหารฝ่าเข้าไปในทัพใหญ่หนึ่งล้าน เอาชีวิตเขาได้อย่างง่ายดายเหมือนล้วงกระเป๋าหยิบของ ฆ่าซูลี่ทิ้งแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีกเก้าคนของจวนแม่ทัพภาคตงหัวตกใจจนหนีหัวซุกหัวซุน”


ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก เถียนเฟิงฮ่าวบอกว่า”หนิวโหย่วเต๋อกำเริบเสิบสานขนาดนี้ได้ยังไง อย่าบอกนะว่าในทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เข้าร่วมการทดสอบไม่มีใครออกหน้าจัดการเขา?”


โจวหรานตอบว่า “ก็มีคนอยากจะจัดการอยู่หรอกนะ แต่ที่สำคัญคือไม่มีใครจัดการไหว เขาลุยเดี่ยวโจมตีเข้าๆ ออกๆ อยู่ในทัพใหญ่หนึ่งล้าน ราวกับเข้าไปในที่ที่ไม่มีคน ไม่มีใครขัดขวางได้ ท้าทายทัพใหญ่หนึ่งล้านเพียงลำพัง โบกทวนตะโกนถามว่ามีใครจะกล้าสู้กับเขา จ้านหรูอี้อันดับหนึ่งที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งของการทดสอบครั้งก่อนไม่ยอมแพ้และรับคำท้า ปรากฏว่าสู้หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้ แค่ประมือกันท่าเดียวก็โดนหนิวโหย่วเต๋อโจมตีจนหายใจรวยรินเกือบตาย ถ้าไม่ใช่เพราะลูกน้องชิงแย่งตัวหนีไปก่อน จ้านหรูอี้จะยังมีชีวิตอยู่ได้ยังไง ส่วนหนิวโหย่วเต๋อก็ทิ้งคำพูดเอาไว้แล้วเดินจากไปอย่างไม่เกรงกลัวใคร องอาจห้าวหาญไร้ที่เปรียบ!”


เมื่อได้ยินโจวหรานพูดแบบนี้ คาดว่าโจวหรานก็คงไม่เอาเรื่องแบบนี้มาหลอกลวงพวกเขาเช่นกัน ทุกคนได้ยินแล้วสูดหายใจอย่างตกตะลึง คำพูดแดกดันถากถางที่ตลาดสวรรค์มีต่อหนิวโหย่วเต๋อ บวกกับควาสมงบเสงี่ยมของของหนิวโหย่วเต๋อในหลายปีมานี้ ทำให้ทุกคนแทบจะลืมไปแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อเคยเป็นผู้กล้าที่ได้อันดับหนึ่งมาก่อน ต่อให้จะรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อห้าวหาญมีพลัง แต่ก็นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะห้าวถึงขั้นนี้ สามารถลุยเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกในทัพใหญ่หนึ่งล้าน ถ้านี่คือเรื่องจริง ก็นับว่าองอาจห้าวหาญอย่างหาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้


อวี้ซวีเจินเหรินที่นั่งอยู่ตรงนั้นงุนงงประหลาดใจ ทำสีหน้าเหมือนเชื่อได้ยาก เมื่อนึกถึงเรื่องที่จะรับหนิวโหย่วเต๋อเป็นลูกศิษย์ในปีนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบทอดถอนใจ


ส่วนหวงฝู่จวินโหรวที่เปลี่ยนเป็นเงียบงันก็รู้สึกปลายปลื้มในใจอย่างบอกไม่ถูก มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่หวังให้ผู้ชายของตัวเองเป็นวีรบุรุษที่โดดเด่นแห่งยุค?


ถึงแม้ภูมิหลังของนางจะทำให้นางไม่กล้าประกาศถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเหมียวอี้ แต่นางก็ถือว่าตัวเองเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้ตั้งนานแล้ว และเห็นเหมียวอี้เป็นผู้ชายของตัวเองด้วย เท่าที่นางรู้ในตอนนี้ นางกับเหมียวอี้คือหนึ่งเดียวของกันและกัน ในใจนางถนอมและเห็นคุณค่าความสัมพันธ์แบบหลบซ่อนนี้มาก ถึงแม้เหมียวอี้มักจะปฏิบัติต่อนางแบบห่างเหินก็ไม่ใช่ ใกล้ชิดก็ไม่เชิง ถึงขั้นหลอกลวงนางเหมือนเป็นเรื่องเด็กเล่นด้วยซ้ำ แต่ความเร้าใจนี้ก็ทำให้นางรู้สึกถึงอกถึงใจเหมือนจะเป็นจะตาย ทำให้ชีวิตการฝึกตนที่เชื่องช้าของนางไม่เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างอีกต่อไป นางเฝ้าคอยมากว่าวันหนึ่งจะมีเงื่อนไขปัจจัยเหมาะสมจนนางกับเหมียวอี้สามารถบรรลุเป้าหมายได้


หลังจากเหมียวอี้หลอกนางแล้วแอบไปเข้าร่วมการทดสอบในนรก คนนอกก็ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของนางได้ นางทั้งวิตกกังวลทั้งโกรธแค้น แต่ตอนนี้พอได้รู้ว่าเหมียวอี้ผ่านด่านที่อันตรายที่สุดของการทดสอบไปได้อย่างราบรื่น ในใจก็ปลาบปลื้มจนอธิบายไม่ถูก ความกังวลกลัดกลุ้มที่อยู่ในใจก็ถูกกวาดหายไปหมด


สำหรับนางแล้ว เหมียวอี้มักสร้างความเร้าใจให้นางแบบไม่ซ้ำเดิมเสมอ


หลังจากทุกคนเงียบงันพูดไม่ออกไปสักพัก จู่ๆ โจวหรานก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อทำให้ทัพใหญ่หนึ่งล้านสั่นคลอนแล้ว ตอนที่ทัพใหญ่รวมตัวกันไม่มีใครกล้าสู้กับขา ตอนหลังก็คงจะไม่มีใครไปหาเรื่องเขาแล้ว เกรงว่าทุกคนจะต้องเตรียมตัวให้ดีในกรณีที่เขารอดชีวิตกลับมา”


“ยังนึกว่าหัวหน้าสมาคมโจวจะกังวลอะไร ที่แท้ก็กังวลเรื่องนี้นี่เอง” ผู้จัดการร้านหูอวี้หยวนกล่าวกลั้วหัวเราะ


“จะไม่กังวลได้ยังไง ข้าแอบขัดคำสั่ง ตั้งกฎของสมาคมร้านค้าแยกออกมาลับหลังเขา กลัวก็แต่เขาจะรอดชีวิตกลับมาแล้วมาคิดบัญชีกับพวกเราย้อนหลัง” โจวหรานกล่าว


หูอวี้หยวนส่ายหน้า “พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกหรอก การทดสอบที่นรกเพิ่งจะเริ่มต้น นอกเสียจากเขาจะอวดดีช่วงชิงอันดับดีๆ ในการทดสอบได้ แบบนั้นถึงจะรักษาตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ไว้ได้ แต่นรกคือสถานที่ที่จะไปอวดดีได้เหรอ? ถึงแม้ตอนนี้จะไม่รู้ว่าเขาทำให้ทัพใหญ่หนึ่งล้านหวาดกลัวได้ยังไง แต่นรกไม่ใช่ที่ที่จะไปโอหังอวดดีได้แน่นอน ยิ่งเขาอวดดีก็จะยิ่งตายไว ดังนั้นข้าก็หวังว่าเขาจะอวดดีนะ ในทางกลับกัน ถ้าเขาหลบอยู่ในนรกเพื่อปกป้องตัวเอง กลับมาโดยไม่มีผลงานอะไร มีหรือที่จะรักษาตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ได้? ตราบใดที่เขารักษาตำแหน่งอำนาจไว้ในมือไม่ได้ ต่อให้รอดชีวิตกลับมาได้ก็ยังตายสถานเดียว ยังกลัวจะไม่มีโอกาสเล่นงานเขาให้ตายอีกเหรอ? มิหนำซ้ำการทดสอบหนึ่งร้อยปีก็เพิ่งเริ่มต้น วันหลังยังอีกยาวไกล ทุกคนต้องตื่นตกใจไปเองด้วยเหรอ?”


“พูดถูก!”


“ใช่เลย!”


ทุกคนได้ยินแล้วพยักหน้าเห็นด้วย ชั่วขณะนั้นทุกคนรู้สึกผ่อนคลายอีกครั้ง แต่หวงฝู่จวินโหรวกับอวี้ซวีเจินเหรินรู้สึกจิตตกนิดหน่อย โดยเฉพาะหวงฝู่จวินโหรว ถ้าไม่ใช่เพราะถูกจำกัดด้วยภูมิหลัง นางก็อยากจะเล่นงานเจ้าพวกเวรนี่นั่งอยู่ตรงนี้ให้ตายจริงๆ


“ถึงแม้จะพูดอย่างนี้ก็เถอะ ทุกคนยังต้องพยายามติดต่อกับคนที่ทดสอบในนรกผ่านเครือข่ายของตัวเอง พยายามสังเกตทิศทางการเคลื่อนไหวของเจ้าเวรนั่น ถ้าเจ้านั่นสามารถรอดชีวิตกลับมาได้จริงๆ พวกเราจะได้เตรียมตัวได้สะดวก” โจวหรานกำชับทุกคน


ทุกคนพากันตอบรับ หลังจากประชุมเสร็จ ก็ยังไม่มีธุระเรื่องอื่น หลังจากแยกย้ายกันแล้วก็รีบกลับไปสืบเรื่องโจวหรานบอกว่าเป็นอย่างไรกันแน่ ทำไมถึงเกิดเรื่องที่ทัพใหญ่หนึ่งล้านต้านทานหนิวโหย่วเต๋อคนเดียวไม่ไหวได้ ไม่ใช่เพราะกังวลว่าโจวหรานจะหลอกพวกเขา เพียงแค่รู้สึกว่าเรื่องนี้เหลือเชื่อเกินไปหน่อย…


ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานาน เป็นเพราะคนที่เข้าร่วมการทดสอบมีเยอะเกินไป ทั้งยังมีระฆังดาราสำหรับติดต่อกันทางไกล มีบางคนได้ข่าวมาบ้างไม่มากก็น้อย หลังจากนั้นหนึ่งวัน เรื่องการทดสอบในนรกก็ค่อยๆ แพร่ไปที่ตลาดสวรรค์ ราวกับโยนหินลงน้ำแล้วเกิดระลอกคลื่นนับพัน


“…นายท่านฆ่าจาเหรินจวิ้นตายภายในทวนดียว จากนั้นอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวตีกองทัพห้าหมื่นแตกพ่าย…หลังจากฆ่าต่งอิ้งเกาตายตอนตั้งทัพประจันหน้ากัน ก็บุกเดี่ยวสังหารฝ่าเข้าไปในทัพใหญ่หนึ่งล้าน แล้วเลี้ยวสังหารกลับมาอีก ปลิดชีพซูลี่ท่ามกลางทัพใหญ่หนึ่งล้าน…จ้านหรูอี้ อันดับหนึ่งของการทดสอบครั้งก่อนนำทัพต่อสู้ แต่โดนนายท่านโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส บุกสังหารกำลังพลหลายแสนก็แพ้ยับเยินเช่นกัน…นายท่านองอาจห้าวหาญ ถือทวนบุกเดี่ยวฝ่าเข้าฝ่าออกอยู่ในทัพใหญ่หนึ่งล้าน ฆ่าตายไปหลายพันคนด้วยกำลังของตัวเองคนเดียว พูดทิ้งท้ายว่า ‘พวกหนูต่ำต้อย หนิวอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอับอาย’ แล้วจากไปอย่างไม่เกรงกลัวใคร…”


ที่ร้านโฉมเมฆา ช่างไม้กับช่างหินที่ไปสืบข่าวมาจากข้างนอกเรียกได้ว่าผลัดกันเล่าอย่างตื่นเต้นไม่หยุด เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเข้าสนามทดสอบอย่างละเอียด สำหรับความห้าวหาญองอาจของเหมียวอี้ ทั้งสองรู้สึกตกตะลึงจริงๆ ถึงขั้นปลาบปลื้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เมื่อติดตามอยู่กับคนแบบนี้ ไม่ว่าใครก็มีความมั่นใจในอนาคตทั้งนั้น


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ฟังจนสีหน้าสดชื่นร่าเริง สำหรับหญิงรับใช้ทั้งสอง ตั้งแต่อยู่กับเหมียวอี้มา นายท่านอย่างเหมียวอี้ก็ไม่เคยทำให้พวกนางผิดหวังเลย ในสายตาพวกนาง ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้เหมียวอี้ลำบากได้ เพียงแต่ความสง่างามยามเหมียวอี้ควบสัตว์พาหนะบุกเดี่ยวเข้าไปในทัพใหญ่หนึ่งล้านก็ยังทำให้ทั้งสอง神往ไม่หยุด ดวงตาแวววาวเป็นพิเศษ ดีใจจนออกนอกหน้า บรรยายอารมณ์ตื่นเต้นออกมาเป็นคำพูดไม่ได้


กลับเป็นอวิ๋นจือชิวที่นั่งสงบเยือกเย็นอยู่ในศาลา หลังจากฟังจบก็แค่ยิ้มบางๆ แล้วบอกว่า “รู้แล้ว พวกเจ้าไปสืบข่าวต่อ ถ้ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับนายท่านก็ให้มารายงานทันที”


“รับทราบ!” ช่างไม้กับช่างหินกล่าวขอตัว


ในศาลา อวิ๋นจือชิวติดไข่มุกและหยกที่มวยผม สวมชุดกระโปรงสีเขียวคราม กำลังนั่งจ้องบ่อน้ำนอกศาลาที่โดนลมพัดจนเป็นระลอกคลื่นอย่างเงียบๆ เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมฮูหยินได้ยินข่าวแล้วไม่ทำท่าทางดีใจเลยสักนิด นายท่านต่อสู้ชนะไม่ควรค่าแก่ความดีใจเหรอ?


ผ่านไปไม่นาน ระฆังดาราในกำไลเก็บสมบัติของอวินจือชิวก็สั่น พอได้ติดต่อกัน ถึงได้รู้ว่าจีเหม่ยลี่และพวกอนุภรรยามาถึงด้วยกันผ่านทางใต้ดินแล้ว ขอให้อวิ๋นจือชิวเปิดค่ายกลป้องกันของร้านโฉมเมฆาเพื่อปล่อยพวกนางเข้ามา


ไม่ต้องถามเลย อวิ๋นจือชิวรู้ว่าพวกนางมาเพราะเรื่องเหมียวอี้ ข่าวแพร่ไปที่ตลาดสวรรค์แล้ว ไม่มีเหตุผลที่พวกนางจะไม่ได้ยินข่าว


พอเปิดค่ายกลป้องกัน สองพี่น้องหลางหลางหวนหวน ฉินเวยเวย จีเหม่ยลี่ อวี้หนูเจียวและฝ่าอินก็เข้ามาด้วยกัน มาเข้ามาในศาลาก็ย่อตัวคำนับพร้อมกัน “ฮูหยิน!”


“อืม!” อวิ๋นจือชิวลุกขึ้น “ที่นี่ไม่สะดวกจะให้พวกเรารวมกลุ่มคุยกัน ไปชัยภูมิถ้ำสวรรค์เถอะ”


จากนั้นก็นำพวกนางขึ้นมาที่ห้องชั้นบน ก่อนจะเข้าประตู อวิ๋นจือชิวก็หันกลับมาบุ้ยปากไปทางห้องข้างๆ “เสวี่ยเอ๋อร์ ไปเรียกหงเฉินมา”


“เจ้าค่ะ!” เสวี่ยเอ๋อร์เอย่รับคำสั่งแล้วออกไป


ผ่านไปไม่นาน ในศาลายาวที่สร้างใหม่หลังจากโดนเฮยทั่นถล่ม อวิ๋นจือชิวนั่งลงที่หัวโต๊ะ แล้วยื่นมือไปทางซ้ายและขวา เชิญให้ทุกคนนั่งลงคุยกัน นอกจากนางที่นั่งบนเก้าอี้ตำแหน่งหลัก จีเหม่ยลี่และคนอื่นๆ ก็แยกกันนั่งตรงม้านั่งยาวที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวา


รอจนกระทั่งเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์นำน้ำชามาวางให้บรรดาหรูฮูหยิน อวิ๋นจือชิวถึงได้ถามว่า “น้องๆมาด้วยกันแบบนี้ มีเรื่องอะไรเหรอ?”


พวกนางมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ส่งสายตาบอกใบ้กัน คนนี้บอกให้คนนั้นพูด ก็นั้นก็บอกให้คนนี้พูด


เมื่อเห็นพวกนางลังเล อวิ๋นจือชิวก็จ้องฉินเวยเวยก่อน ถามว่า “เวยเวย หงเหมียน ลู่หลิ่วบาดเจ็บไม่เป็นไรมากใช่มั้ย?”


เมื่อได้ยินคำถามนี้ ฉินเวยเวยก็มองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ทำหน้านิ่งอยู่ข้างหลังอวิ๋นจือชิวอย่างอับอายนิดหน่อย แล้วตอบว่า “ไม่มีอะไรร้ายแรงค่ะ เป็นข้าเองที่อบรมไม่ดี เดี๋ยวกลับไปจะอบรมให้เข้มงวดขึ้นแน่นอน”


สาเหตุที่ถามตอบกันแบบนี้ ก็เป็นเพราะหงเหมียน ลู่หลิ่วอาศัยว่าตัวเองได้นอนร่วมห้องกับเหมียวอี้ กลายเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้แล้ว นอกจากจะเมินเฉยไม่เคารพฝ่าอิน พวกนางยังเห็นฝ่าอินมีประสีประสาโลก แอบบอกให้ฝ่าอินแอบคบชู้ ตอนแรกอวิ๋นจือชิวก็อึ้งกับคำพูดนอกลู่นอกทางของฝ่าอินเหมือนกัน ตอนหลังแปลกใจว่าฝ่าอินเอาคำพูดเหลวไหลไร้สาระพวกนี้มาจากไหน ไม่มีเหตุผลที่จะมีคนเอ่ยเรื่องแบบนี้ขึ้นมาต่อหน้าผู้หญิงส่งเดช จึงแอบสั่งให้พนักงานที่จับยัดเข้าไปในร้านค้าของฉินเวยเวยสืบ ตอนยังไม่สืบก็ยังไม่รู้ พอสืบแล้วถึงได้พบว่าเป็นแผนของหงเหมียนกับลู่หลิ่ว


อวิ๋นจือชิวเดือดดาลมาก ตัวเองเป็นคนดูแลเรื่องในบ้าน มีหรือที่จะยอมให้เรื่องสกปรกโสมมเกิดขึ้น ถ้าปล่อยไปโดยไม่สนใจ ก็อาจจะทำให้คนสงสัยว่านายหญิงอย่างนางมีความคิดสกปรกอะไรหรือเปล่า เดิมทีนางคิดจะลงโทษหงเหมียน ลู่หลิ่วด้วยตัวเอง ถึงขั้นจะเอาผิดฉินเวยเวยด้วยซ้ำ แต่เมื่อพิจารณาจากเหตุผลหลายๆ ด้านแล้ว นางก็ไม่ได้ออกหน้าด้วยตัวเอง


ดังนั้นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์จึงออกหน้าไปถามเอง เมื่อสองคนนี้ออกหน้า แม้แต่ฉินเวยเวยก็ไม่กล้ากำเริบเสิบสาน ถ้าจะพูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ อย่าว่าแต่ฉินเวยเวยเลย แม้แต่อวิ๋นจือชิวเองถ้าไม่มีเหตุผลมากพอก็ไม่กล้าไปแตะต้องเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ง่ายๆ เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางแก้ตัวกับเหมียวอี้ได้


ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนยุยงให้อนุภรรยาของนายท่านไปมีชู้และสวมเขานายท่าน แบบนี้ไม่แย่หรอกเหรอ เชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์ก็โมโหเหมือนกัน เรียกได้ว่าใช้กฎระเบียบในครอบครัวโดยตรงต่อหน้าฉินเวยเวย ตัดขาหงเหมียนกับลู่หลิ่ว ไม่ไว้หน้าฉินเวยเวยเลยสักนิด ตอนหลังหยางชิ่งให้ฉินเวยเวยพาหงเหมียนกับลู่หลิ่วไปคุกเข่าตบปากต่อหน้าอวิ๋นจือชิว จนกระทั่งอวิ๋นจือชิวเอ่ยปากว่าไม่เป็นไร เรื่องนี้ถึงได้นับว่าผ่านไปแล้ว


…………………………

บทที่ 1212 ใจคนเหมือนน้ำ


ฝ่าอินก็ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าไร เจ้าเพิ่งจะเข้าสู่ทางโลกไม่ใช่เหรอ? อวิ๋นจือชิวเขียน ‘ข้อปฏิบัติของภรรยา’ ฉบับหนึ่งด้วยตัวเองแล้วโยนให้ฝ่าอิน ให้นางเริ่มต้นจากสิ่งนี้ ให้นางท่องจำให้ขึ้นใจ จะได้เข้าใจว่าหลังจากแต่งงานแล้วมีอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ ดังนั้นฝ่าอินที่พูดจาเหลวไหลจึงถือ ‘ข้อปฏิบัติของภรรยา’ คุกเข่าอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์อย่างน่าสงสารสามวัน ภายใต้การอบอรมสั่งสอนที่ลึกซึ้ง ในที่สุดก็ทำให้นางเข้าใจแล้วว่าตัวเองทำเรื่องเหลวไหลไร้สาระ อะไรลงไป


และแน่นอน อนุภรรยาคนอื่นๆ ก็หยิบ ‘ข้อปฏิบัติของภรรยา’ ไปคนละฉบับเช่นกัน ในนั้นเขียนไว้แล้วว่าทำผิดดข้อไหนจะโดนลงโทษอะไร ให้พวกจีเหม่ยลี่เปรียบเทียบกันเอง เป็นกฎระเบียบหลังบ้านของตระกูลเหมียว กฎของบ้านนับว่าถูกตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว


ยิ่งผู้ชายของบ้านไม่อยู่ อวิ๋นจือชิวก็ยิ่งคิดว่าต้องควบคุมดูแลให้เข้มงวดกว่าเดิม


และตอนนี้ในที่สุดจีเหม่ยลี่ก็เอ่ยปากถามก่อน “ไม่ทราบว่าฮูหยินได้ยินข่าวอะไรมาบ้างหรือเปล่าคะ พวกเราได้ยินว่าหลังจากนายท่านเข้าไปในนรกแล้ว ก็บุกเดี่ยวสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้าน ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือเปล่า?”


หงเฉินที่โผล่หน้ามาไม่บ่อยก็งุนงงเช่นกัน ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงถามแบบนี้ นางยังไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น


“ก็ได้ยินมาบ้าง” อวิ๋นจือชิวถาม


“ฮูหยินเคยถามยืนยันความจริงจากนายท่านหรือเปล่าคะ?” จีเหม่ยลี่ถามอีก


หลังจากพวกนางได้ยินข่าว ก็ทั้งตกตะลึงทั้งดีใจ ต่างก็อยากจะติดต่อกับเหมียวอี้เพื่อยืนยันความจริง แต่จนใจที่ก่อนหน้านี้อวิ๋นจือชิวตั้งกฎขึ้นมาแล้ว และทุกคนก็ตอบตกลงว่าจะไม่ไปรบกวนเหมียวอี้ ไม่ทำให้เหมียวอี้เสียสมาธิ แต่ตอนนี้อดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่คนกลุ่มนี้โดนอวิ๋นจือชิวจัดการจนหมอบราบคาบแก้วมาตั้งแต่แรก ไม่กล้ามาหาอวิ๋นจือชิวคนเดียว ถึงได้นัดมาหาพร้อมกัน


ไม่ว่าก่อนหน้านี้ทุกคนจะกลายมาเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ด้วยเหตุผลอะไร แต่เมื่อเวลานานไปก็มีความห่วงใยบ้างไม่มากก็น้ย ภายใต้การซึมซับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว พวกนางก็ยอมรับตั้งนานแล้วว่าเหมียวอี้คืออีกครึ่งหนึ่งของชีวิตตัวเอง ในจุดนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้


ต่อให้ไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนสามีภรรยากันจริงๆ แต่บรรยากาศเชิงรักใคร่ของท่านขุนนางเหมียวกับจีเหม่ยลี่ก็ไม่ใช่เรื่องโกหก ตรงไหนที่ควรจะลวนลาม เหมียวอี้ก็ลวนลามหมดแล้ว การที่จีเหม่ยลี่ไม่ขัดขืนกับการที่เหมียวอี้โอบกอดนางก็อธิบายสิ่งนี้ได้แล้ว เหลือแค่เจาะกระดาษหน้าต่างชั้นสุดท้ายก็เท่านั้นเอง อวี้หนูเจียวก็ยิ่งสุดจะทน โดนเหมียวอี้เปลื้องผ้าหลายครั้ง เวลาเหมียวอี้ว่างงานก็จะชอบมาหยอกล้อนางเล่นที่สุด อวี้หนูเจียวก็แค่ปากแข็งเท่านั้นเอง หัวใจที่ไม่นึกเสียใจทีหลังได้ไปอยู่ที่ตัวเหมียวอีตั้งนานแล้ว เพียงแต่น่าแค้นที่ความฉลาดทางอารมณ์ต่ำเกินไปจนไม่เข้าใจความรัก


ต่อให้เป็นหงเฉิน ต่อให้นิสัยจะเย็นชากว่านี้ แต่คนเราไม่ใช่ต้นหญ้าตอไม้ที่จะไร้ความรู้สึก หลังจากนอนร่วมหมอนแล้วให้เกียรติกันเหมือนต้อนรับแขกที่มาเยือนได้ ก็นับว่าเป็นใตรีจิตอย่างหนึ่งเหมือนกัน


สองพี่น้องหลางหลางหวนหวนกับฉินเวยเวยก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว


กลับเป็นฝ่าอินที่เยือกเย็นจริงๆ ปฏิบัติต่อเหมียวอี้ด้วยท่าทีที่อยากตามหาสัจธรรมของชีวิตมาตลอด สิ่งที่เรียกว่าความรักระหว่างชายหญิงไม่ทำให้นางสะทกสะท้าน คุยกับนางเรื่องนี้เหมือนเป็นการดีดฉินให้ควายฟังแท้ๆ แต่ผู้หญิงคนนี้ก็เรียกได้ว่าไร้พิษภัย


แต่ทางฉางเหลยได้กำชับมาแล้ว นางก็ยังเชื่อฟัง ดังนั้นจึงมากับทุกคนและให้ความสนใจเหมียวอี้อยู่ตลอด


อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ได้ติดต่อกับนายท่าน” เรื่องที่นางขอให้ทุกคนทำ ตัวเองก็ต้องทำให้ได้เหมือนกัน


เหล่าอนุภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วจีเหม่ยลี่ก็บอกว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย ฮูหยินไม่ต้องยึดกฎตายตัวก็ได้ค่ะ ทำไมไม่ต้องติดต่อดูสักหน่อยคะ”


อวิ๋นจือชิวมองไปที่ผู้หญิงคนอื่นๆ พวกนางทยอยกันพยักหน้า ทุกคนทำสายตาขอร้อง


อวิ๋นจือชิวเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้


เหมียวอี้ที่โดนหวงฝู่จวินโหรวรบกวนและยังไม่ได้จัดการถามกลับมาว่า : ฮูหยินมีอะไรเหรอ?


เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้สามารถตอบกลับได้ทันเวลาตามปกติ อวิ๋นจือชิวก็วางใจขึ้นหลายส่วน ถามว่า : หนิวเอ้อร์ ได้ยินว่าเจ้าสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เข้าร่วมการทดสอบเหรอ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?


เหมียวอี้ : เจอกับพวกไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา[1] ข้าจะเป็นอะไรได้ยังไง วางใจได้ไม่เป็นอะไร


หัลงจากแน่ใจแล้วว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้นจริงๆ อวิ๋นจือชิวกลับรู้สึกเหมือนหัวใจดิ่งวูบ ทัพใหญ่หนึ่งล้านใช่เรื่องเล่นๆ เสียที่ไหน นางไม่คิดว่าอาศัยของวิเศษไม่กี่ชิ้นที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้จะสามารถรับมือตรงๆ ได้ เจ้ามีของวิเศษ แต่คนอื่นจะไม่มีบ้างเชียวเหรอ? จากข่าวลือที่บอกว่าเหมียวอี้โดนธนูของต่งอิ้งเกาทีเดียวแล้วล้มก็แน่ใจแล้วว่าไม่ธรรมดาแน่นอน


ยิ่งเขาพูดอย่างสบายใจเท่าไร อวิ๋นจือชิวกลับยิ่งแน่ใจว่าเหมียวอี้กำลังปลอบใจให้นางคลายกังวล ที่จริงไม่ได้สบายขนาดนั้นแน่นอน


แต่ตอนนี้นางก็ไม่ได้พัวพันกับเรื่องนี้อีก บอกเพียงว่า : พวกฉินเวยเวยได้ยินข่าวลือกันหมดแล้ว เป็นห่วงเจ้ามาก พวกนางมาถามต่อหน้าข้าแล้ว ถ้าเจ้าสะดวกก็บอกพวกนางตอนนี้เลย พวกนางจะได้ไม่เป็นกังวล


เหมียวอี้ตอบว่า : ได้!


ผ่านไปไม่นาน ระฆังดาราบนตัวพวกฉินเวยเวยก็มีปฏิกิริยา เหมียวอี้บอกพวกนางทีละคนว่าตอนนี้ตัวเองปลอดภัยมาก ยังมีชีวิตอยู่อย่างสบายดี บอกให้พวกนางไม่ต้องเป็นห่วง


หลังจากแน่ใจแล้วว่าเหมียวอี้สบายดี พวกนางถึงได้ถอนหายใจ


รอจนกระทั่งพวกอนุภรรยาออกไปแล้ว หลังจากเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ไปส่งพวกนางแล้วกลับมา ก็พบว่าอวิ๋นจือชิวกำลังยืนพิงรั้วและกักริมฝีปากแน่น บนใบหน้างามมีน้ำตาใสสองสาย สองสาวจึงถามอย่างตกใจมากว่า “ฮูหยิน เป็นอะไรเจ้าคะ หรือว่าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นกับนายท่าน?”


บนใบหน้าอวิ๋นจือชิวเต็มไปด้วยความโกรธแค้นโศกเศร้า นางกัดฟันพูดอย่างแค้นใจว่า “ทัพใหญ่หนึ่งล้านแค่ต้องการจะเล่นงานสามีของข้าคนเดียวให้ถึงตาย ทำไมถึงโหดร้ายน่ากลัวขนาดนี้ ไม่เหลือหนทางรอดให้กันเลย! คนในโลกนี้สมควรตายให้หมด ข้าแค้นมาก! ข้าแค้นมาก…”


หอกลิ่นสวรรค์ หลังขอบหน้าต่างบานหนึ่ง ผ้ามุ้งขาวกระเพื่อมเบาๆ ‘แม่และลูกสาว’ ที่ยืนอยู่หลังผ้าม่านสีขาวกำลังมองดูเกี้ยวหลังหนึ่งถูกยกขึ้นและจากไปตรงริมถนน หวงฝู่จวินโหรวที่มาหาเมื่อครู่นี้ออกไปแล้ว


ขณะมองส่งเกี้ยวหลังนั้นจากไป เสวี่ยหลิงหลงยังนึกถึงสิ่งที่คุยกันเมื่อครู่นี้ อดไม่ได้ที่จะกล่าวชม “คนหนึ่งคนสามารถสังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านได้ นึกไม่ถึงว่าผู้บัญชาการใหญ่จะร้ายกาจขนาดนี้!”


ท่านแม่สวีถอนหายใจแล้วบอกว่า “ใช่แล้ว! เด็กหนุ่มร้านข้างๆ ที่มักจะมาดื่มน้ำชากับพวกเราบ่อยๆ ตอนนี้ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าแล้วจริงๆ! ถ้าสามารถรอดชีวิตกลับมาจากการทดสอบครั้งนี้ได้ เกรงว่าคงจะมีอนาคตยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด มีชื่อเสียงกับความสามารถเป็นพื้นฐาน ผ่านไปสักระยะอาจจะได้นั่งตำแหน่งหัวหน้าภาคของตลาดสวรรค์ก็ได้”


เสวี่ยหลิงหลงพยักหน้าเบาๆ “ผู้บัญชาการใหญ่หนิวเป็นคนดี หวังว่าจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย”


แต่ใครจะคาดคิด จู่ๆ ท่านแม่สวีก็ถามว่า “หลิงหลง เจ้าเคยพิจารณาผู้บัญชาการใหญ่หนิวบ้างรึเปล่า?”


เสวี่ยหลิงหลงไม่เข้าใจ ยังคิดตามไม่ทันไปชั่วขณะ จึงถามอย่างแปลกใจว่า “พิจารณาอะไร?”


ท่านแม่สวีจ้องนางพลางบอกว่า “เจ้าเบื่อหน่ายอาชีพนี้แล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าหนิวโหย่วเต๋อกลับมาได้อย่างปลอดภัย อนาคตก็น่าเฝ้าคอย ถ้าเจ้าเต็มใจ ข้าจะลองเป็นแม่สื่อให้ได้นะ แต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อถือว่าเป็นที่พักพิงที่ไม่แย่สำหรับเจ้าเลย”


ใบหน้างามของเสวี่ยหลิงหลงแดงเรื่อ “ข้าเป็นแค่คนเต้นกินรำกิน ผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะชอบข้าได้ยังไง ถ้าเขากลับมาได้จะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าแน่นอน แต่งงานกับคนเต้นกินรำกินอย่างข้าจะไม่ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะหรอกเหรอ”


เห็นนางไม่ปฏิเสธ ชัดเจนว่ามีความรู้สึกดีต่อหนิวโหย่วเต๋อ อย่างน้อยก็ไม่มีความประทับใจที่ไม่ดี ไม่ปฏิเสธที่จะแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อ ท่านแม่สวีตาเป็นประกายทันที หัวเราะคิกคักพร้อมบอกว่า “นั่นก็ไม่แน่แล้ว ขนาดผู้หญิงมีสามีแล้วอย่างเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆา หนิวโหย่วเต๋อยังไม่ถือสาอะไรเลย แล้วเขาจะถือสาพื้นเพของเจ้าได้ยังไง แล้วถ้าพูดถึงหน้าตาความสวย เจ้าก็ไม่มีตรงไหนด้อยกว่าเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆาเลย แถมเจ้ายังมีร่างกายที่บริสุทธิ์ แค่อาศัยแค่จุดนี้อย่างเดียว เจ้าก็เหนือกว่าอวิ๋นจือชิวนั่นเป็นร้อยเป็นพันเท่าแล้ว หลิงหลง ขอเพียงเจ้าตอบตกลงเรื่องนี้ เพื่อที่จะหาที่พักพิงที่ดีให้เจ้า ท่านแม่จะลองพยายามสุดความสามารถ ถ้าคำพูดข้ายังไม่มีน้ำหนักมากพอ ก็จะขอให้หวงฝู่จวินโหรวออกหน้าเป็นแม่สื่อให้ ยังไงก็จะหาทางช่วยให้เจ้าสมหวังให้ได้ เจ้าคิดว่ายังไง?”


เสวี่ยหลิงหลงกล่าวอย่างขวยอายว่า “ท่านแม่พูดเรื่องตลกแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะชอบข้า อาศัยฐานะตำแหน่งอย่างเขาอยากจะหาผู้หญิงยังไงก็ได้” พูดจบก็หันตัวเดินจากไป


ท่านแม่สวียื่นมือไปคว้าแขนนางเอาไว้ “หลิงหลง จะพลาดโอกาสไม่ได้นะ ผ่านแล้วผ่านเลย! ท่านแม่ต้อนรับขับสู้อยู่ระหว่างพวกที่มีอำนาจมาหลายปี เชื่อสายตาท่านแม่เถอะ ต่อให้คะแนนการทดสอบครั้งนี้จะสู้คนอื่นไม่ได้ แต่ก็จะมีคนมองเห็นความสำคัญของเขาอยู่ดี จะมีบุคคลสำคัญเบื้องบนนิยมชมชอบเขา พวกคนชั่วขัดขวางอนาคตของเขาไม่ได้หรอก อนาคตถูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว หลิงหลง เจ้าต้องพิจารณาให้ดีนะ ถ้าอยากจะเดิมพันก็ต้องฉวยโอกาสแต่เนิ่นๆ ถ้ารอให้เปิดกระดาน รอให้เขาโบยบินขึ้นสูงแล้วค่อยลงมือ แบบนั้นอาจจะทำให้คนดูถูก ดีไม่ดีอาจจะกลับตาลปัตร ฉวยโอกาสตอนที่เขามีศัตรูเยอะและไม่มีใครชอบเขา เริ่มลงมือตอนที่ยังไม่ได้กางปีกบินสูง แบบนี้ต่างหากที่เป็นหลักการที่ถูกต้อง จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด”


เสวี่ยหลิงหลงไม่แม้แต่จะชักมือกลับด้วยซ้ำ กล่าสอย่างจนใจว่า “ท่านแม่ มาพูดเรื่องนี้ในตอนนี้เร็วไปหน่อยหรือเปล่าคะ นรกอันตรายมาก ถ้ามีเรื่องอะไรก็รอให้การทดสอบจบก่อนแล้วค่อบว่ากัน”


ท่านแม่สวีกล่าวกลั้วหัวเราะทันที “งันก็แปลวว่าเจ้าตอบตกลงแล้ว! ดี! พวกเรามารอให้การทดสอบจบ ตราบใดที่เขารอดชีวิตกลับมาได้ ท่านแม่จะช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้ทันที ท่านแม่ไม่เชื่อหรอกว่าอาศัยความสวยอย่างหลิงหลงของเราแล้วจะมีผู้ชายคนไหนอดทนไม่หวั่นไหวได้ นิสัยของผู้ชายตัวเหม็นพวกนั้น ท่านแม่รู้จักดีจะตาย ถ้าพวกเราเป็นฝ่ายรุกไปหาก่อน โอกาสสำเร็จก็มีเก้าในสิบ เจ้ารอเป็นหนิวฮูหยินก็แล้วกัน”


“ท่านแม่!” เสวี่ยหลิงหลงสะดีดสะดิ้ง ชักมือกลับออกมา แล้วลนลานหนีไปด้วยสีหน้าเขินอาย


ส่วนท่านแม่สวีก็ทำสีหน้าร่าเริง ถ้าเปลี่ยนเป็นก่อนหน้านี้ นางไม่มีทางตอบตกลงให้เสวี่ยหลิงหลงแต่งงานกับเหมียวอี้แน่นอน ตอนนั้นตำแหน่งของเหมียวอี้ยังไม่มันคง ทั้งยังมีอนาคตไม่แน่นอนเพราะล่วงเกินคนอื่นไว้เยอะ แถมนางยังคบค้ากับพวกชนชั้นสูงมาหลายปี แค่ผู้บัญชาการใหญ่กระจอกๆ คนเดียวนางไม่ชายตาแลเลยจริงๆ แต่ตอนนี้เหมียวอี้ต่อสู้ศึกเดียวจนโด่งดัง อนาคตน่าจับตามอง กลายเป็นเป้าหมายที่ดีสำหรับการขายของตอนราคาขึ้น กอปรกับภาพลักษณ์ของของเหมียวอี้ที่ไม่สนใจพื้นเพภูมิหลังของผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ขอเพียงสามารถดันเสวี่ยหลิงหลงขึ้นเป็นภรรยาเอกของเหมียวอี้ได้ อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเสวี่ยหลิงหลง ชีวิตในครึ่งหลังของนางก็นับว่ามีที่พึ่งพิงแล้ว ถ้าทำได้แค่ส่งเสวี่ยหลิงหลงไปเป็นอนุภรรยาของคนอื่น นางก็ไม่ค่อยสมัครใจสักเท่าไร ไม่อย่างนั้นเสวี่ยหลิงหลงคงไม่โสดมาถึงทุกวันนี้หรอก


ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ถ้าเหมียวอี้ไม่ประสบความสำเร็จ ท่านแม่สวีก็ไม่มีทางพิจารณาเรื่องนี้เลย เมื่อได้เห็นอนาคตของเหมียวอี้ ถึงได้เป็นฝ่ายเสนอให้ก่อน ที่จริงนางก็ไม่ใช่คนเลว แต่ว่าเห็นความเปลี่ยนแปลงของน้ำใจคนมาจนชินแล้ว โลกนี้ไร้ซึ่งน้ำใจต่อกัน เวลาที่ควรจะประจบเอาใจผู้มีอำนาจ นางก็จะเลอะเลือนไม่ได้เหมือนกัน


“เด็กดี! สังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน อาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวแต่ฆ่าได้หลายพันคน ความเด็ดเดี่ยวห้าวหาญของผู้บัญชาการใหญ่ไม่เคยทำให้ข้าน้อยผิดหวัง! จ้านหรูอี้นั่นก็ไม่หัดส่องกระจกดูซะบ้าง ช่างกล้าท้าทายผู้บัญชาการใหญ่ นับว่านางดวงแข็ง…”


ณ จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก สวีถังหรานที่แน่ใจข่าวลือแล้วกำลังกระโดดโลดเต้นดีใจอยู่ในโถงหลัก ข่าวนี้ทำให้เขาดีใจสุดๆ อนาคตของเขาขึ้นอยู่กับเหมียวอี้ ย่อมหวังให้เหมียวอี้กลับมาอย่างปลอดภัยอยู่แล้ว การแสดงความสามารถอันน่าตกตะลึงของเหมียวอี้ได้ให้ความมั่นใจกับเขาเยอะมาก


“ไป! มีข่าวอะไรอีกก็รีบมาบอกข้าให้ทันเวลา”


พอโบกมือไล่หวงเสี้ยวเทียนที่ช่วยสืบข่าวออกไปแล้ว สวีถังหรานก็รีบออกไปเช่นกัน เตรียมจะไปคุยกับฝูชิงสักหน่อย แต่เพิ่งจะออกจากประตูใหญ่ของลานบ้านไป เขาก็หยุดฝีเท้าอีก ขณะที่ครุ่นคิดก็ส่ายหน้าเบาๆ พักหนึ่ง


ก่อนหน้านี้เขามักจะไปหาพวกฝูชิงบ่อยๆ เพราะอยากจะดูว่าทางนั้นเตรียมทางหนีทีไล่อะไรไว้รึเปล่า ตัวเองจะได้จัดการเรื่องต่างๆ ได้สะดวก ตอนนี้เมื่อได้รู้ถึงความองอาจห้าวหาญของผู้บัญชาการใหญ่ ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสกลับมา ถ้าไปถามอีกว่ามีทางหนีทีไล่อะไร หากข่าวแพร่ออกไปคงจะไม่ใช่เรื่องดี ดูแนวโน้มการทดสอบของผู้บัญชาการใหญ่อย่างเงียบๆ ก็พอแล้ว ถึงได้เอามือไขว้หลังเดินเลี้ยวกลับไป วันนี้อารมณ์ดีไม่เบา


ส่วนทางด้านฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ ช่วงนี้ก็กดดันไม่น้อยเช่นกัน สาเหตุหลักเป็นเพราะพวกลูกน้องทยอยกันมาโน้มน้าวให้คุณชายรองและคุณชายสามเตรียมวางแผนเพื่อระยะยาว แต่ทั้งสองก็ไม่สะดวกจะบอกพวกลูกน้องว่าเหมียวอี้เตรียมแผนอีกอย่างหนึ่งไว้ เหมือนมีความั่นใจมากว่าจะรอดชีวิตกลับมาได้ พวกเขาจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม กลัวว่าพูดมากไปจะทำให้เสียเรื่อง ตอนนี้ข่าวที่เหมียวอี้โจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านแพร่ออกไปอย่างครึกโครม ทำให้พวกลูกน้องสงบลงทันที ต่างก็คอยเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงเงียบๆ อย่างมีความอดทน


ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น บนแท่นสังเกตการณ์ของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือที่สามารถมองเห็นชีวิตมนุษย์อันเจริญรุ่งเรืองได้ มู่หรงซิงหัวเอามือไขว้หลังยืนอยู่ลำพัง นางพิงระเบียงพลางทอดสายตามอง กระโปรงยาวที่ปลิวอยู่ท่ามกลางสายลมเผยให้เห็นเรื่องร่างอ่อนช้อยงดงาม ใบหน้างามพริ้งถูกอาบด้วยแสงแดดสีทอง แต่ก็ยากที่จะปิดบังอารมณ์สับสนบนใบหน้านางได้ แพขนตายาวขยับเล็กน้อย จู่ๆ ก็ใช้มืออันเรียวงามตบที่ระเบียงพลางถอนหายใจเบาๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความขื่นขม เหมือนในใจมีจุดวกวนนับร้อยพันที่พูดออกมาไม่หมด…


…………………………


[1] ไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา 土鸡瓦狗 อุปมาว่าอ่อนแอแตกหักง่าย

บทที่ 1213 หนิวโหย่วเต๋อกำลังไว้หน้าข้า


เมื่อได้รู้ข่าวการทดสอบที่นรก ผู้บัญชาการทั้งสี่เขตเมืองก็เป็นฝ่ายติดต่อเหมียวอี้ก่อน มีเพียงมู่หรงซิงหัวที่ติดต่อเหมียวอี้ไม่ได้


มู่หรงซิงหัวไปหาฝูชิง อิงอู๋ตี๋และสวีถังหรานเพื่อถามสถานการณ์ แต่ทั้งสามต่างก็โกหก แต่ละคนบอกว่าติดต่อเหมียวอี้ไม่ได้เลย ที่จริงทั้งสามต่างก็ได้รับการเสนอแนะจากเหมียวอี้ ว่าให้มีท่าทีสงบเสงี่ยมกับสมาคมร้านค้าต่อไป สำหรับปัญหาทุกอย่าง รอให้เขากลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน


ประสบการณ์อันแสนสาหัสของมู่หรงซิงหัวได้ทำให้นางกลายเป็นผู้หญิงที่ไวต่อความรู้สึกแล้ว พอจะสังเกตอะไรบางอย่างได้จากท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านของทั้งสามคน ในเมื่อทั้งสามไม่อยากพูด นางก็จะไม่ถามมากเช่นกัน สรุปก็คือถ้าเขตเมืองตะวันออก ตะวันตกและใต้ทำอะไร เขตเมืองเหนือของนางก็จะทำอย่างนั้นเหมือนกัน…


กลุ่มดาวเคราะห์สีฟ้าอยู่ตรงหน้าแล้ว มองจากไกลๆ ก็เห็นถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของมันได้ ผลึกสีฟ้าสวยวิจิตรตระการตาระยิบระยับอยู่ในดาราจักร


ชื่อเสียงอันโด่งดังของนรกทำให้เหมียวอี้ต้องคอยระแวดระวังตลอดทาง ระหว่างทางไขว้เขวไปบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ แผนที่ใช้ไม่ได้ผลกับสถานที่บ้าๆ นี้ จึงใช้ระฆังดาราติดต่อกับพวกอวิ๋นอ้าวเทียนไว้ตลอด


พอเขาเข้าใกล้น่านฟ้าผืนนี้ ข้างหน้าก็มีคนห้าคนเหาะมาทันที ไม่ใช่ใครที่ไหน ห้าปราชญ์มาต้อนรับด้วยตัวเอง


เมื่อทั้งสองฝ่ายพบหน้ากัน ห้าปราชญ์ก็มองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า เมื่อเห็นทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยเลือดไม่เว้นแม้แต่สัตว์พาหนะ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสบตากันแวบหนึ่ง ทั้งห้าได้ข่าวมาจากบรรดาอนุภรรยาของเหมียวอี้แล้ว ว่าเหมียวอี้ฝ่าเข้าฝ่าออกสังหารอยู่ในทัพใหญ่หนึ่งล้าน พอเห็นสภาพของเหมียวอี้ในตอนนี้ ก็พบว่าเป็นอย่างที่คาดไว้


ถึงแม้ในใจจะรู้สึกตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าวันนี้เหมียวอี้จะมีศักยภาพมากขนาดนี้ แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น


จีฮวนหัวเราะเสียงดังคนแรก แล้วกุมหมัดคารวะด้วยท่าทางอบอุ่นเป็นมิตรมาก “เหมียวอี้ พวกเราห้าคนรอคอยเจ้าด้วยความเคารพมานานแล้วนะ พอไม่เจอกันตรงทางเข้านรก ก็เลยตั้งใจมาต้อนรับด้วยกัน”


เหมียวอื้ที่อยู่บนตัวเฮยทั่นกลับรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่ทั้งห้าโผล่หน้ามารับพร้อมกัน เป็นครั้งแรกที่พบว่าทั้งห้าไว้หน้าตนขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดวนเวียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ เขากวาดมองรอบวง สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ตัวมู่ฝานจวิน แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “เย่เหยาไปไหนแล้ว?”


“เยว่เหยาไม่ได้เข้ามาในนรก นางไปซ่อนตัวอยู่ที่อื่นแล้ว” มู่ฝานจวินตอบเสียงเรียบ


“ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเยว่เหยา ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” เหมียวอี้เตือน


มู่ฝานจวินทำสีหน้านิ่งเฉย ทำท่าเหมือนไม่รับปากแต่ก็ไม่ปฏิเสธ


เหมียวอี้หันกลับมากวาดสายตามองทั้งห้าอีก แล้วแสยะยิ้มบอกว่า “พวกเจ้าห้าคนใจกล้าไม่เบาเลยนะ ขนาดผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ยังกล้าดักฆ่า แถมตอนนี้ยังวางกับดักข้าอีก พวกเจ้าพอใจแล้วใช่มั้ย?”


“อามิตตาพุทธ!” ฉางเหลยประนมมือพลางยิ้มแข็งๆ “พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นแบบนี้ เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว มาพูดถึงตอนนี้ก็ไม่มีความหมาย แล้วอีกอย่างนะ ข้าก็ยกศิษย์รักให้นอนกับเจ้าแล้ว เจ้ายังจะคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเราทำไมอีก”


นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนออกบวชควรจะพูดเลยจริงๆ แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ในสายตาของคนที่พิภพเล็ก หกปราชญ์เป็นประเภทที่สูงส่งเป็นพิเศษ ให้ความรู้สึกสูงส่งเยือกเย็น คิดว่าคนประเภทนี้จะต้องพูดตาเฉียบคมล้ำค่าแน่นอน คนที่คิดแบบนี้ได้แสดงว่าระดับและฐานะของพวกเขาไม่สามารถสัมผัสกับหกปราชญ์ได้ ตอนนี้ที่ฉางเหลยสามารถพูดแบบนี้กับเหมียวอี้ได้ ก็แสดงว่าเหมียวอี้มีคุณสมบัติที่จะอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาแล้ว การพูดจาย่อมเป็น ‘ภาษาคน’ ที่มนุษย์ทั่วไปเข้าใจได้ง่าย


คนประหลาดอย่างฝ่าอินน่ะเหรอ? เหมียวอี้กลอกตามองบน นอกจากตอนไขว้มือดื่มสุราที่ได้สัมผัสมือฝ่าอิน เวลาอื่นเขาก็ไม่ได้แตะต้องฝ่าอินแม้แต่ปลายนิ้วด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเคยนอนกับฝ่าอินเลย ทว่าเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องพูดต่อหน้าคนนอก


ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ เหมียวอี้เปลี่ยนเด็นถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยในใจมาตลอด “พวกเจ้ารู้จักทางเข้าออกอีกทางของนรกได้ยังไง?”


ทั้งห้าสบตากันแวบหนึ่ง เทพพยากรณ์สั่งไว้แล้วว่าห้ามบอกเหมียวอี้ ตอนนี้ทั้งห้าเรียกได้ว่านับถือเทพพยากรณ์จากใจแล้ว ย่อมไม่ฝ่าฝืนคำสั่งของอีกฝ่าย จีฮวนหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “พวกเราจะไปรู้ทางเข้าออกนรกได้ยังไง เป็นเพราะหมดหนทางหนีเลยบังเอิญพบก็เท่านั้นเอง ตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่จะมาคุยกัน จะโดนคนพบเอาง่ายๆ ไปค่อยๆ คุยกันตรงที่พักเถอะ”


เหมียวอี้เก็บสัตว์พาหนะ แล้วเหาะไปที่ดาวเคราะห์สีฟ้าดวงหนึ่งพร้อมกับพวกเขา พอเหยียบลงพื้นถึงได้พบว่าเป็นเกาะแห่งหนึ่ง ดาวเคราะห์ทั้งดวงนี้แทบจะจมอยู่ในมหาสมุทร มีเพียงเกาะโผล่ออกมาหร็อมแหรมที่ผิวทะเล


เป็นเพราะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เกินไป ทั้งดาวเคราะห์จึงมืดสลัว


ลูกๆ และลูกศิษย์ที่ติดตามห้าปราชญ์ล้วนพักอยู่ที่นี่ พอเจอหน้ากัน เหมียวอี้ก็พยักหน้าทักทายอันหรูอวี้ก่อน


ส่วนอันหรูอวี้ก็เป็นฝ่ายก้าวขึ้นมาก่อนเช่นกัน “รู้ว่าเจ้าจะมา ก็เลยเตรียมห้องถ้ำที่เป็นที่พักไว้ให้เจ้าแล้ว”


ท่ามกลางสายตาของทุกคน เหมียวอี้ตามอันหรูอวี้ไปที่ห้องถ้ำบนเกาะแล้ว แค่มองก็รู้ว่าเพิ่งขุดขึ้นใหม่ ถึงแม้จะเล็กแต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน


เมื่อตรวจดูสภาพแวดล้อมในห้องถ้ำครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็ยิ้มเจื่อนในใจ สงสัยแม่ยายท่านนี้จะสิ้นเปลืองความคิดไปมากเพื่อจัดแต่งออกมา


“เรื่องปล้นฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนเป็นยังไงกันแน่?” จู่ๆ เหมียวอี้ก็แอบถ่ายทอดเสียงถาม


คำถามนี้ทำให้อันหรูอวี้มีสีหน้าลังเลสับสนทันที ถ้าไม่บอกก็กลัวว่าเหมียวอี้จะไม่พอใจแล้วส่งผลกระทบถึงลูกสาวทั้งสองของนาง อยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ได้ เพราะมู่ฝานจวินสั่งเอาไว้แล้ว ว่าห้ามใครเปิดเผยที่มาที่ไปของการปล้นครั้งนั้นให้เหมียวอี้รู้เด็ดขาด


“ในเมื่อไม่สะดวกจะพูด งั้นก็ช่างเถอะ” เหมียวอี้ยิ้มอ่อน ไม่ทำให้แม่ยายจอมเอาเปรียบคนนี้ลำบากใจเหมือนกัน


อันหรูอวี้โล่งอก แล้วรีบเปลี่ยนประเด็นทันที “ดูสิ่งสกปรกบนตัวเจ้าสิ ข้าจะไปเตรียมน้ำร้อนให้อาบ”


“ไว้เดี๋ยวค่อยคุยกัน” เหมียวอี้โบกมือ หันตัวเดินออกมาจากห้องถ้ำโดยให้อันหรูอวี้อยู่ที่นี่ต่อ เดินไปที่ริมทะเลเพียงลำพัง พอเดินไปได้ครึ่งทางก็พบส่าข้างหลังมีคนเพิ่มขึ้นมา เป็นพวกอวิ๋นอ้าวเทียนนั่นเอง


พอเดินไปได้สักระยะ เหมียวอี้ก็ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ หันตัวกลับมาถามว่า “พวกเจ้าสามคนจะตามข้าทำไม?”


ฉางเหลยตอบกลั้วหัวเราะว่า “พวกเราปรึกษากันแล้ว สถานที่อันตรายแบบนี้ถ้าไม่รวมกลุ่มกันไว้คงไม่ได้หรอก ในเมื่อจะรวมกลุ่มกันแล้ว ก็ต้องมีหัวหน้าสักคนสิ งูไร้หัวก็เลื้อยไม่ได้น่ะสิ พวกเราตัดสินใจแล้ว ตั้งแต่นี้ไปในบรรดาพวกเราหกคนมีเจ้าเป็นหัวหน้า”


“อุบ!” เหมียวอี้หลุดขำ ห้าปราชญ์เป็นใคร พูดจาประหลาดเหมือนผีโผล่แบบนี้ มีแต่ผีเท่านั้นแหละที่เชื่อ เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจ หันตัวเดินต่อไป


ห้าปราชญ์มองหน้ากันเลิกลั่ก เขาเองก็รู้สึกว่าถ้าเปลี่ยนเป็นพวกเขาก็คงไม่เชื่อคำพูดแบบนี้เหมือนกัน


แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะคำทำนายของเทพพยากรณ์แม่นแล้วแม่นอีก ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะพูดออกมาได้ว่าจะให้เหมียวอี้เป็นหัวหน้า


ยังไม่ถอดเกราะรบบนตัวออก เหมียวอี้นั่งลงริมทะเล เริ่มจัดระเบียบของที่เก็บยึดได้หลังจากศึกใหญ่ อันหรูอวี้ให้เขาอาบน้ำ แต่บนตัวเขาใส่ศพไว้กองใหญ่ จะไปมีอารมณ์อาบน้ำได้อย่างไรกัน ต้องนำของพวกนี้ที่ได้มาจัดระเบียบก่อน


ริบสิ่งของประเภทเกราะรบและกำไลเก็บสมบัติออกมาจากศพร่างแล้วร่างเล่า จากนั้นแยกประเภทและเก็บไว้ ส่วนศพก็ถูกโยนลงในทะเลโดยตรง ถ้าเป็นนักพรตปีศาจก็เก็บยาเม็ดปีศาจก่อนแล้วค่อยว่ากัน


ไม่รู้ว่าในทะเลมีสัตว์ประหลาดอะไรที่ถูกศพที่โยนลงทะเลดึงดูดให้เข้ามา เห็นเพียงทิ่วทะเลมีหนวดปลาหมึกโผล่ขึ้นมาม้วนศพลงไปที่ก้นทะเล ถึงขั้นมีสัตว์ประหลาดทะเลต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งเพื่อแย่งอาหาร ล้วนเป็นสัตว์ประหลาดที่เหมียวอี้ไม่เคยเห็นมาก่อน


เหมียวอี้เพียงร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดในทะเลนิดหน่อย เมื่อเห็นว่าไม่เป็นภัยคุกคามต่อตัวเอง ถึงได้นั่งจัดระเบียบของต่อไปอย่างสบายอารมณ์


เกราะรบสีทองชุดแล้วชุดเล่า เกราะรบผลึกแดงชุดแล้วชุดเล่า ของประเภทต่างๆ ถูกเหมียวอี้เก็บเข้าในกระเป๋าสัตว์


ฉากที่เขาสร้างความร่ำรวยได้ง่ายๆ แบบนี้ทำให้ห้าปราชญ์ที่มองอยู่ไกลๆ หงุดหงิดมาก พวกเขาเสี่ยงกับกฎสวรรค์เพื่อปล้นไปหนึ่งครั้ง นอกจากจะไม่ได้อะไรแล้ว ยังโดนกดดันให้หนีเข้ามาในสถานที่บ้าๆ แบบนี้อีก แต่ดูการสร้างความร่ำรวยของเหมียวอี้สิ คนเราแตกต่างกันจนน่าโมโหจริงๆ


เหมียวอี้จัดระเบียบของเป็นเวลาสองวันเต็มๆ หลังจากเสร็จเรื่องแล้วกำลังจะยืนขึ้น จู่ๆ ริมทะเลก็มีหนวดปลาหมึกโผล่มาพันเท้าเขา ต้องการจะลากเขาลงไปในทะเล บนตัวเขามีพลังอิทธิฤทธิ์สายหนึ่งซัดสาดออกมา ทำให้หนวดปลาหมึกนั่นแตกกระจุยจนเศษเนื้อปลิวว่อนทันที


จากนั้นเหมียวอี้ก็ลากกระเป๋าสัตว์เป็นกอง เหาะไปเหยียบลงข้างกายห้าปราชญ์แล้วถามว่า “พวกเจ้ามีใครกำราบสัตว์พาหนะของคนอื่นได้บ้าง?”


ทั้งห้าสบตากัน แล้วจีฮวนก็ตอบว่า “ได้หมด”


เหมียวอี้โยนกระเป๋าสัตว์ให้คนละใบ “มอบให้พวกเจ้า รบกวนท่านไหนก็ได้ชี้แนะวิชากำราบสัตว์พาหนะให้ข้าที”


พวกเขามองดูของในกระเป๋าสัตว์ ได้สัตว์เทพหนึ่งคนต่อหนึ่งตัว มู่ฝานจวินมอบกระเป๋าสัตว์ที่อยู่ในมือเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้าได้สัตว์เทพมาเท่าไร?”


“ไม่เยอะหรอก แค่สิบกว่าตัว” เหมียวอี้ตอบ


ไม่เยอะ? ห้าปราชญ์ที่ยึดอาชีพปล้นมานานพูดไม่ออก…


ตำหนักนารีสวรรค์ ที่อยู่ของราชินีสวรรค์ มารดาแห่งใต้หล้าผู้คุมวังหลังของตำหนักสวรรค์


สตรีวัยกลางคนที่สวมชุดนางในเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาในตำหนักหลัก พอเห็นราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่นั่งอ่านเอกสารราชการอยู่หลังโต๊ะหยก นางก็ไม่กล้ารบกวน ตอนนี้ราชินีสวรรค์ควบคุมระบบตลาดสวรรค์โดยตรง เป็นครั้งแรกที่อำนาจยื่นออกจากวังหลัง ตั้งอกตั้งใจมาก สตีที่สวมชุดนางในจึงเดินมายืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ได้เหลือบตามองเลยแม้แต่น้อย ถามเสียงเรียบว่า “เอ๋อเหมย ที่การประชุมราชสำนักไม่มีเรื่องอะไรใช่มั้ย?”


เอ๋อเหมยก็คือชื่อของสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดนางใน เป็นลูกน้องคนสนิทที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พามาจากตระกูลเซี่ยโห้ว เรียกได้ว่าเป็นตัวละครสำคัญที่อยู่ข้างกายราชินีสวรรค์ เมื่อได้ยินคำถามก็มองไปนอกประตู แล้วตอบเสียงต่ำว่า “ราชันสวรรค์เดือดดาลมาก กำลังตำหนิกลุ่มขุนนางเจ้าค่ะ”


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อึ้งทันที ตอนนี้ถึงได้วางงานที่อยู่ในมือ แล้วเงยหน้าถามว่า “เดือดดาลเรื่องอะไร?”


เอ๋อเหมยตอบว่า “เพราะเรื่องการทดสอบที่ตำหนักสวรรค์เจ้าค่ะ ทัพใหญ่หนึ่งล้านโดนหนิวโหย่วเต๋อสังหารกลับไปกลับมา โจมตีจนแพ้ย่อยยับ ราชันสวรรค์โกรธมาก เดินลงจากบันไดเข้าไปท่ามกลางกลุ่มขุนนาง แล้วถามย้ำว่านี่ใช่ลูกน้องที่เขาเลี้ยงหรือไม่?”


“เฮ้อ!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถอนหายใจเบาๆ หลังจากส่ายหน้าเล็กน้อย ก็ถามอีกว่า “ได้ยินว่าก่อนทดสอบ หนิวโหย่วเต๋อกับหลงเฉิงลงนามสัญญาท้าสู้อะไรกันไว้ ไปถามคนในบ้านมาหรือยังว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่?”


“ให้ท่านผู้เฒ่าถามแล้วเจ้าค่ะ เป็นหลงเฉิงที่เข้าไปท้าทายก่อนเพราะความแค้นเก่า…” เอ๋อเหมยเล่าเรื่องที่เหมียวอี้กับเซี่ยโห้วหลงเฉิงลงนามสัญญากันอย่างละเอียดไม่มีผิดพลาด


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…” หลังจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่พึมพำ ก็พยักหน้าครุ่นคิดช้าๆ พร้อมบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อกล้าหาญกับทัพใหญ่หนึ่งล้าน มีหรือที่จะกลัวหลงเฉิง ขนาดกับคนของตระกูลอิ๋งเขาก็ลงมืออย่างไม่เกรงใจเลย ดูออกเลยว่าหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่สนใจตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกัน แต่กำลังกลัวข้า หนิวโหย่วเต๋อกำลังไว้หน้าข้า เป็นเพราะไม่อยากฆ่าหลงเฉิงให้ข้าลำบากใจ ถึงได้จงใจยั่วยุหลงเฉิงและคุมให้หลงเฉิงสงบได้ ถือว่ามีความตั้งใจ ดูออกเลยว่าเขาไม่ใช่แค่คนบ้าบิ่นที่รู้จักแต่ความกล้าที่ไร้สติปัญญา”


“พระนางวิเคราะห์ได้ถูกต้อง ท่านผู้เฒ่าก็คิดแบบนี้เช่นกัน บอกว่าตระกูลเซี่ยโห้วติดหนี้น้ำใจหนิวโหย่วเต๋อแล้ว” เอ๋อเหมยกล่าว


“นึกไม่ถึงว่าในการทดสอบที่ข้าจัดขึ้นครั้งนี้จะมีทหารกล้าเช่นนี้ ลมแรงพิสูจน์ต้นหญ้าที่ทนทาน ไฟร้อนพิสูจน์ท้องแท้จริงๆ หวังว่าเขาจะไม่ตายที่แดนอเวจีง่ายๆ นะ”


…………………………

บทที่ 1214 กล้าหาญจนหมื่นคนก็ยั้งไม่อยู่


เอ๋อเหมยพอจะเข้าใจความหมายที่นางพูดแล้ว แต่ยังกล่าวอย่างลังเลนิดหน่อยว่า “ท่านผู้เฒ่าบอกมาว่า ต่อให้หนิวโหย่วเต๋อจะไม่ได้ตายในนรกและกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่เกรงว่าอาจจะยุ่งยากนิดหน่อย ท่านผู้เฒ่าบอกว่า หนิวโหย่วเต๋อทำลายกลองสะท้านฟ้าต่อหน้าฝูงชน ถือว่าทำลายความน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์ต่อหน้าธารกำนัล ทูตขวาเกาไม่ได้ใช้บทลงโทษตรงนั้นก็นับว่าเมตตาแล้ว กลับมาถ้าไม่คิดหน้าคิดหลังใช้งานหนิวโหย่วเต๋อในตำแหน่งสำคัญจนส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของใคร จะต้องมีคนหยิบเรื่องทำลายกลองสะท้านฟ้าออกมาพูดแน่ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าไม่มีใครสืบสาวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีคนสืบสาวเอาความเรื่องนี้ ถ้ามีคนไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไป เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหน้าตาศักดิ์ศรีของตำหนักสวรรค์ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เกรงว่าแม้แต่ฝ่าบาทก็ไม่สะดวกที่จะลำเอียง ถ้าไม่ลงโทษก็ยากที่จะได้รับการนับถือ ถ้าในภายหลังทุกคนพากันมองข้ามหน้าตาศักดิ์ศรีของตำหนักสวรรค์ แล้วความน่าเกรงขามของสวรรค์จะยังมีอยู่ได้อย่างไรเจ้าคะ?”


เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เงียบงันพูดไม่ออก แน่นอนว่านางเข้าใจ เหมียวอี้ที่ต่ำต้อยคนเดียว ต่อให้ตามีแววมากกว่านี้ แต่เมื่อเมื่อเทียบกับศักดิ์ศรีของตำหนักสวรรค์ก็ไม่นับว่าสำคัญอะไร ศักดิ์ศรีของตำหนักสวรรค์เกี่ยวข้องกับรากฐานในการควบคุมใต้หล้า ราชันสวรรค์ไม่มีทางทำลายรากฐานของตัวเอง กลังจากเงียบไปนานก็กล่าวอย่างเสียดายว่า “เป็นครั้งแรกที่ข้ามีอำนาจเกินวังหลัง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีทหารกล้าสักคนอยู่ในมือ…น่าเสียดายจัง!”


เอ๋อเหมยกล่าวเสียงเบาว่า “ถึงแม้จะมีจุดที่เพิ่มเกียรติยศให้การทดสอบครั้งนี้ แต่ก็มีจุดที่ทำให้ตำหนักสวรรค์ลำบากใจเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่รู้เหตุการณ์ตอนนั้นมีเยอะเกินไปจนไม่มีทางปิดบังได้ เกรงว่าฝ่าบาทคงจะไม่ให้เรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านแพร่ออกไป…”


ทำไมถึงเรียกว่าตำหนักสวรรค์ล่ะ? เพราะเป็นราชสำนักที่ควบคุมใต้หล้าไง!


“ไสหัวไปให้หมด!”


เสียงตะคอกที่น่าเกรงขามดังมาจากประตู่ตำหนักที่สูงตระหง่าน ทหารยามที่ยืนอยู่นอกตำหนักยืดตัวตรงทันที นางในที่เดินไปเดินมาก็ยิ่งตกใจจนตัวสั่นระริก ทั้งมังกรทั้งหงส์ต่างก็หันกลับมาจ้องมอง ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้ทั้งวังสวรรค์เงียบสงัดเป็นแถบ


ผ่านไปไม่นานนัก ขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์ที่เกล้าผมสวมมงกุฎหลายร้อยก็ทยอยกันออกมาจากประตูตำหนัก แต่ละคนสีหน้าจริงจังหนักแน่น กระทั่งหลังจากลงจากบันไดตำหนักใหญ่มาแล้ว สีหน้าของแต่ละคนถึงได้เริ่มสงบเยือกเย็น อารมณ์ที่แปรปรวนของราชันสวรรค์ พวกเขาเคยชินจนมองเห็นเป็นเรื่องปกติตั้งนานแล้ว ถ้าจะกลัวก็ต้องรู้จักแยกแยะเวลา สถานการณ์ในตอนนี้ยังทำโทษไม่ได้เพราะมีคนทำผิดเยอะ ไม่เพียงพอจะทำให้หวาดกลัว


คนที่อยู่ในตำแหน่งอิสระทยอยกันจากไป ส่วนคนที่อยู่ในตำแหน่งหลักก็มารวมกลุ่มกัน


คนกลุ่มหนึ่งเดินออกจากประตูหลักของวังสวรรค์ อิ๋งจิ่วกวง อ๋องสวรรค์อิ๋งที่เป็นผู้นำของกำลังพลกลุ่มนี้เดินไปข้างหน้าโดยวางสองมือไว้บนท้อง ดูอายุมากแต่ก็ยังแข็งแรง จู่ๆ เขาก็เรียก “เทียนหยวน”


ท่านโหวเทียนหยวนที่เดินอยู่ด้านหลังของกลุ่มรีบก้าวขึ้นมากุมหมัดขานรับ “ท่านอ๋อง!”


“เรื่องหนิวโหย่วเต๋อนั่นยังไงกันแน่?” อิ๋งจิ่วกวงถามเสียงเรียบโดยไม่เหล่ตามอง


พอได้ยินคำถามนี้ ท่านโหวเทียนหยวนก็ตึงเครียดในใจ ในโลกมนุษย์มีคำกล่าวที่ว่า คนตำแหน่งสูงไม่มีอิทธิพลมากเท่าผู้บังคับบัญชาโดยตรง ตอนเผชิญหน้ากับราชันสวรรค์เขายังไม่ประหม่ากังวลขนาดนี้เลย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับอ๋องสวรรค์อิ๋งกลับมีความกังวลอยู่บ้าง เพราะว่าเขาเป็นคนของกลุ่มคณะนี้ ถ้าหลุดจากกลุ่มคณะนี้ไปก็ยากที่จะมีที่ยืนในตำหนักสวรรค์แล้ว และกลุ่มคณะนี้ก็มีอ๋องสวรรค์อิ๋งที่เป็นใหญ่ที่สุด ดังนั้นแค่อ๋องสวรรค์อิ๋งเอ่ยประโยคเดียว บนราชสำนักก็จะมีคนเป็นโขยงมารุมโจมตีเขาได้เลย สามาถทำให้เขาหลุดจากตำแหน่งได้อย่างสบายๆ แต่ราชันสวรรค์กลับไม่ทำเรื่องแบบนี้โดยไร้เหตุผล


จิตใตสำนึกของท่านโหวเทียนหยวนคิดว่าอ๋องสวรรค์อิ๋งกำลังหมายถึงเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อทำร้ายจ้านหรูอี้หลานสาวของอ๋องสวรรค์บาดเจ็บ ทำให้อ๋องสวรรค์อิ๋งเสียหน้า ในใจแอบร้องว่าแย่แล้ว ทำไมเขานึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อสามารถเล่นใหญ่ขนาดนั้นได้ แค่ชั่วพบหน้ากันก็ทำให้จ้านหรูอี้ล้มคะมำได้แล้ว


ท่านโหวเทียนหยวนที่ตามอยู่ข้างหลังกล่าวอย่างเกรงกลัวว่า “เป็นข้าน้อยที่ควบคุมลูกน้องได้ไม่ดี ถึงได้ทำให้คุณหนูจ้านได้รับความอับอาย ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ”


อิ๋งจิ่วกวงหยุดฝีเท้า กลุ่มคนที่เดินตามหลังก็หยุดเช่นกัน อิ๋งจิ่วกวงหันหน้าช้าๆ กลับมามองท่านโหวเทียนหยวน แล้วถามว่า “อย่าบอกนะว่าในสายตาท่านโหวเทียนหยวน อ๋องผู้นี้เป็นคนต่ำทรามใจคอคับแคบสะกดกลั้นไม่ได้เหรอ?”


ท่านโหวเทียนหยวนรีบแก้ตัว “ไม่ใช่ขอรับ ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ!”


อิ๋งจิ่วกวงรู้ว่าเขาเข้าใจผิด จึงไม่ทำให้เขาลำบากใจอีก เดินไปข้างหน้าต่อพร้อมบอกว่า “ข้ากำลังถามเจ้าว่า ตอนแรกเจ้าปกป้องหนิวโหย่วเต๋อนั่นอย่างสุดกำลัง ขนาดข้าต้องการตัวเขาเจ้ายังบ่ายเบี่ยง ในเมื่อมองออกว่าเป็นคนมีฝีมือที่ควรค่าแก่การเลี้ยงดู แล้วทำไมถึงปล่อยให้เขาเข้าไปทดสอบในนรกได้? วรยุทธ์แค่บงกชทองก็กล้าสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้านแล้ว ถ้าไม่ห้าวหาญเต็มไปด้วยพลัง ก็ต้องเป็นคนที่มีทั้งความกล้าหาญและสติปัญญา คนมีฝีมือแบบนี้ ถ้าผ่านไปสักระยะจะต้องเป็นแม่ทัพที่ทำงานดีแน่นอน! ทหารนับพันนั้นหาง่าย แต่แม่ทัพคนเดียวนั้นหายาก ใช่ว่าเจ้าจะไม่เข้าใจหลักการนี้ ปล่อยไปง่ายๆ แบบนี้ไม่น่าเสียดายหรอกเหรอ?”


ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องนี้! เทียนหยวนพูดไม่ออกทันที คิดในใจว่า ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่ไปเข้าร่วมการทดสอบในนรก ไม่ประสบกับเรื่องราวแบบนี้ แล้วใครจะไปรู้ว่าเขาจะกล้าสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้านอย่างกล้าหาญ? ถ้ารู้ตั้งแต่แรกยังจะต้องให้เจ้าบอกอีกเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่แสดงความสามารถนี้ออกมา เขาไปมีเรื่องกับคนเยอะขนาดนั้น ภายใต้สถานการณ์แบบนั้นไม่ว่าใครก็ไม่สะดวกจะรับประกันทั้งนั้น!


แต่จนใจที่เหตุผลพวกนี้นำมาใช้โต้เถียงเจ้านายเพื่อผลักความรับผิดชอบไม่ได้ เรื่องบางเรื่องก็ใช่ว่าผู้บังคับบัญชาไม่เข้าใจ แต่ผู้บังคับบัญชาไม่อยากโดนคนหัวเราะเยาะว่าไม่รู้จักคนมีฝีมือ ที่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาต่อหน้าทุกคน ก็เพราะอยากจะหาแพะรับบาปก็เท่านั้นเอง ท่านโหวเทียนหยวนเรียกได้ว่าแก้ตัวลำบาก…


ตำหนักหลังของราชสำนัก ประมุขชิงที่ออกจากราชสำนักเพิ่งจะเลี้ยวเข้ามา ก็เห็นทูตตรวจการซ้ายซือหม่าเวิ่นเทียนและทูตตรวจการขวาเกาก้วนกำลังรออยู่เงียบๆ ที่ตำหนักหลัง


ทั้งสองกุมหมัดคาระวพร้อมกัน ขณะที่ประมุขชิงเดินผ่านกลางระหว่างทั้งสอง ก็ถามไปเรื่อยเปื่อยว่า “กลับมาแล้วเหรอ?”


ทั้งสองเดินตามทันที เกาก้วนตอบว่า “ขอรับ!”


หลังจากออกจากตำหนักหลัง ตอนกำลังเดินขึ้นบันไดวังหลัง ประมุขชิงก็ถามอีกว่า “เรื่องที่ราชสำนักเมื่อครู่นี้ ได้ยินกันหมดแล้วใช่มั้ย?”


“ได้ยินแล้ว” ทูตซ้ายและทูตขวาตอบพร้อมกัน


“เกาก้วน เจ้าอยู่ในเหตุการณ์ อย่าบอกนะว่าทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์ของข้าอ่อนแอเปราะบางถึงขั้นนี้แล้วจริงๆ กำลังพลหนึ่งล้านแปดแสนกว่าต้านทานไม่ได้แม้แต่หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวงั้นเหรอ?” ประมุขชิงถาม


เกาก้วนอธิบายว่า “ตอบฝ่าบาท ก็ไม่ได้ย่ำแย่เกินทนขนาดนั้นขอรับ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดพลาดของการรบ! ประการแรกเป็นเพราะกำลังพลสายชวด สายระกา สายจอ สายกุนไม่ได้เข้าร่วมด้วย แต่คอยดูอยู่ข้างๆ จึงขาดกำลังพลไปเกือบหกแสนคน อีกสาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะทัพใหญ่หนึ่งล้านที่สู้กับหนิวโหย่วเต๋อส่วนใหญ่ไม่มีใครที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเขา อย่างมากก็ไปหาเรื่องเขาเพื่อให้เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังเห็น ทุกคนก็แค่ทำพอเป็นพิธี คนที่ตัดสินใจจะสู้ตายกับหนิวโหย่วเต๋อมีน้อย มิหนำซ้ำส่วนใหญ่ก็แค่ถูกอำนาจแต่ละฝ่ายขนาบให้อยู่ในนั้น ไม่มีใครที่ทุ่มเทสุดความสามารถจริงๆ แค่ไปประสมโรงด้วยเท่านั้น ส่วนหนิวโหย่วเต๋อก็โดนสถานการณ์บีบบังคับ ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะสู้ตาย มีพลังอำนาจเหมือนอย่างเคย เกรียงไกรยากจะต้านทานไหว รบกับแนวหน้าของทัพใหญ่ไม่เคยแพ้ ได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด สั่นคลอนจิตใจของคู่ต่อสู้มาก อาศัยการโหมสู้ในรวดเดียวบวกกับของวิเศษที่สมบูรณ์แบบ รบอย่างห้าวหาญเต็มไปด้วยพลัง ทัพใหญ่หนึ่งล้านที่คุมเชิงกันอยู่เสียขวัญตั้งแต่ยังไม่เริ่มรบ หนิวโหย่วเต๋อบุกสังหารหลายครั้งโดยแทบจะไร้อุปสรรค ทุกคนพากันถอยหลบ หนิวโหย่วเต๋อถึงได้สังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านได้! ที่สำคัญที่สุดก็คือ ทัพใหญ่หนึ่งล้านเป็นพวกที่มารวมตัวกันชั่วคราวเท่านั้น ใจคนไม่สามัคคีกัน แต่ละคนมีเจตนาแอบแฝง เป้าหมายหลักคือการทดสอบ ถ้าจัดทัพใหญ่รบตามมาตรฐานของตำหนักสวรรค์จริงๆ ต่อให้ระดมพลพลหนึ่งหมื่นก็จัดการหนิวโหย่วเต๋อได้!”


“อืม!” พอได้ฟังเขาพูดแบบนี้ ประมุขชิงก็พยักหน้าช้าๆ สีหน้าคลายความโกรธ แล้วถามอีกว่า “เจ้าบอกว่าต้องระดมพลหนึ่งหมื่นถึงจะจัดการเขาได้ กำลังพลหนึ่งหมื่นนี้เป็นกำลังพลแบบไหนกัน?”


“กำลังพลที่ได้มาตรฐานการทดสอบ นักพรตบงกชทองหนึ่งแสนคน” เกาก้วนตอบ


ประมุขชิงหยุดฝีเท้า แล้วหันกลับมาถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อก็เป็นนักพรตบงกชทองเหมือนกันนี่ อย่าบอกนะว่าทัพใหญ่ที่ได้มาตรฐานหนึ่งพันคนก็จัดการเขาไม่ได้?”


เกาก้วนตอบว่า “ตามความเห็นของข้าน้อย ถ้าอาศัยกำลังปะทะกันตรงๆ โดยไม่ใช้ของวิเศษอะไรเลย อย่าว่าแต่หนึ่งพันที่ต้านเขาไม่ไหว ต่อให้ห้าพันก็ต้านเขาไม่ไหวเช่นกัน หนิวโหย่วเต๋อคนนี้เหี้ยมหาญเชี่ยวชาญการรบจริงๆ เมื่อทวนอยู่ในมือ ก็กล้าหาญจนหมื่นคนยั้งไม่อยู่ ถ้าไม่มีกำลังพลนับหมื่นล้อมต้านไว้หลายชั้นก็ยากที่จะจัดการเขาได้ จะถูกเขาสังหารฝ่าวงล้อมได้ง่ายมาก!”


“เหี้ยมหาญขนาดนี้เชียวรึ?” ซือหม่าเวิ่นเทียนตามอย่างตกใจ


เกาก้วนพยักหน้า “ใช่! เหี้ยมหาญจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะห้าวหาญขนาดนี้ จะกล้าฝ่าเข้าฝ่าออกกลางทัพใหญ่หนึ่งล้านได้ยังไง”


ประมุขชิงเอามือขยี้หนวดพลางพยักหน้าบอกว่า “ถ้าพูดแบบนี้ก็แสดงว่าเป็นทหารกล้าจริงๆ มีลักษณะท่าทางเหมือนอสุราอัคนีในปีนั้นอยู่หลายส่วน มีชื่อเสียงเรื่องสังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านเหมือนกัน ถ้ารอไปสักระยะให้วรยุทธ์สูงขึ้น ข้าก็จะมีแม่ทัพที่ดุร้ายแห่งยุคเพิ่มอีกคน ปล่อยให้ไปปราบกบฎก็จะเป็นเหมือนกระบี่คมที่ใช้ตัดหัวศัตรู…เกาก้วน ปล่อยเขาไปทดสอบในนรกจะน่าเสียดายไปหน่อยหรือเปล่า?”


“น่าเสียดายจริงๆ ขอรับ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ตอนแรกไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะห้าวหาญเหนือคนอื่นขนาดนี้ ทหารกล้าระดับนี้ปล่อยเข้าไปเป็นสายสืบในนรกนานไม่ได้ น่าเสียดายจริงๆ” หลังจากเกาก้วนกล่าวชม ก็กุมหมัดคารวะทันที “ถ้าปลี่ยนคำสั่งไปเปลี่ยนคำสั่งมาก็จะทำลายเดชานุภาพของฝ่าบาท หากฝ่าบาทสามารถย้ายหนิวโหย่วเต๋อกลับมาได้ง่ายๆ เกรงว่าลูกหลานขุนนางคนอื่นๆ ก็จะอ้างเหตุผลเลียนแบบเช่นกัน สามารถทำให้แผนการปรับปรุงทั้งหมดล้มเหลวในตอนท้ายได้ง่าย ไม่สู้ให้ข้าน้อยออกหน้า แค่บอกไปว่าหนิวโหย่วเต๋อคือสายลับที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาส่งไปนรก ต้องย้ายกลับมาที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาเพราะต้องใช้งานอย่างอื่น แบบนี้จะได้อุดปากที่พูดไร้สาระของฝูงชนได้สะดวกด้วย ฝ่าบาท ข้าน้อยขออนุญาตย้ายหนิวโหย่วเต๋อมาที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวา!”


ซือหม่าเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างๆ เงยหน้ากลอกตามองฟ้าทันที แล้วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ทำไมต้องย้ายไปหน่วยตรวจการฝ่ายขวาของเจ้า ย้ายมาฝ่ายซ้ายของข้าไม่ได้เหรอ?”


“…” ประมุขชิงอ้าปากค้าง ตราบใดที่ไม่ใช่คนโง่ก็สามารถดูออก ว่าเกาก้วนกำลังฉวยโอกาสดึงตัวทหารที่ทำงานดีมาเป็นลูกน้องตัวเอง


แต่สำหรับประมุขชิงแล้ว หนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียวเมื่อเทียบกับแผนปรับปรุงตำหนักสวรรค์ของเขา ก็ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเลย เขาชี้เกาก้วนพลางกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เกาก้วนเอ๊ยเกาก้วน เวิ่นเทียน สงสัยหนิวโหย่วเต๋อคนนี้จะมีจุดที่โดดเด่นจริงๆ ขนาดทูตขวาเกาของพวกเรายังรักในความสามารถ ถ้าเจ้าต้องการคนจริงๆ รอให้การทดสอบผ่านไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้ายังสามารถรอดชีวิตกลับมาได้ เจ้าก็ไปเอ่ยปากกับราชินีสวรรค์ได้เลย ถึงอย่างไรตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อก็เป็นกำลังพลของราชินีสวรรค์ ขอเพียงราชินีสวรรค์อนุญาต ข้าก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไรเหมือนกัน”


แบบนี้เท่ากับเป็นการปฏิเสธอ้อมๆ แล้ว


แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ ซือหม่าเวิ่นเทียนจะพูดขึ้นมาอีก “ทูตขวาเกา ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อทำลายกลองสะท้านฟ้า จาบจ้วงภาพลักษณ์อันน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์ต่อหน้าฝูงชน ไม่ทราบว่าทำไมทูตขวาเกาทำเหมือนไม่เห็น? อย่าบอกนะว่าเพื่อความรักความชอบส่วนตัว ทำให้ทูตขวาเกาละเลยภาพลักษณ์อันน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์?”


เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ประมุขชิงก็เหล่ตาจ้องเกาก้วนเล็กน้อย


ราชันสวรรค์ชอบใช้วิธีการสร้างสมดุลแบบนี้ ถ้าระบบข่าวสารของตำหนักสวรรค์ไปรวมอยู่ในมือคนคนเดียว แบบนั้นก็น่ากลัวไปหน่อย ถึงได้แต่งตั้งคนสองคนที่ไม่ค่อยลงรอยกันมาคุมหน่วยตรวจการซ้ายและขวา ทำเพื่อรักษาสมดุล ไม่อย่างนั้นถ้าทูตซ้ายและทูตขวามีไมตรีที่ดีต่อกัน ถ้าร่วมมือกันปิดบังขึ้นมา ต่อให้ราชันสวรรค์จะวรยุทธ์สูงกว่านี้ แต่ก็จะถูกปิดบังความจริงได้ง่ายมาก


เกาก้วนตอบอย่างใจเย็นว่า “ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นใครก็ไม่คิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะรอดกลับมาได้ ในเมื่อเป็นเหมือนคนตายคนหนึ่งแล้ว ทำไมข้าต้องทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตอีกล่ะ เพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นตอนหลังเหนือความคาดหมายไปมาก ตอนนั้นไม่ได้ห้าม ถ้าผ่านเรื่องนั้นไปแล้วค่อยมาลงโทษหนิวโหย่วเต๋ออีก เจ้าคิดว่าเหมาะสมเหรอ?”


“เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมไม่ใช่สิ่งที่ข้าเป็นห่วง แค่ถามว่าทำไมเจ้าไม่บังคับใช้กฎหมาย?” ซือหม่าเวิ่นเทียนถาม


“ใครใช้ให้เจ้าเป็นห่วง สาระแนนัก!” เกาก้วนตอบด้วยสีหน้าเย็นเยียบไร้อารมณ์


…………………………

บทที่ 1215 ไม่รู้อะไรเลย


คำพูดคำจาแบบนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นประมุขชิงคงจะเดือดดาลมาก แต่พอได้ยินจากปากเจ้าคนที่เย็นชาเหมือนน้ำแข็ง ประมุขชิงก็รู้สึกดีใจอย่างประหลาด โค้งมุมปากกลั้นขำ หันหน้ามองไปอีกด้านแล้ว


“เจ้า…” ซือหม่าเวิ่นเทียนโบกมือชี้


เกาก้วนปัดมือเขาออกเบาๆ “ข้าจะบังคับใช้กฎยังไง ก็ไม่จำเป็นต้องให้หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของเจ้ามาสอนหรอก”


“เจ้า…” ซือหม่าเวิ่นเทียนทำสีหน้าไม่ถูก เมื่อเจอกับเกาก้วนที่ไร้เหตุผล เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน จึงหันกลับมากุมหมัดคารวะประมุขชิง “ฝ่าบาท เกาก้วนกำลังเถียงข้างๆ คูๆ ขอรับ!”


“เกาก้วน เจ้าคิดว่าควรจะลงโทษหนิวโหย่วเต๋ออย่างไร?” ประมุขชิงถาม


“ถ้าเขาตายอยู่ในนรก การลงโทษนี้ก็ไม่มีความหมายเหมือนกัน แต่ถ้าเขารอดชีวิตกลับมาได้ ทุกอย่างก็ล้วนแล้วแต่ประสงค์ของฝ่าบาทขอรับ จะได้ไม่มีคนคิดว่าข้าน้อยทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว” เกาก้วนตอบ


“เอาตามนี้ก็แล้วกัน ขี้คร้านจะฟังพวกเจ้าสองคนเถียงกันแล้ว ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วก็กลับไปต่างคนต่างทำงานของตัวเอง” ประมุขชิงพูดทิ้งท้ายแล้วเอามือไขว้หลังเดินออกไป เดินเนิบนาบอย่างสบายใจ


สำหรับเขาแล้ว ระหว่างทูตซ้ายกับทูตขวาใครจะผิดก็ไม่สำคัญ ล้วนเป็นลูกน้องคนสนิทของเขาทั้งคู่ เขาเองก็ไม่อยากจะลำเอียงเข้าข้างใครคนใดคนหนึ่ง แค่อยากจะเห็นท่าทีที่เป็นเป็นปรปักษ์ของทั้งสองเท่านั้น


“เชอะ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนเชิดใส่ แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป


เกาก้วนยังคงทำสีหน้าเย็นชาไม่สะทกสะท้าน จัดผ้าที่ดำที่คลุมบ่าให้เรียบร้อย แล้วเดินเบาๆ จากไปเช่นกัน…


ในจวนเทพประจำดาวเถาะฟ้า ผังก้วนเพิ่งจะเหาะจากฟ้าลงมาเหยียบในเรือนด้านใน ก็เห็นฮูหยินจาหรูเยี่ยนร้องไห้สะอึกสะอื้นพุ่งออกมาจากในบ้าน เข้ามาคุกเข่ากอดต้นขาเขาไว้ พลางร้องไห้โฮบอกว่า “นายท่าน เหรินจวิ้นตายอย่างอนาถมาก นายท่าน ท่านต้องสับร่างหนิวโหย่วเต๋อนั่นพันดาบเพื่อล้างแค้นให้เหรินจวิ้นนะ!”


บ่าวรับใช้หญิงกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาประคอง แต่จาหรูเยี่ยนกลับกอดขาผังก้วนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย


“หึหึ!” จู่ๆ ผังก้วนก็เดือดดาลจนหัวเราะออกมา แล้วก้มหน้าจ้องนางพร้อมถามว่า “ล้างแค้นเหรอ? จะล้างแค้นยังไงล่ะ? เจ้าคิดจะให้นำคนเข้าไปสังหานในแดนอเวจีเพื่อล้างแค้นให้หลานรักของเจ้าเหรอ?”


“…” จาหรูเยี่ยนหยุดร้องไห้ทันที ใบหน้าที่เลอะน้ำตาเหม่อค้าง สิ่งที่สามีตัวเองพูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เป็นไปไม่ได้ที่จะถ่อไปล้างแค้นหนิวโหย่วเต๋อในนรกเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะหาเจอหรือไม่ อย่างน้อยต้องเข้าไปให้ได้ก่อน ต่อให้เข้าไปได้แล้ว แดนอเวจีคือสถานที่ที่ผังก้วนจะไปทำตัวกำเริบเสิบสานได้เหรอ? ถ้ารอให้หนิวโหย่วเต๋อกลับมา และไม่รู้ด้วยว่าหนิวโหย่วเต๋อจะรอดชีวิตออกจากนรกได้หรือเปล่า


หลังจากคิดได้แล้ว แล้วก็ร้องไห้โวยวายอีก “ตระกูลจาของข้าช่างน่าสงสาร คนก็มีอยู่น้อยนิด…”


“หุบปากเดี๋ยวนี้!” ผังก้วนพลันตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดดุจฟ้าผ่า “ข้าเสียหน้าเพราะเจ้าไปหมดแล้ว เจ้ายังมีหน้ามาร้องไห้อีกเหรอ?”


ผังก้วนยกหัวเข่าขึ้น เตะจาหรูเยี่ยนจนล้มลงพื้น แล้วชี้นิ้วขู่จาหรูเยี่ยน ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลจามีบุญคุณในการสนับสนุนให้เขาได้ขึ้นตำแหน่ง ถ้าทำผิดต่อผู้หญิงคนนี้แล้วจะโดนคนวิจารณ์ลับหลัง เขาคงหย่ากับผู้หญิงโง่คนนี้ไปแล้วจริงๆ


เขาสะบัดแขนเสื้อ แล้วหันตัวเดินจากไป ทำให้เสียงร้องไห้โฮข้างหลังดังอีกครั้ง


ผังก้วนยกมือตบหน้าผากตัวเอง ในบ้านมีฮูหยินแบบนี้ จะไม่ให้ปวดหัวก็คงยาก…


จู่ๆ บนฟ้าเหนือเกาะที่มืดสลัวก็มีดาวตกสามสายแวบผ่าน เสียงระเบิดดังสามครั้ง เฮยทั่นที่สวมเกราะรบหมุนตัวอยู่บนฟ้าสูงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ลำแสงสีแดงสามสายแวบกลับมา กลายเป็นลูกธนูดาวตกสามดอกตกลงในมือเหมียวอี้


มือข้างหนึ่งของเหมียวอี้ถือธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ มืออีกข้างถือลูกธนูดาวตก ในใจแอบรู้สึกดีใจ หลังจากผ่านการศึกษาอย่างละเอียดมาหลายวัน ในที่สุดก็เรียนรู้วิธีการควบคุมของวิเศษที่เป็นธนูชุดนี้ได้แล้ว นี่เป็นของล้ำค่าที่ดีชุดหนึ่ง


พวกห้าปราชญ์ที่ดูอยู่ไกลๆ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเฮยทั่นมีความสามารถในการอดทนการโจมตีมากเท่าไร และไม่รู้ด้วยว่าอานุภาพของธนูนี้มากแค่ไหน แต่ก็ทำให้ห้าปราชญ์อิจฉาตาร้อนอยู่ดี  ไม่กี่วันก่อนเพิ่งจะเห็นเหมียวอี้ใช้กระบี่ใหญ่ผลึกแดงบริสุทธิ์ด้ามหนึ่งที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าได้ แล้ววันนี้ก็ได้เห็นธนูวิเศษชุดนี้อีก ล้วนเป็นของที่มีราคาสูงไม่เบา ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งนี้เหมียวอี้โกยสมบัติมาได้มากขนาดไหน


“อูอู…” เฮยทั่นที่สวมเกราะรบดุร้ายน่ากลัวเหมือนปีศาจเหาะลงจากฟ้า พอเหยียบลงข้างกายเหมียวอี้ก็ส่งเสียงร้องเหมือนน้อยใจ เหมือนกำลังบอกให้เหมียวอี้เลิกใช้มันเพื่อทดสอบธนูได้แล้ว


เหมียวอี้เติมยาเจี๋ยตันขั้นห้าใส่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์และลูกธนูดาวตกสามดอกอย่างละสี่เม็ด เสร็จแล้วถึงได้เก็บเอาไว้


ฉากนี้ทำให้ห้าปราชญ์สงบจิตใจได้ยาก ฟุ่มเฟือยเกินไปจริงๆ ขนาดยาเจี๋ยตันขั้นห้าสี่เม็ดยังใช้เติมพลังงานให้ของวิเศษแบบนี้ไปแล้ว เติมใส่แบบตาไม่กะพริบ ในใจของทั้งห้ากำลังครุ่นคิดว่าเจ้าเวรนี่มันมีเงินมากเท่าไรกันแน่?


หารู้ไม่ว่ายาเจี๋ยตันพวกนี้เหมียวอี้ล้วนได้มาจากการรบ แค่ยาเจี๋ยตันขั้นห้าบนตัวจาหรินจวิ้นอย่างเดียวก็ปาเข้าไปยี่สิบเม็ดแล้ว บนตัวจาหรินจวิ้นมีของอย่างอื่นอีกเป็นกอง ในบรรดาคนที่ตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ จาหรินจวิ้นคือคนที่รวยที่สุด คาดว่าคงจะได้รับการสนับสนุนมาจากอาหญิงของเขา เพียงแต่เหมียวอี้คิดไม่ตกว่าเจ้าปัญญาอ่อนนี่จะพกของมาเยอะขนาดนี้ทำไม นรกมันใช่ที่ที่จะใช้จ่ายได้อย่างมีความสุขเหรอ?


เหมียวอี้โบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ชี้ไปที่เฮยทั่น เห็นเพียงเกราะรบบนตัวเฮยทั่นพลิกม้วนไปเก็บอยู่ที่คอ กลายเป็นห่วงคอผลึกแดงแล้ว


เฮยทั่นที่ได้ผ่อนคลายหันหน้าเหาะออกไปทันที มีเสียงดังตู้ม น้ำสาดกระจายไปทั่ว กระโดดลงไปว่ายน้ำเล่นในทะเลแล้ว


จีฮวนจ้องเฮยทั่นที่หายไปด้วยสีหน้าอิจฉา เขารู้ว่าจากจีเหม่ยลี่แล้วว่าเฮยทั่นคือหลีหลงที่วิวัฒนาการมาจากอาชามังกร มีความเป็นไปได้ที่จะวิวัฒนาการเป็นมังกร สำหรับจีฮวนที่รู้สึกมาตลอดว่าตัวเองญาติที่ใกล้ชิดเผ่าพันธุ์มังกร สิ่งนี้น่าอิจฉามาก


สำหรับเวไนยสัตว์ มังกรคือสิ่งมีชีวิตที่สูงส่ง เป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสูงโดยกำเนิด เป็นสิ่งที่เวไนยสัตว์ต้องเงยหน้ามอง


และเขาเองก็รู้เช่นกัน ว่าถึงแม้ตัวเองจะฝึกฝนโดยใช้วิชาปีศาจควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ให้เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ ทว่าเมื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางปีศาจแล้วก็จะมีปราณปีศาจ ไม่ได้เป็นสัตว์เทพบริสุทธิ์แล้ว ถ้าอยากจะใช้ร่างกายที่มีปราณปีศาจวิวัฒนาการให้กลายเป็นมังกรที่มีสายเลือดสูงส่งก็เป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง เขายังสู้เฮยทั่นไม่ได้ด้วยซ้ำ ย่อมต้องอิจฉาอยู่แล้ว


แต่มีเสียก็ต้องมีได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเรียนรู้วิชาปีศาจ เขาก็อาจจะไม่ได้เบิกสติปัญญาได้ตั้งแต่แรก ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นเนื้อสัตว์ในปากคนอื่นไปแล้วก็ได้ จะมีวันนี้ได้อย่างไร เมื่อปีศาจเดินเข้าสู่เส้นทางการฝึกตน สัตว์เทพก็ต้องทำตามกฎธรรมชาติ พัฒนาไปตามพรสวรรค์


จากนั้นเหมียวอี้ก็หยิบน้ำเต้าผลึกแดงบริสุทธิ์ใบหนึ่งออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ศึกษาวิธีการควบคุมเงียบๆ


ยังมีอีกเหรอ? เจ้าบ้านี่มันได้สมบัติมากี่ชิ้นกันแน่? ห้าปราชญ์พากันแอบถอนหายใจอย่างจนใจ


แต่จะว่าไปแล้ว ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งเหมือนพิสูจน์คำทำนายนั้นของเทพพยากรณ์ ว่าเจ้าเวรนี่เป็นคนที่ดวงดีมาก…


หลังจากนั้นหนึ่งวัน เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ริมทะเลก็ลืมตาขึ้น มองดูเฮยทั่นที่เล่นน้ำอยู๋ที่ทะเลไกลๆ พอโบกมือโยน น้ำเต้าวิเศษก็กะพริบแสงสีทอง ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งวาดผ่านไป


บนผิวทะเล เฮยทั่นที่กำลังลากสัตว์ประหลาดทะเลที่หน้าตาเหมือนปลาหมึกเงยหน้ามองอย่างระวังตัว เมื่อสังเกตได้ว่าท่าไม่ดี มันก็พลิกตัวอย่างฉับพลัน ดำมุดลงไปในทะเลอย่างฉับไว


วูบ! น้ำเต้าวิเศษที่ทะยานขึ้นฟ้าพลันระเบิดหมอกสีแดงออกมา ดูเหมือนหมอกสีแดง แต่ที่จริงมันคือตาข่ายสีแดง มันครอบลงผิวทะเลราวกับทอดแหจับปลา พื้นที่ที่โดนครอบไว้กว้างมาก ตาข่ายสีแดงที่อยู่ในทะเลขยายขึ้นไม่รู้ตั้งกี่เท่า สรุปก็คือมันเอียงลาดไปข้างหน้าและหดแน่นอย่างรวดเร็ว ช้อนเฮยทั่นที่หลบอยู่ในทะเลขึ้นมาโดยตรง


“อ๋าว…” เฮยทั่นที่โดนขังอยู่ในตาข่ายดิ้นรนคำราม ไม่น่าเชื่อว่าจะสะบัดตัวจนน้ำเต้าวิเศษที่ลอยอยู่บนฟ้าสั่นไหว


เหมียวอี้ที่อยู่บนเกาะใช้นิ้วควบคุม ทำให้น้ำเต้าวิเศษกลืนและพ่นตาข่ายสีแดงออกมา ยิงไปที่เฮยทั่น ทำให้เฮยทั่นตัวเล็กลงอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็โดนน้ำเต้าวิเศษเก็บเข้าไปพร้อมตาข่ายแล้


น้ำเต้าวิเศษทะยานขึ้นฟ้าและลอยกลับมา มาตกอยู่ในฝ่ามือเหมียวอี้โดยที่ยังสั่นไหวอยู่อย่างนั้น


เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูความเคลื่อนไหวข้างใน เห็นเพียงเฮยทั่นที่โดนขังอยู่ในตาข่ายกำลังห้อยดิ้นรนอยู่กลางน้ำเต้า แต่จนใจที่ต่อให้จะมีแรงมากแค่ไหน แต่ก็หลุดพ้นจากตาข่ายอิทธิฤทธิ์ผลึกแดงได้ยาก ส่วนตรงที่ว่างรอบๆ ก็มีกระบี่บินลอยอยู่หลายด้าม กำลังลอยวนรอบเฮยทั่น ท่าทางเหมือนจะรุกโจมตีได้ตลอดเวลา เฮยทั่นเหมือนกลายเป็นแพะอ้วนที่รอเชือด


เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ  คว้าน้ำเต้าวิเศษและจับปากน้ำเต้าให้เอียง ทำให้มีเสียงดังวูบ ชั่วพริบตาเดียวเฮยทั่นที่ถูกคายออกมาก็ลนลานหนีทันที กระโดดดำลงไปในทะเลอีกครั้ง


ขณะมองละอองน้ำที่กระจายอยู่ที่ผิวทะเล เหมียวอี้พิจารณาน้ำเต้าวิเศษที่อยู่ในมือ พบว่าของสิ่งนี้กับกาหลอมปีศาจที่เคยเจอในปีนั้นมีจุดที่คล้ายกัน แต่มีระดับที่สูงกว่าน้ำเต้าปีศาจเยอะ


ของวิเศษชิ้นนี้เขาได้มาจากตัวจาหรินจวิ้น เขาคิดไม่ตกอีกแล้ว จาหรินจวิ้นมีพลังอิทธิฤทธิ์ธรรมดา ทักษาการต่อสู้ก็ธรรมดา มีของดีขนาดนี้แต่ไม่เอาออกมาใช้ กลับพุ่งเข้ามาประลองวิชาทวนกับตน แบบนี้ต้องมีความมั่นใจมากเท่าไรกัน ไม่ใช่รนหาที่ตายหรอกเหรอ?


เหมียวอี้ส่ายหน้าอย่างคิดไม่ตกจริงๆ เขาเก็บน้ำเต้าวิเศษ แล้วถลันตัวไปเหยียบลงข้างกายห้าปราชญ์ที่กำลังมองอย่างติดลมมาตลอด แล้วถามว่า “ทุกคนดูมานานขนาดนี้ ดูพอแล้วหรือยัง?”


“เหมียวอี้ ครั้งนี้เจ้าคงร่ำรวยมากล่ะสิท่า” ซือถูเซี่ยวกล่าวเสียงเย็นเหมือนผี


“ก็งั้นๆ” เหมียวอี้ตอบไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีเหตุผลที่จะต้องบอกคนอื่นเกี่ยวกับทรัพย์สินของตัวเอง เขากวาดสายตามองทั้งห้า แล้วถามอีกว่า “พวกเจ้าอยู่ในนรกมาเกือบร้อยปีแล้ว สืบดูสถานการณ์ในนรกได้เป็นยังไงบ้าง?”


“แทบจะไม่รู้อะไรเลย” มู่ฝานจวินตอบ


“ไม่รู้อะไรเลย?” เหมียวอี้งุนงง เขายังคิดจะประหยัดแรงอยู่เลย จะดูว่าบนตัวคนพวกนี้วาดแผนที่อะไรได้บ้าง กลับไปจะได้รายงานผลงานได้สะดวก เขากล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “ถ้างั้นเกือบร้อยปีมานี้พวกเจ้าทำอะไรกัน? เก็บตัวฝึกฝนเหรอ? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเจ้าโดนขังอยู่ที่นี่แล้วจะไม่คิดหาทางออก ดูไม่สมกับเป็นคนใจกล้าคับฟ้าอย่างพวกเจ้าห้าคนเลย!”


จีฮวนถอนหายใจแล้วตอบว่า “ไม่ได้ไปไหนเลยจริงๆ หลังจากเข้ามาในแดนอเวจี ส่วนใหญ่พวกเราก็หลบอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน สถานที่อันตรายแบบนี้ใครจะกล้าเพ่นพ่านไปทั่ว จนกระทั่งรู้ว่าเจ้าจะมา พวกเราถึงได้ออกมาเสี่ยงอันตรายเพื่อเจอกับเจ้า”


เหมียวอี้เชื่อก็แปลกแล้ว พูดเหน็บแนมว่า “หลบอยู่เกือบร้อยปีไม่กล้าเพ่นพ่านไปไหนซี้ซั้ว พอข้ามาพวกเจ้าก็โผล่ออกมาเจอข้า ข้าหน้าใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ? ไปหลอกผีเถอะ!”


ซือถูเซี่ยวเงยหน้าอย่างเถียงไม่ออก


“ไม่ได้หลอกเจ้าจริงๆ เจ้ามาแล้ว พวกเราก็มีทางออก ตอนที่เจ้าทดสอบเสร็จแล้วออกไป เจ้าถือโอกาสเก็บพวกเราใส่กระเป๋าสัตว์แล้วพาออกไปด้วยก็สิ้นเรื่องแล้ว” จีฮวนกล่าว


เหมียวอี้งอึ้งไปชั่วขณะ จกานั้นก็หัวเราะลั่นทันที “งั้นพวกเจ้าก็คิดผิดแล้วจริงๆ ตำหนักสวรรค์ป้องกันโจรกบฏในนรกไม่ให้สมคบคิดกับคนข้างนอก ตอนที่ผู้เข้าร่วมทดสอบเข้ามาก็จะถูกตรวจค้นตัวรอบหนึ่ง หลังจากการทดสอบจบแล้วก็ไม่ให้โอกาสโจรกบฎหนีออกไปเหมือนกัน ต้องค้นตัวเหมือนเดิม ต่อให้ข้าจะอยากพาพวกเจ้าออกไป แต่ก็ไม่มีหนทางอยู่ดี”


เมื่อเหมียวอี้พูดแบบนี้ ทั้งห้าก็สีหน้าเปลี่ยนไปมาก พวกเขาสบตากับแวบหนึ่ง ที่เหมียวอี้พูดก็มีเหตุผล คงจะไม่ได้หลอกพวกเขา


แต่คำทำนายของเทพพยากรณ์มันยังไงกันล่ะ? ถ้าออกไปไม่ได้ก็จะโดนขังอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ จะยังเป็น ‘ยามหกคนพบกันอีกครั้ง สถานการณ์จะพลิกผัน’ ได้ยังไง? ไม่ใช่ว่าจะให้สร้างสถานการณ์อยู่ในนรกหรอกใช่มั้ย สถานที่อันตรายแบบนี้ ขนาดตำหนักสวรรค์ยังทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าก่อเรื่องที่นี่จะไม่เป็นการรนหาที่ตายหรอกเหรอ?


พวกเขาต่างก็กำลังพึมพำในใจ คำทำนายของเทพพยากรณ์ในช่วงแรกแม่นยำ ไม่มีเหตุผลที่ช่วงหลังจะไม่ตรงกัน?


เมื่อเงียบไปครู่หนึ่ง อวิ๋นอ้าวเทียนก็ขมวดคิ้วถามว่า “เจ้ามีแผนอะไรมั้ย?”


เหมียวอี้มองไปรอบๆ แล้วบอกว่า “เรียนรู้จากพวกเจ้าแล้วกัน เก็บตัวฝึกตนเป็นเพื่อนพวกเจ้า”


…………………………


บทที่ 1216 เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น


“เก็บตัวฝึกตนเหรอ?” มู่ฝานจวินแสดงออกว่าไม่เชื่อ “เจ้ามาเข้าร่วมการทดสอบ ถ้าได้คะแนนไม่ดี เจ้าไม่กลัวว่าจะรักษาอำนาจตำแหน่งของตำหนักสวรรค์ไว้ไม่ได้เหรอ?”


“ไม่รีบหรอก” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วหันตัวเดินออกไป กลับเข้ามาในห้องถ้ำแล้ว


เขาไม่ได้พูดโกหก เขาต้องการจะเก็บตัวฝึกตนจริงๆ ถึงอย่างไรเวลาทดสอบหนึ่งร้อยปีก็ยาวนาน รอให้ตัวเองวรยุทธ์สูงถึงระดับบงกชทองขั้นห้า หลังจากมีความสามารถในการปกป้องตัวเองเพิ่มขึ้นแล้ว ค่อยบุกนรกอีกทีก็ยังมีความั่นใจมากขึ้นหน่อย


ห้าปราชญ์ยังนึกว่าเหมียวอี้กำลังพูดเล่น หลังจากรอไปได้สักระยะ พบว่าเหมียวอี้จะเริ่มเก็บตัวฝึกตนจริงๆ ก็เรียกได้ว่าคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ไม่หยุด


แม่ยายจอมเอาเปรียบอย่างอันหรูอวี้นับว่าทำหน้าที่ได้ดีมาก พยายามดูแลเรื่องที่อยู่และอาหารการกินให้เหมียวอี้อย่างสุดความสามารถ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือจิตใจของพ่อแม่ในโลกนี้ข่างน่าสงสาร นางทำแบบนี้ก็เพราะคำนึงถึงลูกสาวทั้งสองของตัวเอง


ส่วนทางด้านร้านโฉมเมฆา อวิ๋นจือชิวคงการติดต่อกับเหมียวอี้ไว้ตลอด หลังจากได้ยินว่าภายในสี่สิบปีนี้เหมียวอี้จะหลบฝึกตนอยู่ในนรก ไม่คิดจะให้เกิดการปะทะใดๆ อวิ๋นจือชิวก็นับว่าโล่งใจแล้ว ตราบใดที่หาที่ดีๆ หลบและไม่โผล่หน้าออกมา อย่างน้อยภายในสี่สิบปีนี้เหมียวอี้ก็ค่อนข้างปลอดภัย


เมื่อได้รู้ว่าเหมียวอี้สบายดีและอยู่ด้วยกันกับพวกจีฮวน พวกจีเหม่ยลี่ก็นับว่าวางใจลงชั่วคราวเช่นกัน


ถึงแม้เหมียวอี้จะไม่ได้บอกฝูชิง อิงอู๋ตี๋และสวีถังหรานเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวเอง แต่ก็ยังคงการติดต่อกับทั้งสามไว้ตลอด สำหรับทั้งสาม ขอเพียงได้รู้ว่าเหมียวอี้ปลอดภัย ทั้งสามก็จะไม่ทำอะไรซี้ซั้วเป็นการชั่วคราว เป็นเพราะเหมียวอี้คนเดียวเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของคนเยอะเกินไป


กลับเป็นคนพวกนั้นที่สมาคมร้านค้าของตำหนักสวรรค์ คอยเปลี่ยนวิธีการหาทางสืบข่าวจากสี่เขตเมืองอยู่ตลอด อยากจะแน่ใจความเป็นความตายของเหมียวอี้ พวกฝูชิงก็บอกไปว่าติดต่อไม่ได้เลย


ส่วนมู่หรงซิงหัวก็ติดต่อไม่ได้จริงๆ อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่หวงฝู่จวินโหรวกับปี้เยว่ฮูหยินก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน


พอหลุดจากการควบคุมไปแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่ยอมให้ใครมาบงการง่ายๆ อีก


“ติดต่อไม่ได้ หรือว่าจะเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ?”


ในจวนของท่านโหวเทียนหยวน เมื่อเห็นปี้เยว่ฮูหยินใช้ระฆังดาราติดต่อเหมียวอี้ไม่ได้ผลอีกแล้ว ท่านโหวเทียนหยวนที่อยู่ในห้องโถงก็พึมพำพลางเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา


ปี้เยว่ฮูหยินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างกันเก็บระฆังดารา แล้วกลอกตามองเขาพร้อมบอกว่า “เป็นฝีมือเจ้าไม่ใช่รึไงล่ะ เจ้าหวังจะให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขาไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้จะมาเป็นห่วงทำไม”


“เฮ้อ! ตอนแรกใครจะไปรู้ล่ะ ถ้ารู้แต่แรกว่าเป็นทหารเสือที่ห้าวหาญเชี่ยวชาญการรบขนาดนี้ จะให้ไปเป็นเทพแห่งผืนดินหรือผีหลักเมืองแล้วทุ่มทรัพยากรเลี้ยงสักหนึ่งหมื่นปีจะเป็นไรไป การส่งถ่านให้ยามหิมะตกก็คือเวลาที่จะได้ซื้อใจลูกน้องคนสนิท น่าเสียดายแล้ว” เทียนหยวนส่ายหน้าถอนหายใจไม่หยุด


“หึหึ…” ปี้เยว่ฮูหยินหันหน้าแสยะหัวเราะไม่หยุด


คนที่เสียใจที่สุดควรเป็นนางสิ พอนึกถึงความห้าวหาญที่เหมียวอี้สังหารฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน นางก็นึกเสียใจทีหลังแทบแย่ เดิมทีเป็นลูกน้องคนโปรดของตัวเอง แต่ตัวเองกลับทำหายไปแล้ว


นางกลอกตามองเทียนหยวน ต้องโทษเจ้าผีบ้านี่ที่ออกความคิดซี้ซั้ว คราวหลังถ้ามีเรื่องอะไรตัวเองต้องออกความคิดเองซะแล้ว…


เวลาผ่านไปเร็วเหมือนติดปีก ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสี่สิบห้าปี


ในห้องถ้ำ ภายใต้การฝึกตน บนรอยนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วที่ปรากฏดอกบัวสีทองสี่กลีบมาตลอดเบ่งบานออกมาอีกหนึ่งกลีบ กลายเป็นวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้าแล้ว


เหมียวอี้ที่สงบนิ่งไม่สะทกสะท้านพลิกมือสองข้างเก็บยาเม็ดโลหิต พอโบกมือหนึ่งครั้ง เกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหนที่เหมือนไข่มุกก็ครอบร่างกายตัวเองไว้ ยาแก่นเซียนหลายร้อยเม็ดลอยอยู่ในนั้น ยาแก่นเซียนที่ระเบิดกลายเป็นพลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นเหมือนนมวัวทันที


หลังจากนั้นหนึ่งวัน หลังจากเก็บเกราะอิทธิฤทธิ์ล่องหนและยาแก่นเซียนที่เหลือแล้ว เหมียวอี้ก็ลืมตาและส่ายหน้าเบาๆ ความเร็วในการกลั่นกรองยาแก่นเซียนเพิ่มขึ้นอีกสามสิบเม็ด ในแต่ละวันจะกลั่นกรองได้สามร้อยยี่สิบเม็ด หรือพูดได้อีกอย่างว่า ถ้าอยากจะให้วรยุทธ์บรรลุถึงระดับบงกชทองขั้นหก ก็ต้องใช้เวลาอีกสองร้อยสามสิบปี


สำหรับนักพรตคนอื่นๆ ความเร็วแบบนี้ก็ถือว่ามากพอแล้ว แต่สำหรับเขาที่คุ้นชินกับพัฒนาการที่รวดเร็ว ความเร็วแบบนี้ถือว่าช้าเกินไป!


เมื่อออกจากห้องถ้ำ เหมียวอี้ก็มองดูเฮยทั่นที่นอนหมอบงีบอยู่ตรงปากถ้ำ แล้วหยิบแผนที่ดาวออกมาายอิทธิฤทธิ์อ่านดูจุดซ่อนสมบัติ


นี่ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เขามาที่นี่ ถ้าไม่ฉวยโอกาสนี้เก็บสมบัติไป นรกถูกปิดไว้ตลอด ในภายหลังถ้าอยากจะเข้ามาอีกก็ยากแล้ว และถ้าไม่ได้สมบัติฉบับนี้ อิงจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา เกรงว่าคงต้องเลิกคิดที่จะหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ตอนหลัง เหล่าไป๋นั่นใช้วิธีการซ่อนสมบัติแบบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ทำให้เจ้าไม่มีทางตัดใจทิ้งลง ทั้งยังไม่มีทางได้มาง่ายๆ ด้วย ทรมานคนใช้ได้เลย


สำหรับตำหนักสวรรค์และคนส่วนใหญ่ แดนอเวจีแทบจะเป็นสถานที่ว่างเปล่าที่ไม่มีใครรู้จัก โชคดีที่ในปีนั้นหกมหาราชันของพิภพใหญ่เคยดูแลที่นี่ อย่างน้อยบนแผนที่ดาวก็ยังบอกตำแหน่งดาวหลักและเส้นทางเข้าออกนรกอยู่บ้าง


เพียงแต่เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าทางเข้าออกนรกไม่ได้มีแค่สองที่เหมือนที่บอกไว้บนแผนที่ดาว การที่พวกอวิ๋นอ้าวเทียนสามารถเข้ามาได้จากอีกทางก็ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยันแล้ว เห็นได้ชัดว่าจำนวนดาวหลักไม่ได้มีแค่ที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ดาว ถึงอย่างไรขอบเขตดาราจักรของแดนอเวจีก็กว้างใหญ่ไพศาลมาก


ที่โชคดีก็คือ ดาวหลักของจุดซ่อนสมบัติที่ต่อไปก็อยู่บนแผนที่ดาวเช่นกัน ไม่อย่างนั้นตอนแรกคงไม่มีทางรู้ได้ว่าจุดซ่อนสมบัติอยู่ที่นรก


สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ปวดหัวก็คือ ต่อให้ตัดสินแยกแยะจากบนแผนที่ดาว แต่จุดซ่อนสมบัติของประมุขไป๋ในครั้งนี้อยู่ลึกเข้าไปในแดนอเวจี สถานที่แปลกใหม่ที่มีขอบเขตกว้างขวาง ไม่รู้เหมือนกันว่าซ่อนอันตรายอะไรเอาไว้บ้าง เหมียวอี้ค่อนข้างสงสัยว่าตัวเองจะสามารถไปถึงได้อย่างปลอดภัยหรือไม่


เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ พอเขาออกจากห้องถ้ำ ห้าปราชญ์ก็ทยอยกันโผล่หน้าเข้ามาหาทันที ห้าปราชญ์ผลัดกันส่งลูกศิษย์มาเฝ้าไว้ตลอด เหมือนกับกลัวว่าเขาจะหนีไป


สำหรับสิ่งนี้ เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ ไม่รู้ว่าทำไมห้าคนนี้ถึงต้องการจะติดตามเขาแบบไม่ยอมปล่อย ตัวเองพูดเปิดเผยไปตั้งแต่แรกแล้ว ว่าหลังจากการทดสอบจบลง คนที่จะออกไปได้ก็มีแค่เขาคนเดียว เขาไม่มีทางพาห้าปราชญ์ผ่านด่านตรวจของตำหนักสวรรค์ได้เลย


“เฮ้อ!” เหมียวอี้ส่ายหน้าถอนหายใจ “พวกเจ้าจะเอาแต่จ้องข้าไม่ยอมปล่อยทำไม? ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ อย่าคิดอะไรไม่ซื่อเด็ดขาด ทัพใหญ่ของนักพรตบงกชทองหนึ่งล้านข้าก็สังหารฝ่าเข้าฝ่าออกมาแล้วนะ ถ้าลงมือขึ้นมา ต่อให้พวกเจ้าห้าคนร่วมมือกัน ก็อาจจะยังเสียเปรียบก็ได้”


“รู้แล้วว่าเจ้าปีกกล้าขาแข็ง ตอนนี้ต่อสู้เก่งมาก ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดไม่ซื่อกับเจ้าหรอก” อวิ๋นอ้าวเทียนพูดแดกดัน แล้วจ้องแผนที่ดาวที้เก็บอยู่ในมือเขา พร้อมถามว่า “ดูแผนที่ดาวเหรอ? เจ้ามีแผนการอะไรใช่มั้ย?”


ทุกคนจ้องไปที่เหมียวอี้ ค่อนข้างเป็นการจับตาดู


เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แววตาวูบไหวเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็พูดปนยิ้มว่า “ไม่มีแผนอะไรนี่”


“งั้นอยู่ดีๆ เจ้าจะดูแผนที่ดาวทำไม? จะหนีไปเหรอ?” มู่ฝานจวินถาม


“ข้าจะไปหรือไม่ไป แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าล่ะ?” เหมียวอี้ถามกลับ


ฉางเหลยประนมมือกล่าวว่า “เหมียวอี้ ลูกศิษย์ข้ากลายเป็นผู้หญิงของเจ้าแล้ว ตอนนี้ทุกคนมีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติกัน เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น อยู่ที่นี่ควรจะสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว”


เหมียวอี้เถียงทันทีว่า “ใครเป็นเจ้าเจ้า เจ้าบวชแล้วใครยังจะเป็นคนในครอบครัวเจ้าได้อีก ใครจะไปรู้ล่ะว่าเจ้ามีแผนชั่วร้ายอะไรหรือเปล่า”


พวกเขาค่อนข้างพูดไม่ออก อยู่ที่พิภพเล็กพวกเขาเป็นบุคคลระดับบน เป็นฝ่ายขอให้เจ้าเป็นหัวหน้าแต่เจ้าก็ไม่เต็มใจ แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน


ในหลายปีมานี้ ทั้งห้าคิดทบทวนตัวเองกลับไปกลับมาตลอด บอกว่าจะให้เหมียวอี้เป็นใหญ่ที่สุดในบรรดาทั้งหกคน แต่เหมียวอี้ก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าโลกนี้มีเรื่องดีๆ แบบโชคหล่นทับแบบ ทำเอาห้าปราชญ์พูดไม่ออกมาก


แต่ทั้งห้าก็พอจะเข้าใจได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นพวกเขา ก็เกรงว่าจะทำใจเชื่อได้ยากเช่นกันว่าจะมีเรื่องดีๆ แบบนี้ ทั้งห้าดันงมงายเชื่อในคำทำนายของเทพพยากรณ์ ไม่สะดวกจะบอกความจริงกับเหมียวอี้ ทำได้เพียงหน้าด้านเกาะแกะอยู่แบบนี้ สง่าราศีหมดสิ้นแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าเหมียวอี้!


ทั้งห้าก็เคยชินกับการเลิกวางมาดต่อหน้าเหมียวอี้แล้วเช่นกัน


จีฮวนถอนหายใจแล้วบอกว่า “ตามหลักการแล้วข้ายังเป็นพ่อตาของเจ้าอยู่นะ ต่อให้เจ้าจะไม่ไว้หน้าข้า แต่ก็ต้องไว้หน้าเหม่ยลี่สักนิดไม่ใช่เหรอ ลูกสาวก็ยกให้เจ้าแล้ว ตอนนี้เจ้าพูดตัดน้ำใจไมตรีแบบนี้ มันไร้เหตุผลไปหน่อยรึเปล่า พวกเราไม่ต้องพูดนอกเรื่องไปไกลหรอก พูดให้ชัดเจนแล้วกัน เจ้าไปไหนก็ต้องพาพวกเราไปด้วย”


เหมียวอี้เอามือลูบคางพร้อมถามว่า “ต้องการจะไปกับข้าจริงๆเหรอ? พวกเจ้าเองก็รู้ว่าข้ามาเพื่อเข้าร่วมการทดสอบ ต้องไปสืบสำรวจให้ทั่ว อยู่กับข้าอันตรายมากนะ พวกเจ้าไม่กลัวเหรอ?”


“ขนาดเจ้ายังกล้าไป แล้วพวกเรายังมีอะไรต้องกลัวอีกล่ะ” ซือถูเซี่ยวพูดเสียงอู้อี้


“ข้าแปลกใจจัง ทั้งๆ ที่รู้ว่าอันตราย แต่พวกเจ้าก็ยังจะไปกับข้า ข้าจะบอกเอาไว้ก่อนเลยนะ ข้าไม่มีผลประโยชน์อะไรให้ทั้งนั้น” เหมียวอี้ขมวดคิ้ว


“ไม่ต้องการผลประโยชน์หรอก ทุกคนต้องรวมกลุ่มสามัคคีกันสู้กับภายนอก” มู่ฝานจวินกล่าว


เหมียวอี้เอามือไขว้หลัง “พาพวกเจ้าไปด้วยก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ข้าอยากจะรู้ว่าพวกเจ้าหนีรอดจากการไล่ฆ่าของนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพได้จริงเหรอ พิสูจน์ให้ข้าดูหน่อยสิ” นี่ต่างหากที่เป็นจุดประสงค์ของเขา ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จะได้อาศัยแรงหลบหนีได้สะดวก


อวิ๋นอ้าวเทียนเริ่มหัวร้อนแล้ว เป็นเพราะหลายปีมานี้โดนเหมียวอี้ทรมาน เขาพูดดีด้วยหมดแล้วแต่ยังไม่ได้ผล พอวางมาดเป็นท่านปู่ เหมียวอี้ก็ทำท่าเหมือนแบ่งแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่คำทำนายของเทพพยากรณ์ เขาก็อยากจะสู้กับเหมียวอี้สักตั้งจริงๆ


เขาเองก็ขี้คร้านจะพูดมาก จู่ๆ ก็กางแขนสองข้าง บนตัวมีปราณมารลอยขึ้นมา ก่อตัวเป็นลูกกลมสองลูกที่หลังอย่างรวดเร็ว ก่อนจะระเบิดเป็นปีกสีดำเหมือนปีกค้างคาวอย่างรวดเร็ว พอกระพือปีกทั้งคู่ ทั้งร่างก็พุ่งขึ้นไปที่ขอบฟ้าด้วยความเร็วสูง ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปแล้ว


เหมียวอี้ตกตะลึงกับความเร็วแบบนี้ เร็วกว่าตอนเฮยทั่นเหาะเสียอีก


จนกระทั่งอวิ๋นอ้าวเทียนบินกลับมาอีกครั้งและเก็บปีไว้ เหมียวอี้ก็ถามอย่างตกใจว่า “นี่คือความเร็วของนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเหรอ?” เขาเองก็ไม่เคยเห็นแบบจริงจังว่าเวลานักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเหาะนั้นเร็วขนาดไหน


“ไม่ใช่ ความเร็วของนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ ข้าไม่มีทางเทียบติดเลย ครั้งก่อนที่หนีพ้นการไล่ฆ่าเป็นเพราะโชคช่วยแท้ๆ…” อวิ๋นอ้าวเทียนเล่าสถานการณ์คับขันตอนนั้นให้ฟังทันที


ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง! หลังจากเข้าใจแล้ว เหมียวอี้ก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง ยังหวังให้คนกลุ่มนี้มีทักษะเรื่องการหนีอยู่เลย ตอนนี้ดูท่าแล้วคงจะหวังไม่ได้


หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ไปก็ไป! ไปด้วยกัน”


พาคนพวกนี้ไปด้วยอย่างน้อยก็มีกำลังเสริม ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้คงไม่มารวมตัวกับพวกเขาหรอก


เมื่อเห็นเขาตอบตกลง ทั้งห้าก็โล่งใจแล้ว มู่ฝานจวินถามว่า “ไปไหน?”


“ไปวนแถวๆ ดาวหลักปิ่งจื้อฮ่าวก่อนแล้วกัน” เหมียวอี้ตอบ


ทั้งห้าได้ยินแล้วหยิบแผนที่ดาวออกมาดู ตอนยังไม่ดูก็ยังไม่รู้ พอได้ดูแล้วก็ตกใจ จีฮวนพลันเงยหน้าถามอย่างตกใจว่า “เจ้าจะถ่อไปไกลขนาดนั้นทำไม? ตรงนั้นแทบจะเป็นใจกลางของแดนอเวจีแล้ว! เจ้ามาสำรวจเพื่อทดสอบ ไม่จำเป็นต้องไปลึกขนาดนั้นหรอกมั้ง?”


เหมียวอี้เอามือลูบจมูก แล้วหัวเราะแห้งๆ “อยากร่ำรวยก็ต้องเสี่ยงอันตรายไง ถ้าสืบอะไรได้จากแหล่งที่ไม่มีคนกล้าไป แบบนั้นถึงจะมีโอกาสได้อันดับดีๆ”


“ศูนย์กลางของโจรกบฎมีอะไร คงไม่ต้องให้ข้าบอกเจ้าหรอกมั้ง? มิหนำซ้ำแดนอเวจีก็แปลกประหลาดเกินไป ถ่อไปไกลขนาดนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเจอสถานการณ์อะไรบ้าง…” จีฮวนกล่าว


“จีฮวน!” มู่ฝานจวินพลันพูดตัดบท “ตามใจเขาเถอะ!”


…………………………

บทที่ 1217 โดนดักซุ่มโจมตี


จีฮวนอึ้งไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็เข้าใจได้จากสายตาบอกใบ้ของมู่ฝานจวิน ประเด็นสำคัญยังคงอยู่ที่คำทำนายของเทพพยากรณ์ การฝืนขัดขวางเหมียวอี้อาจจะไม่ใช่เรื่องดี


ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการเข้าไปสู่ใจกลางของแดนอเวจีเชียวนะ ในใจของพวกเขายังคงคิดวนเวียนสับสนอยู่บ้าง


เมื่อเห็นทุกคนไม่ห้ามอะไรแล้ว เหมียวอี้ก็ถามกลั้วหัวเราะว่า “ถ้าทุกคนไม่มีความเห็นแย้งอะไร ก็อย่าผัดวันประกันพรุ่งเลยแล้วกัน ออกเดินทางตอนนี้เลยดีมั้ย?”


ห้าปราชญ์ยังจะมีความเห็นแย้งอะไรได้อีก? ยอมเรียกรวมพลเพื่อออกเดินทางอยู่แล้ว


เพียงแต่ก่อนจะออกเดินทาง ฉางเหลยยังคงกล่าวว่าอามิตตาพุทธแล้วบอกว่า “เหมียวอี้ ที่นี่อันตราย เหมือนเจ้าจะได้เกราะรบผลึกแดงมาไม่น้อยเลย ไม่สู้ให้พวกเรายืมสักสองสามชุดล่ะ พวกเราจะได้มีหลักประกันบ้าง”


อวิ๋นอ้าวเทียนและตนตระกูลอวิ๋นไม่ขาดเกราะรบผลึกแดง อวิ๋นจือชิวเตรียมไว้ให้ตระกูลอวิ๋นอย่างครบครันตั้งแต่แรกแล้ว


ส่วนปราชญ์ที่เหลือ หลังจากดักฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนก็ได้มาสามชุด นอกจากจะแบ่งจำนวนลำบากแล้ว เมื่อแบ่งไปก็ยังขาดแคลนอยู่ดี


“เงินที่พวกเจ้าติดข้ายังไม่คืนเลย ยังจะยืมอีกเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลับ


เขาต้องป้องกันไว้ เพราะถ้าคนพวกนี้ได้ของวิเศษดีๆ แล้วจะไม่เป็นผลดีกับเขา หกเคล็ดวิชาพิเศษก็ไม่ใช่เล่นๆ


ห้าปราชญ์พูดไม่ออกเหมือนกันหมด โดนคำถามนี้อุดปากจนอับอายพอสมควร จะเถียงกลับประมาณว่ายกลูกศิษย์หรือลูกสาวให้แต่งงานกับเจ้าแล้วก็ไม่เหมาะสมอยู่ดี เป็นเพราะถ้ายืมเงินไปแล้วยังพูดจาแบบนั้นออกมา ก็จะไม่ต่างอะไรกับการขายลูกสาวตัวเอง จะยังพูดออกมาได้อย่างไร


ตอนนี้ห้าปราชญ์ยังคืนเงินไม่ไหว ทรัพย์สินบนตัวที่ได้มาจากการดักฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนก็ยังพอมีอยู่บ้าง เพียงแต่ถ้าคืนตอนนี้ก็ยังรู้สึกแปลกนิดหน่อย และแน่นอน นอกจากอวิ๋นอ้าวเทียนแล้ว ตอนนี้คนในตระกูลอวิ๋นก็ยังคืนไม่ไหวแน่นอน ของที่อวิ๋นจือชิวให้ไว้มีไม่น้อย  แค่เกราะรบผลึกแดงอย่างเดียวก็เยอะกว่าของบนตัวผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนนั้นรวมกันแล้ว


ห้าปราชญ์นับว่าประสบความพ่ายแพ้แล้ว พบว่าตัวเองวางมาดต่อหน้าเจ้าเวรนี่ไม่ไหวเลย อีกฝ่ายไม่ได้ใช้อำนาจกดดัน แต่การใช้เงินกดดันก็ทำให้เจ้าเถียงไม่ออกได้เหมือนกัน


“ช่างเถอะ!” ชั่วพริบตาเดียวเหมียวอี้ก็เลิกดึงดันแล้ว “ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุสงฆ์ แต่ก็ควรต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธรูป เห็นแก่บรรดาอนุภรรยาของข้า  ข้าให้ยืมก็ได้ ต้องการกี่ชุดล่ะ?”


ถ้าไม่ขอยืมก็เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอยู่ดี อยู่ในสถานที่อันตรายแบบนี้ยังมีคราวที่ต้องอาศัยพวกเขา ถ้าปกป้องไม่ได้แม้แต่ชีวิตตัวเอง การพกสมบัติมากมายไว้บนตัวจะมีประโยชน์อะไร? ถ้าให้ยืมไปก็ยังเพิ่มศักยภาพให้ฝั่งตัวเองได้ พอไตร่ครวญดูแล้วก็พบว่าให้ยืมจะคุ้มค่ามากกว่า


ฝั่งห้าปราชญ์ย่อมอยากจะให้ทุกคนได้คนละชุด ในเมื่อเหมียวอี้ตัดสินใจว่าจะให้แล้ว ก็ต้องทำเรื่องดีให้ถึงที่สุด ไม่เพียงแค่ให้เกราะรบผลึกแดงหนึ่งชุดสำหรับคนที่ไม่มี ทั้งยังให้สัตว์เทพกับทุกคนที่ยังไม่มีด้วย


หลังจากสมาชิกของห้าปราชญ์มากันครบและต่างคนต่างนำของไปแล้ว เพื่อความปลอดภัยและเพื่อไม่ให้สะดุดตาคนมากเกินไป พวกเขาต่างก็เก็บคนของตัวเองไว้ในกระเป๋าสัตว์แล้ว


เหมียวอี้กลับทำอย่างเรียบง่าย ใช้เท้าเตะครั้งเดียวก็ปลุกจนเฮยทั่นที่นอนงีบอยู่ตรงปากถ้ำตกใจจนกระโดดพรวดขึ้นมา พอถลันตัวขึ้นไปนั่งบนตัวของเฮยทั่นที่คับแค้นใจเล็กน้อย ตบคอเฮยทั่นเบาๆ เฮยทั่นก็แบกเขาพุ่งขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูงแล้ว


พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ต่างคนต่างเรียกสัตว์พาหนะออกมาเช่นกัน ควบขี่กระโจนขึ้นฟ้าตามไป…


ลูกกลมสีดำขนาดใหญ่ลูกหนึ่งกำลังหมุนวนอยู่ในดาราจักรที่เงียบงัน บางครั้งก็มีสิ่งที่คล้ายกับแสงสว่างปรากฏให้เห็นรางๆ


หลังจากมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นหลายครั้ง หลังจากการเข่นฆ่าอันดุเดือดหนึ่งฉาก


คนชุดดำนับหมื่นถลันวูบเข้ามาเก็บกวาดศพหลายพันร่าง ดูจากเกราะทองเครื่องแบบของตำหนักสวรรค์ที่สวมใส่อยู่บนตัวศพส่วนใหญ่ ก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นคนของตำหนักสวรรค์ที่มาเข้าร่วมการทดสอบ มีคนชุดดำอีกส่วนหนึ่งรีบไล่ตามคนของตำหนักสวรรค์ที่หนีกระเจิดกระเจิง


ผ่านไปไม่นาน ไม่มีใครหลุดรอดไปได้สักคน ผู้เข้าร่วมทดสอบหลายพันที่บังเอิญมาถึงที่นี่ติดกับดักทั้งหมด


นักพรตบงกชรุ้ง สัญลักษณ์วรยุทธ์ที่แท่นจิตตรงหว่างคิ้ว ดอกบัวสีรุ้งแปดสิบเอ็ดกลีบที่มีเก้าสีคือวรยุทธ์สูงสุดของระดับบงกชทอง เบ่งบานเก้ากลีบเก้าสีจำนวนหนึ่งชั้นก็คือขั้นหนึ่ง เบ่งบานเก้าสีเก้าชั้นก็คือขั้นเก้า


คนชุดดำหน้าดำคนหนึ่งกำลังลอยอยู่ในดาราจักรเพื่อดูการต่อสู้ ใบหน้าไร้หนวดเคราะ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นเจ็ด กำลังใช้สายตากวาดมองสนามรบที่ปิดฉากลง หลังจากคนกลุ่มหนึ่งมารายงานผลการรบแล้ว แตรสัญญาณลวดลายดุร้ายสีดำขลับคล้ายเขาวัวอันหนึ่งก็ถูกหยิบออกมา จากนั้นก็วางในปากแล้วออกแรงเป่า


“อู…อู…”


เสียงสะอื้นที่ทำให้ทำให้รู้สึกอึดอัดดังกระจายอยู่ในดาราจักรตามพลังอิทธิฤทธิ์


กำลังพลนับหมื่นหันขวับมองมา มองไปทางคนชุดดำที่กำลังเป่าแตรสัญญาณ จากนั้นก็รีบมารวมตัวกันทันที รุกถอยอย่างมีระเบียบ เห็นได้ชัดว่าเป็นกำลังพลที่ผ่านการฝึกมาอย่างยาวนาน


เมื่อเก็บแตรสัญญาณแล้ว คนชุดดำก็ก็หันตัวเหาะไปทางลูกกลมสีดำขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างหลัง ส่วนกำลังพลนับหมื่นก็ไล่ตามเช่นกัน


หลังจากเข้าใกล้วัตถุทรงกลมลูกนั้น ถึงได้พบว่าลูกกลมสีดำลูกนั้นคือก้อนหินโลหะสีดำมันวาวทั้งเล็กทั้งใหญ่นับไม่ถ้วนที่รวมตัวกันอย่างไร้ระเบียบ ลูกที่ใหญ่ก็มีขนาดเท่าภูเขา ลูกที่เล็กก็ขนาดเท่าก้อนกรวดทราย ดูคล้ายฉากกั้นขณะหมุนวนด้วยความเร็ว มองไกลๆ เหมือนรวมเป็นก้อนเดียวกัน


เมื่อเผชิญกับกระแสหินที่ยากจะทะลุผ่านไปได้หากไม่ใช้พลังอันแข็งแกร่ง กำลังพลนับหมื่นก็กลายเป็นหมอกหยินทะลุเข้าไประหว่างกระแสหินแล้ว ทั้งหมดเป็นนักพรตผี


จนกระทั่งลอดผ่านกระแสหินที่ปกคลุม หมอกหยินหลายกลุ่มก็ก่อตัวเป็นร่างคนอีกครั้งในชั่วพริบตาเดียว กำลังพลนับหมื่นปรากฏตัว แล้วเหาะไปข้างหน้าต่อไป ด้านหน้าต่างหากที่เป็นดาวเคราะห์ที่แท้จริง ส่วนสิ่งที่มองเห็นจากภายนอกล้วนเป็นกระแสหินที่ครอบคลุมปกป้องอยู่หนึ่งชั้น


คนกลุ่มหนึ่งเหยียบลงบนดินแดนมืดมิดที่ไร้แสงจากดวงอาทิตย์ มีเพียงบนภูเขาหินแหลมเหมือนกระดูกที่มีแสงสลัวกะพริบเป็นบางครั้ง ต้นไม้ใบหญ้าเติบโตไม่ได้ ลมอันหนาวเหน็บพัดหวีดหวิว


ระหว่างซอกของภูเขาหินตะปุ่มตะป่ำ ในห้องถ้ำเผยศีรษะใบแล้วใบเล่า มองไม่ออกว่าใบหน้าแต่ละหน้าอยู่ในอารมณ์แบบไหน กำลังมองดูกำลังพลที่กลับมา พวกเขาทั้งหมดเป็นคนชุดดำเช่นกัน มองดูคร่าวๆ เกรงว่าจะมากถึงหลายหมื่น ไม่มีใครพูดจาสักคน ได้ยินเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิว


ปราณหยินที่เกิดจากการรวมตัวของนักพรตผีจำนวนมากพัดผ่านระหว่างภูเขาไปตามสายลม


ในบรรดาคนที่เหยียบลงพื้น พอหนึ่งคนในนั้นที่เป็นหัวหน้าโบกมือ คนชุดดำนับหมื่นก็โยนร่างของกำลังพลตำหนักสวรรค์หลายพันร่างออกมาทันที ศพกองรวมเป็นภูเขา


ไม่ใช่ว่าจะเป็นศพทั้งหมด ยังมีจำนวนอีกหลายร้อยที่เป็นเชลยศึก แต่ละคนถูกดาบจ่อคอให้คุกเข่าลงกับพื้น บรรดาเชลยศึกที่ไม่พิการก็บาดเจ็บพอโผล่หน้ามาก็มองไปรอบๆ อย่างตื่นตระหนก เห็นเพียงใบหน้าไร้อารมณ์จำนวนมากที่อยู่ระหว่างซอกของภูเขาหินตะปุ่มตะป่ำกำลังมองพวกเขาอยู่


ใบหน้าพวกนั้นกำลังมองพวกเขาอย่างเงียบๆ มองอย่างนิ่งเฉย ไม่มีทางบรรยายได้ว่าในดวงตาแต่ละคู่นั้นเป็นแววตาแบบไหน เป็นแววตาประเภทที่มองไม่เห็นความหวังใดๆ ราวกับเป็นผีดิบที่เดินได้ เมื่อโดนแววตาแบบนี้หลายคู่จ้องมอง บรรดาเชลยศึกที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็รู้สึกเหมือนหัวใจเจอกับอากาศหนาว


ในบรรดาทหารสวรรค์ที่นั่งคุดเข่า จู่ๆ ก็มีคนตะโกนเสียงดังอย่างวิตกจริตว่า “ยอมแพ้! ข้ายอมแพ้…”


แต่ใครจะคิดว่ายังพูดไม่ทันจบ ก็โดนนักพรตผีที่ใช้ดาบจ่ออยู่ข้างหลังฟันทิ้งแล้ว เสียงร้องขอชีวิตพลันหยุดชะงัก เลือดร้อนที่พุ่งขึ้นมาจากอกถูกลมพัดสลายหายไป ศีรษะใบใหญ่ที่กลิ้งไปไกลตามสายลมติดค้างอยู่ที่ภูเขาหินแล้ว


คนอื่นๆ ที่เดิมทีคิดจะร้องขอชีวิตตามตกใจจนหุบปากทันที คำพูดที่ขึ้นมาถึงปากถูกกลืนลงไปอีกครั้ง


มีคนออกมาต้อนรับ กุมหมัดคารวะผู้ที่เป็นหัวหน้าคนนั้นว่า”ผู้บัญชาการกวน”


“ขุนพลอยู่ที่ไหน?” ผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้บัญชาการกวนถามเสียงต่ำ


“บนภูเขาขอรับ!” คนคนนั้นหันตัวแล้วชี้ไป


ผู้บัญชาการกวนเหลือบตาขึ้นมองตาม ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป บนยอดเขาของภูเขาลูกที่สูงที่สุด ยอดเขาที่โดนลมพัดม้วนปราณหยินสีเทาขึ้นมาปกคลุม ชายชุดดำรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งสวมผ้าคลุมบ่าสีดำที่กำลังปลิวสะบัดตามแรงลม ผมยาวยุ่งสยายปลิวว่อนตามสายลม หนวดยาวหลายช่อก็แกว่งไกวตามแรงลมเช่นกัน ใบหน้าขาวหมดจด กำลังเอามือไขว้หลังมองท้องฟ้า ในแววตาที่ล้ำลึกเผยให้เห็นอารมณ์งงงวยเหม่อลอย มองข้ามเชลยศึกที่ลูกสมุนคุมตัวมา ไม่รู้ว่ากำลังใคร่ครวญอะไรอยู่


ผู้บัญชาการกวนถลันตัวขึ้นมา เหยียบลงบนยอดเขาที่ตัดสลับกันเหมือนฟันสุนัข เสียงลมที่พัดผ่านระหว่างภูเขาหินระเกะระกะยิ่งฟังดูแหลมและเศร้ารันทด


หลังจากเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ก็กุมหมัดคารวะว่า “รายงานท่านขุนพล โจรกบฏอ่อนแอ ดักฆ่าโจรกบฏได้สี่พันสี่ร้อยสี่สิบเอ็ดคน จับผู้รอดชีวิตมาได้สามร้อยเจ็ดคน ไม่มีใครหลุดรอดไปได้ กองกำลังรบของข้าตายไปหกคน ได้รับชัยชนะโดยสมบูรณ์ ได้โปรดชี้แนะว่าจะให้จัดการอย่างไรขอรับ” ในคำพูดของเขา ไม่น่าเชื่อว่ากำลังพลของตำหนักสวรรค์จะกลายเป็นโจรกบฏแล้ว!


ขุนพลคนนั้นเหลือบตาลงเล็กน้อยเพื่อมองสถานการณ์ตรงตีนเขา แล้วถามเสียงเรียบว่า “อาณาเขตผืนนี้ที่พวกเรารับผิดชอบ วางด่านตรวจไว้หมดแล้วรึยัง?”


“วางกำลังไว้หมดแล้วขอรับ สายลับกล้าได้กล้าเสีย ขอเพียงแค่มีคนผ่านอาณาเขตผืนนี้ ก็จะถูกพบทันที” ผู้บัญชาการกวนตอบ


ตอนนี้ขุนพลถึงได้ตอบว่า “จัดการตามธรรมเนียมเดิมแล้วกัน”


“ขอรับ!” ผู้บัญชาการกวนกุมหมัดคารวะแล้วถอยออกไป


พอกลับมาที่ตีนเขา เสียงคำสั่งดังขึ้น เชลยศึกตำหนักสวรรค์หลายร้อยคนก็ถูกกดไว้ทันที ปราณหยินหลายกลุ่มม้วนกรอกเข้าไปในร่างกายของพวกเขา ต้องการจะหลอมสร้างเชลยศึกทุกคนให้กลายเป็นผีดิบเพื่อกรีดเอาเม็ดยาหยิน


“อา…” บรรดาเชลยศึกที่รู้ชะตากรรมตัวเองแล้วส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดทรมานเกินทน แต่ถูกควบคุมตัวไว้จึงไม่มีทางขัดขืนได้เลย


ขณะเดียวกันก็มีคนเริ่มจัดการศพนับพันที่กองกันเหมือนภูเขาแล้ว จัดการสิ่งของที่อยู่บนตัวศพ


ผู้บัญชาการกวนที่กำลังยืนมองลูกสมุนทำงานอย่างเงียบๆ จู่ๆ ก็คิ้วกระตุกเล็กน้อย เขาหยิบระฆังดาราออกมา แล้วเขย่าถามว่า : มีเรื่องอะไร?


สายลับส่งข่าวกลับมาว่า : รายงาน! ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้มีสัตว์พาหนะหกตัวเข้ามาใกล้ คาดว่าอีกประมาณหนึ่งชั่วยามจะไปถึง!


ผู้บัญชาการกวน : แน่ใจนะว่ามีแค่หกคน?


สายลับ : ขอรับ! ไม่เห็นสมาชิกคนอื่นๆ


ผู้บัญชาการกวนเก็บระฆังดารา แล้วเรียกรวมกำลังพลจำนวนแปดร้อยคน ก่อนจะทะยานขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว


หกคนที่สายลับรายงานก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหกปราชญ์คนใหม่ที่มีเหมียวอี้เป็นหัวหน้า


พวกเหมียวอี้ย่อมนึกไม่ถึงอยู่แล้ว เพิ่งจะออกจากที่ซ่อนตัวหลายสิบปีได้ไม่ถึงครึ่งวัน ก็โดนคนจับตามองเสียแล้ว


หกคนที่ขี่สัตว์พาหนะทะยานอยู่ในดาราจักรมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังอยู่ตลอด แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไร


เมื่อบุกเข้ามาในบริเวณที่มีหินระเกะระกะและกำลังจะผ่านออกไป จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ทั้งหกแทบจะหยุดพร้อมกัน เห็นเพียงข้างหน้ามีคนชุดดำหนึ่งร้อยคนพุ่งออกจากหลังก้อนหินที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างกะทันหัน มาขวางทางพวกเขาเอาไว้


ทั้งหกรีบมองไปรอบๆ อีกครั้ง ไม่ใช่แค่ด้านเท่านั้น แต่สี่ด้านแปดทิศล้วนมีกำลังพลหนึ่งร้อยคนโผล่มา ตัดขาดทางเข้าและทางถอยของพวกเขาแล้ว


โดนดักซุ่มโจมตีแล้ว! ในใจทั้งหกเกิดความคิดนี้แทบจะพร้อมกัน


ทั้งหกล้วนมีประสบการณ์ในสนามรบมายาวนาน พอเห็นสภาพเหตุการณ์แบบนี้ก็รู้ทันทีว่าเป็นการดักซุ่มแบบพุ่งเป้าหมาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาโดนจับตามองแต่ไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนของตำหนักสวรรค์ พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองก็ดูออกว่าเป็นนักพรตผีเหมือนกันหมด


ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าได้ปะทะกับคนในนรกแล้ว ทั้งหกรีบส่งสายตาให้กัน ในใจแอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว แต่กลับไม่มีใครทำแสดงสีหน้าหวาดกลัว รีบสวมเกราะรบผลึกแดงเตรียมต่อสู้ในทันที


“ผีเฒ่าซือถู เจ้าเป็นราชาผี ชำนาญการรับมือกับนักพรตผีที่สุด ศึกแรกนี้ต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว เจ้าเป็นกองหน้า พวกเราห้าคนจะระวังหลังให้เจ้า ป้องกันบนล่างซ้ายขวาให้เจ้า เจ้าสนใจแค่บุกสังหารไปข้างหน้าก็พอ ทุกคนต้องทำให้อีกฝ่ายรู้สึกพ่ายแพ้ในศึกเดียว โจมตีให้เกิดช่องโหว่” มู่ฝานจวินรีบสั่งทางซ้ายและขวา


“อย่าพัวพันอยู่กับพวกมัน ถ้าสังหารฝ่าออกไปได้ ก็หนีไปทันที!” จีฮวนก็กล่าวเสียงต่ำเช่นกัน


…………………………


บทที่ 1218 สถานการณ์อะไร


ไม่อยากพัวพันและก็พัวพันไม่ได้ด้วย ประการแรกเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามมีคนเยอะ ประการต่อมาเป็นเพราะวรยุทธ์ที่แสดงบนหว่างคิ้วของฝ่ายตรงข้ามล้วนเป็นบงกชทองขั้นห้าขึ้นไป


แทบจะไม่ต้องบอก ซือถูเซี่ยวควบสัตว์เทพบุกโจมตีข้าศึกอยู่ข้างหน้า เหมียวอี้และอีกสี่คนรีบหาตำแหน่งที่ให้ความร่วมมือ วางรูปแบบขบวนทัพเพื่อบุกโจมตีไปข้างหน้า


บนดาวเคราะห์ขรุขระดวงหนึ่งที่มีความยาวเส้นรอบวงหลายสิบจั้ง ขณะผู้บัญชาการกวนจ้องขบวนทัพบุกโจมตีข้าศึกที่ทั้งหกวางกำลังอย่างรวดเร็ว ก็หรี่ตาเล็กน้อยพร้อมบอกว่า “หกคนนี้ไม่เหมือนกำลังพลของตำหนักสวรรค์ที่เจอก่อนหน้านี้ มีประสบการณ์รบที่กำลังพลก่อนหน้านี้เทียบไม่ติด บอกให้เหล่าพี่น้องระวังตัวหน่อย อย่าประมาทเลินเล่อ”


“อู…” หนึ่งในคนที่ยืนอยู่ทางซ้ายและขวาหยิบแตรเขาวัวอันหนึ่งออกมาทันที เป่าเสียงสั้นๆ หนึ่งครั้งเพื่อเตือนให้ลูกน้องระวังตัว


หกคนที่จัดขบวนทัพบุกโจมตีเข้ามากลับแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว เป็นเพราะแตรเขาวัวทำให้พวกเขาสังเกตเห็นผู้บัญชาการกวน วรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นเจ็ดตรงหว่างคิ้วของผู้บัญชาการกวนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างซ้ายและขวาของผู้บัญชาการกวน คนหนึ่งเป็นนักพรตระดับบงกชรุ้งขั้นสี่ คนหนึ่งเป็นระดับบงกชรุ้งขั้นสาม


ลำพังแค่วรยุทธ์ของสามคนนี้แสดงออกมา ก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งหกคนเหลือทนแล้ว


ไม่น่าเชื่อว่าจะได้สู้กับนักพรตระดับบงกชรุ้งโดยตรง! เหมียวอี้แอบรู้สึกจนปัญญา นี่เพิ่งโผล่หน้าออกมาจากสถานที่ที่ซ่อนตัวได้ไม่กี่สิบปี ก็เจอกับตอปัญหาแบบนี้แล้ว ต้องโดนที่ซ่อนสมบัติของประมุขไป๋วางกับดักให้ตายแน่นอน ดีไม่ดีครั้งนี้อาจจะตายด้วยน้ำมือของประมุขไป๋แล้วจริงๆ!


แต่เขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่ตัวเองโลภเกินไป เดิมทีสมบัติที่ประมุขไป๋ซ่อนไว้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอยู่แล้ว ถ้าไม่มีความคิดอยากจะได้สมบัติที่ซ่อนเอาไว้นี้ ต่อให้เข้ามาในนรกแล้ว แต่ตราบใดที่ไม่บุกเข้ามาถึงใจกลางนรก ก็คงไม่เจอกับปัญหายุ่งยากแบบนี้ ตอนนี้มาพูดอะไรก็คงสายไปแล้ว


ด้านหน้ามีศัตรูที่แข็งแกร่งคุมสถานการณ์ ซือถูเซี่ยวที่บุกโจมตีข้าศึกอยู่ข้างหน้ากล่าวเสียงต่ำว่า “เลี้ยวซ้าย!”


ทิศทางที่ทั้งหกคนรวมกลุ่มพุ่งโจมตีเลี้ยวไปทางขวาอย่างรวดเร็ว อวิ๋นอ้าวเทียนพูดต่ออีกว่า “หลังจากสังหารฝ่าออกไปได้แล้วก็เข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้าทันที”


คนที่เหลือเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ พอฝ่าออกไปได้แล้วก็จะอาศัยเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานของเขาช่วยหลบหนีทันที แบบนั้นยังมีความหวังว่าจะรอดตัวไปได้บ้าง ไม่อย่างนั้นถ้าได้สู้กับนักพรตบงกชรุ้งสามคนในรวดเดียว อาศัยวรยุทธ์อย่างเขาก็ไม่มีทางต่อสู้กันได้เลย ถ้ามีแค่คนเดียวยังพอลองดูได้บ้าง


กำลังพลจากสี่ด้านแปดทิศล้อมพุ่งเข้ามาโจมตีอย่างรวดเร็ว โดยแบ่งเป็นกลุ่มย่อยสามคนและจัดขบวนทัพเล็กรูปสามเหลี่ยม


ซือถูเซี่ยวที่โจมตีเป็นกองหน้าก็ไม่ได้อ่อนหัด เพื่อที่จะทำให้ขบวนทัพโจมตีของฝ่ายตรงข้ามไร้ระเบียบ เขาผลักฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา ในชั่วพริบตาเดียวก็ระเบิดคนที่หน้าตาเหมือนซือถูเซี่ยวออกมาหลายสิบคน กำลังพุ่งโจมตีไปข้างหน้า


ในบรรดากำลังพลแปดร้อยที่ล้อมโจมตี มีบางคนที่เห็นฉากนี้แล้วทำสีหน้าตกใจมาก


“เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง?” ผู้บัญชาการกวนที่ดูการต่อสู้พลันเบิกตากว้าง พลางหลุดอุทานออกมา เขาพลิกมือเผยแตรเขาวัวแล้วเป่า “อู” อย่างดุเดือดเร่งด่วน


กำลังพลแปดร้อยที่ล้อมโจมตีรีบหยุด กองกำลังที่มาดักหน้าโจมตีทั้งหกคนถึงขั้นรีบแยกออกไปทางซ้ายและขวาอย่างเร่งด่วน แทบจะเกิดเป็นทางเดินอย่างคับขันในชั่วพริบตาที่ประมือกัน


ซือถูเซี่ยวที่หน้าตาเหมือนกันหลายสิบคนบุกนำออกไปก่อน ส่วนซือถูเซี่ยวตัวจริงที่นำทั้งห้าคนบุกโจมตีข้าศึกอยู่ข้างหน้ากลับงงงันอยู่พักหนึ่ง พวกเหมียวอี้ที่เตรียมตัวจะสู้สุดชีวิตแต่คว้าน้ำเหลวก็ทำสีหน้างุนงงเช่นกัน นี่มันหมายความว่าอะไร?


พอพวกเขาหันกลับไปมอง ก็พบว่าคนพวกนั้นไม่ได้ไล่ตามมาอีก ทำเอาพวกเขาสับสนงงงวยแล้ว


ส่วนผู้บัญชาการกวนนั่นก็แฉลบไล่ตามมาแล้ว นักพรตบงกชรุ้งที่อยู่ทางซ้ายและขวาก็ตามมาเช่นกัน


เหมียวอี้และห้าปราชญ์ตกใจมาก แต่ก็เข้าใจในชั่วพริบตาเดียว สงสัยอีกฝ่ายจะทำไปเพื่อลดการบาดเจ็บล้มตาย จึงให้นักพรตบงกชรุ้งสามคนลงมือเองแล้ว


ตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะคิดอะไรมากขนาดนั้น เอาตัวรอดให้ได้ก่อนต่างหากที่สำคัญที่สุด ซือถูเซี่ยวที่ไล่ตามวิชาแยกร่างของตัวเองทันโบกมือดูดร่างหลายสิบร่างเข้ามาในร่างกายของตัวเองทั้งหมด


จากนั้นซือถูเซี่ยว มู่ฝานจวิน ฉางเหลย จีฮวนและเหมียวอี้ก็รีบเก็บสัตว์พาหนะของตัวเองเข้าในกระเป๋าสัตว์ ก่อนจะเป็นฝ่ายเข้าไปในกระเป๋าสัตว์ของอวิ๋นอ้าวเทียนอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง เบียดเข้าไปอยู่ในรังเดียวกัน


พออวิ๋นอ้าวเทียนกางแขนสองข้าง ทั้งตัวก็มีปราณมารลอยวนเวียนทันที ก่อตัวกลายเป็นลูกกลมสีดำสองลูกที่แผ่นหลัง แล้วระเบิดกลายเป็นปีกสีดำขลับสองข้างอย่างรวดเร็ว จากนั้นโบกมือเก็บสัตว์พาหนะของตัวเอง แล้วกระพือปีกบินไปยังจุดลึกในดาราจักรอย่างรวดเร็ว


“เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน!” ผู้บัญชาการกวนที่ไล่ตามมาข้างหลังหลุดอุทานอีกครั้ง ก่อนหน้านี้สีหน้าของเขายังดูประหลาดใจสงสัยและไม่กล้าแน่ใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้พอได้เห็นปีกสองข้างของอวิ๋นอ้าวเทียน ขณะที่กำลังตกตะลึง แววตาก็วูบไหวร้อนรน ตะโกนบอกทันทีว่า “สหายที่อยู่ข้างหน้า พวกเราไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ได้โปรดหยุดก่อน!”


จะไปหยุดทำผีอะไรล่ะ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถ้าอวิ๋นอ้าวเทียนเชื่อฟังได้ก็แปลกแล้ว ปีกสองข้างกระพืออย่างรีบเร่ง เรียกได้ว่าบินด้วยความเร็วสุดกำลัง


เมื่อเห็นว่าตะโกนเรียกไม่ได้ผล ผู้บัญชาการกวนก็สะบัดแขนสองข้าง ความเร็วในการเหาะเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ความเร็วในการไล่ตามเพิ่มขึ้นจนถึงระดับสูงสุดแล้ว


ทำให้ลูกน้องสองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาค่อยๆ ทิ้งระยะห่างจากเขาทันที


อวิ๋นอ้าวเทียนที่หันกลับมามองเป็นระยะแอบร้องว่าแย่แล้ว วรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นเจ็ดของอีกฝ่ายไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย ถึงแม้จะไม่ได้ตามเขาทันในทันที แต่กลับย่นระยะห่างให้ใกล้กันทีละนิด ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปอีกไม่นานจะต้องตามทันแน่นอน


ตอนนี้เขานับว่าได้พิสูจน์และมั่นใจเรื่องอะไรบางอย่างแล้ว อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ต่อให้ใช้ท่า ‘วิถีมารครองใต้หล้า’ ก็ไม่มีทางหนีรอดเงื้อมมือนักพรตบงกชรุ้งไปได้เลย


และไม่นานความจริงก็ได้พิสูจน์การคาดการณ์ของเขาแล้ว ผู้บัญชาการกวนค่อยๆ ตามติดอยู่ข้างหลัง แล้วกล่าวเสียงดังว่า “สหาย ข้ารับรองว่าไม่มีเจตนาร้ายแน่นอน ได้โปรดหยุดก่อน!”


อวิ๋นอ้าวเทียนรีบหันกลับมามอง เมื่อเห็นตรงจุดไกลๆ มีนักพรตบงกชรุ้งอีกสองคนตามมา เขาก็ไหวตัวเร็วมาก ตอบกลับทันทีว่า “ถ้าอยากจะพิสูจน์ว่าตัวเองไม่มีเจตนาร้าย ก็ให้คนของเจ้าถอยไปเดี๋ยวนี้”


ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นแล้ว เคยมีประสบการณ์สู้กับจูเชียนซือมาก่อน ถ้าอีกฝ่ายกล้าอยู่คนเดียว เมื่อลงมือต่อสู้กันขึ้นมา ฝ่ายตัวเองมีหกคนร่วมมือกันก็ยังพอมีหวังรอดชีวิตได้บ้าง ถ้าให้สู้กับนักพรตบงกชรุ้งสามคนในรวดเดียว ฝ่ายตัวเองจะต้องรับไม่ไหวแน่นอน


ผู้บัญชาการกวนหยิบแตรเขาวัวออกมาเป่า “อูอู” สองครั้งทันที


นักพรตบงกชรุ้งสองคนข้างหลังที่ไล่ตามไม่หยุดสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นหยุดและหันตัวเลี้ยวทันที รีบเหาะกลับไปหาจุดที่กำลังพลแปดร้อยอยู่


ผู้บัญชาการกวนเก็บแตรเขาวัว แล้วกล่าวว่า “ตอนนี้เป็นอย่างไร? ทำตามที่เจ้าพูดแล้ว”


อวิ๋นอ้าวเทียนตอบว่า “เจ้าเองก็ถอยหลังออกไปร้อยจั้ง” เขาต้องทิ้งระยะห่างที่ปลอดภัยไว้ให้ตัวเองตอบโต้สักหน่อย


“ได้!” ผู้บัญชาการกวนตอบตกลง แล้วลดความเร็วในการเหาะทันที รักษาระยะห่างกับอวิ๋นอ้าวเทียนเป็นระยะหนึ่งร้อยจั้ง


เจ้าบ้านี่กำลังเล่นบ้าอะไรกันแน่? อวิ๋นอ้าวเทียนไม่ค่อยเข้าใจ อาศัยกำลังของอีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องกลัวพวกเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดจะทำอะไร


ไม่สามารถทำความเข้าใจคำถามนี้ได้ในทันที เขารู้เพียงว่าไม่สามารถรอดพ้นจากความเร็วของอีกฝ่ายได้แน่นอน ถ้าสามารถหาทางกำจัดอีกฝ่ายทิ้งก่อนได้ ก็จะสามารถรอดพ้นจากคนที่เหลือได้


อวิ๋นอ้าวเทียนรีบกวาดสายตามองไปรอบๆ แวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีความผิดปกติแล้ว จึงค่อยๆ ลดความเร็วในการเหาะให้ช้าลง เห็นผู้บัญชาการกวนที่อยู่ข้างหลังรักษาสัญญา ลดความเร็วตามเช่นกัน รักษาระยะห่างกับเขาหนึ่งร้อยจั้งตลอด หลังจากฝ่ายอวิ๋นอ้าวเทียนหยุดอยู่กับที่ เขาก็หยุดแล้วเช่นกัน


หลังจากเก็บปีกแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนก็หันตัวกลับมาคุมเชิงกับผู้บัญชาการกวนอยู่ไกลๆ พอโบกมือหนึ่งครั้ง พวกเหมียวอี้ที่โผล่ออกมาอีกครั้งหลังจากเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ได้ไม่นานก็ค่อนข้างประหลาดใจ เมื่อเห็นผู้บัญชาการกวนอยู่ไม่ไกล เหมียวอี้ก็พลิกฝ่ามือเรียกธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์กับลูกธนูดาวตกออกมาเตรียมพร้อมโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


พวกเขาประหลาดใจสงสัย มู่ฝานจวินถามเสียงต่ำว่า “สถานการณ์อะไรกัน?”


อวิ๋นอ้าวเทียนจะไปรู้ได้อย่างไรว่าสถานการณ์อะไร เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน จึงรีบเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่ให้ฟังรอบหนึ่ง พร้อมทั้งแอบถ่ายทอดเสียงบอกทั้งห้าคน ขอเพียงทุกคนร่วมมือกันกำจัดนักพรตบงกชรุ้งคนนี้ทิ้งได้ เขาก็สามารถพาทุกคนหนีไปได้


เมื่อเห็นคนที่เหลือไม่มีความเห็นแย้งอะไร เหมียวอี้ก็กระตุกมุมปากเล็กน้อย เขาพบว่าอีกห้าคนโหดจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าคิดจะกำจัดบงกชรุ้งนักพรตบงกชรุ้งขั้นเจ็ดทิ้ง ไม่แปลกใจที่กล้าปล้นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์


เขายังไม่รู้ว่าพวกอวิ๋นอ้าวเทียนเคยร่วมมือกันกำจัดนักพรตบงกชรุ้งทิ้งไปแล้วคนหนึ่ง มีข่าวบางอย่างที่ตำหนักสวรรค์ไม่ได้ปล่อยออกไป กลัวว่าจะส่งผลกระทบให้กำลังพลฝ่ายตัวเองเสียขวัญกำลังใจ ดังนั้นเหมียวอี้จึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน


ส่วนผู้บัญชาการกวนก็จ้องซือถูเซี่ยวครู่หนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นนักพรตผีเหมือนกัน ก็โบกมือชี้ซือถูเซี่ยวจากที่ไกลๆ พร้อมกล่าวถามเสียงดังว่า “สหายนักพรตผีท่านนี้ ขอบังอาจถามหน่อยว่าท่านฝึก ‘เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง’ ใช่หรือไม่?”


พวกเหมียวอี้ได้ยินแล้วชะงักไปครู่หนึ่ง หรือว่านักพรตผีคนนี้อยากจะแย่งหกเคล็ดวิชาพิเศษ?


เมื่อรู้ว่าเคล็ดวิชาฝึกตนถูกเปิดโปงแล้ว ซือถูเซี่ยวก็ถามกลับเสียงดังว่า “ใช่แล้วยังไง ไม่ใช่แล้วยังไง?”


ผู้บัญชาการกวนกล่าวเสียงดังอีกว่า “ข้าคือกวนหลงซาน ผู้บัญชาการใต้บังคับบัญชาของประมุขปราชญ์ลัทธิผี ขอบังอาจถามว่าสหายมีที่มาที่ไปอย่างไร เป็นคนที่ประมุขชิงส่งมาทดสอบหรือ?”


พวกเหมียวอี้ได้ยินแล้วมองหน้ากันเลิกลั่ก จีฮวนพูดหยอกเสียงเบาว่า “ประมุขปราชญ์ลัทธิผี? ผีเฒ่า เขากำลังพูดถึงเจ้าไม่ใช่เหรอ เจ้ามีลูกสมุนที่วรยุทธ์สูงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?”


คนที่เหลือย่อมรู้ว่าเขากำลังล้อเล่น ซือถูเซี่ยวจะมีลูกน้องที่วรยุทธ์สูงขนาดนี้ได้อย่างไร ประมุขปราชญ์ลัทธิผีของพิภพใหญ่กับประมุขปราชญ์ลัทธิผีของพิภพเล็กอยู่คนละระดับกันเลย ประมุขปราชญ์ลัทธิผีที่อีกฝ่ายพูดถึงจะต้องเป็นหนึ่งในหกมหาราชันของพิภพใหญ่ในปีนั้นแน่นอน


ตามตำนานที่เล่าต่อกันมา โจรกบฏที่อยู่ในนรกส่วนใหญ่ก็คือลูกน้องเก่าของหกมหาราชันในปีนั้น


ตำนานบอกว่าหลังจากหกมหาราชันตายแล้ว ลูกน้องเก่าที่ยังเหลือรอดก็ไม่สู้กับประมุขพุทธะ ประมุขชิงและประมุขไป๋ เพื่อที่จะรักษากำลังและหลีกเลี่ยงการเสียสละชีวิตโดยไร้ความหมาย คนที่สามารถหนีได้ทันเวลาส่วนใหญ่ก็เข้ามาประคองชีวิตให้รอดไปวันๆ อยู่ในแดนอเวจี และโดนตำหนักสวรรค์ปิดล้อมขังไว้ในนรกมาโดยตลอด


อีกฝ่ายบอกว่าตัวเองเป็นกำลังพลของประมุขปราชญ์ลัทธิผี ก็ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด


เวลาแบบนี้ยังมีอารมณ์มาล้อเล่นอีกเหรอ? ซือถูเซี่ยวขี้คร้านจะสนใจจีฮวน ตอบกลับเสียงดังว่า “พวกเราไม่ใช่ผู้เข้าร่วมทดสอบที่เป็นลูกน้องของประมุขชิง ในเมื่อเจ้าไม่มีเจตนาร้าย เหตุใดจึงไม่ถอยออกไปเสียตอนนี้ ปล่อยพวกเราจากไปสิ ทำไมยังตามพัวพันไม่หยุด?”


“ต่อให้ปล่อยพวกท่านออกไปแล้วยังไงล่ะ? พวกท่านอยู่ในนรกที่มีการล้อมดักไว้อย่างหนาแน่นแล้ว ถ้าเจอกลุ่มคนที่ไม่รู้จักไล่สังหารอย่างไม่ปรานี ต่อให้ประมุขชิงนำทัพใหญ่มาปราบด้วยตัวเองก็ยากที่จะทำอะไรพวกเราได้ อาศัยวรยุทธ์ของพวกท่านจะหนีไปได้ไกลสักแค่ไหน?” ขณะที่กวนหลงซานตอบเสียงดัง มืออีกข้างที่กำลังไขว้หลังก็แอบเขย่าระฆังดารา ส่วนปากก็พูดไม่หยุดว่า “ไม่สู้พวกเรามาทำความสัมพันธ์ให้ชัดเจนไปเลยว่าเป็นศัตรูหรือสหาย ถ้าเป็นฝ่ายสหาย ตราบใดที่ไม่ทำเรื่องที่ส่งผลเสียกับพวกเรา กวนคนนี้ก็สามารถคุ้มครองส่งพวกท่านให้เดินทางโดยสวัสดิภาพได้”


บนยอดเขาที่มีเสียงลมแหลมเศร้ารันทด ปราณหยินพัดผ่านมาอย่างรวดเร็ว ขุนพลที่เสื้อคลุมปลิวสะบัดและผมปลิวยุ่งตามสายลมได้สติกลับมาแล้ว เขาพลิกมือหยิบระฆังดาราออกมา หลังจากตั้งใจฟังอยู่พักหนึ่ง ก็เผยสีหน้าตกตะลึงอย่างฉับพลัน


จู่ๆ ก็กำระฆังดาราไว้แน่น ข้อนิ้วทั้งห้าตึงแน่น ตรงหว่างคิ้วที่มีผมเฉียดผ่านไม่หยุดเผยให้เห็นลายเมฆสีเลือด ลักษณะท่าทางเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน จิตใจที่หงอยเหงาเศร้าซึมหายไปในชั่วพริบตาเดียว พอมือใหญ่โบกผ้าคลุมที่ถูกลมพัดพันตัว เขาก็หายตัวไปอย่างที่เดิมอย่างรวดเร็ว อาศัยวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งชนจนกระแสหินที่หมุนวนด้วยความเร็วสูงอยู่บนท้องฟ้าเกิดเป็นโพรงแล้วพุ่งตัวออกไป


 …………………………

บทที่ 1219 หมายความว่าอะไร


“พวกเราซาบซึ้งในน้ำใจของท่านแล้ว ไม่ต้องคุ้มกันส่งหรอก ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ก็ขอกล่าวอำลาตรงนี้”


ซือถูเซี่ยวตอบกลับเสียงดัง พวกเขาไม่มีเจตนาจะพัวพันกับอีกฝ่ายต่อไป สถานการณ์ไม่ชัดเจน เห็นๆ กันอยู่ว่าอาจจะเกิดอันตรายก็ได้


“ช้าก่อน!” กวนหลงซานยกฝ่ามือห้าม “ทำให้รู้ชัดก่อนว่าเป็นศัตรูหรือเป็นสหาย แล้วค่อยไปก็ยังไม่สาย”


“ไม่ใช่ทั้งศัตรูและสหาย เอาเป็นว่าไม่ใช่ลูกน้องของประมุขชิง เพียงแค่จะอาศัยทางเดินเท่านั้น ได้โปรดให้ความสะดวก” ซือถูเซี่ยวกล่าว


“ทุกท่านไม่จำเป็นต้องป้องกันขนาดนี้ ข้าแค่อยากจะรู้ที่มาที่ไปของทุกท่าน หลังจากจบเรื่องจะรับรองว่าจะไม่ทำให้พวกท่านลำบาก แบบนี้ดีไหม?” กวนหลงซานถาม


ซือถูเซี่ยวตอบว่า “การรับรองโดยปากเปล่าจะได้ความเชื่อใจจากคนอื่นได้อย่างไร ถ้ามีความตั้งใจว่าจะไม่ทำให้ลำบากจริงๆ การไม่รบกวนกันและกันก็คือหลักการที่ถูกต้อง”


เพิ่งจะพูดจบ จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากด้านข้าง “ถ้าไม่เชื่อในการรับรองของเขา เดี๋ยวข้าจะรับรองให้เองเป็นอย่างไร?”


พวกเหมียวอี้หันขวับ เห็นเพียงเงาคนคนหนึ่งถลันตัวมาถึง ชายหนุ่มผมยาวสยายไร้หนวดที่สวมชุดคลุมสีดำพลันปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพวกเหมียวอี้ แล้วใช้สายตามองสำรวจพวกเขาด้วยความรวดเร็ว


พวกเหมียวอี้ตกใจมาก พวกเขาคอยระแวดระวังรอบด้านมาโดยตลอด แค่เผลอพูดไปไม่กี่ประโยคแล้วมีคนเข้ามาใกล้ ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะไม่สังเกตเห็น ด้วยความเร็วแบบนี้ คนคนนี้ต้องมีวรยุทธ์เท่าไรกัน?


สายตาของทั้งหกไปหยุดจ้องอยู่บนลายเมฆสีเลือดตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่าย ทำให้แต่ละคนแอบร้องว่าแย่แล้วทันที พบว่าฝ่ายตัวเองติดกับดักแล้ว สงสัยคนแซ่กวนคงจะกำลังจงใจถ่วงเวลา ดึงให้นักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพมาสู้กับพวกเขา


แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ใช่ ในเมื่อเบื้องหลังคนแซ่กวนมีนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพอยู่ด้วย ต่อให้ไม่ถ่วงเวลาก็สามารถตามมาทันได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่มีทางหนีพ้นได้เลย


สรุปก็คือทุกเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้ทั้งหกคนคิดไม่ตก ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็เลิกคิดที่จะหนีไปได้เลย


“ขุนพล!” กวนหลงซานรีบถลันตัวเข้ามากุมหมัดคารวะผู้ที่มา


สายตาของขุนพลไปหยุดอยู่บนปีกข้างหลังอวิ๋นอ้าวเทียนครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ที่ท่านฝึกคือเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานเหรอ?”


อีกฝ่ายถามถึงเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก อวิ๋นอ้าวเทียนไม่รู้ว่าควรจะตอบเขาอย่างไร ได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดจา


ผู้ที่มาไม่ได้ถามกดดันอะไรมาก สายตาไปหยุดอยู่บนตัวซือถูเซี่ยวที่เป็นนักพรตผีอีก จ้องมองครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ถลันตัวออกมาตรงหน้าพวกเขา แล้วยื่นมือไปคว้าซือถูเซี่ยวไว้


พวกเขาตกใจมาก ความเร็วในการลงมือครั้งนี้เร็วจนเหมียวอี้ง้างสายของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่อยู่ในมือไม่ทัน


พวกเขาตอบสนองอย่างรวดเร็ว คนที่ไหวตัวลงมือเร็วที่สุดก็คือมู่ฝานจวิน พอนางพลิกฝ่ามือ ก็เห็นอัสนีบาตหลายสายก็ไขว้กันออกมา ชั่วพริบตาเดียวอัสนีบาตก็มาขวางอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว


ขณะเดียวกัน ทั้งหกก็ถลันตัวถอยหลังอย่างรวดเร็ว แต่ใครจะคิดว่าขุนพลจะไม่เห็นสายฟ้าที่มู่ฝานจวินปล่อยอยู่ในสายตาเลย บุกฝ่าเข้ามาในอัสนีบาตอย่างเหี้ยมหาญ ปล่อยให้สายฟ้าเลื้อยบนตัว เพียงแค่ตัวสั่นเล็กน้อยเท่านั้นเอง ยังคงยื่นมือไปจับซือถูเซี่ยวต่อ


เหมียวอี้ฉวยโอกาสนี้ง้างสายธนูแล้ว เกิดเสียงดังปั้ง ลูกธนูดาวตกสามดอกยิงออกไปพร้อมกัน ส่วนอวิ๋นอ้าวเทียนก็พลิกมือนำดาบออกมา แล้วฟันออกไปอย่างบ้าคลั่ง


มือใหญ่ที่ยื่นไปหาซือถูเซี่ยวพลันโบกหนึ่งครั้ง นิ้วทั้งห้าขยุ้มกลางอากาศ ลูกธนูดาวตกสามดอกที่ยิงเข้ามาถูกขยุ้มค้างไว้กลางอากาศ ลูกธนูดาวตกปรากฏร่างเดิมในชั่วพริบตาเดียว ราวกับเอาชีวิตดูดวิญญาณ ลูกธนูดาวตกสามดอกพลันดูดเข้าไปในนิ้วมือทั้งห้าแล้ว


ลูกธนูดาวตกถูกขุนพลควบคุมไว้ในมือจนขยับไม่ได้แม้แต่น้อย เหมียวอี้จะเรียกกลับได้อย่างไรกัน


แล้วก็เห็นขุนพลยื่นมืออีกข้างออกมาอีก ดาบใหญ่ที่อวิ๋นอ้าวเทียนฟันออกมาพลันค้างอยู่กลางอากาศ ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนขุนพลใช้นิ้วสามนิ้วคีบคมดาบไว้จนขยับไม่ได้อีก


ซือถูเซี่ยวแยกร่างออกมาหลายสิบร่างแล้ว หมายจะทำให้อีกฝ่ายสับสน


ขุนพลเหล่ตามองการเปลี่ยนแปลงของซือถูเซี่ยวแวบหนึ่ง พอพลิกนิ้วที่คีบคมดาบของอวิ๋นอ้าวเทียนเอาไว้ ก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ทำให้เกิดเสียงดังสะเทือน อวิ๋นอ้าวเทียนกระเด็นออกไปพร้อมกับดาบ


สิ่งที่เหนือความคาดหมายของพวกเขาก็คือ ขุนพลไม่ได้ลงมือต่อ แต่หันตัวถอยกลับไปแล้ว


ตอนพูดเหมือนช้า แต่ที่จริงเป็นการประมือกันเพียงชั่วพริบตาเดียว ตอนนี้ถึงได้เห็นขุนพลที่ลอยอยู่กลางอากาศกดแขนสองข้าง กระแสไฟฟ้าบนร่างกายถึงได้หายไป มีเกลียวควันลอยขึ้นมาบนร่างกายพักหนึ่ง


เดิมทีกระแสไฟฟ้าก็มีบทบาทข่มนักพรตผีอยู่แล้ว แต่วรยุทธ์ของคนคนนี้สูงเกินไปจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้วรยุทธ์ต้านทาน อาศัยวรยุทธ์ของมู่ฝานจวินในตอนนี้ ถ้าอยากจะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บก็ไม่น่าจะเป็นไปได้


ถ้าจะหนีก็ไม่มีทางหนีพ้นเงื้อมมือคนคนนี้ พวกเหมียวอี้รีบถลันตัวเข้าไปหลบอยู่ระหว่างร่างแยกหลายสิบร่างของซือถูเซี่ยว แต่ละคนเครียดกังวลถึงขีดสุด สีหน้าจริงจังหนักแน่น สถานการณ์ตึงเครียดแบบพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ


เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่ตัวเองไม่มีโอกาสชนะ ทั้งหกคนต่างก็ไม่กล้าลงมือก่อนง่ายๆ ทำได้เพียงเตรียมป้องกันอย่างสูง


บางคนแอบด่าเหมียวอี้ในใจว่ามีเรื่องดีๆ ดันไม่ทำ ดึงดันจะถ่อมาถึงนี่ให้ได้ เกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่ฟัง จะมาร้องไห้ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว


ตั้งแต่ต้นจนจบกวนหลงซานลอยอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน เห็นได้ชัดว่ามั่นใจในตัวขุนพลที่สุด


ขุนพลที่กำจัดกระแสไฟฟ้าบนตัวทิ้งแล้วจ้องมองมู่ฝานจวิน พร้อมกล่าวเน้นว่า “สวรรค์เก้าชั้นฟ้า!”


จากนั้นก็กลอกตากวาดมองไปยังซือถูเซี่ยวหลายสิบร่างอีกครั้ง ที่เขาไม่ลงมือตอนนนี้ก็เพราะไม่แน่ใจว่าคนไหนคือซือถูเซี่ยวตัวจริง ได้แต่โยนลูกธนูดาวตกสามดอกในมือทิ้งไป


ลูกธนูสามดอกที่โยนกลับมาไม่ได้เร็วมาก เหมียวอี้ที่รับกลับมาไว้ในมือประหลาดใจไม่หาย ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร ดูจากสถานการณ์แล้วเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้มีเจตนาเป็นศัตรูสักเท่าไร


พวกอวิ๋นอ้าวเทียนมองหน้ากันเลิกลั่ก


หลังจากขุนพลจ้องพวกเขาพักหนึ่ง ก็กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ข้าคือตูหยวนฮ่าว ขุนพลของประมุขปราชญ์ลัทธิผี ไม่ทราบว่าทุกท่านมีที่มาอย่างไร เป็นผู้เข้าร่วมการทดสอบของตำหนักสวรรค์ในครั้งนี้หรือ?”


มู่ฝานจวินทำหน้านิ่งพร้อมกล่าวว่า “ขุนพลตู ท่านวางใจได้เลย พวกเราไม่ใช่คนของตำหนักสวรรค์แน่นอน มาที่นี่ไม่ได้มีเจตนาร้าย ได้โปรดใจกว้างปล่อยไปสักครั้ง”


“ถ้าไม่ใช่คนของตำหนักสวรรค์ แล้วจะบุกเข้ามาในแดนอเวจีได้อย่างไร?” ตูหยวนฮ่าวถาม


พวกเหมียวอี้สบตากันแวบหนึ่ง มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าปิดบังต่อไปเกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องราวใหญ่โต ลูกน้องเก่าของหกมหาราชันพวกนี้เป็นศัตรูคู่แค้นของตำหนักสวรรค์


หลังจากส่งสายตาขอความคิดเห็นแล้ว มู่ฝานจวินก็ตอบว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ปิดบังขุนพลตู พวกเราเข้ามาในแดนอเวจีตั้งแต่ร้อยปีก่อน ร้อยปีก่อนพวกเราดักปล้นฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ไปสามคน ตอนที่โดนคนของตำหนักสวรรค์ไล่ฆ่า พวกเราก็บังเอิญบุกเข้ามาในประตูดวงดาวบานหนึ่ง พวกเราก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าที่นี่จะเป็นแดนอเวจี โดนขังอยู่ในนี้ไม่กล้าขยับไปไหน ใครจะคิดว่าครั้งนี้จะมีคนกลุ่มใหญ่ของตำหนักสวรรค์โผล่มาทดสอบที่นี่อีก บุกเข้ามาในที่ซ่อนตัวของพวกเรา หลังจากต่อสู้กันไปยกหนึ่งพวกเราก็ถูกกดดันจนอับจนปัญญา เพื่อที่จะหลบกำลังพลของตำหนักสวรรค์ พวกเราถึงได้หนีมาที่นี่ ใครจะคิดว่าจะบังเอิญล่วงเกินขุนพลเข้าแล้ว ไม่ใช่คนที่ตำหนักสวรรค์ส่งมาสู้กับขุนพลตูที่นี่อย่างที่ขุนพลตูคิดแน่นอน”


ผู้หญิงคนนี้ช่างโกหกกลบเกลื่อนเก่งจริงๆ เหมียวอี้แอบพึมพำในใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำแบบนี้แล้วจะตบตาอีกฝ่ายได้หรือเปล่า


“เป็นพวกท่านเองเหรอ?” ตูหยวนฮ่าวตะลึงอย่างเห็นได้ชัด แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “พวกท่านก็คือคนที่ฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เมื่อร้อยปีก่อนเหรอ?”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็เท่ากับพิสูจน์แล้วว่าในนรกมีการติดต่อกับคนนอก หรือไม่ก็รู้สถานการณ์มาจากปากคนของตำหนักสวรรค์ที่มาเข้าร่วมการทดสอบ แต่แบบแรกมีความเป็นไปได้มากกว่า ด้วยสถานการณ์ในปีนั้น เป็นไปไม่ได้ที่กำลังพลของหกมหาราชันจะหนีเข้ามาในนรกทั้งหมดได้ และก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ตำหนักสวรรค์จะจับคนที่เหลืออยู่มาได้ทั้งหมด ถึงอย่างไรหกมหาราชันก็ครองพิภพใหญ่มาหลายปี แม้จะพ่ายแพ้แต่พลังอำนาจยังคงอยู่


กลับเป็นเหมียวอี้ที่ได้ยินแล้วรู้สึกกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย เมื่อร้อยปีก่อนเขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับเรื่องที่พวกอวิ๋นอ้าวเทียนทำไม


“ใช่แล้ว!” มู่ฝานจวินพยักหน้าเอ่ยรับ


“ไม่ถูกสิ!” ตูหยวนฮ่าวกล่าวเสียงต่ำว่า “จากที่ข้ารู้มา โจรที่หนีเข้ามาในแดนอเวจีปีนั้นมีห้าคน”


หัวหอกพุ่งมาถึงตัวเหมียวอี้แล้วจริงๆ มีเกินมาหนึ่งคน


มู่ฝานจวินตอบว่า “นั่นเป็นเพราะฝั่งตำหนักสวรรค์เห็นแค่ห้าคน ที่จริงไม่ได้มีแค่ห้าคน แต่ทั้งหมดอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของพวกเรา” พูดจบก็โบกมือ เรียกอันหรูอวี้และบรรดาลูกศิษย์ของตัวเองออกมา


พวกอันหรูอวี้ยังไม่ทันเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เรียกออกมาเพื่อพิสูจน์สิ่งที่พูดเฉยๆ จากนั้นมู่ฝานจวินก็โบกมือเก็บพวกเขาเข้าในกระเป๋าสัตว์อีก


เห็นได้ชัดว่าตูหยวนฮ่าวไม่ได้มีเจตนาจะถามซักไซ้เรื่องนี้ ตอนนี้สายตาไปหยุดอยู่บนตัวจีฮวนแล้ว “นักพรตปีศาจท่านนี้ฝึก ‘มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจ'”


ก่อนหน้านี้ถึงแม้จีฮวนจะไม่ได้ลงมือ แต่ก็เตรียมตัวจะลงมือแล้ว ปราณปีศาจที่ก่อตัวออกมาแบบนั้น เขาก็มองออกแล้วเช่นกัน


แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวฉางเหลยอีก “พระภิกษุ! ถ้าข้าเดาไม่ผิด ท่านคงจะฝึก ‘หฤทัยสูตรสุขาวดี'”


จากนั้นก็ย้ายสายตาไปที่ตัวเหมียวอี้ “คนที่เหลือก็คงจะฝึก ‘มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง'”


เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออก อาศัยอะไรมาตัดสินว่าข้าฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง?


“เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน สวรรค์เก้าชั้นฟ้า มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจ หฤทัยสูตรสุขาวดี มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง! ผู้สืบทอดเคล็ดวิชาพิเศษของประมุขปราชญ์ทั้งหกท่านอยู่กันครบแล้ว โลกนี้มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้เสียที่ไหนกัน ที่บอกว่าดักฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนแล้วเข้าใจผิดบุกเข้ามาที่แดนอเวจี ข้าไม่เชื่อหรอก! หนึ่งแสนปีแล้ว พวกเราเชื่อฟังเขาและรอคอยมาหนึ่งแสนปีกว่าแล้ว เขาถูกสยบอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ เกรงว่าคงจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตอนแรกไม่ได้ เป็นใครกันที่ให้พวกท่านมาที่นี่?” ตูหยวนฮ่าวเม้มริมฝีปากพูดด้วยน้ำเสียงโศกาอาดูร


กวนหลงซานที่อยู่ไม่ไกลก็ทำสีหน้าเศร้าสลดเช่นกัน


พวกเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอะไร หนึ่งแสนปีอะไรกัน แล้วใครถูกสยบอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ?


แม้แต่เหมียวอี้เองก็ยังพึมพำในใจ เจดีย์สยบปีศาจเหรอ? หรือว่าจะหมายถึงประมุขไป๋หรือประมุขปีศาจ? เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับที่ประมุขไป๋และประมุขปีศาจถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจล่ะ? ประมุขไป๋กับประมุขปีศาจให้สัญญาอะไรไว้กับคนพวกนี้?


มู่ฝานจวินอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็แข็งใจบอกว่า “พวกเราไม่เข้าใจว่าที่ขุนพลตูพูดหมายความว่าอะไร” นี่ไม่ใช่คำโกหก แต่ฟังไม่เข้าใจจริงๆ


ตูหยวนฮ่าวกล่าวว่า “ฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ถ้าอยากจะรอดชีวิตก็ไปกับข้า” พูดจบก็เด็ดกระเป๋าสัตว์ใบหนึ่งยื่นไปทางพวกเขา บอกใบ้ให้พวกเขาเข้ามาในกระเป๋าสัตว์


พวกเหมียวอี้ทำสายตาระวังตัวทันที ใครจะกล้าเข้าไปล่ะ ถ้าเข้าไปแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมา พวกเขาจะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย อยู่แบบนี้อย่างน้อยก็ได้ดิ้นรนขัดขืนบ้าง ถ้าจะตายก็ขอตายแบบไม่คาใจ


“ขุนพลตู ถ้าท่านอยากจะฆ่าพวกเราก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ พวกเราล้วนเป็นนักพรตผีเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องกลั่นแกล้งกันแบบนี้!” ซือถูเซี่ยวกล่าว


สายตาของตูหยวนฮ่าวไปหยุดอยู่บนหน้ากากผีของเขา หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ไม่ได้กดดันอะไรต่อ เก็บเกระเป๋าสัตว์เอาไว้แล้ว “ถ้าไม่อยากเข้ามาก็ไปกับข้า” จากนั้นกันมากำชับกวนหลงซานว่า “ตรงนี้ฝากเจ้าจัดการด้วย!”


“ขอรับ!” กวนหลงซานกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง


“ไปกันเถอะ!” ตูหยวนฮ่าวกวักมือเรียกพวกเหมียวอี้อีกครั้ง


“ไปไหน?” ซือถูเซี่ยวถาม


“ไปยังสถานที่ที่จะตัดสินความเป็นความตายของพวกเจ้า ถ้าอยากรอดชีวิตก็ไปกับข้า อย่ากดดันให้ข้าต้องลงมือ!”


ตูหยวนฮ่าวพูดทิ้งท้าย แล้วหันตัวเหาะไปยังทิศทางหนึ่งโดยกดความเร็วเอาไว้ ไม่อย่างนั้นพวกเหมียวอี้จะตามวรยุทธ์ของเขาไม่ทัน


 …………………………

บทที่ 1220 ภัยอันตรายไร้ขีดจำกัด


อีกฝ่ายไม่ได้กังวลเลยว่าพวกเขาจะหนีไปได้ เหมียวอี้และอีกห้าคนมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ไม่กล้าหนีเหมือนกัน เป็นเพราะหนีไม่พ้นเลยจริงๆ


ยังจะทำอะไรได้อีกล่ะ? เมื่อเผชิญกับพลังอันแข็งแกร่งของอีกฝ่าย เจ้าก็ไม่มีทางขัดขืนต่อต้านได้เลย ทำได้เพียงเรียกสัตว์พาหนะออกมาขึ้นขี่และตามไปแต่โดยดี


กวนหลงซานมองส่งขบวนค่อยๆ จากไปไกล


ณ อาณาเขตดาวที่กว้างใหญ่ไพศาลผืนหนึ่ง เมื่อมองดูจากที่ไกลๆ ก็เหมือนกับน้ำพุหลากสีที่สวยวิจิตรตระการตา แล้วก็เหมือนฝูงหิ่งห้อยโบยบิน ดวงดาวขนาดใหญ่นับไม่ถ้วนรวมตัวกันพรั่งพรูไม่หยุดด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ จากนั้นเคลื่อนกระจายออกไปรอบทิศเป็นเส้นโค้งกลับมารวมตัวกันแล้วพรั่งพรูอีกครั้ง เหมือนกับผีเสื้อขนาดมหึมาตัวหนึ่งที่มีลายหลากสี


พวกเหมียวอี้ยังไม่เคยเห็นปรากฎการณ์ประหลาดบนท้องฟ้าแบบนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าเป็นพลังงานอะไรที่สามารถควบคุมดวงดาวนับไม่ถ้วนให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็วขนาดนี้พร้อมๆ กันได้ ช่างมหัศจรรย์เหลือเชื่อจริงๆ


หลังจากเข้ามาในอาณาเขตดาวผืนนี้แล้ว เหมียวอี้และอีกห้าคนก็ตกใจจนหน้าถอดสี ไม่มีเค้าลางเลยสักนิด เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ร่างกายแต่ละคนเอนเอียงสูญเสียสมดุล สัตว์พาหนะหลายตัวรวมทั้งเฮยทั่นตัวสั่นง่อนแง่นอย่างตระหนกพักหนึ่ง ขณะเดียวกันก็สูญเสียการควบคุมไปแล้ว พวกเขาลอยออกจากร่างกายของสัตว์พาหนะอย่าควบคุมไม่ได้


ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าพลังอิทธิฤทธิ์ในร่างกายจะสูญเสียการควบคุมแล้วเช่นกัน ไม่สามารถใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้เลย พลังอิทธิฤทธิ์สูญเสียประสิทธิภาพเมื่ออยู่ที่อาณาเขตดาวผืนนี้


ร่างกายที่ง่อนแง่นของทั้งหกลอยต่อไปในจุดลึกของอาณาเขตดาวผืนนี้โดยอาศัยแรงเฉื่อยของการเหาะ ทำให้ทั้งหกตกใจจนเหงื่อแตกเต็มตัวอย่างแท้จริง ดวงดาวนับไม่ถ้วนที่อยู่เบื้องหน้ามีขึ้นมีลง ถ้าเข้าไปแบบนี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะไม่โดนชน ภายใต้สถานการณ์ที่ขาดพลังอิทธิฤทธิ์ป้องกันตัว ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าถ้าโดนดาวที่หมุนวนด้วยความเร็วสูงชนแล้วจะเป็นอย่างไร นอกจากฟาดพวกเขาจนตายก็ไม่มีความเป็นไปได้อย่างอื่นแล้ว


ในทางกลับกัน ตูหยวนฮ่าวยังคงเหาะอยู่ข้างหน้าอย่างมั่นคง


ความคิดแรกของพวกเขาก็คือติดกับดักแล้ว แต่พอลองคิดอีกทีก็รู้สึกว่าไม่ใช่ อาศัยวรยุทธ์ของอีกฝ่าย ถ้าคิดจะกำจัดพวกเขาทิ้งก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากแบบนี้เลย


ตูหยวนฮ่าวที่เหาะอยู่ข้างหน้าเหมือนจะยากแสดงอำนาจบารมีให้พวกเขาเห็น เหมือนกำลังบอกพวกเขาว่า นี่ก็คือผลลัพธ์ที่พวกเจ้าไม่เข้ามาอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของพวกเรา


แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาสูญเสียการควบคุมนานเกินไป ตูหยวนฮ่าวที่หันกลับมามองแวบหนึ่งพลันโบกมือ ก้อนหินสีดำขลับสะท้อนแสงทั้งเล็กทั้งใหญ่ยิงไปทางทั้งหกคน พอหินหกก้อนเข้าใกล้ทั้งหกคน จู่ๆ ทั้งหกก็พบว่าควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ได้อีกครั้ง จิตใต้สำนึกราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายในการช่วยชีวิตเอาไว้ได้ แต่ละคนรีบต่างคนต่างคว้าก้อนหินมาไว้ในมือ


วินาทีที่ก้อนหินมาอยู่ในมือ ทั้งหกก็รู้สึกเหงื่อแตกขนลุก บนก้อนหินนั่นมีพลังงานลึกลับบางอย่างที่ไหลผ่านตัวพวกเขาราวกับกระแสไฟฟ้า กำจัดพลังงานลึกลึกอีกอย่างของดาราจักรผืนนี้ที่จำกัดพลังอิทธิฤทธิ์ออกไปอย่างรวดเร็ว


หกคนที่ควบคุมตัวเองได้รีบพุ่งเข้าไปช่วยชีวิตสัตว์พาหนะของตัวเอง พอเหยียบลงบนตัวของสัตว์พาหนะ เห็นได้ชัดว่าพลังงานลึกลับของก้อนหินในฝ่ามือก็นำทางสัตว์พาหนะแล้วเช่นกัน ทำให้สัตว์พาหนะที่ตื่นตระหนกตกใจเหาะอย่างสงบมั่นคงอีกครั้ง


ทั้งหกคนตามหลังตูหยวนฮ่าวอีกครั้ง ทุกคนต่างก็อยากถามว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แต่ใครจะคิดว่าจะร่ายอิทธิฤทธิ์ถ่ายทอดเสียงออกไปไม่ได้เลย ถ่ายทอดเสียงออกไปนอกร่างกายได้ไกลแค่ช่วงแขนเดียวเท่านั้น ทั้งหกจึงทำได้เพียงหุบปากเหมือนคนใบ้ มองดูก้อนหินหน้าตาอัปลักษณ์ในมือตัวเอง แล้วก็มองห้อนหินให้มืออีกฝ่ายอยู่เป็นระยะ พบว่ามีขนาดทั้งเล็กทั้งใหญ่แตกต่างกัน เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของวิเศษที่หลอมสร้างขึ้นมา เหมือนเป็นวัตถุทางธรรมชาติที่รวบรวมไว้


อยู่ที่นี่ต่อให้สามารถเหาะได้ แต่ความเร็วในการเหาะก็ลดลงไม่ใช่น้อยๆ ใช้เวลาไปแล้วห้าวันเต็ม ทั้งหกถึงได้เหาะออกมาจากอาณาเขตดาวลี้ลับผืนนี้ได้


พอพุ่งตัวออกจากอาณาเขตดาวผืนนี้ได้ เรื่องแรกที่ตูหยวนฮ่าวทำก็คือยื่นมือไปทางพวกเขา “ส่งก้อนหินมา”


ทั้งหกคนมองดูก้อนหินที่อยู่ในมือ วัตถุลึกลับที่สามารถช่วยให้ตัวเองผ่านอาณาเขตดาวผืนนี้ได้ก็นับว่าเป็นของมีค่าเหมือนกัน พูดตามตรงก็คือทั้งหกไม่ค่อยอยากส่งคืน แต่สถานการณ์บีบบังคับ ไม่ส่งคืนก็ไม่ได้ ทำได้เพียงโยนกลับไปแต่โดยดี


เห็นได้ชัดว่าตูหยวนฮ่าวไม่อยากปล่อยให้ก้อนหินนี้ตกไปอยู่ด้านนอก เขาโบกมือเก็บหินหกก้อน แล้วเหาะไปข้างหน้าต่อไป


ทั้งหกหันกลับไปมองอาณาเขตดาวลึกลับผืนนั้นอย่างพูดไม่ออก


เหมียวอี้แอบพึมพำในใจว่า ถ้าตัวเองใช้เพลิงจิตปกป้องร่างกายล่วงหน้า และไม่รอให้พลังอิทธิฤทธิ์สูญเสียการควบคุมแล้วค่อยบุกเข้าไป ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสามารถผ่านอาณาเขตดาวผืนนี้ไปได้หรือเปล่า


สุดท้ายเหมียวอี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ขุนพลตู เหตุใดอาณาเขตดาวผืนนี้จึงแปลกประหลาดเช่นนี้ล่ะ?”


ตูหยวนฮ่าวตอบโดยไม่หันหน้ากลับมาว่า “อาณาเขตดาวผืนนี้ที่แดนอเวจีของพวกเราเรียกว่า ‘เขตเทพโกลาหล’ ส่วนสาเหตุว่าทำไมจึงลึกลับขนาดนี้ ใครก็อธิบายให้ชัดเจนไม่ได้ ในดาราจักรอันกว้างใหญ่นี้ มีสถานที่ลึกลับที่อธิบายไม่ได้เยอะเกินไป ไม่จำเป็นต้องไปคิดเล็กคิดน้อยกับสิ่งนี้ ข้าจะบอกพวกท่านให้ก็ได้ ในปีนั้นประมุขชิงนำกำลังพลมาปราบด้วยตัวเองก็พลาดท่าอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะมังกรมาช่วยชีวิตไว้ ประมุขชิงก็คงจะตายด้วยน้ำมือพวกเราไปแล้ว เรื่องแบบนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีหน้าตาของประมุขชิง พวกท่านจะต้องไม่เคยได้ยินมาก่อนแน่นอน”


ทั้งหกมองหน้ากันเลิกลั่ก เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ได้ยินเรื่องนี้ และเคยได้ยินด้วยว่าสัตว์พาหนะของประมุขชิงราชันสวรรค์ก็คือสัตว์เทพตัวหนึ่ง มังกร!


เหมียวอี้ย่อมอดไม่ได้ที่จะถามอีกว่า “หรือว่ามังกรสามารถผ่าน ‘เขตเทพโกลาหล’ นี้ได้?” เขามองดูเฮยทั่นที่ตัวเองกำลังขี่อยู่


ปรากฏว่าโดนเมินเสียแล้ว ตูหยวนฮ่าวไม่ได้สนใจใยดีจะตอบ


พอออกจากเขตเทพโกลาหล ความเร็วในการเหาะของพวกเขาก็กลับมาเป็นปกติ พวกเขาเร่งความเร็วเหาะไปข้างหน้าแล้ว


หายไปอย่างไรร่องรอย ในกระแสอันวุ่นวายของดาราจักรที่ผิดปกติจนสามารถฉีกเกราะรบผลึกแดงให้แหลกเป็นจุลได้มีช่องโหว่ ตูหยวนฮ่าวสามารถหาช่องโหว่พาทั้งหกเหาะผ่านไปได้


ฝุ่นตลบฟุ้งราวกับเมฆม้วนที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ในระหว่างกลุ่มเมฆที่มีแรงเสียดทานแอบซ่อนเสียงแสบแก้วหูที่สามารถฆ่าคนแบบล่องหนได้เอาไว้ ไม่มีทางป้องกันชนะ ตูหยวนฮ่าวมีวิชาที่สามารถใช้รับมือได้


อาณาเขตดาวที่ว่างเปล่าดูเหมือนจะสงบเงียบ แต่ความจริงแอบซ่อนแรงบดอัดมหาศาลเอาไว้ ตูหยวนฮ่าวพาพวกเขาอ้อมไปล่วงหน้า


อาณาเขตดาวที่ดูเหมือนไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ แต่ตูหยวนฮ่าวบอกให้ทั้งหกหลับตาสองข้าง ไม่อย่างนั้นดวงตาจะบอดมืด


ทั้งยังมีอาณาเขตดาวที่มีลำแสงหลากสีสัน สามารถได้ยินเสียงมายา ได้กลิ่นมายาที่ทำให้คนเหมือนตกอยู่ในภาพฝันมายา


ปรากฏการณ์ประหลาดต่างๆ ที่เจอมาตลอดทางทำให้ทั้งหกคนรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริด มีบางแห่งที่ตูหยวนฮ่าวมีวิธีพาพวกเขาผ่านไปได้โดยตรง แต่มีบางแห่งที่ตูหยวนฮ่าวไม่สามารถพาพวกเขาผ่านไปได้โดยตรง ต้องพาพวกเขาเลี้ยวอ้อมไปไกลมาก


ความผิดปกติลี้ลับต่างๆ นาๆ ทำให้คนป้องกันไม่ชนะ เป็นภัยอันตรายไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง ทั้งหกไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าทำไมสถานที่นี้จึงซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงเยอะขนาดนี้ และไม่มีทางจินตนาการได้ด้วยว่าโจรกบฏที่โดนขังอยู่ในนรกกลุ่มนี้ศึกษาสภาพแวดล้อมได้อย่างไร แทบจะรู้ได้โดยไม่ต้องเดาว่าการทำความคุ้นเคยสถานที่นี้ต้องจ่ายไปหลายชีวิตกว่าจะแลกมาได้ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมที่นี่จึงมีชื่อว่าแดนอเวจี


เหมียวอี้ก็นับว่าเข้าใจแล้วเช่นกันว่าทำไมตำหนักสวรรค์จึงส่งคนมากมายขนาดนี้มาเข้าร่วมการทดสอบที่นรก สถานที่ที่แม้แต่ราชันสวรรค์มาปราบเองก็ยังปราบได้ยาก แล้วนักพรตบงกชทองกลุ่มหนึ่งจะทนไหวได้อย่างไร การถ่อมาที่นี่เท่ากับเอาชีวิตมาทิ้ง ต่อให้ส่งคนที่วรยุทธ์สูงกว่าบงกชทองมาก็ไม่มีประโยชน์ สถานที่นี้ไม่ใช่ว่าความสูงต่ำของวรยุทธ์จะสามารถเอาชนะได้ ต่อให้วรยุทธ์สูงกว่านี้ แต่ถ้าไม่เข้าใจสถานการณ์ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ นอกเสียจากจะมีใครที่วรยุทธ์สูงจนสามารถทำลายดาราจักรผืนนี้ได้ แต่ยังไม่เคยได้ยินว่าใครที่มีพลังแบบนี้ คนที่มองข้ามการมีอยู่ของจักรวาล


นี่ตำหนักสวรรค์กำลังคิดจะเอาชีวิตคนมาวางกองไว้ชัดๆ!


หลังจากได้สัมผัสความประหลาดยากจะคาดเดาของที่นี่แล้ว เหมียวอี้ไม่เชื่อว่าอาศัยกำลังพลหนึ่งล้านแปดแสนแล้วจะสามารถสำรวจสถานการณ์ของที่นี่ได้ ตำหนักสวรรค์เคยยกทัพมาปราบแล้วจะต้องรู้ชัดอยู่แก่ใจแน่นอน ต่อให้สืบอะไรได้บ้างแต่ก็ได้ไม่เยอะอยู่ดี


ดังนั้นนี่คือการเอาชีวิตคนมาเพื่อสำรวจเส้นทางแท้ๆ เลย นี่คือการวางแผนผลักดันทีละนิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป!


ดังนั้นในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องให้เหมียวอี้รู้เรื่องราวเบื้องลึกอะไรแต่ก็แทบจะแน่ใจได้ ว่าการทดสอบที่แดนอเวจีจะไม่ได้จัดขึ้นแค่ครั้งเดียวแน่นอน ตอนหลังยังจะมีการทดสอบที่แดนอเวจีตามมาอย่างต่อเนื่อง จะเอาชีวิตคนมากองไว้ที่นี่ต่อไป ไม่อย่างนั้นการโยนกำลังพลหนึ่งล้านแปดแสนคนเข้ามาในนรกก็จะไม่มีความหมายใดๆ เลย


เหมียวอี้เดาว่าเมื่อก่อนตำหนักสวรรค์คงคิดว่าขังโจรกบฏไว้ในนรกได้แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรตอนหลัง ถึงอย่างไรการฝืนไปปราบนรกก็มีราคาที่ต้องจ่ายสูงเกินไป ผลปรากฏว่าพอพวกอวิ๋นอ้าวเทียนก่อเรื่องแบบนั้นขึ้นมา หากราชันสวรรค์ไม่กำจัดโจรกบฏในนรกให้สิ้นซาก ก็เกรงว่าจะไม่ยอมหยุดอยู่แค่นี้ มีหรือที่จะยอมให้คนอื่นมานอนกรนข้างเตียงตัวเอง มิหนำซ้ำยังเป็นกลุ่มโจรกบฏที่สู้กับราชันสวรรค์ด้วย!


พอคิดถึงตรงนี้ เหมียวอี้ที่เหาะอยู่ข้างหลังตูหยวนฮ่าวก็เหลียวซ้ายแลขวาอยู่พักหนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ข้าสงสัยว่าพวกเจ้ารู้รึเปล่าว่าการที่ตัวเองปล้นฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนจะก่อให้เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้? รู้รึเปล่าว่ามีชีวิตคนตั้งเท่าไรจะต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือพวกเจ้า?”


พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ไม่ได้โง่ แต่ละคนทำสีหน้าจริงจัง ถ้าไม่ได้มาสักรอบก็คงจะไม่รู้จริงๆ พอได้มาแล้วถึงได้รู้ว่าตัวเองก่อเรื่องใหญ่โตมาก เพื่อที่จะปล้นทรัพย์สมบัติ ไม่น่าเชื่อว่าจะเปิดฉากปะทะระหว่างตำหนักสวรรค์กับนรกโจรกบฏอีกครั้ง สถานที่อันตรายแบบนี้ไม่รู้ว่าต้องใช้ชีวิตคนอีกมากมายเท่าไรถึงจะสามารถสงบศึกได้!


พวกเขาเงียบงันไม่พูดอะไร ไม่มีใครตอบ ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่


เหมียวอี้พูดไม่ออก ได้แต่เหลียวซ้ายแลขวาต่อไป ครุ่นคิดว่าถ้าตัวเองสามารถจดบันทึกเส้นทางที่ผ่านมาตลอดทางกลับไปด้วยได้  ก็จะได้อันดับหนึ่งในการทดสอบแน่นอน


ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวก็แอบร้องว่าซวยแล้ว เป็นเพราะตัวเองมาในครั้งนี้ หากไม่สามารถผ่านด่านโจรกบฏกลุ่มนี้ไปได้ แล้วตนจะรอดชีวิตออกไปเปิดเผยความลับได้อย่างไร ความลับเหล่านี้ เกรงว่าแม้แต่โจรกบฏในนรกก็คงจะไม่รู้ชัดเจนเหมือนกัน


เหมียวอี้หันกลับมาถ่ายทอดเสียงด่าทุกคนอีกว่า “ถ้าขาดเงินพวกเจ้าก็มาหาข้าสิ! ห้าปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยถ่อมาปล้นเนี่ยนะ ครั้งนี้ข้าโดนพวกเจ้าวางกับดักตายแล้ว!”


ซือถูเซี่ยวถ่ายทอดเสียงกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “เงินของไอ้เหมียวจัญไรจะขอยืมง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ? ก่อนหน้านี้ใช่ว่าจะไม่เคยไปยืมเจ้าเสียเมื่อไร เจ้าลองคิดดูสิว่าตัวเองพูดอะไรเอาไว้บ้าง แล้วอีกอย่างนะ ข้าก็บอกเจ้าแล้วว่าอย่าเข้ามาลึก แต่เจ้าดึงดันจะมาให้ได้ ถ้าจะบอกว่าวางกับดัก ข้าว่าเจ้ามากกว่าที่วางกับดักพวกเรา”


เหมียวอี้เถียงกลับทันทีว่า “เป็นพวกเจ้าต่างหากที่ดึงดันจะตามข้ามาให้ได้ ตอนนี้มาโยนความผิดให้ข้าเหรอ?”


“ตอนนี้พวกเจ้ายังมีกะจิตกะใจมาเถียงปัดความรับผิดชอบกันเองอีกเหรอ? คิดหาทางเถอะว่าจะหนีเอาตัวรอดยังไง!” อวิ๋นอ้าวเทียนตะคอก


กลับเป็นจีฮวนที่แอบถ่ายทอดเสียงบอกพวกอวิ๋นอ้าวเทียนโดยไม่ให้เหมียวอี้รู้ “บางทีอาจจะเป็นประต่ายตื่นตูมไปเอง อย่าลืมคำทำนายของเทพพยากรณ์สิ ต้องเชื่อมั่นในความแม่นของคำนายเทพพยากรณ์”


“ยามหกคนพบกันอีกครั้ง สถานการณ์จะพลิกผัน!” มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม “เทพพยากรณ์ช่างรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจริงๆ การที่พวกเราก่อเรื่องครั้งนี้ ระหว่างตำหนักสวรรค์กับนรกโจรกบฏ ถ้าไม่ตายกันไปข้างก็ไม่เลิกรา สถานการณ์ช่างพลิกผันจริงๆ ไม่ผิดเลยสักนิด! แต่หลังจากที่สถานการณ์พลิกผันแล้วล่ะ? เทพพยากรณ์ไม่ได้บอกนะว่าพวกเราจะรอดหรือตาย!”


“ในเมื่อทำนายแม่นขนาดนี้แล้ว คงจะไม่มีเรื่องอะไรหรอกมั้ง ก่อนหน้านี้เขาบอกไว้ว่าชะตาพวกเราจะพลิกผัน แต่คงไม่ถึงขั้นชี้ทางตายให้พวกเราหรอก” จีฮวนกล่าว


“หวังว่าจะเป็นอย่างนี้แล้วกัน!” ฉางเหลยมองซ้ายมองขวา “แต่ทำไมอาตมารู้สึกว่าเรื่องราวยิ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ อาตมาไม่มีความมั่นใจเลย!”


“พวกเจ้าคุยอะไรกันโดยไม่ให้ข้ารู้?” เหมียวอี้ถามทั้งห้าด้วยสีหน้าระแวง เขาย่อมสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ทั้งห้าถ่ายทอดเสียงคุยกัน มาจนป่านนี้แล้วยังมีอะไรที่ต้องคุยกันโดยไม่ให้เขารู้อีก? จึงกล่าวเตือนทันทีว่า “ข้าขอเตือนพวกเจ้านะ อย่าคิดอะไรไม่ซื่อกับข้า ถ้าเอาสถานะขุนนางตำหนักสวรรค์ของข้าไปขาย พวกเจ้าก็อย่าหวังเลยว่าจะได้อยู่ดีมีสุข ข้าเองก็จะเปิดโปงความลับของพวกเจ้าเหมือนกัน…” เหมือนคำขู่นี้จะไม่ได้ผลสักเท่าไร จึงพูดเสริมไปอีกว่า “ลูกสาวและลูกศิษย์ของพวกเจ้าเป็นอนุภรรยาของข้านะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับข้า ก็อย่าหวังเลยว่าพวกนางสบายดี ถ้าปกป้องข้าไว้ ข้าพอจะรู้จักทูตขวาตรวจการเกาก้วนที่จัดการทดสอบครั้งนี้ บางทีอาจจะหาทางพาพวกเจ้าออกจากนรกก็ได้”


ทั้งห้าคนตกตะลึง เบิกตากว้างมองเขาพร้อมกัน มารดาเจ้าเถอะ ทำไมไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะ มาบอกสิ่งนี้กับพวกเราตอนนี้เนี่ยนะ?


…………………………

บทที่ 1221 ใช่ผู้หญิง ไม่ใช่ผู้หญิง!


ถ้าหากจำไม่ผิด มีใครบางคนบอกมาตลอดว่าตอนเข้ามาทดสอบในนรกจะต้องโดนตรวจค้น พร้อมทั้งบอกด้วยว่าตอนการทดสอบจบและได้ออกจากนรกก็จะโดนค้นตัวเช่นกัน ไม่มีทางพาคนเข้าออกจากนรกได้เลย เวรตะไลเอ๊ย! ตอนนี้กลับมาเปิดเผยว่ารู้จักกับทูตขวาตรวจการเกาก้วนแห่งตำหนักสวรรค์ที่จัดการทดสอบนี้ สามารถพาพวกเขาออกจากนรกได้ หมายความว่ายังไงกัน?


หารู้ไม่ว่าเป็นเพราะเหมียวอี้เห็นพวกเขาห้าคนวางแผนลับกันโดยหลบเลี่ยงเขา เขาจึงค่อนข้างสงสัยว่าห้าคนนี้จะเปิดโปงสถานะผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ของเขาเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองหรือเปล่า โจรกบฏนรกพวกนี้เป็นศัตรูคู่แค้นของตำหนักสวรรค์ ถ้ารู้ความจริงแล้วจะปล่อยเขาไปได้เหรอ เลยจำเป็นต้องให้ความหวังห้าคนนี้ล่วงหน้าสักหน่อย หวังว่าหลังจากพยายามทำให้ห้าคนนี้สงบลงแล้วอาจจะยังมีโอกาสรอดชีวิต


ยามเขาเผชิญหน้ากับวิกฤต เขาใช้การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว


“เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าการทดสอบครั้งนี้เวลาเข้าออกนรกจะโดนค้นตัว ไม่มีทางพาพวกเราออกไปได้?” มู่ฝานจวินถามเสียงต่ำ


เหมียวอี้ตอบอย่างมีเหตุผลของตัวเองว่า “ข้าเคยพูดอย่างนั้น แต่ข้าไม่พูดอย่างนั้นได้ด้วยเหรอ? พวกเจ้าห้าคนกล้าบอกมั้ยว่าไม่มีเรื่องปิดบังข้า? ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นใครจะกล้าวางใจพึ่งพาพวกเจ้า?”


แบบนี้เรียกว่าเหตุผลได้เหรอ? แต่เหตุผลนี้ก็อุดปากให้ทั้งห้าคนเถียงไม่ออกแล้ว


“เจ้าบอกว่ารู้จักกับทูตขวาตรวจการเกาก้วนของตำหนักสวรรค์ที่รับผิดชอบการทดสอบนี้เหรอ พวกเราจะอาศัยอะไรมาเชื่อเจ้าล่ะ? เจ้าพูดว่าอะไรก็แปลว่าเป็นอย่างนั้นเหรอ เจ้าจะเอาอะไรมาพิสูจน์ให้พวกเราเชื่อ?” จีฮวนถาม


เหมียวอี้ตอบว่า “พวกเจ้าเองก็ได้ยินเรื่องที่ข้ามีเรื่องเข่นฆ่าในการทดสอบครั้งนี้มาแล้ว พอเปิดสนามทดสอบข้าก็ทำลายกลองสะท้านฟ้าของตำหนักสวรรค์ ถ้าไม่ใช่เพราะรู้จักเกาก้วนอยู่บ้างนิดหน่อย ข้าจะกล้าทำลายความน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์ได้อย่างไร ทำลายความน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์แล้วจะยังมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้เหรอ?”


ทั้งห้าแน่ใจว่าเขาพูดแบบนี้ออกมาเพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง อยากจะเพิ่มแต้มต่อในการปกป้องชีวิตตัวเอง จะได้ทำให้พวกเขาชั่งน้ำหนักสักหน่อย ว่าถ้าเปิดโปงเหมียวอี้พวกเขาก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้ออกจากนรก ต่อให้โจรกบฏในนรกในฆ่าพวกเขา แต่พวกเขาก็จะต้องโดนขังอยู่ในนี้ตลอดไปเหมือนโจรกบฏพวกนั้นโดยไม่ได้ทำอะไร ได้แต่รอให้ดาบของตำหนักสวรรค์มาจ่อคอในสักวันหนึ่ง แต่เหมียวอี้เป็นความหวังเดียวที่จะพาพวกเขาให้รอดออกไปได้


ถึงแม้ทั้งห้าจะรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นการวางแผนของเหมียวอี้ แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่ามีความเป็นไปได้นั้น ชื่อเสียงอันโด่งดังของทูตขวาหน้าตายของตำหนักสวรรค์ พวกเขาก็เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน บังคับใช้กฎหมายอย่างไร้ความปรานีมาตลอด และดูจากข่าวที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ เจ้าเวรนี่ก็เคยคุยกับเกาก้วนแบบต่อหน้าแล้วจริงๆ จึงไม่ตัดความเป็นไปได้เรื่องที่ทั้งสองมีการสร้างความสัมพันธ์กัน


ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง ทั้งห้าหน้าดำคร่ำเครียดพร้อมกันแล้ว เจ้าเวรนี่มีทางพาพวกเขาออกไปก็ไม่รีบบอกก่อน ดึงดันจะพาพวกเขามาประสบพบเจอเรื่องแบบนี้ให้ได้ ครั้งนี้โดนวางกับดักจนแย่แล้ว


เพื่อที่จะเพิ่มน้ำหนักของเรื่องนี้ เหมียวอี้บอกอีกว่า “ไม่ปิดบังพวกเจ้านะ ถ้าไม่ใช่เพราะการทดสอบครั้งนี้ราชินีสวรรค์เป็นคนจัด ข้าคงได้ย้ายไปรับตำแหน่งเป็นลูกน้องเกาก้วนที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์แล้ว เกาก้วนรับปากข้าแล้ว ขอเพียงหลังจากการทดสอบข้ารอดชีวิตกลับไปได้ ถ้าอยู่ที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้อีกต่อไป เขาก็จะหาทางย้ายข้าไปเป็นลูกน้องเขา”


“เจ้ามาพูดตอนนี้ยังจะมีความหมายบ้าอะไรล่ะ? ถ้าอยากจะขู่พวกเราก็ต้องดูด้วยว่าจะผ่านด่านนี้ไปได้รึเปล่า!” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าว


เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ ท่าทางจัญไรแบบนั้น ทำให้ห้าคนที่เหลือบมองเขาแค้นจนอยากจะเล่นงานเขาให้ตาย


ตูหยวนฮ่าวเพียงหันกลับมามองแวบหนึ่งเท่านั้น แน่นอนว่าเขาสังเกตได้ว่าหกคนนี้กำลังถ่ายทอดเสียงสื่อสารกัน แต่ระหว่างทางที่มาก็ได้เตือนทั้งหกแล้วว่าห้ามใช้ระฆังดาราติดต่อกับภายนอก นอกจากสิ่งนี้ก็ไม่ได้จำกัดอะไรพวกเขาแล้ว ยิ่งไม่มีอะไรที่ล่วงเกินด้วย


เหมียวอี้เผชิญหน้ากับสายตาเคียดแค้นของทั้งห้าคนด้วยความอับอายเล็กน้อย เขาหยิบแผนที่ดาวออกมา อยากจะดูว่าตูหยวนฮ่าวต้องการจะพาพวกเขาไปที่ไหนกันแน่


เป็นเพราะสถานการณ์ในนรกแปลกเกินไป มีบางแห่งที่ตูหยวนฮ่าวเองก็ไม่สามารถผ่านไปได้โดยตรงเช่นกัน พาพวกเขาอ้อมทางนั้นทีทางนี้ที ตอนนี้อ้อมจนวุ่นวายไปหมด ไม่รู้ว่าตัวกำลังอยู่ตรงทิศไหนแล้ว


ผลก็คือตอนที่ยังไม่ได้ดูก็ยังไม่รู้ แต่หลังจากได้รู้แล้ว เหมียวอี้ก็อึ้งทันที


พอทั้งห้าคนเห็นปฏิกิริยาของเขาตอนหยิบแผนที่ดาว ก็รีบหยิบแผนที่ดาวออกมาตรวจดูบ้างอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง


หลังจากอ่านแล้วก็อึ้งเช่นเดียวกัน มู่ฝานจวินกล่าวเสียงต่ำว่า “พวกเรากำลังเข้าใกล้บริเวณดาวหลักปิ่งจื้อฮ่าว เหมือนใกล้จะถึงแล้ว”


“บังเอิญขนาดนี้เชียวเหรอ?” ซือถูเซี่ยวก็แปลกใจเช่นกัน


เดิมทีพวกเขาก็ต้องการมาที่บริเวณนี้อยู่แล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าตูหยวนฮ่าวจะเป็นฝ่ายพาพวกเขามาส่งเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าจุดหมายปลายทางของตูหยวนฮ่าวคือบริเวณนี้ หรือว่าแค่ผ่านมาทางนี้เฉยๆ ถ้าดูจากขอบเขตแดนอเวจีที่แผนที่ดาวในปัจจุบันครอบคลุมไปถึง บริเวณดาวหลักปิ่งจื้อฮ่าวก็น่าจะเป็นจุดศูนย์กลางของแดนอเวจีแล้ว


ทั้งห้าแทบจะมองไปทางเหมียวอี้อย่างตะลึงงันพร้อมกัน เมื่อนึกเชื่อมโยงกับปฏิกิริยาของเขา มู่ฝานจวินก็ถามว่า “เหมียวอี้ เจ้าคิดจะไปทำอะไรที่บริเวณดาวหลักปิ่งจื้อฮ่าวกันแน่?”


เหมียวอี้เก็บแผนที่ดาว แล้วถามกลับพวกเขาว่า “พวกเจ้าตามติดข้าไม่ปล่อยเพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?”


เมื่อถามมาแบบนี้ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนพวกเขากำลังสร้างเงื่อนไขมาแปลกเปลี่ยนกัน


ทั้งห้าก็อยากจะบอกให้เขารู้อยู่หรอก แต่เป็นเพราะกังวลในอานุภาพแห่งคำทำนายของเทพพยากรณ์อยู่นิดหน่อย กลัวว่าถ้าไม่เคารพคำทำนายแล้วจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดเดาไม่ได้ตามมา ความหวังเดียวในการรอดชีวิตตอนนี้ ก็แทบจะฝากไว้ที่คำทำนายของเทพพยากรณ์หมดแล้ว


พวกเขาไม่บอก ก็ย่อมต้องให้เหตุผลกับเหมียวอี้เช่นกันว่าทำไมไม่บอก ทุกคนต่างก็รักษาความลับ ต่างก็ไม่ถามแล้ว


ผ่านไปไม่นาน ดาวหลักปิ่งจื้อฮ่าวก็ปรากฏอยู่ในขอบเขตที่ดวงตาอิทธิฤทธิ์ของพวกเขาสามารถมองถึง เป็นดวงอาทิตย์ดวงหนึ่ง!


มีดาวรองสิบกว่าดวงอยู่ทั้งใกล้และไกลในระยะที่ไม่เท่ากัน กำลังหมุนรอบดวงอาทิตย์


ตูหยวนฮ่าวที่เป็นผู้นำขบวนนี้เบี่ยงทิศทางเล็กน้อย พุ่งไปหาดาวรองดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้พวกเขาที่สุดซึ่งมืดเย็นและห่างไกลจากดวงอาทิตย์ที่สุด หลังจากเข้าใกล้แล้วก็เหาะวน เห็นได้ชัดว่ากำลังเตรียมจะหาจุดเหาะลง


การกระทำนี้ทำให้เหมียวอี้กึ่งดีใจกึ่งกลุ้มใจ


ดีใจที่จุดหมายปลายทางของตูหยวนฮ่าวคือบริเวณดาวหลักปิ่งจื้อฮ่าวที่เขาต้องการจะไปจริงๆ เขาได้เห็นสภาพอันตรายตลอดทางด้วยตาตัวเองแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีตูหยวนฮ่าวนำทาง ความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะมาถึงที่นี่ได้อย่างราบรื่นก็แทบจะเป็นศูนย์ จะไม่พูดว่าตัวเองดวงดีก็คงไม่ได้ ที่ซ่อนสมบัติที่ประมุขไป๋เตรียมไว้จะต้องมีไว้ให้คนที่สามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างราบรื่นแน่นอน และคงไม่ใช่สิ่งที่คนเป็นเชลยศึกอย่างเขาจะบังเอิญพบ


ที่กลุ้มใจก็คือจะผ่านด่านตรงหน้านี้ไปได้อย่างไร ถ้าไม่สามารถรอดพ้นเงื้อมมือโจรกบฏกลุ่มนี้ไปได้ สมบัติที่ซ่อนไว้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแล้ว


ส่วนพวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็พากันประเมินปฏิกิริยาของเหมียวอี้อย่างเงียบๆ ในใจเรียกได้ว่าแอบคาดคะเนอย่างสงสัยประหลาดใจ ดูจากตำแหน่งที่อยู่บนแผนที่ดาว ก็พบว่าอยู่ที่ใจกลางของแดนอเวจี ดีไม่ดีอาจจะเป็นฐานใหญ่ของโจรกบฏก็ได้ เหมียวอี้วางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะมาที่ฐานใหญ่โจรกบฏเหรอ?


เหยียบลงพื้นแล้ว!


ไม่ได้ผ่านประตูดวงดาวใดๆ ใช้เวลาเหาะอันยาวนานเกือบหนึ่งเดือนกว่า ในที่สุดก็ได้เหยียบลงพื้นแล้ว


ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่สีของท้องฟ้าขมุกขมัวเพราะถูกเมฆครึ้มปกคลุม ภูเขาสูงลาดชัน ทุกที่ล้วนเป็นแบบนี้ พืชพรรณสีดำมืดแย้มบานจุดแสงหลากสีสันอยู่ในอากาศหนาวชื้น ไม่ใช่พืชพรรณประเภทที่เติบโตด้วยการอาบแสงอาทิตย์


บนหน้าผาสูงชะโงกขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่หันหน้าเข้าหามหาสมุทรดำทะมึน ด้านบนหน้าผามีตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง แกะสลักเป็นภาพกระดูกคนหรือไม่ก็สัตว์ป่าและนกชนิดต่างๆ


บนพื้นราบนอกตำหนัก มีคนยืนอยู่สามสิบกว่าคน หกคนที่อยู่ข้างหน้ายืนเรียงแถวหน้ากระดาน นอกจากพระชราที่สวมชุดคลุมสีเทา อีกห้าคนที่เหลือก็นอกจากสีชุดจะไม่เหมือนกันแล้ว แต่ละคนก็ล้วนเป็นชายชราที่เครายาวและผมเผ้ายุ่งสยาย


ข้างหลังหกคนนี้มีคนยืนอยู่ด้วยอีกหลายคน ทุกคนเงยหน้ามองตูหยวนฮ่าวนำคนหกคนเหาะลงมาเหยียบบนหน้าผา


พอพวกเหมียวอี้เห็นหกคนที่ยืนเรียงแถวอยู่ ในใจก็ร่ำร้องทันที มองจากสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ของจริงตรงหว่างคิ้วก็สามารถรู้ได้ ว่าทั้งมดเป็นนักพรตระดับสำแดงฤทธิ์ ถ้าต้องการจะทำให้พวกเขาตาย ก็เกรงว่าจะง่ายจนไม่จำเป็นต้องยกนิ้วขึ้นมาด้วยซ้ำ


ตูหยวนฮ่าวทิ้งพวกเขาไว้แล้ว เดินก้าวยาวไปหาชายชราชุดดำหนึ่งในนั้น แล้วกุมหมัดคารวะ “รายงานท่านขุนพลใหญ่ ข้าน้อยพาพวกเขามาแล้ว”


สายตาเร่าร้อน! ชั่วพริบตาเดียวคนหลายสิบคนนั่นก็มองพวกเหมียวอี้ด้วยสายตาเร่าร้อนไร้ที่เปรียบ ในสายตาเต็มไปด้วยการเฝ้าคอย


พวกเหมียวอี้โดนสายตาแบบนั้นมองจนรับไม่ได้นิดหน่อย เหมือนกับตัวเองเป็นยอดหญิงงามที่แก้ผ้าหมดแล้วบังเอิญเจอฝูงชายหื่น รู้สึกว่าคนพวกนี้ตามันแผล็บจนแทบจะเป็นสีเขียวแล้ว


ชายชราชุดดำพยักหน้าเล็กน้อย สายตาไปหยุดอยู่บนตัวซือถูเซี่ยวที่สวมหน้ากากผี แล้วถามว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าเขาฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง?”


“ข้าน้อยทดสอบมาแล้ว เขาฝึกเคล็ดวิชาพิเศษของประมุขปราชญ์จริงๆ” ตูหยวนฮ่าวตอบ


ทันใดนั้นชายชราชุดดำก็ยกมือขยุ้มนิ้ว พวกเหมียวอี้รูสึกทันทีว่าอากาศรอบข้างหนักยิ่งกว่าภูเขา กดดันจนพวกเขาหายใจไม่ออก พยายามร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทานแต่ก็ยากที่จะต้านทานได้ ชายชราขยุ้มนิ้วอีกครั้ง เกิดเสียงดังแคว่ก หน้ากากผีบนใบหน้าซือถูเซี่ยวปลิวออกไปทันที ผ้าสีดำที่คลุมศีรษะก็ขาดกระจายเช่นกัน ผมยาวเด้งสยายออกมา


หน้ากากผีของซือถูเซี่ยวเลี้ยวมาอยู่บนมือชายชราชุดดำในชั่วพริบตาเดียว ชายชราชุดดำตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด “เป็นผู้หญิง!”


ชั่วพริบตานี้แรงกดดันมหาศาลบนตัวของทุกคนได้หายไปแล้ว พวกเหมียวอี้ได้ยินแล้วยื่นหัวไปมองพร้อมกัน เห็นเพียงซือถูเซี่ยวที่ถูกกำจัดหน้ากากผีทิ้งปล่อยผมยาวสยาย กำลังเม้มริมฝากแน่น หน้าตาเหมือนผู้หญิงคนหนึ่งที่งามล่มเมือง


เหมียวอี้และคนอื่นๆ ตะลึงตาค้าง โดยเฉพาะพวกอวิ๋นอ้าวเทียน คลุกคลีอยู่กับซือถูเซี่ยวมาหลายปีขนาดนี้ วันนี้ถึงได้พบว่าซือถูเซี่ยวเป็นผู้หญิง


ฉางเหลยที่ยืนอยู่ข้างกายซือถูเซี่ยวถามอย่างประหลาดใจว่า “ผีเฒ่า เจ้าเป็นผู้หญิงเหรอ?”


ซือถูเซี่ยวหันกลับมาอย่างเดือดดาล แล้วกล่าวเสียงเย็นเยือกว่า “พระเถระ เจ้าฟังข้าให้ดีนะ ข้าไม่ใช่ผู้หญิง แค่หน้าตาเหมือนผู้หญิงเฉยๆ”


เห็นได้ชัดว่ากำลังพูดสิ่งนี้ให้กลุ่มคนที่อยู่ตรงข้ามฟัง


“อามิตตาพุทธ เป็นผู้หญิงก็ไม่เป็นไรหรอก” ฉางเหลยประนมมือส่ายหน้า


ซือถูเซี่ยวกล่าวเสียงดุว่า “ข้าจะพูดอีกครั้งนะ ข้าไม่ใช่ผู้หญิง แค่หน้าตาเหมือนผู้หญิงเฉยๆ”


จีฮวนที่อยู่อีกด้านพลันยื่นมือไปลูบหน้าอกเขา ซือถูเซี่ยวไหวตัวเร็ว รีบเอาแขนป้องเงื้อมมือมารของอีกฝ่ายที่กำลังยื่นมาถึงหน้าอกตัวเอง แล้วถามอย่างโมโหว่า “ปีศาจเฒ่า เจ้ารนหาที่ตายใช่มั้ย?”


ชายชราชุดดำพลันกางนิ้วทั้งห้าอีกครั้ง ทำให้ร่างกายของซือถูเซี่ยวนิ่งชะงัก ทั้งตัวขยับเขยื้อนไม่ได้ แล้วถลันตัวเข้าไปหา


พอเข้ามาใกล้ตรงหน้า ชายชราชุดดำก็ใช้มือกดที่บ่าของเขา หลังจากเงียบไปพักหนึ่งก็ปล่อยเขา แล้วพยักหน้าบอกว่า “ไม่ใช่ผู้หญิง เป็นผู้ชายจริงๆ ผู้ชายที่หน้าตาเหมือนผู้หญิงขนาดนี้หาพบได้น้อยมาก ถ้าจะเข้าใจผิดก็ไม่แปลก”


พวกเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก พอเป็นแบบนี้ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมซือถูเซี่ยวถึงใส่หน้ากากเอาไว้ตลอดและไม่ยอมใช้หน้าจริงพบคนอื่น


ซือถูเซี่ยวเหมือนจะไม่พอใจมากที่มีคนบอกว่าเขาเป็นผู้หญิง ต่อให้จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังถามด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “ข้ากับพวกท่านไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน พาพวกเรามาที่นี่เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?”


ชายชราชุดดำคืนหน้ากากผีให้เขา แล้วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ข้าก็ฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางเหมือนกัน ท่องเคล็ดวิชาที่เจ้าฝึกให้ข้าฟังสักส่วนหนึ่ง ถ้าแน่ใจว่าเป็นพวกเดียวกันจะได้คุยกันง่าย ไม่อย่างนั้นจะฆ่าไม่ปราณี!”


 …………………………

บทที่ 1222 ผู้วางค่ายกล


ภายนอกของเคล็ดวิชาสามารถปลอมแปลงกันได้ แต่สูตรท่องจำของเคล็ดวิชากลับไม่สามารถปลอมแปลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ สมาชิกของตำหนักสวรรค์ที่เข้าร่วมการทดสอบบุกเข้ามาพอดี เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังป้องกันว่าพวกเขาเป็นสายลับที่ตำหนักสวรรค์ส่งมาหรือไม่


ถ้าไม่ตอบตกลงก็จะฆ่าอย่างไม่ปรานี ไม่มีที่เหลือให้เจรจาต่อรองใดๆ ซือถูเซี่ยวสามารถปฏิเสธได้เหรอ? ไม่มีทางปฏิเสธได้!


เขานำหน้ากากใส่ไว้บนหน้าอีกครั้งอย่างช้าๆ แล้วบอกว่า “ข้าท่องทั้งหมดไม่ได้หรอก ข้าฝึกแค่ภาคดิน”


“ข้าก็ฝึกแค่ภาคดินเหมือนกัน ท่องของภาคดินมาแค่ส่วนหนึ่งก็พอ” ชายชราชุดดำกล่าว


“ท่านพูดคำไหนคำนั้นนะ?” ซือถูเซี่ยวถาม


“เจ้ามีทางเลือกด้วยเหรอ?” ชายชราชุดดำตอบ


“ไม่มี!” ซือถูเซี่ยวส่ายหน้า แล้วถามอีกว่า “ท่องต่อหน้าคนเยอะๆ จะเหมาะเหรอ?”


“ถ่ายทอดเสียงท่อง” ชายชราชุดดำตอบ


ซือถูเซี่ยวถอนหายใจอย่างอับจนปัญญา จะไม่เชื่อฟังก็ไม่ได้ เพราะไม่มีทางหนีทีไล่ใดให้รับมือ ทำได้เพียงเริ่มถ่ายทอดเสียงท่อง


พวกเหมียวอี้ล้วนกำลังจ้องมองมาทางนี้ ทุกคนล้วนจ้องมาทางนี้


พอสูตรของเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางถูกถ่ายทอดเสียงท่องออกมาจากปากซือถูเซี่ยว ก็เห็นชายชราชุดดำทำสีหน้านิ่งขรึมทันที สายตาจ้องเขม็งที่ตัวซือถูเซี่ยว ในแววตาเต็มไปด้วยความสับสนประหลาดใจ


ยังไม่ทันรอให้ซือถูเซี่ยวท่องจบ ชายชราชุดดำก็ถอนหายใจเบาๆ แล้ว เขาบอกต่อหน้าทุกคนว่า “ไม่ต้องท่องแล้ว! ชายชราผู้นี้คือเหลิ่งจัวฉุน ขุนพลของประมุขปราชญ์ลัทธิผี เจ้าชื่ออะไร?”


“ซือถูเซี่ยว!” ซือถูเซี่ยวตอบ แล้วถามว่า “ตอนนี้ปล่อยพวกเราไปได้รึยัง?”


ชายชราชุดดำมองซ้ายมองขวาพร้อมบอกว่า “นั่นก็ต้องถามความเห็นพวกเขาก่อน”


พอพูดจบ พระที่สวมจีวรสีเทาก็พลันยื่นมือออกมา ฉางเหลยถูกอีกฝ่ายดูดเข้ามาหาอย่างจนใจมาก พระชราไม่พูดพร่ำทำเพลง บอกเพียงว่า “ถ่ายทอดเสียงท่องหฤทัยสูตรสุขาวดีให้ข้าฟังหน่อย”


ขณะมองดูพระตรงหน้าที่ผิวกายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองแดงประหลาด ฉางเหลยก็หันมองซือถูเซี่ยวที่อยู่ข้างกาย เมื่อมีบทเรียนให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว แล้วเขาจะทำอย่างไรได้อีก ทำได้เพียงถ่ายทอดเสียงท่องหฤทัยสูตรสุขาวดีเช่นกัน


หลังจากท่องไปได้ส่วนหนึ่ง พระที่ผิวสีทองแดงก็พยักหน้าพูดตัดบทว่า “ไม่ต้องท่องแล้ว” จากนั้นก็หันซ้ายหันขวา “ทางข้าไม่ผิดพลาด” จากนั้นหันมามองฉางเหลยอีก “อาตมามีฉายานามว่ากุยอู๋ ท่านล่ะ?”


“ฉางเหลย!” ฉางเหลยประนมมือตอบ


“ตูหยวนฮ่าว คนไหนฝึกเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน?” ชายชราชุดดำที่ปล่อยผมกระเซิงเหมือนคนบ้าพลันเอ่ยถาม


ตูหยวนฮ่าวชี้ไปที่อวิ๋นอ้าวเทียน “เขา ชื่อว่าอวิ๋นอ้าวเทียน”


ชายชราที่สภาพเหมือนคนบ้ากลับไม่ได้ลากตัวอวิ๋นอ้าวเทียนเข้ามา แต่ตะโกนสั่งโดยตรงว่า “ข้าคือตานฉิง ถ่ายทอดเสียงท่องเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานให้ข้าฟังหน่อย”


อวิ๋นอ้าวเทียนเอียงหน้าเล็กน้อยมองเหมียวอี้ที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนวางแผนร้ายอะไรอยู่ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็หันมาท่องเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานให้คนที่ชื่อตานฉิงฟัง


หลังจากท่องไปได้ส่วนหนึ่ง ตานฉิงก็พูดตัดบท “พอแล้ว! ของข้าก็ไม่ผิดพลาดเหมือนกัน”


นักพรตปีศาจคนหนึ่งที่ตาโตเหมือนระฆังทองแดงยื่นกรงเล็บเข้ามา จีฮวนที่เป็นนักพรตปีศาจเช่นเดียวกันไถลตัวไปตรงหน้าเขาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ตูหยวนฮ่าวเป็นฝ่ายแนะนำเองว่า “คนนี้ชื่อจีฮวน”


ชายชราที่ตาโตเหมือนระฆังกล่าวเสียงหยาบทุ้มว่าว่า “ข้าชื่อจ่างหง ท่อง!”


จีฮวนยังไม่ทันท่องจบ ตูหยวนฮ่าวก็แนะนำเหมียวอี้กับมู่ฝานจวินแล้ว ทั้งสองถูกร่ายอิทธิฤทธิ์ดึงออกไปพร้อมกัน


ชายชราชุดขาวดุจหิมะที่เรียกตัวเองว่า ‘เมิ่งหรู’ มองสำรวจมู่ฝานจวินศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?”


เห็นได้ชัดว่ามองออกแล้วว่ามู่ฝานจวินเป็นผู้หญิง แต่เป็นเพราะเคยเข้าใจผิดซือถูเซี่ยว ท่านนี้จึงดูเหมือนไม่ค่อยกล้าแน่ใจ


“ผู้หญิง” มู่ฝานจวินตอบ


เมิ่งหรูเอียงหน้ามองซือถูเซี่ยวแวบหนึ่ง  แล้วขมวดคิ้วพึมพำว่า “สังคมภายนอกเป็นอะไรไปหมดแล้ว? ทำไมผู้ชายถึงไม่เหมือนผู้ชาย ผู้หญิงถึงไม่เหมือนผู้หญิง…ท่อง!”


ส่วนเหมียวอี้ก็โดนชายชราชุดคลุมเหลือที่ชื่อว่า ‘สืออวิ๋นเปียน’ จ้องแล้ว สั่งคำเดียวว่า “ท่อง!”


“ท่องอะไร?” เหมียวอี้ถามด้วยท่าทางกินปูนร้อนท้อง


อวิ๋นอ้าวเทียน จีฮวน ฉางเหลย ซือถูเซี่ยวที่ท่องเสร็จแล้วหันมามองเหมียวอี้ที่อยู่ทางนี้พร้อมกัน


“ก็ต้องเป็นมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงอยู่แล้ว” สืออวิ๋นเปียนกล่าว


“อ๋อ!” เหมียวอี้คิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถ่ายทอดเสียงท่อง ตอนแรกที่เขาอยากจะฝึกวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง เขาก็จดจำได้บ้างเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าตอนนี้จะได้นำออกมาใช้งานแล้ว


สืออวิ๋นเปียนกำลังหรี่ตาฟัง แต่ใครจะคิดว่าหลังจากเหมียวอี้ท่องไปได้นิดหน่อย ก็เป็นฝ่ายหยุดท่องเองโดยที่เขาไม่ได้สั่งให้หยุด


สืออวิ๋นเปียนลืมตาขึ้น แล้วถามว่า “ทำไมไม่ท่องแล้ว?”


พวกอวิ๋นอ้าวเทียนได้ยินแล้วหัวใจกระตุกวูบ


เหมียวอี้อบร้องในใจว่าซวยแล้ว เขาฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงไม่สำเร็จ จำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ฝึกช่วงหลังจึงไม่ได้ท่องไว้ เขาพยายามท่องอย่างช้าๆ แล้ว หวังว่าจะสามารถตบตาได้ แต่ใครจะคิดว่าตาแก่ที่อยู่ตรงข้ามจะไม่สั่งให้หยุด เขาทำได้เพียงหยุดเอง ประเด็นสำคัญคือถ้าท่องมั่วก็จะตบตาอีกฝ่ายไม่ได้


โชคดีที่ยามหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้เขาไม่ได้อ่อนด้อยฝีมือ กล่าวด้วยท่าทางสบายใจไร้กังวลว่า “ข้าไม่ได้ฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงเสียหน่อย อ่านแล้วรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจก็เลยล้มเลิก จะไปจำหมดได้ยังไง ผู้อาวุโสสือ ท่านจะให้ข้าท่องสิ่งนี้ไปทำไม?”


ชั่วพริบตานั้น ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเงียบกริบ ทุกสายตาจับจ้องไปที่เหมียวอี้คนเดียว


หลังจากสืออวิ๋นเปียนชะงักไปพักหนึ่ง ก็ถามเสียงต่ำว่า “มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง หนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษ เจ้าบอกว่าไม่สนใจงั้นเหรอ?”


เหมียวอี้รีบแก้คำพูด “ก็ไม่เชิงว่าไม่สนใจ แค่ตอนนี้ยังไม่ได้ฝึกก็เท่านั้นเอง”


สืออวิ๋นเปียนทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน ยื่นมือกล่าวว่า “งั้นเอาเคล็ดวิชาออกมาให้ข้าดูหน่อย”


เหมียวอี้จะกล้านำเคล็ดวิชาติดตัวไว้ได้อย่างไรกัน ตอนเข้านรกจะต้องถูกค้นตัว หากถูกพบว่าบนตัวมีมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงก็แย่แล้ว เขาย่อมไม่ได้พกมาด้วย จะนำออกมาได้อย่างไรกัน เขาตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ได้พกติดตัว ซ่อนเอาไว้แล้ว”


“…” สืออวิ๋นเปียนพูดไม่ออกนิดหน่อย ได้แต่จ้องเหมียวอี้ และไม่มีทางแน่ใจด้วยว่าสิ่งที่เหมียวอี้พูดเป็นความจริงหรือโกหก ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็ท่องออกมาส่วนหนึ่งแล้วจริงๆ


ตอนนี้เหมียวอี้กังวลมากว่าเจ้าหมอนี่จะมาค้นตัวเขา เพราะบนร่างกายเขามีของของตำหนักสวรรค์อยู่ ถ้าถูกค้นและจับได้ว่าตัวเองเป็นคนของตำหนักสวรรค์ โจรกบฏกลุ่มนี้จะต้องจับเขาถลกหนังทั้งเป็นแน่นอน


จู่ๆ สืออวิ๋นเปียนก็ยื่นมือมาดึงคอเสื้อของเหมียวอี้เอาไว้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงเดือดดาลว่า “เจ้าไม่ได้ฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงแล้วถ่อมาทำอะไรที่นี่?”


เหมียวอี้ชี้ไปที่ตูหยวนฮ่าว พลางตอบอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “พวกเราก็ไม่ได้อยากมาหรอก เป็นขุนพลที่จับพวกเรามา


ตูหยวนฮ่าวอ้าปากค้างพูดไม่ออก


“เจ้า…” สืออวิ๋นเปียนเดือดดาลมาก


“เฒ่าสือ!” กลับเป็นเมิ่งหรูที่เพิ่งตรวจสอบมู่ฝานจวินเสร็จที่เอ่ยห้ามเขาไว้ “อย่าบุ่มบ่าม”


สืออวิ๋นเปียนกล่าวเสียงต่ำว่า “คนคนนี้มีปัญหา ใครจะไปรู้ว่าเขาพูดจริงหรือโกหก ดีไม่ดีอาจจะมีปัญหากันหมดทั้งหกคน”


เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ก็ทำให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนอกสั่นขวัญแขวนทันที


เมิ่งหรูโบกมือ แล้วชี้ไปด้านนอกท้องฟ้า เหมือนกำลังบอกใบ้อะไรสักอย่าง


สืออวิ๋นเปียนพ่นเสียงทางจมูก แล้วใช้มือผลักเหมียวอี้ออกไป


เมิ่งหรูมองเหมียวอี้ศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วก็กวาดสายตามองพวกอวิ๋นอ้าวเทียนอีก “ทุกคนตามข้ามา”


เขาเหาะขึ้นฟ้านำไปก่อน แล้วสืออวิ๋นเปียนก็ตะคอกสั่งพวกเหมียวอี้ที่กำลังมองหน้ากันเลิกลั่กว่า “ยังไม่รีบตามไปอีก”


สิ่งที่เรียกว่า ‘อีกฝ่ายมีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย แต่ตัวเองเป็นเนื้อบนเขียง’ คืออะไรล่ะ? พวกเหมียวอี้มีควารู้สึกแบบนี้แหละ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงพุ่งตัวขึ้นฟ้าตามไป


ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น คนหลายสิบคนที่ยืนอยู่นอกตำหนักก็พุ่งขึ้นฟ้าเช่นกัน


ทุกคนพุ่งฝ่าเมฆดำ เหาะฝ่าชั้นบรรยากาศออกไปอยู่ในดาราจักร ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์หกคนเหาะนำทางอยู่ข้างหน้า พวกเหมียวอี้ตามอยู่ข้างหลัง พอหันกลับมามองข้างหลัง แต่ละคนก็เรียกได้ว่าอกสั่นขวัญแขวน ตอนนี้ถึงได้พบว่าสามสิบกว่าคนที่ตามอยู่ข้างหลังล้วนเป็นนักพรตที่มีระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ


พวกเขาไม่ได้เหาะไปไกลนัก หยุดลอยอยู่ในท้องฟ้านอกดาวรองดวงหนึ่งที่โคจรรอบดาวหลัก ที่ดาวรองดวงนั้นมีดาวเสริมสิบเอ็ดดวงโคจรอยู่รอบๆ ดาวเคราะห์สิบสองดวงนี้ล้วนถูกหมอกสีเลือดปกคลุม มองเห็นสถานการณ์บนดาวเคราะห์ได้ไม่ชัดเจน


พวกอวิ๋นอ้าวเทียนไม่รู้ว่าโจรกบฏกลุ่มนี้พาพวกเขามาทำอะไรที่นี่ มีเพียงเหมียวอี้ที่พอกวาดสายตาเจอดาวเคราะห์สิบสองดวงแล้ว สายตาก็ไปหยุดอยู่ตรงดาวรองตรงกลางที่ถูกโคจร  ในใจแอบมีความสุขเล็กน้อย


ตำแหน่งคร่าวๆ ของภาพพิกัดดาวบนแผนที่ซ่อนสมบัติ เมื่อเจอตำแหน่งคร่าวๆ แล้วถึงจะหาตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจงได้


แค่มองปราดเดียวเขาก็รู้แล้วว่าเป็นที่ซ่อนเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางภาคดิน มันอยู่บนดาวรองที่มีดาวเสริมสิบสองดวงโคจรรอบๆ นั่นเอง พยายามหาแทบตายแต่ไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่ายๆ แบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น


มองซ้ายก็แล้วมองขวาก็แล้ว ก็ยังไม่เข้าใจว่าการที่โจรกบฏกลุ่มนี้พาตัวเองมาถึงที่ซ่อนสมบัติหมายความว่าอย่างไร


เมิ่งหรูที่จ้องมองอยู่พักหนึ่งหันตัวมามองพวกเหมียวอี้ แล้วชี้ไปยังดาวเคราะห์สิบสองดวงพร้อมถามว่า “เห็นดาวเคราะห์สิบสองดวงนั่นหรือยัง?”


พวกเหมียวอี้สบตากันแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบพร้อมกันว่า “เห็นแล้ว”


เมิ่งหรูกล่าวอธิบายว่า “หลังจากประมุขปราชญ์หกท่านตายแล้ว พวกเราก็ล่าถอยมาที่แดนอเวจี เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กระจัดกระจายจนติดต่อกับโจรกบฏภายนอกได้ยาก ทั้งหกลัทธิจึงเลือกประมุขขุนพลหนึ่งคนมาบัญชาการพวกเรา ตอนนี้ประมุขขุนพลหกท่านถูกขังบนบนดาวรองที่มีดาวเสริมสิบเอ็ดดวงโคจร และบนดาวสิบสองดวงนั้นก็ถูกใครบางคนใช้พลังอิทธิฤทธิ์อันแข็งแกร่งวางค่ายกลขนาดใหญ่ไว้ ค่ายกลใหญ่กับชีวิตของประมุขขุนพลหกท่านมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ถ้าอยากจะช่วยชีวิตประมุขขุนพลหกท่านออกมาจากดาวรอง ก็ต้องทำลายค่ายกลที่เกี่ยวโยงกันบนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงก่อนถึงจะเข้าไปได้ ที่พาพวกเจ้าหกคนมาที่นี่ ก็เพราะต้องการจะให้พวกเจ้าทำลายค่ายกล ถ้าสามารถทำลายค่ายกลได้ เราก็จะไว้ชีวิตพวกเจ้า แต่ถ้าพวกเจ้าทำลายค่ายกลไม่ได้ ข้าก็จะเอาชีวิตพวกเจ้า!”


ทั้งหกคนเหม่อทันที อวิ๋นอ้าวเทียนถามว่า “ขนาดอาศัยวรยุทธ์ของพวกท่านยังไม่สามารถทำลายค่ายกลได้เลย ให้พวกเราไปทำลายค่ายกลนี่กำลังล้อเล่นรึเปล่า แบบนี้ต่างอะไรกับการกดดันให้พวกเราเอาชีวิตไปทิ้ง?”


“ในปีนั้นคนที่เคยวางค่ายกลนี้เคยบอกเอาไว้ ว่าให้รอจนผู้สืบทอดมหาเคล็ดวิชาพิเศษของประมุขปราชญ์หกท่านมาถึง ก็จะเป็นเวลาที่ประมุขขุนพลหกท่านจะได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง” เมิ่งหรูกล่าว


ทั้งหกคนเข้าใจทันทีว่าทำไมโจรกบฏกลุ่มนี้จึงพิสูจน์ยืนยันเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเขา ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง


เหมียวอี้ที่เหลือบมองชายชราสามคนถามหยั่งเชิงว่า “ผู้อาวุโสทั้งหกท่านก็ฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่ทำลายเองล่ะ?”


เมิ่งหรูส่ายหน้าบอกว่า “พวกเราฝึกแค่หกเคล็ดวิชาพิเศษภาคดิน และเป็นผู้วางค่ายกลท่านนั้นที่ถ่ายทอดวิชาให้เรา เป้าหมายในการถ่ายทอดวิชาก็เพื่อให้ต้อนรับและนำทางคนทำลายค่ายกล พวกเราก็เคยลองทำลายค่ายกลแล้วเหมือนกัน แต่จนใจที่หาวิธีการไม่ได้ ไม่กล้าฝืนทดลอง ไม่กล้าเอาชีวิตประมุขขุนพลหกท่านมาเสี่ยงอันตราย”


มีคนที่กุมหกเคล็ดวิชาพิเศษไว้ในมือเหรอ? เหมียวอี้ตาเป็นประกาย นึกเชื่อมโยงอะไรบางอย่าง รีบถามต่อว่า “ไม่ทราบว่าคนวางค่ายกลคือใคร ในมือถึงมีมหาเคล็ดวิชาพิเศษของประมุขปราชญ์หกท่านได้?”


“ประมุขไป๋!” เมิ่งหรูตอบเสียงดัง


เป็นเขาจริงๆ ด้วย! เหมียวอี้ถามอีกว่า “ในมือประมุขไป๋มีหกเคล็ดวิชาพิเศษได้อย่างไร?”


เมิ่งหรูค่อยๆ หลับตาสองข้าง แล้วถามว่า “เจ้าถามเยอะเกินไปหรือเปล่า?”


หลายปีมานี้ถูกหกเคล็ดวิชาพิเศษที่ประมุขไป๋ซ่อนคอยจูงจมูกให้เดินมาตลอด เหมียวอี้ย่อมอยากคลายปริศนาในใจอยู่แล้ว จึงอธิบายว่า “พวกท่านบังคับให้พวกเราทำลายค่ายกล ถ้าพวกเราไม่รู้แม้แต่ต้นสายปลายเหตุ แล้วจะให้พวกเราทำลายค่ายกลได้อย่างไร?”


หลังจากตรงนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง กุยอู๋ พระที่ผิวสีทองแดงก็ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “หกเคล็ดวิชาพิเศษเป็นสิ่งที่ประมุขปราชญ์หกท่านมอบให้ประมุขไป๋”


เหมียวอี้ยิ่งฟังยิ่งแปลกใจ “ประมุขไป๋กับประมุขปราชญ์หกท่านเป็นศัตรูคู่แค้นกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมอบเคล็ดวิชาให้เขาได้?”


กุยอู๋กล่าวด้วยน้ำเสียงขื่นขมว่า “ในปีนั้นประมุขพุทธะ ประมุขชิง ประมุขไป๋ระดมกำลังพลกลุ่มใหญ่เพื่อร่วมมือกันก่อกบฏ หลังจากศึกใหญ่ผ่านไป ประมุขไป๋ก็คาดคะเนเส้นทางหนีของพวกเราได้อย่างแม่นยำ จึงดักซุ่มสกัดพวกเราไว้ แต่ประมุขปราชญ์หกท่านร่วมมือกันก็ยังสู้ประมุขไป๋ไม่ได้ ภายใต้ความจนตรอกไร้ทางไป ประมุขปราชญ์หกท่านสละหกเคล็ดวิชาพิเศษให้แล้วปลิดชีพตัวเอง ประมุขไป๋ซาบซึ้งใจจึงปล่อยให้พวกเรารอดชีวิต เป็นประมุขปราชญ์หกท่านที่สละชีวิตตัวเอง พวกเราถึงได้ถอยทัพเข้ามาในแดนอเวจี ไม่อย่างนั้นคงพินาศย่อยยับไปหมดตั้งนานแล้ว จะมีวันนี้ได้อย่างไรกัน!”


…………………………

บทที่ 1223 หมอกโฉมงามอาภัพ


เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ก็ไม่ใช่แค่กุยอู๋ แต่ขุนพลใหญ่หกลัทธิ รวมทั้งกลุ่มนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพที่อยู่ข้างหลังก็ทำสีหน้าเศร้าสลด


พวกอวิ๋นอ้าวเทียนหะนกลับมามองแวบหนึ่ง ถึงขั้นสังเกตเห็นว่าในดวงตาบางคนมีน้ำตาคลอ ภาพนี้ฉากนี้ทำให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนแอบทำสีหน้าสะเทือนใจ จินตนาการได้ไม่ยากว่าภาพที่หกมหาราชันปาดคอตัวเองเพื่อจะปกป้องลูกน้องมิตรสหายในปีนั้นเศร้าสลดและยิ่งใหญ่ขนาดไหน


เอาใจเขามาใส่ใจเรา การสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องคนอื่นไม่ใช่สิ่งทุกคนจะทำได้ และก็ไม่แปลกใจที่ประมุขไป๋ที่คิดจะเล่นงานคนกลุ่มนี้ให้ตายจะซาบซึ้งใจและปล่อยให้รอดชีวิต และไม่แปลกใจที่หลังจากหกมหาราชันตายแล้ว โจรกบฏพวกนี้ยังต่อต้านตำหนักสวรรค์มาจนถึงปัจจุบันโดยไม่ยอมจำนน


“ในเมื่อประมุขไป๋ปล่อยให้พวกท่านรอดชีวิตแล้ว ทำไมถึงยังวางค่ายกลใหญ่ขังประมุขขุนพลหกท่านไว้อีก?” เหมียวอี้แปลกใจ


ตานฉิง ขุนพลใหญ่แห่งลัทธิมารถอนหายใจยาวแล้วตอบว่า “เรื่องที่ประมุขขุนพลหกท่านโดนขังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นหลายปี ได้ยินว่าข้างนอกมีประมุขปีศาจโผล่มาอีกคน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรประมุขพุทธะกับประมุขชิงจึงยืนอยู่ฝ่ายเดียวกัน และแปรพักตร์ให้ประมุขไป๋กับประมุขปีศาจแล้ว ได้ยินว่าประมุขปีศาจตกเป็นตัวประกันอยู่ในมือของประมุขพุทธะและประมุขชิง ตอนนี้ไม่รู้ว่าประมุขไป๋เข้ามาในจนกที่ถูกปิดปนึกจากทางไหน มาหาตัวพวกเราพบ หลังจากคุยกันอยู่นาน ประมุขขุนพลหกท่านก็ยินดีถูกประมุขไป๋ขังไว้ในค่ายกลใหญ่ โดยขังมาจนกระทั่งวันนี้”


“ประมุขขุนพลหกท่านยินดีถูกขังเองเหรอ? ทำไมถึงยินดีถูกประมุขไป๋ขังล่ะ?” เหมียวอี้ตกตะลึงปนประหลาดใจ


เหลิ่งจัวฉุน ขุนพลใหญ่ลัทธิผีตอบว่า “พวกเราก็ไม่รู้เหตุผลโดยละเอียดเหมือนกัน ประมุขขุนพลหกท่านไม่ได้บอกชัดเจน บอกเพียงว่ารอให้ผู้สืบทอดมหาเคล็ดวิชาของประมุขปราชญ์หกท่านมาถึง ก็จะเป็นเวลาที่พวกเขาหลุดพ้น เวลาออกจากนรกไปโค่นล้มประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็จะมาถึงแล้ว พวกเราก็คิดเพียงว่าประมุขไป๋เตรียมแผนการอะไรไว้ แต่ใครจะคิดว่าไม่นานหลังจากนั้น ก็ได้ข่าวว่าประมุขไป๋โดนสยบไว้ในเจดีย์สยบปีศาจ ข่าวนี้ทำให้พวกเราเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ แต่พวกเราก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลใหญ่เพื่อช่วยชีวิตประมุขขุนพลหกท่านออกมาได้ ทำได้เพียงรอคอยตามคำฝากฝังของประมุขขุนพลหกท่าน หนึ่งแสนกว่าปีแล้ว เดิมทีพวกเราหมดหวังไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะปรากฏตัว”


พวกเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก พวกเขารู้ดีอยู่แก่ใจ รู้ว่าตัวเองกับประมุขไป๋ท่านนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แล้วอีกอย่าง ประมุขไป๋ท่านนั้นก็ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจแล้ว จะมาเกี่ยวข้องกับพวกเขาได้อย่างไร


ถ้าจะบอกว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับประมุขไป๋จริงๆ เหมียวอี้ก็ยอมรับว่าเกี่ยวข้องอยู่นิดหน่อย เพราะเขามาขุดหาสมบัติที่ประมุขไป๋ที่ไว้ แต่ความเกี่ยวข้องเล็กน้อยแค่นี้ เป็นเพราะภายใต้โอกาสที่เหมาะเจาะ เขาได้บังเอิญได้กุญแจไขปปริศนาของเผ่าปีศาจจนเปิดใช้งานแผนที่ซ่อนสมบัติได้ที่สถานที่ไร้ระเบียบ ไม่ได้รับการชี้แนะใดๆ ทั้งนั้น เป็นความบังเอิญล้วนๆ


และสำหรับพวกอวิ๋นอ้าวเทียน แม้แต่ประมุขไป๋หน้าตาเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย พวกเขาก็ยิ่งไม่คิดว่าตัวเองกับประมุขไป๋มีความเกี่ยวข้องกัน ที่บอกว่าประมุขไป๋ส่งมาทำอะไร เป็นผู้สืบทอดมหาเคล็ดวิชาของหกมหาราชันอะไรนั่นเพื่อมาทำลายค่ายกลช่วยชีวิตประมุขขุนพล พวกเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย และไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงด้วย วันนี้เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก


แต่ในใจของพวกเขาก็เคลือบแคลงเช่นกัน หกมหาราชันตายไปแล้ว ประมุขไป๋ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ แล้วหกเคล็ดวิชาพิเศษตามคนกลุ่มนั้นหนีไปถึงพิภพเล็กได้อย่างไร? ตอนอยู่ที่พิภพใหญ่พวกเขาก็เคยได้ยินเรื่องเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนเช่นกัน แต่ตอนนั้นมีคนยกทัพไปปราบเยอะเกินไป ไม่รู้ชัดเหมือนกันว่าคนกลุ่มไหนหนีมาตายอยู่ที่พิภพเล็กแล้ว


มู่ฝานจวินเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ หลังจากสายตาวูบไหวอยู่พักหนึ่งก็เงยหน้าถามว่า “พวกท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าประมุขไป๋ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ?”


“ถ้าไม่ได้ถูกขัง แล้วข้างนอกจะสงบสุขแบบนี้ได้อย่างไร?” เมิ่งหรูถาม


“ประมุขไป๋หน้าตาเป็นอย่างไร?” มู่ฝานจวินถามอีก


พวกเหมียวอี้หันหน้าไปมองนางทันที แปลกใจนิดหน่อยว่านางสนใจหน้าตาของประมุขไป๋ไปทำไม หน้าตาแบบไหนแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า?


จ่างหง ขุนพลใหญ่ลัทธิปีศาจตะคอกตอบว่า “ถ้าพวกเจ้าอยากจะรู้สถานการณ์โดยละเอียด ก็มีแค่ต้องทำลายค่ายกล รอจนประมุขขุนพลหกท่านหลุดพ้นออกมาก่อน มีอะไรก็ถามขอคำชี้แนะประมุขขุนพลหกท่านได้เลย พวกเราก็รู้ไม่เยอะเหมือนกัน”


สืออวิ๋นเปียนบอกอีกว่า “เลิกชักช้าได้แล้ว สิ่งที่ควรพูดหรือไม่ควรพูดก็บอกพวกเจ้าไปหมดแล้ว ทำลายทำลายค่ายกลให้ข้าเดี๋ยวนี้ ถ้าทำลายค่ายกลไม่ได้ก็แปลว่าพวกเจ้าคือสายลับที่โจรกบฏส่งมา”


ฉางเหลยถอนหายใจแล้วถามอีกว่า “ทำลายค่ายกลไม่ได้ก็แปล่วาเป็นสายลับของโจรกบฏ นี่มันหลักการอะไรกัน?”


สืออวิ๋นเปียนเหล่ตาตอบว่า “หกเคล็ดวิชาพิเศษอยู่ในมือประมุขไป๋ ประมุขไป๋ถูกประมุขพุทธะกับประมุขชิงขังไว้ เป็นไปได้สูงว่าหกเคล็ดวิชาพิเศษจะตกอยู่ในมือโจรกบฏ แล้วพวกเจ้าก็ฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษ ถ้าจะบอกว่าพวกเจ้าเป็นสายลับก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป”


อยากเล่นงานใคร ย่อมหาข้ออ้างได้เสมอ! ทั้งหกเหลือบมองดาวเคราะห์สิบสองดวงนั่น ไม่มีที่ให้ลงมือเลย การให้พวกเขาทำลายค่ายกลช่างเป็นเรื่องล้อเล่นจริงๆ


“ค่ายกลนี้ข้าไม่มีทางทำลายได้หรอก” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าว


สายตาที่เจือด้วยความดุร้ายหลายสิบดวงจ้องมาทันที


เหลิ่งจัวฉุนแสยะยิ้มถามว่า “พวกเจ้าแน่ใจเหรอว่าทำลายไม่ได้?”


ในคำพูดแฝงรสชาติขู่เข็ญไว้เต็มเปี่ยม เหมือนเป็นคำขาดสุดท้าย


อวิ๋นอ้าวเทียนเม้มริมฝีปากแน่น แล้วถามเสียงต่ำว่า “พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำลายค่ายกลนี้ยังไง ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับค่ายกลนี้เลย แล้วจะไปทำลายได้ยังไง?”


กลิ่นอายสังหารพรั่งพรูขึ้นมาบนตัวเหลิ่งจัวฉุนในชั่วพริบตาเดียว “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นก็อย่าหาว่าพวกเรา…”


“ช้าก่อนๆๆๆ ทำลายได้ ทำลายได้” เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะลงมือสังหาร เหมียวอี้ก็รีบออกเสียงห้าม


สายตาของทุกคนไปรวมอยู่บนตัวเขา เหลิ่งจัวฉุนรีบถามว่า “เจ้าทำลายได้เหรอ?”


พวกอวิ๋นอ้าวเทียนย่อมมองเหมียวอี้อย่างประหลาดใจสงสัย อดนึกเชื่อมโยงไม่ได้ว่าเดิมทีเหมียวอี้ก็ต้องการจะมาที่นี่อยู่แล้ว


เหมียวอี้ยิ้มแห้งพร้อมตอบว่า “ถ้าไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าทำลายไม่ได้”


ลักษณะการทำงานของเขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรื่องไหนที่ไม่เคยลองก็จะไม่ยอมล้มเลิกง่ายๆ อย่างน้อยก็ไม่ตัดโอกาสในรวดเดียว ถ้าถ่วงเวลาสักหน่อยอาจจะหาข้ออ้างมาตบตาได้ ไม่อย่างนั้นก็จะสิ้นชีพตอนนี้ ตายแบบนี้อาจจะไร้ความยุติธรรมเกินไปหน่อย


ทว่าฝ่ายนี้ไม่ให้โอกาสพวกเขาหาข้ออ้างมาตบตาเลย เหลิ่งจัวฉุนเอียงหน้าบอกใบ้ทนัที “ถ้าทำลายได้ก็รีบไปทำลาย”


“ทำลายยังไง?” เหมียวอี้ถามส่งเดช


คำถามนี้มีชั้นเชิงเกินไปแล้ว พูดในเหตุการณ์และบรรยากาศแบบนี้ก็สามารถทำให้สำลักตายได้ พวกอวิ๋นอ้าวเทียนพูดไม่ออก กลุ่มโจรกบฏทำสีหน้าเหมือนโดนปั่นหัวทันที


เหลิ่งจัวฉุนถามอย่างเดือดดาลทันทีว่า “ถ้ารู้ว่าทำลายยังไงแล้วยังจะให้พวกเจ้ามาทำลายอีกเหรอ?”


“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เหมียวอี้รีบพูดเสริม ตระหนักได้แล้วว่าตัวเองสื่อสารผิด ช่างเป็นการรนหาที่ตายจริงๆ รีบแก้คำพูดว่า “ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับค่ายกลนี้เลย พวกท่านต้องแนะนำข้าสักหน่อยสิ”


ไฟโกรธที่ล้นทะลักของเหลิ่งจัวฉุนถูกคำพูดนี้ข่มเอาไว้ ถลึงตาจ้องเหมียวอี้ ส่วนคนที่ถูกจ้องก็อกสั่นขวัญแขวน


ยังเป็นเมิ่งหรูที่ก้าวขึ้นมาขวางเหลิ่งจัวฉุนไว้ แล้วชี้ไปที่ดาวเคราะห์สิบสองดวงนั้น พร้อมชี้แนะว่า “ประมุขไป๋บอกไว้หลังจากวางค่ายกลใหญ่ ว่าเขาอาศัยพลังโคจรของดาวเสริมสิบเอ็ดดวงเพื่อวางค่ายกลผนึกดาวรองที่อยู่ตรงกลาง ส่วนค่ายกลที่เกี่ยวโยงกันบนดาวรองก็เชื่อมต่อกับชีวิตของประมุขขุนพลหกท่าน ถ้าฝืนบุกเข้าไปก็จะกระตุ้นค่ายกลและทำให้ประมุขขุนพลหกท่านตายทันที เขาบอกว่าพวกเราห้ามบุกเข้าไป ถ้าอยากจะเข้าดาวรอง ก็ต้องทำลายค่ายกลที่เกี่ยวโยงกันระหว่างดาวเคราะห์สิบสองดวงให้ได้ก่อน ส่วนการทำลายแกนค่ายกลค่ายกลก็อยู่บนดาวเสริมสิบเอ็ดดวง”


ประมุขไป๋ทท่านนั้นเหนื่อยบ้างรึเปล่า? เหมียวอี้พึมพำในใจ เอามือลูบคางจ้องมองดาวเคราะห์สิบสองดวงนั้นพร้อมถามว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ ขอแค่หาแกนค่ายกลบนดาวเสริมเจอ ก็จะสามารถทำลายค่ายกลที่เกี่ยวโยงกันและเข้าไปช่วยชีวิตประมุขขุนพลหกท่านออกมาจากดาวรองได้เหรอ?”


“ถูกแล้ว!” เมิ่งหรูพยักหน้า แล้วส่ายหน้าอีก “แต่จนใจที่หมอกหนาปกคลุม เป็นเรื่องยากมากที่จะหาพบ”


“อาศัยวรยุทธ์อย่างพวกท่าน หมอกเล็กน้อยแค่นี้เป็นอุปสรรคต่อการร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูเหรอ?” เหมียวอี้หันกลับมาถามอย่างฉงนใจ


เมิ่งหรูอธิบายว่า “นั่นไม่ใช่หมอกธรรมดา เป็นพิษประหลาด ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของพลังดวงดาว ไม่ว่าจะเป็นมารปีศาจหรือว่ามนุษย์ หากไปสัมผัสโดนมันก็จะสลายวิญญาณกร่อนกระดูกจนกลายเป็นน้ำสีดำทันที สามารถกัดกร่อนพลังอิทธิฤทธิ์ได้ ไม่มีทางร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจได้เลย พวกเราก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไปเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่รอให้พวกเจ้ามาทำลายค่ายกลหรอก”


ขณะจ้องมองหมอกสีเลือดที่ปกคลุมดาวเคราะห์สิบสองดวง พวกเหมียวอี้ก็ตะลึงงันเล็กน้อย ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้หันกลับมามองหน้ากันเลิกลั่ก ต่างก็มองออกจากสายตาของกันและกันว่ามีความคิดแบบเดียวกัน ทำไมฟังดูคล้ายๆ แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งของพิภพเล็กเลยล่ะ?


มู่ฝานจวินขมวดคิ้วมุ่น ยิ่งทำสายตาพิศวงขึ้นเรื่อยๆ


ฉางเหลยกล่าวถามอย่างทอดถอนใจเล็กน้อย  “ผู้อาวุโสทุกท่าน นี่คือ ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ แม้แต่พวกท่านยังหวาดกลัว แล้วพวกเราจะทำอะไรได้ล่ะ?”


ไม่มีใครสนใจ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่กลุ่มโจรกบฏพิจารณาถึง


แต่ใครจะคาดคิด ว่าจู่ๆ เหมียวอี้จะถามว่า “ขุนพลใหญ่เมิ่ง ในหมอกโฉมงามอาภัพนี้มีตั๊กแตนหรือเปล่า?”


เขาเคยทดลองเข้าแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งของพิภพเล็กมาแล้ว ถ้าสองแห่งนี้มีสัตว์ชนิดเดียวกัน เช่นนั้นหมอกโฉมงามอาภัพนี้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว กลัวก็แต่ในนั้นจะมีตั๊กแตนทมิฬ เขาเคยได้บทเรียนคามน่าหวาดกลัวของสิ่งนั้นมาแล้ว อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหวเลย


“ตั๊กแตน?” เมิ่งหรูงุนงง “ตั๊กแตนอะไร? ไม่เคยเห็นว่ามีตั๊กแตนอะไรนะ”


เขาไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร แต่พวกอวิ๋นอ้าวเทียนกลับเข้าใจว่าเหมียวอี้กำลังพิสูจน์ว่าที่นี่ใช่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งของพิภพเล็กหรือเปล่า


“ไม่เคยเห็น…” เหมียวอี้พึมพำกับตัวเอง แล้วถามอีกว่า “หมอกโฉมงามอาภัพนี้ จะเปลี่ยนจากสีแดงกลายเป็นสีขาวทุกช่วงสั้นๆ หรือเปล่า?”


“เป็นสีแดงมาตลอด ยังไม่เคยเห็นเปลี่ยนเป็นสีขาว” เมิ่งหรูกล่าว


“ไม่มี…” เหมียวอี้ขมวดคิ้วพึมพำ “หรือว่าจะไม่ใช่?”


มีบางคนทนรอไม่ไหวแล้ว ตานฉิงตะคอกว่า “เจ้าจะชักช้าไปถึงเมื่อไรถึงจะลงมือ? หรือว่าเจ้าคิดว่าจะถ่วงเวลาต่อไปได้?”


“ไป!” เหมียวอี้กวักมือเรียกพวกอวิ๋นอ้าวเทียน “พวกเราวนอ้อมเพื่อดูสถานการณ์ก่อน


คนที่เหลือมองเห็นสายตาของเขาแล้ว ถึงได้เหาะตามไปด้วยกัน โดยมีขุนพลใหญ่หกลัทธินำคนเหาะตามหลัง


พวกเขาหันกลับมามองกำลังพลที่ตามหลังตัวเองอยู่ แล้วอวิ๋นอ้าวเทียนก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เหมียวอี้ เจ้ามั่นใจเหรอว่าจะทำลายค่ายกลได้?”


“ไม่มั่นใจหรอก” เหมียวอี้ตอบ


“งั้นเจ้ายังรับปากอีกเหรอว่าจะทำลายค่ายกล?” จีฮวนถามอย่างโมโห


เหมียวอี้ “คนพวกนี้ไม่คุยกันด้วยเหตุผลเลย จะปฏิเสธได้ยังไง? ปฏิเสธก็ตายน่ะสิ! รออีกประเดี๋ยวข้าจะลองดูก่อน ดูว่าจะหาทางต้านทานหมอกโฉมงามอาภัพนี้ได้มั้ย ถ้าสามารถทำได้ ข้าก็จะลองดูอีกว่าจะทำลายค่ายกลได้หรือเปล่า ถ้าทำลายไม่ได้จริงๆ พวกเจ้าก็เข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้าทันที พวกเราเข้าไปหลบอยู่ในหมอกโฉมงามอาภัพนี้ด้วยกัน ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้าบุกเข้ามาอยู่แล้ว และไม่กล้าฝืนทำอะไรค่ายกลใหญ่นี้ด้วย”


ฉางเหลยถอนหายใจแล้วบอกว่า “ต่อให้เจ้าจะสามารถพาพวกเราเข้าไปหลบ แต่จะหลบได้นานแค่ไหนล่ะ คงไม่ต้องหลบไปทั้งชีวิตแล้วออกไปไม่ได้หรอกใช่มั้ย? ไม่มีทางที่จะหลบอยู่ในนั้นได้นานเกินไป!”


เหมียวอี้ตอบว่า “อยู่รอดได้อีกหนึ่งวันก็คือหนึ่งวัน ดีกว่าโดนประหารเสียเดี๋ยวนี้เลยใช่มั้ยล่ะ? ขอเพียงสามารถหลบภัยได้ชั่วคราว เดี๋ยวข้าค่อยติดต่อกับทูตขวาตรวจการเกาก้วนตำหนักสวรรค์ รายงานภาพเหตุการณ์ที่เจอมาตลอดทางให้เขารู้ ดูว่าจะสามารถนำทางให้ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์มาล้อมปราบได้หรือเปล่า สรุปว่าตอนนี้อย่าเพิ่งสนใจอะไรมากขนาดนั้น หาทางมีชีวิตอยู่ต่อไปก่อน อย่างอื่นค่อยๆ คิดทีละก้าวแล้วกัน”


“เจ้าเด็กนี่รู้จักกับทูตขวาตรวจการเกาก้วนของตำหนักสวรรค์จริงเหรอ?” อวิ๋นอ้าวเทียนโมโหแล้ว


คนอื่นๆ ก็สีหน้าบึ้งตึงแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านี้คิดว่าเหมียวอี้แค่พูดไปเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองเฉยๆ แต่ตอนนี้มาฟังดูแล้วเหมือนเขาจะรู้จักกับเกาก้วนจริงๆ เจ้าเวรนี่ไม่คิดจะพาพวกเขาออกจากนรก กลับพาพวกเขามาชนกำแพงรนหาที่ตายด้วยกัน ช่างน่าแค้นจริงๆ!


…………………………


บทที่ 1224 เปิดดวงตาทิพย์


เหมียวอี้เองก็รู้ว่าตัวเองพลั้งปากไป ยั่วยุคนแก่พวกนี้อีกแล้ว


แต่จะว่าไปแล้ว เขาเองก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเกิดสถานการณ์แบบนี้ ตอนแรกเขาแค่อยากมาสืบดูสถานการณ์ให้ชัดเจนว่าจะสามารถนำสมบัติที่ซ่อนมาไว้ในมือได้หรือไม่ แต่ใครจะคิดว่าพอโผล่หน้ามาก็โดนจับแล้ว ไม่มีแม้แต่โอกาสจะสำรวจด้วยซ้ำ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกเขาคงจะไม่มาแน่นอน


แต่เขาย่อมมีเหตุผลที่จะเถียงกลับ “พ่อคนนี้กำลังคิดหาทางช่วยพวกเจ้า พวกเจ้ายังไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วอีก ถ้ารังเกียจข้าก็หาทางเอาเองได้ อย่ามาตามข้า”


“เจ้า…” จีฮวนโมโหจนแทบกระอักเลือด ใครเป็นพ่อใครกันแน่? ยกลูกสาวให้แต่งงานโดยสูญเปล่าแล้ว


อวิ๋นอ้าวเทียนเองก็อยากจะตบเจ้าเวรตะไลนี่ให้ตายเหมือนกัน คนอื่นๆ ก็ทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงตามเหมียวอี้ไปทดลองสักครั้ง


“ถึงแม้หกคนนี้จะวรยุทธ์ไม่สูง แต่ก็ไม่ใช่ตัวละครธรรมดา พวกเขามีจิตใจที่โอหังอวดดี”


เมิ่งหรูที่ติดตามอยู่ข้างหลังถ่ายทอดเสียงบอกคนทางซ้ายและขวา


เหลิ่งจัวฉุนขานรับ แล้วบอกว่า “ดูไม่ค่อยปกติ เมื่อเผชิญหน้ากับพวกเราก็มองไม่ออกถึงความตระหนกหวาดกลัวอะไร แต่ละคนข่มอารมณ์ได้ดี”


ดาวเสริมสิบเอ็ดดวงกำลังโคจรรอบดาวรอง ส่วนเหมียวอี้ก็นำกลุ่มคนเหาะวนอ้อมดาวเคราะห์สิบสองดวงที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีเลือด


ขุนพลใหญ่หกลัทธิไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้เตรียมจะทำลายค่ายกลอย่างไร พวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้มีวิธีการอะไรที่จะหลบเข้าไปอยู่ในหมอกสีเลือดได้ ต้องทราบไว้ว่าถ้ากลุ่มคนที่กำลังจับตาดูตนอยู่รู้ตัวและลงมือขึ้นมา ความเร็วในการหลบหนีจะต้องช้ากว่าความเร็วที่พวกเขาลงมือแน่นอน


“พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะไปสำรวจดูก่อนสักหน่อย”


เหมียวอี้ที่วนอ้อมรอบหนึ่งหยุดอยู่กับที่ หลังจากสั่งพวกอวิ๋นอ้าวเทียนแล้ว ก็เหาะไปที่ดาวเสริมดวงหนึ่งเพียงลำพัง


ขุนพลใหญ่หกลัทธิที่อยู่ข้างหลังเข้ามาใกล้แล้ว หยุดยืนอยู่กลางอากาศกับพวกอวิ๋นอ้าวเทียน ทุกคนกำลังจ้องมองการกระทำของเหมียวอี้


ฝ่าเข้ามาในชั้นบรรยากาศของดาวเสริม ก็รู้สึกได้ถึงแรงถ่วงทันที ขณะมองดูหมอกสีเลือดด้านล่าง เหมียวอี้ก็ค่อยๆ เข้าไปใกล้ เขาไม่รู้ว่าหมอกสีเลือดนี้กับแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเป็นของประเภทเดียวกันหรือเปล่า และไม่กล้าเข้าไปเสี่ยงอันตรายด้วย


เขาพลิกฝ่ามือหยิบปลาสองตัวที่ล้างสะอาดและปิ้งเสร็จแล้วออกมา ล้วนเป็นของกินที่อันหรูอวี้เตรียมไว้ให้ลูกเขยอย่างเขาตอนที่ซ่อนตัวอยู่ก่อนหน้านี้ เตรียมไว้ไม่น้อยเลย


พอปลาปิ้งตัวหนึ่งหลุดมือออกไป ก็ย่อมตกลงไปในหมอกสีเลือดที่พัดม้วนเปลี่ยนแปลงตามแรงถ่วง เห็นเพียงชั่วพริบตาที่มันตกลงในหมอกสีเลือด ปลาปิ้งตัวนั้นก็ไหม้เกรียมและกลายเป็นเถ้าถ่านปลิวไปอย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นสัตว์เป็นๆ ที่ยังไม่ได้ย่าง คาดว่าคงจะกลายเป็นน้ำสีดำเหมือนที่โจรกบฏพวกนั้นบอกแล้ว พอได้เห็นอานุภาพของหมอกสีเลือดนี้คร่าวๆ ชั่วพริบตาเดียวก็กระโดดหายลงไปในจุดลึกของหมอกหนาแล้ว


เหมียวอี้หันกลับไปมองกลุ่มคนที่กำลังจ้องตัวเองอยู่ที่ด้านนอกท้องฟ้า แล้วโยนปลาปิ้งอีกตัวที่อยู่ในมือออกไปอีก แต่ครั้งนี้กลับแอบปล่อยเพลิงดาราให้ครอบไว้บนปลาปิ้งเงียบๆ ลดความเร็วเวลาตกลงข้างล่างให้ช้าลงเล็กน้อย


พอวัตถุเข้าไปอยู่ในหมอกสีเลือด ก็ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ พิสูจน์แล้วว่าเพลิงดาราของตนสามารถปกป้องการกัดกร่อนจากหมอกเลือดนี้ได้จริงๆ เหมียวอี้แอบดีใจ แล้วคลายเพลิงดาราออกจากปลาปิ้งตัวทันที แอบเก็บเพลิงดาราเงียบๆ จะได้ไม่ทำให้กลุ่มโจรกบฏสงสัย ทำให้ปลาย่างที่ตกลงไปในหมอกไหม้กลายเป็นถ่านทันที ตกหายไปในจุดลึกของหมอกหนา


หลังจากสำรวจทดสอบเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็มีความมั่นใจแล้วว่าจะเข้าไปหลบซ่อนในหมอกหนานี้ได้ เพียงแต่รู้สึกว่าประมุขไป๋อาจจะวางค่ายกลนี้อย่างเกินความจำเป็นไปหน่อย วางค่ายกลไว้บนดาวรองโดยตรงก็พอแล้ว ตรงนี้มีคนมากมายเฝ้าอยู่ ไม่จำเป็นต้องเล่นใหญ่วางค่ายกลไว้บนดาวเสริมสิบเอ็ดดวงก็ได้


พอครุ่นคิดดูครู่หนึ่ง เขาก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว การที่ประมุขไป๋วางค่ายกลใหญ่นี้ไว้ อาจจะไม่ใช่เพื่อป้องกันใคร ดีไม่ดีอาจจะทำไปเพื่อป้องกันไม่ให้โจรกบฏในนรกกลุ่มนี้ระงับอารมณ์ไม่ได้และมุทะลุช่วยประมุขขุนพลทั้งหกที่โดนขังออกมา ถึงอย่างไรโจรกบฏกลุ่มนี้ก็ไม่ธรรมอยู่แล้ว เป็นไปได้สูงว่าวางค่ายกลนี้ไว้เพื่อเพิ่มระดับความยากในการช่วยชีวิต


ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพิจารณาเรื่องนี้ เหมียวอี้เรียกสติกลับมาแล้วหันตัวพุ่งออกไปที่ด้านนอกท้องฟ้า ทอดสายตามองไปที่ดาวเสริมสิบเอ็ดดวงนั้น แกนค่ายกลซ่อนอยู่ในดาวเสริมสิบเอ็ดดวงนี้ ตัวเองสามารถเข้าไปสำรวจได้ แต่ดาวเคราะห์ที่ใหญ่ขนาดนั้นตั้งสิบเอ็ดดวง ถ้าเข้าไปสำรวจเพียงลำพังก็ไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร


สายตาเขาไปหยุดอยู่บนดาวรองที่อยู่ตรงกลาง สมบัติซ่อนอยู่ตรงนั้น…


คนกลุ่มหนึ่งเหาะอยู่ทางซ้ายและขวาของเขา ตานฉิงถามว่า “อืดอาดเชื่องช้านานขนาดนี้ หรือคิดจะอาศัยวิธีการแบบนี้ถ่วงเวลาต่อไป?”


เหมียวอี้กวาดสายตามองที่ดาวเคราะห์สิบเอ็ดดวงนั้น พร้อมตอบโดยที่ไม่หันหน้ากลับมา “วรยุทธ์ของข้าไม่สูงพอ ถ้าจะทำลายค่ายกลนี้ก็ต้องใช้เวลา”


ตานฉิงแสยะยิ้ม “รู้อยู่แล้วว่าเจ้ากำลังถ่วงเวลา ข้าว่า…” เสียงเงียบลงกะทันหัน สืออวิ๋นเปียนที่อยู่ข้างกันรีบเอามือมาป้องปากเขา บอกใบ้ให้เขาหุบปาก และเขาก็หุบปากแล้วจริงๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง ให้ความรู้สึกเหมือนตกใจจนค้างไป


ตอนนี้สายตาของทุกคนจ้องอยู่ที่เหมียวอี้แล้ว


เห็นเพียงรอยนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้พลันเปิดออก เบิกดวงตาที่สามขึ้นมาแล้ว เผยให้เห็นลูกตาใสสีรุ้งดวงหนึ่ง เห็นเพียงเสาแสงรูปใบพัดที่ยาวสิบกว่าจั้งสายหนึ่งพลันยิงออกมา เสาแสงที่มีรัศมีสีรุ้งลอยวนเวียนดูแวววาว สง่างามและวิจิตรตระการตา แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกระทึกขวัญ


ดวงตาที่สามของเหมียวอี้กำลังจ้องที่ดาวเสริมดวงนั้น ทำสีหน้าเหมือนกำลังพุ่งสมาธิไปที่จุดเดียว


สิ่งที่หว่างคิ้วของเขายิงออกไป รัศมีสีรุ้งที่เปลี่ยนแปลงและเสาแสงที่หดขยายไม่หยุดหย่อนเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขากำลังตรวจดูโดยปรับระยะการมองเห็นและขอบเขตสายตา


ในดวงตาของเขา สายตามองทะลุผ่านหมอกสีเลือดอย่างรวดเร็ว เห็นภูเขาแม่น้ำและพื้นดินที่ซ่อนอยู่ข้างล่างทุกอย่าง


แผ่นดินใหญ่เป็นสีดำมืด สภาพที่เหมือนถ่านเหมือนกับสภาพที่เห็นในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งของพิภพเล็กทุกอย่าง ทั้งยังมีสมุนไพรเซียนซิงหัวที่พลิ้วไหวอยู่ในโลกอันดำมืดด้วย บางครั้งก็จะเห็นสมุนไพรเซียนซิงหัวที่มีอายุสิบปีเต็มถึงขั้นออกผลแล้วด้วย จะเห็นได้ว่าไม่มีใครมาเก็บสมุนไพรเซียนซิงหัวที่นี่เลย


เหมียวอี้แอบตกใจ ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เขาแทบจะแน่ใจได้ว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ กับแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งของพิภพเล็กเป็นสิ่งเดียวกัน


เพียงแต่เขามองไปมองมาแต่ก็ยังไม่เห็นตั๊กแตนทมิฬสักตัวเลย


“ตาทิพย์?”


“อย่าบอกนะว่าเป็นตาทิพย์?”


ในบรรดาโจรกบฏ มีคนไม่น้อยที่อุทานออกมา จากนั้นขุนพลใหญ่หกลัทธิก็รีบโบกมือใส่พวกเขา บอกใบ้ให้ทุกคนเงียบเสียงอย่ารบกวนเหมียวอี้


เอาเป็นว่ากลุ่มโจรกบฏต่างก็ทำสีหน้าเฝ้าคอยและตื่นเต้นฮึกเหิม เป็นสีหน้าประเภท ‘ในที่สุดก็มองเห็นความหวังแล้ว’ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ถึงการมีอยู่ของตาทิพย์ประเภทนี้ ย่อมเข้าใจว่าหมอกเล็กน้อยพวกนี้ขัดขวางการสำรวจของตาทิพย์ไม่ได้


ตอนนี้ตานฉิงไม่คิดอีกแล้วว่าเหมียวอี้กำลังถ่วงเวลา เหมียวอี้ใช้ความจริงทำให้เขาหุบปาก ทำให้โจรกบฏกลุ่มนี้หุบปากแต่โดยดี


ขุนพลใหญ่หกลัทธิแอบถ่ายทอดเสียงคุยกันแล้ว


“นี่คงจะเป็นตาทิพย์ใช่มั้ย?”


“อาศัยวรยุทธ์บงกชทองของเขา จะมีของประเภทตาทิพย์ได้ยังไง?”


“เจ้าหนุ่มนี่เป็นมนุษย์หรือปีศาจกันแน่? บนตัวมนุษย์จะมีตาทิพย์ได้ยังไง?”


“ไม่ว่าจะยังไง ดูท่าแล้วเจ้าหกคนนี้คงจะเป็นคนที่ประมุขไป๋ส่งมาทำลายค่ายกลจริงๆ”


“หวังว่าประมุขขุนพลจะออกมาได้นะ หวังว่าสิ่งที่ประมุขขุนพลพูดไว้ในปีนั้นจะเป็นเรื่องจริง ถ้าพวกเขาสามารถหลุดพ้นออกมาได้ ก็แสดงว่าเวลาที่จะพ้นจากนรกไปโค่นล้มประมุขพุทธะกับประมุขชิงก็อยู่ไม่ไกลแล้ว”


ในชั่วขณะนั้น ภายใต้การใช้ตาทิพย์แสดงพลังปฏิหาริย์ ก็ทำให้ความสงสัยเคลือบแคลงของโจรกบฏหายไปหมดแล้ว


ตาทิพย์? พวกอวิ๋นอ้าวเทียนกลับมองเหมียวอี้ที่เบิกดวงตาประหลาดอย่างตกตะลึงไม่หาย สิ่งนี้คืออะไรกัน? บนตัวเจ้าหมอนี่มีของสิ่งนี้ด้วยเหรอ บนตัวเขาซ่อนความลับไว้เยอะเกินไปแล้ว?


พวกเขาอดไม่ได้ที่จะสงสัย ว่าการที่เหมียวอี้ดึงดันจะมาที่นี่เป็นเพราะพุ่งเป้ามาที่การทำลายค่ายกลหรือเปล่า


หลังจากผ่านไปสักพัก เสาแสงตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ก็พลันถูกเก็บ เขาปิดตาทิพย์แล้ว


“เป็นยังไงบ้าง? หาแกนค่ายกลเจอรึเปล่า?” ขุนพลใหญ่หกลัทธิรีบก้าวขึ้นมาถามทันที


เหมียวอี้ยืนยันอีกครั้งอย่างค่อนข้างอ่อนแรงว่า “ข้าวรยุทธ์ไม่สูงพอ ถ้าจะทำลายค่ายกลนี้ก็ต้องใช้เวลา” จากนั้นก็หยิบยาแก่นเซียนเม็ดหนึ่งออกมาใส่ปาก หลับตาสองข้าง นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศอย่างนั้น


ตอนนี้พวกเขาสังเกตเห็นแล้วว่าเหมียวอี้หน้าซีด อาศัยสายตาของพวกเขาก็ดูออกได้ไม่ยากว่าเหมียวอี้อยู่ในสภาวะสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมาก


เมิ่งหรูโบกมือไปที่คนอื่นๆ ทันที บอกใบ้ว่าอย่ารบกวน


คนที่เหลือพยักหน้าเบาๆ  ต่างก็เข้าใจแล้วว่าเหมียวอี้วรยุทธ์ไม่สูงพอ การควบคุมตาทิพย์นี้ค่อนข้างเปลืองแรง และอย่าหวังเลยว่าพอเปิดตาทิพย์แล้วจะบังเอิญหาแกนค่ายกลเจอในทันที จะต้องใช้เวลาจริงๆ


หารู้ไม่ นี่ยังเป็นตอนที่เหมียวอี้บรรลุวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นห้าแล้ว ถึงขยายเวลาในการใช้ตาทิพย์ได้ ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้ก็ไม่มีทางยืนหยัดได้นานขนาดนี้เลย


แต่สำหรับโจรกบฏกลุ่มนี้ เวลาในการใช้ตาทิพย์จะยาวหรือสั้นก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเหมียวอี้มีวิธีการทำลายค่ายกลจริงๆ และไม่ได้กำลังตบตาพวกเขา พวกเขาโดนขังอยู่ในนรกมาหลายปีขนาดนี้ ไม่ถือสากับเวลาเล็กน้อยเท่านี้เหมือนกัน


แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว จะทำลายค่ายกลแล้วช่วยประมุขขุนพลทั้งหกออกมาได้หรือเปล่าก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือต้องทำให้คนพวกนี้สงบลงและไม่รีบร้อนลงมือกับเขาก่อน ทำให้คนพวกนี้ลดความระวังตัวก่อน เขาถึงจะหนีได้สะดวก ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยวรยุทธ์ของคนพวก เลือกใครสักคนมาโจมตีระยะไกลเขาก็ทนไม่ไหวเลย วินาทีที่หนีเข้า ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ อีกฝ่ายก็สามารถทำให้เจ้าตายได้แล้ว


ตั้งแต่นั้นมา พอเหมียวอี้ฟื้นตัวแล้วก็ใช้พลังอิทธิฤทธิ์เปิดตาทิพย์สำรวจอีก หลังจากใช้พลังอิทธิฤทธิ์หมดไปเยอะแล้วก็ฟื้นฟูตัวเองอีก


ทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ใช้เวลาอยู่ในดาราจักรเป็นเวลาหนึ่งปีกว่า


ส่วนขุนพลใหญ่หกลัทธินั่นก็อยู่เป็นเพื่อนข้างกายเขาตลอด ไม่มีใครเร่งรัดเขาอีก ถ้าขออะไรที่มีเหตุผลก็จะตอบตกลงทุกอย่าง ให้ความรู้สึกเหมือนขออะไรก็ได้ทุกอย่าง ยกตัวอย่างเช่นอยากกินอะไรสักหน่อย ขอแค่ที่นรกมีสิ่งนั้น สามารถหามาได้ ฝ่ายนั้นก็จะสั่งให้คนหามาให้ทันที


เพียงแต่ทำให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนจนใจนิดหน่อย พวกเขาก็เสียเวลาอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน


ว่ากันว่ามีได้ก็ต้องมีเสีย ภายใต้การใช้ตาทิพย์ซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบนี้ เหมียวอี้ก็ยิ่งสามารถควบคุมตาทิพย์ได้อย่างผ่อนคลายและอิสระกว่าเดิม


หลังจากนั้นหนึ่งปี ตอนที่สำรวจดาวเสริมดวงที่ห้า เสาแสงที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ก็พลันหยุดนิ่ง


การเปลี่ยนแปลงนี้ดึงดูดความสนใจของขุนพลใหญ่หกลัทธิทันที ทุกคนกลั้นหายใจมองไปที่เขา


สายตาของตาทิพย์หยุดอยู่บนสายน้ำและภูเขาใต้หมอกสีเลือด บนสายน้ำและภูเขานั้นแตกต่างจากสถานที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด รูปแบบการวางตัวของสายน้ำและภูเขาเคยถูกคนแก้ไขอย่างชัดเจน ราวกับเป็นใยแมงมุมที่บิดเบี้ยวแปลกประหลาด ยอดเขาลูกหนึ่งกลางใยแมงมุมนั้นถูกคนตัดจนราบเรียบ กลางยอดเขาแกะสลักเป็นลวดลายจานกลมที่เป็นร่องลึก ตรงกลางมีเสาผลึกแดงต้นหนึ่งปักอยู่


เหมียวอี้ไม่รู้ว่าสิ่งนี้เรียกว่าแกนค่ายกลหรือเปล่า เป็นเพราะแกนค่ายกลนี้มีขอบเขตที่ใหญ่เกินไปจริงๆ


พอเก็บดวงตาอิทธิฤทธิ์ เหมียวอี้ก็หันกลับมาบอกว่า “ขุนพลใหญ่เมิ่ง สั่งให้คนจับตาดูดาวเสริมดวงนี้และตำแหน่งนี้ไว้ อย่าให้ดาวเสริมพวกนี้โคจรจนปนกันมั่ว” ขณะที่พูดเขาก็ชี้ไปยังตำแหน่งเมื่อครู่นี้


เมิ่งหรูพยักหน้า แล้วโบกมือสั่งคนที่อยู่ข้างหลังโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง “รีบไป”


มีนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพคนหนึ่งถลันตัวไปทันที ไปหยุดที่ตำแหน่งนั้นเพื่อระบุพิกัด


1224 

…………………………

black

next

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น