หน้าเว็บ

room 772-002

 room 772-002

https://fiction-no-limit1.blogspot.com/p/room-772-002.html


920

เหมียวอี้ย่อมขอบคุณที่เขาเตือน แต่ก็ยังไม่สงบใจนิดหน่อย “ข้ารู้ว่าพวกเขาไม่กล้าทำอย่างโจ่งแจ้ง กลัวก็แค่ว่าพวกเขาจะลักลอบทำ!”

อวิ๋นอ้าวเทียนส่ายหน้าเบาๆ “เจ้าคิดมากไปแล้ว พวกเราหกปราชญ์กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ มีใครบางที่ไม่สูญเสียลูกหลานหรือว่าลูกศิษย์ ข้าสูญเสียลูกชายลูกสาวไปมากขนาดนั้น แต่จะทำอะไรพวกเขาได้ล่ะ? สถานการณ์สำคัญกว่าตัวบุคคล ถ้าจะพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือ ถ้าไม่ทนกับเรื่องเล็กน้อยก็จะทำให้แผนการใหญ่วุ่นวาย พูดให้ชัดก็คือ ถ้ากำจัดอีกฝ่ายไม่ได้ก็ทำได้เพียงทนไว้ ถ้ามัวพัวพันอยู่กับตัวละครเล็กๆ อย่าเจ้าตลอดจนสองแดนต้องฉีกหน้ากัน แบบนั้นไม่คุ้มค่าสำหรับพวกเขา เพราะเจ้าไม่ได้มีค่าขนาดนั้น จะให้ลักลอบทำก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน สรุปว่าเจ้าระวังตัวเอาไว้หน่อย ตอนที่ไปไหนมาไหนคนเดียวก็พยายามอย่าเปิดเผยเบาะแสของตัวเอง อย่าให้อีกฝ่ายมีโอกาสลอบลงมือ แล้วก็อย่าไปรนหาที่ตายถึงอาณาเขตของเขาเหมือนครั้งนี้อีก ไม่อย่างนั้นถ้ามีโอกาสพวกเขาจะต้องเล่นงานให้เจ้าตายแน่นอน”

คำพูดเหล่านี้นับว่าเป็นคติพจน์คัมภีร์ทอง เหมียวอี้กล่าวขอบคุณอีกครั้ง

“ครั้งนี้เจ้าทำให้ท่านทูตทั้งสี่ของแดนเซียนตาย มู่ฝานจวินเตรียมจะลงโทษเจ้าอย่างไร?”

“ข้าให้ดาบวิเศษนางไปแล้ว ถือว่าทำผลงานชดเชยความผิดเหมือนกัน ข้าอยู่ในตำแหน่งประมุขปราสาทต่อไปไม่ได้อีก เงื่อนไขผ่อนผันโทษที่นางเสนอก็คือ ให้ข้าโน้มน้าวให้นางเข้ามาอยู่ในทะเบียนรายชื่อเซียน แล้วก็ให้นางเป็นประมุขปราสาท ให้ข้าเป็นที่ปรึกษาลูกน้องของนาง”

“ให้น้องชิวเป็นประมุขปราสาท ส่วนเจ้าเป็นที่ปรึกษา…” อวิ๋นอ้าวเทียนพึมพำกับตัวเอง แล้วมองเหมียวอี้ด้วยสายตาแปลกๆ  แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก บทจะไปก็ไปเลย ไม่ได้บอกคนในตำหนักเก้าชั้นฟ้าด้วย นำอวิ๋นเป้าออกไปจากที่นั่นโดยตรง

เหมียวอี้เชื่อฟังที่เขากำชับ เข้าไปในตำหนักเก้าชั้นฟ้าโดยอ้างว่าจะไปรายงานว่าอวิ๋นอ้าวเทียนออกไปแล้ว แล้วบอกมู่ฝานจวินว่าขอตัวอำลา มู่ฝานจวินอนุญาตแล้ว

เหมียวอี้ไม่กล้าอยู่ต่อนาน ออกมาจากที่นั่นทันที หลังจากประชุมกับประมุขถิ่นสี่ทิศและแน่ใจแล้วว่าเยารั่วเซียนออกไปแล้ว พวกเขาก็รีบออกไปพร้อมกันทันที

ขณะที่เขาเริ่มออกเดินทางกลับมา ข่าวเปลี่ยนตัวท่านทูตของสายมะโรงก็แพร่ออกไปแล้ว จงเจิ้นมารับตำแหน่งแทนแล้ว

เหล่านางบำเรอของเยว่เทียนโปที่กำลังโศกเศร้าเสียใจ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จงเจิ้นจะรับผู้หญิงพวกนี้ของเยว่เทียนโปเอาไว้ พอมาถึงยอดเขาหยกนครหลวง เรื่องแรกที่ทำก็คือไล่ผู้หญิงพวกนี้ออกไป มู่ฝานจวินเองก็นับว่าดูแลครอบครัวของลูกน้องเป็นอย่างดี จงเจิ้นมาพร้อมกับคำสั่งของท่านปราชญ์ ว่าเหล่านางบำเรอที่สนิทสนมกันพวกนั้น สามารถตัดสินใจเองได้ว่าจะไปกับใคร ถ้าไม่มีทางไป ก็จะจัดให้เข้าไปอยู่ในสมาคมร้านค้าแดนเซียนทั้งหมด

ไม่ใช่แค่พวกเขา แต่ครอบครัวของท่านทูตทั้งสี่สายก็ถูกจัดการให้แบบนี้เช่นกัน

ข่าวระหว่างปราสาทย่อมเร็วกว่าข่าวระหว่างตำหนักอยู่แล้ว ต่อให้ยอดเขาหยกนครหลวงจะไม่ได้ปล่อยข่าวออกมา แต่ทางปราสาทดำเนินสุริยันก็ได้รับข่าวนี้แล้วเช่นกัน ท่านทูตสายมะโรงสิ้นชีวิตแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าตัวการสำคัญจะเป็นเหมียวอี้ประมุขปราสาทดำเนินสุริยัน ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ทำให้คนมากมายเท่าไรตกตะลึง

หยางชิ่งที่ได้รับข่าวค่อนข้างทนไม่ไหวกับแรงปะทะแบบนี้ เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ย่างหดหู่ แล้วเอามือกุมอกพลางกล่าวทอดถอนใจ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าการที่เขากลับมาไม่ใช่เรื่องดีอะไร ข้ารู้อยู่แล้วล่ะ เป็นอย่างที่คิดไว้ ไม่แปลกใจเลย…”

ความรู้สึกของหยางชิ่งในตอนนี้ ยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว เขาโบกมือให้ชิงเหมยกับชิงจวี๋ถอยไป ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น อยากจะคิดอะไรเงียบๆ คนเดียว นั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้

โชคดีที่ผ่านไปแค่ครู่เดียว  ชิงเหมยกับชิงจวี๋ก็รีบวิ่งเข้ามา มาพร้อมกับข่าวดี “นายท่านเจ้าคะ ประมุขปราสาทกลับมาแล้ว!”

หยางชิ่งลุกพรวดแล้วเดินออกไปทันที…

เมื่อกลับถึงปราสาทดำเนินสุริยันของสายมะโรง ประมุขถิ่นทั้งสี่ก็ไม่ได้เข้ามา กล่าวอำลาตั้งแต่ตอนเหาะอยู่บนฟ้าแล้ว ครั้งนี้ก่อเรื่องจนจีฮวนไม่ค่อยพอใจ ไม่อาจจะละเลยความรู้สึกของฝ่ายจีฮวนได้

พอเหมียวอี้กลับมา อวิ๋นจือชิวที่ก็รีบออกมาต้อนรับเขาที่ประตูตำหนักหลัง พอเห็นว่าเขากลับมาในสภาพสมบูรณ์ นางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สายตาที่ร้อนรนกังวลใจหายไปแล้ว

ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะมีระฆังดาราติดต่อกัน และรู้แล้วว่าเขาไม่เป็นอะไร แต่ก็ไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด ถ้ายังกลับมาไม่ถึงก็อดไม่ได้ที่จะกังวล

อวิ๋นจือชิวแต่งตัวราวกับมารดาแห่งใต้หล้าทว่างดงามเย้ายวนใจ เพราะอยู่ต่อหน้าคนนอก นางจึงเข้ามาย่อเข่าคำนับ “ยินดีต้อนรับนายท่านกลับมาค่ะ!”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ติดตามมาด้วยเช่นกัน ส่วนฉินเวยเวยก็เข้ามากุมหมัดคารวะ ถ้าเหมียวอี้ยังไม่กลับมา นางก็ไม่มีทางกลับตำหนักตัวเองอย่างสงบใจ รอฟังข่าวอยู่ที่นี่ตลอด

เหมียวอี้ผายมือเล็กน้อย แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปในตำหนัก

อวิ๋นจือชิวลากกระโปรงยาวและหันตัวไปเดินข้างกายเขา หลังจากก้าวเข้าตำหนัก นางก็รับน้ำชามาวางไว้ข้างๆ เหมียวอี้ด้วยตัวเอง ก่อนจะยืนขึ้นและถามว่า “นายท่าน ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ?”

เหมียวอี้กระดกถ้วยน้ำชาลงคอ พอวางถ้วยน้ำชาลงก็หัวเราะอย่างขื่นขม “ทำท่านทูตตายไปสี่คน จะไม่เป็นอะไรได้อย่างไร”

อวิ๋นจือชิวรีบยกกระโปรงแล้วนั่งลงข้างๆ “อธิบายมาซิ?”

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “ถ้าไม่อยากให้เป็นอะไรก็ง่ายมาก มู่ฝานจวินลั่นวาจามาแล้ว ขอเพียงเจ้าเป็นฝ่ายขอเข้ามาอยู่ในทะเบียนรายชื่อเซียน ตั้งแต่นี้ไปเชื่อฟังคำสั่งนาง นางก็จะผ่อนผันโทษเรื่องนี้ให้”

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว แล้วพึมพำว่า”ก่อนหน้านี้นางเคยเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าข้ามาก่อน ข้ารู้ว่านางต้องการทำให้ท่านปู่ข้าลำบากใจ ข้าก็เลยไม่เคยตอบตกลง นึกไม่ถึงว่านางจะอาศัยโอกาสนี้… ไม่มีทางเลือกแล้ว ขอเพียงเจ้าไม่เป็นอะไร ข้าเข้ามาอยู่ในทะเบียนรายชื่อเซียนก็ได้”

เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “หลังจากเจ้าเข้ามาอยู่ในทะเบียนรายชื่อเซียน ข้าก็จะต้องถูกลดขั้นเป็นที่ปรึกษาของปราสาทดำเนินสุริยัน แล้วเจ้าก็เป็นประมุขปราสาทดำเนินสุริยันต่อ”

“นี่มันใช่เรื่องเหรอ? แบบนี้จงใจทำให้เจ้าเสียหน้ารึเปล่า?” อวิ๋นจือชิวงงมาก

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ไม่อย่างนั้นจะเรียว่าลงโทษได้อย่างไรล่ะ? เอาอย่างนี้นั่นแหละ เจ้ากับข้าใครเป็นประมุขปราสาทก็เหมือนกัน หลายปีที่ข้าไม่อยู่ เจ้าก็ทำหน้าที่เหมือนประมุขปราสาทไม่ใช่เหรอ”

อวิ๋นจือชิวน้ำตาคลอ เหล่ตาพลางยิ้มอย่างหยาดเยิ้ม “งั้นเจ้าจะถอนหายใจหายทำไม? ปกติผู้ชายเป็นใหญ่เหนือผู้หญิง เจ้ารู้สึกไม่พอใจเหรอที่ข้ากดเจ้าอยู่ข้างบน?”

เหมียวอี้ไอหนึ่งที ฉินเวยเวยก็อยู่ด้วยนะ พูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนนอกคงไม่ดีนัก จึงยิ้มพร้อมบอกฉินเวยเวยทันที “เวยเวย เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ไม่ว่าใครจะเป็นประมุขปราสาทก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเจ้าหรอก ตรงนี้ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เจ้าเองก็ไม่ได้กลับตำหนักเลยใช่มั้ย รีบกลับไปเถอะ”

อวิ๋นจือชิวยิ้มพลางพยักหน้า ไม่ได้รั้งให้นางอยู่ต่อ

เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ฉินเวยเวยเองก็รู้ว่าสองสามีภรรยาต้องการจะคุยเรื่องส่วนตัวกัน ถ้านางอยู่ที่นี่พวกเขาจะไม่สะดวก จึงขอตัวลากลับไป

หลังจากฉินเวยเวยไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็รีบถามอีกว่า “หนิวเอ้อร์ เยารั่วเซียนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

เหมียวอี้มองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่กำลังทำหน้าสีหน้าเครียดกังวล แล้วยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “ครั้งนี้พ่อบุญธรรมของพวกเจ้าทำเอาข้ายับเยินเลย ก่อเรื่องหวาดเสียวมาก เกืบเอาชีวิตไม่รอดตั้งหลายครั้ง…”

เมื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ผู้หญิงทั้งสามก็อกสั่นขวัญผวา พอได้ยินว่าเหมียวอี้เล่นละครทำร้ายตัวเองจนสาหัสที่แดนโพนสวรรค์เพื่อส่งตัวเยารั่วเซียนออกไป อวิ๋นจือชิวก็ปวดใจสุดๆ ด่าเยารั่วเซียนว่าต้องโดนลงโทษสักพันดาบ

ขณะเดียวกันก็รู้สึกนับถือเหมียวอี้แล้วจริงๆ ยิ่งนับวันยิ่งพบว่าสามีตัวเองเก่งกาจ ภายใต้สถานการณ์คับขันที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังช่วยเยารั่วเซียนออกไปได้ ถ้าแบบนี้ไม่เรียกว่ามีความสามารถ แล้วแบบไหนจะนับว่ามีความสามารถล่ะ?

หลังจากฟังจบแล้ว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็คุกเข่าพร้อมกัน “บุญคุณอันใหญ่หลวงที่นายท่านช่วยชีวิตไว้ บ่าวทั้งสองขอขอบคุณแทนท่านพ่อบุญธรรม”

เหมียวอี้ผายมือขึ้นเล็กน้อย “มันผ่านไปแล้ว เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ครอบครัวเดียวกันย่อมพูดจาภาษาเดียวกัน เพียงพ่อบุญธรรมของพวกเจ้าคงเผยโฉมไม่ได้อีกแล้ว ครั้งนี้เขาหาเรื่องใส่ตัวเอง เดี๋ยวข้าค่อยคิดหาทางส่งเขาไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย อีกสามสี่วันพวกเจ้าค่อยไปหาเขาที่อู่ต่อเรือ ต้องเกลี้ยกล่อมให้เขาซ่อนตัวแต่โดยดีนะ ถ้าหนีออกไปแล้วโดนคนจับตัว ต่อให้ข้ามีสามหัวหกมือก็ช่วยเขาไม่ได้เหมือนกัน”

“เจ้าค่ะ!” ลุกขึ้นแล้วเอ่ยรับ

ฉินเวยเวยที่ออกมาจากตำหนักหลังบังเอิญปะกับหยางชิ่ง ฉินเวยเวยกำลังคำนับ แต่ในใจหยางชิ่งกลับมีไฟโกรธลุกพรึ่บ ถ่ายทอดเสียงตะคอกว่า “เจ้าเป็นสาวเป็นนาง ชอบมาอยู่ที่ตำหนักหลังของประมุขปราสาทบ่อยๆ มันใช่เรื่องถูกประเพณีเหรอ? ไม่กลัวว่าข้างนอกจะมีข่าวลือไม่ดีรึไง?”

ฉินเวยเวยก้มหน้าโดยไม่พูดอะไร นางปิดบังหยางชิ่งเรื่องที่ไปสำนักงามวิจิตรมาตลอด ถ้าพูดออกมาจริงๆ เกรงว่าจะแย่กันไปใหญ่

ด่าก็ส่วนด่า แต่พอด่าเสร็จแล้วเห็นท่าทางนางเป็นอย่างนั้น หยางชิ่งก็ทำใจไม่ลง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนลงว่า “ได้ยินว่าประมุขปราสาทกลับมาแล้วเหรอ สถานการณ์เป็นอย่างไร?”

“ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรค่ะ…” ฉินเวยเวยเล่าเรื่องที่เหมียวอี้โดนลดขั้นให้กลายเป็นที่ปรึกษา แล้วให้อวิ๋นจือชิวขึ้นเป็นประมุขปราสาทแทนให้ฟัง

“ฮูหยินเลื่อนขั้นเป็นประมุขปราสาท…” หลังจากอึ้งไปพักหนึ่ง หยางชิ่งก็โบกมือบอกให้ฉินเวยเวยกลับไปพร้อมกับตนทันที เขาเองก็ไม่เข้าพบแล้ว

เหมียวอี้โดนลดขั้น อวิ๋นจือชิวถูกเลื่อนขั้นเป็นประมุขปราสาท หยางชิ่งยกสองมือเห็นด้วย เพราะสมกับที่ใจเขาปรารถนามาก ถ้าปล่อยให้เหมียวอี้ขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้ต่อไป เขาจะต้องใจสลายแน่นอน เขากลัวว่าตอนนี้เหมียวอี้จะอารมณ์ไม่ดี ผู้การใหญ่อย่างเขาไม่เข้าไปแสดงท่าทีอะไรแล้ว

ทางมู่ฝานจวินก็ไม่ได้ถ่วงเวลาเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวเขียนหนังสือแสดงความเต็มใจที่จะเข้าสู่ทะเบียนรายชื่อเซียน เบื้องบนอนุมัติทันที ขณะเดียวกันคำสั่งแต่งตั้งจากยอดเขาหยกนครหลวงก็มาถึงแล้ว เหมียวอี้ถูกลดขั้นเป็นที่ปรึกษาของปราสาทดำเนินสุริยัน ส่วนอวิ๋นจือชิวเลื่อนขั้นเป็นประมุขปราสาทดำเนินสุริยัน

ปราสาทดำเนินสุริยันถ่ายทอดคำสั่งนี้ลงไปเช่นกัน ประมุขตำหนักแต่ละสายมารวมตัวกันเพื่อเยี่ยมคารวะประมุขปราสาทคนใหม่ทันที ถึงแม้หลายปีมานี้อวิ๋นจือชิวจะไม่ต่างอะไรกับประมุขปราสาท ทุกคนแทบจะมองนางเป็นประมุขปราสาทแล้ว แต่ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็เป็นการขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างเป็นทางการ พิธีการที่จำเป็นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

ประมุขตำหนักทั้งสิบสายมารวมตัวกันที่ตำหนักประชุม โอกาสแบบนี้ถ้าเหมียวอี้ไม่โผล่หน้ามาสักหน่อยก็จะฟังไม่ขึ้นแล้ว กลัวว่าคนอื่นจะนินทาว่าเข้าหน้าไม่อาย เพื่อที่จะแสดงความใจกว้างของตัวเอง นายท่านที่ตอนเป็นประมุขปราสาทแทบจะไม่ค่อยโผล่หน้ามา ครั้งนี้กลับปรากฏตัวแล้ว

เพียงแต่ตำแหน่งในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะขึ้นนั่งเบื้องบน ทำได้เพียงยืนประสานมือตรงหน้าท้องอยู่เบื้องล่างอย่างว่านอนสอนง่าย ตำแหน่งยืนอยู่หน้าสุด แต่เทียบกับหยางชิ่งและเหยียนซิวที่ยืนอยู่ทางซ้ายและขวาใต้บันไดบัลลังก์ไม่ได้

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ยังคงยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของบัลลังก์เหมือนเดิม บนบัลลังก์มีอวิ๋นจือชิวที่สวมมงกุฏหงส์และแต่งกายเต็มยศนั่งอยู่ ใบหน้างามสง่าทว่าหยาดเยิ้มแพรวพราว งดงามน่าประทับใจ มีมาดของประมุขปราสาทเต็มเปี่ยม เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ยืนอยู่เบื้องล่างแล้วมองนางอย่างนั้น แอบปวดใจนิดหน่อย ไม่ค่อยพอใจอยู่บ้าง

“คำนับประมุขปราสาท!” เหมียวอี้ยังต้องพูดคำนับตามคนอื่นๆ ด้วย

มีสายตาของคนไม่น้อยที่แอบมองปฏิกิริยาของเหมียวอี้ ไม่ว่าจะโดนลดขั้นหรือไม่ ทุกคนก็ยังเคารพนับถือเขา ตอนที่ไม่เคลื่อนไหวก็หายเงียบ แต่พอเคลื่อนไหวทีก็ก่อเรื่องใหญ่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ท่านทูตของแดนเซียนตายไปสี่คนในรวดเดียว ไม่โดนตัดหัวก็นับว่าดวงชะตาแข็งแล้ว

แต่การลงโทษของเบื้องบนก็เจ้าเล่ห์พอสวมควร ชัดเจนว่าต้องการให้เมียของเขากดหัวเขา แนวคิดผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า เกรงว่าจะต้องกลับตาลปัตรแล้ว ไม่รู้ว่าต่อไปนี้จะได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขหรือไม่

ทุกคนทยอยกันรายงานสถานการณ์ในอาณาเขตที่ตัวเองปกครอง พอถึงตาเหมียวอี้ เหมียวอี้ก็ตอบประโยคเดียวอย่างไม่สะทกสะท้าน “เพิ่งรับตำแหน่งใหม่ ยังไม่รู้สถานการณ์”

คำพูดนี้ฟังดูเหมือนค่อนข้างปวดใจ ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรแอบกลั้นขำ แม้แต่หยางชิ่งเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเบาๆ


921

ก่อกวน

ในเมื่อไม่มีสถานการณ์จะรายงาน บอกตรงๆ ว่าไม่มีก็สิ้นเรื่องแล้ว จำเป็นต้องทำตัวพิลึกกึกกือมั้ย

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่เบื้องบนแอบเม้มริมฝีปาก เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองเห็นเหมียวอี้ยืนอยู่เบื้องล่างของพวกนาง

แม้แต่อวิ๋นจือชิวเองก็หลุดขำในใจอย่างอดไม่ได้ แต่ภายนอกไม่แสดงพิรุธใดๆ ยังคงวางมาดมารดาแห่งใต้หล้าผู้สูงส่งอยู่อย่างนั้น นางเหล่ตามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงดังมีพลังว่า “เช่นนั้นก็ทำความเข้าใจสถานการณ์ให้มากๆ หน่อย ครั้งหน้าห้ามขายผ้าเอาหน้ารอด”

“ขอรับ!” เหมียวอี้กุมหมัดพลางลากเสียงยาวเอ่ยรับคำสั่ง

จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกว่าตัวเองหาเรื่องใส่ตัว ก่อนจะมาที่ตำหนักประชุม อวิ๋นจือชิวก็เคยเตือนแล้วว่าไม่ต้องมาก็ได้ แต่เขาดึงดันจะแสดงออกว่าตัวเองไม่เป็นไร ปรากฏว่าหลังจากมาที่นี่แล้ว อวิ๋นจือชิวก็ย่อมต้องปฏิบัติตามหน้าที่ต่อหน้าทุกคน ทว่าเมื่อถูกทุกคนจ้องมองแบบนี้ กอปรกับได้รับผลกระทบจากแนวคิดผู้ชายเป็นใหญ่ เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าในใจตัวเองค่อนข้างหงุดหงิด อดไม่ได้ที่จะพูดจาแปลกๆ เพราะอยากแสดงให้ทุกคนรู้ ว่าข้าไม่ได้กลัวเมีย!

ว่ากันตามจริง อาจจะเป็นเพราะอุปนิสัยประจำตัว กล้ามาแย่งอำนาจเขางั้นเหรอ เขาถึงขั้นเกิดความคิดชั่ววูบว่าจะร่วมมือกับลูกน้องโค่นล้มประมุขปราสาทคนนี้ แต่ก็เปลี่ยนความคิดทันที เพราะนี่คือเมียตัวเองนะ… จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเป็นบ้าไปแล้ว สงสัยจะเสพติดกับการต่อสู้แล้ว!

เมื่อเห็นเขาทำตัวแปลกๆ อย่างชัดเจนแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ตีสีหน้าเครียดขรึมทันที ตะคอกถามว่า “หรือว่าเจ้ามีความเห็นแย้งที่ข้าขึ้นรับตำแหน่งประมุขปราสาท?”

เหมียวอี้เองก็รู้สึกว่าตัวเองทำเกินไป ทำลายชื่อเสียงบารมีของประมุขปราสาทต่อหน้าฝูงชนถือว่าทำเกินไปหน่อย จึงกุมหมัดตอบด้วยสีหน้าจริงจังทันที “มิบังอาจ!”

สายตาของอวิ๋นจือชิวหยุดอยู่บนหน้าของเขาครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเขาแสดงความจริงใจแล้วจริงๆ คิดไปคิดมาก็ระงับความคิดที่จะข่มเหมียวอี้เพื่อสร้างบารมีให้ตัวเองเอาไว้ แล้วพยักหน้าให้คนข้างหลัง

คนต่อไปรายงานสถานการณ์ต่อทันที ส่วนใหญ่จะสรรเสริญเยินยอด้วยความประจบ แสดงท่าทีชัดเจนว่าตัวเองตัดสินใจจะสนับสนุนแล้ว

การประชุมดำเนินมาจนถึงตอนท้าย หลังจากทุกคนส่งรายงานแล้วก็แยกย้ายกันออกไป อวิ๋นจือชิวนำเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ไปที่ตำหนักหลังก่อน

จิตใต้สำนึกของเหมียวอี้คุ้นชินแล้ว ตามไปที่ตำหนักหลังเช่นกัน แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าผิด จึงเลี้ยวเดินออกจากตำหนักประชุมพร้อมกับคนอื่นๆ

อวิ๋นจือชิวที่เดินมาถึงตำหนักหลังหันหลังมองแวบหนึ่ง รออยู่สักพักก็ไม่เห็นเหมียวอี้ปรากฏตัว เชียนเอ๋อร์เขาใจว่านางต้องการอะไร จึงรีบออกไปที่ริมกำแพงแล้วยื่นศีรษะแอบดู แล้วกลับมารายงานว่า “นายท่านเดินออกประตูใหญ่ไปแล้ว จะให้ไปเชิญนายท่านมามั้ยเจ้าคะ?”

อวิ๋นจือชิวเม้มปากยิ้ม “พวกเจ้าอย่าไปมองนะว่าปกติเขาไม่รักในอำนาจ ที่จริงเขาเริ่มคว้าอำนาจมาไว้ในมือทางอ้อมตั้งแต่ตอนอยู่ถ้ำคล้อยบูรพาแล้ว  ก่อนหน้านี้ถึงแม้ผู้การใหญ่หยางจะมีอำนาจมาก แต่เจ้าเชื่อรึเปล่า ว่าถ้าผู้การใหญ่กล้ามีเจตนาไม่ดีแอบแฝง นายท่านต้องลงมือฆ่าทิ้งแน่ๆ ที่เขาให้ข้ากุมอาจแทนเขา ก็เพราะรู้ว่าข้าแย่งจากเขาไม่ได้ จู่ๆ เขาโดนแย่งอำนาจนี้ไป ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นเขาจะต้องก่อเรื่องแน่ แต่ดันเป็นข้าที่เข้ามายึดครองตำแหน่งของเขา เมื่อเข้ามายืนในตำหนักแล้วพบว่าอำนาจที่กุมมาหลายปีหายไปกะทันหัน ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไรอำนาจนี้ถึงจะกลับมา คนที่กุมอำนาจจนเคยชิน แต่จู่ๆ สูญเสียไป ต่อให้เป็นคนที่ใจกว้างกว่านี้ ในใจก็รู้สึกเสียสมดุลอยู่ดี จะรู้สึกตกอับนิดหน่อย ไม่ใช่เพราะเขาเห็นความสำคัญกับอำนาจหรอกนะ แต่เป็นเพราะยังไม่ชิน ให้เวลาเขาปรับตัวสักหน่อยเถอะ” พูดจบก็นำหญิงรับใช้ทั้งสองเดินออกไป

บรรดาประมุขตำหนักที่กำลังพูดคุยหัวเราะกันเพิ่งจะเดินออกจากตำหนักประชุม พอเห็นเหมียวอี้ปรากฏตัว บรรยากาศก็เงียบลงทันที ถ้าจะเรียกเขาว่า ‘ประมุขปราสาท’ ก็เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสม ถ้าจะเรียกเขาว่า ‘ที่ปรึกษา’ ก็กลัวว่าเขาจะไม่พอใจอีก รู้สึกอึดอัดไปชั่วขณะ

กลับเป็นเหมียวอี้ที่เป็นฝ่ายกุมหมัดคารวะหยางชิ่งก่อน “ข้าน้อยคารวะนายท่านผู้การใหญ่!”

ก็ช่วยไม่ได้ นี่คือกฎที่เขาตั้งขึ้นมาเอง ที่นี่ผู้การใหญ่ตำแหน่งใหญ่กว่าที่ปรึกษา

หยางชิ่งอึ้งมาก คิดในใจว่า ถ้าเจ้าก่อเรื่องให้น้อยลง ก็คงไม่เกิดเรื่องเหมือนอย่างวันนี้หรอก เขากำหมัดแห้งๆ แล้วบอกว่า “นายท่านทำแบบนี้ช่างเป็นการประหารข้าน้อยจริงๆ แกล้งทำตอนอยู่ต่อหน้าคนนอกก็พอแล้ว ตรงนี้ไม่มีคนนอก ในสายตาของทุกคน ท่านกับประมุขปราสาทยังคงมีฐานะเท่ากัน”

พอได้ยินคำพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็เบื่อหน่ายนิดหน่อย หมายความว่าอะไรที่บอกว่าข้ากับประมุขปราสาทยังคงมีฐานะเท่ากัน เดิมทีข้าเป็นประมุข แต่นางเป็นรองข้า ตกลงมั้ย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกก็ไม่มีอะไรน่าแย่งชิงกัน

“ใช่ๆๆๆ!” คนที่เหลือดันพยักหน้าตามทันที

มีเพียงฉินเวยเวยที่ยังเงียบงัน รู้สึกไม่คู่ควรแทนเหมียวอี้

เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ แล้วเก็บมือสองข้างไว้ในแขนเสื้อ รู้สึกเป็นอิสระมากทีเดียว เขาเดินลงบันไดไปช้าๆ ไปที่ลานกว้างเพียงลำพัง

หยางชิ่งรีบโบกมือบอกใบ้คนที่เหลือ แล้วพวกเขาก็รีบเหาะไปยังจวนของผู้การใหญ่ทันที

“นายท่าน!”

บนลานกว้าง เมื่อเห็นเหมียวอี้เดินเข้ามา จิ้งอิ๋งกับจิ้งลู่ก็หยุดกวาดพื้นแล้วคำนับเขา

เหมียวอี้ยิ้มพร้อมประกาศว่า “ข้าโดนเบื้องบนลดตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาแล้ว ฮูหยินรับตำแหน่งประมุขปราสาทอย่างเป็นทางการ ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียกข้าว่านายท่านแล้ว”

จิ้งอิ๋งจึงยิ้มบางๆ “ที่ปรึกษาก็เป็นนายท่านเหมือนกันไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ใช่แล้ว สำหรับสองคนนี้ ตัวเองยังเป็นนายท่านอยู่ อยู่ดีๆ จะไปเน้นย้ำอธิบายกับพวกนางทำไม?

เขาพบว่าสภาพจิตใจตัวเองมีปัญหา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะตัวเอง แล้วก็เดินเตร่ออกไป

ขณะที่เดินเล่นอยู่ในตำหนักหรูหรากว้างใหญ่ เหมียวอี้ก็รู้สึกปลงอนิจจังอยู่บ้าง เริ่มตั้งแต่ถ้ำล่องนิภา สู้ตาสุดชีวิตเพื่อจะเป็นประมุขถ้ำ จนกระทั่งทุกวันนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่างเปล่า ตอนโดนลดขั้นเป็นประมุขถ้ำคล้อยบูรพายังไม่รู้สึกอย่างนี้เลย…

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสวี่ยเอ๋อร์มาหาเขาแล้วบอกว่า “นายท่าน ฮูหยินเชิญเจ้าค่ะ”

พอทั้งสองกลับถึงตำหนักหลัง ก็เห็นบัณฑิตที่กำลังเฝ้าประตูหัวเราะเยาะคิกคักอย่างโจ่งแจ้ง เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน

เสวี่ยเอ๋อร์นำเขาไปยังตำหนักด้านข้างที่ประมุขปราสาทใช้เวลาทำงาน อวิ๋นจือชิวกำลังนั่งเขียนสรุปสถานการณ์ที่แต่ละตำหนักรายงานขึ้นมา ประมุขปราสาทที่รับตำแหน่งใหม่ต้องรายงานสิ่งเหล่านี้ขึ้นไปเบื้องบน เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองคุมสถานการณ์ของที่นี่อยู่ นี่คือหนึ่งในงานที่ทำเป็นประจำ

พอเขาเข้ามา อวิ๋นจือชิวก็วางแผ่นหยกในมือลงก่อน แล้วยืนขึ้นหัวเราะคิกคักทันที นางเข้ามากอดแขนเขา “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าไปตำหนักประชุม แต่เจ้าก็ดึงดันจะไปให้ได้ ตอนนี้ในใจรู้สึกไม่ผ่อนคลายแล้วสินะ?”

“เจ้าหัวเราะเยาะข้าเหรอ?” เหมียวอี้เหล่ตามองนาง หดแขนกลับมาจากอ้อมอกนาง แล้วกุมหมัดคารวะ “ไม่มีเหตุผลที่ที่ปรึกษาจะพักอยู่ในตำหนัก ประมุขปราสาทกรุณาให้เรือนพักนอกตำหนักแก่ข้าน้อยด้วยขอรับ”

“เอ! นี่เจ้าอยากแยกกันอยู่กับข้าเหรอ! เรื่องนี้ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ขนาดเจ้าก่อเรื่องขโมยคนอยู่ข้างนอกข้ายังไม่รู้เลย” อวิ๋นจือชิวยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปากหัวเราะ แล้วหันตัวดันเขาลงไปนั่งหลังโต๊ะยาว กดเขาให้นั่งในตำแหน่งของประมุขปราสาท แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ท่านสามีที่แสนดี ท่านสนใจใยดีชื่อเสียงอันจอมปลอมนี้ตั้งแต่เมื่อไรคะ ปกติเรื่องพวกนี้ท่านก็โยนให้ข้าช่วยทำไม่ใช่เหรอ ต่อให้ตำแหน่งข้าจะสูงกว่านี้ แต่ก็ยังเป็นฮูหยินที่คอยปรนนิบัติเจ้านายอย่างท่านอย่างซื่อสัตย์เหมือนเดิม”

เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ “ดูไม่ออกเลยนะ ลืมตอนที่ตะคอกข้าต่อหน้าคนอื่นๆ ในตำหนักใหญ่ไปแล้วเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวหัวเราะจนตัวโยน “ก็นั่นเป็นตอนที่อยู่ต่อหน้าทุกคนไง ถ้าข้าไม่มีชื่อเสียงบารมี ต่อไปข้าก็ทำงานไม่ราบรื่นน่ะสิ ตอนนี้ไม่มีคนนอกแล้ว เจ้าดูสิว่าข้าก็ยังเชื่อฟังคำพูดเจ้าแต่โดยดี”

เหมียวอี้ตอบว่า “อ๋อเหรอ” แล้วก็ทำท่าเหมือนทดสอบ เอนตัวพิงเก้าอี้พร้อมสั่งว่า “เอาน้ำชามาวาง!”

อวิ๋นจือชิวกวักมือเรียกหญิงรับใช้ทั้งสองที่กำลังกลั้นขำทันที ไม่นานเชียนเอ๋อร์ก็รีบนำถ้วยน้ำชามาให้ อวิ๋นจือชิวรับมาถือเอง แล้วใช้สองมือยื่นไปตรงหน้าเขาอย่างเคารพ

เหมียวอี้ดื่มไปคำเดียว พอวางถ้วยน้ำชาลงก็บิดหัวไหล่ พูดเหมือนพึมพำกับตัวเองว่า “รู้สึกไม่ค่อยสบายหัวไหล่เลย”

อวิ๋นจือชิวยิ้มพลางส่ายหน้า แต่ก็ยังเดินไปข้างหลังเขาแต่โดยดี แล้วเริ่มบีบนวดไหลให้เขา

ตรงนี้เพิ่งจะนวดเสร็จ เหมียวอี้ก็ยื่นขาออกมาข้างหนึ่ง “รู้สึกปวดขานิดหน่อย!”

อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน แต่ก็ยังยกมือห้ามเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่กำลังจะเข้ามาช่วย แล้วนั่งคุกเข่าข้างเดียวตรงใต้เท้าของเหมียวอี้ กำหมัดสองข้างทุบนวดบนขาของเขาด้วยแรงที่พอเหมาะพอดี นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “เขาจงใจจะก่อกวนข้าเพื่อให้หัวใจตัวเองรู้สึกสมดุล”

เหมียวอี้ยิ้มพร้อมบอกเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ว่า “รสชาติเวลาถูกประมุขปราสาทปรนนิบัติมันดีใช้ได้เลย ยังมีรูปแบบอย่างอื่นอีกมั้ย?”

หญิงรับใช้ทั้งสองกลั้นขำทันที

อวิ๋นจือชิวที่กำลังทุบนวดขาให้เขาเงยหน้าขึ้น แล้วบอกว่า “หนิวเอ้อร์ อย่าทำเกินไปหน่อยเลย ความอดทนของข้ามีจำกัดนะ”

เหมียวอี้กลับยื่นมือไปช้อนคางที่อ่อนนุ่มของนาง สวมมงกุฎหงส์สวยสง่าแต่กลับกำลังปรนนิบัติให้เขา ท่าทางแบบนี้ค่อนข้างเร้าใจคน อดไม่ได้ที่จะตบต้นขาแสดงเจตนา

อวิ๋นจือชิวถลึงตามอง แล้วลุกขึ้นนั่งบนตักของเขา แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะยื่นมือไปไต่บนเต้าที่อิ่มเอิบของนางโดยตรง

เพียะ! อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะตีปัดมือเขาออก แต่เขากลับจับตัวนางพลิกลงบนโต๊ะยาวแล้วกดให้นอนคว่ำ ก่อนจะเริ่มถกกระโปรงนางขึ้นมา

“เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ! ไม่ดูบ้างเลยว่าที่นี่ที่ไหน กลับห้องนอนก่อนแล้วค่อยว่ากัน” อวิ๋นจือชิวดิ้นรนต่อต้าน

“ข้าอารมณ์ไม่ดี ยังไม่เคยลิ้มลองรสชาติของประมุขปราสาทเลย เอาที่นี่นั่นแหละ”

เมื่อได้ยินเขากล่าวแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางเลิกขัดขืนแล้ว นอนหมอบบนโต๊ะยาวปล่อยให้เขาทำตามใจ ขณะเดียวกันก็เงยหน้าถลึงตาจ้องหญิงรับใช้ทั้งสอง พวกนางหน้าแดงและรีบออกไปทันที ไปเฝ้าอยู่ที่ประตูด้านนอก

บั้นท้ายกลมเกลี้ยงเกลาขาวใสที่ถูกชายกระโปรงบังไว้ครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว  ไม่นานก็ตามด้วยเสียงร้องตื่นเต้นของประมุขปราสาทคนก่อน ปิ่นทองบนมงกุฎหงส์สั่นไหว…

ไม่ว่าจะยังเป็นประมุขปราสาทหรือไม่ ในทุกๆ วันเหมียวอี้ก็ยังต้องฝึกคัดอักษรอย่างเลี่ยงไม่ได้ ประมุขปราสาทอวิ๋นเข้าครัวรับใช้ด้วยตัวเอง จากนั้นก็ควบคุมและเร่งรัดให้เหมียวอี้ไปฝึกตน

ทางด้านเยารั่วเซียน เหมียวอี้ยังไม่ไปหา ให้ผ่านไปสักระยะแล้วค่อยว่ากัน กลัวว่าจะโดนคนจับตามอง

ชั่วพริบตาเดียวก็ถึงเวลาส่งส่วยแล้ว อวิ๋นจือชิวนำขบวนไปส่งส่วยที่ยอดเขาหยกนครหลวง ถึงแม้จะมาที่นี่เป็นร้อยๆ ปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาด้วยฐานะของประมุขปราสาทอย่างเป็นทางการ แต่ครั้งนี้ไม่ได้พาฉินเวยเวยมาด้วย ปล่อยให้ฉินเวยเวยอยู่เล่นหมากล้อมกับเหมียวอี้

หลังจากมาถึงยอดเขาหยกนครหลวง อวิ๋นจือชิวและประมุขปราสาทคนอื่นๆ ก็ติดตามจงเจิ้นไปยังแดนโพนสวรรค์

หลังจากมาถึงแดนโพนสวรรค์ สิ่งที่ทำให้อวิ๋นจือชิวรู้สึกแปลกใจก็คือ อันหรูอวี้ที่ก่อนหน้านี้ชอบชักสีหน้าใส่นาง ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้จะเป็นฝ่ายเข้ามาตีสนิทนางก่อน คำพูดคำจาอ่อนโยนมาก เหมือนมีเจตนาอยากสนิท อวิ๋นจือชิวคิดเพียงว่าเป็นเพราะคุณชายใหญ่ฮูเหยียนไท่เป่ากลับมามีอำนาจอีกครั้ง หลังจากอันหรูอวี้เสียอำนาจ สภาพจิตใจที่สูงส่งอยู่เหนือผู้อื่นจึงถูกทำลายไปด้วย

แต่หลังจากโอวหยางกวงท่านทูตสายชวดเป็นฝ่ายมาทักทายก่อนอีก ในใจอวิ๋นจือชิวก็เคลือบแคลงเหมือนโดนเมฆหมอกปกคลุมไว้ทันที

ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากปีที่ผ่านมา นางยังโดนมู่ฝานจวินเรียกให้เขาพบเหมือนเดิม

ยังคงเป็นในตำหนักนอนของมู่ฝานจวิน พอพวกบ่าวไพร่ออกไปข้างนอก อวิ๋นจือชิวก็ก้าวเข้ามาเบาๆ เห็นยอดหญิงงามคนนั้นยังนั่งปล่อยผมประบ่าเงียบๆ อยู่หน้ากระจก โฉมหน้าที่แท้จริงของปราชญ์เซียนมู่ฝานจวิน เรียกได้ว่าทำให้ผู้หญิงจำนวนมากมายในใต้หล้ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ อย่างน้อยอวิ๋นจือชิวก็รู้สึกทอดถอนใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านไหน นางก็นับถือสายตาของท่านปู่ตัวเองในปีนั้น เพียงแต่ความงามเลิศล้ำแบบนี้ ยามปกติกลับถูกบดบังด้วยการแต่งหน้าเป็นผู้ชาย ทำให้รู้สึกเสียดายอย่างเลี่ยงไม่ได้


922

เพิ่มอีกสักคน

“ท่านปราชญ์!” อวิ๋นจือชิวที่เดินมาถึงข้างโต๊ะเครื่องแล้วแล้วทำความเคารพ

ดวงตาหงส์ที่สวยวิจิตรลืมขึ้นอย่างช้าๆ ตอนที่ไม่มีเครื่องประดับใดๆ กอปรกับแววตาที่อ่อนโยนกว่าปกติ ท่วงทีที่สง่างามและสวยสดใสได้แสดงออกมาอย่างเต็มที่ ขณะที่มองดูอวิ๋นจือชิวผ่านกระจก มู่ฝานจวินจะกล่าวทักทายเสียงเบา “นางหนูอวิ๋นมาแล้วเหรอ”

นางหนู? ข้าโตจนอายุกี่ปีแล้ว! อวิ๋นจือชิวค่อนข้างพูดไม่ออก คำเรียกนี้มักทำให้อวิ๋นจือชิวรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว เป็นเพราะมู่ฝานจวินเรียกนางแบบนี้บ่อยๆ แต่นางก็ไม่เคยชินเลย เพียงขานรับว่า “ค่ะ!”

มู่ฝานจวินพยักหน้า แล้วก็เป็นเหมือนอย่างเคย อวิ๋นจือชิวเดินมาหยิบหวีหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเริ่มหวีผมยาวสยายให้นางอย่างระมัดระวัง

ตอนที่บังเอิญเห็นมู่ฝานจวินกำลังจ้องมองสำรวจตัวเองผ่านกระจก อวิ๋นจือชิวก็รีบหลบสายตา แต่มู่ฝานจวินพูดเปิดว่า “นางหนูอวิ๋น เจ้ามีความเห็นอย่างไรกับการที่ผู้ชายมีภรรยาหลายคน?”

มือของอวิ๋นจือชิวหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงถามเช่นนี้ จึงตอบไปส่งๆ ว่า “ประเพณีนิยมของสังคมเป็นเช่นนี้ หัวใจของคนในใต้หล้าเป็นเช่นนี้ ภายใต้แนวคิดที่ฝังรากลึก ผู้หญิงเองก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้ค่ะ”

“อืม! พูดได้ดี” มู่ฝานจวินจ้องนางพลางถามว่า “ถ้าผู้ชายของเจ้ามีภรรยาหลายคน เจ้าจะรับได้รึเปล่า?”

อวิ๋นจือชิวยิ้มบางๆ “ย่อมรับได้อยู่แล้วค่ะ เพียงแต่ผู้ชายของข้า ไม่ว่าใครก็แย่งไปไม่ได้” ในน้ำแสดงให้เห็นความมั่นใจหลายส่วน

มู่ฝานจวินพยักหน้าเล็กน้อย “เรื่องนี้ข้าเชื่อ ข้าเองก็ดูออก พวกเจ้าสองสามีภรรยามีความรักให้กัน… แต่สำหรับผู้ชาย ความรักกับความปรารถนาเป็นคนละเรื่องกัน ข้าได้ยินว่าข้างกายเหมียวอี้ก็มีหญิงรับใช้สองคนเหมือนกัน และได้ร่วมห้องตั้งนานแล้วด้วย อย่าบอกนะว่ายามปกติเจ้าไม่ปล่อยให้เหมียวอี้แตะต้องพวกนาง?”

อวิ๋นจือชิวไม่รู้ว่าทำไมวันนี้นางจึงพูดโยงมาถึงเรื่องนี้ นางยิ้มพร้อมตอบว่า “ก็ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ หญิงรับใช้ทั้งสองอยู่กับเขามาก่อนข้า ไม่ว่าจะเป็นกับข้าหรือกับเขา พวกนางก็จงรักภักดีมาก ต่อให้ระหว่างพวกเขาจะไม่ใช่สามีภรรยากัน แต่ก็มีพฤติกรรมเหมือนกับสามีภรรยา ต่อให้ข้าน้อยเห็นแก่ตัวกว่านี้ก็ไม่อาจฝืนแยกพวกเขาได้ เรื่องบางเรื่องต้องมองให้กว้างเข้าไว้ อะไรที่ผ่อนปรนได้ก็ต้องผ่อนปรน”

มู่ฝานจวินถอนหายใจแล้วบอกว่า “เจ้าพูดไม่ผิดหรอก คนเรามีชีวิตอยู่ในโลก เรื่องบางเรื่องก็ต้องมองให้กว้างเข้าไว้ ต้องมองไปข้างหน้า ถ้ามัวคิดเล็กคิดน้อยก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี เจ้าเป็นคนที่เข้าใจหลักการเหตุผลชัดเจน นางหนู ถ้าข้าจะประทานอนุภรรยาให้เหมียวอี้อีกสองคน เจ้าจะยินยอมรึเปล่า?”

ในชั่วพริบตาเดียว อวิ๋นจือชิวก็เข้าใจแล้วว่าทำไมนางจึงโยงมาถึงเรื่องนี้ได้ อดไม่ได้ที่จะชะงักอยู่อย่างนั้น มองดูตัวเองในกระจกอย่างค่อนข้างตกตะลึง

ล้อเล่นอะไรกัน ต่อให้เป็นผู้หญิงที่ใจกว้างกว่านี้ แต่ก็รับไม่ได้ที่ข้างกายผู้ชายของตัวเองจะมีผู้หญิงแปลกหน้าเพิ่มเข้ามา

มู่ฝานจวินจ้องมองนางผ่านกระจก “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น ถ้าเจ้ายินยอม ข้าก็จะประทานให้เขาสองคน แต่ถ้าเจ้าไม่ยินยอม ข้าก็ไม่ฝืนใจเหมือนกัน แค่ถามความเห็นของเจ้าเท่านั้น ข้าเองก็เป็นผู้หญิง ไม่ฝืนใจเจ้าด้วยเรื่องแบบนี้แน่นอน และไม่อยากเห็นเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมแบบนี้ด้วย”

ก็ต้องไม่ยินยอมอยู่แล้วล่ะ! ผู้หญิงที่ไหนจะยินยอมกับเรื่องแบบนี้ล่ะ ถ้าเป็นไปได้ อวิ๋นจือชิวก็อยากจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ แม้แต่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่ต้องมีอยู่ถึงจะดี! แต่นางก็รู้ว่ามู่ฝานจวินพูดแบบนี้จะต้องมีสาเหตุแน่ จึงถามอย่างสงสัยว่า “สองคนเหรอคะ?”

นางแปลกใจนิดหน่อย เจ้าบอกว่าจะประทานให้คนเดียวก็พอแล้ว ทำไมต้องประทานให้สองคน?

“อืม!” มู่ฝานจวินพยักหน้า “สองคน จะบอกว่าคนเดียวก็ได้ จะบอกว่าสองคนก็ไม่ผิด ถึงอย่างไรก็เป็นคนเป็นๆ คู่หนึ่ง ลูกสาวฝาแฝดของอันหรูอวี้ลูกศิษย์ข้าเอง ตอนแรกข้าก็เคยบอกเรื่องข่าวลือระหว่างเหมียวอี้กับพวกนางให้เจ้ารู้ ข้าไปยืนยันเรื่องนี้กับอันหรูอวี้มาแล้ว พวกเขาเคยมีความสัมพันธ์กันจริงๆ แต่เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนี้เหมียวอี้ไม่ใช่คนผิด…”

นางพูดเรื่องที่เหมียวอี้โดนขืนใจได้อย่างไม่รำคาญใจ แต่อวิ๋นจือชิวเรียกได้ว่าฟังแล้วกัดฟันกรอด ใช่ว่านางจะไม่รู้เรื่องนี้ เพียงแต่พอได้ยินแล้วไม่สบอารมณ์ รู้สึกเลี่ยนในใจ รอจนกระทั่งมู่ฝานจวินเล่าเสร็จ อวิ๋นจือชิวก็บอกว่า “ข้าเคยถามเหมียวอี้เรื่องนี้แล้ว เขาสารภาพกับข้าแล้วค่ะ”

“อ้อ! งั้นก็ถือว่าข้าพูดมากไปก็แล้วกัน เจ้าเองก็คงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่สำนักงามวิจิตรมาแล้ว สาเหตุที่อันหรูอวี้วางแผนทำร้ายเขา ก็เป็นเพราะเรื่องลูกสาวของนาง เจ้าเองก็รู้ถึงประเพณีค่านิยมของโลกนี้ ถ้าให้ลูกสาวนางไปแต่งงานกับคนอื่น เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนอื่น ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าชาตินี้จะได้เงยหน้าอ้าปาก ถ้าจะไม่แต่งงานไปตลอดชีวิตเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ อันหรูอวี้ก็วุ่นวายใจไปทั้งชาติเหมือนกัน กับเรื่องแบบนี้ สำหรับคนเป็นแม่มันคือความทุกข์ที่ไม่อาจแก้ได้ เรื่องที่สำนักงามวิจิตร ข้าต้องลงโทษนางแน่นอน เวลาหนึ่งหมื่นปีที่ฮูเหยียนไท่เป่ายืนหันหน้าเข้ากำแพงเพื่อสำนึกผิด เวลาที่เหลือก็ให้นางมารับช่วงต่อ ส่วนโอวหยางกวงท่านทูตสายชวดก็ควรลงจากตำแหน่ง แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นลูกศิษย์ข้า หลายปีมานี้ต่อให้ไม่ได้สร้างผลงานแต่ก็ลำบากทำงาน เป็นไปไม่ได้ที่อาจารย์อย่างข้าจะไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้พวกเขา ถ้าแม้แต่ลูกศิษย์ตัวเองยังเอาใจออกห่าง ต่อไปก็คงไม่มีใครทำงานให้ข้าแล้ว ดังนั้นเรื่องชีวิตการแต่งงานของลูกสาวนาง ข้าจึงรับผิดชอบให้ทั้งหมด ที่ตอนนี้ยังไม่ทำโทษพวกเขา ก็เพื่อให้เกียรติลูกสาวของนางก่อนแต่งงาน หลังจากแต่งงานแล้วก็ต้องรับการลงโทษ นางหนูอวิ๋น ข้าพูดถึงขั้นนี้แล้วเจ้าต้องแสดงความเห็นสักหน่อยแล้วนะ!”

ก็เจ้ารับปากไปแล้ว ยังจะมาถามข้าทำไมอีกล่ะ? อวิ๋นจือชิวหงุดหงิดใจมาก กลับคิดว่าสิ่งที่มู่ฝานจวินบอกว่าขอความคิดเห็นจากนาง เป็นเพียงการแสร้งทำเท่านั้น ไม่เหลือทางไว้ให้นางปฏิเสธเลย น้องสาวของเหมียวอี้ถูกบีบอยู่ในมืออีกฝ่าย… นางถามอย่างสับสนมากว่า “ลูกสาวของคุณชายรอง จะให้แต่งมาเป็นอนุภรรยาได้อย่างไรคะ”

“ถ้าไม่ให้เป็นอนุภรรยาแล้วจะให้เป็นอะไรล่ะ? จะให้เจ้าถอยออกจากตำแหน่งภรรยาเอกเชียวหรือ? แบบนั้นข้าไม่ตอบตกลงหรอก!” มู่ฝานจวินยื่นมือไปกุมมือนางเอาไว้ แล้วใช้มือีกข้างลูบหลังมือนางเบาๆ “นางหนู เมื่อครู่นี้เจ้าก็บอกเอง เรื่องบางเรื่องต้องมองให้กว้างเข้าไว้ อนุภรรยาแค่สองคนเท่านั้น เข้าไปอยู่ในบ้านเจ้าก็ต้องเชื่อฟังเจ้าอยู่ดี เจ้าต่างหากที่เป็นนายหญิงที่แท้จริง พวกนางสองคนเชื่อฟังเจ้า โอวหยางกวงกับฮูหยินก็ต้องไว้หน้าเจ้าเช่นกัน ในภายหลังก็จะช่วยเหลือเจ้าได้เยอะ ไม่คุกคามตำแหน่งของเจ้าหรอก เจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงลดขั้นเหมียวอี้ให้เป็นที่ปรึกษาของประมุขปราสาทอย่างเจ้าล่ะ? ก็เพราะไม่อยากให้มีคนมาคุกคามตำแหน่งเจ้าบ้านของเจ้า สาเหตุที่ข้ายังไม่แต่งตั้งท่านทูตสายมะโรง ก็เพราะจะเก็บไว้ให้เจ้าไง ต่อไปนี้เจ้าคือผู้มีอำนาจตัดสินใจของบ้านนั้น เรื่องหลงเมียน้อยกำจัดเมียหลวงจะไม่เกิดขึ้นกับเจ้าแน่นอน ที่สำคัญที่สุดก็คือ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นหลานสาวของอวิ๋นอ้าวเทียน ให้เจ้าเป็นท่านทูตของแดนเซียนคงไม่เหมาะ แต่ถ้าเหมียวอี้แต่งงานกับลูกสาวของลูกศิษย์ข้า แบบนั้นก็พอฟังขึ้นแล้ว มีความสัมพันธ์กับข้าทางอ้อมแบบนี้แล้ว ถ้าให้เจ้าเป็นท่านทูต คนอื่นก็ว่าอะไรไม่ได้ อย่างน้อยสองพี่น้องตระกูลอันกับโอวหยางกวงก็ต้องสนับสนุนเจ้าแน่นอน นางหนู ข้าตั้งใจจะสนับสนุนเจ้า ข้าคิดทบทวนอย่างหนักเลยนะ เจ้าดูไม่ออกเชียวหรือ?”

คิดทบทวนอย่างหนัก? เจ้ามีเจตนาดีที่จะสนับสนุนข้าขนาดนั้นเลยเหรอ? อวิ๋นจือชิวกัดริมฝีปาก ในที่สุดตอนนี้นางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ๆ อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงมาตีสนิทตน จึงแข็งใจบอกไปว่า “ข้าไม่สนใจตำแหน่งชื่อเสียงพวกนั้นหรอกค่ะ เรื่องนำสามีตัวเองมาแลกกับตำแหน่ง ข้าทำไม่ลงหรอกค่ะ”

“เหลวไหล! ใครบอกว่าว่านำสามีเจ้ามาแลกกับตำแหน่งของเจ้า? นี่เป็นงานสมรสที่ข้าประทานให้!” มู่ฝานจวินทำหน้าเคร่งขรึมทันที จับมือนางไว้แน่น เอียงหน้ามองนาง พร้อมกล่าวด้วยสายตาคมกริบ “นางหนู ผู้ชายน่ะพึ่งพาไม่ได้ทั้งนั้น สุดท้ายเจ้าก็ต้องพึ่งพาตัวเอง ภูมิหลังของเจ้าได้กำหนดแล้วว่าเจ้าจะใช้ชีวิตธรรมดาไม่ได้ ปฏิเสธแนวคิดชายเป็นใหญ่เหมือนที่ปู่เจ้าสอนซะ ใครบอกว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะต้องโดนผู้ชายควบคุมไปทั้งชีวิต? ในเมื่อเจ้ามาอยู่ข้างกายข้าแล้ว ข้าไม่มีทางให้เจ้าใช้ชีวิตธรรมดาต่อไปหรอก ตำแหน่งท่านทูตนี้ เจ้าไม่อยากเป็นก็ต้องเป็น เอาตามนี้แล้วกัน!”

อวิ๋นจือชิวอยากจะบอกมากว่า ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าทำไมท่านปูข้าไม่มีทางอยู่ร่วมกับเจ้าได้ ในโลกนี้มีผู้ชายคนไหนทนรับผู้หญิงประเภทนี้ได้บ้าง ต่อให้เจ้าจะสวยกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์

ทว่านางก็ไม่กล้าพูดคำนี้ออกไป เพียงกัดฟันตอบว่า “เรื่องนี้ข้าตอบตกลงไปก็ไม่มีประโยชน์ ยังต้องถามความเห็นเหมียวอี้ค่ะ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนรับอนุภรรยา หากเขาไม่ชอบ บังคับไปก็ไม่มีประโยชน์” ถึงแม้จะไม่ได้ต่อต้านอย่างแข็งกร้าว แต่ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะตัดสินใจได้

มู่ฝานจวินถามกลับ “ข้างกายมีผู้หญิงเพิ่มขึ้น เจ้าคิดว่ามีผู้ชายคนไหนไม่ชอบบ้าง? ลูกสาวของอันหรูอวี้หน้าตางดงามใช้ได้เลย ฝาแฝดคู่หนึ่งที่รูปโฉมงดงามดุจดอกไม้ไปเป็นอนุภรรยาเขา เป็นวาสนาทางความรักที่คนอื่นไขว่คว้าไม่ได้ ต่อให้เป็นแค่ความฝัน ก็เกรงว่าเขาจะแอบดีใจ เจ้าเอาความกล้าจากไหนมารับประกันว่าเขาจะไม่ชอบ?”

อวิ๋นจือชิวหน้าซีดทันที ใช่แล้วล่ะ นางเองก็ไม่กล้ารับประกันว่าเหมียวอี้จะไม่ชอบ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือนางไม่อยากยอมรับ เป็นนางเองที่ช่วยพูดแทนเหมียวอี้ว่าไม่ชอบ

นางยกมือขึ้นช้าๆ เริ่มหวีผมให้มู่ฝานจวินอย่างช้าๆ

มู่ฝานจวินเองก็ไม่ได้กดดันนางมากเกินไป เพราะรู้ว่าต่อให้นางไม่ตอบตกลงก็ต้องตอบตกลง

หลังจากเงียบไปนาน สุดท้ายอวิ๋นจือชิวก็เอ่ยว่า “ข้าน้อยตอบตกลงก็ได้ค่ะ เพียงแต่ข้าน้อยมีเรื่องจะขอร้องหนึ่งอย่าง”

“ว่ามา!” มู่ฝานจวินกล่าวตรงๆ

“นอกจากฝาแฝดคู่นั้นแล้ว บวกเพิ่มไปอีกสักคนได้มั้ยคะ ท่านปราชญ์ได้โปรดประทานงานสมรสให้พร้อมกันเลย!”

“บวกเพิ่มอีกคนเหรอ?” มู่ฝานจวินแปลกใจมาก นางกำลังจ้องมองคนในกระจก คิดไม่ตกไปชั่วขณะว่าหมายความว่าอย่างไร แต่ไม่นานก็เข้าในใจทันที จึงกล่าวว่า “เจ้ากังวลว่าภูมิหลังของสองฝาแฝดจะทำให้เจ้าควบคุมพวกนางไม่ไหว จึงอยากจะเพิ่มอีกสักคนมาสร้างสมดุลเหรอ? อืม! คิดได้แบบนี้ก็ถูกต้องแล้ว เจ้าเป็นคนมีความตั้งใจ นี่คือท่าทีของผู้ที่ควบคุมดูแลบ้านควรจะมี ข้าตอบตกลงเจ้า!”

อวิ๋นจือชิวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ผู้หญิงประเภทนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถคิดโยงไปถึงหนทางของตัวเองได้ และนับถือนางจริงๆ ไม่แปลกใจที่ท่านปู่ข้าทิ้งเจ้า…

เมื่อกลับถึงปราสาทดำเนินสุริยัน บัณฑิตที่เฝ้าประตูตำหนักหลังก็เปิดค่ายกลแปดทิศ ช่างไม้กับช่างหินหามเกี้ยวเข้ามาในตำหนักหลัง

เมื่อวางเกี้ยวลง อวิ๋นจือชิวเพิ่งก้าวออกมาจากเกี้ยว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็เข้ามาคำนับแล้ว อวิ๋นจือชิวมองไปรอบๆ แล้วถามส่งเดชว่า “นายท่านล่ะ?”

“นายท่านกำลังฝึกตนค่ะ” เชียนเอ๋อร์ตอบ

อวิ๋นจือชิวแปลกใจทันที “ข้าให้ประมุขตำหนักฉินอยู่เล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนนายท่านไม่ใช่เหรอ?”

เชียนเอ๋อร์ตอบว่า “หลังจากประมุขปราสาทไปได้ไม่นาน ผู้การใหญ่หยางก็ส่งคนมาเชิญประมุขตำหนักฉินไปหา แล้วนายท่านก็ไปฝึกตนเจ้าค่ะ”

“เจ้าไปดูซิว่าประมุขตำหนักฉินยังอยู่ที่จวนผู้การใหญ่รึเปล่า ถ้ายังอยู่ ก็เชิญนางมาพบข้าหน่อย ข้ามีธุระจะคุยกับนาง” อวิ๋นจือชิวพูดทิ้งไว้แล้วเดินเข้าตำหนักทันที

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง พบว่าวันนี้นางเหมือนจะมีปฏิกิริยาต่างไปจากปกติ

ประตูหินของห้องสมาธิฝึกตนถูกผลักออกโดยอวิ๋นจือชิว ไม่บอกไม่กล่าวสักคำ เห็นเพียงเหมียวอี้ที่กำลังนั่งกุมแสงสีแดงสองกลุ่มในฝ่ามือพลันลืมตา

เมื่อเห็นนางบุกเข้ามา เหมียวอี้ก็ค่อยๆ หยุดฝึกวิชา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “เป็นอะไรไป? โมโหอะไรมา?” เขาเองก็ดูออกว่าสีหน้าของอวิ๋นจือชิวดูไม่ดีเท่าไร


923

ถือกระบี่เล่นหมากล้อม

ทำสีหน้าดีๆ ได้ก็แปลกแล้ว! นางสะบัดกระโปรงยาว นั่งลงข้างกายเหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิ แล้วถามว่า “คิดหาทางพาน้องสาวเจ้าออกไปจากข้างกายมู่ฝานจวินได้มั้ย?”

“…” เหมียวอี้ตะลึงนิดหน่อย แล้วถามหยั่งเชิงอย่างค่อนข้างลำบากใจ “ไปแดนโพ้นสวรรค์มาครั้งนี้… เจ้าสามทำให้เจ้าไม่พอใจอีกแล้วเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวเอียงตัวทันที หนุนศีรษะไว้บนไหล่ของเขา ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เอาแต่โดนมู่ฝานจวินบีบจุดอ่อนแบบนี้ ข้าเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว”

เครื่องประดับเกะกะบนศีรษะนางจิ้มจนเหมียวอี้ไม่สบายหน้าและคอ เขาเอียงหน้าพลางถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ทำไมข้าจะไม่อยากทำล่ะ แต่มู่ฝานจวินเหมือนจะแน่ใจแล้วว่าข้าพานางไปไม่ได้ หากมีความเป็นไปได้แม้เพียงนิดเดียว มู่ฝานจวินคงคงไม่หละหลวมกับนางแบบนี้หรอก ครั้งก่อนที่อยู่แดนโพ้นสวรรค์ ข้าถึงขั้นเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะจับตัวนางไปเสียเลย มู่ฝานจวินนั่นไม่ธรรมดา เจ้าอย่าไปมองนะว่านางเป็นแค่ผู้หญิง ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามู่ฝานจวินยังเหลือแผนสำรองอะไรไว้อีก ข้ากลัวเจ้าสามจะติดร่างแหไปด้วย เลยไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ทำไมล่ะ มู่ฝานจวินกลั่นแกล้งเจ้าเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวลุกนั่งตัวตรง มองเขาแล้วพยักหน้าแรงๆ  “แค่กลั่นแกล้งซะที่ไหนล่ะ นางทำให้ข้าโมโหจนแทบทนไม่ไหว นางให้ข้าเป็นท่านทูตสายมะโรง”

“…” เหมียวอี้เบิกตาโพลงครู่หนึ่ง “นายท่านประมุขปราสาท นี่เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย? จริงหรือหลอก?”

“จริงสิ คาดว่าคงจะได้รับตำแหน่งเร็วๆ นี้”

“เหอะๆ! เถ้าแก่เนี้ย ถึงแม้พวกเราจะไม่สนใจตำแหน่งนี้ แต่เหมือนจะไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนะ! มีอะไรน่าโมโห?”

อวิ๋นจือชิวยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาเกยบนบ่าเขา บิดหูเขาอย่างยั่วโมโห แล้วเดาะลิ้นพูดว่า “เจ้ายังลิ้มลองรสชาติของประมุขปราสาทไม่ถึงอกถึงใจ ยังอยากจะลิ้มลองรสชาติของท่านทูตด้วยใช่มั้ยล่ะ?” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้… รสนิยมของท่านสามีก็ทำให้นางหน้าแดงนิดหน่อย ท่านสามีเหมือนจะมีรสนิยมแบบนี้ ชอบที่จะอาศัยฐานะความเป็นลูกน้องของตัวมาสยบผู้บังคับบัญชาอย่างนาง แล้วต้องทำในสถานที่ที่พิสูจน์ฐานะของนางด้วย พอนึกถึงภาพนั้นแล้วรู้สึกเสียหน้าจริงๆ

ตอนที่นางไม่พูดก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะกวาดมองนางตั้งแต่ศีรษะจดเท้าด้วยสายตาชั่วร้าย

“เชอะ! คิดไปถึงไหนแล้ว” อวิ๋นจือชิวเชิดใส่ แล้วผลักหน้าเขาออกไป จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วหมอบลงบนบ่าเขาอีก

เหมียวอี้ยื่นมือไปโอบเอวบางของนาง แล้วถามว่า “เป็นอะไรไป? ก็แค่เป็นท่านทูตเอง แค่ไปรับตำแหน่งสิ้นเรื่อง ข้าไม่อิจฉาหรอก ถ้าเจ้าแย่งตำแหน่งของมู่ฝานจวินได้ข้าก็ยิ่งดีใจ” เวลาผ่านไปนานขนาดนี้ ความรู้สึกหดหู่ยามสูญสิ้นอำนาจก็ผ่านไปแล้วเช่นกัน

“ไม่ใช่เรื่องนี้”

“แล้วเรื่องไหนล่ะ?”

“ข้าอยากจะซ้อมเจ้าสักยก ให้ข้าซ้อมเจ้าสักยกได้มั้ย?”

เหมียวอี้สีหน้าบึ้งตึงทันที รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ทำเรื่องแบบนี้ได้จริงๆ จึงเตือนว่า “อวิ๋นจือชิว มารดาเจ้าเถอะ เจ้าเป็นบ้ารึเปล่า ข้าไม่ได้ไปยั่วโมโหอะไรเข้าใช่มั้ย?”

นิ้วงามนิ้วหนึ่งจิ้มที่หน้าผากของท่านขุนนางเหมียว “ไม่มีมโนธรรม ตอนนี้รังเกียจที่ข้าเป็นคนบ้าซะแล้วเหรอ ตอนเปิดกระโปรงข้า ถอดกางเกงข้า ทำไมไม่รังเกียจที่ข้าเป็นคนบ้าบ้างล่ะ?”

เรื่องบางเรื่องแค่ทำก็พอแล้ว พูดออกมาแล้วน่าอาย เหมียวอี้ถามอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เจ้าเป็นฮูหยินของข้า ถ้าไม่ให้เปิดกระโปรงเจ้าแล้วจะให้เปิดกระโปรงใคร?”

“อย่ามาไม้นี้เลย! ลองไปถามเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ หรือไม่ก็ลองไปถามฝาแฝดคู่นั้นดูสิ? ใครจะไปรู้ว่าเจ้ายังมีผู้หญิงคนอื่นปิดบังข้าอีกรึเปล่า”

เหมียวอี้หน้ามืดหน้าดำทันที “ถ้าพูดเรื่องฝาแฝดอีก ข้าจะแตกคอกับเจ้าแล้วนะ!”

“ก็ได้ๆๆ ไม่พูดถึงพวกนางแล้ว ข้าจะจำไว้ เจ้าไม่ให้ข้าพูดเองนะ!” อวิ๋นจือชิวเงยหน้ามองเขา แล้วหมอบบนบ่าเขาพร้อมบ่นต่อไป “หนิวเอ้อร์ ข้ารู้ว่าเจ้ารักข้า เวลาข้าหาเรื่องโดยไร้เหตุผล เจ้าก็เลยไม่ถือสาข้า เจ้าไม่รู้หรอก ทุกครั้งหลังจากที่ข้าหาเรื่องแล้วเจ้ายอมข้า ในใจข้ารู้สึกดีมากนะ ต่อให้เป็นในฝันก็มีความสุข แต่ข้าก็กลัวมาก… หนิวเอ้อร์ จะมีวันไหนที่เจ้าจะเลิกชอบข้ารึเปล่า?”

“ไม่มีทาง!” มือของเหมียวอี้ไหลจากเอวลงไปที่บั้นท้าย

“จริงเหรอ?”

“จริงจนไม่รู้จะจริงยังไงแล้ว!”

“งั้นข้าก็จะลองดู!” อวิ๋นจือชิวบอกเขาก่อน เหมียวอี้ที่มือไม้กำลังซุกซนยังไม่ทันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร มือของผู้หญิงคนนี้ก็ย้ายจากแผ่นหลังขึ้นมาดึงมวยผมเหมียวอี้แล้ว ดึงจนเขาตกลงมาจากเตียง แล้วไม่พูดพร่ำทำเพลง ควงหมัดยกเท้าซ้อมเขาไปยกหนึ่ง

เหมียวอี้กำลังโดนซ้อมจนล้มลุกคลุกคลาน คำรามอย่างบ้าคลั่งว่า “นางผู้หญิงบ้า เจ้าบ้าไปแล้ว…”

ปั้งๆ! ตุ้บตั้บ! โครม…

อวิ๋นจือชิวเหมือนระบายความโกรธแค้นจริงๆ ออกแรงเพิ่มทั้งเท้าทั้งหมัด ซ้อมไปพลางด่าไปพลาง “ข้าให้เจ้าย่ำยีดอกไม้ ข้าให้เจ้าย่ำยีดอกไม้ริมทางไปทั่วเลย…”

“ฮูหยิน!” ประตูห้องสมาธิเปิดออก เชียนเอ๋อร์ที่พรวดพราดเข้ามาร้องอุทาน

อวิ๋นจือชิวเอียงหน้ามองแวบหนึ่ง แล้วเตะเหมียวอี้อีกครั้งก่อนจะหยุด

เหมียวอี้กระโดดลุกขึ้น แล้วจ่อหมัดไปที่หน้าของอวิ๋นจือชิว

อวิ๋นจือชิวไม่หนีไม่หลบ ยื่นใบหน้างามเข้ามารับทันที เป็นฝ่ายเสนอหน้าให้เขาชก

“เจ้า…” หมัดแทบจะลงบนหน้านาง แต่กลับหยุดค้างเสียดื้อๆ ท่านขุนนางเหมียวแยกเขี้ยวยิงฟันทำสีหน้าดุร้าย แล้วจู่ๆ หมัดก็เปลี่ยนเป็นยื่นนิ้ว ชี้นิ้วจ่อจมูกนาง “ไม่มีทางอยู่กันดีๆ ได้หรอก ข้าจะเลิกกับเจ้า!”

อวิ๋นจือชิวยิ้มยั่วเย้า แล้วจู่ๆ ก็เข้ามากอดจูบเขาอย่างแรงทีหนึ่ง เหมียวอี้ที่โดนจู่โจมผลักนางออก ยกมือเช็กตรงที่โดนนางจูบ ทำเหมือนขยะแขยงสุดๆ

อวิ๋นจือชิวที่เซไปข้างหลังไม่สนใจ กลับเป็นการกวาดล้างความหงุดหงิดก่อนหน้านี้ทิ้งไปเสียด้วยซ้ำ นางมองเขาอย่างออเซาะ ในแววตาเต็มไปด้วยความหวานปานน้ำผึ้ง อารมณ์เปลี่ยนเป็นกระปรี้กระเปร่าแล้ว นางหันตัวมองไปทางเชียนเอ๋อร์ที่เดินเข้ามา แล้วถามว่า “มีอะไร?”

เชียนเอ๋อร์มองทั้งสองด้วยสายตาสงสัยนิดหน่อย แล้วตอบว่า “ฮูหยิน เชิญประมุขตำหนักฉินมาแล้วค่ะ”

อวิ๋นจือชิวรีบไปช่วยจัดเสื้อของเหมียวอี้ให้เรียบร้อย ที่เพิ่งลงมือเมื่อครู่นี้จากไม่ได้ตบหน้าเขา แต่เขาก็ยังไม่รับไมตรี ตะคอกอย่างโมโหว่า “ไสหัวไป!”

อวิ๋นจือชิวหัวเราะคิกคัก จากนั้นก็เอียงศีรษะบอกใบ้ให้เชียนเอ๋อร์ไปช่วยเขาจัดเสื้อผ้า ส่วนนางก็จัดกระโปรงตัวเอง ตอนลงมือเมื่อครู่นี้ทำให้เสื้อผ้าไม่เป็นระเบียบ

หลังจากทั้งสองจัดแจงเสื้อผ้าเรียบร้อย อวิ๋นจือชิวก็ก้าวขึ้นมาคว้ามือเหมียวอี้ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “หนิวเอ้อร์ อย่าโมโหเลย แขกมาแล้ว ไปพบแขกด้วยกันเถอะ!”

“ไปให้พ้น! มีแต่ผีน่ะสิที่ไปกับเจ้า!” เหมียวอี้ยังไม่หายโมโห

“เอ๋!” อวิ๋นจือชิวเดาะลิ้น “ยังมาใส่อารมณ์อีกเหรอ อารมณ์แบบนี้สู้กับอารมณ์ตอนดึงกระโปรงข้าได้เลยนะ!”

เชียนเอ๋อร์รีบก้มหน้า แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เหมียวอี้แยกเขี้ยวยิงฟัน เกิดความรู้สึกเหมือนโดนทรมานจนยับเยิน อยากจะโผเข้าไปบีบคอผู้หญิงคนนี้ให้ตาย

“หนิวเอ้อร์ เจ้าอย่ากังวลไปเลย เอาอย่างนี้แล้วกัน เราสองคนมาเดิมพันกัน ถ้าข้าชนะแล้ว ต่อไปเจ้าก็เชื่อฟังข้ามากขึ้นหน่อย ถ้าเจ้าชนะแล้ว ต่อไปถ้าเจ้าจะทำอะไร ไม่ว่าจะถูกหรือผิดข้าก็จะตามใจเจ้า แบบนี้ดีมั้ย?” อวิ๋นจือชิวช้อนคางเขาอย่างท้าทาย

“เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าจริงเหรอ?” เหมียวอี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถามอย่างแค้นเคือง “เดิมพันอะไร?”

อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม แล้วบอกว่า “เดิมพันสิ่งที่เจ้าถนัดที่สุด เล่นหมากล้อม!” พูดจบก็สะบัดกระโปรง เดินสาวเท้าออกไป

“หึ…” เหมียวอี้ชี้เงาหลังนาง พร้อมแสยะยิ้มให้เชียนเอ๋อร์ เหมือนกำลังบอกว่า ไม่รู้จักเจียมตัวเลย

ขณะที่มองเหมียวอี้ตามออกไป เชียนเอ๋อร์ก็อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี

ในโถงหลัก ฉินเวยเวยกำลังนั่งรออยู่ด้านข้าง อวิ๋นจือชิวที่รีบเดินออกมาหวาดตามองแวบหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างแพรวพราว “น้องสาวมาแล้วเหรอ”

“พี่สาว!” ฉินเวยเวยรีบลุกขึ้นยืน

ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ เหมียวอี้ก็ตามออกมาแล้ว ดึงแขนอวิ๋นจือชิวพร้อมบอกว่า “อย่าหนีสิ! พูดมาให้ชัดเจน ที่เดิมพันเมื่อกี้นี้เจ้ารักษาคำพูดรึเปล่า?”

“รักษาคำพูดอยู่แล้ว!” อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองเขา พลางกล่าวอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาด

ฉินเวยเวยยังไม่รู้ชัดว่าทั้งสองพูดเรื่องอะไร เหมียวอี้ก็หันกลับไปตะโกนบอกเสวี่ยเอ๋อร์แล้ว “วางกระดานหมากล้อม!”

ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ก้าวเข้ามาจูงมือฉินเวยเวย พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มสนิทสนม “น้องสาวอยู่ที่นี่พอดีเลย มาเป็นพยานให้พอดี มานี่สิ นั่งลงดูด้วยกัน!”

พอวางกระดานหมากล้อม พวกเขาก็นั่งประจำที่ พอเจอกับการประลองหมากล้อม เหมียวอี้ก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน วางมาดสูงส่ง กล่าวอย่างลำพองใจว่า “อวิ๋นจือชิว เล่นเป็นรึเปล่า เล่นไม่เป็นก็ยอมแพ้ อีกประเดี๋ยวถ้าแพ้แล้วอย่ามาอ้างว่าเล่นไม่เป็นนะ”

อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้วเรียวงาม พร้อมพูดแดกดัน “เล่นหมากล้อมกับเจ้าน่ะ หลับตาเล่นก็ยังชนะเลย ข้าไม่อยากรังแกคนเล่นหมากล้อมแย่อย่างเจ้าเฉยๆ หรอก ให้เจ้าลงหมาก่อนยี่สิบตัวเลย!”

“หึหึ! ให้ข้าลงยี่สิบตัวเหรอ? ไม่รู้จักประเมินกำลังตัวเอง ช่างโอ้อวดนัก ต้องเดิมพันอย่างยุติธรรมหน่อยสิ อย่าแพ้แล้วเบี้ยวนะ”

“ใครเบี้ยวก็จอให้คนนั้นออกลูกมาไม่มีรูก้น!” อวิ๋นจือชิวพูดจบก็รู้สึกว่าพูดผิดไป ไม่ว่าจะด่าอย่างไรก็เหมือนด่าตัวเอง รีบหันข้างแล้วถ่มน้ำลายสามครั้ง

เหมียวอี้พูดเหน็บแนมทันที “ขนาดพูดยังพูดไม่คล่องเลย ยังจะมาเล่นหมากล้อมอีก!”

อวิ๋นจือชิวถลึงตาพูดว่า “อย่าเปลืองคำพูดเลย! ข้าให้เจ้าลงก่อน!”

เหมียวอี้เองก็ไม่เกรงใจ คนมันกำลังคันไม้คันมือ อยากจะทรมานอีกฝ่ายคืนบนกระดานหมากล้อม พอเขาตบหมากลงไปตัวหนึ่ง อวิ๋นจือชิวก็วางหมากตามทันที

ฉินเวยเวยที่อยู่ข้างๆ กลับอดไม่ได้ที่จะถามเสียงอ่อนปวกเปียก “พี่สาว ท่านเป็นหมากล้อมเป็นเหรอคะ?”

อวิ๋นจือชิววางหมากลงไป แล้วมองนางพลางยิ้มอย่างสนิทสนม ถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหมายลึกซึ้งว่า “เจ้าเดาดูสิ?”

ดวงตาฉินเวยเวยฉายแววหวาดระแวงทันที นางไม่กล้าเดา สายตาย้ายไปอยู่บนกระดานหมากล้อมเพื่อหาคำตอบ ยิ่งดูก็ยิ่งกังวลใจ ตอนนี้ประสานสองมือเข้าด้วยกันแล้ว

ผ่านไปไม่นานนัก เหมียวอี้ก็ระเบิดอารมณ์แล้ว เขาตบโต๊ะพลางด่าฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าคลั่ง “เจ้าเล่นหมากล้อมเป็นหรือเปล่า เจ้าลงแบบนี้…”

เสียงด่าพลันหยุดชะงัก ไม่น่าเชื่อว่าอวิ๋นจือชิวจะชักกระบี่วิเศษด้ามหนึ่งออกมา แล้วจ่อไปที่หน้าอกของเขาโดยตรง นางเตือนว่า “หนิวเอ้อร์ อย่างเจ้านี่เรียกว่าเป็นโรคอะไร? เจ้าต้องมากำหนดด้วยเหรอว่าข้าต้องลงหมากอย่างไร? คู่ต่อสู้บังคับคู่ต่อสู้ เจ้าเคยเห็นใครเขาลงหมากกันแบบนี้บ้าง? เจ้าจะลงหรือไม่ลง?”

คมกระบี่จ่อที่ผิวหนังตรงหน้าอกจนเป็นแผลแล้ว เหมียวอี้ที่กำลังเจ็บปวดได้สติขึ้นมาทันที พบว่าตัวเองเหมือนจะขาดเหตุผลจริงๆ เขาทำเสียงฮึดฮึดนิดหน่อย ผลักกระบี่ที่จ่อตรงหน้าอกออก แล้วลงหมากอีกตัวด้วยสีหน้าดำครึ้ม

อวิ๋นจือชิวเก็บกระบี่มาวางยันพื้น แล้วลงหมากตัวหนึ่งโดยไม่คิดอะไร

ผ่านไปครู่เดียว เหมียวอี้ก็เริ่มแหกปากอีกครั้ง “เจ้า…”

คำพูดค้างอีกแล้ว ดาบในมืออวิ๋นจือชิวกำลังจ่อที่พุงของเขา พร้อมกล่าวเสียงเรียบ “สำรวมนิสัยแย่ๆ ไว้หน่อย ข้าไม่ได้ทำผิดกฎ ไม่ได้เล่นลูกไม้อะไรด้วย เจ้าจะเดือดร้อนอะไร? ซื่อสัตย์หน่อย!” นั่งชี้กระบี่ลงข้างล่าง บอกใบ้ให้เขานั่งลงเล่นต่อ

เหมียวอี้เหมือนใบหน้าโดนตะคริวกิน เขานั่งลงอย่างช้าๆ หลังจากลงมากไปตัวหนึ่ง ก็เหลือบไปเห็นอวิ๋นจือชิวที่ใช้มือข้างหนึ่งลงหมากด้วยท่าทางสบายใจ ส่วนมืออีกข้างถือกระบี่แกว่งไปแกว่งมาไม่ยอมเก็บ ทำให้เขารู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย

ผ่านไปครู่เดียว เหมียวอี้ก็อยากจะพลิกกระดานอีก แต่ก็โดนแสงคมกระบี่แวบเข้ามาแทงบนข้อมือ แทงจนเลือดสดไหลออกมา โดนขัดขวางด้วยวิธีการแข็งกร้าวแล้ว

ใช้เวลาไม่นานเท่าไร ในการเล่นหมากล้อมครั้งนี้ ร่างกายท่อนบนของเหมียวอี้เต็มไปด้วยรอยแผลแล้ว โดนกระบี่ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นครั้งแรกที่เคยเห็นคนถือกระบี่เล่นหมากล้อม มือข้างหนึ่งลงหมาก ส่วนมืออีกข้างถือกระบี่จิ้มเตือนบนตัวเขา

ไม่ใช่แค่บนกระดานหมากล้อม แม้แต่บนร่างกายก็ยับเยินจนทนมองไม่ไหว ขนาดเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ยังทำใจไม่ได้ที่จะมองตรงๆ

อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้มอยู่เสมอ ทำให้เหมียวอี้เริ่มเหงื่อซึมเต็มศีรษะ ส่วนฉินเวยเวยที่ดูอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกพะว้าพะวงเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม คอยแอบมองอวิ๋นจือชิวอยู่เป็นระยะ ทำท่าทางเหมือนกินปูนร้อนท้อง



924

รัวดาบฟันเชือก

ไม่ต้องพูดอะไรมาก หลังจากเล่นกันได้รอบหนึ่ง ท่านขุนนางเหมียวมีความพ่ายแพ้ยับเยินเป็นจุดจบ เขาตะลึงงันอยู่อย่างนั้น มองดูกระดานหมากล้อมที่ตัวเองเล่นแพ้ย่อยยับด้วยแววตาเหม่อลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

อวิ๋นจือชิวยกน้ำชาดื่มอย่างสบายใจ บางครั้งก็เหลือบมองฉินเวยเวยที่กำลังจ้องมองเหม่อกระดานหมากล้อม

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์แอบสบตากันแวบหนึ่ง รู้ว่านายท่านแพ้อย่างย่อยยับเกินไป กลัวว่าตอนแรกเขาจะยอมรับความจริงได้ยาก

หลังจากผ่านไปนานสองนาน กระบี่วิเศษในมืออวิ๋นจือชิวก็ยื่นออกมาอีก นางเขี่ยกระบี่ไปมาอยู่บนกระดาน แล้วเคาะเสียงดังก๊อกๆ ทำลายความเงียบงัน “หนิวเอ้อร์ ยังจะเล่นอยู่อีกมั้ย? ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าลงก่อนยี่สิบตัว แต่เจ้าก็ไม่เชื่อ ถ้าเจ้ารู้สึกไม่ยอม ครั้งนี้ข้าจะให้เจ้าลงก่อนยี่สิบตัว เรามาเล่นกันอีกสักรอบเถอะ?”

เหมียวอี้ได้สติกลับมา เงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากอึกหนึ่ง ยังจะเล่นอะไรอีกล่ะ อีกฝ่ายมีแต่จะได้เปรียบทั้งนั้น โจมตีจนตนไร้กำลังโต้ตอบ ถ้าเล่นต่อไปก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เขาจึงเจียดรอยยิ้มยอดแย่ออกมา พร้อมถามว่า “ฮูหยิน เจ้าไปเรียนมาตั้งแต่เมื่อไร?”

สำหรับคำถามนี้ ฉินเวยเวยก็สนใจเช่นเดียวกัน นางมองตามอย่างอกสั่นขวัญแขวนนิดหน่อย

“ตอนสามขวบข้าก็นอนฟุบหลับบนกระดานหมากล้อมแล้ว เจ้าคิดว่าข้าเรียนมาตั้งแต่เมื่อไรล่ะ?” อวิ๋นจือชิวดูถูก

ฉินเวยเวยกัดริมฝีปากทันที ส่วนเหมียวอี้ก็เบิกตาโพลง ลุกพรวดขึ้นแล้วถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าบอกว่าเล่นไม่เป็นไม่ใช่เหรอ?”

อวิ๋นจือชิงพ่นเสียงทางจมูก “คนเล่นหมากล้อมแย่อย่างเจ้าน่ะ ถ้าสุ่มเลือกคนข้างกายเจ้ามาเล่นด้วยสักคน พวกเขาก็ชนะเจ้าหมดนั่นแหละ ข้าว่าคนอื่นคงออมมือให้เจ้าเฉยๆ หรอก ข้าเองก็ไม่อยากทำให้ผู้ชายอย่างเจ้าเสียหน้า ถึงได้แกล้งเล่นไม่เป็น เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องจริงเหรอ!”

คำพูดนี้เหมือนตบหน้ากันแรงเกินไปแล้ว เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน “เจ้าชนะก็ชนะไปสิ ข้ายอมแพ้ ข้ายอมรับว่าฝีมือไม่สูงเท่าเจ้า นึกไม่ถึงด้วยว่าเจ้าจะฝีมือสูงส่งขนาดนี้ เป็นข้าเองที่ดูถูกเจ้า แต่ที่เจ้าบอกว่าสุ่มเลือกคนข้างกายข้ามาเล่นด้วยก็ชนะข้าหมด เจ้าดูถูกข้าเกินไปรึเปล่า ถ้าเจ้าไม่เชื่อ…”

ปั้ง! อวิ๋นจือชิวพลันตบโต๊ะยืนขึ้น สะเทือนจนถ้วยน้ำชาและตัวหมากบนกระดานกระเด็นกระดอน พลันถามอย่างเดือดดาลมากว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าจะหลงตัวเองไปถึงเมื่อไร?”

ปั้ง! นางหันตัวมาเตะเก้าอี้ข้างหลังจนกระเด็น แล้วชี้กระบี่ไปที่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ “พวกเจ้าสองคน! รู้อยู่แจ่มแจ้งว่านายท่านมีฝีมือการเล่นหมากล้อมยอดแย่ รู้อยู่แก่ใจว่านายท่านเล่นหมากล้อมได้แย่สุดๆ แต่กลับตามใจเขาจนเคยตัว ในฐานะที่เป็นหญิงรับใช้ข้างกายนายท่าน ในฐานะที่เป็นคนร่วมเคียงหมอน แต่ไม่กล้าแม้แต่จะอธิบายความจริงกับนายท่านเหรอ พวกเจ้าคิดว่าตัวเองทำแบบนี้แล้วจะถือว่าจงรักภักดีหรือไง? พวกเจ้าดูสิว่าตอนนี้เขาโดนตามใจจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว คำพูดขัดใจนิดหน่อยก็ทนฟังไม่ได้ แค่เล่นหมากล้อมยังไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ถ้าเวลานานไป แล้วคนข้างกายเขาเป็นแบบพวกเจ้ากันหมด เขาก็จะไม่ได้ยินแม้แต่ความจริง สักวันหนึ่งเขาจะต้องตายเพราะพวกเจ้าแน่ พวกเจ้า… มีเจตนาชั่วร้าย!”

คำพูดนี้แทงใจดำจริงๆ คำพูดนี้รุนแรงเกินไปแล้ว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์หน้าซีดทันที รีบคุกเข่าลงพร้อมกัน แล้วก้มหน้าไม่กล้าเงยขึ้นมา

ฉินเวยเวยที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ลุกขึ้นเช่นกัน สีหน้านางแย่มาก เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไรเหมือนกัน

ตอนนี้เหมียวอี้สีหน้าแย่สุดๆ ตะคอกถามว่า “เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าตอบมาอย่างซื่อสัตย์ ตอนที่พวกเจ้าเล่นหมากล้อมกับข้า พวกเจ้าได้ออมมือให้ข้ารึเปล่า?”

โดนอวิ๋นจือชิวเปิดโปงแล้ว เขายังยอมรับความจริงข้อนี้ได้ยาก เขาคิดว่าตัวเองมีฝีมือหมากล้อมที่ล้ำเลิศมาตลอด เล่นแล้วไม่ค่อยแพ้

หญิงรับใช้ทั้งสองยิ้มก้มหน้าต่ำลง ไม่กล้าตอบอะไร เหมียวอี้เองก็ไม่ใช่คนโง่ การที่พวกนางสองคนไม่ตอบ ก็เท่ากับเป็นการแสดงท่าทีอย่างหนึ่งแล้ว

เหมียวอี้พลันหันไปมองฉินเวยเวย แล้วถามเสียงต่ำว่า “เวยเวย เจ้าตอบความจริงมา ไม่ต้องกลัวฮูหยิน ตอนเล่นหมากล้อมเจ้าได้ออมมือให้ข้ารึเปล่า?”

ฉินเวยเวยฉุกละหุกมาก ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร

อวิ๋นจือชิวเดินมาข้างหลังฉินเวยเวย แล้ววางมือข้างหนึ่งบนบ่า รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นเล็กน้อย นางจึงแสยะสยิ้มแล้วบอกว่า “น้องสาวของข้าคนนี้ไม่ได้ฉาบฉวยขนาดนั้นหรอก ท่านสามีคะ อีกฝ่ายไม่ใช่แค่คิดหาทางเล่นให้เจ้าชนะนะ ทั้งยังสิ้นเปลืองความคิดเพื่อหาทางเล่นให้เจ้าชนะอย่างมีความสุขด้วย”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ฉินเวยเวยก็รู้สึกไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนทันที หันหน้าหลบคิดจะหนีออกไป แต่กลับถูกอวิ๋นจือชิวร่ายอิทธิฤทธิ์กดไว้ ทำให้นางขยับไม่ได้ วรยุทธ์ของทั้งสองต่างกันเกินไป

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของฉินเวยเวย เหมียวอี้ก็แยกเขี้ยวยิงฟัน ถามเน้นๆ ว่า “เพราะอะไร?”

“เพราะอะไรน่ะเหรอ?” อวิ๋นจือชิวหัวเราะหึหึทันที “หนิวเอ้อร์ ความฉลาดทางอารมณ์ของเจ้าตกต่ำขนาดนี้เชียวเหรอ ไม่เข้าใจความคิดผู้หญิงเลยสักนิด เจ้าคิดว่าเพราะอะไรล่ะ? ให้เจ้าชนะอย่างมีความสุข พอเจ้าเบิกบานใจแล้ว ต่อไปพอเจ้าอยากเล่นหมากล้อม เจ้าก็จะคิดถึงแต่นางไง เจ้าเป็นผู้บังคับบัญชานาง ถ้าเจ้าไม่เรียกหานาง นางจะเข้าใกล้เจ้าได้อย่างไรล่ะ? ถ้าไม่มีเหตุผล แม้แต่จะเข้ามาในตำหนักยังยากเลย! อีกฝ่ายบอกใบ้ความในใจมานานแล้ว ชอบเจ้ามาตลอด เพียงแต่คนปัญญาอ่อนอย่างเจ้าไม่เข้าใจความรัก นางเป็นผู้หญิงจึงเขินอายที่จะเอ่ยบอก ก็เลยกลายเป็นบุปผาร่วงหล่นเพราะมีใจ แต่สายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก[1] เลยเสียเวลาแบบนี้มาหลายปี”

พูดจบก็หันมาถามฉินเวยเวยอีก “น้องสาว เจ้าว่าข้าพูดถูกมั้ย?”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่นั่งคุกเข่าแอบสบตากันแวบหนึ่ง ที่จริงทั้งสองก็สังเกตเห็นนานแล้วเช่นกัน เวลาผู้หญิงมองผู้หญิงด้วยกันมักจะเข้าใจจิตใจกันมากกว่า

เหมียวอี้ที่กำลังจะประสาทเสีย พอได้ยินแบบนี้ก็อึ้งไปเลย เขาเงียบลงทันที มองไปที่ฉินเวยเวยด้วยสีหน้างุนงง

โดนเปิดโปงหมดเปลือกขนาดนี้ ให้คนรู้ว่าตัวเองแอบคิดถึงผู้ชายของคนอื่นมาตลอดขนาดนี้ จะให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผ่านโลกมาน้อยทนความรู้สึกได้อย่างไร ฉินเวยเวยทำสีหน้าอับอายมาก ขยับร่างกายอยากจะหนี แต่กลับถูกอวิ๋นจือชิวกดให้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม อวิ๋นจือชิวพูดกลั้วหัวเราะว่า “น้องสาว เจ้าโง่นี่ไม่เข้าใจเรื่องรัก ในเมื่อพูดเปิดเผยแล้ว วันนี้ไม่สู้สารภาพออกมาให้หมดเลยดีกว่า ควรจะทำอย่างไรก็ตัดสินใจให้เด็ดขาด เจ้าจะได้ไม่ต้องเอาแต่ทรมานตัวเอง เรื่องแบบนี้ฝ่ายหญิงมัวเสียเวลาไม่ได้หรอก”

“ข้ายอมรับผิดค่ะ ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว!” ฉินเวยเวยกล่าวเสียงสั่น

“ผิดอะไรกันล่ะ?” อวิ๋นจือชิวถามเหมือนแปลกใจ แล้วกล่าวอย่างร่าเริงว่า “ชอบก็ชอบสิ วันนี้ข้าก็จะพูดให้ชัดเจนเหมือนกัน ข้าดูออกตั้งนานแล้วว่าเจ้าชอบเจ้าซื่อบื้อนี่ เจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงนับเจ้าเป็นน้องสาวล่ะ คิดว่าทำไมข้าถึงให้เคล็ดวิชาฝึกตนกับเจ้า ทำไมข้าถึงบอกเจ้ามาตลอดว่าต้องการให้ช่วยหาอนุภรรยาให้เจ้าซื่อบื้อนี่ พี่สาวจะบอกให้เจ้าฟังนะ พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังไม่เข้าใจเจตนาของข้าอีกเหรอ? พี่สาวยอมรับเจ้าแล้ว รอให้เจ้าตอบตกลงมาตลอด ขอแค่เจ้าบอกสักคำ แค่ตอบตกลงสักคำ ข้าก็จะช่วยจัดการให้เจ้าเอง แต่นิสัยเจ้าเป็นคนเก็บตัวเกินไป ไม่ยอมเอ่ยปากเสียที เจ้าไม่รีบแต่ข้ารีบ วันนี้ไม่ว่าใครก็ห้ามปิดบัง เจ้าตอบพี่สาวมาตรงๆ เจ้าเต็มใจจะแต่งงานกับเจ้าซื่อบื้อนี่มั้ย? ถ้าเต็มใจแต่งข้าก็จะช่วยเจ้าเตรียมการทันที เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรทั้งนั้น แค่รอแต่งงานเข้าบ้านมาก็พอ!”

อับอาย! ไม่รู้สึกอะไรนอกจากอับอาย! ฉินเวยเวยหน้าแดงหัวใจเต้นแรง กัดริมฝีปากแน่น ถามว่าเต็มใจหรือไม่เต็มใจ แล้วจะให้นางพูดออกมาได้อย่างไรล่ะ?

เหมียวอี้อ้าปากค้างเล็กน้อย ได้แต่ยืนเอ๋ออยู่อย่างนั้น

อวิ๋นจือชิวเร่งให้ฉินเวยเวยแสดงท่าทีไม่หยุด แต่ฉินเวยเวยยากที่จะเอ่ยปาก สุดท้ายอวิ๋นจือชิวก็พูดตัดบทว่า “น้องสาว ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าจะถือว่าเจ้าตอบตกลงแล้วนะ”

จะหนีก็หนีไม่ได้ จะหลบก็หลบไม่ได้ ฉินเวยเวยแทบจะสติแตกแล้ว นางเหลือบมองเหมียวอี้ที่หน้าอกเต็มไปด้วยรอยเลือดแวบหนึ่ง สุดท้ายก็พึมพำเบาๆ ว่า “เกรงว่านายท่านจะไม่ชอบข้า…”

เรียบร้อย! แบบนี้นับว่าตอบตกลงแล้ว! อวิ๋นจือชิวมองไปที่เหมียวอี้ทันที “หนิวเอ้อร์ ผู้หญิงสวยตัวเป็นๆ ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว เจ้าก็แค่พยักหน้านะ!”

“เอ่อ… คือว่า…” เหมียวอี้วุ่นวายใจจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะตอบตกลงหรือไม่ตอบตกลงดี

อวิ๋นจือชิวโมโหทันที “ผู้หญิงเขาพูดจาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า?”

จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกเหมือนใกล้จะร้องไห้เพราะโดนกดดัน ถ้าจะให้เขาตอบตกลงตรงๆ เขาก็พูดไม่ออกอยู่ดี ตอนนี้งงนิดหน่อย ยังไม่เข้าใจชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร ได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “ต่อให้ข้าตอบตกลงเรื่องนี้ แต่หยางชิ่งก็ไม่ยอมอยู่ดี!”

“น้องสาว! เขาพูดแบบนี้แปลว่าตอบตกลงแล้วเหมือนกัน!” อวิ๋นจือชิวตัดสินใจเรื่องนี้เองเสียเลย เรียกได้ว่ารัวดาบฟันเชือก

จากนั้นก็ควงแขนฉินเวยเวยเดินไปจากตรงนั้น เดินเข้าไปทางตำหนัก จู่ๆ ก็ยกกระโปรงขึ้นตอนที่เดินผ่านเหมียวอี้ เหยียบเท้าเหมียวอี้แรงๆ หนึ่งที ไม่ปรานีเลยจริงๆ นางกำลังรู้สึกแค้นในใจเหมือนกัน ไม่มีผู้หญิงคนไหนยินดีทำเรื่องแบบนี้หรอก ถ้าไม่ไประบายความโมโหกับผู้ชาย แล้วจะให้ไประบายกับใครล่ะ?

“อ้า…” เหมียวอี้ร้องอย่างเจ็บปวด พลางเอามือกุมเท้ากระโดด

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ลุกพรวดขึ้นมาอย่างอกสั่นขวัญแขวน รีบเข้ามาประคองเหมียวอี้ไปนั่งข้างๆ เหมียวอี้ยื่นมือไปทางซ้ายและขวาเพื่อคว้าแขนหญิงรับใช้ทั้งสองเอาไว้ “พวกเจ้าตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์เสียดีๆ ห้ามหลอกข้า ข้าเล่นหมากล้อมได้แย่จริงๆ เหรอ?”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ลำบากใจมาก หลังจากสบตากันแวบหนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าพร้อมกันโดยไม่พูดอะไร

เหมียวอี้อ้าปากค้าง…

ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงสองคนนี้ไปคุยอะไรกันเงียบๆ ในห้อง สรุปคือตอนที่ออกมาอวิ๋นจือชิวทำสีหน้าร่าเริง ส่วนฉินเวยเวยก็หน้าแดงเป็นผลไม้สุก เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้ามองเหมียวอี้เลย

เหมียวอี้อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ผู้หญิงสองคนนี้ไม่สนใจเขาเลย เดินออกไปด้วยกันแล้ว เดินออกไปจากตำหนักพร้อมกัน เหมียวอี้เดินตามไปข้างนอกจนถึงหอสังเกตการณ์ พอยืนมองจากตรงนั้น ก็พบว่าพวกนางกำลังไปที่จวนผู้การใหญ่ด้วยกัน ทำให้เขาถอนหายใจยาวแล้วพึมพำว่า “ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้ว เดี๋ยวต่อไปหยางชิ่งจะต้องมาเอาเรื่องข้าแน่ๆ!”

สถานการณ์ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ฉินเวยเวยมีดีทั้งหน้าตา มีดีทั้งฐานะตำแหน่ง ได้เป็นประมุขตำหนักตั้งแต่อายุเท่านี้ ถือว่าไม่ต้องกังวลเรื่องแต่งงานเลย ต่อให้เป็นแค่ลูกสาวบุญธรรม แต่หยางชิ่งก็ไม่มีทางยอมให้ฉินเวยเวยไปเป็นอนุภรรยาของใครแน่นอน ไม่มีทางเลยสักนิด

เขาไม่สนใจแล้วเหมือนกัน ไม่มีหน้าจะไปแทรกแซงเรื่องนี้ ถึงอย่างไรก็จัดการไม่ไหวแน่ ปล่อยให้อวิ๋นจือชิวไปโดนปฏิเสธเองแล้วกัน เพียงแต่ในภายหลังถ้าเจอหน้าหยางชิ่ง ทุกคนก็จะอึดอัดใส่กัน แบบนี้จะไม่เป็นการกดดันให้หยางชิ่งเอาใจออกห่างหรอกหรือ ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงบ้าคนนี้คิดอะไรของนาง ไม่น่าเชื่อว่าจะหาอนุภรรยาให้สามีของตัวเอง แปลกประหลาดจริงๆ!

ในจวนผู้การใหญ่ เมื่อผู้การใหญ่หยางเห็นประมุขปราสาทมาเยือนด้วยตัวเอง เขาก็ออกมาคำนับด้วยความเคารพ แต่ก็สังเกตเห็นว่าลูกสาวตัวเองมีท่าทีแปลกไป

ฉินเวยเวยจะสะดวกใจอยู่ตรงนี้ต่อได้อย่างไร ขอตัวลาทันที หลบเข้าไปอยู่ในห้องของตัวเองแล้ว

ในโถงหลัก หลังจากอวิ๋นจือชิวเปิดเผยจุดประสงค์ที่มาตรงๆ หยางชิ่งก็หน้าเขียวครึ้มทันที ชิงเหมย ชิงจวี๋ที่ยกน้ำชามาให้ก็ขมวดคิ้วเช่นกัน

หยางชิ่งที่เม้มริมฝีปากแน่นและฟังจนจบอย่างอดทน ตอนนี้พยายามนั่งสงบจิตใจตัวเอง ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ประมุขปราสาท! หยางคนนี้ไร้ความสามารถ แต่ก็ไม่อาจจะยอมให้ลูกสาวตัวเองไปเป็นอนุภรรยาของใคร ต่อให้ฆ่าหยางชิ่งให้ตาย หยางชิ่งก็แน่วแน่ไม่ตอบตกลงอยู่ดี!”

อวิ๋นจือชิวจึงยิ้มพร้อมบอกว่า “ผู้การหยาง ประมุขตำหนักฉินก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ไม่ลองถามความคิดเห็นนางก่อนเหรอ?”

“นางเป็นผู้หญิงที่อ่อนต่อโลก โดนความรู้สึกระหว่างชายหญิงล่อลวงได้ง่ายมาก ไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ด้วยสติปัญญาได้ หากบิดาอย่างข้าปล่อยไป หากตามใจนาง ก็เท่ากับข้าไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง!” หยางชิ่งกุมหมัดคารวะ “ประมุขปราสาท! ได้โปรดไว้หน้าหยางชิ่งด้วย อย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย!”


925

มิอาจฝ่าฝืนอำนาจ

ในเมื่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว อวิ๋นจือชิวก็ไม่ฝืนใจเช่นกัน นางลุกขึ้นแล้วบอกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่รบกวนแล้ว แต่หวังว่าผู้การหยางจะเข้าใจนะ ว่าถ้าฉินเวยเวยแต่งงานเข้าบ้านข้า ข้าก็จะไม่ปฏิบัติต่อนางอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน และไม่ใช้ความเป็นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อยด้วย!”

หยางชิ่งเอียงหน้ากุมหมัดคารวะ ไม่พูดอะไรมากอีก ส่งแขก!

แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แต่นี่ก็คือสิ่งที่อวิ๋นจือชิวคาดไว้แล้วเช่นกัน อวิ๋นจือชิวหัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้าบอกว่า “ผู้การหยางทำงานต่อไปเถอะ ไม่ต้องส่งข้า!”

ธรรมเนียมมารยาทที่ควรมีก็ยังต้องมี หยางชิ่งเยือกเย็นสุขุมอยู่ตลอด แยกยะความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเดินตามออกมาส่งแขกถึงข้างนอกด้วยตัวเอง

หลังจากมองคล้อยหลังอวิ๋นจือชิวกลับเข้าไปในตำหนัก หยางชิ่งก็ยืนเงียบอยู่ที่เดิม ชิงเหมย ชิงจวี๋เดินมายืนอยู่ทางซ้ายและขวา และถามอย่างค่อนข้างกังวลว่า “นายท่านเจ้าคะ!”

หยางชิ่งพลันหัวตัวมา แล้วเดินมายังลานบ้านที่เป็นที่พักของฉินเวยเวย ประตูห้องของฉินเวยเวยปิดสนิท หยางชิ่งยกมือเคาะประตู “เวยเวย สะดวกให้พ่อเข้าไปได้รึเปล่า?”

ฉินเวยเวยที่อยู่ในห้องตอบเสียงอ่อนปวกเปียก “ท่านพ่อ เข้ามาเถอะค่ะ!”

หยางชิ่งผลักประตูเข้ามา กวาดมองในห้องด้วยแววตาจริงจัง แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวฉินเวยเวยที่นั่งอยู่ข้างเตียง ฉินเวยเวยก้มหน้าพลางยืนขึ้น

เมื่อเดินมาถึงตรงหน้านาง หยางชิ่งก็มองสอบสวนพักหนึ่ง แล้วกล่าวถามอย่างเนิบช้า “ข้าว่าประมุขปราสาทก็คงไม่กล่าวลอยๆ โดยไร้จุดหมายหรอก เจ้าคงจะตอบตกลงไปแล้ว ใช่มั้ย?”

ฉินเวยเวยกัดริมฝีปากเงียบๆ ครู่เดียว แล้วสุดท้ายก็พยักหน้า

หยางชิ่งพยายามเอียงหน้ามองไปด้านข้าง สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พยายามข่มอารมณ์ของตัวเองให้สงบลง พยายามอย่างมากเพื่อไม่ให้ตัวเองบุ่มบ่าม แล้วกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “เวยเวย! ครอบครัวเราถ้าเทียบกับข้างบนแม้จะมีไม่พอ แต่เทียบกับข้างล่างยังมีเหลือเฟือ ยังไม่ตกต่ำถึงขั้นแต่งงานไปเป็นอนุภรรยาของคนอื่น เรื่องนี้เจ้าเลอะเลือนแล้ว! แน่นอน เจ้าไม่เคยผ่านเรื่องหญิงชายมาก่อน เลี่ยงไม่ได้ที่จะบุ่มบ่ามทำตามอารมณ์ ผู้หญิงทุกคนล้วนมีช่วงที่โง่เขลาแบบนี้ทั้งนั้น พ่อไม่โทษเจ้าหรอก เรื่องนี้พ่อช่วยปฏิเสธให้เจ้าแล้ว เจ้าไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ แค่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อไปควรจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น แต่พยายามอย่าเข้าไปที่ตำหนักหลังบ่อยๆ อย่าให้มีคำพูดเหลวไหลเพราะทำตัวไม่ชัดเจนอีก”

เมื่อฟังเขาพูดจบ แววตาที่กังวลของฉินเวยเวยก็ค่อยๆ คลายลง แล้วถามเสียงต่ำว่า “ท่านพ่อ ท่านให้ข้าตัดสินใจเองสักครั้งไม่ได้หรือคะ?”

หยางชิ่งพลันชี้ไปที่ด้านนอกประตู แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ในโลกนี้มีผู้ชายตั้งเยอะแยะ ด้วยภูมิหลังอย่างเจ้าไม่ต้องกังวลเลยว่าจะหาผู้ชายประวัติดีๆ ไม่ได้ ทำไมจะต้องดึงดันไปเป็นอนุภรรยาของสามีคนอื่น?”

ฉินเวยเวยเงยหน้า รวบรวมความกล้าพูดว่า “ผู้ชายประวัติดีๆ พวกนั้น ข้าไม่ชอบค่ะ ข้าเองก็เคยคิดจะตัดใจเหมือนกัน แต่ในใจข้าปล่อยเขาไปไม่ได้จริง ท่านแนะนำผู้ชายให้ข้ารู้จักเยอะขนาดนั้น แต่ข้าไม่ถูกใจเลยสักคนเดียว! ท่านพ่อ! ชีวิตการแต่งงานของข้า ท่านให้ข้าตัดสินใจเองได้มั้ยคะ? ให้ข้าทำตามสิ่งที่ตัวเองเลือกสักครั้งได้มั้ย? ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ลูกสาวคนนี้ยินดีจะรับผลที่ตามมาทุกอย่างเอง ไม่นึกเสียใจทีหลังแน่นอน!”

เพียะ! หยางชิ่งลงมือแบบปุบปับ ตบหน้าฉินเวยเวยหนึ่งฉาดจนเกิดเสียงดังฟังชัด เป็นเพราะควบคุมไฟโกรธของตัวเองไม่ไหวแล้วจริงๆ ตบแรงจนให้ฉินเวยเวยล้มลงบนเตียง

“นายท่าน!” ชิงเหมยร้องตกใจเสียงดัง รีบเข้ามาดึงมือหยางชิ่ง

ส่วนชิงจวี๋ก็รีบเข้าไปประคองฉินเวยเวย แล้วหันกลับมามองหยางชิ่งอย่างค่อนข้างตกใจ อยู่กันมาหลายปีขนาดนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นหยางชิ่งลงมือกับฉินเวยเวย

“ไม่นึกเสียใจทีหลังแน่นอนเหรอ? ถ้ารอให้นึกเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว!” หยางชิ่งสะบัดแขนออกจากชิงเหมย แล้วชี้หน้าตะคอกฉินเวยเวยอย่างควบคุมความโกรธไม่อยู่ “น้ำเข้าสมองเจ้ารึไง? ข้าอยากจะแหวกศีรษะเจ้าออกมาดูจริงๆ ว่าเจ้ายังมีสมองอยู่บ้างมั้ย? เจ้าเคยเห็นภรรยาที่ไหนมาหาอนุภรรยาให้สามีตัวเองก่อนบ้างมั้ย? สาเหตุเบื้องหลังเดาได้ไม่ยากหรอก ชัดเจนว่าทางนั้นอยากจะใช้เจ้ามาควบคุมข้า ถ้าบีบเจ้าไว้ได้แล้ว ก็ถือว่าบีบข้าไว้ได้เจ็ดส่วน เจ้าดูไม่ออกสักนิดเลยเหรอ? อีกฝ่ายกำลังใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของเจ้า!”

ฉินเวยเวยเอามือลูบหน้าพลางยืนขึ้น แล้วกล่าวด้วยน้ำตาไหลพราก “ข้ามันไม่มีสมอง ข้าเองก็อยากจะฉลาดมีความสามารถเหมือนท่านพ่อ รู้ไหมว่าข้าอยากให้ตัวเองเป็นลูกสาวแท้ๆ ของท่านพ่อมากขนาดไหน ถ้าได้รับความฉลาดรอบรู้มาจากท่านบ้างสักนิด คงไม่ต้องให้ท่านวางแผนจัดเตรียมให้ข้าทุกอย่างแบบนี้หรอก ข้ารู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์เหมือนขยะ ช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย ท่านปูทางไว้ให้ข้าเดินหมดแล้ว อยู่บนเส้นทางฝึกตนมาเนิ่นนาน หลายปีขนาดนี้แล้ว ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ มีแค่ครั้งนี้ ที่ข้ารู้ซึ้งว่าตัวเองอยากทำอะไร รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร กว่าข้าจะตัดสินใจแบบนี้ได้ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน ท่านพ่อ ท่านช่วยให้ข้าสมหวังสักครั้งไม่ได้หรือคะ?”

ชิงเหมย ชิงจวี๋รีบมองไปทางหยางชิ่ง ทั้งสองค่อนข้างเข้าใจเขา

เป็นอย่างที่คาดไว้ ประโยค ‘รู้ไหมว่าข้าอยากให้ตัวเองเป็นลูกสาวแท้ๆ ของพ่อมากขนาดไหน’ สะเทือนอารมณ์หยางชิ่งแล้ว เห็นเพียงหยางชิ่งตัวสั่นเล็กน้อย ลมหายใจค่อนข้างถี่กระชั้น แทบจะมีเลือดไหลออกจากดวงตา สองมือกำหมัดแน่น เป็นการถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงที่แท้จริง

พูดถึงขั้นนี้แล้ว ชิงเหมยกับชิงจวี๋นึกว่าหยางชิ่งจะยอมตกลง แต่ใครจะคิด หยางชิ่งกลับชักดาบเล่มหนึ่งจากแหวนเก็บสมบัติ โยนดาบไว้บนพื้น แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ก่อนหน้านี้ข้าบอกประมุขปราสาทไปแล้ว ว่าต่อให้ฆ่าข้าให้ตาย ข้าก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี ข้าจะพูดแบบนี้กับเจ้าเหมือนกัน เว้นเสียแต่ว่าจะฆ่าข้าให้ตาย ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่อนุญาตเด็ดขาด ต่อให้เจ้าจะเกลียดข้าไปทั้งชีวิตก็ตาม!” พูดจบก็เตะดาบไปที่เท้าของฉินเวยเวย แล้วหันตัวเดินออกไปอย่างแน่วแน่ นี่คือคำตอบสุดท้ายของเขาแล้ว

ฉินเวยเวยทรุดนั่งลงบนเตียง ไหล่งามสั่นเทิ้ม เสียงสะอื้นดังไม่หยุด น้ำตาไหลดุจสายฝน…

“อะไรนะ? ฉินเวยเวยกลับอาณาเขตของตัวเองไปแล้วเหรอ?”

ในตำหนัก หลังจากเสวี่ยเอ๋อร์ที่ถูกส่งไปเฝ้าดูกลับมารายงาน อวิ๋นจือชิวก็ถามอย่างประหลาดใจ ดวงตางามวูบไหว เหมือนจะเป็นสิ่งที่นางคาดไว้แล้วเช่นกัน ไม่ถือว่าตกใจอะไรมาก

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” เสวี่ยเอ๋อร์ตอบ “เหมือนจะร้องไห้ด้วย!”

เหมียวอี้ที่ตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ พูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้าบอกแล้วไง หยางชิ่งไม่มีทางตอบตกลงหรอก ประมุขปราสาทอวิ๋น ข้าว่าเจ้าขาดทุนแล้วล่ะ พอผ่านเรื่องนี้แล้ว ในใจหยางชิ่งจะต้องขุ่นเคืองแน่นอน!”

“ประมุขปราสาทผู้นี้จะทำอะไร ต้องให้ที่ปรึกษาอย่างเจ้ามาสอนด้วยเหรอ?” อวิ๋นจือชิวถาม

“เจ้า…” เหมียวอี้เดือดทันที ไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตำแหน่งมาข่มตน เขาเพิ่งจะยื่นมือเข้าไป แต่ก็โดนอวิ๋นจือชิวปัดออก “อะไรของเจ้า? ตอนเล่นหมากล้อมก็บอกแล้วนะ ถ้าเจ้าแพ้แล้วก็ทำตัวดีๆ หน่อย ยินดีเดิมพันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้!”

“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างไปชั่วขณะ เพราะแพ้อย่างย่อยยับมาก เหมือนโดนตบหน้าแต่บ่นอะไรไม่ได้ จึงกัดฟันบอกว่า “เจ้าค่อยๆ ก่อเรื่องไปเถอะ ข้ากลัวเสียที่ไหนล่ะ มีผู้หญิงเพิ่มขึ้นมีอะไรไม่น่าดีใจ ถ้าเจ้าเก่งนักก็หาให้ข้าเยอะๆ สิ!”

“เอ๋!” อวิ๋นจือชิวเหล่ตามอง “หนิวเอ้อร์ นี่เจ้าพูดเองนะ ถึงตอนนั้นอย่างนึกเสียใจทีหลังแล้วกัน!”

เหมียวอี้ชี้หน้าตัวเอง พลางกล่าวว่า “ข้านึกเสียใจทีหลังเหรอ? ขอแค่ฮูหยินอย่างเจ้าเต็มใจ ต่อให้เจ้าจะหาคนขี้เหร่มาให้ ข้าก็ยังจะรับไว้อยู่ดี!” เขาไม่เชื่อหรอกว่าในโลกนี้จะมีผู้หญิงที่ใจกว้างขนาดนั้น

อวิ๋นจือชิวทำเสียงฮึดฮัด แล้วหันตัวไปบอกหญิงรับใช้ที่อยู่ข้างๆ “เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าฟังเอาไว้นะ นี่คือสิ่งที่เขาพูดเอง”

“ขี้คร้านจะเถียงกับผู้หญิงบ้าอย่างเจ้า! ข้าไปฝึกตนดีกว่า!” เหมียวอี้สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป พอจากห้องโถงหลัก สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที เมื่อไม่มีคนอยู่ตรงหน้า สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นกลัดกลุ้ม เรื่องของฉินเวยเวยทำให้เขาค่อนข้างเหม่อลอย อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพที่ฉินเวยเวยเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนเขามาหลายปี ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าฉินเวยเวยจะสนใจเขา ถึงขั้นยอมเป็นอนุภรรยาของเขาด้วยซ้ำ คิดไปคิดมาก็รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย

ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เมื่อตกอยู่ในวังวนของความสัมพันธ์ชายหญิง ไม่มีใครที่นิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านได้หรอก ท่านขุนนางเหมียว้าวุ่นใจแล้ว เขาถึงขั้นอยากจะไปคุยกับฉินเวยเวยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่มีความกล้านั้น ถึงขั้นกลัวที่จะพบหน้าฉินเวยเวย

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ มองออกว่าอวิ๋นจือชิวอยากจะใช้ฉินเวยเวยเพื่อควบคุมหยางชิ่ง

อวิ๋นจือชิวที่อยู่ในโถงหลักเดินมายืนอยู่ตรงประตู นางเอามือไขว้หลังทอดสายตามองไปบนฟ้าไกลๆ แล้วถอนหายใจเบาๆ “หยางชิ่ง ถ้าเจ้าไม่สวามิภักดิ์จากใจจริง การกุมอำนาจมากมายในระยะยาวจะต้องเกิดปัญหาตามมาแน่ สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์!”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างหลังฟังอย่างเงียบๆ นึกไม่ถึงว่าฮูหยินจะเกรงกลัวผู้การหยางขนาดนี้

หลังจากนั้นครึ่งเดือน ถังจวินคุณชายสี่แห่งแดนโพ้นสวรรค์ก็มาเยือนด้วยตัวเอง มาพร้อมคำสั่งของปราชญ์เซียนมู่ฝานจวิน

ด้วยคำแนะนำของอวิ๋นจือชิว คำสั่งนี้ถูกเก็บเป็นความลับและยังไม่ประกาศออกไป รอให้ประมุขตำหนักแต่ละสายมากันครบ เมื่อทุกคนอยู่ในตำหนักประชุมแล้ว ถังจวินถึงได้ประกาศคำสั่งต่อหน้าทุกคน : เลื่อนขั้นประมุขอวิ๋นจือชิวแห่งปราสาทดำเนินสุริยันให้เป็นท่านทูตสายมะโรง ให้ไปที่ยอดเขาหยกนครหลวงและรับงานจากท่านทูตจงเจิ้นภายในสิบวัน นอกจากนี้ยังประทานงานสมรสอนุภรรยาให้เหมียวอี้สามคน ได้แก่โอวหยางหลาง โอวหยางหวน บุตรสาวของโอวหยางกวงท่านทูตสายชวด และฉินเวยเวย ประมุขตำหนักเจิ้นติงแห่งปราสาทดำเนินสุริยัน เลือกฤกษ์มงคลแต่งงานพร้อมกัน!

เมื่อประกาศคำสั่งของปราชญ์เซียน ในตำหนักก็เงียบลงจนแม้แต่เสียงเข็มพื้นตกก็ได้ยิน ทำให้ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริดอย่างถึงที่สุด

ไม่น่าเชื่อว่าอวิ๋นจือชิวจะได้เลื่อนขั้นเป็นท่านทูตสายมะโรงของแดนเซียน?

ลูกสาวทั้งสองของโอวหยางกวงท่านทูตสายชวด หรือพูดอีกอย่างก็คือลูกสาวของคุณชายรองแดนโพ้นสวรรค์ ไม่น่าเชื่อว่าจะได้แต่งเป็นอนุภรรยาของที่ปรึกษา? จะเป็นไปได้อย่างไร?

สายตาของทุกคนไปรวมอยู่ที่ตัวของฉินเวยเวย ประหลาดใจและตกตะลึงมาก ไม่น่าเชื่อว่าประมุขตำหนักฉินจะได้แต่งเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้พร้อมกับลูกสาวของคุณชายรองแดนโพ้นสวรรค์?

สายตาของทุกคนมองไปที่เหมียวอี้อีก ปราชญ์เซียนประทานอนุภรรยาให้สามคนภายในรวดเดียวเลยเหรอ นี่คือสุดยอดแห่งวาสนา

อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่ถังจวินเอง ตอนที่เห็นคำสั่งนี้ก็ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนั้น คนที่ดูจะไม่ตกใจที่สุดก็มีแค่อวิ๋นจือชิวแล้ว คนอื่นไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึก รวมทั้งเหมียวอี้ด้วย เหมียวอี้เอ๋อแดก งงไปหมดแล้ว!

ฉินเวยเวยกัดริมฝีปากก้มหน้า ไม่รู้ว่าควรจะทำสีหน้าอย่างไรดี

หยางชิ่งเบิกตาโพลง ต่อให้นอนฝันเขาก็นึกไม่ถึงว่าปราชญ์เซียนมู่ฝานจวินจะประทานลูกสาวตัวเองให้แต่งงานกับเขา ไม่ปรึกษากันเลยสักนิด

เขามองไปยังอวิ๋นจือชิวที่แววตาที่เดือดเหมือนไฟลุก นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะโหดร้ายขนาดนี้ พอเขาไม่ตอบตกลงนางก็ไปขอคำสั่งมาจากแดนโพ้นสวรรค์ ให้ลูกสาวของตนกลายเป็นหนึ่งในผู้หญิงสามคนที่ต้องแต่งงานเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ ทำให้เขาโมโหจนแทบกระอักเลือดออกมา!

ต่อให้หยางชิ่งจะมีความสามารถมากแค่ไหน แต่ตอนนี้ก็ไม่มีคุณสมบัติจะไปขัดคำสั่งของมู่ฝานจวิน ผลของการขัดคำสั่งไม่ใช่สิ่งที่เขาจะรับไหว ไม่ใช่สิ่งที่สองพ่อลูกจะรับไหว มีแค่อยู่หรือตายให้เลือกสองทางเท่านั้น ในเมื่ออวิ๋นจือชิวกล้าทำแบบนี้ คาดว่าคงจะไม่เปิดโอกาสให้เขาหนีไป ยอดฝีมือบงกชม่วงใต้บังคับบัญชาของอวิ๋นจือชิวมีอยู่ไม่น้อยเลย!

“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!” อวิ๋นจือชิวก้าวขึ้นมารับคำสั่งจากมือถังจวิน แล้วส่งถังจวินกลับไปด้วยตัวเอง

ในตำหนัก กลุ่มคนเข้าไปแสดงความยินดีกับหยางชิ่ง เหมียวอี้ และฉินเวยเวย สำหรับคนอื่นๆ นี่คือเรื่องดีแน่นอน เมื่อประมุขปราสาทได้เลื่อนขั้นเป็นท่านทูตแล้ว พวกเขาก็จะมีโอกาสมากขึ้นเหมือนกัน ถึงแม้คำสั่งนี้จะแปลกประหลาด แต่ทุกคนก็ยังแสดงความยินดีจากใจจริง

ไม่อาจฝ่าฝืนอำนาจ! หยางชิ่งกำหมัดสองข้างแน่น หลับตายืนนิ่งอยู่กับที่ ข้างหูได้ยินเสียงแสดงความยินดีไม่ขาดสาย แต่ความคับแค้นเศร้าโศกในใจ ใครเล่าจะเข้าใจได้


926

ผู้รู้สถานะการ คือผู้มีปัญญาเป็นเลิศ

ผ่านไปครู่เดียว ประมุขตำหนักสายต่างๆ ก็เหมือนจะสังเกตเห็นว่าหยางชิ่งไม่ค่อยพอใจกับการประทานงานสมรสนี้ ทุกคนจึงส่งสายตาให้กันเงียบๆ แล้วแยกย้าย เหลือยืนอยู่ตรงนั้นเพียงไม่กี่คน

เหยียนซิวกับหยางเจาชิงมองไปยังเหมียวอี้ที่ยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น ทั้งสองไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เพราะไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน รู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน

หยางชิ่งที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นยังคงกำหมัดแน่น สายตาย้ายจากตัวเหมียวอี้ไปยังฉินเวยเวยที่กำลังก้มหน้ายืนนิ่งไม่ขยับไปไหน เขาไม่พูดอะไรสักคำ หันหน้าเดินออกจากตำหนักใหญ่ไปเพียงลำพัง จังหวะการเดินยังคงสุขุมมั่นคง

ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็เดินออกจากตำหนักใหญ่ นางชำเลืองมองเหมียวอี้นิดหน่อย แล้วเดินไปจูงมือฉินเวยเวย “น้องสาว ไปกันเถอะ!”

“หยุดก่อน!” เหมียวอี้พลันเอ่ยเรียก ถลันตัวมาขวางตรงหน้านาง แล้วถามด้วยสีหน้าดุร้ายว่า “อวิ๋นจือชิว นี่เป็นฝีมือของเจ้าใช่มั้ย?”

“ข้าจะทำอะไรได้?” อวิ๋นจือชิวถามกลับ

“โอวหยางหลางกับโอวหยางหวน มันเรื่องอะไรกันแน่? ข้ายินดีแต่งงานกับฉินเวยเวย แต่ไม่ได้บอกว่าจะแต่งกับพวกนางสองคน!” เหมียวอี้ตะคอกอย่างโมโห

“เจ้าเป็นคนก่อเรื่องนี้เอง ยังมาถามข้าอีกเหรอว่าเรื่องอะไร?” อวิ๋นจือชิวถามเสียงเรียบ

เหมียวอี้จึงถามด้วยสีหน้าแค้นเคือง “เจ้ากล้าบอกมั้ยว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า? อวิ๋นจือชิว ข้าจะบอกให้รู้เอาไว้ ความอดทนของข้าก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน เรื่องแบบนี้เจ้าควรจะบอกข้าก่อนรึเปล่า เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร?”

อวิ๋นจือชิวจึงแสยะยิ้ม “เจ้ารู้สึกว่าไม่เป็นธรรมเหรอ? คนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมคือฉินเวยเวยต่างหาก ส่วนคนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมที่สุดก็คือข้า! เจ้าทำเรื่องสกปรกแบบนั้นมาแล้วยังโทษข้าอีกเหรอ? เจ้ารู้มั้ยว่าตอนที่มู่ฝานจวินกดดันข้า ข้ารู้สึกอย่างไร? เรื่องนี้เจ้าจะปฏิเสธก็ได้ เจ้าสามารถฝ่าฝืนคำสั่งได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสามของเจ้าอยู่ในมืออีกฝ่าย เจ้าจะได้รับความไม่เป็นธรรมแบบนี้เหรอ แค่หนีไปก็สิ้นเรื่องแล้ว หนิวเอ้อร์ มาขึ้นเสียงโวยวายใส่หน้าเมียแล้วถือว่าเก่งนักเหรอ ถ้าเก่งนักก็ฝ่าฝืนคำสั่งไปเลยสิ ขอแค่ไม่สนใจความเป็นความตายของเจ้าสาม ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน จะหนีไปกับเจ้าทันที ข้าไม่จำเป็นต้องตบปากตัวเองจนฟันร่วงแล้วกลืนลงท้องด้วย! เวยเวย เราไปกันเถอะ!” พูดจบก็จูงมือฉินเวยเวยออกไปด้วยกัน

เหมียวอี้ยืนกลุ้มใจอยู่ที่เดิม สีหน้าบูดบึ้งนิดหน่อย ใช่ว่าเขาจะไม่ชอบผู้หญิง เขาไม่รังเกียจด้วยว่าจะมีผู้หญิงเยอะ แต่รับไม่ได้กับการโดนกดดันแบบนี้ เวลามีคนบังคับเขาก็อยากจะขัดขืน ทว่าเจ้าสามกลายเป็นจุดอ่อนของเขาแล้ว ฝ่าฝืนคำสั่งเหรอ? ตอนนี้ไม่ใช่วิธีการที่ชาญฉลาดแน่นอน!

เหยียนซิว หยางเจาชิงไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน ไม่สะดวกจะเข้าใกล้ และไม่สะดวกจะพูดอะไรด้วย ได้แต่ยืนเป็นเพื่อนอยู่ไกลๆ…

เศร้าซึม! หยางชิ่งที่กลับมาถึงจวนผู้การใหญ่ ตอนนี้บรรยายได้แค่คำว่าเศร้าซึม เขานั่งบนเก้าอี้อย่างหงอยเหงาเศร้าซึม ดวงตาสองข้างไร้แวว ไร้เรี่ยวแรง!

ชิงเหมย ชิงจวี๋ไม่เคยเห็นเขาในสภาพแบบนี้มาก่อน นายท่านที่ไม่ว่าจะเผชิญเรื่องอะไรก็สามารถรับมือได้อย่างกระฉับกระเฉง ตอนนี้ราวกับพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง หญิงรับใช้ทั้งสองตกใจมาก ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรที่ทำให้เขาพ่ายแพ้ได้ขนาดนี้ ชิงเหมยถามอย่างกังวลว่า “นายท่าน เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ?”

ทั้งสองถามซักไซ้ไม่หยุดไปสักพัก หยางชิ่งถึงได้ตอบอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ห้ามไม่ไหวแล้ว ปราชญ์เซียนประทานงานสมรส…”

เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจนจบด้วยน้ำเสียงอ่อนเปลี้ย ทำให้ชิงเหมย ชิงจวี๋สบตากันอย่างพูดไม่ออก ตกตะลึงพรึงเพริดเหมือนกัน และเข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีสภาพเป็นแบบนี้ เพราะทั้งสองรู้ว่าลูกสาวคนนี้คือจุดอ่อนของเขา

แล้วก็ได้ยินหยางชิ่งพึมพำกับตัวเองอีกว่า “มู่ฝานจวินไม่ถูกกับอวิ๋นอ้างเทียนมาตลอด ตอนนี้มู่ฝานจวินให้อวิ๋นจือชิวทำงานในตำแหน่งสำคัญ จะต้องมีลับลมคมในแน่นอน ไม่รู้ว่าในอนาคตมู่ฝานจวินจะใช้ประโยชน์อะไรจากเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิว ทั้งสองมีอนาคตไม่แน่นอน เกรงว่าหายนะจะอยู่ไม่ไกล เรื่องที่เกี่ยวข้องกับบุคคลระดับสูงแบบนี้ ข้าไม่สามารถต้านทานได้เลย ถ้าต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ทำให้ตายอย่างอนาถ ข้าจะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวได้อย่างไร ข้าแอบวางแผนหาทางออกไว้แล้ว ไม่อยากจะลงหลุมฝังศพไปกับเขา เตรียมตัวจะถอยหากเกิดเรื่องไม่คาดคิด ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น หมดกัน! นางเด็กโง่นั่น ช่างโง่นัก! นางแต่งงานกับเหมียวอี้ ก็เท่ากับถูกมัดให้อยู่บนรถสงครามของเหมียวอี้แล้ว ต้องบุกน้ำลุยไฟไปกับพวกเขา!”

ชิงเหมยถอนหายใจแล้วถามว่า “ทำไมนายท่านไม่บอกคุณหนูตั้งแต่แรกเจ้าคะ?”

หยางชิ่งอธิบายอย่างเศร้าหมอง “คนเป็นพ่อเข้าใจลูกสาวตัวเองดีที่สุด เด็กนั่นเห็นปกติเงียบๆ ไม่เถียงไม่พูด แต่ที่จริงแล้วดื้อด้านมาก สมองทื่อด้วย ใช่ว่าพวกเจ้าจะดูไม่ออก นางไม่เคยตัดเหมียวอี้ขาดเลย ถ้านางรู้ว่าข้าแอบวางแผนทรยศเหมียวอี้ เกรงว่าความลับคงรั่วไหล เหมียวอี้ไม่ใช่พวกมีเมตตาปรานี เขาคอยระวังข้ามาตลอด เราทั้งคู่ต่างก็กำลังใช้ประโยชน์กัน เป็นเรื่องที่รู้ดีอยู่แก่ใจทั้งสองฝ่าย ถ้าข่าวเล็ดรอดไปเขาจะต้องเล่นงานข้าแน่นอน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ข้าจะไม่ระมัดระวังได้อย่างไร จะไปบอกนางเด็กโง่นั่นได้อย่างไร!”

หญิงรับใช้ทั้งสองถอนหายใจเบาๆ สถานการณ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ถึงแม้จะดูไม่มั่นคง แต่ก็มีอำนาจเยอะมาก มีเส้นสายกับสำนักต่างๆ ของสายมะโรง ลำพังแค่ความสัมพันธ์กับประมุขถิ่นทั่งสี่ของทะเลดาวนักษัตรก็เห็นๆ กันอยู่ หลังจากแต่งงานกับอวิ๋นจือชิวก็มีความสัมพันธ์กับแดนมารอย่างสมเหตุสมผล ได้ยินว่ามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับไต้ซือศีลเจ็ดของแดนพุทธะด้วย ตอนนี้ก็จะแต่งงานกับลูกสาวของคุณชายแดนโพ้นสวรรค์อีก อาศัยแค่กำลังของหยางชิ่ง ก็ไม่มีทางสู้กับเหมียวอี้ได้เลย

สรุปว่าอยู่ที่แดนเซียนไม่มีทางสู้กับเหมียวอี้ได้เลย มิหนำซ้ำหากขัดคำสั่งก็ผ่านด่านของแดนโพ้นสวรรค์ไปไม่ได้ วิธีการเดียวก็คือพาฉินเวยเวยหนีออกจากแดนเซียน แต่พูดน่ะพูดง่าย จะหนีพ้นหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ต่อให้หนีพ้นไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถปะปนอยู่ที่ทะเลดาวนักษัตร ทะเลทรายม่านเมฆา แดนมาร แดนอู๋เลี่ยงได้เหมือนเหมียวอี้ มีเรื่องมากมายที่คิดง่ายพูดง่าย แต่นั่นมันสำหรับคนอื่น พอตัวเองจะทำบ้างกลับไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เจ้าจะเอาชีวิตจากไหนมากมายไปเดิมพันล่ะ? ยิ่งแบกภาระครอบครัวด้วยก็ยิ่งเดิมพันไม่ไหว ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเล่นแผนนี้เก่งหมือนกันหมด มิหนำซ้ำโลกภายนอกจะมีใครรู้จักว่าหยางชิ่งเป็นใคร อย่างมากก็รู้แค่ว่าเจ้าเป็นลูกน้องของเหมียวอี้

เมื่อเห็นหยางชิ่งทำท่าทางแบบนี้ หญิงรับใช้ทั้งสองก็รู้แล้วว่าไม่มีทางให้ถอยกลับ ทำได้เพียงโดนควบคุม ไม่อย่างนั้นคงไม่เศร้าซึมไร้ชีวิตชีวาอย่างนี้

หนึ่งคนนั่ง สองคนยืน ทั้งสามเงียบนานมาก แล้วจู่ๆ หยางชิ่งก็ลุกขึ้นยืน

หญิงรับใช้ทั้งสองค่อนข้างแปลกใจ พบว่าใช้เวลาแค่ชั่วพริบตาเดียวหยางชิ่งก็เหมือนจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เหมือนฟื้นตัวจากการโดนโจมตีที่ยากจะรับไหว เดินก้าวยาวออกไปข้างนอกแล้ว

“นายท่าน จะไปไหนเจ้าคะ?” หญิงรับใช้ทั้งสองถามซักไซ้

“ไปพบประมุขปราสาท!” หยางชิ่งตอบเสียงต่ำ

“นายท่าน ไตร่ตรองดูก่อนเถอะ!” ทั้งสองรีบถลันตัวมาขวางเขาไว้ กลัวว่าเขาจะไปสู้ตายกับประมุขปราสาท ฝ่ายนั้นมีนักพรตบงกชม่วงเป็นโขยง อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นลูกน้องคนสนิทของประมุขปราสาทด้วย สามารถกำจัดเขาได้ทุกเมื่อ ถ้าดึงดันจะใช้กำลังปะทะก็เท่ากับเอาไข่ไปกระทบหิน

เมื่อหยางชิ่งเห็นท่าทางหญิงรับใช้ทั้งสองเป็นแบบนี้ ก็รู้ว่าพวกนางเข้าใจผิด จึงยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “ข้าจะไปยอมจำนนต่อประมุขปราสาท”

“…” หญิงรับใช้ทั้งสองจ้องมองอย่างพูดอะไรไม่ออก สงสัยว่าตัวเองจะฟังผิดไป

หยางชิ่งกลับค่อยๆ หันมองไปด้านนอก พลางกล่าวอย่าเนิบช้า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว สู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะแย่ยิ่งกว่าเดิม ควรจะไปแสดงจิตใจที่จงรักภักดีต่อประมุขปราสาท! ข้าต้องรักษาตำแหน่งผู้การใหญ่ของตัวเองเอาไว้ ประมุขปราสาทกำลังจะเลื่อนขั้นเป็นท่านทูตแล้ว ถ้าข้าได้เลื่อนขั้นเป็นผู้การใหญ่ของสายมะโรง… มีแค่การกุมอำนาจกำลังพลอยู่ในมือเท่านั้น ต้องให้เบื้องบนไว้วางใจข้าเท่านั้น นี่ต่างหากที่เป็นที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของเวยเวย ข้าไม่ยอมให้เวยเวยได้รับความไม่เป็นธรรมหรอก ไม่อย่างนั้นเวยเวยจะมีสิทธิ์ไปนั่งเสมอกับลูกสาวของคุณชายรองได้อย่างไร! ในเมื่อนางเด็กโง่นั่นตัดสินใจจะเดินทางนี้ พ่ออย่างข้าก็ไม่มีความสามารถอย่างอื่นแล้ว มีแต่ต้องช่วยเหลือประคับประคองนางอย่างสุดความสามารถ!” พูดจบก็เดินผ่ากลางหญิงรับใช้ทั้งสองไป เดินก้าวยาวออกไปแล้ว

ขณะที่มองเขาคล้อยหลังไป ชิงจวี๋ก็ถอนหายใจ “น่าสงสารจิตใจคนเป็นพ่อแม่ในโลกนี้ ต้องติดหนี้ลูกไปชั่วชีวิต! หลังจากมีคุณหนู นายท่านก็ไม่กล้าทำเรื่องเสี่ยงอันตรายอีกเลย!”

ชิงเหมยก็ถอนหายใจเช่นกัน “บุพเพสันนิวาสชั่วข้ามคืนในปีนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าฮูหยินท่านนั้นเป็นใครกันแน่ ถ้ารู้ว่าลูกสาวตัวเองจะแต่งงานแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร!”

เหมียวอี้หลบอยู่ลำพังในห้องสมาธิ เขาไม่ได้ฝึกตน แต่นอนอยู่บนเตียงเพียงลำพัง ใช้สองมือหนุนศีรษะ ยกขาเกยไขว่ห้าง นอนมองเพดานตาปริบๆ มองไม่ออกว่าสีหน้ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน และไม่รู้ด้วยว่ากำลังคิดอะไรอยู่

อวิ๋นจือชิวที่กำลังรับแขกอยู่ในห้องโถงกลับยิ้มหน้าระรื่น หยางชิ่งได้แสดงความคิดที่อยู่ในใจต่อหน้านางแล้ว แสดงท่าทีเร็วขนาดนี้ ช่างเป็นคนที่อ่านสถานการณ์ออกอย่างที่คาดไว้ บรรยายได้เพียงว่า ‘ผู้รู้สถานการณ์ คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ’

หลังจากฟังหยางชิ่งแสดงท่าทีจบ อวิ๋นจือชิวก็ยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ผู้การหยางไม่ต้องมากพิธี จากนี้ไปก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว วันหลังเมื่อข้าได้คุมยอดเขาหยกนครหลวง ก็ต้องอาศัยอำนาจอิทธิพลมากมาย ตำแหน่งผู้การใหญ่ของสายมะโรงเป็นของท่านแน่นอน หยางชิ่ง”

“ขอบคุณที่ท่านทูตเอ็นดู!” หยางชิ่งคำนับขอบคุณด้วยความเคารพ

“ครอบครัวเดียวกันพูดอะไรอย่างนั้น ในเมื่อผู้การหยางคิดได้แล้ว ก็ไปชี้แนะน้องเวยเวยสักหน่อย ถ้านางแต่งงานแล้วไม่ได้รับคำอวยพรจากท่าน เกรงว่าทั้งชีวิตนี้คงจะไม่มีความสุข ตอนนี้นางอยู่ที่สวนดอกไม้ด้านหลัง อารมณ์หม่นหมองมาก นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่ควรจะเกิดยามมีเรื่องมงคลมาเยือน!”

“ขอรับ!” หยางชิ่งเอ่ยรับ

อวิ๋นจือชิวหันมองข้างๆ “เสวี่ยเอ๋อร์ พาผู้การใหญ่ไปพบน้องเวยเวยไป”

หยางชิ่งกล่าวอำลา เสวี่ยเอ๋อร์นำทางตามคำสั่ง ถึงอย่างไรที่ตำหนักหลังก็มีผู้หญิงอยู่เยอะ ไม่ใช่ที่ที่ผู้ชายภายนอกจะรุกล้ำเข้าไปได้ตามอำเภอใจ

ส่วนอวิ๋นจือชิวเก็บรอยยิ้มแล้วถอนหายใจเบาๆ ลุกขึ้นเดินไปหาเหมียวอี้ พอมาถึงห้องสมาธิฝึกตนก็ผลักประตูออก แล้วเดินตรงไปนั่งลงข้างเตียงศิลา นางจ้องมองเหมียวอี้ที่นิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน แล้วยื่นมือไปลูบใบหน้าของเขา พร้อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ยังโกรธข้าอยู่อีกเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบว่า “เปล่านี่! เจ้าพูดถูก ที่จริงคนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมก็คือเจ้า ข้ามันไร้ประโยชน์ ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่ต้องทนรับความไม่เป็นธรรมแบบนี้หรอก”

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ “หนิวเอ้อร์ ตราบใดที่เจ้าไม่นอกใจข้า ข้าก็ยินดีรับความไม่เป็นธรรมจากเจ้าทุกอย่าง เจ้าคงไม่ได้แค้นข้าจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ย้ายสายตาจากเพดานไปอยู่บนหน้านาง แล้วยิ้มบางๆ “มีอะไรน่าแค้นล่ะ เป็นสิ่งที่เฝ้าปรารถนาน่ะสิไม่ว่า มีผู้หญิงเพิ่มมารวดเดียวสามคน ผู้ชายคนอื่นคงอิจฉาไม่ทันแล้ว ข้าว่าต่อให้เป็นแค่ความฝันก็ควรจะแอบดีใจ”

อวิ๋นจือชิวเอนกายลงช้าๆ นอนทับบนตัวเขา ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้ารู้ว่าที่จริงแล้วเจ้าไม่มีความสุข ที่เจ้าบอกว่าชอบให้มีผู้หญิงเยอะๆ ข้าเชื่อ ข้าเห็นมาจากตัวพวกผู้ชายของตระกูลอวิ๋น มีผู้ชายคนไหนบ้างที่ไม่ชอบให้ข้างกายมีผู้หญิงสวยเยอะๆ แต่นิสัยเจ้าไม่ชอบโดนบีบบังคับ ถ้าบังคับให้เจ้ารับไว้ เจ้าจะต้องไม่ชอบแน่นอน! เจ้าลองเปลี่ยนมุมมองความคิดดูสิ ขนาดฮูหยินอย่างข้ายังไม่ถือสาเลย คิดเสียว่าเป็นวาสนาก็แล้วกัน ซ้ายขวามีสาวงามให้กอด ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องโดนบังคับ ผู้ชายเวลาจะทำการใหญ่ ทำไมจะทนรับความไม่เป็นธรรมเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้ ตอนที่เจ้าได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด เจ้าจะพบว่าความไม่เป็นธรรมเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”

เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้แผ่นหลังนาง “ระคายเคือง ต่อไปถ้าใส่ของเกะกะไว้บนหัวก็อย่ามานอนหมอบบนตัวข้านะ”

ในศาลาที่สวนดอกไม้ข้างหลัง หลังจากพ่อกับลูกสาวได้พบหน้ากัน ฉินเวยเวยก็เรียกได้ว่าร้องไห้อย่างตื้นตันใจ การได้รับความยินยอมและคำอวยพรจากหยางชิ่ง ทำให้เฉินเวยเวยปลื้มปีติยินดีมากจริงๆ

แต่หารู้ไม่ว่าหยางชิ่งนึกเสียใจทีหลัง ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ ในปีนั้นเขาควรจะตอบตกลงไปแล้ว แบบนั้นลูกสาวตัวเองคงไม่ตกต่ำถึงขั้นเป็นอนุภรรยาหรอก นางโดนบิดาอย่างเขาทำร้ายแล้วจริงๆ ในใจรู้สึกผิดจนยากจะอธิบายออกมาได้


927

ริมแม่น้ำจั่วสุย ฉิน

“ไม่ต้องร้องไห้แล้ว!”

ใต้ศาลา รอบข้างเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ หยางชิ่งใช้มือช่วยเช็ดหยดน้ำตาที่เหมือนเม็ดไข่มุกให้ฉินเวยเวย พร้อมกล่าวอย่างสงสารว่า “ลูกสาวเติบโตแล้ว สุดท้ายก็ไม่อาจอยู่ข้างกายพ่อไปทั้งชีวิตได้ ความรู้สึกของพ่อซับซ้อนมากจริงๆ! เวยเวย ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน แต่การเป็นมนุษย์นั้นไม่ง่าย การทำเรื่องต่างๆ ก็ไม่ง่ายเช่นกัน ในเมื่อเจ้าตัดสินใจเลือกแล้ว เจ้าก็ควรจะทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าตัวเองต้องการอะไร ถ้าเจ้าอยากจะอยู่ใช้ชีวิตร่วมกับเขา ก็ใช่ว่าแต่งงานกับเขาแล้วทุกอย่างจะง่ายดายขนาดนั้น บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะอยากได้อะไร ก็ล้วนมีราคาที่ต้องจ่ายทั้งนั้น สิ่งที่ต้องจ่ายไปอาจจะเป็นความเหน็ดเหนื่อย ความเจ็บปวดรวดร้าวใจ ถ้าอยากได้มาโดยไม่เปลืองแรง จุดจบจะต้องอนาถมากแน่นอน! ดังนั้นถ้าอยากอยู่กับเขาไปนานๆ ก็ต้องคว้าหัวใจเขาให้ได้ ถ้าใจเขาไม่ได้อยู่ที่เจ้า ต่อให้เจ้าได้แต่งงานกับเขาแล้วยังไงล่ะ? ถ้าเป็นเพียงความสมัครใจของเจ้าฝ่ายเดียว ก็จะไม่เกิดผลลัพธ์อย่างที่เจ้าเฝ้าหวังเด็ดขาด การเป็นลูกสาวกับการเป็นผู้หญิงนั้นต่างกัน เข้าใจมั้ย?”

“อื้ม… ค่ะ… อื้ม…” ไม่ว่าจะฟังเข้าใจหรือไม่ ฉินเวยเวยก็เอาแต่พยักหน้าทั้งน้ำตา แค่คนเป็นพ่อพูดอะไรแบบนี้กับนางได้ นางก็ซาบซึ้งมากแล้ว

หยางชิ่งช่วยเช็ดน้ำตาให้นางอีก “บางสิ่งบางอย่าง ผู้ชายอย่างข้าไม่สะดวกจะพูดกับเจ้า เดี๋ยวข้าจะให้ชิงเหมย ชิงจวี๋มาคุยกับเจ้าเยอะๆ หน่อย ถึงอย่างไรพวกนางก็อาบน้ำร้อนมาก่อน ถ้ามีจุดไหนที่ไม่เข้าใจ เจ้าก็ถามพวกนางเยอะๆ พวกนางก็หวังดีกับเจ้าเหมือนกัน ไม่ปิดบังหรอก”

“ค่ะ…” ฉินเวยเวยยังคงพยักหน้าเหมือนเดิม

หยางชิ่งใช้สองมือประคองไหล่นาง แล้วกล่าวอย่างใจหายว่า “จะแต่งงานแล้ว! เป็นเรื่องน่ายินดี อย่าร้องไห้งอแงสิ ถ้าจัดการอารมณ์ตัวเองเสร็จแล้ว ก็กลับไปที่ตำหนักเจิ้นติง ตอนนี้เจ้าไม่เหมาะที่จะเป็นประมุขตำหนักเจิ้นติงอีกต่อไปแล้ว ต้องไปเตรียมการเดี๋ยวนี้ ถ้าเจ้าเตรียมส่งมอบงานเสร็จแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่ต้องสนใจ พ่อจะช่วยเตรียมการให้เจ้าเอง”

“ค่ะ!” ฉินเวยเวยสะอึกสะอื้น

พอตบบ่านางสองสามที หยางชิ่งก็ไม่เน้นพูดเรื่องความรักอีก หันตัวเดินออกไปทันที

ตอนกระทั่งตอนนี้ ฉินเวยเวยถึงได้พบว่าฝ่ามือที่หนาใหญ่ของคนเป็นพ่อนั้นอบอุ่นมาก ไม่เหมือนเป็นพ่อบุญธรรม แต่เหมือนเป็นพ่อแท้ๆ ผู้ให้กำเนิด สิ่งนี้ทำให้นางยิ่งร้องไห้อย่างปวดใจกว่าเดิม

ดังนั้น ฉินเวยเวยจึงกลับไปที่ตำหนักเจิ้นติง

เรื่องมหามงคลขนาดนี้ปิดบังได้ไม่นานเท่าไร ทางตำหนักเจิ้นติงรู้เรื่องเร็วมาก คำสั่งจากปราสาทดำเนินสุริยันก็มาแล้วเช่นกัน ถอดฉินเวยเวยออกจากตำแหน่งประมุขตำหนักเจิ้นติง บอกว่าจะให้ไปดำรงตำแหน่งอื่น คนที่จะรับตำแหน่งต่อมาถึงเร็วมาก ต้องรอให้ฉินเวยเวยส่งมอบงานเสร็จก่อน แล้วค่อยกลับไปรับคำสั่งที่ปราสาทดำเนินสุริยัน ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือไปรอเข้าพิธีแต่งงาน

ในห้องนอน ฉินเวยเวยกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นางสวมชุดกระโปรงสีขาวและปล่อยผมยาวคลุมบ่า ทั้งใฝ่ฝันจินตนาการทั้งตื่นเต้นกับวันนั้นที่กำลังจะมาถึง ช่วงนี้มักจะคิดมากเสมอ

จังหวะการเดินไปเดินมาของหงเหมียน ลู่หลิ่วเหมือนจะเปลี่ยนเป็นเริงร่าขึ้นหลายเท่า ในที่สุดเจ้านายก็จะได้แต่งงานแล้ว แม้จะวนอ้อมไปรอบหนึ่ง แต่คนที่จะได้แต่งงานด้วยก็ยังเป็นคนคนนั้น

ถึงแม้จะอารมณ์ดี แต่ก็ไม่อาจปิดบังความไม่พอใจเล็กๆ ที่อยู่ในใจทั้งสองได้ หงเหมียนที่กำลังหวีผมให้ฉินเวยเวยบ่นว่า “เดิมทีควรจะเป็นคุณหนูที่ได้เป็นภรรยาเอก ถ้าไม่ใช่เพราะปีนั้นผู้การใหญ่หยางใช้กระบองตีนกเป็ดน้ำให้แยกคู่[1] เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับคนแซ่อวิ๋นอะไรนั่นแล้ว”

ฉินเวยเวยจ้องมองกระจกพร้อมบอกว่า “ต่อไปห้ามพูดอะไรแบบนี้อีก ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น”

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าแค่รู้สึกไม่ยุติธรรมแทนคุณหนู พูดแค่ตอนอยู่ต่อหน้าคุณหนูก็เท่านั้นเอง” หงเหมียนพึมพำ

หงเหมียน ลู่หลิ่วที่กำลังยุ่งวุ่นอยู่หน้ากระจก บนใบหน้ามีริ้วรอยแห่งวัยนิดหน่อย ฉินเวยเวยรู้สึกปลงในใจ ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “พวกเจ้าสองคนติดตามข้ามานานขนาดนี้ ไม่ยุติธรรมกับพวกเจ้าเลย พวกเจ้าไม่ต้องห่วงนะ หลังจากแต่งงานข้าจะโน้มน้าวให้นายท่านรีบไปเข้าห้องหอกับพวกเจ้า จะเป็นผู้หญิงที่ไม่รู้รสชาติของการเป็นผู้หญิงไปทั้งชีวิตไม่ได้”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา หญิงรับใช้ทั้งสองก็หน้าแดงทันที

ทั้งสองต้องแต่งงานไปพร้อมกับเจ้านาย นี่คือเรื่องที่ต้องมาถึงในสักวันหนึ่ง ดังนั้นเมื่อได้ยินข่าวเรื่องแต่งงาน จังหวะการก้าวเท้าของทั้งสองถึงได้ฟังดูเริงร่าขนาดนั้น ในใจรู้สึกตื่นเต้นหรรษา เพียงแต่โดนพูดเปิดโปงความคิดในใจแบบนั้น จะให้พวกนางทนความรู้สึกได้อย่างไร

แต่ในเมื่อเจ้านายพูดแบบนี้แล้ว ก็ทำให้คนรู้สึกทั้งเขินอายทั้งโชคดี ใช่ว่าหญิงรับใช้ของเจ้านายที่เป็นผู้หญิงทุกคนจะโชคดีแบบนี้ หญิงรับใช้บางคนไปเจอกับเจ้านายที่อยู่เป็นโสดไปทั้งชีวิต พวกนางก็ทำได้เพียงเป็นม่ายทั้งชีวิตเช่นกัน ยังมีที่แย่กว่านั้น ก็คือโดนเจ้านายผู้หญิงหวงแหน ไม่ยอมให้ผู้ชายแตะต้อง หญิงรับใช้ประจำตัวแบบนี้ ใช่ว่าพวกนางจะไม่เคยเจอมาก่อน เมื่อวันเวลานานไปใบหน้าก็จะเหมือนเด็กสาวอ่อนต่อโลก จืดชืด ทำหน้าเหมือนมีใครติดหนี้นางอย่างนั้นแหละ บนใบหน้าราวกับเขียนคำว่า ‘ไร้หัวใจ’ เอาไว้ ดูแล้วน่ากลัว ผู้หญิงประเภทนั้นเหมือนกับที่เจ้านายบอกจริงๆ เป็นผู้หญิงที่ไม่รู้รสชาติของการเป็นผู้หญิงไปทั้งชีวิต…

ทางปราสาทดำเนินสุริยันไม่ต้องส่งมอบงาน หลังจากอวิ๋นจือชิวได้คุมยอดเขาหยกนครหลวงแล้วค่อยจัดการ แค่ต้องเตรียมการทางด้านนี้นิดหน่อยก็พอ

หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อวิ๋นจือชิวก็นำกำลังคนไปที่เมืองหลวง ไปรับงานกับจงเจิ้นแบบต่อหน้า เท่านี้ก็นับว่าได้กลายเป็นท่านทูตสายมะโรงอย่างเป็นทางการแล้ว

ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงราวกับภาพฝันมายาที่อยู่ในภาพวาด อวิ๋นจือชิวที่เพิ่งรับช่วงต่อปราสาททองงานยุ่งมาก ไม่ใช่แค่ในด้านพิธีการ ทั้งยังมีประมุขปราสาทสายต่างๆ คอยเข้าพบ มีแขกจากที่ต่างๆ มาร่วมแสดงความยินดี รวมทั้งงานเล็กงานใหญ่ต่างๆ อีก

ถึงแม้เหมียวอี้จะถูกอวิ๋นจือชิวแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของสายมะโรงทันที แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงงานอะไร และส่วนใหญ่ก็ไม่ได้โผล่หน้าออกมาด้วย ตอนนี้ข้างบนมีอวิ๋นจือชิวคุม ส่วนข้างล่างก็มีหยางชิ่งทำงานให้ แล้วก็ไม่มีใครสะดวกใจจะใช้ให้เขาทำอะไรทั้งนั้น อุตส่าห์เข่นฆ่าฝ่าฟันขึ้นมาตลอดทาง ตอนนี้เขากลับกลายเป็นคนว่างงานจริงๆ แล้ว

เพราะเหตุนี้ ถ้าเขาไม่เก็บตัวฝึกฝน ก็ไปล่องเรือบนทะเลสาบหยกโดยมีหลินผิงผิงไปเป็นเพื่อน ถ้าได้ว่างแบบนี้ไปทั้งชีวิตเขาก็ไม่เป็นไร แต่นั่นเป็นเรื่องเพ้อฝัน

กลับเป็นหลินผิงผิงที่รู้สึกทอดถอนใจยิ่งกว่าเขา นางนึกไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าฮูหยินของเหมียวอี้จะกลายเป็นนายท่านของเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรือง กลายเป็นนายท่านของสายมะโรงที่มีภูเขาแม่น้ำนับหมื่นลี้และมีสาวกนับไม่ถ้วน

บนระลอกคลื่นสีเขียวมรกต ลมยามเย็นพัดเบาๆ แสงอาทิตย์ยามเย็นย้อมจนเป็นสีแดง ผิวน้ำเป็นระลอกคลื่น บนเรือดอกไม้ลำเล็ก เหมียวอี้ที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ราวกับง่วงนอนเอ่ยว่า “หลินผิงผิง ตอนนี้ตำแหน่งหาข่าวในเมืองหลวงที่เจ้าทำไม่จำเป็นต้องมีอยู่แล้ว วรยุทธ์อย่างเจ้าเป็นประมุขจวนก็พอได้ ในสายมะโรงเจ้าเลือกได้ตามใจชอบเลย ชอบจวนไหนก็บอกมา ข้าจะช่วยจัดการให้เจ้า”

หลินผิงผิงที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างลำบากใจ “ข้าน้อยเอ้อระเหยลอยชายจนชินแล้ว ทำอะไรเป็นการเป็นงานไม่ได้ เรื่องห้ำหั่นกันด้วยกลอุบาย เกรงว่าข้าน้อยจะทำหน้าที่ได้ไม่ดี”

เหมียวอี้หลับตาขานรับ “เจ้าเองก็รู้ ข้าจะยังมีฐานะสำคัญอีกอย่าง เป็นประมุขถิ่นกลางของทะเลดาวนักษัตร ข้ามีตำหนักอยู่หลังหนึ่งที่ทะเลดาวนักษัตร ยังไม่มีคนของตัวเองไปเฝ้าพอดี เจ้าเต็มใจจะไปมั้ย?”

หลินผิงผิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “หากนายท่านรู้สึกว่ามีความจำเป็น ข้าน้อยก็ย่อมปฏิบัติตามคำสั่ง!”

“ฟังดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจนะ” เหมียวอี้กล่าวอย่างเนิบนาบเกียจคร้าน “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ”

หลินผิงผิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป เกิดอาลัยอาวรณ์ความเจริญรุ่งเรืองของโลกมนุษย์ที่นี่ ชอบดูมนุษย์ในโลกนี้ค่อยๆ แก่ตัวไป แล้วมีชีวิตใหม่เริ่มต้นอีก วนไปวนมาซ้ำๆ มองเท่าไรก็ไม่เบื่อ!”

แสงแดดสีแดงยามเย็นสาดใส่เก้าอี้โยก จู่ๆ เหมียวอี้ก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ชี้นางพร้อมบอกว่า “ข้าอนุญาตให้เจ้าเป็นอิสระอยู่ในโลกนี้! แน่นอน มันอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ข้ายังมีความสามารถนี้อยู่นะ ตำแหน่งว่างงานแบบนี้ ข้าจะเก็บไว้ให้เจ้าต่อไปก็แล้วกัน!”

หลินผิงผิงอึ้งทันที จู่ๆ ก็รู้สึกว่านายท่านสูญเสียความกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาที่เคยมีในอดีตไปแล้ว ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเบื่อหน่ายสุดๆ…

ส่วนอันหรูอวี้คุณชายรองของแดนโพ้นสวรรค์ ตอนนี้มาถึงยอดเขาหยกนครหลวงแล้ว เหตุผลที่มาก็คือแสดงความยินดีที่อวิ๋นจือชิวได้เลื่อนขั้น แต่เจตนาที่แท้จริงก็คือ มาติดต่อพูดคุยเรื่องฤกษ์แต่งงานกับอวิ๋นจือชิว

การมาหาอวิ๋นจือชิวเพื่อคุยเรื่องแบบนี้ ทำให้อันหรูอวี้รู้สึกจนใจมาก แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะในอนาคตท่านนี้จะได้เป็นภรรยาเอก เรื่องอนุภรรยาก็ต้องให้นางจัดการเช่นกัน กอปรกับที่อวิ๋นจือชิวเป็นท่านทูตสายมะโรง เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้าบ้าน ถ้าไปทำให้อวิ๋นจือชิวไม่พอใจ เกรงว่าในอนาคตลูกสาวของตนจะใช้ชีวิตลำบาก ถ้าไม่มาหาอวิ๋นจือชิวแล้วจะให้ไปหาใครล่ะ

ตอนที่คุยกัน อวิ๋นจือชิวดึงตัวหยางชิ่งมาด้วย เพื่อให้มาปรึกษาหารือร่วมกัน ถึงอย่างไรลูกสาวของหยางชิ่งก็จะแต่งงานเหมือนกัน จะฟังความคิดเห็นคนอื่นไม่ได้

เลือกฤกษ์มงคลสำหรับวันแต่งงานได้แล้ว เป็นครึ่งเดือนหลังจากนี้

เดิมทีอวิ๋นจือชิวอยากจะจัดงานให้ใหญ่โต ไม่อยากให้เจ้าสาวใหม่ทั้งสามคนน้อยเนื้อต่ำใจ ปรากฏว่าอันหรูอวี้กับหยางชิ่งคัดค้าน ต้องการให้จัดแบบเรียบง่าย เหตุผลก็คือการแต่งงานเป็นอนุภรรยาไม่จำเป็นต้องจัดใหญ่โต

เมื่อเดินในเส้นทางนี้แล้ว อันหรูอวี้ก็ไม่อยากจัดงานให้โดนเด่นเกินหน้าเกินตาอวิ๋นจือชิวในตอนแรก กลัวว่าอวิ๋นจือชิวจะไม่พอใจแล้วมาหาเรื่องลูกสาวตัวเอง หยางชิ่งก็กังวลเช่นเดียวกัน ในเมื่อจะแต่งเป็นอนุภรรยาก็ต้องมีจิตสำนึกของอนุภรรยา

อวิ๋นจือชิวเห็นว่าโน้มน้าวไม่ได้ผล จึงทำตามเจตนาของทั้งสอง ที่จริงในใจก็ภูมิใจอยู่นิดๆ นับว่าพวกเจ้าอยู่เป็น ไม่ลืมว่าใครกันแน่ที่เป็นภรรยาเอก!

หลังจากตกลงเรื่องนี้กันได้ อันหรูอวี้ถึงได้กลับไปอย่างหายกังวล นางอยากจะจัดการเรื่องหนักใจให้เสร็จเร็วๆ ก่อนที่นางกับสามีจะได้รับโทษ ไม่อยากให้มีเงามืดมาบดบังตอนลูกสาวตัวเองแต่งงาน

เรื่องแต่งงานส่งต่อให้หยางชิ่งกับเหยียนซิวช่วยกันจัดการ ผู้การใหญ่ฝ่ายนอกและฝ่ายในรับผิดชอบร่วมกัน เหมียวอี้ขี้คร้านจะกังวลเรื่องนี้ ก็เหมือนที่เขาบอกกับอวิ๋นจือชิว งั้นข้ารอเข้าห้องหอก็พอ!

ปรากฏว่ายั่วให้อวิ๋นจือชิวโมโหจนเตะต้นขาเขาอย่างแรงหนึ่งที!

เหมียวอี้รับอนุภรรยาพร้อมกันสามคน แถมมู่ฝานจวินยังประทานงานสมรสให้ด้วย ย่อมเป็นข่าวไปทั่วทั้งแดนฝึกตนอยู่แล้ว คนมากมายที่ไม่รู้สถานการณ์รู้สึกแปลกใจมาก ปราชญ์เซียนมู่ฝานจวินจะยัดผู้หญิงให้เหมียวอี้ในรวดเดียวไปทำไม? ทำไมวาสนาแบบนี้ไม่ตกมาถึงข้าบ้าง?

ด้วยเหตุนี้ จึงเพิ่มความพิลึกพิลั่นให้กับชื่อเสียงของไอ้เหมียวจัญไรหลายส่วน คนที่ไม่เคยเจอก็อยากจะเห็นลักษณะท่าทางของเขาจริงๆ

หญิงรับใช้คนหนึ่งของโอวหยางกวงมาถึงแล้ว ทั้งยังพาหญิงรับใช้ของโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนมาด้วยสองคน มาเข้าร่วมการเตรียมงานแต่งงาน เมื่อถึงเวลานั้น อย่าให้คนที่มาใหม่ไม่รู้แม้กระทั่งห้องหอต้องเดินเข้าออกทางไหน

หยางชิ่งกำลังจัดการกิจธุระของสายมะโรงไปพร้อมๆ กับจัดการเรื่องงานแต่งงาน เขายุ่งคนไม่มีเวลาไปฝึกตน ตอนนี้กำลังอยู่ในจวนผู้การใหญ่และเร่งทำความเข้าใจสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ของสายโรง ชิงจวี๋กลับวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่ปกติ นางกล่าวเสียงสั่นว่า “นายท่าน! มีคนมาขอพบเจ้าค่ะ!”

“ใคร?” หยางชิ่งเงยหน้าถาม สังเกตได้เช่นกันว่าชิงจวี๋มีปฏิกิริยาไม่ปกติ

ชิงจวี๋วางแผ่นหยกไว้บนโต๊ะยาว เม้มริมฝีปากแน่น ไม่ยอมตอบอะไรทั้งนั้น

หยางชิ่งสงสัย พอหยิบแผ่นหยกมาอ่าน ก็ลุกพรวดขึ้นทันที เบิกตาโพลงและหายใจถี่กระชั้น ในแผ่นหยกมีอักษรเพียงไม่กี่ตัว : ริมแม่น้ำจัวสุ่ย ฉิน!

เมื่อเห็นเขาทำท่าเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ชิงเหมยก็รีบมองไปที่ชิงจวี๋ด้วยแววตาสอบถาม เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเหม่อลอย จึงไม่เข้าใจที่นางสื่อ

หยางชิ่งที่ได้สติกลับมาหลังจากผ่านไปนาน ตอนนี้กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก แล้วถามว่า “นางไม่รู้เลยว่าข้าเป็นใคร ทำไมถึงมาหาข้าที่นี่ได้ เป็นนางเหรอ?”

“เบื้องล่างส่งรายงานขึ้นมาเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ออกไปพบ!” ชิงจวี๋ส่ายหน้า

“เรื่องแต่งงานอาจจะสะเทือนไปถึงนาง ไปเชิญมาเถอะ!” หยางชิ่งถอนหายใจเบาๆ

หลังจากชิงจวี๋ออกไปแล้ว ชิงเหมยก็รีบถาม “นายท่าน เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ?”

หยางชิ่งยื่นแผ่นหยกในมือให้ “เจ้าอ่านเองสิ”

หลังจากชิงเหมยรับมาอ่าน ก็ตะลึงงันในทันที เบิกตาโพลงขึ้นหลายส่วน ในแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ


928

เล็กน้อยกว่าต้นหญ้า

แขกรออยู่ที่ตีนเขา เมื่อได้รับคำสั่งก็ย่อมปล่อยให้เข้ามา ชิงจวี๋กำลังรออยู่ที่ประตูจวนผู้การใหญ่ ประสานมือเข้าด้วยกัน ดูค่อนข้างกังวลใจ

ผ่านไปไม่นาน แขกก็มาถึงแล้ว เป็นสตรีคนหนึ่งที่รูปร่างอรชรอ่อนช้อย แต่งกายเรียบง่าย สวมหมวกงอบและปิดบังใบหน้าด้วยผ้ามุ้งสีดำ ทำให้มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่กลับปิดบังความถือตัวที่ซ่อนอยู่ในอากัปกิริยาไม่ได้

ชิงจวี๋โบกมือให้คนที่นำทางออกไป สีหน้านางสื่ออารมณ์ซับซ้อน มองสำรวจใบหน้าที่อยู่หลังผ้ามุ้งไม่หยุด เหมือนอยากจะวินิจฉัยใบหน้าที่อยู่เบื้องหลัง

สตรีที่สวมหมวกงอบคลุมผ้ามุ้งสีดำจ้องมองชิงจวี๋เงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงไพเราะว่า “เป็นพวกเจ้าจริงๆ ด้วย จวี๋เอ๋อร์ ไม่เจอกันนานเลยนะ”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ชิงจวี๋ก็ตัวสั่นเล็กน้อย เหลียวซ้ายแลขวาไปทั่ว ไม่กล้าทำให้คนนอกสงสัย เพียงเบี่ยงตัวหลีกทางแล้วยื่นมือเชิญ  “นายท่านรออยู่ข้างใน เชิญเจ้าค่ะ!”

ผู้ที่มาก็ไม่เกรงใจเหมือนกัน เดินเนิบนาบตามหลังชิงจวี๋ มุ่งตรงไปยังห้องทำงานของหยางชิ่ง

หยางชิ่งเอามือไขว้หลังยืนมองภาพวาดบนผนัง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พอได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันหน้ามาอย่างช้าๆ

ชิงเหมยมองดูผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาในห้องตาปริบๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยการเฝ้าคอย แววตาที่จ้องมองผ้ามุ้งสีดำฉายแววเหมือนกำลังสำรวจค้นหา

ผู้ที่มากำลังยืนอยู่ในห้อง หลังจากสบตากับหยางชิ่งเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย!” พูดจบก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นถอดหมวกงอบที่มีผ้ามุ้งห้อยลงมา เปิดเผยโฉมหน้าที่งามล่มเมือง หน้าตางดงามดุจภาพวาด ดวงตาชุ่มฉ่ำดุจหนองน้ำในฤดูใบไม้ร่วงจริงๆ

เมื่อโฉมหน้าที่แท้จริงปรากฏ ชิงเหมย ชิงจวี๋ก็ตัวสั่นพร้อมกัน รีบเข้ามาคำนับอย่างฮึกเหิม “บ่าวคำนับฮูหยิน!”

ถ้าตอนนี้เหมียวอี้ได้มาเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้ที่มา ก็จะต้องตกตะลึงมากแน่นอน นางคือฉินซี ฮูหยินของปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน!

ฉินซีผายมือเล็กน้อย “เหมยเอ๋อร์ จวี๋เอ๋อร์ ไม่เจอกันนานเลยนะ ไม่ต้องมากพิธี”

หญิงรับใช้ทั้งสองยืนตัวตรง แล้วชิงจวี๋ก็รีบถอยออกไปเฝ้าประตู ป้องกันไม่ให้คนนอกเข้าใกล้ ส่วนชิงเหมยก็รีบนำน้ำชามารินให้ แต่ฉินซีโบกมือบอกใบว่าไม่ต้อง

หยางชิ่งเม้มริมฝีปากแน่น แววตาค่อนข้างตื่นเต้นหวั่นไหว แต่สีหน้ากลับค่อยๆ นิ่งเฉย แล้วถามเสียงต่ำว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

“หยางก่วง… ไม่สิ ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าหยางก่วง หรือควรจะเรียกเจ้าว่าหยางชิ่งดีล่ะ?” ฉินซีถาม

“แล้วข้าควรจะเรียกเจ้าว่าฮูหยินของปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน หรือควรจะเรียกเจ้าว่าฉินซีล่ะ?” หยางชิ่งถามกลับ

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ไม่ว่าจะเป็นชิงเหมยที่ยืนเก็บมืออยู่ข้างๆ หรือชิงจวี๋ที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ต่างก็ตกใจจนหน้าถอดสี ฮูหยินของปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน? อย่าบอกนะว่านายท่านรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของฮูหยินลึกลับคนนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว?

“อย่าบอกนะว่าเจ้ารู้ถึงฐานะของข้าตั้งแต่ปีนั้นแล้ว?” ฉินซีขมวดคิ้วถาม

ในดวงตาหยางชิ่งฉายแววตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ตอนแรกก็ไม่รู้ ถ้ารู้ข้าจะกล้าแตะต้องเจ้าเหรอ ตอนหลังพอเริ่มจะมีประสบการณ์ความรู้ขึ้นมาบ้าง ก็เลยเดาได้นิดหน่อย แม่น้ำจัวสุ่ยถือว่าห่างจากสำนักงามวิจิตรไม่ไกล สตรีแซ่ฉินคนหนึ่ง หน้าตางดงามดุจเทพธิดา สามารถอาศัยอยู่ตรงนั้นลำพังได้โดยไม่มีใครกล้ารบกวน ทั้งยังมีวรยุทธ์ระดับบงกชม่วง ได้ยินว่าฮูหยินของปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยก็เฉินแซ่ฉิน มีหน้าตางดงามเหมือนกัน และมีวรยุทธ์ระดับบงกชม่วงเหมือนกัน กอปรกับกิริยาท่าทางของเจ้าในปีนั้น ข้าจะไม่นึกเชื่อมโยงไปได้อย่างไร แต่สิ่งที่ทำให้ข้าคิดไม่ตกมาตลอดก็คือ ถ้าเจ้าเป็นฉินซีท่านนั้นจริงๆ เหตุใดจึงลดตัวลงมาให้คนต่ำต้อยอย่างข้าล่ะ จนกระทั่งลองถามดูเมื่อครู่นี้ ข้าถึงได้แน่ใจแล้วจริงๆ!”

ฉินซีถอนหายใจแล้วบอกว่า “หยางก่วง… หยางชิ่ง เจ้ายังฉลาดเหมือนเดิม นี่คือเหตุผลที่ตอนนั้นข้าไม่กล้าอยู่กับเจ้านาน กลัวว่าเวลานานไปจะปิดบังเจ้าไม่ได้”

หยางชิ่งแสยะยิ้มแล้วบอกว่า “ตอนนี้ข้ายิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ เหตุใดในปีนั้นเฟิงฮูหยินจึงยอมร่วมมีความสุขกับหยางคนนี้? หยางยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชายมากความสามารถที่ผู้หญิงเห็นแล้วจะตกหลุมรักแน่นอน ช่างเข้าใจยากจริงๆ!”

ฉินซีตอบเสียงเรียบว่า “เรื่องที่ไม่ควรรู้ก็ไม่ต้องถามแล้ว ใช่ว่าเจ้าจะไม่ปิดบังเหมือนกัน ข้าคิดมาตลอดว่า ‘หยางก่วง’ คนนั้นเป็นนักพรตของแดนอู๋เลี่ยง ใครจะคิดว่าจะเป็นนักพรตของแดนเซียน ทำไมตอนนั้นเจ้าถึงไปปรากฏตัวอยู่ที่นั่นได้?”

หยางชิ่งตอบว่า “ตอนนั้นได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้ไปทำงานนอกสถานที่ นักพรตเล็กๆ ของแดนเซียนอย่างข้าจะกล้าเปิดเผยตัวตนที่แดนอู๋เลี่ยงได้อย่างไร ย่อมต้องปลอมตัวเป็นนักพรตแดนอู๋เลี่ยงอยู่แล้ว เจ้าไม่เต็มใจบอกชื่อแซ่ของตัวเอง หยางคนนี้ย่อมไม่กล้าเปิดอกพูดตรงๆ! เฟิงฮูหยิน เรื่องในอดีตไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้ว ข้าว่าถ้าเรื่องราวในช่วงนั้นถูกเปิดโปง ก็จะไม่เป็นผลดีอะไรกับเจ้าเช่นกัน เราไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่ทำร้ายกันอย่างนั้น ตอนนี้ข้ากลับแปลกใจ เจ้ามาหาข้าที่นี่โดยตรงเลยเหรอ?”

ฉินซีตอบว่า “ชื่อของลูกสาว ข้าเป็นคนตั้งเอง ข่าวที่เวยเวยจะแต่งงานโด่งดังไปทั่ว จะไม่ดึงดูดความสนใจของข้าได้อย่างไร?”

หยางชิ่งส่ายหน้า “คำพูดหลอกลวงแบบนี้ไปพูดกับคนอื่นอาจได้ผล แต่หลอกข้าไม่ได้หรอก ต่อให้เรื่องงานแต่งงานของเวยเวยจะดึงดูดความสนใจของเจ้า แต่ก็ใช่ว่าโลกนี้จะไม่มีคนชื่อแซ่เดียวกัน เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเราคือคนที่เจ้าตามหา ยอมเสี่ยงที่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงเพื่อมาหาด้วยตัวเองเลยเหรอ? ยอดเขาหยกนครหลวงไม่ใช่สถานที่ธรรมดาทั่วไป เจ้าเข้ามาไม่รู้ตาม้าตาเรือแบบนี้ ใช่ว่าเจ้าคิดอยากจะไปที่ไหนก็ไปได้นะ อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่กังวลเลยสักนิด? ก่อนหน้านี้เจ้าต้องแน่ใจแล้ว ถึงได้กล้าบุกเข้ามาตรงๆ!”

ฉินซีพยักหน้า “ไม่ผิดหรอก ก่อนหน้านี้ข้าแน่ใจแล้ว ข้าเคยเจอเวยเวยที่สำนักงามวิจิตร เคยยืนยันต่อหน้า”

เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้ ชิงเหมย ชิงจวี๋และหยางชิ่งก็พากันงุนงง หยางชิ่งขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าเคยเจอเวยเวยที่สำนักงามวิจิตรเหรอ?”

ฉินซีตอบว่า “พอพูดถึงเรื่องนี้ก็ยังคิดจะถามเจ้าอยู่เลย เจ้าน่าจะรู้นะว่าเหมียวอี้เป็นศัตรูกับแดนอู๋เลี่ยง ทำไมยังให้เวยเวยตามเหมียวอี้ไปสำนักงามวิจิตรเพื่อร่วมงานประลองของวิเศษอีก? เจ้ารู้รึเปล่า ถ้าตอนนั้นข้าไม่ได้แอบมาแทรกแซงให้เวยเวยแยกกับเหมียวอี้ได้ทันเวลา เกรงว่าเวยเวยคงจะไม่รอดชีวิตกลับมาแล้ว เจ้าดูแลลูกสาวแบบนี้เหรอ?”

หยางชิ่งตกใจมาก “เวยเวยก็ไปงานประลองของวิเศษของสำนักงามวิจิตรเหรอ? เอ่อ…” เขาเหม่อลอยไปพักใหญ่ เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ส่ายหน้าไม่หยุดพร้อมบอกว่า “ลูกสาวโตขึ้นแล้วรั้งไว้ไม่อยู่จริงๆ ขนาดเรื่องแบบนี้ก็ยังปิดบังข้า!”

ชิงเหมย ชิงจวี๋ก็เดาออกแล้วเช่นกัน ในช่วงเวลานั้นเหมือนฉินเวยเวยจะติดธุระ บอกว่าจะไปตรวจตรากำลังพลเบื้องล่าง ที่แท้ก็ตามเหมียวอี้ไปสำนักงามวิจิตรนี่เอง หญิงรับใช้ทั้งสองคิดแล้วขนลุก เรื่องในครั้งนั้นใหญ่โตขนาดไหน เป็นการร่วมตัวของกลุ่มพี่ใหญ่ทั้งนั้น นักพรตบงกชทองตายไปเป็นโขยง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมือนอี้ ที่ขนาดก่อเรื่องไปทั่วแล้วยังรักษาชีวิตไว้ได้ ในที่สุดตอนนี้ทั้งสองก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมหยางชิ่งไม่กล้าบอกฉินเวยเวยเรื่องที่เตรียมตัวจะหนีเหมียวอี้ ขนาดเรื่องแบบนั้นยังกล้าช่วยเหมียวอี้ปิดบัง ลูกสาวโตแล้วรั้งไม่อยู่จริงๆ

ที่จริงสำหรับพวกนางสองคน ฉินเวยเวยก็เหมือนกับเป็นลูกสาวของพวกนางครึ่งหนึ่งเหมือนกัน

หลังจากทำสีหน้ากลัดกลุ้มได้สักพัก หยางชิ่งก็เอาแต่ส่ายหน้า มาพูดตอนนี้ก็ไม่มีความหมายแล้ว นางกำลังจะแต่งงานกับเหมียวอี้ ให้ไปถามซักไซ้เหมียวอี้อีกจะมีความหมายอะไร? จึงถามต่อว่า “ไม่ทราบว่าเฟิงฮูหยินมาด้วยเจตนาอะไร คงไม่ได้คิดจะมาร่วมงานแต่งงานของเวยเวยหรอกใช่มั้ย ด้วยฐานะของเจ้า ทำแบบนี้เหมือนจะไม่เหมาะสมกระมั้ง?”

ฉินซีแสยะยิ้ม “ข้าแค่อยากจะมาถามสักหน่อย ถึงอย่างไรเวยเวยก็เป็นลูกสาวเจ้า เจ้าทำใจเห็นลูกสาวตัวเองไปเป็นอนุภรรยาคนอื่นได้อย่างไร ผู้ชายดีๆ ในโลกนี้ตายไปหมดแล้วรึไง”

หยางชิ่งตอบเสียงเรียบว่า “เวยเวยจะแต่งงานกับใคร เกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ? ถ้าเจ้าหวังดีกับนางจริงๆ ข้าแนะนำว่าให้เจ้ามาเงียบๆ แล้วกลับไปเงียบๆ อย่าทำให้เวยเวยหนักใจโดยไม่จำเป็น!”

ฉินซีกัดริมฝีปาก แล้วพยักหน้าบอกว่า “ข้าเข้าใจแล้ว นักพรตเล็กๆ คนหนึ่งสามารถไต้เต้าเป็นผู้การใหญ่ได้ด้วยเวลาสั้นๆ สองพันปี ช่างเป็นคนที่สามารถทำในเรื่องที่คนอื่นทำไม่ได้ เพื่อที่จะขึ้นสู่ตำแหน่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะขายลูกสาวตัวเองทิ้งอย่างไม่เสียดาย ใช้ฐานะของลูกสาวแลกเกียรติยศความร่ำรวยให้ตัวเอง เจ้านี่ใช้ได้จริงๆ!”

ชิงเหมย ชิงจวี๋แอบร้องในใจว่าท่าไม่ดีแล้ว คำพูดพวกนี้สามารถยั่วโมโหนายท่านได้แน่นอน ชิงเหมยรีบบอกว่า “ฮูหยิน ไม่ใช่อย่างนี้เจ้าค่ะ นายท่านพยายามขัดขวางอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่คุณหนูไม่สนใจและต่อต้านนายท่าน…”

“หุบปาก! ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกับนางทั้งนั้น!” หยางชิ่งโบกมือ ทำสีหน้าเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ ถามเหน็บแหนมกลับว่า “เฟิงฮูหยิน ใครก็มีสิทธิ์พูดแบบนี้ได้ แต่มีเจ้าคนเดียวที่ไม่มีสิทธิ์! เจ้าจำได้รึเปล่าว่าหลังจากเจ้าให้กำเนิดเวยเวยแล้ว ตอนที่ตั้งชื่อให้เวยเวย เจ้าพูดว่าอะไร?”

ฉินซีเงียบไป หยางชิ่งจึงยิ้มเย้ย แล้วบอกว่า “เกรงว่าคงจะลืมแล้ว? ข้าจะเตือนเจ้าสักหน่อย เจ้าบอกว่า จอกแหนสายน้ำต่างที่มา เล็กน้อยกว่าต้นหญ้า เจ้าบอกว่าเดิมทีนางไม่ควรเกิดมาบนโลกใบนี้ ถึงได้ตั้งชื่อให้นางว่าฉินเวยเวย[1] หึหึ ไม่น่าเชื่อว่าในสายตาเจ้า นางจะเล็กน้อยกว่าต้นหญ้า… สามเดือนหลังจากนั้น เจ้าก็จากไปโดยไม่บอกลา เคยแสดงความรับผิดชอบต่อลูกสาวสักนิดหรือเปล่า เจ้ามีสิทธิ์มาพูดแบบนี้กับข้าเหรอ? ลูกสาวคนนี้ข้าเลี้ยงมาเองกับมือ!”

ฉินซีเหน็บแหนมกลับว่า “ใช่ เจ้าได้ทำหน้าที่พ่อสุดความสามารถแล้ว หลอกนางว่านางเป็นเด็กกำพร้าที่เก็บมาจากข้างทาง จากนั้นเจ้าก็เลี้ยงนางจนเติบใหญ่อย่างซื่อสัตย์จงรักภักดี แล้วก็ให้นางไปเป็นอนุภรรยาคนอื่นอย่างสบายใจ เพื่อให้เจ้าได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น”

หยางชิ่งเดือดดาลทันที ชี้มาที่นางแล้วตะคอกว่า “ที่ข้าไม่บอกนางว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของนางเป็นใคร ก็เพื่อปกป้องนาง ที่สำคัญที่สุดคือไม่อยากให้นางรู้ ว่าแม่ผู้ให้กำเนิดแอบลักลอบมีความสัมพันธ์กับคนอื่นถึงได้ให้กำเนิดนางออกมา ให้เป็นเด็กกำพร้าก็ยังดีกว่าให้นางแบกคำว่า ‘ลูกนอกคอก’ ไปทั้งชีวิต เจ้าคิดว่าข้าอยากให้นางเป็นเด็กกำพร้าเหรอ!”

ฉินซีหน้าซีดทันที คำว่า ‘ลูกนอกคอก’ ทำให้นางเหมือนโดนโจมตีเป็นสองเท่าจริงๆ

หยางชิ่งหันหลังให้ แล้วโบกมือบอกว่า “เฟิงฮูหยิน ข้าแนะนำว่าให้เจ้ารีบออกไปให้เร็วที่สุด ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า ถ้าทำให้หยางชิ่งรำคาญ หยางชิ่งแค่ถ่ายทอดคำสั่งลงไปคำเดียว เกรงว่ะเจ้าจะหนีไม่พ้นแล้ว ต่อให้ข้าจับตัวเจ้าไว้ เจ้าก็ไม่กล้าจะเปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นอยู่ดี”

“ให้ข้าพบเวยเวยสักครั้ง ข้ามีของจะให้นางนิดหน่อย!” ฉินซีกล่าว

หยางชิ่งไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่ต้องแล้ว! เจ้าไม่ต้องมาเกี่ยวพันอะไรกับเวยเวยทั้งนั้น ข้าแนะนำว่าต่อไปนี้เจ้าอย่ามาเจอนางอีก นางรับความรักจากเจ้าไม่ไหวหรอก ถ้าเจ้ายังมีมโนธรรมอยู่บ้าง ก็ให้นางแต่งงานไปอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง ต่อให้เป็นอนุภรรยาก็ให้เป็นอย่างมีความสุข อย่าให้ฝ่ายสามีดูถูกนาง เส้นทางของนางต่อจากนี้ ข้าจะทุ่มเทช่วยเหลือเต็มที่ ไม่ต้องให้เจ้ามากังวล! เฟิงฮูหยิน ถ้าเจ้ายังไม่ไปอีก เชื่อมั้ยว่าข้าจะจับตัวเจ้าไว้ให้เฟิงเป่ยเฉินมารับเอง เหมียวอี้ไม่ปรานีเจ้าแน่!”

บอกไม่ถูกว่าฉินซีทำสีหน้าอย่างไร มีทั้งอารมณ์ผิดหวัง เศร้าโศก โกรธแค้นเสียใจรวมกัน นางค่อยๆ หยิบหมวกงอบห้อยผ้าคลุมขึ้นมาใส่ใหม่ สุดท้ายก็วางกำไลเก็บสมบัติไว้บนโต๊ะข้างๆ “นี่คือของขวัญเล็กน้อย คิดเสียว่าเป็นสินเดิมของเจ้าสาว”

หยางชิ่งโบกมือ “ไม่ต้อง! สินเดิมเจ้าสาวของนาง เจ้าไม่จำเป็นต้องเตรียมให้ เอากลับไป!”

ฉินซีกลับไม่ได้นำไปด้วย ทิ้งกำไลเก็บสมบัติไว้อย่างนั้น แล้วหันตัวเร่งฝีเท้าเดินออกไป ชิงจวี๋รีบเดินตามไปส่ง

หยางชิ่งหันตัวมาหยิบกำไลเก็บสมบัติวงนั้น กำลังคิดจะโยนทิ้ง ทว่าพอยกมือขึ้น สุดท้ายก็ไม่ได้ทำเกินไป เขาหลับตาลงสองข้าง ปั้ง! ตบกำไลเก็บสมบัติวางกลับไปบนโต๊ะ แล้วเงยหน้าถอนหายใจยาว!


929

หนึ่ง สอง สาม

พูดจากใจจริง เขาไม่อยากช่วยฉินเวยเวยรับสินเดิมเจ้าสาวส่วนนี้ไว้เลย เพราะในสายตาเขา แต่ไหนแต่ไรมาผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เคยสนใจลูกสาว ทว่าพอนึกถึงก่อนหน้านี้ที่นางเคยช่วยชีวิตฉินเวยเวยที่สำนักงามวิจิตร แปลว่าผู้หญิงคนนี้ใช่ว่าจะไม่มีฉินเวยเวยอยู่ในใจเลย อย่างน้อยก็ช่วยชีวิตฉินเวยเวยไว้ครั้งหนึ่ง จะเห็นได้ว่ายังมีไมตรีระหว่างแม่กับลูกสาว น้ำใจเล็กน้อยของคนเป็นแม่นี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะช่วยฉินเวยเวยปฏิเสธหรือไม่

ชิงจวี๋กลับมาแล้ว รายงานว่า “นายท่าน นางไปแล้วเจ้าค่ะ… เหมือนจะร้องไห้ด้วย!”

หยางชิ่งสูดหายใจลึกแล้วลืมตาสองข้าง ขยับฝ่ามือย้ายกำไลเก็บสมบัติเลื่อนออกมา “พวกเจ้านับแล้วจดบันทึกไว้ เดี๋ยวข้าจะใส่รวมไว้ในสินเดิมเจ้าสาวของเวยเวย อย่าลืมตรวจดูให้ละเอียดนะ อย่าทิ้งอะไรที่ทำให้เวยเวยสงสัยว่าตัวเองกับผู้หญิงคนนั้นมีความเกี่ยวข้อง” พูดจบก็เดินออกไป

ชิงเหมยกับชิงจวี๋สบตากันแล้วถอนหายใจ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่า ‘ฮูหยิน’ ท่านนั้นจะมีที่มายิ่งใหญ่ขนาดนี้ เพียงแต่ฐานะแบบนี้ เกรงว่าคงไม่สะดวกจะบอกให้ฉินเวยเวยรู้ไปทั้งชีวิต

ทั้งสองเริ่มนับของที่อยู่ในกำไลเก็บสมบัติ สินเดิมเจ้าสาวส่วนนี้อุดมสมบูรณ์มาก มากมายมหาศาล อย่างน้อยพวกนางทั้งสองก็ยังไม่เคยเห็นของมากมายขนาดนี้ ลูกแก้วพลังปรารถนามีไม่เยอะ มีเพียงสองพันล้านลูก แต่ของมีค่าอย่างอื่นเยอะมาก…

วันมหามงคลมาถึงอย่างรวดเร็ว ยอดเขาหยกนครหลวงประดับผ้าและโคมไฟหลากสีสัน ประตูของห้างร้านบ้านเรือนทั้งเมืองหลวงต่างก็แขวนประดับด้วยโคมไฟสีแดง ชาวบ้านทั้งเมืองหลวงได้เว้นการเสียภาษีเป็นเวลาหนึ่งปี เพื่อให้ชาวบ้านทุกคนในเมืองหลวงได้เฉลิมฉลองด้วย ทำเอาพวกชาวบ้านอยากจะให้เหมียวอี้แต่งงานอีกหลายๆ ครั้ง ดังนั้นจึงมีโคมไฟสีแดงแขวนประดับเยอะเป็นพิเศษ โดยเฉพาะพวกร้านค้าปลีก พวกเขายิ่งทุ่มเทสุดความสามารถ ถึงอย่างไรพวกเขาก็คือกลุ่มคนที่ได้ยกเว้นภาษีรายใหญ่ เป็นคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด ด้วยเหตุนี้ทั้งเมืองหลวงจึงคึกคักกว่าปีที่ผ่านมา ภูเขาและแม่น้ำสว่างไสวไม่เหมือนตอนกลางคืน เต็มไปด้วยกลิ่นอายของการเฉลิมฉลอง

บ้านพักที่อยู่ตรงตีนเขาของยอดเขาหยกนครหลวง สมาคมร้านค้าแดนเซียนได้ปฏิเสธรับแขกไว้ล่วงหน้าแล้ว บ้านพักทั้งหมดล้วนเตรียมไว้รับรองแขกที่มาแสดงความยินดี นี่คือการแสดงน้ำใจจากสมาคมร้านค้าแดนเซียน ย่อมไม่คิดเงินเพิ่ม

ฉินเวยเวยที่สวมชุดสีแดงทั้งตัวกำลังนั่งทำผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง วันนี้นางสวยสดใสน่าประทับใจเป็นพิเศษ บนใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มเขินอายบางๆ นางที่ก่อนหน้านี้มีสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์เสียส่วนใหญ่ วันนี้เค้าโครงใบหน้าสวยละมุนกว่าปกติ

ชิงจวี๋ยืนยืนอยู่ข้างๆ ฉินเวยเวย กำลังเตือนอีกครั้งว่าตอนเข้าห้องหอควรจะรับมืออย่างไร กลัวว่าฉินเวยเวยจะไม่เข้าใจเรื่องระหว่างชายหญิง ทำให้ฉินเวยเวยหน้าแดงเพราะเขินอาย แต่กลับยังพยักหน้าตอบเสียงเบา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชิงจวี๋บอกแบบนี้ หงเหมียน ลู่หลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ฟังจนหน้าแดงเช่นกัน แต่กลับหูผึ่งจดจำเอาไว้ เผื่อในภายหลังจะได้ใช้

ลูกสาวของคุณชายรองแห่งแดนโพ้นสวรรค์จะแต่งงาน ฮูเหยียนไท่เป่า จงเจิ้น ถังจวิน หงเฉินก็มากันหมด แต่เยว่เหยาไม่ได้มา บอกว่าข้างกายท่านอาจารย์จะขาดคนไม่ได้ ต้องการจะอยู่เป็นเพื่อนท่านอาจารย์

ท่านทูตสายต่างๆ ของแดนเซียนมากันครบ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าเหมียวอี้ สำหรับเหมียวอี้ที่เอาชีวิตของพวกเขาไปต่อรอง พวกเขาไม่ได้รู้สึกดีด้วยสักเท่าไร มาเพราะไว้หน้าคุณชายรองอันหรูอวี้กับโอวหยางกวงเพื่อร่วมงานแท้ๆ

ประมุขปราสาทของสายมะโรงก็มากันหมด ส่วนระดับที่ต่ำกว่านั้น หยางชิ่งไม่อยากกระพือข่าวให้รู้กันทั่ว เขาไม่อยากให้ทำให้ใหญ่โตเกินหน้าเกินตาอวิ๋นจือชิวในปีนั้น จึงโน้มน้าวไว้ล่วงหน้าแล้ว ส่วนที่เหลือก็เป็นสหายของเหมียวอี้ ถ้าไม่เชิญมาก็จะฟังดูเหลวไหล

ส่วนคนจากแดนอื่นๆ นอกจากไต้ซือศีลเจ็ดกับศีลแปดที่เป็นลูกศิษย์ ก็ไม่มีคนอื่นมาเข้าร่วมแล้ว พวกนั้นไม่ฆ่าเหมียวอี้ทิ้งก็ดีเท่าไรแล้ว จะมาแสดงความยินดีได้อย่างไร แม้แต่แดนมารก็ไม่มีมาสักคน เหมียวอี้แต่งงานรับอนุภรรยา ในความคิดของพวกเขา นี่คือเรื่องที่ไม่เป็นธรรมสำหรับอวิ๋นจือชิว ย่อมไม่มาประสมโรงด้วยอยู่แล้ว

ประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรก็ไม่ต้องพูดถึง แม้แต่กลุ่มราชาปีศาจก็พามาด้วย

เจ้าสำนักของสำนักใหญ่ๆ ในสายมะโรงก็มาแทบจะหมด

ถึงแม้จะจัดงานอย่างเรียบง่าย แต่กลับยังคงคึกคัก ถึงอย่างไรเมื่อเทียบอาณาเขตหนึ่งปราสาทกับอาณาเขตหนึ่งสาย ฐานะก็ไม่เหมือนกันแล้ว

มีคนสนิทคุ้นเคยไม่น้อยที่โวยวายต้องการจะพบเหมียวอี้ แต่เหมียวอี้กลับไม่โผล่มาแม้แต่เงา ก็ช่วยไม่ได้ เพราะอายไงล่ะ แต่งงานอนุภรรยาก็ว่าอายแล้ว นี่ยังแต่งเข้ามาทีเดียวสามคน ถ้าวนไปเล่นด้วยทุกคนเขาก็ไม่ไหวเหมือนกัน จึงหลบไปก่อนดีกว่า

เกี้ยวเจ้าสาวจากสายชวดมาแล้ว ไม่ได้ทำให้ฮือฮาเลยจริงๆ เป็นเกี้ยวหนึ่งหลังสองที่นั่ง ประดับด้วยผ้าสีแดง พากองทหารมานิดหน่อย เหาะลงมาจากฟ้าโดยอันหรูอวี้และโอวหยางกวงที่สวมชุดสีแดงคุ้มกันมาส่ง

เกี้ยวลงมาจอดตรงจุดที่กำหนดไว้ล่วงหน้า หญิงงามคู่หนึ่งที่คลุมศีรษะด้วยผ้าแดงถูกเชิญลงมา หญิงรับใช้ของแต่ละคนเข้ามาประคองเข้าไปอยู่ในห้องเพื่อรอฤกษ์ยาม ฉินเวยเวยที่มาถึงก่อนนั่งรออยู่บนเก้าอี้แล้ว โดยมีหงเหมียน ลู่หลิ่วยืนอยู่เป็นเพื่อนทางซ้ายและขวา

พอโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนเข้ามา เจ้าสาวทั้งสามมองไม่เห็นภาพเหตุการณ์ภายนอก แต่แววตาของหญิงรับใช้ทั้งหกกลับแทบจะมีประกายไฟออกมา เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาเป็นศัตรู

หญิงรับใช้ทั้งสองของโอวหยางหลางชื่อว่า จือฉิน จือฉี ส่วนหญิงรับใช้ของโอวหยางหลางชื่อว่า จือซู จือฮว่า ทั้งสี่คนหน้าตาสวยโดดเด่น ด้วยฐานะวงศ์ตระกูลของฝาแฝด ย่อมไม่เลือกคนธรรมดาสามัญมาเป็นหญิงรับใช้ประจำตัวอยู่แล้ว ต่างก็เลือกมาอย่างพิถีพิถัน ชื่อของหญิงรับใช้สี่คนนี้ เมื่อรวมกันแล้วก็จะได้ฉินฉีซูฮว่า[1] จะว่าไปแล้วก็ต้องแต่งเข้ามาด้วยเหมือนกัน แต่จนใจที่ฉินฉีซูฮว่าเป็นสิ่งที่เหมียวอี้ไม่ถนัดเลย แต่คนชื่อนี้กลับมากันครบ ช่างเป็นการเยาะเย้ยเสียดสีเขาจริงๆ

อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงไม่ได้เข้ามา พวกเขายังมีธุระของตัวเองอีก

เมื่อถึงเวลาตามฤกษ์ ด้านนอกก็เสียงดนตรีของสรวงสวรรค์ เหมียวอี้ที่หลบจนถึงตอนสุดท้าย ในที่สุดก็ออกมาแล้ว ประดับด้วยผ้าสีแดงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เขามาพร้อมเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ และมีเหยียนซิวเดินนำหน้าเพื่อคอยชี้แนะขั้นตอน

แต่งงานรวดเดียวสามคน การเตรียมการก่อนหน้านี้ช่างน่าปวดหัวจริงๆ สถานการณ์สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นตอนนี้ เหมียวอี้เข้ามารับเจ้าสาวทั้งสามคน ตัวเองเดินนำหน้าเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เข้ามา ส่วนเจ้าสาวสามคนนั้น ต่างคนก็ต่างก็มีหญิงรับใช้สองคนคอยประคองอยู่ข้างหลัง คลุมผ้าแดงที่ศีรษะและยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ข้างหลัง

เมื่อภาพประหลาดแบบนี้ปรากฏอยู่ในพิธีมงคล ก็มีแขกไม่น้อยที่กลั้นขำ บางคนกัดริมฝีปากจนเหนื่อยมาก กัดจนแทบเลือดไหล เกือบจะหลุดขำออกมาแล้ว ศีลแปดที่กำลังดูพิธีกำลังประนมมือกล่าวว่าอามิตตาพุทธไม่หยุด ในใจเขาขำกลิ้งไปหลายตลบ แต่ใบหน้ายังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคี นิสัยแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบติด ทั้งงานนี้หาใครมาเทียบเขาไม่ได้แล้ว ใครกล้าบอกว่าเขาแค่วางมาดภูมิฐาน

ไต้ซือศีลเจ็ดก็กลั้นยิ้มเล็กน้อยเช่นเดียวกัน พอหันกลับมามองลูกศิษย์ตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ ลูกศิษย์คนนี้ช่างเป็นคนอัปมงคลจริงๆ ไม่เคยเห็นใครเสแสร้งเก่งขนาดนี้มาก่อนเลย!

แขกที่ยืนอยู่สองฝั่งของพรมแดงแอบส่งสายตาหยอกล้อ เหมียวอี้รู้สึกอยากจะแทรกแผ่นดินหนี วาสนาแบบนี้เขารับไม่ไหวจริงๆ

มีบางคนกำลังแอบถ่ายทอดเสียงคุยกัน “การแต่งงานรับอนุภรรยารอบนี้ บอกว่าแต่งสามคน พอนับรวมหญิงรับใช้เข้าไปด้วย ก็เท่ากับได้รวดเดียวเก้าคน ใช้ได้เลย”

อวิ๋นจือชิวยืนมองบรรยากาศภายนอกอยู่ริมหน้าต่างบนตึกปราสาททอง ใบหน้าอมยิ้มเล็กน้อย ความรู้สึกที่แท้จริงมีแค่ตัวนางที่รู้ ในเวลานี้นางจะปรากฏตัวหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว นางเลือกที่จะหลบอยู่หลังม่าน

ภายใต้เสียงประกาศในพิธีการ เหมียวอี้นำเจ้าสาวทั้งสามคำนับฟ้าดินและคำนับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ย่อมเป็นอันหรูอวี้ โอวหยางกวงและหยางชิ่งนั่งเรียงกัน เดิมทีนี่คือเรื่องมงคล เพียงแต่เมื่อมีการคำนับพร้อมกันมากกว่าสองคน รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาจึงดูฝืนทน

มีเพียงตอนสุดท้ายที่สามีภรรยาคำนับกัน เหมียวอี้เพียงโค้งตัวคำนับเท่านั้น ตอนที่คำนับฟ้าดินกับผู้ใหญ่ก็โค้งตัวเหมือนกันหมด ตอนแต่งงานกับอวิ๋นจือชิวถึงจะเรียกว่าเป็นการคุกเข่าคำนับที่แท้จริง ภรรยาเอกกับอนุภรรยายังมีความแตกต่างในด้านพิธีอยู่บ้าง เป็นการแบ่งแยกลำดับความสำคัญจริงๆ

สุดท้ายก็ส่งตัวเข้าห้องหอ ทั้งหมดรวมอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน แบ่งเป็นห้องหอสามห้อง เมื่อส่งเข้าประตูบ้านก็ถือว่าส่งตัวเข้าห้องหอแล้ว หญิงรับใช้ทั้งหกประคองเจ้าสาวทั้งสามเข้าไปในห้อง ก็ช่วยไม่ได้ เหมียวอี้มีแค่คนเดียว ไม่สามารถแยกเป็นสามร่างได้

จากนั้นเหมียวอี้ก็ออกจากบ้านมารับแขก ส่วนเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ทำภารกิจเสร็จแล้วก็ถอยกลับไปอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว ตอนที่เหมียวอี้กลับมาอีกครั้ง ก็มีหญิงรับใช้ของเจ้าสาวทั้งสามคนคอยรับใช้อยู่แล้ว

ในงานเลี้ยง ท่านขุนนางเหมียวยังมีหน้าตามีตา เพราะไม่ได้ดื่มสุราจนเมามาย แต่คำพูดหยอกล้อกลับทำให้เขามึนแทน

ยกตัวอย่างเช่น มีบางคนตะโกนว่า “คุณชายห้า เข้าห้องหอคนเดียวไหวรึเปล่า?”

ทุกคนหัวเราะลั่น เหมียวอี้อับอายมาก รีบดื่มสุราฉลองทีละโต๊ะอย่างรวดเร็วแล้วหนีไป แทบจะหนีหัวซุกหัวซุน รับไม่ไหวแล้วจริงๆ

มีบางคนตะโกนว่า “เจ้าบ่าวอย่าหนีสิ ไม่ต้องรีบเข้าห้องหอ คิดให้ดีก่อนว่าจะเข้าห้องไหนแล้วค่อยไป”

เหมียวอี้จะกล้าหันกลับมาได้อย่างไร หลังจากเข้าเขตลานบ้านของเรือนหอมาแล้ว เขาถึงได้โล่งใจ ในที่สุดก็หลุดพ้นจากคำพูดฉีกหน้าพวกนั้นเสียที ช่วงเวลาที่น่าอึดอัดที่สุดผ่านไปแล้ว ส่วนเรื่องการเข้าห้องหอที่เหลือ เขาก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร

แต่พอกวาดสายตามอง เหมียวอี้ก็ปวดหัวทันที หงเหมียน จือฉิน จือซู แต่ละคนยืนอยู่หน้าประตูห้อง ต่างก็กำลังมองเหมียวอี้ตาปริบๆ ดูจากท่าทางแบบนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวจะเสียมารยาท ก็คงแทบจะฉุดเหมียวอี้เข้าไปในห้องเจ้านายตัวเองแล้ว

เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง พบว่าเหยียนซิวที่เดินตามหลังมาได้หนีไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ กับเรื่องแบบนี้ แม้แต่คนจัดงานอย่างเหยียนซิวก็ไม่มีทางเตรียมการล่วงหน้าได้เช่นกัน

หลังจากไตร่ตรองเงียบๆ สักพัก เหมียวอี้ก็หันตัวเดินไปยังห้องที่จือซูยืนอยู่ สีหน้าของจือซูดูตื่นเต้นประหลาดใจขึ้นมาทันที รีบหันตัวไปเปิดม่าน แล้วตะโกนเข้าไปในห้อ “ท่านเขยมาแล้ว!”

เมื่อเห็นเหมียวอี้เข้าไปในห้องของโอวหยางหวนก่อน หงเหมียนก็ทำสีหน้าผิดหวัง ส่วนจือฉินที่เฝ้าอยู่อีกห้อง ถึงแม้จะผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ก็ยังเชิดหน้าท้าทายใส่หงเหมียนได้ ถึงอย่างไรนางกับฝ่ายนั้นก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ต้องร่วมมือกันสู้กับคนนอก

เทียนสีแดงในห้องหอสว่างมาก ช่วยขับผ้าแพรสีแดงให้เด่นชัดขึ้น โอวหยางหวนนั่งอยู่ข้างเตียงอย่างสงบนิ่งเรียบร้อย พอเหมียวอี้ใช้สองมือเปิดผ้าคลุมศีรษะสีแดงของอีกฝ่าย ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าก็เด่นสง่ามีราศีขึ้นมา ภายใต้ฤทธิ์สุรา สาวงามตรงหน้ากลับทำให้เหมียวอี้ตาเป็นประกายเล็กน้อย นึกถึงภาพวาบหวิวที่ทะเลทรายม่านเมฆาขึ้นมาโดยจิตใต้สำนึก

แววตาของโอวหยางหวนดูอึดอัดมาก เห็นได้ชัดว่าความตื่นเต้นกังวลได้ข่มความเขินอายไปแล้ว จือฮว่าประคองนางให้ลุกขึ้น แล้วจือซูก็ยกสุราเข้ามา หลังจากทั้งสองคล้องแขนดื่มสุรากันแล้ว โอวหยางหวนก็คำนับเสี่ยงสั่น และเรียกเขาว่าท่านสามี

“เอ่อคือ เจ้าคือ…” ที่จริงเหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่าจัวเองเข้ามาในห้องหอของใคร เพราะสองพี่น้องหน้าตาเหมือนกันมาก เขาแยกไม่ออกจริงๆ ว่าใครเป็นใคร

จือซูที่อยู่ข้างๆ เข้าใจที่เขาสื่อ จึงรีบเตือนว่า “เป็นหวนฮูหยินเจ้าค่ะ”

จากนั้นหญิงรับใช้ทั้งสองก็เชิญให้คู่บ่าวสาวนั่งลง แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะบอกโอวหยางหวนที่อยู่ข้างๆ ว่า “ข้าจะไปที่ห้องพี่สาวเจ้าสักหน่อย”

“ค่ะ” โอวหยางหวนตอบเสียงต่ำ

เมื่อเห็นเหมียวอี้ออกจากห้องโอวหยางหวน แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปในห้องโอวหยางหลางอีก หงเหมียนก็เม้มริมฝีปากแน่น หันไปมองห้องที่อยู่ข้างหลังตัวเอง นางรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนเจ้านาย ตอนนี้ตาแดงก่ำแล้ว

โชคดีที่เหมียวอี้ไม่ได้ทำให้นางผิดหวังนานเกินไป ไม่นานก็ออกจากห้องโอวหยางหลาง แล้วมุ่งตรงมาทางนี้ หงเหมียนใช้มือปาดตาครั้งหนึ่ง แล้วรีบเปิดประตูต้อนรับเขาทันที

ตรงหน้าต่างบนตึกของปราสาททอง อวิ๋นจือชิวสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ของบ้านที่อยู่รอบๆ ได้ นางเฝ้าสังเกตห้องหอและหลุดขำออกมา จากนั้นก็ส่ายหน้าถอนหายใจ หันกลับไปมองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างหลัง แล้วพูดหยอกว่า “แค่เข้าห้องหอก็ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว งานยุ่งจริงๆ อย่าเหนื่อยเสียก่อนล่ะ!”


930

บำเพ็ยเพียรจนบรรลุ


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นเชียนเอ๋อร์ก็รีบตอบทันทีว่า “ใช่เจ้าค่ะ พวกนางจะมีวาสนาเหมือนฮูหยินได้อย่างไร”

อวิ๋นจือชิวกวาดตามองทั้งสองอย่างไม่ใส่ใจ รู้ว่าทั้งสองคิดอะไรอยู่ พวกนางกลัวตนจะหึงหวง จึงรับยิ้มบางๆ ก่อนจะทอดสายตามองเมืองหลวงที่สว่างพร่างพราวอยู่ภายใต้ความมืดยามราตรี แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “คืนนี้ทิวทัศน์ยามราตรีช่างงดงามยิ่งนัก!”

นางใจกว้างจริงหรือไม่ มีแต่นางเท่านั้นที่รู้ดีอยู่แก่ใจ ความรู้สึกในตอนนี้ ไม่คุ้มที่จะบอกให้คนอื่นรู้ ไม่ต้องพูดอะไรมากเกินความจำเป็น นางเองก็ไม่อยากใช้คำพูดสวยหรู ขอแค่เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อผู้ชายคนนั้น นางล้วนเต็มใจทำให้

งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป ในงานกลับมีคนสองกลุ่มที่ที่สนใจสถานการณ์ทางห้องหอเป็นพิเศษ

อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงกำลังทักทายแขกด้วยกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่นานก็มีคนมาถ่ายทอดเสียงรายงานเงียบๆ ว่า “ท่านเขยเข้าห้องคุณหนูรองก่อนขอรับ”

เมื่อได้ยินดังนั้น สองสามีภรรยาก็โล่งใจ รอยยิ้มบนใบหน้าชัดเจนขึ้นกว่าเดิม

ผ่านไปไม่นานก็มีคนมารายงานอีกว่า “ท่านเขยเข้าไปที่ห้องของคุณหนูใหญ่อีกขอรับ”

สองสามีภรรยาเรียกได้ว่ายิ้มหน้าบานด้วยความปีติยินดี ต้อนรับแขกอย่างอบอุ่นและดื่มฉลองหลายจอก

รายงานแบบเดียวกันมาถึงหูหยางชิ่งติดต่อกัน ทำให้มือที่ถือจอกสุราสั่นเล็กน้อย ยากจะบรรยายอารมณ์คับแค้นเศร้าโศกในใจ แค่เป็นอนุภรรยาก็ไม่ยุติธรรมกับลูกสาวแล้ว ตอนนี้ก็ยิ่ง… เขาเพียงแค้นใจที่ตัวเองมีอำนาจไม่มากพอ ทำให้ลูกสาวตัวเองได้รับความอัปยศเช่นนี้ ละอายใจที่เกิดมาเป็นพ่อคน!

ในสายตาเขา เหตุผลนั้นชัดเจนเกินไปแล้ว แค่เพราะตนมีอำนาจอิทธิพลไม่มากพอ เหมียวอี้ถึงได้มองข้ามลูกสาวของตนแบบนี้!

“มา! ดื่ม!” จู่ๆ เสียงของหยางชิ่งดังขึ้นหลายส่วน เขาบอกลูกน้องด้วยท่าทางสบายใจ ถึงขั้นแย่งกาสุราจากมือลูกน้องมาไว้ในมือตัวเอง แล้วกรอกลงปากอย่างดุดัน

ทว่าคนอื่นไม่รู้ว่าในใจเขารู้สึกอย่างไร ยังคงกู่ร้องด้วยความยินดี!

จนกระทั่งได้รับรายงานว่าเหมียวอี้เข้าไปอยู่ที่ห้องของสองคนนั้นไม่นาน แล้วสุดท้ายก็ไปที่ห้องของฉินเวยเวย หยางชิ่งจึงสุขุมเยือกเย็นขึ้นหลายส่วน ไม่ได้ดื่มมากจนเมามายเสียอาการ…

ผ้าคลุมศีรษะสีแดงถูกเปิดออกเบาๆ ฉินเวยเวยนั่งอยู่ข้างเตียงอย่างสงบนิ่งเหมือนหญิงสาวบริสุทธิ์ แพขนตายาวของนางขยับเล็กน้อย เมื่อช้อนสายตาขึ้นประสานกับสายตายิ้มหยอกของเหมียวอี้ นางก็เขินอายจนทำอะไรไม่ถูก หน้าแดงจนถึงคอ ดูสวยหยาดเยิ้มไร้ที่สิ้นสุด

ก่อนหน้านี้นางได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอกแล้วเช่นกัน รู้ว่าเหมียวอี้ไปที่ห้องของอีกสองคนก่อน ถ้าจะบอกว่าในใจไม่คิดอะไรเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ในตอนนี้นางโยนความคิดทุกอย่างทิ้งไว้ข้างหลังหมดแล้ว แม้แต่การประพฤติตัวในห้องหอที่ชิงจวี๋สอนไว้ก่อนหน้านี้ นางก็ลืมหมดแล้วแล้วเช่นกัน เหลือเพียงความเขินอายและหวานชื่นที่เต็มเปี่ยม รู้เพียงว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตนจะได้กลายเป็นผู้หญิงของคนที่อยู่ตรงหน้าแล้ว

ผ่านไปไม่นาน ลู่หลิ่วก็ประคองนางให้มานั่งตรงข้ามกับเหมียวอี้ หยิบจอกสุราที่หงเหมียนถือมาให้ แล้วคล้องแขนดื่มด้วยกัน ตอนที่สายตาของทั้งสองประสานกัน บอกไม่ถูกว่าเป็นรสชาติอย่างไร

สำหรับคำว่า “ท่านสามี” เหมียวอี้ไม่สะทกสะท้านอะไร แต่ในใจฉินเวยเวยกลับหวานชื่นมาก รู้สึกเหมือนเผชิญความลำบากยากแค้นมาเป็นเวลายาวนาน แล้วสุดท้ายก็ได้บำเพ็ญเพียรจนบรรลุเสียที

หงเหมียน ลู่หลิ่วกลับเป็นกังวลมาก ก่อนหน้านี้เห็นเหมียวอี้เข้าๆ ออกๆ สองห้องนั้น ไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวจะหนีไปอีกหรือเปล่า ถ้าปฏิบัติตามขั้นตอนที่สำคัญที่สุดไม่ครบ จะนับว่าเป็นการเข้าห้องหอที่สมบูรณ์แบบได้อย่างไร

โชคดีที่เหมียวอี้ยิ้มแล้วบอกว่า “ถอดเครื่องประดับให้หรูฮูหยินเถอะ”

ที่เรียกว่า ‘หรูฮูหยิน’ ก็หมายถึงอนุภรรยา หมายถึง ‘ราวกับฮูหยิน’ หรือจะเข้าใจได้ว่า ‘ไม่เทียบเท่ากับฮูหยินที่เป็นภรรยาเอก’ นี่ก็คือความแตกต่าง

หญิงรับใช้ทั้งสองพยักหน้าซ้ำๆ รีบมาถอดมงกุฎให้ฉินเวยเวย

ผมงามที่เคยถูกเกล้าม้วนขึ้นห้อยตกลงมาประบ่าของฉินเวยเวย หญิงรับใช้ทั้งสองรีบเข้ามาช่วยนางจัดให้เป็นระเบียบ กลัวว่าจะไม่น่ามอง

ภายใต้แสงเทียนที่สั่นไหว ขณะมองฉินเวยเวยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเขินอาย นี่เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้เห็นนางตอนปล่อยผม ภาพที่ถ้ำล่องนิภายังอยู่ในความทรงจำ นางทำร้ายเขาจนบาดเจ็บ แล้วตอนหลังก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาหลายครั้ง ตอนนั้นเรียกได้ว่าเกลียดผู้หญิงคนนี้จนอยากฆ่าทิ้ง แต่สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปตามวันเวลาที่ผันผ่าน ใครจะคิดว่าวันหนึ่งนางจะได้มาร่วมห้องหอกับเขา เรื่องบางเรื่องก็มหัศจรรย์มากจริงๆ หรือนี่จะเป็นสิ่งที่คนเรียกกันว่าบุพเพสันนิวาส

“คืนนี้ไม่ไปไหนแล้ว ค้างที่นี่แล้วกัน พวกเจ้าออกไปเถอะ!” เหมียวอี้หันกลับมาสั่ง

หงเหมียน ลู่หลิ่วทำสีหน้าตื่นเต้นดีใจทันที พวกนางคำนับอำลาพร้อมกัน ตอนที่ออกไปก็ปิดประตูให้อย่างดี

ไม่ต้องอธิบายแล้วว่า ‘คืนนี้ไม่ไปไหนแล้ว’ หมายความว่าอย่างไร ใช่ว่าฉินเวยเวยจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย หน้าก้มหน้าก้มตาทันที

เหมียวอี้ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งไปตรงหน้านาง ฉินเวยเวยอึ้งไปครู่หนึ่ง เงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ ความคิดในหัวเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ชิงจวี๋เหมือนจะไม่เคยสอนว่าตอนเข้าห้องหอจะมีการทำแบบนี้ แล้วจะให้นางตอบสนองอย่างไรล่ะ? นางรู้สึกลนลานขึ้นมาทันที

เหมียวอี้ยิ้มตาหยีพร้อมถามว่า “เวยเวย จะเป็นสหายของข้าต่อไป หรือจะเป็นผู้หญิงของข้า?”

ฉินเวยเวยรู้ตัวทันที ว่าเขากำลังล้อนางเล่น เจตนาที่แท้จริงของการแปะมือเป็นสหายในปีนั้น เห็นได้ชัดว่าถูกเปิดโปงแล้ว ยิ่งทำให้นางเขินอายสุดๆ จึงเอ่ยเรียกเสียงเบาว่า “ท่านสามี!” แบบนี้เพียงพอที่จะแสดงที่จะแสดงท่าทีแล้ว

“จะให้หงเหมียน ลู่หลิ่วเข้ามาช่วยข้าถอดเสื้อผ้า หรือเจ้าจะทำเอง?” เหมียวอี้กางแขนสองข้างด้วยสีหน้าหยอกล้อ

เวลาแบบนี้จะให้คนอื่นช่วยได้ย่างไร ฉินเวยเวยกัดริมฝีปากด้วยความเขินอาย ยื่นมือเรียวงามทั้งคู่ที่สั่นเล็กน้อยออกไป เริ่มช่วยถอดเสื้อผ้าให้เหมียวอี้อย่างเก้ๆ กังๆ  นางไม่เคยช่วยผู้ชายทำเรื่องแบบนี้มาก่อน เป็นเพราะก่อนหน้านี้ชิงจวี๋ฝึกสอนนางอย่างรวบรัด ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหน

นางถอดเสื้อผ้าไปแขวนไว้อย่างเป็นระเบียบตามขั้นตอน แล้วกลับมานั่งคุกเข่าช่วยถอดรองเท้าให้เหมียวอี้ ท่าทางที่ตื่นเต้นกังวลจนตัวสั่นแบบนั้น เหมียวอี้เห็นแล้วรู้สึกตลกมาก

ถึงแม้เหมียวอี้จะไม่ได้เข้าห้องหอเป็นครั้งแรก แต่เขากับอวิ๋นจือชิวเคยทำเรื่องน่าอับอายกันตั้งแต่ก่อนเข้าห้องหอแล้ว ดังนั้นย่อมมองไม่เห็นความตื่นเต้นกังวลใดๆ จากตัวอวิ๋นจือชิว สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกว่าน่าสนุกมาก

ต่อมาพอเห็นฉินเวยเวยตัวสั่นตอนถอดเสื้อผ้าให้ตัวเอง ก็ยิ่งทำให้เหมียวอี้แทบจะหัวเราะออกมา

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะถอดเสื้อผ้าให้ตัวเองอย่างไร สุดท้ายก็สวมแค่เสื้อผ้าชั้นในสีขาวบางมานั่งลงที่ขอบเตียงอย่างช้าๆ คลานขึ้นเตียงอย่างงุ่มงาม แล้วนอนเอนร่างกายที่เกร็งทื่ออยู่ข้างกายเหมียวอี้ หลับตารอให้ช่วงเวลานั้นมาถึง ไม่กล้าหันไปมองเหมียวอี้เลย

เหมียวอี้ที่กำลังนอนเอามือยันศีรษะมองนางหลุดขำอย่างอดไม่ได้ “เวยเวย ปกติเวลาเจ้าเข้านอน ตอนปีนขึ้นเตียงมือไม้อ่อนปวกเปียกแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?”

“ข้ากังวลและหวาดกลัวค่ะ!” ฉินเวยเวยลืมตาสองข้าง แล้วพึมพำตอบเบาๆ

“พอผ่านคืนนี้ไป เจ้าก็ไม่กลัวแล้ว” เหมียวอี้ใช้มือลูบใบหน้าของนาง ทำให้รู้สึกได้ทันทีว่านางสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

นางกังวลหวาดกลัว แต่เขากลับช่ำชอง พอจูบเบาๆ ลงบนริมฝีปากแดงสวย ฉินเวยเวยก็รู้สึกแทบหยุดหายใจทันที หลับตาแน่นสนิท รู้สึกได้ว่าเสื้อผ้าถูกถอดออกชิ้นแล้วชิ้นเล่า ตอนที่ผิวกายทั้งหมดสัมผัสกับอากาศ นางก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

ภายใต้แสงเทียน เรือนร่างที่งามประณีต ผิวขาวบอบบางน่าทะนุถนอม เกลี้ยงเกลามีส่วนเว้าส่วนโค้ง หน้าอกอิ่มเอิบเต่งตึงคือจุดเด่นของนาง ยามร่างงามดุจหยกแสดงอยู่ตรงหน้า เหมียวอี้ก็ควบคุมตัวเองไม่ไหวเช่นกัน

“ท่านสามี ข้ากลัว เห็นใจหน่อย…” ในช่วงเวลาสำคัญ เสียงเพ้อของของฉินเวยเวยถูกตัดด้วยเสียงครางแห่งความเจ็บปวด

ประตูของบ้านที่แร้นแค้นมีบุรุษมาเยือนเป็นครั้งแรก ดอกท้อเล็กๆ ผลิบานแดงฉานเป็นพิเศษ…

ที่ด้านนอกประตู หงเหมียน ลู่หลิ่วหูผึ่งฟังเสียงความเคลื่อนไหวในห้อง ทั้งสองได้รับคำสั่งจากชิงจวี๋ให้มา ‘แอบฟังหน้าห้องหอ’  เมื่อเสียงที่น่าอับอายดังขึ้น ทั้งสองก็หน้าแดงเช่นกัน รีบยืนตรงด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง เฝ้าหน้าประตูไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้มีคนบุกรุกเข้าไป

เมื่อเห็นประตูห้องนี้ปิด และเห็นหงเหมียน ลู่หลิ่วออกมาพร้อมกัน จือฉินกับจือซูที่เฝ้าอยู่อีกสองห้องก็สีหน้าเปลี่ยน หงเหมียนเองก็เชิดคางท้าทายอีกสองคน นับว่าเป็นการแก้เผ็ดเมื่อครู่นี้ สีหน้าของนางค่อนข้างอิ่มอกอิ่มใจ ทำเหมือนคนที่อยู่ในห้องหอเป็นตัวนางเองอย่างนั้นแหละ

ฮูหยินมีได้เพียงคนเดียว แต่อนุภรรยากลับมีสามคน ในฐานะที่เป็นคนข้างกายของเจ้านาย พวกนางย่อมหวังให้เจ้านายได้รับความเอ็นดูอยู่แล้ว การแย่งชิงความโปรดปรานคือธรรมชาติของผู้หญิง

หลังจากคลื่นลมพายุในห้องสงบลง เสียงสนทนาพึมพำที่ดังมาจากในห้องก็ยิ่งทำให้หงเหมียนกับลู่หลิ่วกลั้นขำ สองคนข้างในกำลังคุยกันเรื่องถ้ำล่องนิภา นายหญิงเหมือนจะถูกหยอกล้อหนักมาก พอนางแก้ตัวไปคำเดียว เสียงความเคลื่อนไหวที่ทำให้คนหน้าแดงก็ดังขึ้นอีก มีเสียงคนขอร้องให้ยกโทษให้…

พอถึงเที่ยงคืนแล้วยังไม่เห็นเหมียวอี้ออกมา จือฉินกับจือซูก็สีหน้าแย่มาก

จนกระทั่งฟ้าเริ่มสว่าง หงเหมียนมองดูสีของท้องฟ้า แล้วก็เงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวในห้องอีกนิดหน่อย หลังจากกำชับลู่หลิ่วแล้ว ถึงได้ทำตัวเหมือนไก่ตัวผู้ที่ลำพองใจ เงยหน้าเชิดอกเดินออกจากบ้านไป ปล่อยให้ลู่หลิ่วเฝ้าอยู่คนเดียว

จือฉินพยักหน้าให้จือซู จากนั้นก็รีบเดินออกไปเช่นกัน

งานเลี้ยงเลิกราตั้งนานแล้ว ในจวนผู้การใหญ่ หยางชิ่งกำลังหนังถือหนังสืออยู่หลังโต๊ะยาว ส่วนจะอ่านเข้าหัวหรือไม่นั้น มีเพียงแต่เขาเท่านั้นที่รู้ ชิงเหมยยืนเป็นเพื่อนอยู่จ้างๆ หันมองไปทางข้างนอกเป็นระยะ

ในลานบ้านด้านนอก ชิงจวี๋นั่งๆ ยืนๆ อยู่ในศาลา แล้วก็เดินไปเดินมาอย่างร้อนรนอยู่เป็นระยะ รอจนกระทั่งหงเหมียนมาถึง นางก็เดินเข้าไปรับทันที ดวงตาฉายแววสอบถาม

“ท่านสามีกับคุณหนูได้ร่วมห้องเป็นสามีภรรยากันแล้วเจ้าค่ะ” หงเหมียนถ่ายทอดเสียงตอบทันที

ชิงจวี๋โล่งใจแล้ว จากนั้นก็รีบนำนางเข้ามาในห้อง

หยางชิ่งที่กำลังถือหนังสืออ่านอยู่หลังโต๊ะยาวรีบเงยหน้า ชิงจวี๋พยักหน้าบอกเขา สีหน้าที่หยางชิ่งแบกความเครียดมาทั้งคืน ในที่สุดก็ผ่อนคลายลงแล้ว

หลังจากหงเหมียนคำนับแล้ว ก็รายงานว่า “ในคืนที่เข้าห้องหอ ท่านเขยค้างคืนกับคุณหนูค่ะ ไม่ได้จากไปไหน เมื่อคืนนี้คุณหนูผ่านไปได้ด้วยดีเจ้าค่ะ”

หยางชิ่งโล่งใจมาก ที่งานเลี้ยงเมื่อคืนนี้เขาโมโหแทบแย่ นึกว่าตัวเองมีอำนาจไม่เท่าอันหรูอวี้จนทำให้ลูกสาวได้รับความอับอาย พอมาดูตอนนี้แล้ว กลับเป็นตัวเองที่คิดมากไป เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าเมื่อคืนนี้เหมียวอี้จะอยู่กับลูกสาวเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ได้ไปร่วมห้องกับอีกสองคนที่เหลือ ด้วยฐานะของอนุภรรยาทั้งสามคน แค่มองปราดเดียวเหมียวอี้ก็รู้แล้วว่าควรให้ความสำคัญกับใคร แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้กระทั่งในคืนที่สำคัญขนาดนี้ เหมียวอี้ก็ไม่ได้ทำให้ลูกสาวตนน้อยเนื้อต่ำใจ ส่วนคนอื่นจะพอใจหรือไม่พอใจ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวพิจารณา อย่างน้อยก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาพิจารณาเมื่อคืนนี้

“ตบรางวัล!” หยางชิ่งวางหนังสือในมือแล้วเอียงหน้าพูดขัด ความหมายก็คือให้ตบรางวัลหนักๆ

ชิงเหมยนำแหวนเก็บสมบัติสองวงยื่นให้หงเหมียน แล้วสั่งว่า “อีกวงหนึ่งให้ลู่หลิ่ว”

หยางชิ่งบอกอีกว่า “หงเหมียน เจ้าจำไว้นะ ถ้าคุณหนูมีชีวิตที่ดี เจ้ากับลู่หลิ่วถึงจะมีชีวิตที่ดีได้ เข้าใจที่ข้าบอกมั้ย?”

หงเหมียนย่อมเข้าใจอยู่แล้ว นี่เป็นการบอกให้พวกนางทุ่มเทกายใจช่วยเหลือคุณหนูเมื่อไปอยู่ในสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตใหม่ นางเอ่ยรับทันที “เจ้าค่ะ!”

“ฟ้าสว่างแล้ว คุณหนูกับท่านเขยคงใกล้จะตื่นแล้ว รีบไปปรนนิบัติอาบน้ำเถอะ” ชิงเหมยกำชับอีก

หลังจากหงเหมียนออกไป ในที่สุดหยางชิ่งที่นั่งตรงนี้แทบทั้งคืนก็ลุกขึ้นแล้ว เดินเอามือไขว้หลังออกจากห้องหนังสือไป

ที่เรือนพักอีกแห่ง อันหรูอวี้และสามีที่ได้รับข่าวกลับสีหน้าแย่มาก ทั้งสองไม่มีทางจินตนาการได้ว่าผ่านคืนวันแต่งงงานไปได้อย่างไร ไม่น่าเชื่อว่าจะนั่งเฝ้าเปลวเทียนจนดับมอดอยู่ในห้องที่ว่างเปล่าเพียงลำพังโดยไม่ขยับไปไหน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเมื่อคืนนี้ลูกสาวทั้งสองรู้สึกอย่างไร

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าใครสำคัญกว่า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฝนตกทั่วฟ้า อย่างน้อยเจ้าก็ทำตัวให้เหมือนเข้าห้องหอหน่อยสิ ไม่น่าเชื่อเลย…

“ไอ้จัญไรรังแกกันเกินไปแล้ว!” โอวหยางกวงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วหันขวับไปจ้องอันหรูอวี้ “ต่อไปยังหวังอีกเหรอว่ามันจะดีกับหลางหลางและหวนหวน? เป็นฝีมือของเจ้าทั้งนั้น!”

ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน เขาคงไม่เฝ้าดูว่าผู้ชายคนอื่นกับลูกสาวตัวเองจะอยู่กันเป็นอย่างไร แต่เมื่อคืนมันคนละเรื่องกันเลย

931

ครอบครัวปรองดอง

ส่งตัวเข้าหอคืนแรก ได้กลายเป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง ขั้นตอนในการกลายเป็นภรรยาของนางช่างหวานชื่น

เป็นไปไม่ได้ที่จะนอนอยู่บนเตียงไปทั้งชีวิต การเปลี่ยนแปลงชั่วข้ามคืนนี้ ทำให้ฉินเวยเวยไม่ตื่นเต้นกังวลเหมือนตอนแรกแล้ว นางช่วยเหมียวอี้ใส่เสื้อผ้าอย่างเอาใจใส่ มือไม้ก็ไม่สั่นเหมือนตอนที่ได้สัมผัสผู้ชายเป็นครั้งแรกอีก ให้ความรู้สึกว่าเป็นธรรมชาติขึ้นหลายส่วน ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวานซึ้ง เปลี่ยนแปลงไปเพราะได้เป็นภรรยาของใครบางคนแล้ว

หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ผมยาวของนางยังสยายคลุมบ่า แต่กลับช่วยจัดแต่งทรงผมให้เหมียวอี้อย่างจริงจังและละเอียดรอบคอบ เมื่อเกล้าผมเสร็จแล้วก็รับปิ่นปักผมจากมือหงเหมียนมาปักที่มวยผมให้เหมียวอี้

เมื่อก่อนนางก็หวีผมให้ผู้ชายไม่เป็น เพิ่งได้รับการฝึกสอนอย่างรวบรัดจากชิงจวี๋ก่อนวันแต่งงานเช่นกัน

หงเหมียนและลู่หลิ่วยืนถือถาดรองอยู่ข้างๆ บนใบหน้าพวกนางแฝงไปด้วยรอยยิ้ม จินตนาการได้เลยว่าเมื่อคืนนี้คุณหนูจะต้องมีความสุขมากแน่นอน ความหวานซึ้งยังแขวนอยู่บนใบหน้าอยู่เลย แววตาที่มองเหมียวอี้ก็ดูออดอ้อนออเซาะ ทั้งสองรู้สึกปลื้มใจแทนฉินเวยเวยเช่นกัน

จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นฉินเวยเวยนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โดยมีหงเหมียน ลู่หลิ่วช่วยแต่งตัวทำผมให้ ส่วนเหมียวอี้ก็ยืนยิ้มตาหยีมองอยู่ข้างๆ

ในกระจก ฉินเวยเวยสบตากับเหมียวอี้อยู่เป็นระยะ ทำให้ดวงตางามวูบไหวเป็นระลอกคลื่น แฝงไปด้วยความรักความอ่อนโยน บางครั้งก็หลบสายตา มีทั้งความเขินอายและความหวานซึ้งเจือปน ใบหน้างามแดงระเรื่อ

หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้ว ก่อนที่จะออกไปข้างนอก ลู่หลิ่วก็รีบเก็บผ้าปูเตียงไปทิ้ง เพราะบนนั้นทิ้ง ‘ร่องรอย’ ของเหตุการณ์เมื่อคืนนี้เอาไว้ นั่นคือสิ่งที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของฉินเวยเวยเช่นกัน ย่อมไม่สะดวกจะให้คนนอกเห็น เมื่อเดินออกจากประตูไปก็จะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว

เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะที่นี่เป็นเพียงห้องหอชั่วคราว ก็ไม่มีทางเลือก เพื่อให้เข้าห้องหอได้สะดวก ทำแบบนี้ถึงจะให้อนุภรรยาสามคนอยู่รวมกันได้ เมื่อผ่านคืนนี้ไปทั้งสามคนก็จะอยู่เรือนพักคนละหลังแล้ว ไม่มาเบียดรวมอยู่ด้วยกันอีก

เมื่อคู่รักทางฝั่งนี้เดินออกมา จือฉินกับจือซูที่เฝ้าอยู่ด้านนอกทั้งคืนก็รีบหันไปส่งสัญญาณบอกคนในห้อง โอวหยางหลางกับโอวหยางหวนจึงออกมาจากห้องพร้อมกัน ออกมาคำนับเหมียวอี้ แล้วอนุภรรยาทั้งสามคนก็คำนับกันและกัน

เหมียวอี้จ้องโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนเงียบๆ พักหนึ่ง มองออกได้อย่างชัดเจนว่าสองคนนี้กลัวเขานิดหน่อย ไม่กล้ามองเขาตรงๆ เลย พวกนางดูระมัดระวังและเป็นกังวล สีหน้าก็ไม่ค่อยดีเท่าไร ส่วนหญิงรับใช้ที่อยู่ข้างกายทั้งสอง ก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่าสีหน้าฝืนทนขนาดไหน

ในทางกลับกัน ทางฝั่งฉินเวยเวยกับหญิงรับใช้ทั้งสอง สีหน้าแต่ละคนดูดีอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะหงเหมียน ลู่หลิ่ว พวกนางทำท่าทางเหมือนอยู่เหนือกว่า วางท่าโอ้อวดให้ใครบางคนดู

“เมื่อคืนนี้ทำให้พวกเจ้าสองพี่น้องได้รับความไม่เป็นธรรม แต่ไม่เป็นไร วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล” เหมียวอี้ที่ไม่อยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ยังพูดปลอบโยนสองพี่น้องไปนิดหน่อย ที่จริงพอนึกว่าตัวเองเกือบตายด้วยน้ำมืออันหรูอวี้ ในใจเขาก็ยังรู้สึกเอือมระอาอยู่

สองพี่น้องไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร หลังจากเหมียวอี้หันตัวเดินออกไปแล้ว ทั้งสองกับฉินเวยเวยก็เดินตามหลังเหมียวอี้ไปด้วยกัน

เหยียนซิวกำลังรออยู่ตรงประตู บอกเหมียวอี้ว่า “ฮูหยินกำลังรออยู่ที่สวนรุกขชาติขอรับ”

เหมียวอี้นำเหล่าอนุภรรยาไปที่สวนรุกขชาติ อวิ๋นจือชิวยังคงแต่งตัวอลังการนั่งสง่าอยู่ในสวนดอกไม้ภายใต้แสงแดดอ่อนๆ เครื่องประดับศีรษะสะท้อนแสงวิบวับอยู่ในภายแสงแดดที่ส่องลงมา เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ยืนอยู่คนละฝั่ง ซ้ายขวามีกลุ่มนางในมายืนเป็นสักขีพยาน เหมือนจัดวางกำลังสู้รบเต็มที่

เมื่อเห็นเหมียวอี้ที่สวมชุดคลุมสีแดงเดินนำหน้ามา อวิ๋นจือชิวก็ทำท่าอมยิ้มอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง เหมือนกำลังถามว่าเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง เหมียวอี้เอามือลูบจมูกอย่างเคอะเขิน อยู่ใต้หนังตาฮูหยินแต่เข้าห้องหอกับผู้หญิงคนอื่น ทำตัวเป็นธรรมชาติได้ก็แปลกแล้ว

ข้างกายอวิ๋นจือชิวยังมีเก้าอี้วางอยู่ตัวหนึ่ง เหมียวอี้เดินเข้ามานั่งคู่กับนาง แล้วรับน้ำชาจากเชียนเอ๋อร์มาจิบคำหนึ่ง

“ฮูหยิน!” เจ้าสาวใหม่สามคนสวมชุดกระโปรงสีแดงเหมือนกัน ยืนเรียงแถวหน้ากระดานคำนับอวิ๋นจือชิว

อวิ๋นจือชิวเอียงหน้าถามเหมียวอี้ “ท่านสามี สามคนที่มาใหม่ต้องแบ่งแยกเล็กใหญ่รึเปล่า?”

เหมียวอี้รู้ว่าต่อไปต้องทำอะไร เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ไม่ต้องแบ่งแยกเล็กใหญ่หรอก ต่อไปเรียกกันว่าพี่สาวน้องสาวตามอายุแล้วกัน” พูดจบก็หันไปพยักหน้าให้โอวหยางหลางเบาๆ

หญิงรับใช้ของฝ่ายฝาแฝดโล่งใจแล้ว ถ้าแบ่งแยกเล็กใหญ่แล้วให้ฝ่ายนี้อยู่แถวหลัง พวกนางจะทนรับความรู้สึกได้อย่างไร

นางในที่อยู่ข้างๆ ยื่นถาดเข้ามาตรงหน้าโอวหยางหลาง แล้วนางก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาทันที เดินช้าๆ ไปตรงหน้าอวิ๋นจือชิว ใช้สองมือยื่นให้พร้อมกล่าวอย่างเคารพว่า “ฮูหยิน เชิญดื่มน้ำชาค่ะ!”

มอบน้ำชาด้วยนี้ให้หมายความว่าอย่างไร ทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ อวิ๋นจือชิวรับมาดื่มคำหนึ่งพอเป็นพิธี จากนั้นวางถ้วยน้ำชาลงข้างๆ แล้วพยักหน้ายิ้ม “ลำบากน้องหลางหลางแล้ว”

โอวหยางหลางตอบพอเป็นพิธี แล้วถอยกลับไปยืนที่เดิม เปลี่ยนเป็นโอวหยางหวนที่นำน้ำชามามอบให้ สุดท้ายถึงเป็นฉินเวยเวยที่ก้าวขึ้นมา

พอถึงตาฉินเวยเวย ดวงตาของอวิ๋นจือชิวก็ฉายแววหยอกล้อหลายส่วน ทำเอาฉินเวยเวยเขินอายมาก

เมื่อยื่นน้ำชาให้ดื่ม โอวหยางหลาง โอวหยางหวนและฉินเวยเวยก็เท่ากับได้แสดงท่าทีต่อหน้าทุกคนแล้ว ว่าทั้งหมดจะยกให้อวิ๋นจือชิวเป็นใหญ่ ส่วนพวกนางเป็นน้อย อวิ๋นจือชิวคือภรรยาเอก พวกนางคืออนุภรรยา ต่อไปจะต้องเชื่อฟังอวิ๋นจือชิว

น้ำชาคำนับก็ดื่มแล้ว อวิ๋นจือชิวกวาดตามองทั้งสามคน แล้วเริ่มกล่าวให้โอวาท “ในเมื่อเข้ามาอยู่ในบ้านของตระกูลเหมียวแล้ว ต่อไปทั้งหมดก็เป็นคนของตระกูลเหมียว ต่อไปน้องสาวทั้งสามก็เป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าเห็นตัวเองเป็นคนนอกเด็ดขาด บ้านเมืองมีกฎของบ้านเมือง ครอบครัวก็มีกฎของครอบครัว เมื่อแต่งงานเข้าตระกูลเหมียวแล้ว ผลประโยชน์ของตระกูลเหมียวต้องมาเป็นอันดับแรก ต่อไปนี้ถ้าข้าจับได้ว่าใครเป็นหนอนบ่อนไส้ เข้าข้างคนนอก ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ สายตาของพี่สาวทนมองคนประเภทนี้ไม่ได้จริงๆ ทุกคนเข้าใจตรงกันแล้วนะ?”

เมื่อวางมาดแบบนี้ให้เห็น ทั้งสามก็รู้สึกหนาวในใจ เอ่ยรับอย่างประหม่าพร้อมกันว่า “รับทราบค่ะ!”

พออวิ๋นจือชิวพยักหน้า นางในที่อยู่ข้างๆ ถึงได้แยกย้ายกันออกไป แล้วนำเก้าอี้สามตัวเข้ามาวาง เชิญให้อนุภรรยาทั้งสามนั่งประจำที่ แล้วนำน้ำชามาวางให้ทั้งสาม

ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ส่งสายตาให้เหมียวอี้ จากนั้นเหมียวอี้ก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกไปพร้อมกับนาง เดินไปยังจุดลึกของสวนรุกขชาติ

หลังจากหลบสายตาคนนอกแล้ว อวิ๋นจือชิวถึงได้หันมามองสอบสวนเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า พอมองจนเหมียวอี้รู้สึกเขินอายแล้ว ถึงได้พูดหยอกล้อว่า “ค่ำคืนของฤดูใบไม้ผลิผ่านไปเร็วมาก เจ้าไม่ได้เหนื่อยแย่หรอกใช่มั้ย?”

“พอแล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าวันนี้เจ้าต้องแกล้งข้าเล่นแน่ๆ มีอะไรไม่น่าฟังก็พูดมาให้หมดเถอะ วันนี้ต่อให้ทนไม่ไหวข้าก็จะทน” เหมียวอี้ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

หลังจากใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเหมียวอี้สองสามที แล้วเคลื่อนมือลงมาคล้องแขน อวิ๋นจือชิวถึงได้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “หนิวเอ้อร์ เมื่อคืนเจ้าทำเกินไปหน่อยนะ อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงถ่อมาหาข้าแต่เช้าเลย มาบอกว่าในภายหลังขอให้ข้าดูแลลูกสาวพวกเขามากๆ หน่อย อันหรูอวี้มาร้องไห้ต่อหน้าข้า เรียกได้ว่าร้องไห้วิงวอนข้าอย่างจริงจัง กลัวว่าลูกสาวจะไม่ประจบเอาใจเจ้า แล้วโดนข้าปฏิบัติด้วยอย่างโหดร้ายจนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ คุณชายรองผู้สง่าผ่าเผยของแดนโพ้นสวรรค์ เรียกได้ว่ายอมลดตัวลงมาประจบข้าแล้ว หัวใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ช่างน่าสงสาร!”

เหมียวอี้ได้ยินแล้วแสยะยิ้ม “ตอนนี้รู้จักนึกเสียใจทีหลังแล้วเหรอ ตอนแรกที่คิดจะเล่นงานข้าให้ถึงตาย นางก็ไม่ปรานีเลยสักนิด ถ้าไม่ใช่เพราะข้าดวงชะตาแข็ง จะรอดชีวิตมาถึงวันนี้ได้อย่างไร”

“หนิวเอ้อร์ ถ้าตำหนักหลังไม่สงบสุข เจ้าเองก็สบายใจไม่ได้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย ต่อไปก็เป็นคนครอบครัวเดียวกันแล้ว เรื่องในอดีตก็ปล่อยผ่านไปเถอะ อีกฝ่ายมอบลูกสาวให้เจ้าแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่หายโมโหอีก เชื่อฟังข้าเถอะ อย่าคิดเล็กคิดน้อยเลย” อวิ๋นจือชิวกล่าว

ทั้งสองเดินจูงมือกันอยู่ในสวนดอกไม้ เหมียวอี้นิ่งเงียบ ว่ากันตามจริง เมื่อเห็นท่าทางของโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนในตอนเช้า ในใจเขาก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิงที่เมื่อวานคำนับฟ้าดินพร้อมกับเขา แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยใจดำกับคนของตัวเองเลย

“ทำก็ทำไปแล้ว ยังจะให้ข้าทำอย่างไรได้อีก?” เหมียวอี้ถาม ในน้ำเสียงเจือความรู้สึกเสียใจนิดหน่อย

“หนิวเอ้อร์ ผู้หญิงที่บ้านนี้ล้วนเป็นคนของเจ้า เป็นคนที่คอยปรนนบัติเจ้าราวกับเป็นม้าเป็นวัว ผู้หญิงอย่างเราจะเอาแต่ใจบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก จะว่าไปก็เป็นการงอนเพราะอยากได้รับความรัก เจ้าเป็นลูกผู้ชายใจคอกว้างขวาง รับนิสัยเอาแต่ใจของพวกเราได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเปลี่ยนให้เจ้ามาทำนิสัยเอาแต่ใจใส่พวกเราบ้าง แบบนั้นก็ไม่มีความหมายแล้ว เจ้าเอาชนะพวกเราได้แล้วยังไงต่อล่ะ? ก้มหน้ายอมบ้างก็ไม่ทำให้เนื้อในร่างกายของเจ้าหายไปหรอก เชื่อข้าเถอะ คืนนี้ตั้งใจอยู่กับสองพี่น้องนั่นให้ดี ให้พวกนางได้เห็นรอยยิ้มของเจ้าบ้าง เรื่องราวมันผ่านไปแล้ว เจ้าแค่ปะเหลาะเอาใจผู้หญิงก็พอ ด้วยความสามารถอย่างท่านสามี อย่าบอกนะว่าการรับมือกับผู้หญิงแค่สองคนเป็นเรื่องยาก? หากครอบครัวปรองดอง ทุกเรื่องก็ราบรื่น!” อวิ๋นจือชิวเตือนปากเปียกปากแฉะด้วยความหวังดี

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน ยื่นมือเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งมาทัดบนศีรษะนาง แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เรื่องแบบนี้ข้าเป็นคนได้เสพสุข แค่รู้สึกว่าทำให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม”

อวิ๋นจือชิวหันตัวมากอดเขา แล้วพึมพำว่า “ข้าจดจำความดีของท่านสามีอยู่เสมอ หวังว่าท่านสามีจะจดจำความดีของข้าอยู่เสมอเหมือนกัน ถ้ามีจุดไหนที่ข้าทำไม่ถูก หวังว่าท่านสามีจะไม่เก็บมาใส่ใจ แค่นั้นก็พอแล้ว…”

หลังจากได้ฟังอวิ๋นจือชิวกำชับและปลอบโยนอย่างเอาใจใส่ เหมียวอี้ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะ จากนั้นเขาก็พาอนุภรรยาทั้งสามออกจากที่นี่เพื่อไปยังสวนดอกไม้อีกแห่งหนึ่ง อันหรูอวี้ โอวหยางกวง และหยางชิ่งกำลังรอให้ภรรยาใหม่ทั้งสามไปคำนับด้วยกัน

เมื่อเห็นสภาพลูกสาวทั้งสอง อันหรูอวี้กับสามีก็ปวดใจ ความกังวลทุกข์ใจที่อยู่ในแววตานั้นยากจะปิดบัง แต่กลับต้องฝืนยิ้มออกมา ในเมื่อยกให้แต่งงานกับอีกฝ่ายไปแล้ว ตอนนี้ยังจะทำอะไรได้อีก? ที่สำคัญคือตอนนี้ทั้งสองไม่มีอำนาจที่จะจัดการอะไรด้วยตัวเองมากนัก การลงโทษจากแดนโพ้นสวรรค์ใกล้จะมาถึงแล้ว เพียงแต่คนนอกไม่รู้เท่านั้นเอง ทั้งสองกลับรู้อยู่แก่ใจ รู้ว่าตัวเองไม่ได้มีหน้ามีตาเหมือนที่เห็นภายนอกอีกแล้ว

เมื่อเห็นฉินเวยเวยทำท่าทางเขินอายมีความสุข แล้วมองดูสีหน้าของอีกสองคน แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร หยางชิ่งชำเลืองมองอันหรูอวี้กับสามีที่อยู่ข้างๆ เขารับไม่ไหวกับการเปรียบเทียบเรื่องอื่น แต่พอมีอนุภรรยาคนอื่นให้เปรียบเทียบ ปมในใจที่ลูกสาวตัวเองเป็นอนุภรรยากลับบรรเทาเบาบางลงไม่น้อย แต่หยางชิ่งกลับมีความกังวลอีกอย่างเกิดขึ้นแทน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่ากำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับอันหรูอวี้และสามี

ครั้งนี้กลับถึงคราวที่เหมียวอี้ต้องทำพิธียกน้ำชาให้อันหรูอวี้ โอวหยางกวงและหยางชิ่ง

หลังจากนำอนุภรรยาทั้งสามคำนับผู้อาวุโสทั้งสามแล้ว พวกเขาก็ทักทายปราศัยกันนิดหน่อย จากนั้นอันหรูอวี้ยื่นมือเชิญเหมียวอี้ “เหมียวอี้ ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวหน่อย”

หลังจากมาอยู่ในที่ลับตาคน เหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะ “ไม่ทราบว่าท่านแม่ยายยังมีอะไรจะกำชับขอรับ?”

จะมีอะไรกำชับได้ล่ะ อันหรูอวี้ฝืนยิ้มเหมือนมีความสุข “เหมียวอี้ ข้ารู้ว่าเรื่องในอดีตข้าทำไม่ถูก นั่นเป็นความผิดของข้า เจ้าอย่าถือสาหญิงวัยกลางคนที่ความรู้พื้นๆ อย่างข้าเลย ถ้ามีอะไรที่ทำให้เจ้าไม่พอใจ เจ้าก็มาระบายความโกรธกับข้าได้เลย ข้าจะไม่พร่ำบ่นอะไรสักคำ แค่หวังว่าต่อไปนี้เจ้าจะดีกับหลางหลางกับหวนหวนสักหน่อย พวกนางไม่ได้ทำอะไรผิด ถือว่าข้าขอร้องก็แล้วกัน”

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ นึกขึ้นได้ถึงคำพูดของอวิ๋นจือชิว ที่บอกว่าก่อนหน้านี้อันหรูอวี้มาร้องไห้อ้อนวอนต่อหน้านาง เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกุมหมัดกล่าวว่า “ท่านแม่ยายคิดมากไปแล้ว เรื่องในอดีตผ่านพ้นไปแล้ว หลางหลางกับหวนหวนแต่งงานกับข้า กลายเป็นผู้หญิงของข้าแล้ว ตราบใดที่พวกนางไม่ได้ทำเรื่องผิดต่อข้า ต่อไปนี้ข้าก็จะไม่ปฏิบัติต่อพวกนางอย่างโหดร้ายแน่นอน หากท่านแม่ยายไม่เชื่อ ก็คอยตั้งตารอได้เลย… นับว่าเป็นคำสัญญาที่ลูกเขยให้ต่อท่านแม่ยาย!”

“งั้นก็ดีแล้ว งั้นก็ดี!” อันหรูอวี้พยักหน้าซ้ำๆ รู้สึกดีใจเหนือความคาดหมาย เหมือนปลาบปลื้มใจจนน้ำตาแทบไหล

932

ไตซือศีล7 ฝากฝัง

อีกด้านหนึ่ง หยางชิ่งเรียกลูกสาวที่กำลังเขินอายมาคุยด้วย

“เวยเวย เมื่อคืนเหมียวอี้ไม่ได้ทำให้เจ้าน้อยเนื้อต่ำใจเจ้าใช่มั้ย?” หยางชิ่งเอ่ยถามก่อน

เมื่อเอ่ยถามแบบนี้ ฉินเวยเวยก็หน้าแดงเหมือนก้นลิงทันที นางกระทืบเท้าเล็กน้อย พลางกล่าวอย่างขวยเขินว่า “ท่านพ่อคะ!”

หยางชิ่งชะงักไป เข้าใจทันทีว่านางเข้าใจความหมายผิด นึกว่าตนพูดถึงเรื่องบนเตียง ตนไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายขนาดนั้นหรอกมั้ง? เขารู้สึกเช่นกันว่าตัวเองถามได้ไม่ดี จึงรีบโบกมือพูดกลั้วหัวเราะว่า “ได้ๆๆ ไม่ถามแล้ว พ่อพูดผิดไป พ่อมีอีกเรื่องหนึ่งจะพูดกับเจ้า”

ตอนนี้ฉินเวยเวยถึงได้ใจเย็นลง แล้วกล่าวอย่างถ่อมตัวมีมารยาท “ลูกสาวจะตั้งใจฟังค่ะ”

หยางชิ่งชะงักอีครั้ง ดวงตาฉายแววสับสน พบว่าพอนางแต่งงานไป ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงทันที

หลังจากจัดระเบียบความคิดตัวเอง หยางชิ่งก็กล่าวอย่างลังเล “คืออย่างนี้นะ ก่อนหน้านี้พ่อไม่อยากให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม ตอนที่เลือกคฤหาสน์ให้เจ้า พ่อใช้ความพยายามไปพอสมควร พ่อเป็นผู้การใหญ่ของที่นี่ อดไม่ได้ที่จะใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้วรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ถ้าจะสนใจเรื่องหน้าตาศักดิ์ศรี ไม่สู้สนใจสิ่งที่อยู่ภายในดีกว่า ถ้าเจ้าจะครองทั้งศักดิ์ศรีหน้าตาทั้งหัวใจของเขา มันก็ไม่เกิดผลดีอะไรกับเจ้า ดังนั้นสิ่งที่พ่อจะบอกก็คือ อยากให้เจ้าปล่อยคฤหาสน์หลังที่ใหญ่และดีที่สุดไป ปล่อยให้พวกนางสองพี่น้องไปเสีย เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

ฉินเวยเวยย่อมไม่คัดค้านเรื่องนี้อยู่แล้ว

ทว่าพอมาคุยกันอีกที อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงกลับไม่เห็นด้วย พวกเขารู้สถานการณ์ของครอบครัวตัวเองดี ไม่อยากให้ลูกสาวตัวเองทำตัวโดดเด่นเกินไป

เมื่อคืนยังคิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่ลูกเขยเข้าห้องหอของใครก่อนอยู่เลย ตอนนี้กลับถ่อมตัวมีมารยาทแล้ว ใจคนยากจะคาดเดาจริงๆ

แต่ไม่ว่าอวิ๋นจือชิวหรือเหมียวอี้ก็ไม่อยากเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ ไม่อยากให้ดูเหมือนลำเอียงเข้าข้างใคร

ทั้งสองฝ่ายต่างก็ถ่อมตัวไม่ยอมรับไว้  แต่สุดท้ายอันหรูอวี้และโอวหยางกวงก็ตอบรับที่จะให้ลูกสาวอยู่ในคฤหาสน์ที่ใหญ่และดีที่สุด แต่กลับให้ลูกสาวทั้งสองเข้าไปอยู่ด้วยกัน โดยให้เหตุผลว่าอยู่คนเดียวแล้วว่างเปล่าอ้างว้าง ที่จริงพ่อแม่ไม่ได้อยู่ข้างกาย ไม่เหมือนหยางชิ่งที่ได้อยู่ข้างกายลูกสาว พวกเขาจึงอยากให้ลูกสาวทั้งสองดูแลซึ่งกันและกัน

ส่วนฉินเวยเวยก็ไม่ได้เข้าพักคนแรกสุด แต่เข้าพักช้ากว่าทั้งสองคนนิดหน่อย

พวกเขาคุยกันเรียบร้อยแล้ว แต่เหมียวอี้กลับเก้อเขินมาก ตอนนี้นับว่าเขาเข้าใจถึงความแตกต่างของการเขียนหนังสือเก่งกับการเขียนหนังสือแย่ สุดท้ายก็เป็นอวิ๋นจือชิวที่สะบัดพู่กันจุ่มน้ำหมึก ตั้งชื่อสองตำหนักนั้นด้วยตัวเอง ที่พักของโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนชื่อว่าตำนักคู่แฝด ที่พักของฉินเวยเวยชื่อว่าตำหนักอินทนิล เรื่องราวก็ได้ข้อสรุปตามนี้

หยางชิ่งสั่งให้คนนำตัวอักษรของท่านทูตไปทำป้ายแขวนไว้ทันที

จากนั้นเหมียวอี้ก็นำอนุภรรรยาทั้งสามไปส่งแขก หลังจากส่งแขกส่วนใหญ่ที่มาร่วมแสดงความยินดีกลับไปหมดแล้ว เหมียวอี้ก็เชิญโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนไปเดินเล่นที่สวนรุกขชาติด้วยกัน สองพี่น้องเผชิญหน้ากับเขาอย่างระมัดระวังตัว ย่อมไม่กล้าขัดคำสั่งอยู่แล้ว

ระหว่างที่เดิน พอเหมียวอี้ถามอะไรนิดหน่อย สองพี่น้องก็ตอบอย่างระมัดระวัง

หลังจากเดินมานั่งในศาลาของสวนรุกขชาติ เหมียวอี้ก็เอ่ยก่อนว่า “เมื่อคืนข้าขาดความยุติธรรมกับพวกเจ้าสองคนแล้ว”

สองพี่น้องย่อมส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นอะไร เหมียวอี้จึงอธิบายอีก “หลางหลาง หวนหวน ที่เมื่อคืนข้าไม่ได้ไปห้องของพวกเจ้า ก็เพราะข้ามีเหตุผล ที่จริงพวกเจ้าเองก็รู้ เรื่องเข้าห้องหอน่ะ พวกเราเคยทำกันมาตั้งนานแล้ว ใช่มั้ยล่ะ?”

เมื่อกล่าวมาแบบนี้ สองพี่น้องก็อยากจะแทรกแผ่นดินหนีมาก จะพูดอะไรก็ไม่พูด ดันมาพูดเรื่องนี้เสียได้ รู้สึกอับอายจนเกินทน

เหมียวอี้ดันพูดเสียงดังต่อไป “ดังนั้นข้าก็เลยคิดมากหน่อย คิดว่าพวกเจ้ายอมให้เวยเวยสักครั้งคงไม่เป็นไร เมื่อคืนวานข้าจึงไปอยู่กับนางก่อน แน่นอนว่าคืนนี้ข้าจะไปอยู่กับพวกเจ้าที่ตำนักคู่แฝด แต่ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ด้วยกันแล้ว พวกเจ้าจะเข้าห้องหอพร้อมกันทีเดียวเลย หรือจะเข้าแบบทีละคนดีล่ะ?”

คำพูดนี้ช่างไม่ให้เกียรติผู้หญิงเลยจริงๆ แต่ผู้หญิงมักตกหลุมพรางนี้ ผู้ชายไม่เลวผู้หญิงไม่รัก นี่คือคติพจน์ที่เป็นเรื่องจริง ผู้ชายซื่อสัตย์ทำให้ผู้หญิงชอบไม่ได้หรอก

สองพี่น้องอับอายจนสับสนเลอะเลือนไปหมด ทว่าปมในใจจากเมื่อคืนนี้กลับหายไปทันที ที่แท้ก็มีเหตุผลนี่เอง ดังนั้นจึงคิดว่าการที่เหมียวอี้ไปอยู่กับฉินเวยเวยก่อนเป็นเรื่องเหมาะสมแล้ว เพราะเหมียวอี้ยกเรื่องน่าอับอายที่ทะเลทรายม่านเมฆามาเป็นข้อแก้ตัว สองสาวรับมือไม่ไหวหรอก!

ฉิน ฉี ซู ฮว่า หญิงรับใช้ทั้งสี่มองหน้ากันเลิกลั่ก ในใจพึมพำว่าท่านเขยคนนี้ช่างไร้ยางอายจริงๆ

เหมียวอี้เองก็ไม่มีทางเลือก คิดไปคิดมาก็พบว่าอวิ๋นจือชิวพูดมีเหตุผล ถ้าตำหนักหลังไม่สงบ ในภายหลังก็จะเกิดปัญหาใหญ่โต แบบนี้จนจะออกไปข้างนอกอย่างสงบใจได้อย่างไร ถึงจะดูหน้าด้านไร้ยางอายก็ช่างเถอะ ขอแค่ข้ออ้างนี้ใช้ได้ผลก็พอแล้ว

เหมียวอี้ถามเร่งหลายครั้ง สุดท้ายโอวหยางหลางที่อับอายจนสุดจะทนก็ตอบเสียงเบาว่า “คืนนี้ท่านสามีไปอยู่กับน้องสาวก่อนเถอะค่ะ”

“คืนนี้ท่านสามีไปอยู่กับพี่สาวก่อนเถอะค่ะ” โอวหยางหวนปฏิเสธทันที

เหมียวอี้ไร้ยางอายมาก พยักหน้าบอกว่า “งั้นก็เรียงจากเด็กไปโตแล้วกัน ฉินเวยเวยเด็กสุด เมื่อคืนไปอยู่กับนางมาแล้ว คืนนี้ก็เป็นหวนหวน คืนพรุ่งนี้ค่อยเป็นหลางหลาง” จากนั้นก็หันไปบอกหญิงรับใช้อีกว่า “จือซู จือฮว่า คืนนี้ข้าจะไปค้างที่ตำนักคู่แฝด”

“เจ้าค่ะ!” จือซู จือฮว่ารีบเอ่ยรับ นี่เป็นการบอกให้พวกนางเตรียมตัวล่วงหน้า ในใจทั้งสองก็ตัดสินใจจะเตรียมตัวให้ดีเช่นกัน

ส่วนโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนก็อารมณ์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด สามารถดูได้จากแววตา ก่อนหน้านี้ดูระมัดระวังปนกลัดกลุ้ม ตอนนี้กลับใจเต้นแรงเหมือนมีกวางน้อยกระโดดอยู่ในใจ

หลังจากรับมือกับทั้งสองเรียบร้อยแล้ว ก็สั่งให้พวกจือฉินออกไปเป็นเพื่อนพวกนางสองคน เหมียวอี้ถึงได้โล่งอก เขาพบว่ามีผู้หญิงเยอะไม่ใช่เรื่องดีอะไร ใช่ว่าแต่งงานรับภรรยามาหลายคนแล้วจะทำตามอำเภอใจได้ ยังต้องใช้กำลังความคิดเพื่อจัดการให้เป็นระเบียบ รับมือกับคนข้างนอกเสร็จแล้วยังต้องมารับมือกับคนในบ้านอีก ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อไปนี้ชีวิตจะเป็นอย่างไร

เหมียวอี้หันมองไปรอบๆ เขากำลังคิดว่าก่อนหน้านี้เยว่เทียนโปรับมือกับผู้หญิงที่แต่งงานเข้ามามากมายขนาดนั้นได้อย่างไร?

รอจนกระทั่งหรูฮูหยินทั้งสองออกไปแล้ว หยางเจาชิงก็เดินมาถึงด้านนอกศาลา กุมหมัดคารวะพร้อมรายงานว่า “นายท่าน ไต้ซือศีลเจ็ดกับลูกศิษย์รอพบท่านอยู่ขอรับ”

เหมียวอี้พยักหน้ารับ ตอนที่เดินออกจาศาลา เขาถือโอกาสดึงชุดคลุมสีแดงออกแล้วโยนให้นางในคนหนึ่งที่เดินผ่านมา เพราะตอนที่ใส่ชุดสีแดงทั้งตัวแบบนี้ เท่ากับกำลังเตือนคนอื่นว่าตัวเองแต่งงานรับอนุภรรยามารวดเดียวสามคน แบบนั้นทำให้เขาอับอายจนทำสีหน้าไม่ถูก

เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมไต้ซือศีลเจ็ดถึงเจาะจงมาพบเขาโดยเฉพาะ

ตอนที่เดินนำหยางเจาชิงไปยังเรือนรับรองแขกตรงตีนเขา เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางศาลายาวหลังหนึ่ง เขาเห็นหยางชิ่งกับเทพธิดาหงเฉินกำลังคุยกันอีกแล้ว

ไม่รู้ว่าตัวเองคิดมากไปรึเปล่า เขาสังเกตเห็นว่าช่วงนี้หยางชิ่งกับเทพธิดาหงเฉินเหมือนจะค่อนข้างสนิทกัน เวลาผ่านไปไม่เท่าไรเอง นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่เห็นสองคนนั้นคุยกัน?

สายมะโรงมีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องรายงานต่อเทพธิดาหงเฉินเหรอ? อำนาจของเทพธิดาหงเฉินที่แดนโพ้นสวรรค์ก็มีจำกัด ถึงขั้นมีไม่มากเท่าเยว่เหยาด้วยซ้ำ

ส่วนเทพธิดาหงเฉินเป็นคนอย่างไร ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่รู้ นางเป็นคนที่ไม่ปรารถนาสิ่งใด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เทพธิดาหงเฉินจะเป็นฝ่ายมาหาหยางชิ่งก่อน เช่นนั้นก็เหลือความเป็นไปได้แค่อย่างเดียวแล้ว… เหมียวอี้พึมพำในใจ หวังว่าตัวเองคิดมากไป

“นายท่าน ผู้การใหญ่หยางเหมือนจะค่อนข้างสนิทกับคุณชายห้าท่านนี้นะขอรับ” หยางเจาชิงก็เตือนเช่นกัน

เหมียวอี้ขานรับ แสดงให้เห็นว่าตัวเองรู้อยู่ในใจแล้ว ขนาดหยางเจาชิงยังดูออก คาดว่าอวิ๋นจือชิวก็คงรู้แล้วเช่นกัน ที่นี่มีหูมีตาของอวิ๋นจือชิวอยู่เต็มไปหมด ไม่มีเรื่องอะไรที่คลาดสายตานางไปได้

เมื่อมาถึงเรือนรับรองแขกที่ไต้ซือศีลเจ็ดพักชั่วคราว ก็พบว่าตรวจการใหญ่หลันโฮ่วแห่งจวนผู้ตรวจการเมืองหลวงกำลังสนทนากับไต้ซือศีลเจ็ด ส่วนศีลแปดก็ยืนประนมมืออยู่ข้างๆ ดูศักดิ์สิทธิ์โดยเนื้อแท้

เรื่องบุคลากรของยอดเขาหยกนครหลวงยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อวิ๋นจือชิวเพิ่งรับช่วงต่อ ตอนนี้ไม่สะดวกจะเปลี่ยนแปลงอะไรมากเกินไป ต้องใช้เวลาสักระยะ

เดิมทีอวิ๋นจือชิวอยากจะลงดาบกับหลันโฮ่วก่อน สาเหตุไม่ใช่เพราะเรื่องอื่นใด เป็นเพราะในปีนั้นหลันโฮ่วลงโทษใช้แส้ฟาดเหมียวอี้ ทำให้อวิ๋นจือชิวรู้สึกไม่พอใจ ผู้หญิงคนนี้บางครั้งก็เจ้าคิดเจ้าแค้นมาก แต่ต้องดูว่าเรื่องอะไร เหมียวอี้เปรียบเสมือนเกล็ดมังกรของนาง นางสามารถตบตีด่าทอได้ตามอำเภอใจ เพราะนางลงมืออย่างบันยะบันยัง แต่กลับไม่ยอมให้คนอื่นมาแตะต้องเหมียวอี้แม้แต่ปลายนิ้ว

แต่เหมียวอี้โน้มน้าวนางไว้ ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เขาพอจะรู้จักท่านผู้ตรวจการใหญ่ท่านนี้อยู่บ้าง นับเป็นบุคคลที่มีความสามารถคนหนึ่ง

เมื่อเห็นเหมียวอี้มาแล้ว หลันโฮ่วก็กล่าวอำลา กุมหมัดคารวะเหมียวอี้แล้วออกไป

หลังจากเหมียวอี้คำนับไต้ซือศีลเจ็ด ก็เหลือบมองศีลแปดที่วางมาดสง่าภูมิฐานแวบหนึ่ง ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าไต้ซือมีอะไรจะกำชับผู้น้อยหรือขอรับ?”

“มิกล้าเรียกว่ากำชับหรอก มีเรื่องส่วนตัวจะคุยกับโยมสักหน่อย” ไต้ซือศีลเจ็ดกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“เรื่องส่วนตัว?” เหมียวอี้หันไปมองหยางเจาชิงแวบหนึ่ง พออีกฝ่ายกุมหมัดคารวะแล้วออกไป เหมียวอี้ถึงได้กล่าวว่า “ผู้น้อยจะตั้งใจฟังขอรับ”

“โยมคงจะรู้จักเทพพยากรณ์” ไต้ซือศีลเจ็ดว่าอย่างนั้น

เหมียวอี้ตะลึงนิดหน่อย แล้วพยักหน้าช้าๆ “ข้ารู้จักขอรับ แต่เทพพยากรณ์ทำตัวลึกลับมาก ข้าเองก็หาเขาไม่พบเช่นกัน” เขากังวลว่าพระท่านนี้จะขอให้เขาตามหาเทพพยากรณ์ให้

ไต้ซือศีลเจ็ดยิ้มพร้อมนำระฆังออกมาสองอัน นำมาวางไว้บนโต๊ะ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นระฆังดาราคู่หนึ่ง “อาตมากับเทพพยากรณ์เป็นสหายที่ดีต่อกัน ตอนที่หกปราชญ์ยังไม่ผงาดขึ้นมา พวกเรามักอยู่สนทนาธรรมด้วยกันบ่อยๆ นี่คือสิ่งที่เทพพยากรณ์ให้อาตมากับลูกศิษย์ไว้ จะได้ติดต่อกับอาตมา เขาบอกว่าโยมก็มีของสิ่งนี้เหมือนกัน”

เหมียวอี้แอบตกใจ สงสัยศีลเจ็ดกับเทพพยากรณ์จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นคงไม่นำของสิ่งนี้มอบให้ไต้ซือศีลเจ็ด

“ไต้ซืออยากจะพูดอะไร บอกมาตรงๆ ได้เลยขอรับ” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ

ไต้ซือศีลเจ็ดจึงกล่าวว่า “ไม่กี่วันมานี้ อาตมากับเทพพยากรณ์สนทนาธรรมกันเรื่องศีลแปด อาตมากำลังติดปัญหาที่ศีลแปดโง่เขลาเบาปัญญา กฎเกณฑ์ในโลกนี้ไม่สามารถขัดเกลาฝึกฝนเขาได้อีกแล้ว กลัวว่าจะเบิกสติปัญญาให้บรรลุธรรมได้ยาก แต่เทพพยากรณ์กลับบอกอาตมามา ว่าอีกไม่กี่วันโยมจะเดินทางไกล การไปครั้งนี้จะช่วยเรื่องการฝึกตนให้ศีลแปด อาตมาจึงถามว่าไปที่ไหน แต่เทพพยากรณ์ไม่ยอมบอก บอกเพียงว่าให้อาตมานำตัวศีลแปดมาส่งให้โยม ให้โยมพาไปด้วย เพียงบอกว่าเขาฝากฝังมา โยมก็จะไม่ปฏิเสธ อาตมาจึงคิดว่า อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างโยมกับลูกศิษย์คนนี้ ย่อมไม่มีอะไรไม่เหมาะสมอยู่แล้ว อาตมาถึงได้นำตัวมาด้วย หวังว่าโยมจะพาเขาไปด้วยกัน”

“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกเลย เทพพยากรณ์นั่นเทพเกินไปแล้ว นี่คือความคิดที่อยู่ในใจเขา ไม่ได้ประกาศบอกใครทั้งนั้น แม้แต่อวิ๋นจือชิวก็ยังไม่ได้บอก แต่ตาแก่นั่นกลับรู้ ไม่ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ได้มั้ย?

ไม่ผิดหรอก เขาเตรียมตัวจะเดินทางไกล เตรียมจะไปพิภพใหญ่ แต่ไม่ได้ไปเพราะเรื่องอื่น แค่อยากจะพาเยารั่วเซียนไปส่ง ตอนนี้เยารั่วเซียนหลบอยู่ที่พิภพเล็กไม่ปลอดภัยแล้ว ถ้าถูกพบขึ้นมาคงช่วยชีวิตไว้อีกไม่ไหว ทำตัวเป็นจุดเด่นมากเกินไป ควรจะพาเยารั่วเซียนหนีไปเสียที แต่ไม่น่าเชื่อว่าเทพพยากรณ์จะรู้อย่างทะลุปรุโปร่งก่อนแล้ว

เหมียวอี้คิดไปคิดมาแล้วขนหัวลุก มีคนที่หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าแบบนี้อยู่ เหมือนเขาจะเก็บความลับอะไรไม่ได้เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย อยู่ในแดนฝึกตนดาบเปื้อนเลือดเสมอ เมื่อเจอกับคนประหลาดพิลึกแบบนี้ ถ้าไม่กลัวก็แปลกแล้ว รู้สึกเหมือนชีวิตน้อยๆ ของตัวเองถูกอีกฝ่ายบีบอยู่ตลอดเวลา

“เจ้ารอง เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?” เหมียวอี้มองไปทางศีลแปด

“อาตมายินดีจะไป!” ศีลแปดยิ้มอย่างใสซื่อไร้ราคี

“อาจจะอันตรายมาก เจ้าไตร่ตรองดูให้ดีนะ” ที่จริงเหมียวอี้ไม่อยากพาเขาไป อยู่ที่พิภพเล็กมีไต้ซือศีลเจ็ดคอยดูแล ศีลแปดมีชีวิตที่ปลอดภัยมาก ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงอันตรายที่พิภพใหญ่ สภาพจิตใจของเขาในตอนนี้ ก็เหมือนที่หยางชิ่งอยากปกป้องฉินเวยเวยในตอนนั้น

“ถ้าข้าไม่ลงนรก แล้วใครจะลงนรก!” ศีลแปดประนมมือประกาศด้วยท่าทางเคร่งขรึม

933

ตีให้ตายก็ไม่ทำ

ยังจะลงนรกอีกเหรอ? เห็นได้ชัดว่าโดนควบคุมมานานเลยอยากออกไปเที่ยวเล่น แต่ยังดันทุรังพูดจาวางมาดสง่าภูมิฐานแบบนี้อีก

พอได้เห็นนิสัยของเขา เหมียวอี้ก็อยากจะซ้อมสักยก ถ้าพาเจ้าบ้านี่ไปพิภพใหญ่ด้วยจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาก็ได้

ทว่าไต้ซือศีลเจ็ดเอ่ยปากแล้ว เจ้ารองเองก็อยากไป ที่สำคัญที่สุดคือบอกเทพพยากรณ์เอาไว้ อีกฝ่ายรู้ความลับของตนเยอะเกินไป เหมียวอี้ไม่สะดวกจะปฏิเสธ ทำได้เพียงพยักหน้า “งั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน”

อาจารย์และลูกศิษย์ประนมมือขอบคุณพร้อมกันทันที ไต้ซือศีลเจ็ดเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่ที่นี่นาน อยากจะทิ้งศีลแปดไว้แล้วบอกลาเลย

ขณะกำลังชอบใจที่ได้ออกห่างจากอาจารย์ แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเอ่ยห้าม “ไต้ซือ ท่านพาลูกศิษย์ของท่านกลับไปด้วยกันดีกว่า”

ไต้ซือศีลเจ็ดแปลกใจ ศีลแปดที่กำลังประนมมือวางมือลงทันที เบิกตาโพลงถามว่า “พี่ใหญ่ ท่านคงไม่กลับคำพูดหรอกใช่มั้น?” ภาพลักษณ์พระสงฆ์ชั้นสูงหายไปหมดแล้ว

เหมียวอี้บิดหูเขาเข้ามา แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ถ้าพวกเราเคลื่อนไหวพร้อมกันจะตกเป็นเป้าที่ใหญ่เกินไป เจ้าไปกับอาจารย์เจ้าก่อน แล้วหลังจากนี้สองเดือน จำไว้ว่าต้องไปซ่อนตัวที่ท่าเรือของถ้ำคล้อยบูรพาที่ข้าเคยไปรับตำแหน่ง ถึงเวลาข้าจะไปหาเจ้าเอง”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ศีลแปดวางใจแล้ว ถ่ายทอดเสียงถามเช่นกันว่า “พี่ใหญ่ ท่านเข้าห้องหอเมื่อคืนนี้ เข้าทีละคนหรือว่าเข้าพร้อมกันเลย?”

เพียะ! โดนเหมียวอี้ใช้ฝ่ามือตบศีรษะโล้นฉาดหนึ่ง ศีลแปดหนีเตลิดทันที รู้ตัวว่าควบคุมปากได้ไม่ดีจึงเผลอพูดผิดไป กลัวว่าจะโดนตอบโต้รุนแรงกว่าเดิม

ศีลเจ็ดรู้จักลูกศิษย์ตัวเองดีมาก เมื่อเห็นเหมียวอี้ทำท่าทางอับอายจนโมโห กอปรกับศีลแปดที่หนีเหมือนเป็นวัวสันหลังหวะ เขาเดาว่าลูกศิษย์ตัวเองคงพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป จึงยิ้มพร้อมประนมมือกล่าวอำลา แล้วเหาะขึ้นฟ้าจากไป…

เมื่อกลับมาบนตึกของปราสาททอง เหมียวอี้ก็มาหาอวิ๋นจือชิวและเล่าเรื่องเมื่อครู่นี้ให้นางฟัง บอกอย่างชัดเจนว่าอีกไม่นานจะกลับไปพิภพใหญ่เพื่อนำตัวเยารั่วเซียนไปส่ง

อวิ๋นจือชิวไม่มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงตอบคำเดียวว่า “ถือโอกาสพาข้าไปเปิดหูเปิดตาด้วยสักหน่อยสิ”

เหมียวอี้ยอมแพ้นางแล้ว  เขาถอนหายใจ “ฮูหยิน! ไม่ต้องรีบไปตอนนี้หรอก ในภายหลังยังมีโอกาส เจ้าเพิ่งได้คุมยอดเขาหยกนครหลวง จัดการงานให้เข้าที่เข้าทางก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

อวิ๋นจือชิวเอามือลูบกระโปรงนั่งบนตักเขาทันที ใช้แขนคล้องคอเขาพร้อมบอกว่า “เจ้าคิดว่าข้าให้เจ้าแต่งงานกับฉินเวยเวยไปทำไม ต่อไปข้าจะให้ฉินเวยเวยรักษาการณ์แทนข้าชั่วคราว หยางชิ่งต้องช่วยลูกสาวตัวเองแสดงความสามารถอย่างเต็มที่แน่นอน วางใจได้ ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก”

“แล้วตอนไปส่งส่วยที่แดนโพ้นสวรรค์จะทำยังไง? เจ้าคงไม่ให้หยางชิ่งไปแทนเจ้าหรอกใช่มั้ย? พวกเราหายไปพร้อมกันสองคน ถ้าคนอื่นไม่สงสัยก็แปลกแล้ว” เหมียวอี้กล่าว

อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า “ข้าบอกแล้วว่าให้เวยเวยคุมแทนข้าชั่วคราว ก่อนส่งส่วยข้าค่อยรีบกลับมาก็ได้ เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ข้าบริหารจัดการทางหนีทีไล่นี้ได้ดีแน่นอน ข้าแค่ไปรู้จักเส้นทางเอาไว้ เผื่อตอนหลังเจ้าหนีไป แล้วข้าไม่รู้ว่าจะไปตามหาเจ้าที่ไหน ข้าให้เจ้าแต่งงานรับอนุภรรยาสามคนมานอนกอดซ้ายกอดขวาใช้งานยังไงก็ไม่หมด แค่คำขอเล็กน้อยจากข้า เจ้าคงไม่ถึงขั้นเติมเต็มให้ไม่ได้หรอกใช่มั้ย?”

เหมียวอี้พูดไม่ออกสุดๆ คิดในใจว่าถ้าปล่อยให้เจ้าจับได้เรื่องข้ากับหวงฝู่จวินโหรว แล้วข้าจะทำอย่างไร?

อวิ๋นจือชิวยังมีเหตุผลมาอธิบายอีก “แล้วอีกอย่าง เจ้าบอกว่าเทพพยากรณ์นั่นทำให้เจ้ารู้สึกกลัวไม่ใช่เหรอ? ถึงอย่างไรฮูหยินคนนี้ก็มีวรยุทธ์บงกชทองเหมือนกัน ต่อไปพวกเราไม่ต้องไปหาเขาก็ได้ เราไปกลับด้วยตัวเอง จะได้ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างทาง ให้ข้าไปส่งพวกเจ้าก็เหมาะสมพอดีเลย เจ้าว่ามั้ยล่ะ? เอาตามนี้แล้วกัน ข้าจะรีบเตรียมการให้ทัน!” พูดจบก็กอดและใช้ริมฝีปากแดงนุ่มจูบเหมียวอี้เสียงดังทีหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมพึมพำร้องเพลงเบาๆ  เมื่อเห็นว่ากำลังจะได้ไปเปิดหูเปิดหาที่พิภพใหญ่ นางก็ดูอารมณ์ดีทีเดียว

ช่วงสองสามวันนี้ เหมียวอี้ถูกชะตาลิขิตให้เสพสุขกับวาสนาทางความรัก คืนนี้ต้องไปค้างคืนที่ตำนักคู่แฝด ไปดื่มสุราภายใต้แสงจันทร์กับสองพี่น้องโอวหยางที่ยังมีท่าทางกระดากอาย จนกระทั่งดวงจันทร์เคลื่อนที่ย้ายไปจากตำแหน่งเดิม ทั้งสามก็ลุกขึ้นเดินออกจากวงสุรา โดยมีจือซู จือฮว่ารีบเดินนำทางอยู่ข้างหน้า

ส่วนเหมียวอี้ก็เดินจูงมือที่ขาวเนียนนุ่มของโอวหยางหวนเดินตามไป นางรู้สึกเหมือนมีกวางน้อยกระโดดอยู่ในใจ ตื่นเต้นจนฝ่ามือมีเหงื่อซึมออกมาแล้ว

ในห้องนอนที่ประดับตกแต่งใหม่ หลังจากจือซู จือฮว่าออกไปแล้ว ในช่วงเวลาสำคัญเห็นโอวหยางหวนทำท่าทางงุ่มง่ามเหมือนฉินเวยเวยในคืนนั้น เหมียวอี้ก็หลุดขำ “หวนหวน นึกถึงตอนนั้นที่เจ้าล่วงเกินข้า ทำไมวันนี้กลับตื่นเต้นขนาดนี้ล่ะ?”

“เชอะ” โอวหยางหวนโดนเหมียวอี้ยั่วเย้าจนส่งเสียงกระเง้ากระงอด อับอายจนเป็นฝ่ายมุดศีรษะเข้ามาในอ้อมอกเขาก่อน ย่อมกลายเป็นเนื้อเข้าปากเสืออยู่แล้ว…

ท่านขุนนางเหมียวงานยุ่งมาก วันต่อมาต้องไปอยู่กับโอวหยางหลางอีก การเริงรักของปลาและน้ำเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ หลังจากเสร็จแล้วก็นอนกอดกันบนเตียง สาวงามนอนเปลือยอยู่ในอ้อมกอด แต่เหมียวอี้กลับกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจมากว่า “หลางหลาง พอเจ้ากับน้องสาวเจ้าถอดเสื้อผ้าออกแล้ว ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้างนะ ข้าสามารถแยกออกได้ แต่พอสวมเสื้อผ้าแล้วเหมือนกันทุกอย่างเลย จะให้ข้าแยกออกยังไงล่ะ?”

โอวหยางหลางเขินจนก้มหน้า แต่สุดท้ายก็ยังปัดผมที่ยุ่งสยายออกเบาๆ แล้วชี้ไปตรงจอนผมข้างหู พลางอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา “ที่โคนผมของข้ามีปานสีแดงเล็กๆ เม็ดหนึ่ง ถ้าดูให้ละเอียดก็จะแยกออกค่ะ รอให้ท่านสามีอยู่กับพวกเราสองพี่น้องไปนานๆ แล้ว ก็จะแยกออกได้จากอากัปกิริยา แต่ปกติพวกเราสองพี่น้องจะเกล้าผมต่างกันนิดหน่อย จะได้แยกออกได้สะดวก พวกจือฉินมักจะติดตามอยู่ข้างกายพวกเราเสมอ พวกนางแยกออกได้สบายๆ ถ้าท่านสามีแยกไม่ออกจริงๆ คอยดูว่าพวกนางติดตามใครก็จะแยกออกเองค่ะ”

“อ้อ! งั้นก็ดี ไม่อย่างนั้นถ้าขึ้นเตียงผิดเดี๋ยวจะเกิดปัญหา” เหมียวอี้พูดหยอก ที่จริงเขามีความคิดอีกอย่างหนึ่ง เพียงแต่ตอนนี้ไม่สะดวกจะเอ่ยปาก กะว่ารอให้สนิทคุ้นเคยกับสองพี่น้องก่อน แล้วค่อยลองเอ่ยถึงความคิดสกปรกแบบนั้นอีกที

โอวหยางหลางทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ทุบที่หน้าอกเขาเบาๆ หนึ่งที…

ผู้หญิงเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด ตอนที่ยังไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน พวกนางมักจะกำหนดระดับความสนิทสนม แต่พอใช้เวลากับทั้งคู่ไปเพียงคืนเดียว ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก สีหน้ากลัดกลุ้มกังวลหายไปแล้ว แทนที่ด้วยความสวยสดใสเย้ายวนใจ ยามสาวงามที่หน้าตาเหมือนกันปรากฏตัวพร้อมกันหรือยืนอยู่ด้วยกัน นั่นเป็นอะไรที่สบายตามาก ทำให้คนไม่น้อยแอบอิจฉาเหมียวอี้อยู่ในใจ

ความโชคร้ายอย่างเดียวของเหมียวอี้ ก็คือทุกครั้งออกจากคฤหาสน์ของสองพี่น้องนั่น อวิ๋นจือชิวก็จะเตะขาเขาแรงๆ หนึ่งทีโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งยังไม่ให้คำอธิบายด้วย

อันหรูอวี้และโอวหยางกวงพักอยู่ที่ยอดเขาหยกนครหลวงชั่วคราว ความเปลี่ยนแปลงของลูกสาวย่อมอยู่ในสายตาพวกเขาอยู่แล้ว เมื่อเห็นลูกสาวที่ไร้ใบหน้ายิ้มมาหลายปีมาคารวะด้วยใบหน้าอมยิ้มเหนียมอาย อันหรูอวี้ก็เรียกได้ว่าปลาบปลื้มจากใจจริงๆ ในที่สุดปมที่ติดอยู่ในใจมาหลายปีก็คลายออกแล้ว

ในใจโอวหยางกวงกลับเอือมระอาไม่หาย ลูกสาวทั้งคู่ของเขา ลูกสาวฝาแฝดที่แต่งงานกับผู้ชายคนเดียวกัน ในใจเขาเรียกได้ว่าสับสนวุ่นวายไปหมด บนใบหน้าเขามองไม่เห็นรอยยิ้มอะไรทั้งนั้น

บางครั้งผู้ชายคนนี้ก็ทำตัวประหลาดเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ ตอนที่เหมียวอี้ไม่ไปเข้าห้องหอกับลูกสาวทั้งคู่ของเขา เขาก็โมโหแทบทนไม่ไหว ด่าเหมียวอี้ว่ารังแกกันเกินไป แต่พอได้ร่วมหอกับลูกสาวของเขาอย่างเป็นทางการแล้ว ในใจเขากลับไม่สบอารมณ์ สรุปก็คือการที่ลูกสาวสองคนแต่งงานกับผู้ชายคนเดียวกัน ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ ความป่วยใจแบบนี้แก้ไม่หาย มันจะอยู่กับเขาไปทั้งชีวิต ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่เป็นอนุภรรยา!

ในจุดนี้ กลับเป็นอันหรูอวี้ที่ปล่อยวางได้ บนโลกนี้มีพี่น้องที่แต่งงานกับผู้ชายคนเดียวกันตั้งเยอะ ไม่ได้มีแค่ครอบครัวนางเสียเมื่อไร ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ ขอแค่ลูกสาวตัวเองใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็พอแล้ว อาจเป็นเพราะอยู่ภายใต้สังคมที่มีค่านิยมชายเป็นใหญ่ เดิมทีสภาพจิตใจของผู้หญิงและผู้ชายก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

อยู่ที่ยอดเขาหยกนครหลวงอีกไม่กี่วัน หลังจากวางใจได้แล้ว อันหรูอวี้กับโอวหยางดวงก็ออกไปจากที่นี่

ยังเสพสุขชีวิตคู่รักใหม่กับเหมียวอี้ได้ไม่กี่วัน ฉินเวยเวยกับสองพี่น้องโอวหยางก็ถูกอวิ๋นจือชิวดึงตัวมาคอยเรียกใช้อยู่ข้างกายแล้ว ให้อนุภรรยาทั้งสามมาทำงานด้วยกันกับนาง ให้ทั้งสามเข้ามามีส่วนร่วมด้วยตัวเอง แบ่งงานบางอย่างให้ทั้งสามไปทำ

ตอนกลางคืนก็ให้เหมียวอี้สลับไปค้างคืนกับทั้งสามอีก ให้ทำเรื่องระหว่างชายหญิงทุกวันแบบนี้ เหมียวอี้ก็เริ่มเบื่อหน่ายแล้วเหมือนกัน เขาไม่ใช่คนหมกมุ่นเลย ไม่ได้ชื่นชอบด้านกามตัณหา แต่อวิ๋นจือชิวก็พูดถูก เพิ่งแต่งงานกันก็จะออกไปข้างนอกอีกแล้ว ดังนั้นช่วงนี้จึงควรไปอยู่กับพวกนางมากๆ หน่อย เขาก็เลยต้องฝืนใจยอมรับ

สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ยิ่งพูดไม่ออกก็คือ อวิ๋นจือชิวถึงขั้นให้เหมียวอี้รีบนอนกับหญิงรับใช้ของฉินเวยเวยกับสองพี่น้องโอวหยางให้ครบก่อนไปพิภพใหญ่

ต่อให้ตีให้ตาย เหมียวอี้ก็ไม่ทำเรื่องนี้ เจ้าเห็นข้าเป็นพ่อพันธุ์หมูไปแล้วรึไง?

แต่อวิ๋นจือชิวกลับบอกเขาด้วยท่าทางจริงจังว่า สำหรับผู้หญิงแล้ว มีเพียงการนอนกับนางเท่านั้น ถึงจะนับว่านางเป็นคนของตัวเองอย่างแท้จริงได้ ถ้าเจ้านอนกับหญิงรับใช้พวกนั้นแล้ว หัวใจของพวกนางถึงจะเอนเอียงไปหาเจ้า ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าให้กลุ่มคนที่ไม่รู้เส้นสนกลในชัดเจนมาอยู่ภายในศูนย์กลางของพวกเรา พวกเราก็จะออกไปข้างนอกอย่างมีห่วง โดยเฉพาะคนที่อยู่ข้างกายสองพี่น้องโอวหยางนั่น ถ้าแดนโพ้นสวรรค์ส่งพวกนางมาคอยเป็นหูเป็นตาให้จะทำอย่างไรล่ะ? มีแต่ต้องทำให้พวกนางกลายเป็นผู้หญิงของเจ้าเท่านั้น ถึงจะเหมาะสมที่สุด

เหมียวอี้ยังคงดึงดันไม่ตอบตกลง เรื่องนี้ใช่ว่าเขาจะทำไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าจะไม่ใช่ผู้ชาย ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าเขาเป็นผู้ชายทั้งแท่ง เพียงแต่เรื่องแบบนี้เหลวไหลเกินไป คนเราต้องพิถีพิถันเรื่องอารมณ์ความรู้สึกสิ จะให้ฝืนทำเหมือนเป็นภารกิจ แบบนั้นมันใช่เรื่องที่ไหน? มิหนำซ้ำ จู่ๆ จะให้นอนด้วยทีละคนต่อเนื่องกัน พวกนางก็เป็นมนุษย์เหมือนกันนะ ทำแบบนี้จะให้พวกนางคิดอย่างไร?

เขาดึงดันจะเอาไว้จัดการทีหลัง จึงถูกอวิ๋นจือชิวพูดหยามเหยียดไปยกหนึ่ง ด่าว่าเขาเป็นพวกผู้ชายไร้ประโยชน์ แต่เหมียวอี้ก็ยังไม่ยอมทำอยู่ดี ไม่เคยเห็นเมียที่ไหนทำตัวพิลึกพิลั่นขนาดนี้เลย

หลังจากนั้นหนึ่งเดือน อวิ๋นจือชิวกับเหมียวอี้ก็ได้รับแผ่นหยกที่อันหรูอวี้สั่งให้คนส่งมา หลังจากอ่านเนื้อหาแล้วทั้งสองก็ทอดถอนใจ

ไม่นานข่าวก็แพร่ออกไป ประกาศว่าเรื่องการตายของท่านทูตสี่คนของแดนเซียน อันหรูอวี้คือตัวการใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบ จึงโดนปราชญ์เซียนมู่ฝานจวินลงโทษอย่างหนัก ส่งเข้าไปยืนสำนึกผิดที่เขตต้องห้าม ส่วนโอวหยางกวงก็ถูกถอดจากตำแหน่งท่านทูตสายชวดแล้วเช่นกัน

มู่ฝานจวินไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตอนแรก ความจริงลงโทษได้โหดร้ายกว่านั้น ทำให้แผนที่อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงกำหนดไว้ล่วงหน้าวุ่นวายไปหมดในรวดเดียว

หลังจากโอวหยางกวงถูกปลด ก็ไม่ได้ถูกแต่งตั้งให้ไปรับตำแหน่งที่ทะเลทรายม่านเมฆา แม้แต่อันเจิ้งเฟิงก็ลำบากไปด้วย ถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการร้านทะเลทรายม่านเมฆา ทั้งสองไปรับโทษที่แดนโพ้นสวรรค์ด้วยกัน คนหนึ่งไปทำสวน อีกคนไปเป็นคนเลี้ยงม้าเลี้ยงวิหคเทพ ส่วนตำแหน่งว่างของทั้งสองคน ก็ถูกแทนที่ด้วยลูกน้องเก่าของมู่ฝานจวินที่โยกย้ายมาจากสมาคมร้านค้าแดนเซียน เป็นนักพรตบงกชทองเช่นกัน

ว่ากันว่านี่เป็นแผนของฮูเหยียนไท่เป่า คุณชายใหญ่ของแดนโพ้นสวรรค์ ที่จริงแล้วฮูเหยียนไท่เป่ากำลังอาศัยโอกาสนี้ล้างบางลูกน้องคนสนิทของอันหรูอวี้ โอวหยางกวงและอันเจิ้งเฟิง

แต่หลังจากหยางชิ่งวิเคราะห์แล้วกลับบอกว่า น่าจะไม่ใช่ความคิดของฮูเหยียนไท่เป่า ถ้าไม่มีมู่ฝานจวินชี้แนะ ฮูเหยียนไท่เป่าก็ไม่กล้าทำอย่างนี้เหมือนกัน คงจะยืมมือของฮูเหยียนไท่เป่ามากำจัดอำนาจเบ็ดเสร็จที่ลูกศิษย์บริหารมาหลายปี เรื่องที่ขัดหูขัดตามู่ฝานจวินจะได้ไม่เกิดขึ้นอีก ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเพื่อให้มู่ฝานจวินปกครองแดนเซียนได้สะดวก ที่ให้ฮูเหยียนไท่เป่าออกจากเขตต้องห้ามล่วงหน้า ก็เพื่อให้มาเป็นแพะรับบาปเท่านั้น  ถือว่าเป็นการลงโทษเพื่อตบตาประเภทหนึ่งก็แล้วกัน

เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวก็รู้สึกว่าหยางชิ่งวิเคราะห์ได้มีเหตุผล แต่ฟังแล้วก็ทอดถอนใจไม่หาย มู่ฝานจวินให้ลูกสาวของอันหรูอวี้แต่งงานเข้ามาที่นี่ ก็นับว่าไม่ใจร้ายจนเกินไปแล้ว ถ้าจะให้ลูกสาวของอันหรูอวี้ติดร่างแกไปด้วยจริงๆ อันหรูอวี้กับสามีคงแปรพักตร์แน่นอน แบบนั้นไมตรีของลูกศิษย์มู่ฝานจวินก็นับว่าจบลงอย่างเป็นทางการ แต่พอเป็นแบบนี้ วันไหนที่ปล่อยอันหรูอวี้ออกมา ก็จะสามารถใช้งานนางต่อไปได้ ไม่ว่าจะเลือกทางไหนอันหรูอวี้กับสามีก็ต้องขอบคุณมู่ฝานจวิน พร่ำบนไม่ได้ ฝนตกฟ้าผ่าล้วนแฝงความเมตตาจากท่านปราชญ์จริงๆ!

แต่อวิ๋นจือชิวก็ยังหันมาสั่งให้เหมียวอี้เรียนรู้จากมู่ฝานจวินให้มากๆ บอกว่านี่คือจุดด้อยของเหมียวอี้ วิธีการใช้งานคนของมู่ฝานจวินต่างหากที่เป็นกลยุทธ์ของราชันอย่างแท้จริง วิธีการที่เจ้าจับตัวตงกัวหลี่กับลูกศิษย์มาทำงานให้นั้นไม่ยั่งยืนถาวร เจ้าคงจับคนทั้งใต้หล้ามาหมดทุกคนไม่ได้อยู่แล้วล่ะ ใช่มั้ย?

…………………………


934

นรกจ๋า อาตมามาแล้ว!

อำนาจที่เกี่ยวข้องกับตระกูลของอันหรูอวี้นับว่าถูกริดรอนจนหมดสิ้น สองพี่น้องโอวหยางทราบเรื่องแล้วร้องไห้หนักมาก อยากจะไปเยี่ยมพ่อแม่ที่แดนโพ้นสวรรค์

เหมียวอี้นำจดหมายที่อันหรูอวี้ส่งมาให้ทั้งสองอ่าน อันหรูอวี้พูดไว้อย่างชัดเจนมาก ว่าไม่ให้ทั้งสองไปหาพวกเขาที่แดนโพ้นสวรรค์ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะไปเยี่ยมพวกเขา สองพี่น้องเรียกได้ว่าน้ำตาอาบหน้าตลอดทั้งวัน

ส่วนสิ่งที่ท่านขุนนางเหมียวทำได้ในตอนนี้ ก็คือใช้เวลาอยู่กับพวกนางและพูดชี้แนะพวกนางมากๆ หน่อย เรื่องราวชัดเจนมากแล้ว ว่าถ้าทางแดนโพ้นสวรรค์ไม่ล้างบางอำนาจของอันหรูอวี้กับสามีจนเกือบหมด ก็ไม่มีทางปล่อยตัวออกมาแน่นอน

ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน เหมียวอี้ตัดสินใจว่าจะไปที่พิภพใหญ่ อวิ๋นจือชิวก็อดใจไม่ไหวอยากจะไปเห็นพิภพในตำนานว่ามีอะไรต่างจากที่นี่กันแน่ แค่ฟังจากปากเหมียวอี้ยังไม่รู้สึกถึงอกถึงใจมากพอ

อวิ๋นจือชิวเรียกรวมบุคคลระดับสูงของยอดเขาหยกนครหลวง เพื่อประกาศว่าตนกับเหมียวอี้จะไปทัศนาจรข้างนอกสักระยะ ฉินเวยเวยจะเป็นคนคุมปราสาททองชั่วคราว และสั่งให้พวกหยางชิ่งคอยช่วยเหลือ

การให้ฉินเวยเวยคุมยอดเขาหยกนครหลวง ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจมากเท่าไรกัน หยางชิ่งย่อมดีใจอยู่แล้ว เพียงแต่เกิดความสงสัยในใจนิดหน่อย เพิ่งมายอดเขาหยกนครหลวงได้ไม่นานก็จะไปอีกแล้วเหรอ?

ฉินเวยเวยกลับหวาดกลัวมาก ให้นักพรตบงกชแดงอย่างนางรับอำนาจหน้าที่ของท่านทูตเพื่อรักษาการณ์ยอดเขาหยกนครหลวง นางจะทำได้อย่างไรกัน?

แต่อวิ๋นจือชิวกับเหมียวอี้ก็ออกไปอย่างนี้แล้ว บทจะไปก็ไป ไม่ได้พาใครไปด้วยเลย

ทั้งสองมาที่ถ้ำคล้อยบูรพาก่อน เจอกับศีลแปดที่ท่าเรือนอกเมืองคล้อยบูรพา จากนั้นก็ไปหาเยารั่วเซียนที่อู่ต่อเรือร้าง

เยารั่วเซียนซ่อนตัวอยู่ที่นี่เกือบหนึ่งปีแล้ว เมื่อเจอกับเหมียวอี้อีกครั้งก็รู้สึกละอายใจเป็นเท่าตัว ในระหว่างนั้นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เคยแอบมาพบเขาเงียบๆ บอกให้เขารู้ว่าเหมียวอี้ต้องเสี่ยงอันตรายขนาดไหนเพื่อช่วยเขา มีหลายครั้งที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด

“ตาแก่มอมแมมนี่เป็นใครกัน?” ศีลแปดที่ปลอมตัวเป็นคนพายเรือถามอย่างแปลกใจ ไม่น่าเชื่อว่าตาแก่คนนี้จะมีค่าพอจนทำให้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้มารับด้วยตัวเอง เขาเดาว่าที่ตัวเองต้องมาซ่อนตัวอยู่แถวนี้ คงจะเกี่ยวกับตาแก่นี่แปดส่วนแน่นอน

“เจ้าจะสนใจอะไรมากมายขนาดนั้น” เหมียวอี้สั่งให้เขาหุบปาก

พวกเขาหนีเข้าไปในทางน้ำของอู่เรือ หนีออกทางทะเลเพื่อเลี่ยงไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็น หลังจากออกจากจากฝั่งมาไกลแล้ว ทั้งสี่ถึงได้โผล่ขึ้นมาที่ผิวน้ำ อวิ๋นจือชิวเป็นคนพาพวกเขาฝ่าชั้นบรรยากาศออกมาถึงท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว

เหมียวอี้คอยระบุทิศทาง นำคนที่เหลือเหาะไปอย่างรวดเร็ว อวิ๋นจือชิวที่กำลังเหาะซ่อนแผ่นหยกเอาไว้ในแขนเสื้อ คอยจดเครื่องหมายบอกทางเงียบๆ นางอ่านเครื่องหมายบอกทางของเหมียวอี้ไม่ออก ตอนนี้ต้องทำแผนที่ที่ตัวเองสามารถอ่านเข้าใจได้

เยารั่วเซียนมองไปรอบๆ ไม่รู้ว่าการมาถึงท้องฟ้าในอวกาศหมายความว่าอะไร

ศีลแปดได้รับถ่ายทอดวิชาปลอมตัวมาจากไต้ซือศีลเจ็ด เมื่อฝุ่นควันที่ล้อมรอยกายหายไป เขาก็กลับสู่โฉมหน้าจริงที่แท้จริง แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ พวกเราจะไปไหนกัน?”

“จะถามมากขนาดนั้นไปทำไม? ไปถึงแล้วก็รู้เอง” เหมียวอี้ยังไม่บอก

หลังจากผ่านไปสักระยะ สิ่งแรกที่ทำให้ได้เปิดหูเปิดตาก็คือประตูดวงดาว ศีลแปดกับเยารั่วเซียนตกใจมาก อวิ๋นจือชิวที่เคยได้ยินมาแล้วก็เบิกตาโพลงเช่นกัน เห็นเพียงเหมียวอี้ปล่อยกระสวยทองออกมา ลำแสงที่หมุนวนด้วยความเร็วสูงครอบพวกเขาทะลุผ่านหลุมดำอันน่าสะพรึงกลัวไปได้ในชั่วพริบตาเดียว พอหันกลับไปอีกครั้ง ก็รู้สึกเหมือนเป็นความฝันที่เกิดขึ้นฉับพลัน ไม่น่าเชื่อว่าหลุมดำนั่นจะหายไปในอากาศแล้ว…

เยารั่วเซียนรีบถามว่าของในมือเหมียวอี้คือของวิเศษอะไร ส่วนศีลแปดก็ถามว่าหลุมดำเมื่อครู่นี้คืออะไร ดูออกได้จากสิ่งนี้ว่าความสนใจของทั้งสองต่างกันตรงไหน เยารั่วเซียนเป็นคนหลอมของวิเศษจึงสนใจของวิเศษ ส่วนศีลแปดก็สนใจสิ่งประหลาดเหมือนกับคนทั่วไป

เหมียวอี้ยังคงไม่ตอบอะไร

จนกระทั่งข้ามผ่านประตูดวงดาวบานสุดท้าย มาถึงอาณาเขตของพิภพใหญ่แล้ว เหมียวอี้ถึงได้เผยคำตอบของปริศนา

“อะไรนะ?” เยารั่วเซียนอุทานถาม

“เหยด!” ศีลแปดตกตะลึงมาก “พิภพใหญ่? สถานที่ที่เทพพยากรณ์ให้ท่านพาข้ามาคือพิภพใหญ่เหรอ?”

อวิ๋นจือชิวมองสำรวจโดยรอบด้วยดวงตาที่เป็นประกาย เห็นได้ชัดว่านางตื่นเต้นมาก นี่คือสถานที่ที่หกปราชญ์ต่างก็ใฝ่ฝันอยากจะมา ทว่าจากสภาพแวดล้อมโดยรอยยังมองไม่ออกว่ามีอะไรต่างกัน เพราะยังอยู่บนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ความลึกลับกว้างใหญ่ของจักรวาลยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้

เหมียวอี้พยักหน้าบอกว่า “ใช่แล้ว ที่นี่คือพิภพใหญ่! คือนรกที่เจ้าประกาศว่าจะตกลงไปนั่นแหละ!”

“วะฮ่าๆๆ!” ศีลแปดกางแขนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งทันที “นรกแบบนี้ ตกลงไปก็ดีเหมือนกัน! นรกจ๋า อาตมามาแล้ว!” นั่นคือสีหน้าคนของบ้าจริงๆ เหมือนคนที่ออกบวชเสียที่ไหนกัน

เหมียวอี้หันกลับมาบอกว่า “เยารั่วเซียน เจ้าไม่เหมาะจะอยู่ที่พิภพเล็กอีกต่อไปแล้ว ข้าเองก็จำใจถึงได้ส่งเจ้ามาที่นี่ เพราะว่าเป็นเจ้าหรอกนะ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะพามาให้รู้ความลับสุดยอดของข้าแบบนี้ พวกเจ้าจำไว้นะ ห้ามให้คนของพิภพใหญ่รู้ที่มาที่ไปของพวกเราเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะนำปัญหาใหญ่มาสู่พวกเรา”

“ตาปีศาจเฒ่า ได้ยินรึยัง ควบคุมปากเจ้าไว้ให้ดีนะ” ศีลแปดเอ็ดตะโรใส่เยารั่วเซียนทันที

จนกระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเยารั่วเซียนเลย ส่วนเยารั่วเซียนก็ไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเขากับเหมียวอี้เช่นกัน ได้ยินเพียงว่าเห็นแก่หน้าไต้ซือศีลเจ็ด

ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้ตอบทุกคำถาม ต่อให้ไม่ถามเขาก็จะบอก เขาเล่าสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพิภพใหญ่ให้ทั้งสองฟัง บอกอะไรได้ก็บอกไปหมด ป้องกันไม่ให้ทั้งสองไปทำอะไรที่เป็นสิ่งต้องห้าม จะได้ไม่เหมือนตัวเองตอนมาครั้งแรก ที่หาเรื่องซี้ซั้วไปทั่วทุกที่

สถานีแรกคือดาวไร้ลักษณ์ สำนักลมปราณ เป็นสถานที่ที่หาไว้ให้เยารั่วเซียนค้างแรมเช่นกัน

อันที่จริง หลังจากผ่านเรื่องที่สำนักงามวิจิตรมา เขาก็พบว่าสมองของเยารั่วเซียนไม่ได้น่าอัศจรรย์อย่างที่จินตนาการไว้ จึงตัดสินใจจะให้เยารั่วเซียนปรับตัวกับสภาพแวดล้อมของพิภพใหญ่ได้ก่อน แล้วจากนั้นค่อยว่ากัน ตอนนี้ยังไม่กล้าให้เขาเพ่นพ่านไปทั่ว ส่วนอวิ๋นจือชิวกับศีลแปด ทั้งสองเป็นคนฉลาด ไม่ต้องให้เขาเป็นห่วงมากเกินไป โดยเฉพาะศีลแปด เขาไม่กลัวว่าศีลแปดจะโดนคนอื่นรังแก แต่กลัวคนอื่นจะโดนศีลแปดรังแกมากกว่า แบบนั้นคงต้องร้องว่าอามิตตาพุทธแล้ว

แต่เขาก็พาเยารั่วเซียนไปที่สำนักลมปราณคนเดียว ไม่ได้เปิดตัวอวิ๋นจือชิวกับศีลแปด เขาพาเยารั่วเซียนไปพบเจ้าสำนักอวี้หลิงเจินเหริน บอกว่าเป็นสหายรักของตน สำนักลมปราณย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับไว้ จึงทำตามที่เหมียวอี้บอก ให้เยารั่วเซียนไปอยู่ที่เรือนพักในป่าไผ่ของเหมียวอี้

ครั้งนี้ห่างจากเวลาที่จากพิภพใหญ่ไปไม่นาน หลังจากถามสถานการณ์นิดหน่อย ก็พบว่าสำนักลมปราณกับร้านขายของชำไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไร ร้านขายของชำที่กำลังขยายสาขาไปยังคงอยู่ในขั้นตอนวางรากฐาน

ที่เรือนพักในป่าไผ่ เหมียวอี้ไม่ได้ให้ใครตามมาอยู่เป็นเพื่อน เขาพาเยารั่วเซียนมาดูสภาพแวดล้อมด้วยตัวเอง

หลังจากพาเดินวนรอบหนึ่ง เยารั่วเซียนก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “สภาพแวดล้อมไม่เลวเลย เหมียว… หนิวโหย่วเต๋อ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีที่พักที่พิภพใหญ่แล้ว ข้าค้นพบแล้วว่าเจ้าบ้านี่ไม่ว่าไปที่ไหนก็ปะปนอยู่ที่นั่นได้” เขารู้สึกสะเทือนใจมากจริงๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่กล้าแม้แต่จะคิด ว่าจะสามารถมาที่พิภพใหญ่ได้

“ไม่ต้องพูดประจบแล้ว ข้าจะบอกเจ้าตรงๆ เลยนะ เพื่อที่จะช่วยชีวิตเจ้า ข้าสังหารลูกศิษย์ของเฟิงเป่ยเฉินกับลูกสาวของจีฮวนไปแล้ว ทั้งยังกำจัดท่านทูตของสองแดนนั้นไปแปดคน แค้นเก่ากับแค้นใหม่บวกรวมกัน ตอนนี้สถานการณ์ของข้าที่พิภพเล็กอันตรายมาก เฟิงเป่ยเฉินกับจีฮวนมาเอาชีวิตข้าได้ทุกเมื่อ ถ้าข้าตาย จุดจบของเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์จะยิ่งอนาถ เจ้าคิดหาทางช่วยข้าก่อนเถอะ!” ในที่สุดเหมียวอี้ก็บอกเจตนาที่แท้จริง

เยารั่วเซียนก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้น ถามอย่างลังเลว่า “เจ้าอยากได้เจดีย์งามวิจิตรเหรอ?”

“ถูกต้อง!” เหมียวอี้มองเขาด้วยแววตาแน่วแน่ พลางกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าต้องการรวมพิภพเล็กให้เป็นหนึ่งเดียว ทำให้ยุคของหกปราชญ์จบลง กำจัดความกังวลที่พิภพเล็กให้หมดสิ้น! ถ้าพบปัญหาที่พิภพใหญ่ขึ้นมา พิภพเล็กก็จะเป็นทางหนีทีไล่สุดท้ายของพวกเรา ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า!”

สำหรับเขา เจดีย์งามวิจิตรไม่พียงแค่สามารถแก้ปัญหาที่พิภพเล็กได้ แต่ยังกลายเป็นเครื่องมือป้องกันตัวที่พิภพใหญ่ได้ด้วย

เมื่อเดินทางไปมาระหว่างพิภพใหญ่กับพิภพเล็กหลายปี เขาเองก็นับว่าดูออกแล้วเหมือนกัน อย่าคิดว่าพิภพเล็กจะไม่มีค่าอะไรเลย นั่นเป็นความคิดตอนที่ยังโง่เขลาขาดความรู้ หลงไปคิดว่าคนจากสถานที่เล็กๆ ไร้ประโยชน์ ใช่ว่าเคล็ดวิชาฝึกตนที่พิภพเล็กจะไม่มีความสำคัญที่พิภพใหญ่เลย เคล็ดวิชาฝึกตนของสำนักต่างๆ มากมายในพิภพเล็ก ที่จริงก็มาจากแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งนี่เอง นี่ก็เป็นจุดประสงค์ที่สำนักใหญ่ๆ แต่ละแห่งส่งคนไปเข้าร่วมทุกๆ หนึ่งพันปีที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเปิด เคล็ดวิชาของหกปราชญ์ล้วนเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาของพิภพใหญ่

ที่จริงสำหรับพิภพเล็ก ข้อจำกัดที่ใหญ่ที่สุดก็คือทรัพยากรฝึกตน

ส่วนทักษะการหลอมของวิเศษที่พิภพเล็กก็อาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้น เหมียวอี้รู้สึกว่าเจดีย์งามวิจิตรก็ไม่เลวเลย

เยารั่วเซียนยิ้มเจื่อน “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะทะเยอทะยานมากขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยเจ้านะ ข้าเองก็อยากให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์พ้นภัยคุกคามจากคนอื่น แต่เจ้าก็รู้นี่ เจดีย์งามวิจิตรเล็กของข้าสู้กับหกปราชญ์ไม่ได้ ถ้าจะให้หลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรของจริง พวกเราก็มีทรัพยากรไม่พออีก!”

“ปัญหาเรื่องทรัพยากร เดี๋ยวข้าคิดหาทางเอง ครั้งก่อนเจ้าเดิมพันกับเซี่ยงไป่ถิง บอกว่าเจ้าจะใช้เวลาแค่หนึ่งร้อยวันเพื่อหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรเล็ก แล้วถ้าจะหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรตัวจริง จะต้องใช้เวลานานเท่าไร?” เหมียวอี้ถาม

เยารั่วเซียนตอบว่า “หลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรเล็ก ตอนแรกข้าใช้เวลาไปร้อยกว่าปี ตอนที่ข้าเดิมพันไปแบบนั้น เพราะข้าเคยหลอมสร้างมาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าหลอมสร้างอีกก็จะชำนาญแล้ว ถ้ามีแผนอยู่ในใจก็ใช้เวลาไม่นานหรอก การหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรตัวจริงก็มีจุดที่แตกต่างอยู่บ้าง ประกอบกับเจดีย์งามวิจิตรตัวจริงมีขนาดใหญ่ ล้วนต้องทุ่มเทเวลา ถ้าอยากจะให้มั่นใจเชื่อถือได้และไม่สิ้นเปลืองวัสดุ เกรงว่าต้องใช้เวลาร้อยกว่าปีเหมือนกัน”

“ได้! ข้าจะรอเจ้าหนึ่งร้อยปี เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องวัสดุ ข้าแก้ปัญหาได้” เหมียวอี้ว่าอย่างนั้น

เยารั่วเซียนส่ายหน้า “ก็ยังไม่ได้! ตอนที่ข้าเดิมพันกับเซี่ยงไป่ถิง เจ้าเองก็ได้ยินแล้ว อาศัยวรยุทธ์ของข้าในตอนนี้ ไม่มีทางสร้างของวิเศษขนาดใหญ่แบบนั้นได้เลย เพราะวรยุทธ์ของข้าไม่สามารถบุกเบิกพื้นที่ใหญ่ขนาดเจดีย์งามวิจิตรได้ได้ เจดีย์งามวิจิตรหลอมสร้างโดยยอดฝีมือบงกชม่วงหลายคนของสำนักงามวิจิตร ถ้าข้าคนเดียวคิดจะหลอมสร้างออกมาให้ได้ อย่างน้อยก็ต้องมีวรยุทธ์ระดับบงกชม่วงขั้นห้า”

“แบบนี้…” เหมียวอี้ขมวดคิ้วพึมพำ เริ่มคิดคำนวณ ตอนนี้เยารั่วเซียนวรยุทธ์บงกชแดงขั้นหก ถ้าจะเพิ่มเป็นบงกชม่วงขั้นห้า อย่างน้อยต้องใช้ยาแก่นเซียนห้าหมื่นสามพันกว่าเม็ด แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาเลย ครั้งก่อนก็เอาไปจากพิภพใหญ่สิบล้านเม็ด ตอนนี้ในมืออวิ๋นจือชิวยังมียาแก่นเซียนจำนวนมากที่ยังใช้ไม่หมด ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือเวลา ถึงจะมียาแก่นเซียนแต่ก็ต้องใช้เวลาร้อยกว่าปี บวกกับเวลาในการหลอมของวิเศษ ก็แปลว่าต้องรออีกสองร้อยปีกว่าจะสร้างเจดีย์งามวิจิตรขึ้นมาได้

แต่คิดไปคิดมาก็เหมาะเจาะพอดี ตอนนี้ต่อให้ได้เจดีย์งามวิจิตรมา เขาก็ยังควบคุมไม่ได้อยู่ หลังจากนี้สองร้อยปี ต่อให้คลานก็ต้องคลานผ่านธรณีประตูของระดับบงกชทองได้แหละน่า?

สุดท้ายเหมียวอี้ก็พยักหน้า “ไม่ใช่ปัญหาเลย ข้าจะให้ยาแก่นเซียนเจ้าหนึ่งแสนเม็ด เวลาหนึ่งร้อยปีก็เพียงพอให้วรยุทธ์เจ้าเพิ่มถึงบงกชม่วงขั้นห้าแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยช่วยข้าหลอสร้างเจดีย์งามวิจิตร หลังจากนี้สองร้อยปีข้าต้องเห็นของ”

“ยาแก่นเซียนหนึ่งแสนเม็ด?” เยารั่วเซียนสูดหายใจตกตะลึง “เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย?”

“ไม่ได้ล้อเล่น อีกประเดี๋ยวจะให้เจ้าทันที เจ้าตั้งใจฝึกตนก็พอแล้ว เออใช่ ในระหว่างนั้นหลอมทวนวิเศษขั้นห้าให้ข้าสักด้ามสิ เอาเกราะรบขั้นห้าด้วย ทั้งหมดทำจากผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูง รอให้ข้าบรรลุระดับบงกชทองก็ใช้ได้แล้ว บางทีข้าอาจจะซัดให้หกปราชญ์หมอบโดยไม่ต้องรอเจดีย์งามวิจิตรของเจ้าก็ได้ อื้ม! ทำให้เมียข้าด้วยชุดหนึ่ง เรื่องวัสดุข้าจะหาทางเอามาให้… จะเบิกตากว้างขนาดนั้นทำไม ใช้เวลาสองร้อยปี ของเล็กน้อยแค่นี้เจ้าใช้เวลาไม่นานหรอก เจ้าไม่ต้องใช้วรยุทธ์บงกชม่วงขั้นห้าก็หลอมสร้างได้ ข้าเกือบตายเพราะเจ้าหลายครั้งแล้ว กับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เจ้าคงไม่ปฏิเสธที่จะช่วยหรอกใช่มั้ย?”


935

ฮูหยินเจอชู้

เหมียวอี้เองก็อยู่พักที่สำนักลมปราณชั่วคราวระยะหนึ่ง หลังจากจัดที่อยู่ให้เยารั่วเซียนเข้าที่เข้าทาง คุยกับอวี้หลิงเจินเหรินได้สักพัก เขาก็กล่าวอำลาแล้ว

หลังจากออกจากสำนักลมปราณ มาเจอกับอวิ๋นจือชิวและศีลแปดที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขา ทั้งสามก็ฝ่าชั้นบรรยากาศออกไปอีกครั้ง มุ่งตรงสู่ดาวเทียนหยวน

ขณะที่มาถึงดาวเทียนหยวน เหมียวอี้ก็กำชับทั้งสองอีกครั้ง หวังว่าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขา เพราะเขามีศัตรูอยู่ที่นี่ เขาไม่อยากวางไข่ไก่ไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน

และแน่นอน ยังมีสาเหตุที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือกลัวอวิ๋นจือชิวจะเปิดโปงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหวงฝู่จวินโหรว

ด้วยเหตุนี้เอง ตอนที่เข้ามาในตลาดสวรรค์ เหมียวอี้จึงแต่งหน้าปลอมตัวก่อน

เมื่อเข้ามาในเมือง ความเจริญเฟื่องฟูของตลาดสวรรค์ก็ดึงดูดความสนใจของอวิ๋นจือชิวกับศีลแปดทันที ความเจริญของที่นี่ไม่ใช่สิ่งที่กำลังของมนุษย์ธรรมดาจะสร้างขึ้นมาได้ วัสดุหินก้อนใหญ่ที่ใช้สร้างตึกมากมาย อาศัยกำลังของมนุษย์ธรรมดาไม่อาจเคลื่อนย้ายได้

ที่นี่คือคู่เมืองขนาดใหญ่ที่มีกลุ่มนักพรตอยู่อาศัย ทั้งสองไม่เคยเห็นมาก่อน ในดวงตาเอาแต่ฉายแววตกตะลึง เหมือนกับตอนที่เหมียวอี้มาครั้งแรก

“ไม่ต้องรีบเดินดูตอนนี้หรอก ยังมีเวลาเหลือเฟือให้พวกเจ้าเอ้อระเหยลอยชาย หาที่พักให้พวกเจ้าก่อนดีกว่า” เหมียวอี้เตือนทั้งสองให้รีบเดิน อย่าแวะหยุดดูนั่นดูนี่ ทำเหมือนไม่เคยเห็นของอย่างนั้นแหละ

ที่พักอยู่ไม่ไกล เป็นโรงเตี๊ยมที่อยู่เยื้องกับร้านขายของชำซื่อตรง ค่าใช้จ่ายในการเข้าพักโรงเตี๊ยมที่ตลาดสวรรค์สูงไม่เบา แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ราคานี้ใช่ว่าจะจ่ายไม่ไหว

เช่าห้องไว้สองห้อง พวกเขาเดินขึ้นมาชั้นบน หลังจากผลักเปิดหน้าต่างออก เหมียวอี้ก็ชี้ไปยังร้านขายของชำซื่อตรงที่เยื้องอยู่ตรงข้ามพลางอธิบายให้ฟัง บอกว่าเขาคือหนึ่งในผู้ถือหุ้นของร้านนั้น

“จุจุ พี่ใหญ่ ที่แท้ท่านก็คลี่คลายสถานการณ์ที่พิภพใหญ่ไว้แล้วนี่เอง ใช้ได้เลยนะ!” ศีลแปดรู้สึกอัศจรรย์ใจไม่หาย ยื่นศีรษะโล้นออกนอกหน้าต่าง เหลียวซ้ายแลขวาไปทั่ว

อวิ๋นจือชิวกลับอดใจไม่ไหวอยากจะไปดูร้านขายของชำซื่อตรงสักหน่อย ทั้งสามถึงได้ออกจากโรงเตี๊ยม เมื่อมาถึงด้านนอกของร้านขายของชำซื่อตรง พวกเขาก็สังเกตการณ์และเรียนรู้พักหนึ่ง

อวิ๋นจือชิวชื่นชมวิธีการบริหารที่เหมียวอี้สร้างขึ้นมา เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย ช่องทางทำเงินมากมายขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะให้คนอื่นครอบครองผลประโยชน์ส่วนใหญ่ไป แต่นางก็รู้เหมือนกันว่าถ้าไม่มีอำนาจหนุนหลังก็ไม่อาจฮุบไว้คนเดียวได้ เหมียวอี้คนเดียวได้ผลประโยชน์มาสองส่วนก็นับว่ายากแล้ว

อุตส่าห์มาถึงที่นี่ จะมัวเยี่ยมชมแต่ร้านนี้ไม่ได้อยู่แล้ว เหมียวอี้พาทั้งสองไปเดินเล่นทั่วตลาดสวรรค์ พาทั้งสองไปเปิดหูเปิดตาบริเวณที่เจริญเฟื่องฟูที่สุดก่อน

สำหรับพวกผู้หญิง ตลาดสวรรค์นับว่าเป็นสวรรค์ของการจับจ่ายจริงๆ มีแต่สิ่งที่เจ้านึกไม่ถึง ไม่มีสิ่งที่เจ้าหาซื้อไม่ได้ ไฟปรารถนาในการจับจ่ายของอวิ๋นจือชิวถูกจุดให้ลุกโชน นี่คือธรรมชาติที่ผู้หญิงแก้ไม่หาย

ทว่าหลังจากเข้าไปสำรวจดูหลายๆ ร้าน อวิ๋นจือชิวก็ค้นพบอย่างเศร้าใจว่าเศรษฐีนีที่พิภพเล็กอย่างนาง เมื่ออยู่ที่นี่ก็เป็นแค่คนจนคนหนึ่งเท่านั้น สินค้าที่ดีจริงๆ นางก็ซื้อไม่ไหวเลยสักชิ้น เอะอะก็หนึ่งพันล้าน หนึ่งหมื่นล้าน หนึ่งแสนล้าน หนึ่งล้านล้านผลึกแดงแล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่จะผลาญสมบัติในครอบครัวเพื่อซื้อของที่ตัวเองชอบชิ้นเดียว ทำได้เพียงดูแล้วจินตนาการเอา ใช้สายตามองนิดหน่อยแล้วปล่อยผ่าน หลายครั้งที่มองเหมียวอี้อย่างคับแค้นใจ

ท่านขุนนางเหมียวรู้สึกกดดันหนักมาก ได้นอนกับผู้หญิงอาจจะเป็นการเสพสุข แต่การเลี้ยงดูผู้หญิงคือความกดดัน สิ่งที่เรียกว่าความกดดันก็คือแรงผลักดัน ผู้ชายที่มีกำลังทรัพย์มากถึงจะมีผู้หญิงเยอะได้ คนจนก็อย่าคิดเพ้อฝันเลย เพราะเลี้ยงดูไม่ไหว

ร้านค้าสมาคมวีรชนตั้งอยู่บริเวณที่เจริญที่สุดของตลาดสวรรค์ เมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าประตูร้าน เหมียวอี้อยากจะมองข้ามร้านนี้ไป อยากจะพาทั้งสองเดินผ่านไปโดยตรง แต่หน้าร้านของร้านค้าสมาคมวีรชนใหญ่โตขนาดนั้น อวิ๋นจือชิวไม่ใช่คนตาบอด เข้ามาคล้องแขนเหมียวอี้ทันที “หนิวเอ้อร์ ดูร้านนี้สิ เหมือนจะเป็นร้านค้าสมาคมวีรชนที่เจ้าเคยพูดถึงใช่มั้ย?”

เหมียวอี้เกิดความกลัวในใจ พูดจาคลุมเครือทันทีว่า “ข้ากับผู้จัดการร้านของร้านนี้เป็นสหายกัน เข้าไปแล้วคนจะจำได้ง่ายมาก”

“ไม่เป็นไร งั้นเจ้าไม่ต้องเข้าไป ข้ากับศีลแปดจะเข้าไปดูสักหน่อย” อวิ๋นจือชิวปล่อยแขนเขา กวักมือเรียกศีลแปด แล้วน้องชายของสามีก็เดินส่ายก้นเข้าไปทันที

เหมียวอี้พูดไม่ออก รีบไปยืนชิดขอบถนน หลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แอบมองมาทางนี้อยู่เป็นระยะ

เมื่อเข้ามาในร้านค้า ก็ย่อมมีพนักงานเข้ามาทักทาย โดยเฉพาะอวิ๋นจือชิวกับศีลแปด ทั้งคู่ล้วนมีสง่าราศีที่ไม่ธรรมดา พนักงานยิ่งต้อนรับอย่างอบอุ่น นำทั้งสองเดินดูและแนะนำ ตอนที่เห็นยาเจี๋ยตันขั้นห้าและยาเจี๋ยตันขั้นหก ศีลแปดที่ภายนอกวางมาดสง่าภูมิฐาน แต่ในใจอยากได้จนน้ำลายแทบไหลอยู่แล้ว

ยาเจี๋ยตันขั้นห้า อวิ๋นจือชิวก็เคยเห็นมาแล้วเช่นกัน ส่วนยาเจี๋ยตันขั้นหก นางเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจริงๆ ของสิ่งนี้มีมูลค่าสูงมาก นางตาเป็นประกายลุกวาวขณะจ้องมองยาเจี๋ยตันสีรุ้งที่อยู่ในตู้จัดแสดง

ทำได้แค่ดูเฉยๆ เหมือนกัน ถ้าจะให้ซื้อคงซื้อไม่ไหว อวิ๋นจือชิวแอบเสียดายในใจ หันไปถามพนักงานว่า “ได้ยินว่าผู้จัดการร้านที่นี่แซ่หวงฝู่เหรอ?”

ผู้ชายไงล่ะ เมื่อเจอผู้หญิงสวยก็ย่อมคุยง่ายอยู่แล้ว นางดูสินค้าแล้วเจริญตา พนักงานดูนางก็เจริญตาเช่นกัน ต่อให้ไม่ซื้อ พนักงานก็ยังดูแลต้อนรับด้วยรอยยิ้มอยู่ดี พยักหน้าตอบทันทีว่า “ใช่แล้วขอรับ! ผู้จัดการร้านหวงฝู่อยู่บ้านข้างๆ นี้เอง!” ขณะที่พูดก็ชี้ไปยังห้องหรูหราที่มีเถาดอกไม้สีม่วงห้อยระย้า

คงเป็นเพราะได้ยินคนพูดถึงตัวเอง หวงฝู่จวินโหรวแหวกม่านเดินเนิบนาบออกมาแล้ว ดวงหน้างามดุจดอกพุดตาน เรือนร่างอรชรปานต้นหลิว เอวบางหน้าอกอิ่ม ผมดำขลับเกล้าม้วนขึ้น สวยสดใสราวกับหิมะในฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาแวววาวดุจดวงดาว บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่เย็นสดชื่นราวกับสายลมโชย เป็นรอยยิ้มปกติยามต้อนรับลูกค้า

เมื่อผู้หญิงทั้งสองพบหน้ากัน ก็ต่างกันต่างมองประเมินกันทันที ต่างก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายทั้งสวยทั้งมีสง่าราศีไม่ธรรมดา อดไม่ได้ที่จะมองกันและกันหลายรอบ

ตอนที่เห็นศีลแปดประนมมืออย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องดุจดอกบัวขาวในน้ำใส นัยน์ตาหวงฝู่จวินโหรวก็ฉายแววทึ่ง ชมในใจว่าช่างเป็นลูกศิษย์พุทธะที่สง่าราวกับหยกงาม

หนิวเอ้อร์เป็นสหายกับสาวงามคนนี้เหรอ? อวิ๋นจือชิวเอียงหน้ามองไปด้านนอกโดยจิตใต้สำนึก แต่ไม่เห็นเงาของเหมียวอี้แล้ว การที่ผู้ชายของตัวเองไปเป็น ‘เพื่อน’ กับสาวงาม ผู้หญิงค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องนี้ โดยทั่วไปความคิดแรกที่แวบเข้ามาจะเป็นความเข้าใจผิด หรือไม่ก็เกิดความระแวงใจ นี่คือธรรมชาติของผู้หญิง

“ลูกค้าท่านนี้ต้องการพบข้าหรือคะ?” หวงฝู่จวินโหรวถามด้วยรอยยิ้ม

อวิ๋นจือชิวกวาดมองเรือนร่างที่แช่มช้อยของอีกฝ่าย จากนั้นย้ายสายตาขึ้นไปบนใบหน้างดงามละเอียดอ่อน แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านคือผู้จัดการร้านหวงฝู่จวินโหรวหรือคะ?”

“ใช่แล้วค่ะ!” หวงฝู่จวินโหรวพยักหน้า “ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับหรือเปล่าคะ?”

“มิบังอาจหรอกค่ะ เพียงได้ยินนามของผู้จัดการร้านหวงฝู่มานานแล้ว ตั้งใจจะมาชื่นชมสักหน่อย”

ทั้งสองฝ่ายไม่ได้รู้จักกัน หลังจากทักทายตามมารยาทสองสามคำ อวิ๋นจือชิวก็ออกจากร้านค้าสมาคมวีรชนไปโดยไม่ได้ซื้ออะไร

หลังจากเดินออกประตูมาพบเหมียวอี้ ขณะที่กำลังเดินไปร้านอื่นต่อ อวิ๋นจือชิวก็ยิ้มอย่างสนิทสนม พลางพูดหยอกว่า “หนิวเอ้อร์ เพื่อของเจ้าคนนั้นสวยไม่เบาเลยนะ”

“สวยเหรอ? เพื่อนคนไหนสวย?” เหมียวอี้แกล้งทำเป็นไม่รู้ ถามเหมือนงุนงง

อวิ๋นจือชิวตอบว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่จวินโหรวของร้านค้าสมาคมวีรชนไง เมื่อครู่อยู่ในร้านพอดี ข้าเพิ่งเห็นมา นางสวยมาก ได้คนแบบนี้มาเป็นเพื่อน เจ้าไม่ได้แอบคิดอะไรบ้างเลยเหรอ?”

เหมียวอี้พูดเหยียดหยามว่า “นางน่ะเหรอ? แบบนางนับว่าสวยด้วยเหรอ? ถ้าเทียบกับฮูหยินแล้วคนละชั้นกันเลย สู้ฮูหยินของข้าไม่ได้หรอก เป็นความงามที่หาได้ยากมาก”

อวิ๋นจือชิวพูดหยอกว่า “สวยก็สวยสิ ข้าไม่จำเป็นต้องไปอิจฉานางหรอก ทำไมเจ้าต้องพูดลดคุณค่านางขนาดนั้นล่ะ หรือว่ากินปูนร้อนท้อง ไปนอนกับนางมาแล้วเหรอ?”

เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ ตอบด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “พูดจาเหลวไหลให้มันน้อยๆ หน่อย ใช่ว่าข้าจะไม่เคยคุยกับเจ้าเรื่องนี้ คำว่า ‘เพื่อน’ ระหว่างข้ากับนางเป็นเพียงการเสแสร้ง ความจริงทำการค้าสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งในมือนางแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ ข้าเล่นงานนางตายไปนานแล้ว”

อวิ๋นจือชิวคิดไปคิดมาแล้วก็เห็นด้วย ด้วยนิสัยของสามีตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะไปทำเรื่องแบบนั้นกับอีกฝ่าย นางจึงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เมื่อหายกังวลแล้วก็เดินซื้อของต่อไป

เหมียวอี้แอบปาดเหงื่อ ด้วยนิสัยชอบชวนทะเลาะของผู้หญิงคนนี้ หากรู้ว่าตนแอบไปมีสัมพันธ์กับคนอื่น แบบนี้จะต่างอะไรกับการถล่มให้ฟ้าเป็นรู[1]…

ตลาดสวรรค์ใหญ่ขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเดินให้หมดภายในวันเดียว เดินเล่นจนดึกดื่น กอปรกับเหาะมาเป็นระยะทางไกล มีการสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปบ้าง ทั้งสามจึงกลับไปพักผ่อนผ่อนที่โรงเตี๊ยม

ถึงแม้ค่าเข้าพักโรงเตี๊ยมที่ตลาดสวรรค์จะไม่ใช่ถูกๆ แต่ก็นับว่าคุ้มค่าคุ้มราคา สภาพแวดล้อมไม่เลว หลังจากสองสามีภรรยาฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์และอาบน้ำด้วยกัน พวกเขาก็ไม่รีบร้อนที่จะฝึกตน แต่นอนกอดกันบนเตียงและคุยกันถึงสิ่งที่พบเจอมาเมื่อตอนกลางวัน

เหมียวอี้ค่อนข้างเหม่อลอย ในใจครุ่นคิดถึงคำพูดของอวิ๋นจือชิวเมื่อตอนกลางวันอยู่ตลอด กังวลว่าผู้หญิงคนนี้พูดจาคลุมเครือเพราะมองอะไรออกหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่เรียกว่ากินปูนร้อนท้อง

ส่วนอวิ๋นจือชิวที่ได้มาพิภพใหญ่เป็นครั้งแรกก็ตื่นเต้นจนท่วมท้น ดูค่อนข้างมีชีวิตชีวา บรรยายความรู้สึกและสิ่งที่เจอมาเป็นคำพูดได้ไม่หมด ประกอบกับอารมณ์และบรรยากาศที่ไม่เลว ทำให้นางถอดเสื้อผ้าออกอีกครั้ง เป็นฝ่ายรุกขอทำเรื่องสนุกบนเตียง นางรู้สึกถึงอกถึงใจเต็มที่ ทำสีหน้าผ่อนคลายสบายใจ

วันต่อมา อวิ๋นจือชิวกับศีลแปดยังอยากจะไปเดินเล่นที่ตลาดอีก แต่เหมียวอี้ไม่ไปเป็นเพื่อนแล้ว ปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตที่นี่ตามสะดวก ด้วยสถานการณ์ทั่วไปของตลาดสวรรค์ ตราบใดที่ไม่ก่อเรื่องก็ไม่มีปัญหาอะไร เขาอยากจะกลับไปดูที่ร้านขายของชำซื่อตรงสักหน่อย จึงไปหาที่ลับตาแล้วถอดหน้ากากออก จากนั้นกลับไปที่ร้านขายของชำซื่อตรง

สำหรับครั้งนี้ เหมียวอี้จากไปไม่นานแล้วสามารถกลับมาได้ ทำให้อวี้ซวีเจินเหรินดีใจมาก ทั้งสองย่อมพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องบริหารร้านขายของชำซื่อตรง

หลังจากคุยจบแล้ว อวี้ซวีเจินเหรินก็เตือนว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ของร้านค้าสมาคมวีรชนติดต่อมาทางนี้ บอกว่าถ้าท่านกลับมาแล้วให้ไปหานางสักเที่ยว มีเรื่องจะคุยกับเจ้า”

เหมียวอี้พยักหน้าอย่างเลอะเลือน คิดในใจว่า ตอนนี้อย่าเพิ่งเจอกันดีกว่า รอให้อวิ๋นจือชิวไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน จะได้ไม่ก่อปัญหาอะไรขึ้น ถึงอย่างไรครั้งนี้อวิ๋นจือชิวก็มาอยู่ไม่นาน แค่มาทำความรู้เส้นทางเท่านั้น

เมื่อกลับมาห้องตัวเอง เหมียวอี้ก็ผลักหน้าต่างมองไปยังหน้าต่างบานหนึ่งของโรงเตี๊ยมที่อยู่เยื้องกัน เขากับอวิ๋นจือชิวนัดกันไว้แล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรให้อวิ๋นจือชิวแขวนสิ่งของไว้บนหน้าต่าง แล้วเขาจะไปหาเอง

ทว่าเพิ่งจะกลับมาได้ไม่กี่วัน ต่อให้เหมียวอี้เก็บตัวฝึกฝน ไม่ก้าวออกจากประตูไปไหน ไม่กล้าโผล่หน้าออกไปตามอำเภอใจ แต่ฝั่งร้านค้าสมาคมวีรชนก็ยังรู้ข่าว จึงส่งคนมาเชิญทันที ยังคงเป็นผู้จัดการร้านหวงที่มีธุระจะคุยกับเขา

หวงฝู่จวินโหรวเป็นฝ่ายมาเกาะติดอย่างชัดเจน เหมียวอี้เรียกได้ว่าปวดหัวมาก อยากจะหลบก็หลบไม่ได้ แต่ถ้าไปพบก็กลัวจะยั่วโมโหผู้หญิงคนนั้น ตอนนี้ถึงได้พบว่าถ้าทั้งสองอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ต่อไป สักวันหนึ่งก็จะเกิดปัญหา เขาต้องเด็ดขาดกับเรื่องนี้ อยู่แบบหวาดระแวงต่อไปไม่ใช่เรื่องดี

ถึงแม้อวิ๋นจือชิวจะทำให้เขาเดือดดาลอยู่บ่อยๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าผู้หญิงที่เขารักที่สุดคืออวิ๋นจือชิว หลายสิ่งหลายอย่างที่อวิ๋นจือชิวทำไป เขาเองก็เข้าใจว่านางหวังดีกับเขา ลำพังแค่เรื่องอนุภรรยาก็ทำให้นางได้รับความไม่เป็นธรรมมากพอแล้ว เหมียวอี้รู้สึกผิดจริงๆ ไม่อยากให้ผู้หญิงคนอื่นมาทำให้เกิดเหตุไม่คาดคิดระหว่างตัวเองกับอวิ๋นจือชิว

หรือจะพูดแบบนี้ก็ได้ว่า ตำแหน่งของอวิ๋นจือชิวในใจของเหมียวอี้ ในโลกนี้ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนมาแทนที่ได้ นี่คือความรักระหว่างสามีภรรยาที่แท้จริง!

936

อาตมาจะเล่นมันให้ตาย

หลังจากแบ่งแยกความสำคัญชัดเจนและมีแผนในใจแล้ว เหมียวอี้ก็ตัดสินใจแน่วแน่ แข็งใจเดินออกไป แต่ระหว่างทางก็ยังเหลียวซ้ายแลขวา กลัวว่าจะบังเอิญเจอกับอวิ๋นจือชิว

มาถึงร้านค้าสมาคมวีรชนแล้ว พอเข้ามาในลานบ้านด้านหลัง ก็มีผู้หญิงสวยคนหนึ่งออกมาต้อนรับ หน้าตางดงามดุจภาพวาด สวยจนอยากกลืนกิน ไม่ได้ดูอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนหญิงรับใช้ทั่วไป

เหมียวอี้มองนางหลายครั้ง สังเกตเห็นโดยบังเอิญว่าหญิงรับใช้คนนี้มองตนด้วยแววตาที่คลุมเครือนิดหน่อย ขณะที่เดินตามนางไป ก็เอ่ยถามว่า “ก่อนหน้านี้เหมือนจะไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนนะ”

หญิงรับใช้ที่นำทางตอบว่า “บ่าวมาใหม่เจ้าค่ะ รับหน้าที่ปรนนิบัติคุณหนูหวงฝู่โดยเฉพาะ”

เหมียวอี้เพียงขานรับโดยไม่ได้คิดอะไรมากมาย พอมาถึงลานบ้านด้านในก็ยังไม่เจอหวงฝู่จวินโหรว แต่ไม่นานก็เห็นหน้าต่างบานหนึ่งบนตึกเปิดออก หวงฝู่จวินโหรวปรากฏตัวและส่งสายตาให้หญิงรับใช้คนนั้น หญิงรับใช้รู้กาลเทศะและถอยออกไป ตอนที่หันกลับมามองด้านหลังของเหมียวอี้อีกครั้ง ในดวงตานางฉายแววดุร้าย

เหมียวอี้ไม่อยากเข้าไปในห้องนอนของหวงฝู่จวินโหรวอีก แต่หวงฝู่จวินโหรวกลับกวักมือเรียก บอกใบ้ให้เขาเข้ามา จากนั้นก็ปิดหน้าต่าง

เหมียวอี้พูดไม่ออกมาก ทำได้เพียงผลักประตูตึกเข้าไป แล้วเดินขึ้นไปชั้นบน

ในห้องนอนหญิงสาว ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นแป้งหอมที่คุ้นเคย แขนงามสองข้างแอบจู่โจมจากด้านหลัง กอดเอวของเหมียวอี้เอาไว้ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ยังนึกว่าอีกตั้งนานกว่าเจ้าจะกลับมา ตอนหลังทำไมไม่มาหาข้าล่ะ?”

เหมียวอี้จับแขนนางแยกออก พอหันตัวมามอง ก็พบว่าหวงฝู่จวินโหรวถอดเครื่องประดับศีรษะออกแล้ว ผมนุ่มสยายประบ่า งดงามยิ่งกว่าดอกไม้

เหมียวอี้แอบร้องในใจว่าแย่แล้ว เขาฝืนยิ้มพร้อมตอบว่า “มีธุระบางอย่างต้องจัดการ ข้า…” ปากเขาโดนอุดด้วยริมฝีปากแดงสวย พูดอะไรไม่ออกแล้ว หวงฝู่จวินโหรวเกิดอารมณ์ปรารถนา เป็นฝ่ายจูบเขาก่อน ทั้งยังเร่าร้อนมากด้วย เหมือนจะทนทุกข์จากความคิดถึงไม่ไหว

ที่เขาว่ากันว่า ชายจีบหญิงยากเย็นดุจภูเขากั้น หญิงจีบชายง่ายดายดุจมุ้งกั้น พอผู้หญิงเป็นฝ่ายรุก ผู้ชายที่สามารถควบคุมตัวเองได้ก็มีน้อยมาก เหมียวอี้ที่ตั้งใจจะตัดขาดความสัมพันธ์ ในเวลานี้โถมทับนางอย่างไร้สติอีกครั้ง เดิมทีทั้งสองก็คุ้นเคยกับการทำอย่างนี้อยู่แล้ว ไม่นานเหมียวอี้ก็เป็นฝ่ายรุกเอง หลังจากเสื้อผ้าปลิวกระจาย ก็เกิดฉากที่อุตลุตวุ่นวายอีกครั้ง

หลังจากนั้น เหมียวอี้ก็นึกเสียใจทีหลังอีกแล้ว ขณะมองดูเรือนร่างขาวใสดุจหิมะตรงหน้า ขณะลูบไล้สะโพกที่ขาวเนียนน่าทึ่ง เหมียวอี้ก็ทอดถอนใจ “จวินโหรว ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เต็มใจจะแต่งงานกับข้ามั้ย?” ถ้าอีกฝ่ายเต็มใจ ต่อให้เขาจะโดนอวิ๋นจือชิวหันสองดาบ แต่ก็ต้องได้รับความยินยอมจากอวิ๋นจือชิวก่อน เรื่องแบบนี้ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากฮูหยินภรรยาเอก ก็ไม่สามารถรับอนุภรรยาเข้าบ้านได้ อวิ๋นจือชิวต่างหากที่เป็นนายหญิงตัวจริง นอกเสียจากเจ้าจะถอดตำแหน่งภรรยาเอกทิ้ง

หวงฝู่จวินโหรวกำลังนอนหมอบเคลิบเคลิ้มอยู่ในอ้อมอกเขา นางส่ายหน้าปฏิเสธ “เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลหวงฝู่จะทำลายกฎเพื่อข้า ข้าแต่งงานออกไม่ได้ ถ้าเจ้าอยากอยู่กับข้า ก็มีแค่ต้องแต่งงานเข้ามาเท่านั้น นอกเสียจากเจ้าจะมีอำนาจมาก สามารถกดดันตระกูลหวงฝู่ของข้าได้ หรือไม่ก็ไปขอให้ราชันสวรรค์ประทานการสมรส ทำให้ตระกูลหวงฝู่เถียงอะไรไม่ออก หนิวโหย่วเต๋อ ในมือเจ้ามีหุ้นของร้านขายของชำอยู่สองส่วน ถ้าแต่งงานเข้าตระกูลข้า เจ้าก็ไม่ลำบากหรอก ทั้งยังได้รับการปกป้องจากตระกูลหวงฝู่ด้วย” พูดแบบนี้เท่ากับโน้มน้าวให้เหมียวอี้แต่งงานเข้ามา

หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เหมียวอี้ก็ตอบว่า “สงสัยระหว่างเราจะไม่มีทางคุยกันให้ลงตัวได้!”

หวงฝู่จวินโหรวเงยหน้าช้าๆ เอามือยันตัวลุกขึ้น แล้วจ้องเขาพร้อมถามว่า “เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?”

เหมียวอี้ลุกขึ้น เก็บเสื้อผ้าจากพื้นขึ้นมาใส่ พร้อมบอกว่า “พวกเราทำแบบนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีที่ดี ข้าไม่อยากหลบๆ ซ่อนๆ ไปตลอด มิหนำซ้ำถ้าข่าวแพร่ออกไป ชื่อเสียงเจ้าก็เสียหาย ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า ในเมื่อพวกเราไม่มีทางคุยกันให้ลงตัวได้ ข้าว่าเราควรจะยุติความสัมพันธ์ที่ผิดปกติแบบนี้เสียที… หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรง เจ้าอยากได้มาตลอดไม่ใช่เหรอ? ข้ามอบให้เจ้าเพื่อเป็นการชดเชยได้นะ!”

หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำมีมูลค่าไม่เบา ความหมายที่เขาบอก ก็คือจะมอบให้หวงฝู่จวินโหรวเพื่อชดเชย แต่อีกความหมายหนึ่งก็ชัดเจนมากเช่นกัน นั่นก็คือนำหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำมาตัดขาดความสัมพันธ์ที่คลุมเครือของทั้งสอง

หวงฝู่จวินโหรวสีหน้าเปลี่ยนไปมาก เป็นเพราะหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำมีมูลค่าไม่น้อย แต่เหมียวอี้กลับไม่เสียดายที่จะมอบให้นาง แค่คิดก็รู้แล้วว่าตัดสินใจแน่วแน่เรื่องตัดความสัมพันธ์ หวงฝู่จวินโหรวดึงผ้าห่มขึ้นมาบังหน้าอกขาวอวบอิ่ม นางกัดริมฝีปาก สีหน้าซีดเผือด แล้วสุดท้ายก็ลุกออกมาหยิบเสื้อผ้าใส่

หลังจากใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว นางก็นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เหมียวอี้มองดูทุกอากัปกิริยาของนางอย่างเงียบๆ เขาไม่มีหน้าจะไปเร่งรัดนาง เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนเลย ทางด้านอวิ๋นจือชิว เขายังพอมีความมั่นใจอยู่บ้าง แต่ถ้าจะบอกให้หวงฝู่จวินโหรวไปเป็นอนุภรรยา เขาก็เอ่ยปากลำบาก ดังนั้นจึงยอมตัดใจทิ้งหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำ

ก็ช่วยไม่ได้ หวงฝู่เสียความบริสุทธ์ให้เขา ไม่อย่างนั้นคงไม่คู่ควรกับราคานี้หรอก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พัวพันกับนางอยู่อย่างนี้ ถึงอย่างไรภูมิหลังของหวงฝู่ก็ไม่ใช่เล่นๆ ถ้าไม่นำของที่มีน้ำหนักออกมา ก็จะชดเชยนางไม่ไหว ถึงแม้จะรู้ว่าการทำอย่างนี้จะเลวไปหน่อย แต่เจ็บสั้นย่อมดีกว่าเจ็บนาน จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาไม่จบไม่สิ้น เขาไม่อยากไปมีเรื่องกับตระกูลหวงฝู่จนนำอันตรายมาสู่อวิ๋นจือชิว

เมื่อใส่เครื่องประดับเสร็จแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็ลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ข้าไม่ใช่ผู้หญิงในหอโคมเขียว ไม่ได้ขายตัว! เจ้าเองก็ซื้อไม่ไหวหรอก! เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าเองก็ไม่ได้ให้เจ้ามารับผิดชอบอะไร หุ้นสองส่วนนั้นของเจ้า ถ้าหากข้าอยากได้ ข้าย่อมหาทางเอามาจนได้ ไม่ต้องให้เจ้ามอบให้หรอก” จากนั้นก็ยื่นมือเชิญ “ไปนั่งคุยกันข้างนอกเถอะ อยู่ในห้องนานคนจะสงสัย”

ทั้งสองเดินออกจากตึก พอนั่งลงในศาลาของลานบ้าน หวงฝู่จวินโหรวก็ตะโกนสั่ง “หงเอ๋อร์ น้ำชา!”

ผ่านไปครู่เดียว หญิงรับใช้คนนั้นก็ปรากฏตัวอีกครั้ง พอนำน้ำชามาวางแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็ยื่นมือเชิญ จากนั้นตัวเองก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบช้าๆ

เหมียวอี้จิบน้ำชาไปหลายคำ อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไว้ เห็นหญิงรับใช้คนนั้นอยู่ข้างๆ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา

หลังจากรอไปพักหนึ่ง เห็นหวงฝู่จวินโหรวยังทำสีหน้าเย็นชาไม่พูดอะไร เหมียวอี้จึงวางถ้วยน้ำชาแล้วถอนหายใจ “รอให้เจ้าคิดให้ดีก่อนแล้วก็ว่ากัน ข้าจะรอคำตอบจากเจ้า” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป

หลังจากมองคล้อยหลังเหมียวอี้จากไป หงเอ๋อร์ก็หันมามองหวงฝู่จวินโหรวที่กำลังทำสีหน้าเรียบเฉย “เถ้าแก่น้อย ทำไมเขาอยู่ในห้องนอนท่านนานขนาดนั้น?”

ถ้าเหมียวอี้มาได้ยินเสียงหงเอ๋อร์ในตอนนี้ จะต้องตกใจมากแน่นอน เป็นเสียงของปีศาจโลหิต

“คุยเรื่องความร่วมมือระหว่างร้านค้าสมาคมวีรชนกับร้านขายของชำซื่อตรง เจ้าอย่าถามมากดีกว่า ข้าไม่บอกเจ้าหรอก!” หวงฝู่จวินโหรวตอบคำเดียว แล้วเหล่ตาถามว่า “ลงมือแล้วเหรอ?”

“ข้าก็นึกว่าเขาจะจับได้ แต่เหมือนเขาจะใจลอยนิดหน่อย ดื่มน้ำชาไปอย่างนั้นโดยไม่ตรวจสอบให้ละเอียด แปลกจริงๆ!” หงเอ๋อร์เดาะลิ้น

หวงฝู่จวินโหรวเม้มริมฝีปาก มือที่ถือถ้วนน้ำชาชะงักเล็กน้อย ที่จริงก่อนที่เหมียวอี้จะมา ฝ่ายนี้ก็เตรียมจะลงมือกับเหมียวอี้ไว้แล้ว ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเหมียวอี้อ่อนแอไร้อำนาจ ทั้งยังไม่ใช่คนของสำนักลมปราณอย่างเป็นทางการ ควบคุมการบริหารของร้านขายของชำไม่ได้ ฮุบหุ้นสองส่วนเอาไว้คนเดียวเท่ากับเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง เพียงแต่นางนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะไม่เตรียมป้องกันตัว

จากนั้นก็ได้ยินหงเอ๋อร์พูดเย้ยอีกว่า “โดนพิษ ‘วิญญาณโลหิต’ ของข้าไป คนที่สามารถถอนพิษนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ ถึงตอนนั้นขอเพียงข้ากระตุ้นนิดเดียว ข้าไม่กลัวหรอกว่าเขาจะไม่ยอมแพ้ เขาทำให้วรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้าของข้าลดเหลือบงกชทองขั้นเจ็ด ข้าจะต้องให้เขาลิ้มลองรสชาติเวลาทรมานจนอยู่ต่อไม่ไหว แต่จะตายก็ตายไม่ได้!”

หวงฝู่จวินโหรวกล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าจำไว้นะ ว่าอย่าสร้างปัญหาให้ร้านค้าสมาคมวีรชน ถ้าให้คนอื่นรู้ว่าคนของร้านค้าสมาคมวีรชนวางยาพิษลูกค้า ถ้าทำร้ายยี่ห้อของร้านค้าสมาคมวีรชน ถึงตอนนั้นทั้งสมาคมวีรชนไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ เจ้าเองก็รู้ถึงผลที่ตามมา!”

หงเอ๋อร์พยักหน้า “เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว เถ้าแก่น้อยไม่ต้องห่วง ข้าจะกระตุ้นพิษเดี๋ยวนี้ รออีกสักพักให้ร้านค้าสมาคมวีรชนพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัย ข้าค่อยลงมืออีกที ถึงตอนนั้นข้าจะให้เขาคายหุ้นสองส่วนกับยาเม็ดโลหิตของข้าออกมาพร้อมกันเลย เวลาสั้นๆ แค่นี้ ข้าไม่ถึงขั้นรอไม่ไหวหรอก ตอนนี้ปล่อยให้เขาลำพองใจไปก่อนเถอะ!”

“อย่าประมาทเลินเล่อ พวกเราเสียเปรียบเขาหลายรอบแล้ว เจ้าไม่ได้เผยพิรุธอะไรใช่มั้ย?”

“น่าจะไม่มีค่ะ มี ‘ไข่มุกซ่อนจิต’ แล้ว เขาน่าจะไม่พบกลิ่นคาวเลือดบนตัวข้า”

เหมียวอี้ที่กลับมาถึงร้านขายของชำซื่อตรงพบปัญหาอีกแล้ว หวงฝู่จวินโหรวรู้ว่าเขากลับมา เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็รู้ว่าเขากลับมาเหมือนกัน จึงส่งคนมาคอยเฝ้า พอเหมียวอี้กลับมาจากข้างนอก กลุ่มทหารสวรรค์ก็มาจับกุมตัวเขาทันที

เหมียวอี้รู้สึกอับอายจนโมโห มีใครเขาเรียกคนไปพบด้วยวิธีการนี้บ้าง? ทำเหมือนเขาเป็นนักโทษอย่างนั้นแหละ เดี๋ยวต่อไปต้องหาทางสืบสักหน่อยว่าเจ้าหมีควายนั่นมีภูมิหลังอย่างไรกันแน่ ถ้าสบโอกาสเหมาะก็เล่นงานเจ้าบ้านั่นให้ตายเสียเลย จะได้ไม่ต้องมาพัวพันไม่จบไม่สิ้นแบบนี้

อวี้ซวีเจินเหรินที่เดินออกประตูมาทำสีหน้าจนใจ เป็นเพราะเจ้าบ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่คุยกันด้วยเหตุผลเลยจริงๆ

“ไปกันเถอะ!” หัวหน้าทหารสวรรค์ผลักเหมียวอี้ ควบคุมตัวไปอย่างนี้แล้ว

ตรงหน้าต่างบนตึกโรงเตี๊ยมเยื้องร้านขายของชำ อวิ๋นจือชิวเรียกได้ว่าทำสีหน้าวิตกกังวล นางตกใจเพราะเห็นเหตุการณ์บนถนน พอยื่นหน้าออกไปดู ไม่น่าเชื่อว่าจะเห็นฉากที่เหมียวอี้โดนจับตัว

นางไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตของคนที่นี่เลย เมื่อเผชิญสถานการณ์แบบนี้ นางก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มลงมือจากนั้นไหน ข้างหลังมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ศีลแปดมาเรียกนาง “พี่สะใภ้!”

“เข้ามาได้!” อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะตอบ ศีลแปดก็บุกเข้ามาอย่างร้อนใจราวกับไฟเผา แล้วกล่าวอย่างกังวลว่า “พี่สะใภ้ ท่านเห็นหรือเปล่า? เกิดเรื่องกับพี่ใหญ่แล้ว!”

อวิ๋นจือชิวเดินวนไปวนมาอย่างร้อนรน ประสานนิ้วมือพลางกล่าวอย่างกังวล “ข้าเห็นแล้ว พี่ใหญ่เจ้าบอกไว้ว่าไม่ให้ไปเกี่ยวข้องกับเขาอย่างเปิดเผย สถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าพวกเราเข้าไปมีส่วนร่วม เกรงว่าถึงตอนนั้นจะไม่เหลือใครไว้คิดหาทางช่วยเลย”

“พี่สะใภ้ ท่านไม่ต้องกังวล สงบใจเอาไว้ ข้าจะไปสืบข่าวก่อน ท่านรอฟังข่าวจากข้านะ”

“ก็ดี! ตอนนี้ก็ทำได้แค่นี้แล้ว เจ้ารีบไปรีบกลับแล้วกัน!” อวิ๋นจือชิวพยักหน้า นางเป็นผู้หญิง ไม่ค่อยสะดวกจะปรากฎตัวในวงสังคม โดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆ ถ้าเข้าไปยุ่งด้วยเรื่องราวอาจจะพลิกผันยิ่งกว่าเดิม ตอนอยู่ที่นี่นางไม่มีภูมิหลังอะไรมาปกป้องทั้งนั้น

“แม่งเอ๊ย! ข้าอยากจะเห็นว่าไอ้เวรที่ไหนมันบังอาจมาแตะต้องพี่ใหญ่ของข้า อาตมาจะเล่นงานมันให้ตาย ถ้าไม่ตายข้ายอมเปลี่ยนไปใช้แซ่เดียวกับมันเลย!” ศีลแปดตะโกนแล้ววิ่งไป

ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เป็นเรื่องเร่งด่วน ศีลแปดจึงขี้คร้านจะอ้อมค้อม บุกเข้าไปที่ประตูลานบ้านด้านข้างของร้านขายของชำโดยตรง แต่โดนคนเฝ้าประตูขวางไว้ “ไต้ซือมีธุระอะไรหรือ?”

ศีลแปดกล่าวอามิตตาพุทธ แล้วถามว่า “ขออนุญาตถาม ฆราวาสหนิวโหย่วเต๋ออยู่ไหม?”

คนเฝ้าประตูทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ไม่ได้บอกว่าเหมียวอี้เพิ่งถูกจับไป หนึ่งในนันตอบว่า “ไม่อยู่ขอรับ ไต้ซือมีธุระอะไรหรือ?”

ศีลแปดยิ้มพร้อมบอกว่า “ฆราวาสหนิวติดหนี้อาตมาก้อนหนึ่ง ให้อาตมามาเบิกที่ร้านขายของชำซื่อตรง คาดว่าฆราวาสหนิวคงจะไม่หลอกอาตมา”

คนเฝ้าประตูทำสีหน้าสงสัย แต่เห็นท่าทางศีลแปดดูไม่เหมือนคนโกหกหลอกลวง เจ้าบ้านี่มีภาพลักษณ์ภายนอกเอาไว้รังแกคนอื่นจริงๆ


937

ศีลแปดมารับตัว

ลูกศิษย์ที่เฝ้าประตูไม่สะดวกจะไล่ แต่ก็ไม่สะดวกจะให้ศีลแปดเข้าไปเช่นกัน ทำได้เพียงไปรายงาน บอกว่ามีพระรูปหนึ่งมาคิดบัญชีกับฆราวาสหนิว

ผ่านไปครู่เดียว ผู้จัดการร้านเต๋อเจิ้งก็ออกมาตรวจสอบความจริง เห็นว่าศีลแปดมีท่าทางสง่าภูมิฐานไม่เหมือนคนหลอกลวง แต่ก็ยังไม่ให้ศีลแปดเข้าไปอยู่ดี ส่วนสิ่งที่ศีลแปดถามมา พวกเขาย่อมไม่ตอบอะไรอยู่แล้ว ยังคงอ้างว่าฆราวาสหนิวไม่อยู่เพื่อไล่ศีลแปดไป จะปล่อยคนเข้ามาซี้ซั้วไม่ได้จริงๆ

ศีลแปดอยากจะจุดไฟเผาร้านค้าเส็งเคร็งนี่ทิ้ง แต่ภายนอกย่อมมองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร จากนั้นก็ได้ยินคนเดินถนนคุยกันเรื่องเมื่อครู่นี้ ถึงได้รู้ว่าคนที่จับตัวเหมียวอี้ไปคือคนของจวนผู้บัญชาการเขตตะวันตก จึงถามทันทีว่าจวนผู้บัญชาการเขตตะวันตกไปทางไหน แล้วรีบเดินไปที่นั่นอย่างรวดเร็ว

เมื่อโดนคุมตัวมาถึงจวนผู้บัญชาการเขตตะวันตก เหมียวอี้ก็ถูกนำตัวขึ้นศาลโดยตรง เขาชินกับความไร้เหตุผลของท่านที่อยู่ข้างในแล้ว

ในศาลพิจารณาคดี เซี่ยโห้วหลงเฉิงกำลังนั่งพิงเก้าอี้ ใช้ขาสองข้างพาดบนโต๊ะยาว มองดูเหมียวอี้ที่เดินเข้ามาอย่างเย็นเยียบ แล้วโบกมือเบาๆ ไล่ลูกน้องทั้งหมดออกไป

“หนิวโหย่วเต๋อ เรื่องที่ข้าแต่งงานกับหวงฝู่ พอจะมีหวังบ้างรึเปล่า?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงเอนกายกระดิกเท้าถาม

แต่งงานบ้าอะไรล่ะ! นางนอนกับข้าไปแล้วโว้ย! เหมียวอี้พึมพำในใจ รู้แล้วว่าเจ้าบ้านี่เรียกตนมาเพราะเรื่องนี้ จึงตอบด้วยสีหน้าลำบากใจ “ตอนนี้ยังไม่มี”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงถลันตัวพรวดเข้ามาทันที ชี้หน้าเหมียวอี้พลางตะคอกอย่างโมโห “แล้วเจ้ายังมีหน้าไปนู่นไปนี่อย่างสบายใจอีกเหรอ ข้าไปหาเจ้าแต่ก็หาไม่เจอ เจ้าใจกล้าไม่เบา บังอาจไม่เห็นความสำคัญเรื่องของข้า!”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ข้าก็ไม่มีหนทางแล้วเหมือนกัน! ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้เรื่องขยายสาขาร้านขายของชำ ข้าวิ่งเต้นไปทั่วก็ยุ่งเหมือนกัน!”

“การขายสาขาร้านขายของชำสำคัญกว่า หรือเรื่องข้าแต่งเมียสำคัญกว่า?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถามอย่างโมโห

เจ้าแต่งเมียแล้วเกี่ยวบ้าอะไรกับข้าล่ะ! เหมียวอี้พูดไม่ออกมาก “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว เจ้ามีทั้งอำนาจทั้งอิทธิพล ยังกลัวจะขาดผู้หญิงอีกเหรอ? มีผู้หญิงสวยแบบไหนที่หาไม่ได้บ้าง ทำไมดึงดันจะกัดกระดูกแข็งอย่างผู้จัดการร้านหวงฝู่อยู่ได้?”

“ในใต้หล้านี้ยังหาใครที่สวยกว่าหวงฝู่ได้อีกเหรอ?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถาม

พอแล้ว! สงสัยจะเป็นการดีดฉินให้ควายฟัง ในสายตาเจ้าบ้านี่ หวงฝู่จวินโหรวสวยที่สุดในใต้หล้า! เหมียวอี้จึงยิ้มเจื่อนตอบไปว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ช่วยเจ้านะ แต่หวงฝู่จวินโหรวมีเงื่อนไข ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่ตอบตกลง”

“เงื่อนไขอะไร? พูดมาได้เลย!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถามทันที

เหมียวอี้ตอบว่า “แต่งงานเข้าบ้านผู้หญิง! ผู้จัดการร้านหวงฝู่บอกแล้ว ผู้หญิงของตระกูลหวงฝู่ไม่แต่งงานออก ผู้ชายต้องแต่งงานเข้าบ้านหวงฝู่”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงพุ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ยังนึกว่าเงื่อนไขอะไร กฎบ้าๆ ของตระกูลหวงฝู่ ข้ารู้ตั้งนานแล้ว ก็แค่แต่งงานเข้าตระกูลเอง เรื่องจิ๊บจ๊อย”

เหมียวอี้เบิกตาโพลง ถามอย่างรู้สึกเหลือเชื่อว่า “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้วเต็มใจจะแต่งงานเข้าบ้านนางเหรอ?” เขารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ เจ้าบ้านี่มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา ยิ่งมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิง

“ลูกชายผู้สง่าผ่าเผยอย่างข้าจะแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิงทำบ้าอะไร เสียหน้าไม่ไหวหรอก!”เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดดูถูกว่า “ขอแค่นางเต็มใจอยู่กับข้า เรื่องแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้าจะขอให้ราชันสวรรค์ประทานงานสมรสให้ แบบนี้ตระกูลหวงฝู่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากแล้ว ประเด็นสำคัญคือต้องให้นางตอบตกลงแต่งงานกับข้า เข้าใจมั้ย?”

เหมียวอี้ตกตะลึงมาก ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าบ้านี่จะหาทางทำให้ประมุขชิงประทานงานสมรสได้ แบบนี้ต้องมีเส้นสายเยอะขนาดไหนกันเชียว? จึงอดถามไม่ได้ว่า “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว เจ้าติดต่อกับราชันสวรรค์ได้เหรอ?”

พอพูดถึงเรื่องนี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็อึกอักเหมือนอยากตอบ แต่สุดท้ายก็ข่มคำพูดเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะหลีกเลี่ยงไม่พูดถึง โบกมือบอกว่า “ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรจะถาม เจ้ารีบหาทางจัดการก็พอ ถ้าให้โค่วเหวินหลานคว้าโอกาสไปก่อน ข้าจะเล่นเจ้าให้ถึงตาย”

“อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการโค่วก็ยินดีจะแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิง?” เหมียวอี้ถามหยั่งเชิง

“เหลวไหล! เจ้าหนุ่มหน้าขาวนั่นก็ขอให้ราชันสวรรค์ประทานงานสมรสได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นจะมีสิทธิ์อะไรมาแย่งผู้หญิงกับข้าล่ะ?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงทำสีหน้าไม่สบอารมณ์

เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว แอบตกใจ สงสัยว่าเจ้าบ้าที่อยู่ตรงหน้ากับโค่วเหวินหลานมีที่มาแปลกประหลาดอย่างไรกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถใช้เส้นสายกับทางราชันสวรรค์ได้

สิ่งนี้ยิ่งทำให้เขาหวาดกลัว ถ้าเล่นงานเจ้าบ้านี่ถึงตาย ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดภัยอะไรตามมา คาดว่าคงร้ายแรงกว่าปล้นเกาะศักดิ์สิทธิ์เสียอีก แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ มีภูมิหลังเส้นสายแบบนี้ยังขาดเงินอีกแหรอ? จำเป็นต้องเที่ยวตักตวงเงินคนอื่นไปทั่วแบบนี้อีกเหรอ?

ขณะที่กำลังคุยกัน จู่ๆ ด้านนอกก็มีคนเข้ามารายงาน “นายท่าน ข้างนอกมีพระสงฆ์จากแดนสุขาวดีรูปหนึ่งมาหาขอรับ”

“คนของแดนสุขาวดีจะถ่อมาทำอะไรที่นี่?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงงุนงง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นคนของแดนสุขาวดี?”

อย่าว่าแต่เขาที่แปลกใจ แม้แต่เหมียวอี้ก็ฉงนใจเช่นกัน ตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีอยู่สูงสุดในบรรดาเก้าโลก เขายังไม่เคยเห็นคนที่มาจากสองแห่งนั้นเลย ไม่รู้ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาจากตำหนักสวรรค์ด้วยรึเปล่า

ทหารที่เข้ามารายงานตอบว่า “ดูเหมือนจะใช่ น่าจะไม่ปลอมนะขอรับ”

“มาหาข้าเหรอ” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถามอีก

“ไม่ได้มาหานายท่านขอรับ มาหาเขา” ทหารชี้ไปที่เหมียวอี้ “บอกว่าท่านนี้ติดหนี้เขาอยู่ เขามาคิดบัญชี”

“มาหาข้า?” เหมียวอี้ชี้หน้าตัวเอง ถามกลั้วหัวเราะว่า “ล้อเล่นอะไรกัน ข้าจะไปติดเงินคนของแดนสุขาวดีได้อย่างไร?”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับหัวเราะร่า โบกมือบอกอย่างรู้สึกสนใจ “เชิญเข้ามา มายืนยันต่อหน้าเดี๋ยวก็กระจ่างเอง”

“ขอรับ!” ทหารเอ่ยรับแล้วถอยออกไป

เซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับไปนั่งหลังโต๊ะยาวเพื่อรอดูเอาสนุก ส่วนเหมียวอี้ก็เดินไปนั่งลงตรงเก้าอี้ด้านข้าง ทำสีหน้าอึดอัดใจ เขาเป็นใครกัน?

ผ่านไปครู่เดียว พระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องรูปหนึ่งที่สวมจีวรสีขาวก็ถูกนำทางเข้ามา ดูเป็นอัจฉริยบุรุษที่หล่อเหลา แค่มองปราดเดียวก็รู้สึกว่าโดดเด่นไม่ธรรมดา บนตัวมีสง่าราศีของพระสงฆ์ ท่วงทีที่สง่างามแบบนี้ทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงตะลึงงันเล็กน้อย ไม่เหมือนพระสงฆ์ที่มาจากสถานที่ธรรมดาทั่วไปเลยจริงๆ

เหมียวอี้กลับตกตะลึงอ้าปากค้าง ไม่น่าเชื่อว่าพระสงฆ์ที่มาจะเป็นศีลแปด เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว แอบด่าในใจว่าเจ้าบ้านี่เล่นอะไรของเจ้า กล้าแม้กระทั้งแอบอ้างเป็นคนของแดนสุขาวดี

ศีลแปดกวาดตามอง พอเห็นเหมียวอี้นั่งสงบอยู่อย่างนั้น ไม่เหมือนคนที่มีปัญหาอะไร ในใจก็รู้สึกโล่ง ตอนนี้หายห่วงแล้ว

เมื่อเห็นว่าเป็นคนที่มาจากแดนสุขาวดีจริงๆ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่สะดวกจะวางก้ามเช่นกัน เดินอ้อมหลังโต๊ะยาวมากุมหมัดคารวะ “เซี่ยโห้วหลงเฉิงผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน ขอคารวะ ไม่ทราบว่าไต้ซือมาจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ส่วนไหนของแดนสุขาวดี?”

“อามิตตาพุทธ!” ศีลแปดประนมมือ แล้วกล่าวพร้อมยิ้มอย่างบริสุทธิ์ไร้ราคี “มิใช่มารมิใช่โจร ไม่หยุดนิ่งไม่ว่างเปล่า ไร้คราบไร้ฝุ่น”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงอ้าปากกว้าง รู้สึกมึนงงนิดหน่อย ฟังไม่เข้าใจเลย มาจากไหนกันแน่?

เขาเอียงหน้าหันมองเหมียวอี้ ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ฟังเข้าใจหรือเปล่า ในเมื่อรู้จักกับเหมียวอี้ เขาเดาว่าเหมียวอี้คงรู้ว่าอีกฝ่ายมาจากไหน

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะกำลังเอียงหน้ามองเขาอยู่ ฟังไม่รู้เรื่องเช่นกัน กำลังจะถามพอดีว่าเขาฟังเข้าใจรึเปล่า เหมียวอี้คิดว่าในเมื่อศีลแปดกล้าแอบอ้างว่าเป็นคนของแดนสุขาวดี ก็คงนำชื่อสถานที่ที่เคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่งมาแอบอ้าง เซี่ยโห้วหลงเฉิงอาจจะรู้ก็ได้ว่าเป็นที่ไหน

ทั้งสองถลึงตาใส่กัน

ที่จริงความหมายของศีลแปดก็คือ ไม่ต้องยึดติดว่าเขามาจากที่ไหน แต่ชาวพุทธมักจะชอบอะไรแบบนี้ จะพูดทุกอย่างให้ดูคลุมเครือ เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่ ลึกลับซับซ้อน เปรียบเปรียบแฝงคติ ทำให้ทุกคนพยายามบรรลุ อันที่จริงต่อให้บรรลุแล้ว ท้ายที่สุดก็ยังต้องกินเที่ยวเยี่ยวขี้อยู่ดี ส่วนศีลแปดนั้นหลอกลวงคนอื่นจนเป็นนิสัย ท่าทางแบบนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ฝึกมาจนชำนาญแล้ว

แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงดันไม่อยากเสียหน้า แสร้งทำท่าเหมือนฟังรู้เรื่อง พยักหน้าขานรับแล้วบอกว่า “ช่างเป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ไม่ทราบว่าไต้ซือมีฉายานามว่าอะไร”

ที่จริงเหมียวอี้ก็พอจะมองออกนิดหน่อยว่าเขาฟังไม่รู้เรื่อง เพียงแต่สงสัยในใจ ตกลงเจ้าฟังออกจริงๆ หรือแกล้งฟังออก

ศีลแปดตอบเสียงเรียบว่า “ศีลข้อหนึ่งคือเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ศีลข้อสองคือเว้นจากการลักขโมย ศีลข้อสามคือเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ศีลข้อสี่คือเว้นจากการพูดโกหก ศีลข้อห้าคือเว้นจากสุรา ศีลข้อหกคือเว้นจากการฟ้อนรำขับร้อง ศีลเจ็ดคือเว้นจากการนั่งนอนเหนือเตียงตั่ง ศีลแปดเว้นจากการบริโภคอาหารในยามวิกาล อาตมามีฉายานามว่าศีลแปด!”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงฟังจนอึ้งแล้วอึ้งอีก ฟังและทำความเข้าใจอยู่ตั้งนาน พอฟังถึงตอนท้ายถึงได้รู้ว่าอธิบายที่มาของฉายานาม คิดไปคิดมามาก็พบว่าเป็นสองคำสุดท้าย จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนั้นมั้ย? เข้าพึมพำในใจ คุยกับพระสงฆ์รูปนี้เหนื่อยจริงๆ… เขายิ้มแห้งพร้อมบอกว่า “ที่แท้ก็เป็นไต้ซือศีลแปด…” เขารีบวกเข้าหาประเด็น กลัวว่าอ้อมไปอ้อมมาแล้วสมองจะมีไม่พอใช้งาน ชี้เหมียวอี้พร้อมถามว่า “ได้ยินว่าไต้ซือมาคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”

“ใช่แล้ว!” ศีลแปดพยักหน้าเบาๆ แล้วหันไปพูดกับเหมียวอี้ “ฆราวาส ไม่เจอกันหลายปี อาตมามาทวงเงินทำบุญคืนจากเจ้า”

เงินทำบุญ? เงินทำบุญหัวโปกเจ้าสิ! เหมียวอี้ยืนขึ้นแล้วขมวดคิ้ว “ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นไต้ซือศีลแปดนี่เอง ทำไมท่านถึงมาเก็บเงินที่นี่ล่ะ ไม่ดูเสียบ้างว่าที่นี่คือที่ไหน” ในใจเดือดดาลมาก ในน้ำเสียงเจือความโมโหหลายส่วน เพราะเคยสั่งไว้แล้วว่ามาที่นี่ห้ามประกาศว่ามีความเกี่ยวข้องกับเขา

ศีลแปดยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “จิตว่าง ดวงตาว่าง มีที่ใดบ้างที่ไปไม่ได้?”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดแทรกอย่างประหลาดใจ “ไต้ซือศีลแปด เขาไปติดเงินทำบุญท่านได้อย่างไร ติดเงินท่านเท่าไร?”

ศีลแปดหันมามองเขาแล้วยิ้มบางๆ “เงินคือกรรม เพื่อที่จะตัดกรรม เท่าไรก็ไม่สำคัญหรอก อาตมาเห็นว่าผู้บัญชาการเซี่ยโห้วมีสติปัญญามาก อยากจะไขปริศนาของพุทธธรรมร่วมกับผู้บัญชาการ ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการคิดว่าอย่างไรบ้าง?”

ข้าจะไปมีสติปัญญาบ้าบออะไรล่ะ! เซี่ยโห้วหลงเฉิงปวดหัวทันที หัวเราะแห้งๆ พร้อมบอกว่า “ผู้บัญชาการผู้นี้โง่เขลา สนทนาธรรมกับไต้ซือไม่ไหว! เอ่อคือ ผู้บัญชาการผู้นี้ยังมีงานต้องทำ ไม่รบกวนการทวงเงินทำบุญของไต้ซือแล้ว” กุมหมัดคารวะส่งแขก

ศีลแปดทำสีหน้าสุดแสนจะเสียายทันที ส่วนเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ส่งสายตาให้เหมียวอี้ไม่หยุด ให้เหมียวอี้รีบพาพระสงฆ์พร่ำเพ้อคนนี้ออกไป อย่ามาสร้างความรำคาญให้เขาที่นี่ เขาเองก็ไม่สะดวกจะไปล่วงเกินคนของแดนสุขาวดี

เหมียวอี้เองก็ไม่อยากเห็นศีลแปดมาก่อเรื่องซี้ซั้วที่นี่แล้ว รีบกล่าวอำลาทันที

พอออกจากศาลพิจารณาคดี ระฆังดาราในกำไลเก็บสมบัติก็ส่งเสียงดัง ไม่น่าเชื่อว่าจงหลีค่วยจะส่งข่าวมา ถามว่าเหมียวอี้อยู่ที่ไหน บอกว่าจะมาหา เหมียวอี้ย่อมตอบว่าที่เดิม

“ใครส่งข่าวมา?” ศีลแปดแปลกใจ

เหมียวอี้ไม่ตอบ เพียงเดินออกจากจวนผู้บัญชาการไป เมื่อเดินอยู่บนถนนแล้ว ถึงได้แอบถ่ายทอดเสียงตำหนิศีลแปด “เจ้านี่ใจกล้าไม่เบา บังอาจแอบอ้างว่าเป็นคนของแดนสุขาวดี เจ้ารู้รึเปล่าว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีใครหนุนหลัง? เจ้าบ้านั่นอาจจะมาจากตำหนักสวรรค์ก็ได้ ถ้าสามารถคุยกับฝ่ายประมุขชิงได้ ไม่แน่ว่าอาจจะไปมาหาสู่กับแดนสุขาวดี ถ้าเขาจับได้ว่าเจ้าเล่นละคร ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะยุติปัญหายังไง!”

“เจ้าหมีควายนั่นมีภูมิหลังใหญ่โตขนาดนั้นเลยเหรอ? งั้นถ้ามีโอกาสจะต้องทำความรู้จักสักหน่อยแล้ว” ศีลแปดตื่นเต้นประหลาดใจ

เหมียวอี้จึงกล่าวอย่างโมโห “ทำความรู้จักบ้าอะไรล่ะ เจ้าบ้านั่นทั้งโลภเงินทั้งไร้เหตุผล เจ้าอย่าไปยุ่งกับเขาเลย อย่าหาเรื่องใส่ตัว ตอนนี้ข้าไปยุ่งกับเขาแล้ว จะสลัดทิ้งยังไงก็สลัดไม่หลุด ข้าถามหน่อยเถอะ เจ้าเห็นคำพูดข้าเป็นแค่ลมที่ผ่านหูใช่มั้ย ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าอย่าประกาศความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน ทำไมเจ้ายังมาที่นี่อีก?”

ศีลแปดร้องขอความเป็นธรรมทันที “ท่านคิดว่าข้าอยากทำรึไง! พวกเรามองจากบนโรงเตี๊ยมแล้วเห็นท่านโดนทหารสวรรค์จับตัวไป พี่สะใภ้ร้อนใจมาก ข้าเองก็โดนกดดันจนไม่มีทางเลือก ถึงได้มาสืบข่าว ตอนนี้พี่สะใภ้ยังรอฟังข่าวจากข้าอยู่นะ”

“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าจะไปปลอมตัวแล้วค่อยกลับไป” เหมียวอี้พูดทิ้งท้าย แล้วแยกทางกับศีลแปดที่ปากซอยแห่งหนึ่ง

938

ศีลแปดหนีไปแล้ว

ตอนที่ตัวเองไปไหนมาไหนคนเดียว ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากขนาดนี้ แต่หลังจากมีภรรยาก็เท่ากับมีอีกครึ่งชีวิตเพิ่มขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นนิสัยใจคอหรือการวางตัวในสังคมก็จะต้องคำนึงถึงอีกครึ่งหนึ่งด้วย ต้องสำรวมท่าทีไว้บ้าง เจ้าจะทำเหมือนมีไม่นางอยู่บนโลกนี้ไม่ได้ จะทำตัวเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้ เรื่องที่ทั้งสองทำร่วมกันย่อมไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียวอยู่แล้ว

เหมียวอี้รู้ว่าอวิ๋นจือชิวต้องร้อนใจมากแน่นอน หลังจากปลอมตัวแล้วจึงรีบกลับไปที่โรงเตี๊ยม

ถึงแม้จะได้ยินศีลแปดบอกว่าเหมียวอี้ไม่เป็นอะไร แต่พอได้เห็นเหมียวอี้กลับมาอย่างปลอดภัย อวิ๋นจือชิวถึงได้ตบหน้าอกอย่างโล่งใจ เดินเข้าไปรับและถามว่า “หนิวเอ้อร์ ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

เหมียวอี้นั่งลงข้างๆ แล้วส่ายหน้าตอบว่า “จะมีเรื่องอะไรได้ล่ะ ก็ผู้บัญชาการหมีควายที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังนั่นแหละ”

อวิ๋นจือชิวรินน้ำชามาวางข้างๆ เขา แล้วนั่งลงถาม “เจ้าอยู่ของเจ้าดีๆ เขามาจับตัวเจ้าไปทำไม?”

“ไม่ถือว่าจับตัวหรอก แต่เจ้าบ้านั่นไม่พูดกันด้วยเหตุผลเลย อีกฝ่ายมีคนหนุนหลัง ก่อให้หาเรื่องคนอื่นตัวเองก็ไม่เป็นไร ไม่จับข้ามัดไปก็ดีเท่าไรแล้ว”

“จับตัวเจ้าไปก็ต้องมีสาเหตุสิ?”

ที่จริงเหมียวอี้ไม่อยากพูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหวงฝู่จวินโหรวเลย เขายิ้มขื่นขมพลางเล่าว่า “เจ้าเองก็เห็นสาเหตุแล้ว หวงฝู่จวินโหรวผู้จัดการร้านค้าสมาคมวีรชน ผู้บัญชาการหมีควายคนนี้ชอบนาง เขารู้ว่าข้ารู้จักกับผู้จัดการร้านหวงฝู่ เลยดันทุรังจะให้ข้าเป็นพ่อสื่ออยู่ได้ อีกฝ่ายไม่ชอบเขา แต่เขากลับเกาะติดไม่ปล่อย ข้าจะมีหนทางอะไรได้อีก”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่นั่นก็หน้าตาสะสวยไม่ธรรมดาจริงๆ มีคนมาจีบก็เป็นเรื่องปกติมาก”

เหมียวอี้ยกน้ำชาจิบแก้คอแห้ง แล้วพูดพึมพำว่า “ฮูหยิน เจ้าเองก็ได้มาเห็นที่นี่แล้ว ควรจะกลับได้แล้วหรือเปล่า? เวยเวยเพิ่งจะเริ่มงาน กลัวว่าจะมีหลายเรื่องที่ยังไม่คุ้น”

“ทำไม?” อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองทันที ถามด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรว่า “ข้าขัดหูขัดตาเจ้าเหรอ อยากจะไล่ข้ากลับแล้วล่ะสิ?”

เหมียวอี้ถอนหายใจแล้ว “เฮ้อ! ข้าจะกล้าได้ยังไง! เมื่อครู่นี้จู่ๆ เจ้ารองก็บุกไปที่จวนผู้บัญชาการ ทำเอาข้าตกใจแทบแย่ ข้าจะบอกความจริงให้แล้วกัน โรงเตี๊ยมที่เจ้าพักอยู่ก็ไม่ใช่ที่พักที่มั่นคงปลอดภัย ใครกล้ารับประกันว่าอยู่ที่โรงเตี๊ยมแล้วจะปลอดภัย พวกเราหลบๆ ซ่อนๆ อยู่แบบนี้ สักวันจะต้องโดนคนที่สนใจจับได้แน่นอน แบบนี้ไม่เป็นผลดีกับเจ้า ข้าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเจ้า ไม่มีทางทำงานได้อย่างสงบใจเลย ไม่มีสมาธิจะฝึกตนด้วย เข้าใจรึเปล่า?”

ที่แท้ก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของนาง! อวิ๋นจือชิวรู้สึกหวานซึ้งในใจ มองเขาอย่างอ่อนโยนแวบหนึ่ง แล้วลุกขึ้นมานั่งตักเขา เอามือคล้องคอเขาพลางพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “หาที่พักที่มั่นคงปลอดภัยได้ไม่ยากหรอก เปิดร้านที่ตลาดสวรรค์สักร้านก็สิ้นเรื่องแล้ว เครื่องประดับนั่นขายดีมากไม่ใช่เหรอ พวกเราคิดหาทางทำร้านขึ้นมาสักร้านดีมั้ย? เจ้าอยู่ที่นี่ก็มีเส้นสายอยู่บ้างไม่ใช่เหรอ ช่วยข้าหาหน้าร้านสักร้านดีไหม?”

เหมียวอี้เกาศีรษะ “ข้าก็เตรียมจะทำแบบนี้เหมือนกัน หาเส้นสายเพื่อตั้งร้านสักร้านน่าจะไม่ยาก แต่คนที่มีเส้นสายพวกนั้นก็จะมอบให้เปล่าๆ โดยไร้เหตุผลไม่ได้เหมือนกัน ตอนนี้ในมือเรายังไม่มีเงินเยอะขนาดนั้น ถ้าจะซื้อร้านค้าที่ตลาดสวรรค์สักร้านก็ต้องใช้เงินไม่น้อยเลย ที่ร้านขายของชำก็ต้องการเงินทุนเพื่อขยายสาขา กำไรพิเศษลดลงฮวบฮาบ เกรงว่าต้องรออีกสักพักแล้วค่อยว่ากัน”

“รอหน่อยก็ไม่เป็นไร หนิวเอ้อร์ งั้นข้าก็ตอบตกลงเจ้าแล้ว” อวิ๋นจือชิวใช้สองมือกอบใบหน้าเขา พร้อมกล่าวอย่างจริงจังตั้งใจ

อันที่จริงแล้ว ถ้ายังจัดการความสัมพันธ์ระหว่างตนกับหวงฝู่จวินโหรวให้ชัดเจนไม่ได้ เหมียวอี้ก็ไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวมาที่นี่เลย คิดไปคิดมาก็เลยยื้อเวลาไว้ก่อนดีกว่า ยังบอกเวลาแน่นอนไม่ได้ อย่างมากถ้าถึงตอนนั้นก็ค่อยหาข้ออ้างอีกที เขาจึงพยักหน้าตอบว่า “ของที่ฮูหยินอยากได้ ข้าจะไม่พยายามเต็มที่ได้อย่างไร!”

อวิ๋นจือชิวยิ้มหน้าระรื่น สวยหยาดเยิ้มมาก ริมฝีปากแดงน่าหลงใหลยื่นเข้ามาจูบ ลิ้นหอมเป็นฝ่ายรุกล้ำเข้ามาพัวพันในช่องปากเหมียวอี้ก่อน

เมื่อปะเหลาะให้นางมีความสุขแล้ว ทุกอย่างก็ย่อมพูดง่ายตามไปด้วย หลังจากถอนจูบ นางก็เอามือคล้องคอเหมียวอี้อีก “กลับไปก่อนก็ดีเหมือนกัน ข้าคิดเอาไว้แล้ว จะขายแต่เครื่องประดับอย่างเดียวไม่ได้ ข้าจะซื้อผลึกม่วงกับผลึกแดงกลับไปก่อน แล้วให้ตั๊กแตนแปรรูปสักหน่อย กลั่นให้บริสุทธิ์ก่อน รอให้ได้หน้าร้านมาแล้ว เราก็จะขายทั้งเครื่องประดับทั้งวัสดุหลอมของวิเศษที่มีความบริสุทธิ์สูง กำไรที่ได้น่าจะไม่แย่เท่าไรหรอก”

เหมียวอี้อยากจะให้นางไปไวๆ รีบพยักหน้าให้ความร่วมมือกับนาง “ให้ข้าทำเกราะรบป้องกันตัวสักชุดก่อนเถอะ เดี๋ยวจะเอาไปให้เยารั่วเซียนหลอมสร้าง ถ้าไม่มีของไว้ป้องกันตัวสักหน่อย ข้าก็รู้สึกไม่มั่นใจ”

เมื่อได้ยินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเขา อวิ๋นจือชิวก็เริ่มทำสีหน้าจริงจัง ครุ่นคิดในใจว่าต้องรีบกลับไปทำเวลาหน่อย จะมัวชักช้าอยู่ที่นี่ไม่ได้ จึงพยักหน้าบอกว่า “ได้ งั้นพรุ่งนี้ข้าจะซื้อของนิดหน่อย แล้ววันมะรืนก็กลับ” จากนั้นก็ยื่นปากไปข้างหูเหมียวอี้ คลอเคลียที่จอนผม กระซิบปลุกปั่นว่า “แต่สองคืนที่เหลือนี้เจ้าต้องปรนนิบัติข้าดีๆ หน่อยนะ ถ้าไม่ทุ่มเทกำลังป้อนให้ข้าอิ่ม ข้าก็จะไม่ไป”

ท่านขุนนางเหมียวย่อมทำตามคำสั่ง…

เหมียวอี้เบิกผลึกม่วงกับผลึกแดงจำนวนหนึ่งออกจากร้านขายของชำ แล้วนำมามอบให้อวิ๋นจือชิว นางจะได้นำกลับไปเตรียมตัวได้สะดวก จากนั้นก็ติดต่อกับจงหลีค่วย ฝ่ายจงหลีค่วยเดินทางออกจากปราสาทดำเนินนภาแล้ว แต่เวลาในการเดินทางจากปราสาทดำเนินนภามาถึงที่นี่ เพียงพอจะให้เขาไปส่งอวิ๋นจือชิวแล้วกลับมาอีกรอบ

เช้าตรู่ของอีกสองวันต่อมา หลังจากร่างเปลือยทั้งสองลุกจากเตียงขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ก็มาหาศีลแปดที่ห้อง ปรากฏว่าเคาะห้องศีลแปดอย่างไรก็ไม่ยอมเปิด ข้างในไม่มีคนตอบ จึงผลักเข้าไปหาข้างใน แต่ไม่เห็นเงาใครเลย

เห็นเพียงตรงจุดที่สังเกตเห็นได้ง่ายบนโต๊ะ มีแผ่นหยกวางทิ้งไว้แผ่นหนึ่ง พอเหมียวอี้หยิบขึ้นมาอ่าน ก็หน้าดำคร่ำเครียดทันที

“เป็นอะไรไป?” อวิ๋นจือชิวหยิบแผ่นหยกจากมือเขามาอ่านโดยตรง หลังจากอ่านจบก็สีหน้าเปลี่ยนเช่นกัน ตวาดเสียงแหลมว่า “หาเรื่อง! หนิวเอ้อร์ กลับไปตามหาเขาแล้วตีให้ตายเลย! ถ้าเจ้าทำไม่ลง พี่สะใภ้คนนี้ก็จะไม่เกรงใจแล้วเหมือนกัน!”

ศีลแปดออกไปแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือหนีไปแล้ว พอเจ้าบ้านี้ได้ยินว่าจะกลับพิภพเล็ก เขาก็ไม่ปลื้มแล้ว บอกว่ากลับไปพิภพเล็กแล้วน่าเบื่อ ยังไม่ได้ดูพิภพใหญ่ให้เต็มตาเลย ตอนนี้ยังไม่อยากกลับ ดังนั้นจึงทิ้งจดหมายไว้แล้วแอบหนีไป ทั้งยังบอกว่าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ไม่ต้องเป็นห่วง รอให้เขาเที่ยวทัศนาจรจนเต็มอิ่มแล้ว ก็จะไปติดต่อกับเหมียวอี้ที่ร้านขายของชำซื่อตรง

เหมียวอี้รีบนำระฆังดาราออกมาติดต่อศีลแปด เพื่อที่จะติดต่อกันได้สะดวก ก่อนหน้านี้เขานำระฆังดาราไว้ให้ศีลแปดอีกอัน ปรากฏว่าติดต่ออย่างไรก็ไม่มีเสียงตอบกลับ

เหมียวอี้มั่นใจว่าเจ้าบ้านั่นต้องได้รับข้อความแล้วแน่นอน แต่จงใจไม่ตอบกลับ ถึงได้ส่งข้อความไปบอกว่า จะไม่ให้เขากลับไป เพียงแต่มีบางอย่างต้องคุยกันต่อหน้า ให้เขากลับมาพบหน้าตน

ศีลแปดจะโดนหลอกง่ายนั้นได้อย่างไร ก็แค่ไม่ตอบกลับ และไม่รู้ด้วยว่าไปหลบอยู่ที่ไหน

“เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อนนะ ข้าจะไปสืบข่าวสักหน่อย ดูว่าเขาออกนอกเมืองไปรึยัง!”

เหมียวอี้พูดทิ้งไว้แล้วออกไปทันที มุ่งตรงไปหาเซี่ยโห้วหลงเฉิง ให้เขาช่วยถามทหารยามที่เฝ้าประตูเมือง ถึงอย่างไรศีลแปดก็หน้าตาโดดเด่น ตอนออกจากเมืองทหารยามจะต้องจำได้แน่นอน นอกเสียจากเจ้าบ้านั่นจะปลอมตัว

พอพูดถึงวิชาปลอมตัวของศีลแปด เหมียวอี้ก็ปวดหัวนิดหน่อย นั่นเรียกว่าเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้าจริงๆ

ธุระเล็กน้อยแค่นี้ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไรสำหรับเซี่ยโห้วหลงเฉิง เขาส่งไปคนไปสืบที่ประตูเมืองทั้งสี่ทิศทันที และไม่นานก็กลับมารายงาน มีคนเห็นศีลแปดออกจากเมืองไปแล้วจริงๆ ด้วย ออกไปทางประตูทิศเหนือ

เหมียวอี้รีบตามไปโดยออกทางประตูทิศเหนือ ค้นหาจนทั่วแล้ว ทว่าดาวเทียนหยวนกว้างใหญ่ขนาดนั้น แถมศีลแปดยังตั้งใจซ่อนตัว ผีที่ไหนจะไปหาเขาพบล่ะ ทำเอาเหมียวอี้แค้นจนกัดฟันกรอด เขย่าระฆังดาราเตือนเสียเลยว่า ศีลแปดต้องกลับมาภายในเวลาที่กำหนด ไม่อย่างนั้นจะได้เห็นดีกัน

ศีลแปดดื้อดึงมา ไม่ตอบอะไรกลับมาทั้งนั้น ในเวลานี้ใช้เหตุผลอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้บอกว่าเหมียวอี้ตายแล้วเขาก็ไม่เชื่อ เมื่อพระสงฆ์รูปนี้ตั้งใจแล้วว่าจะหนี ถ้าอยากจะดึงกลับมาก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น

เหมียวอี้กลับโรงเตี๊ยมมารออีกหนึ่งวัน ผ่านเวลาที่กำหนดแล้ว แต่ศีลแปดยังไม่กลับมา

เติบโตมาพร้อมกันตั้งแต่เด็ก เหมียวอี้รู้จักศีลแปดดีว่าเป็นคนอย่างไร นิสัยเสียขาดคุณธรรม ใจกล้าคับฟ้า เมื่อทำเรื่องชั่วไว้ก็จะปิดบังจนถึงที่สุด นอกเสียจากจะหมดทางถอย ไม่อย่างนั้นถ้าเจ้าจับตัวเขามาไม่ได้ เขาก็ไม่มีทางเต็มใจกลับมารับโทษแน่

หาไม่เจอแล้วจริงๆ อวิ๋นจือชิวจึงแสยะยิ้มและบอกว่า “งั้นก็ยังไม่ต้องหา พวกเรากลับกันก่อนดีกว่า แล้วไปหาไต้ซือศีลเจ็ด ให้อาจารย์เป็นคนสั่งให้เจ้ารองไสกัวกลับมา รอให้เจ้ามาที่นี่อีกรอบ แล้วค่อยพาเขากลับไป”

เหมียวอี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “เจ้าไม่รู้หรอกว่าเจ้ารองนิสัยเป็นอย่างไร เขาสามารถหลบไปเป็นเจ้าอาวาสที่สำนักแม่ชีได้ ถ้าไต้ซือศีลเจ็ดตามเขากลับมาได้ก็แปลกแล้ว เจ้ารองเคยทรยศสำนักหนีไปหลายครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะโดนจับกลับมาทุกรอบ เจ้าคิดว่าไต้ซือศีลเจ็ดจะควบคุมเขาได้เหรอ? ใช้อุบายความเป็นอาจารย์และลูกศิษย์กับเขาไม่ได้ผลหรอก เขาสามารถตะโกนเรียกไต้ซือศีลเจ็ดว่าตาแก่โล้นได้ ไปหาไต้ซือศีลเจ็ดก็ไม่มีประโยชน์เลย!”

อวิ๋นจือชิวตกใจมาก “ทรยศหนีออกสำนักหลายครั้ง? เรียกไต้ซือศีลเจ็ดตาแก่โล้น? เอ่อ… หนิวเอ้อร์ ทำไมไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงมาก่อนเลยล่ะ?”

นางพบว่าน้องชายของสามีคนนี้ เหมือนคนของแดนมารยิ่งกว่านางเสียอีก ขนาดคนของแดนมารยังไม่ทรยศสำนักตามอำเภอใจอย่างนี้เลย

“เจ้าเคยเห็นใครอยากประกาศเรื่องเน่าเหม็นในครอบครัวบ้างล่ะ?” เหมียวอี้ใช้สองมือลูบหน้า กล่าวอย่างแค้นใจว่า “ไอ้เด็กเปรต อย่าให้ข้าจับได้ก็แล้วกัน!”

ไม่มีทางเลือก ถ้าอยากจะหาตัวศีลแปดกลับมาก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งสองไม่มีความสามารถที่จะระดมคนให้หาทั่วทั้งดาวเทียนหยวน ทำได้เพียงกลับไปก่อน เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่รอศีลแปดซึ่งไม่รู้ว่าจะกลับมาวันไหน

บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ อวิ๋นจือชิวทำเครื่องหมายระบุเส้นทางกลับมาตลอดทาง จนกระทั่งวาดเส้นทางกลับได้ทั้งหมดแล้ว พวกเขาก็กลับมาถึงพิภพเล็กอีกครั้ง

เวลาที่ทั้งสองใช้ในการเดินทางไปกลับ บวกกับเวลาที่พักอยู่ที่พิภพใหญ่ เป็นเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น เมื่อเห็นพวกเขากลับมาแล้ว ฉินเวยเวยที่ช่วงนี้เหมือนกำลังเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ในที่สุดก็ได้โล่งใจเสียที

เมื่อได้อำนาจทางนี้กลับมา อวิ๋นจือชิวก็ไปเลี้ยงดูเอาใจใส่ตั๊กแตนพวกนั้นทันที ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทำธุรกิจจนชินแล้วหรือเปล่า นางตั้งอกตั้งใจเรื่องเปิดร้านที่ตลาดสวรรค์มาก เหมียวอี้โดนนางทิ้งชั่วคราว

เพียงแต่เหมียวอี้ในตอนนี้ไม่มีทางเปลี่ยวเหงา มีคนคอยอยู่ด้วยอยู่แล้ว เขาเดินไปที่ตำหนักอินทนิลคนเดียว เตรียมจะอยู่ที่นี่สักสามวัน นี่คือเจตนาของอวิ๋นจือชิวเช่นกัน อย่าให้อนุภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่รู้สึกอ้างว้าง จะได้ไม่มีใครมาว่าภรรยาเอกอย่างนางว่าใจดำอำมหิต

เมื่อได้รับรายงาน ฉินเวยเวยก็รีบนำหงเหมียน ลู่หลิ่วมาต้อนรับ ทั้งสามย่อเข่าคำนับ “นายท่าน!”

คำเรียกนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกแปลก ไม่ทันไรก็กลายเป็นนายท่านแล้ว ทว่าช่วยไม่ได้ มีเพียงคืนวันแต่งงานเท่านั้น ที่นางสามารถเรียกเขาว่า ‘ท่านสามี’ ได้ หลังจากนั้นคำว่า ‘ท่านสามี’ กับ ‘ฮูหยิน’ ก็มีเพียงเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวเท่านั้นที่เรียกขานกันอย่างนี้ อนุภรรยาไม่มีทางไปเทียบเสมอกับฮูหยินได้

ฉินเวยเวยที่อยู่ตรงหน้ายิ้มกว้างจนเห็นฟัน ดวงตานางเป็นประกายด้วยความยินดี ชุดกระโปรงสีขาวยังคงเป็นชุดโปรด แต่กลับเปลี่ยนจากการแต่งตัวแบบลูกสาวที่เก่งกาจ กลายเป็นชุดเครื่องแบบของสตรีที่แต่งงานแล้ว ทรงผมก็เป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าเดิม แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นหญิงที่มีสามีแล้ว สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้แอบทอดถอนใจ

เหมียวอี้ยื่นมือไปจูงมือนาง เดินเคียงคู่กัน พร้อมถือโอกาสบอกว่า “คืนนี้จะค้างกับเจ้าที่นี่”

“ค่ะ!” ฉินเวยเวยเอ่ยรับอย่างเอียงอาย

939

พิษวิญญาณโลหิตกำเริบ

ที่เขาว่ากันว่าอยู่ห่างกันสักพักแล้วพบกันอีก จะรักกันยิ่งกว่าเพิ่งแต่งงาน คำพูดนี้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล นางกำลังแช่อิ่มอยู่ในความปีติยินดีของหญิงที่เพิ่งมีสามี กอปรกับไม่ได้เจอเหมียวอี้บ่อยๆ ดังนั้นพอได้เจอก็ยังรู้สึกหัวใจเต้นแรง พอได้ยินว่าเหมียวอี้ต้องการจะค้างที่นี่ ในใจก็เต็มไปด้วยความเขินอายหวานชื่น นี่คือข้อดีข้อเดียวของการเป็นอนุภรรยา

สิ่งที่มีไม่พอก็คือ เมื่อก่อนถึงแม้หยางชิ่งจะตำแหน่งไม่สูง แต่ก็เติมเต็มปัจจัยในการดำรงชีวิตให้ฉินเวยเวยได้อย่างไม่มีปัญหา ฉินเวยเวยเรียกได้ว่าถูกปรนนิบัติดูแลตั้งแต่เด็กยันโต เคยปรนนิบัติคนอื่นเสียที่ไหนกัน

พอนั่งลงในศาลา หงเหมียน ลู่หลิวก็นำน้ำชามาให้ ฉินเวยเวยรับมาวางไว้ตรงหน้าเหมียวอี้อย่างงุ่มง่าม “นายท่าน เชิญดื่มน้ำชาค่ะ!”

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ รับประทานอาหารที่นี่อย่างรู้สึกขำ เป็นเรื่องที่ทำให้ฉินเวยเวยกังวลมาก

ก็ช่วยไม่ได้ มีภรรยาเอกของบ้านเป็นตัวอย่าง ไม่ว่างานอะไรอวิ๋นจือฉิวก็ทำได้ทั้งนั้น ทำได้ทั้งงานนอกบ้านและงานในบ้าน รับรองแขกและจัดการธุระได้รอบด้าน โดยเฉพาะการดูแลเรื่องอาหารการกินของเหมียวอี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ลงมือทำเองตลอด หลังจากเป็นท่านทูตแล้วก็ยังทำเหมือนเดิม ขอเพียงเหมียวอี้อยู่ข้างกาย อวิ๋นจือฉิวก็ทำหน้าที่ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ไม่เคยยืมมือคนอื่นมาทำให้เลย เข้าใจนิสัยการกินและรสชาติที่ถูกปากเหมียวอี้เป็นอย่างดี

สิ่งเหล่านี้ฉินเวยเวยล้วนเห็นมากับตาตัวเอง ขนาดภรรยาเอกยังทำเองทุกอย่าง อนุภรรยาอย่างนางมีสิทธิ์อะไรมาวางมาดเรียกใช้คนอื่น กลัวว่าถ้าทำได้ไม่ดีแล้วจะกุมหัวใจเหมียวอี้ไม่ได้ แล้วต่อไปเหมียวอี้จะไม่อยากมาที่นี่ อาหารที่นำมาวางวันนี้ถึงแม้ฝีมือจะมีการพัฒนา แต่กลับยังทำหยาบเกินไป ฝีมือด้านนี้ต้องใช้ประสบการณ์ ใชว่าจะทำได้ในช่วงเวลาสั้นๆ

ตอนที่นั่งรับประทานกับอาหารกับเหมียวอี้ ฉินเวยเวยก็ทำสีหน้าเขินอาย แต่ก็จ้องเขาพร้อมถามอย่างกังวลมากว่า “นายท่าน รสชาติเป็นอย่างไรบ้างคะ?”

ในจุดนี้เหมียวอี้จำเป็นต้องบอก “เทียบกับฮูหยินไม่ได้แน่นอน แต่เจ้ากับสองพี่น้องฝาแฝดไม่เคยทำมาตั้งแต่เด็กๆ ทำไม่เป็นก็เป็นเรื่องปกติมาก งานหนักแบบนี้ส่งให้ลูกน้องทำไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องลงมือทำเองให้ยุ่งยาก”

ทำไมรู้สึกว่าเขากำลังว่าตนว่าไร้ประโยชน์ล่ะ? ฉินเวยเวยทำสีหน้าอับอายยิ่งกว่าเดิม ในใจแอบตั้งปณิธานว่าจะทำให้ดีให้ได้ ต่อให้เทียบกับฮูหยินไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ห้ามแย่กว่าสองพี่น้องฝาแฝด จะปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไม่ได้

เมื่อตกกลางคืน ฉินเวยเวยที่ช่วยเหมียวอี้ถอดเสื้อผ้าก็พอมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว

ตรงข้างอ่างอาบน้ำ ฉินเวยเวยถูกเหมียวอี้ดึงไปอาบน้ำด้วยกันเป็นครั้งแรก นางยังคงประหม่าเขินอาย โดยเฉพาะการเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่ต่อหน้าผู้ชาย จะให้ฉินเวยเวยทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร นางลุกลี้ลุกลนปิดบังร่างกาย แต่เหมียวอี้กลับเชยชมอย่างร่าเริง แช่อยู่ในน้ำพลางมองดูนางทำท่าทางเขินอายเพราะจะหลบก็หลบไม่พ้น จะซ่อนก็ซ่อนไม่มิด เรือนร่างขาวหมดจดที่สูงสง่าน่าประทับใจนั้นช่างเป็นจุดเด่นจริงๆ ในเวลานี้เหมียวอี้ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองมีวาสนาไม่เบา…

ในค่ำคืนนั้น หลังจากพายุฝนสงบลง ฉินเวยเวยก็นอนกอดอยู่ในอ้อมอกเหมียวอี้ด้วยสีหน้าสุขสันต์ ใช้เสียงเล็กเสียงน้อยกระซิบพูดคุย

พอคุยไปคุยมา จู่ๆ ฉินเวยเวยก็พูดเสียงต่ำว่า “นายท่าน หงเหมียนกับลู่หลิวก็ถือว่าแต่งงานมาพร้อมกับข้าเหมือนกัน ถ้านายท่านสะดวก เมื่อได้จะได้ไปร่วมห้องกับพวกนางคะ?”

เหมียวอี้พูดไม่ออก อีกสามวันก็ต้องไปแล้ว ตอนนี้เขาจะมีอารมณ์มาทำเรื่องนี้เสียที่ไหนกัน ลำพังแค่อนุภรรยาที่มีอยู่ตรงหน้า เขาก็แทบจะอยู่ด้วยไม่ครบแล้ว ทำได้เพียงตอบไปว่า “ตอนหลังค่อยว่ากัน”

ได้ยินว่าผู้ชายชอบเรื่องแบบนี้ ฉินเวยเวยก็นึกว่าเขาไม่สะดวกจะพูดตรงๆ เพราะอยู่ต่อหน้านาง นางจึงพูดเสียงต่ำว่า “ถ้ามีโอกาสข้าจะช่วยจัดเตรียมให้นายท่านค่ะ!”

สามวันติดต่อกัน วันนี้อยู่กับฉินเวยเวยที่ตำหนักอินทนิล พรุ่งนี้ก็ต้องไปอยู่กับหลางหลางและหวนหวนที่ตำหนักคู่แฝด ขนาดเหมียวอี้เองก็ยังรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำภารกิจให้เสร็จ ทำบ่อยเกินไปแล้ว รู้สึกว่าความสนุกที่ควรจะมีมันหายไป

แต่จะว่าไปแล้ว ตอนนี้เหมียวอี้ก็น่าสงสารมากเหมือนกัน ที่ปรึกษาคนอื่นๆ ล้วนมีจวนที่พักของตัวเอง แต่เขากลับไม่มี จากเมื่อก่อนที่เคยกุมอำนาจมากมาย ตอนนี้กลายเป็นแค่ตำแหน่งเล็กๆ รู้สึกว่ายิ่งอยู่ยิ่งถอยหลัง ตอนนี้อยู่ปะปนกับผู้หญิงหลายคนในบ้านหลังเดียว แต่ถ้าเจ้าไปอยู่พับพวกนางแล้ว จะไม่ ‘มีปฏิสัมพันธ์’ ในด้านนั้นก็ไม่ได้ ถ้าอยู่กับคนนี้แล้วไม่อยู่กับคนนั้นก็จะไม่เหมาะสมอีก

แต่อนุภรรยาทั้งสามดันถูกอวิ๋นจือฉิวสั่งไว้ ว่าในทุกๆ วันต้องบังคับให้เขาฝึกคัดอักษร ถ้าหนีไปบ้านไหนก็หนีไม่พ้น อวิ๋นจือฉิวต้องการตรวจสอบ พวกนางสามคนไม่กล้าขัดคำสั่ง

หลังจากนั้นสามวัน อวิ๋นจือฉิวก็ส่งเหมียวอี้ขึ้นไปบนจักรวาล ก่อนที่จะแยกกัน อวิ๋นจือชิวก็แสดงจุดเด่นของแม่บ้านอีกครั้ง กำชับว่า “วรยุทธ์คือรากฐาน ถ้ามีเวลาก็ขยันฝึกตนเข้าไว้!”

“ทราบแล้วขอรับ!” เหมียวอี้รีบกุมหมัดน้อมส่ง “ฮูหยินเชิญกลับไปเถอะ!”

อวิ๋นจือฉิวกลอกตามองบน อยู่ด้วยกันมาหลายปี นางจะไม่รู้จักเขาเชียวเหรอ? นางรู้ว่าเขากลัวนางบ่นเยอะ จึงกำชับอีกว่า “เมื่อออกไปอยู่ข้างนอก จำไว้ว่าความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก ถ้าไม่มีธุระก็กลับมาทันที อย่าลืมว่าในบ้านดินแดนที่นุ่มละมุนของเมียๆ รออยู่ ถ้าอยู่ที่บ้านกินไม่อิ่ม ก็อย่าไปหาเศษหาเลยกินนอกบ้าน ถ้านางจับได้ขึ้นมา ก็อย่าหาว่านางไม่เกรงใจ!” พูดจบก็ยื่นมือ บอกใบ้ว่าให้เขาไปได้แล้ว

เหมียวอี้แอบปากเหงื่อในใจ กุมหมัดคารวะนางอีกครั้ง จากนั้นก็หันหลังให้ มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองหลุดพ้นจากเครื่องจองจำ แทบจะกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว เมื่อเลือกทิศทางของพิภพใหญ่ได้แล้ว เขามุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว

อวิ๋นจือฉิวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้ามองคล้อยหลังเขาจากไป นางถอนหายใจเบา “ข้าควบคุมเจ้าทำให้เจ้าเป็นทุกข์ขนาดนี้เชียวเหรอ? คนอื่นอยากให้ข้าควบคุมข้ายังไม่อยากสนใจเลย คนไร้มโนธรรม ชาติก่อนข้าคงติดหนี้เจ้า…”

ตอนใกล้จะถึงดาวเทียนหยวน เหมียวอี้นำระฆังดารามาติดต่อจงหลีค่วยอีกครั้ง เดาว่าต้องใช้เวลาอีกสองวันกว่าจงหลีค่วยจะมาถึง เหมียวอี้จึงมุ่งตรงไปหาเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก สอบถามว่าศีลแปดกลับมารึยัง

เซี่ยโห้วหลงเฉิงส่งคนไปคอยเฝ้าจับตาดูเรื่องนี้แล้ว ถ้าศีลแปดกลับมา ก็จะมาคนมารายงานทางนี้ทันที

“ข้าว่าเจ้าจะเอาแต่สนใจพระรูปนั้นไปทำไม? เขาหนีไปแล้ว ไม่ได้มาทวงเงินเจ้าแล้ว เจ้าควรจะดีใจสิถึงจะถูก!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่เข้าใจ

“เฮ้อ! ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่คืน แค่ตอนนี้ข้าคืนไม่เฉยๆ ไปมีเรื่องกับคนของแดนสุขาวดีไม่ไหวหรอก!” เหมียวอี้ถอนหายใจ

“เรื่องเหลวไหลของเจ้าข้าไม่สนใจหรอก เจ้ารีบจัดการเรื่องแต่งงานของข้ากับหวงฝู่เถอะ”

“ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว เจ้าเร่งข้าก็ไม่มีประโยชน์ ข้าช่วยตัดสินใจแทนหวงฝู่จวินโหรวไม่ได้ ทำไมเจ้าไม่เป็นฝ่ายจีบเองล่ะ?”

“เหลวไหล! ข้าเป็นฝ่ายจีบเองมาหลายปีแล้ว ถ้าไม่มีธุระอะไร อีกฝ่ายก็ไม่ให้ข้าเข้าใกล้เลย ท่านย่าเอ๊ย”

“ข้าบอกได้แค่ว่า ข้าจะพยายามเต็มที่แล้วกัน”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงเบิกตาโพลง “เจ้าแซ่หนิว ที่เจ้าเคยซ้อมข้า ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลยนะ เจ้ายังอยากจะมีชีวิตอยู่มั้ย?”

ไม่เคยเห็นคนพึลึกแบบนี้มาก่อน! เหมียวอี้กลัวเขาแล้ว พูดยอมศิโรราบซ้ำๆ ว่า “ได้ๆๆ ข้าจะพยายาม!”

ที่จริงเขาไม่มีทางเป็นพ่อสื่อให้เรื่องนี้ได้เลย ผู้หญิงที่ตัวเองเคยนอนด้วยแล้ว จะให้เป็นคนกลางติดต่อให้คนอื่นมันใช่เรื่องเสียที่ไหนกัน?

เมื่ออกจากจวนผู้บัญชาการ เดินอยู่บนถนนได้ไม่ไกล เหมียวอี้ที่เดินขมวดคิ้วมาตลอดทางก็หันขวับไปมองข้างหลังอย่างอดไม่ได้ สตรีที่รูปร่างสะโอดสะองขาวใสกำลังเดินตามเขาอยู่ เขาหยุดนางก็หยุด เขาเดินเร็วนางก็เดินเร็ว เขาเดินช้านางก็เดินช้า

เหมียวอี้จำต้องหันตัวไปถาม “แม่นาง พวกเรารู้จักกันเหรอ? ทำไมต้องเดินตามข้า?”

หญิงสาวหัวเราะคิกคัก แล้วบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้านี่ขี้ลืมจริงๆ เลย เจ้าลืมข้าไวขนาดนี้เชียวเหรอ? แต่ข้าลืมเจ้าไม่ลงเลยนะ!”

เสียงแบบนี้… เหมียวอี้เบิกตากว้าง อุทานถามว่า “ปีศาจโลหิต! เจ้ายังไม่ตายเหรอ?”

หญิงสาวค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้ แล้วยกมุมปากแสยะยิ้ม “อาศัยแค่ฝีมืออันต่ำต้อยของเจ้า ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก คืนของมาให้ข้าเสียดีๆ แล้วข้าจะละเว้นชีวิตเจ้า!”

เหมียวอี้แอบตกตะลึงในใจ ปีศาจตนนี้ถูกทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะยังสบายดีเหมือนคนไม่เป็นอะไร ช่างน่ากลัวจริงๆ เขาก้าวถอยหลังช้าๆ “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะกล้าแตะต้องข้าที่ตลาดสวรรค์!”

ปีศาจโลหิตเข้ามาประชิดทีละก้าว ทำเอาเขาถอยจนติดกำแพง ริมฝีปากแดงพ่นลมหายใจกลิ่นคาวเลือดใส่ “อยู่ที่นี่ข้าไม่กล้าแตะต้องเจ้าหรอก ข้าแนะนำให้เจ้าหัดอ่านสถานการณ์เอาไว้เสียบ้าง ไม่อย่างนั้นได้ลิ้มลองรสชาติเคล็ดวิชามารโลหิตของข้าแน่ เจ้าหนีไม่พ้นเงื้อมมือข้าหรอก นำหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรงกับของของข้าออกมา แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”

หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำ… นางมารร้ายหวงฝู่! เหมียวอี้หรี่ตาพลางด่าในใจ โดนหวงฝู่จวินโหรวหลอกเข้าแล้วจริงๆ ตัวเองถามหวงฝู่จวินโหรวเกี่ยวกับที่อยู่ของปีศาจโลหิตหลายครั้ง เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาตามมา แต่หวงฝู่จวินโหรวบอกว่าตอนนี้ปีศาจโลหิตใกล้จะตายแล้ว

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตนเพิ่งจะกลับมาถึงตลาดสวรรค์ แต่ก็โดนปีศาจโลหิตจับตาดูแล้ว ปีศาจโลหิตจะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากร้านค้าสมาคมวีรชนแน่นอน ถ้าหวงฝู่จวินโหรวไม่ได้ช่วยก็แปลกแล้ว ถ้าปีศาจโลหิตจับตาดูเขามาตั้งแต่แรก ก็คงไม่รอจนถึงตอนนี้แล้วค่อยมาดักเจอหรอก ไม่อย่างนั้นเขาคงโดนปีศาจโลหิตดักตั้งแต่ตอนอยู่นอกเมืองแล้ว

เหมียวอี้คิดแล้วรู้สึกกลัว ถ้าโดนปีศาจโลหิตดักตอนจะกลับพิภพเล็ก เกรงว่าแม้แต่อวิ๋นจือฉิวก็จะมีภัยไปด้วย

ชั่วขณะนี้ เหมียวอี้แทบจะอยากลงมือฆ่าหวงฝู่จวินโหรวให้ตาย เขาทำเสียงฮึดฮัด แล้วหันตัวเดินจากไปไม่แยเสอะไรมาก ถึงอย่างไรตอนอยู่ที่นี่อีกฝ่ายก็ไม่กล้าทำอะไรตน

ปีศาจโลหิตยังคงเดินตามหลังเขา พลางพูดเย้ยว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าแนะนำเจ้าให้นะ ทางที่ดีอย่าให้ถึงขั้นสุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์”

“แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้ล่ะ?” เหมียวอี้พูดดูถูก แล้วมุ่งตรงสู่ร้านขายของชำซื่อตรง

เมื่อขึ้นตึกมาถึงห้องนอนของตัวเอง เหมียวอี้ก็ผลักหน้าต่างมองออกไปด้านนอก พบว่าปีศาจโลหิตยังไม่ได้จากไปไหน ยังยืนสบตากับเขาอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้ามร้านขายของชำ ปีศาจโลหิตยกมุมปากยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พลิกมือหยิบขลุ่ยสีเขาออกมาเลาหนึ่ง แล้วเป่าบรรเลงทำนองเพลง

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว เกิดความระแวดระวังในใจ ไม่รู้ว่านางกำลังเล่นบ้าอะไร เพราะไม่ได้ยินเสียงดนตรีอะไรที่นางเป่าเลย แต่ปีศาจโลหิตกลับเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดตรงหว่างคิ้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังร่ายอิทธิฤทธิ์เป่าบรรเลงเพลง สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้แปลกใจก็คือ วรยุทธ์ของนางลดลงแค่สองขั้นเท่านั้นเอง

ขณะกำลังครุ่นคิด จู่ๆ เหมียวอี้ก็พบความไม่ชอบมาพากล พบว่าแขนขาทั้งสี่ของตัวเองสั่นเทิ้มนิดหน่อย อดไม่ได้ที่จะก้มมองสองมือของตัวเอง ภาพที่ปรากฏสู่สายตาคือเงามายา ปรากฏเป็นสีแดงเลือดรางๆ รู้สึกว่าน้ำเลือดในร่างกายตัวเองค่อยๆ หมุนขึ้นหมุนลง รุนแรงขึ้นทีละนิดราวกับพลิกแม่น้ำคว่ำทะเล เขาควบคุมไม่ได้เลย มันพุ่งไปที่หัวใจของเขาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับต้องการให้หัวใจของเขาระเบิดออก ในหูได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงราวกับเสียงกลอง ตึกตักตึกตัก อาการมึนศีรษะกำเริบทีละนิด

แทบจะชั่วพริบตาเดียว เม็ดเหงื่อก็ผุดเต็มหน้าผากเหมียวอี้ เขาหายใจถี่กระชั้น เบิกตากว้างมองปีศาจโลหิตที่อยูบนถนนฝั่งตรงข้าม มองเห็นรางๆ ว่าปีศาจโลหิตที่กำลังยิ้มชั่วร้ายวางขลุ่ยสีขาวในมือลงแล้ว แต่ความเจ็บปวดในร่างกายเหมียวอี้กลับยังไม่หายไปแม้แต่นิดเดียว กลับยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยซ้ำ

เหมียวอี้พยายามต้านทานอย่างสุดชีวิต ปกป้องเส้นเลือดใหญ่ตัวเอง หัวใจจะได้ไม่ระเบิดเพราะโดนน้ำเลือดไหลมารวมกัน

940

บันลุระดับบงกรทอง

สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้กลัวก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะไม่สามารถควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองได้เลย

แต่ก็ไม่อาจเรียกว่าตัวเองควบคุมไม่ได้ ที่จริงพลังอิทธิฤทธิ์ในร่างกายกำลังถูกตัวเองควบคุม แต่กลับไม่ใช่การควบคุมแบบที่ตัวเองต้องการ ในร่างกายราวกับกำลังมีตัวเองอีกคนกำลังควบคุมอยู่ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในร่างกาย เป็นสิ่งที่ตัวเองร่ายอิทธิฤทธิ์ทรมานตัวเอง พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ยอมรับการควบคุมตามความตั้งใจเดิมของเขา

เหมียวอี้ที่เหงื่อไหลราวกับเม็ดฝนขยับตัวไม่ได้เลยสักนิด ได้แต่บิดไปบิดมาไม่หยุดอยู่อย่างนั้น รูม่านตาที่ฉ่ำไปด้วยเลือดเดี๋ยวหดเล็กเดี๋ยวขยายใหญ่ หอบหายใจราวกับวัว ริมฝีปากสั่นเทา อยากจะร้องขอความช่วยเหลือแค่กลับไม่มีเสียงออกมา ลมหายใจวุ่นวายอุตลุต ไม่มีทางเอ่ยเสียงพูดได้เลย รู้สึกว่าตัวเองร่ายอิทธิฤทธิ์ทรมานตัวเอง ขนาดอยากจะช่วยเหลือตัวเองก็ยังทำไม่ได้

ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ที่เหงื่อแตกราวกับฝนเท สุดท้ายก็พังทลายลง สองมือที่จับบนขอบหน้าต่างคลายออก ร่างกายสูญเสียสมดุล เอนล้มลงข้างหลัง นอนขดอยู่บนพื้นและชักกระตุกอย่างรุนแรง รสชาติความเจ็บปวดแบบนั้นไม่มีทางบรรยายออกมาได้ ตรงจุดที่น้ำเลือดไหลผ่านราวกับมีดนับไม่ถ้วนกำลังกัด ในหัวเกิดภาพมายาประหลาดอย่างหนึ่ง รู้สึกเหมือนตัวเองกลับเข้ามาอยู่ในค่ายกลมารโลหิตอีกครั้ง ตรงหน้าเต็มไปด้วยทะเลเลือด ผีน้อยที่กลายเป็นเลือดนับไม่ถ้วนมุดเข้าไปในรูทวารทั้งเจ็ดของเขาไม่ขาดสาย แล้วกัดฉีกเนื้อในร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง ความรู้สึกตัวเลือนรางแท้ๆ แต่ความรู้สึกเจ็บปวดกลับชัดเจนอยู่ในหัวของเขา

รสชาตินี้เจ็บยิ่งกว่าตอนที่เขาโดนไฟเผาในตอนนั้นเสียอีก เพราะนั่นคือการเจ็บปวดภายนอกร่างกาย แต่ตอนนี้คือการเจ็บปวดภายในร่างกาย ถึงขั้นรู้สึกว่าเป็นความทรมานที่มาจากวิญญาณด้วยซ้ำ ราวกับมีมารร้ายตนหนึ่งเข้ามาแย่งชิงอำนาจในการควบคุมเลือดเนื้อร่างกายของเขาไป

ไม่มีเสียงการต่อสู้ เขาเองก็ไม่มีทางร้องขอความช่วยเหลือได้ คนของร้านขายของชำซื่อตรงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเขา มีเพียงเขาคนเดียวที่นอนรับความทรมานที่ไม่จบไม่สิ้นอยู่บนแผ่นไม้กระดานในห้องนอน

ตอนที่เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย ตอนที่เขาดิ้นรนต่อสู้กับความรู้สึกตัวสุดท้าย ขณะที่สายป่านเส้นสุดท้ายกำลังจะขาด จู่ๆ ก็รู้สึกสะท้านทั้งกายทั้งใจ ต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์สั่นสะเทือน ลมปราณกลุ่มหนึ่งทะลักออกมาจากต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ ในร่างกายราวกับมีจักรวาลเล็กๆ ซ่อนอยู่ ซ่อนแฝงพลังงานเอาไว้ไม่จบไม่สิ้น พลังอิทธิฤทธิ์โหมซัดสาดพัดม้วนออกมา รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัวราวกับได้ดื่มสุราชั้นดี ความรู้สึกพวกนั้นมาครอบรสชาติความเจ็บปวดทรมานกลุ่มนั้นเอาไว้โดยตรง

แต่สุดท้ายก็ยังครอบคลุมได้ไม่หมด ก่อตัวเป็นรสชาติประหลาดอย่างหนึ่งแทน แต่ความเจ็บปวดผสมกับความทรมานก็ทำให้เขาได้สติกลับมาชั่วคราวเช่นกัน

เหมียวอี้ที่ขดตัวอยู่บนพื้นค่อยๆ ลืมตาขึ้น ในแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ จู่ๆ ก็บรรลุวรยุทธ์แล้วเหรอ? มาบรรลุวรยุทธ์ในเวลานี้เนี่ยนะ? ไม่น่าเชื่อว่ากระดาษที่กั้นระดับบงกชทองเอาไว้จะถูกตนเจาะออกไปในเวลานี้ จู่ๆ ตัวเองก็บรรลุวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทอง บรรลุถึงระดับทะยานสวรรค์ที่ตัวเองใฝ่ฝัน!

เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ทุกครั้งที่บรรลุวรยุทธ์ ตัวเองมักจะอยู่ตรงคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นความตายเสมอ ครั้งนั้นที่บรรลุจากระดับพื้นบกไประดับต้านอากาศ ตัวเองก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้จะประสบเหตุการณ์คล้ายๆ กันอีกแล้ว เล่นบ้าอะไรเนี่ย

มันเป็นแค่ความรู้สึกตัวเล็กน้อยชั่วขณะเท่านั้น ต่อให้วรยุทธ์บรรลุถึงระดับบงกชทอง แต่ก็ระงับรสชาติความเจ็บปวดทรมานที่หวนกระโจนเข้าใส่ไม่ไหว ไม่นานเขาก็จมอยู่ในสภาวะเลอะเลือนอีกครั้ง แม้แต่ความดีใจยามวรยุทธ์บรรลุถึงบงกชทอง เขาก็ยังไม่ทันได้ซึมซับกับมันเลย

แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว จนกระทั่งความรู้สึกตัวค่อยๆ กลับมาชัดเจนอีกครั้ง รสชาติความเจ็บปวดทรมานนั้นก็หดหายไปราวกับกระแสน้ำเช่นกัน ร่างกายที่นอนอยู่บนพื้นเริ่มหายใจหอบเป็นระยะ

อาการของร่างกายค่อยๆ ทุเลาลง ตอนที่โซเซลุกขึ้นมา เขาพบว่าตัวเองราวกับถูกช้อนขึ้นมาจากน้ำ ทั้งตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ บนไม้กระดานมีน้ำเปียกโชกกองใหญ่

ข้ายังไม่ตายโว้ย! ขณะมองดูสภาพยับเยินของตัวเอง เหมียวอี้ก็ฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวด เหมือนจะหาเหตุผลที่ตัวเองไม่ตายได้แล้ว เพราะตัวเองอยู่ที่ร้านขายของชำซื่อตรง ถ้าตายอยู่ที่นี่ ปีศาจโลหิตก็ไม่ได้ของที่ตัวเองต้องการอยู่ดี

เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างค่อนข้างหมดแรง ใช้ฝ่ามือสองข้างยันตรงขอบหน้าต่าง มองไปด้านนอกด้วยสีหน้าซีดเผือด เป็นอย่างที่คาดไว้ ปีศาจโลหิตยังยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของถนน

มารดาเจ้าเถอะ! ไม่น่าเชื่อว่าปีศาจตนนี้จะช่วยให้วรยุทธ์ของตนบรรลุถึงระดับบงกชทอง เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณหรือควรจะเคียดแค้นปีศาจตนนั้น ถ้าไม่มีปีศาจตนนั้นช่วย ตนก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อไรตัวเองจะบรรลุถึงบงกชทอง การบรรลุระดับใหญ่ๆ แบบนี้เป็นเรื่องที่พูดยากจริงๆ  เป็นสิ่งที่แตกต่างกันไปตามแตะละบุคคล นักพรตบางคนถึงขนาดถูกพันธนาการไม่ให้ก้าวหน้าไปทั้งชีวิต ดังนั้นปีศาจตนนี้จึงช่วยเหมียวอี้ประหยัดเงินไปตั้งไม่รู้เท่าไร

เขาถึงขนาดพิจารณาว่าจำเป็นต้องฆ่าปีศาจตนนี้ทิ้งรึเปล่า ถ้าในอนาคตตัวเองมีโอกาสพุ่งสู่ระดับอนันตภาพ จะได้ให้ปีศาจตนนี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยอีกที

แน่นอนว่าปีศาจโลหิตไม่รู้ ถ้าหากรู้ละก็ เกรงว่าจะต้องโมโหจนกระอักเลือดแน่ นางยืนยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน พลางถ่ายทอดเสียงถาม “รสชาติเป็นอย่างไรล่ะ?”

มีทั้งได้มีทั้งเสีย เหมียวอี้กลับสงบใจเย็น เพียงแต่คิดไม่ตกเท่านั้น ถึงถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้าเล่นไม่ซื่ออะไรกับข้า?”

ปีศาจโลหิตแสยะยิ้ม “เจ้าโดนพิษ ‘วิญญาณโลหิต’ ของข้า พิษจะกำเริบทุกๆ สี่ชั่วยาม กำเริบวันละสามครั้ง แต่ละครั้งจะออกรสออกชาติขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครู่นี้เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น ตอนหลังเจ้าได้ดื่มด่ำเต็มที่แน่”

โดนวางยาพิษ? เหมียวอี้ยังคงไม่เข้าใจ ถามว่า “เจ้าลงมือวางยาพิษข้าตั้งแต่เมื่อไร?”

“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ก็ส่งของมา” ปีศาจโลหิตตอบ

ถ้าโดนวางยาพิษแล้วจริงๆ เหมียวอี้ก็ไม่กลัวเลย อย่างอื่นเขาอาจจะกังวล แต่เขาไม่กังวลเรื่องโดนพิษสักเท่าไร จึงยิ้มอย่างดุร้ายพร้อมเตือนว่า “นางตัวแสบ อย่าเผลอมาตกอยู่ในมือข้าก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นข้าจะเอาคืนเป็นร้อยเท่า!”

“ปากแข็งเหรอ? งั้นข้าก็จะคอยดูว่าเจ้าจะปากแข็งไปถึงเมื่อไร! ข้าจะรอเจ้าที่ร้านค้าสมาคมวีรชน ตอนที่มาอย่าลืมนำของของข้ามาด้วย!” เมื่อพูดเหน็บแนมเสร็จ ปีศาจโลหิตก็หันตัวเดินจากไปอย่างสบายใจ เห็นได้ชัดว่ามีความมั่นใจมาก แน่ใจว่าเหมียวอี้จะต้องมาขอร้องแน่นอน

เหมียวอี้กำหมัดแน่นสองข้าง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไปตกหลุมพรางอีกฝ่ายได้อย่างไร หลังจากครุ่นคิดแล้ว ก็พบว่ามีแค่ก่อนหน้านี้ที่ได้ติดต่อกับอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้สัมผัสโดยตรง หรือว่าจะเพราะเป็นลมหายใจกลิ่นคาวเลือดที่อีกฝ่ายพ่นใส่?

เขาได้แต่มองตามเงาร่างของปีศาจโลหิตหายไปที่หัวถนน จนใจที่ทำอะไรอีกฝ่ายที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้ เขาอยากจะวิ่งไปขอให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงช่วยเหลือ แล้วจับผู้หญิงคนนี้มาฆ่าให้ตายเสียเลย แต่เขาก็เปลี่ยนความคิดทันที เพราะเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ยอมช่วยเรื่องนี้แน่ อีกฝ่ายเคยโดนหวงฝู่จวินโหรวตำหนิไปรอบหนึ่งแล้ว ถ้าเทียบตนกับหวงฝู่จวินโหรว เซี่ยโห้วหลงเฉิงต้องเชื่อฟังคำพูดของหวงฝู่จวินโหรวมากกว่าแน่นอน

วางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว เขาไม่อยากลิ้มรส ‘วิญญาณโลหิต’ อีกครั้ง ตอนนี้เรื่องถอนพิษต้องมาเป็นอันดับแรก

ร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง พอหันตัวมาก็ไถลตัวตามช่องหน้าต่างนั่งลงบนพื้น พอนั่งขัดสมาธิแล้ว ก็รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูอาการในร่างกาย ทว่าตรวจดูซ้ำแล้วซ้ำอีก ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าไม่พบความผิดปกติใดๆ เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าพิษนั่นซ่อนอยู่ตรงไหน

หรือว่าต้องรอให้พิษกำเริบอีกครั้ง ถึงจะพบว่ามันซ่อนตรงไหน? แต่ถ้ารอให้พิษกำเริบแล้วค่อยแก้ปัญหา ตอนนั้นเขาก็ไม่มีทางควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองได้เลย ตัวเองจะได้ร่ายอิทธิฤทธิ์ทรมานตัวเองอีกเหมือนเดิม แม้แต่เคล็ดวิชาอัคนีดาราในร่างกายก็ไม่สามารถถอนพิษได้ ค่อนข้างยุ่งยากจริงๆ

หลังจากทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไปรอบหนึ่ง เหมียวอี้ก็ไม่สนใจสูตรบ้าบออะไรแล้ว ร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดารากลั่นเปลวเพลิงไร้รูปร่างออกมาชำระล้างทั้งร่างกาย ไม่ปล่อยผ่านไปแม้แต่จุดเดียว ไม่สนใจว่าจะได้ผลหรือไม่ พยายามฆ่าพิษให้ตัวเองอย่างถึงที่สุดรอบหนึ่ง

สรุปก็คือเขาไม่เชื่อว่าถ้าตัวเองมอบของคืนให้ปีศาจโลหิต แล้วอีกฝ่ายจะปล่อยเขาไป ทั้งสองฝ่ายผูกความแค้นต่อกันไว้ใหญ่หลวง ถูกลิขิตให้ต้องตายกันไปข้าง ถ้าไม่รู้แม้กระทั่งโดนพิษอะไรหรือโดนพิษตรงไหน ต่อให้ประนีประนอมกัน เจ้าก็ไม่รู้อยู่ดีว่าอีกฝ่ายได้แก้พิษให้เจ้าแล้วหรือเปล่า ชีวิตโดนบีบอยู่ในมือคนอื่นแล้ว จะไปเจรจากันอย่างยุติธรรมได้อย่างไรกัน

โชคดีที่กำจัดพิษให้ตัวเองไปแล้ว เขารู้จักร่างกายของตัวเองดีมาก ไม่ใช่เรื่องที่เปลืองแรงสักเท่าไร ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงจะยุ่งยาก อาจเผลอทำให้บาดเจ็บได้

บนชั้นลอยของร้านค้าสมาคมวีรชน หวงฝู่จวินโหรวกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ถือปิ่นผักผมรูปแมลงปอสีแดงไว้ในมืออย่างเหม่อลอย จนกระทั่งข้างล่างมีเสียงเคาะประตู ถึงได้ตอบว่า “เข้ามาได้” พร้อมเก็บปิ่นปักผมไว้ในกล่องเครื่องประดับ

ปีศาจโลหิตอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด ขึ้นมาเรียกพร้อมยิ้มอย่างสนิทสนม “เถ้าแก่น้อย!”

หวงฝู่จวินโหรวเอียงหน้ามองนาง แล้วถามว่า “ทำสำเร็จแล้วเหรอ?”

ปีศาจโลหิตเริ่มหัวเราะคิกคัก “แน่นอนอยู่แล้ว ข้ารู้ดีที่สุดว่านั่นคือสภาพตอนพิษวิญญาณโลหิตกำเริบ หลอกสายตาข้าไม่ได้หรอก ถ้าเถ้าแก่น้อยได้ไปดูพร้อมกับข้าก็จะรู้เอง ท่าทางเวลาไอ้ชั่วนั่นทรมานจนอยากตาย รับรองว่าเถ้าแก่น้อยเห็นแล้วจะสะใจมากแน่นอน”

ท่าทางทรมานจนอยากตาย? หวงฝู่จวินโหรวเงียบไปพักหนึ่ง ไม่รู้ว่าท่าทางเวลาหนิวโหย่วเต๋อทรมานจนอยากตายเป็นแบบไหน ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าจะต้องน่าเวทนามาก เจ็บปวดมากแน่นอน คาดว่าคนคนนั้นคงอยากฆ่านางให้ตายแล้ว นางถามอย่างสงบนิ่งว่า “เขาตอบตกลงจะคืนของให้หรือเปล่า?”

ปีศาจโลหิตพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ตอนนี้ปล่อยให้เขาปากแข็งไปก่อนเถอะ หนึ่งวันพิษกำเริบสามครั้ง ข้าจะคอยดูว่าเขาจะทนได้สักกี่ครั้ง! เถ้าแก่น้อยไม่ต้องห่วง หลังจากพิษวิญญาณโลหิตกำเริบ ก็ไม่มีใครทนได้เกินสามวันหรอก รับรองว่าเขาจะทรมานจนทนไม่ไหว แล้วนำของกลับมาคืนแต่โดยดี!”

หวงฝู่จวินโหรวเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในอารมณ์ไหน ถามซักไซ้ว่า “เขาจะหาวิธีการถอนพิษเจอรึเปล่า?”

ปีศาจโลหิตยังนึกไปว่านางกลัวเหมียวอี้จะหาทางถอนพิษได้ “เถ้าแก่น้อยไม่ต้องห่วง พิษของข้าไม่ใช่ยาพิษทั่วไป ไม่ใช่สิ่งที่ยาถอนพิษจะรับมือไหว และไม่ใช่ว่าหมอเทวดาทุกคนจะถอนพิษได้ คนที่สามารถถอนพิษ ในใต้หล้านี้มีน้อยมากจนนับนิ้วได้ ถ้าข้าไม่ได้ชี้แนะ ในช่วงแรกเขาจะไปหาคนที่สามารถให้ให้ยาตรงกับโรคเจอได้อย่างไร นอกจากยอมจำนน เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หรือไม่เขาก็ต้องตัดหัวตัวเองลงมา!”

ณ ร้านขายของชำซื่อตรง เหมียวอี้ไม่ได้ตัดหัวตัวเองลงมา เพียงแต่พบว่าหัวตัวเองมีปัญหานิดหน่อย พอเปลวเพลิงไร้รูปร่างกวาดชำระล้างไปจนถึงส่วนหัว เขาถึงได้พบความผิดปกติ หมอกสีดำกลุ่มหนึ่งลอยวนขึ้นมาบนยอดศีรษะ

ที่แท้พิษก็ซ่อนอยู่ที่ศีรษะตัวเอง เหมียวอี้ไม่กล้าประมาทเลินเล่อ จึงแม้จะรู้จักร่างกายตัวเองดีมาก แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรประมาทกับศีรษะตัวเอง ถ้ามีอะไรผิดพลาดตัวเองอาจจะกลายเป็นไอ้โง่ได้

รอจนกระทั่งหมอกสีดำค่อยๆ หายไปจนหมดสิ้น เหมียวอี้ก็ลืมตาขึ้นช้าๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าถอนพิษหมดเกลี้ยงแล้วหรือยัง เขาใส่ยาแก่นเซียนเม็ดหนึ่งเข้าไปในปาก แล้วเริ่มฟื้นฟูพลังกายและพลังอิทธิฤทธิ์ที่เสียไป

รอจนกระทั่งฟื้นฟูกำลังวังชากลับมาอีกครั้ง เหมียวอี้ก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วยืนขึ้น เขากำหมัดสองข้าง เสื้อผ้าปลิวสะบัดเองโดยไร้ลม พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดอยู่ในร่างกายราวกับแม่น้ำที่ไหลทะลักอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร ทำให้คนรู้สึกมั่นใจราวกับสามารถทะยานขึ้นสวรรค์ไปสอยดวงจันทร์ได้ ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นทำให้เขาอยากจะวิ่งไปใส่เดี่ยวกับปีศาจโลหิต ความโชคดีในความโชคร้ายที่เหนือความคาดหมาย เรียกได้ว่าทำให้เขาดีอกดีใจไม่หยุด

941

ข้าเกลียดเจ้า

เขาดีใจได้เพียงประเดี๋ยวเดียว แล้วก็ออกจากห้องไปหาอวี้ซวีเจินเหริน ไปสอบถามเกี่ยวกับเรื่อง ‘วิญญาณโลหิต’ ที่จริงพิษนี้มีลับลมคมในมากเกินไป เขาเองก็กังวลว่าจะมีอาการอะไรหลงเหลืออยู่อีก อยากจะทำให้ชัดเจนไปเลย

อวี้ซวีเจินเหรินรู้จักพิษนี้เสียที่ไหนกัน แม้แต่ชื่อก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน เพียงแต่ตกตะลึงมากเมื่อได้ยินว่าปีศาจโลหิตโดนทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์แล้วยังมีชีวิตอยู่ได้สบายๆ ขนาดปราสาทดำเนินนภาปราบมาหลายปี แต่ก็ยังทำอะไรปีศาจโลหิตไม่ได้ สำนักลมปราณก็ช่วยอะไรเหมียวอี้ไม่ได้เช่นกัน

“ทางที่ดีฆราวาสพยายามอย่าไปไหนซี้ซั้วอีก ถ้าจะไปจริงๆ ก็จ้างคนของร้านคุ้มภัยให้คุ้มกันส่ง” อวี้ซวีเจินเหรินเตือนด้วยความหวังดี

“คงจะให้คนของร้านคุ้มภัยปกป้องไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกมั้ง?” เหมียวอี้ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน ถ้าต้องทำเรื่องบางอย่างที่น่าอับอาย จะสะดวกให้คนนอกมาเห็นได้อย่างไรล่ะ มิหนำซ้ำการหลบซ่อนอยู่ตลอดก็ไม่ใช่เรื่องดี จะต้องจัดการเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียที ถ้าปีศาจโลหิตกระจอกๆ จะขวางทางเขาไปทั้งชีวิต แบบนั้นก็ไม่ต้องทำงานทำการอะไรแล้ว

หลังจากปรึกษาหารือกับอวี้ซวีเจินเหริน เหมียวอี้ก็กลับมาหยิบระฆังดาราที่ห้องนอนตัวเอง แล้วติดต่อจงหลีค่วยเพื่อบอกเรื่องที่ตัวเองโดนวางยาพิษ ให้จงหลีค่วยปลอมตัวมาที่นี่ มาปรึกษาหารือเพื่อแก้ปัญหาเรื่องปีศาจโลหิต

ปีศาจโลหิตโดนทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะยังอยู่อย่างสุขสบายดี จงหลีค่วยได้ยินแล้วตกใจมากเช่นกัน บอกว่าจะรีบมาที่นี่ให้เร็วที่สุด เรื่องบางเรื่องติดต่อกันผ่านฟ้ากั้นไม่ค่อยสะดวก

ส่วนเหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่าพิษในร่างกายตัวเองถูกชำระล้างไปหมดแล้วหรือยัง มีแค่เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ได้ ถึงอย่างไรปีศาจโลหิตก็บอกไว้แล้วว่าพิษจะกำเริบวันละสามครั้ง เขาจึงนั่งสมาธิฝึกตนบนเตียงโดยกำยาเม็ดโลหิตไว้ในมือ

หลังจากนั้นหนึ่งวัน เหมียวอี้ก็ลืมตาสองข้างแล้วยิ้มบางๆ ไม่เกิดเหตุการณ์พิษกำเริบสามครั้งต่อวัน สงสัยพิษประหลาด ‘วิญญาณโลหิต’ นี้ เมื่อเจอกับเคล็ดวิชาอัคนีดาราของเขาก็ยังสู้ไม่ไหวอยู่ดี เขาถึงได้สงบใจและฝึกตนต่อไป

ณ ลานบ้านด้านหลังของร้านค้าสมาคมวีรชน รอไปแล้วหนึ่งวันแต่ยังไม่เห็นเหมียวอี้มายอมจำนน หวงฝู่จวินโหรวเดินไปเดินมาในตึกศาลา จากนั้นก็มานั่งตรงข้ามกับปีศาจโลหิตที่กำลังเย็บผ้าอยู่ในศาลากลางน้ำ แล้วถามว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าพิษนี้ได้ผลกับเขาจริงๆ”

“เถ้าแก่น้อยไม่ต้องห่วงค่ะ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพลาด แต่ไอ้จัญไรนั่นนับว่ากระดูกแข็ง ทนได้หนึ่งวันไม่ยอมมาขอร้อง ข้าจะคอยดูว่าเขาจะทนได้นานสักแค่ไหน” ปีศาจโลหิตที่กำลังตั้งใจเย็บผ้าพูดกลั้วหัวเราะ ยังไม่หยุดทำงานที่อยู่ในมือ เย็บผ้าไหมแดงไว้ให้ตัวเองใช้โดยเฉพาะ

หวงฝู่จวินโหรวหมุนตัวนั่งพิงรั้ว ทอดสายตามองไปไกลด้วยสีหน้าแปลกๆ ใบบัวเขียวชอุ่มที่อยู่รอบๆ สั่นไหว สามารถมีทะเลสาบเล็กๆ ในที่ดินราคาแพงของตลาดสวรรค์ได้ นับเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยมาก

ตอนเย็นวันต่อมา เป่าเหลียนรออยู่ตรงประตูลานบ้านของร้านขายของชำ นางรับชายชราคนหนึ่งและพาเข้ามาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นจงหลีค่วยที่ปลอมตัวเรียบร้อยแล้ว นางพาเขาไปที่ห้องนอนของเหมียวอี้โดยตรง

เหมียวอี้บอกให้เป่าเหลียนออกไปก่อน แล้วกุมหมัดทักทาย “ลุงหนวด ช่วงนี้สบายดีมั้ย?”

จงหลีค่วยขี้คร้านจะมากพิธีรีตอง ถามตรงๆ เลยว่า “มันเรื่องอะไรกันแน่? เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นปีศาจโลหิต?”

เหมียวอี้ตะลึงไปชั่วขณะ แล้วพยักหน้าช้าๆ “พอได้ยินท่านพูดแบบนี้ ข้าก็สงสัยอยู่บ้างนิดหน่อย เพราะข้าไม่ได้กลิ่นอายปีศาจโลหิตบนตัวนางเลย แถมนางมีวรยุทธ์แค่ระดับบงกชทองขั้นเจ็ดด้วย… ท่านรอก่อนนะ ข้าจะไปสืบข่าวที่ร้านค้าสมาคมวีรชนสักหน่อย”

“ระวังตัวหน่อยนะ” จงหลีค่วยเตือน

“ท่านไม่ต้องห่วง ปีศาจโลหิตไม่ถึงขนาดกล้าลงมือกับข้าที่ร้านค้าสมาคมวีรชนหรอก” เหมียวอี้ตอบอย่างไม่กังวล แล้วเดินออกไปทันที

ทางฝั่งร้านค้าสมาคมวีรชน พอได้รับรายงานว่าเหมียวอี้มา ปีศาจโลหิตที่ยังนั่งเย็บผ้าอยู่ในศาลากลางสระน้ำก็เอามือป้องปากหัวเราะ “เถ้าแก่น้อย เป็นยังไงล่ะ? สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว ต้องมาขอร้องแล้ว”

หวงฝู่จวินโหรวไม่ตกใจและไม่ดีใจ พยักหน้าบอกหญิงรับใช้ว่า “ไปพาเขาเข้ามา”

หญิงรับใช้เดินออกไป รอสักประเดี๋ยวก็นำเหมียวอี้เดินเข้ามา เหมียวอี้เองก็เพิ่งเคยมาที่ตึกศาลากลางสระน้ำนี้เป็นครั้งแรก พอเห็นหวงฝู่จวินโหรว รอยยิ้มก็ดูเย็นชาขึ้นหลายส่วน หวงฝู่จวินโหรวย่อมรู้สึกได้อยู่แล้ว

ตอนนี้สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนตัวปีศาจโลหิตที่กำลังเย็บผ้า เขาเอามือไขว้หลังพลางเดินเข้ามาช้าๆ “ผู้หญิงก็เป็นผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ เรื่องต่อสู้เข่นฆ่าไม่เหมาะกับเจ้าหรอก นั่งเย็บผ้าอยู่ในบ้านอย่างซื่อสัตย์เถอะ คอยช่วยเหลือสามีและสั่งสอนบุตรอยู่บ้านดีจะตาย ทำไมต้องไปวางแผนทำร้ายคนตั้งแต่เช้ายันค่ำ”

เขาตั้งใจพูดสิ่งนี้กับปีศาจโลหิต แต่หวงฝู่จวินโหรวกลับรู้สึกว่ามีความหมายแฝงอยู่ในนั้น ใช่ว่าจะไม่ได้พูดให้นางฟังด้วย

ปีศาจโลหิตไม่แม้แต่จะหันหน้ามา เพียงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ทำไมล่ะ? ทนไม่ไหวแล้วล่ะสิ มาขอร้องเหรอ? ในเมื่อมาขอร้องก็อย่าปากแข็ง!”

“ขอร้องเหรอ? ช่างน่าขำ!” เหมียวอี้พูดหยามเหยียด เดินมาตรงหน้าผ้าไหมแดงที่ถักทอขึ้นมาด้วยมือ แล้วพูดหยอกล้อว่า “ข้ามาเพื่อขอบคุณเจ้า ก่อนหน้านี้วรยุทธ์ติดอยู่ระดับบงกชม่วงขั้นเก้ามาตลอด ใครจะคิดว่าหลังจากโดนพิษของเจ้าแล้ว จะกลายเป็นตัวช่วยให้ข้าบรรลุวรยุทธ์ ถ้าไม่มาแสดงความขอบคุณสักหน่อย มันก็จะฟังดูไม่เข้าท่า”

หวงฝู่จวินโหรวหันมามองอย่างงุนงง มือของปีศาจโลหิตชะงักนิ่ง เงยหน้าช้าๆ มองไปทางเหมียวอี้

เหมียวอี้ก็ให้ความร่วมมือมาก ยกมือขึ้นตรงหว่างคิ้วแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เช็ดโคลนซ่อนจิต ภาพมายาดอกบัวสีทองอร่ามบานหนึ่งกลีบปรากฏตรงแท่นจิต ไม่ใช่ของปลอมแล้ว เขากุมหมัดคารวะ “ขอบคุณที่ช่วยเหลือ!”

ปีศาจโลหิตทำสีหน้าไม่ถูก เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยอะไรมากเลย การบรรลุระดับใหญ่ๆ จำเป็นต้องใช้จังหวะเหมาะ ภายใต้การเคี่ยวกรำของพิษวิญญาณโลหิต การบรรลุระดับใหญ่ๆ ก็มีความเป็นไปได้จริงๆ เพียงแต่การช่วยเหลือศัตรูคู่แค้นมากมายขนาดนี้ ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้น

“ในเมื่อช่วยเหลือเจ้าไปมากมายขนาดนี้ เจ้าก็ควรจะคืนของของข้าได้แล้วรึเปล่า?” ปีศาจโลหิตแสยะยิ้มถาม

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ปีศาจโลหิตถูกทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว มิหนำซ้ำข้ายังไม่รู้สึกถึงปราณปีศาจโลหิตจากตัวเจ้าด้วย ทำไมข้าต้องเชื่อว่าเจ้าคือปีศาจโลหิต? ถ้าเจ้าไม่ใช่ปีศาจโลหิต แล้วทำไมข้าจะต้องคืนของให้เจ้าด้วยล่ะ!”

เหมียวอี้เพิ่งจะพูดจบ ปีศาจโลหิตก็ขยับย้ายร่างกาย เหาะวนด้วยความเร็วสูงอยู่ในศาลา จู่ๆ ก็มีผ้ามุ้งสีแดงลอยออกมาหลายผืน มาครอบคลุมปีศาจโลหิตเอาไว้ ชั่วพริบตาเดียวก็กลับสู่โฉมหน้าเดิมของปีศาจโลหิต ปราณปีศาจโลหิตที่เข้มข้นลอยวนขึ้นมา ดาบนกเป็ดน้ำสีเลือดคู่หนึ่งยิงออกมาหมุนวนรอบกายเหมียวอี้หลายรอบ แล้วจู่ๆ ก็หดเก็บเข้าไป

ปีศาจโลหิตหมุนตัวอีกครั้ง ผ้ามุ้งสีแดงหลายผืนหายไปแล้ว กลับสู่โฉมหน้าหญิงสาวธรรมดาเหมือนเมื่อครู่นี้ จากนั้นยื่นมือเข้ามา “ตอนนี้เชื่อแล้วสินะ! คืนของมาให้ข้า!”

เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูกอย่างขำขัน แล้วกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ไม่ให้! ข้าล้อเจ้าเล่น เจ้าดูไม่ออกรึไง?”

“เจ้า…” ปีศาจโลหิตเดือดดาลมาก ยิงผ้าไหมแดงออกจากกระบอกแขนเสื้อหมายจะลงมือ

“ปีศาจโลหิต!” หวงฝู่จวินโหรวตะคอก ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ลงมือ

ปีศาจโลหิตข่มไฟโกรธเอาไว้ สะบัดเสื้อเก็บผ้าไหมแดง ถ้าลงมือที่นี่ นางก็รับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหว ตลาดสวรรค์คงไม่ให้อภัยที่นางทำลายกฎของตำหนักสวรรค์แน่

เหมียวอี้ไม่สนใจนางอีก หันตัวมาหาหวงฝู่จวินโหรวแทน “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัว”

หวงฝู่จวินโหรวเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหันตัวเดินออกไป เหมียวอี้หันกลับมายิ้มเย้ยปีศาจโลหิตที่กำลังทำสีหน้าโกรธแค้น แล้วเดินตามหวงฝู่ออกไป

“ถ้าเก่งนักก็อย่ามาขอร้องข้าก็แล้วกัน!” ปีศาจโลหิตตวาดเสียงเข้ม

“อาศัยแค่ฝีมืออันต่ำต้อยของเจ้า ก็คิดจะมาบีบจุดอ่อนข้าแล้วเหรอ? ไม่เจียมตัว! ข้าถอนพิษได้ตั้งนานแล้ว จำเป็นต้องมาขอร้องเจ้าด้วยเหรอ?” เหมียวอี้พูดกลั้วหัวเราะโดยไม่หันหน้ากลับมา

เขาอยากจะเห็นว่าปีศาจโลหิตยังสามารถวางยาพิษเขาได้อีกรึเปล่า อยากจะทำความเข้าใจให้ละเอียดว่าตัวเองโดนพิษอะไรกันแน่

“ปากแข็งยิ่งกว่าเป็ด!” ปีศาจโลหิตพูดเหน็บแนม เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อเขา

เหมียวอี้ขี้คร้านจะอธิบายกับนาง

พอถึงลานบ้านที่อยู่บนฝั่ง หวงฝู่จวินโหรวก็หันตัวมาถาม “มีธุระอะไร?”

“คุยกันข้างใน!” เหมียวเดินตรงไปยังห้องนอนที่อยู่บนตึก หวงฝู่จวินโหรวขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเขาอยากจะคุยอะไร ยังคงเดินตามเข้าไป

หลังจากขึ้นมาบนตึก นางก็ถามอีก “มีเรื่องอะไร พูดมาสิ”

ใครจะไปคาดคิด พอหันตัวมาเหมียวอี้ก็อุ้มหวงฝู่ทันที แล้วประกบจูบริมฝีปากแดงสวย ไม่สนใจนางที่ร้องอู้อี้ขัดขืน แต่ไม่นานก็ถูกนางใช้มือคล้องคอเอาไว้ และจูบตอบสนองคืนอย่างเร่าร้อน ทั้งสองจูบกันอย่างดูดดื่ม เสื้อผ้าปลิวว่อนตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงขอบเตียง ร่างสองร่างก็ล้มลงไปด้วยกัน

แขนขาทั้งสี่เรียวยาวขาวละมุน หน้าอกทิ่มเอิบกลมกลึง เอวอ่อนเรียวเล็ก สะโพกกลมใหญ่ขาวเนียน น่าตื่นตาตื่นใจจนทำให้เคลิบเคลิ้ม แต่กลับได้รับความทรมานเต็มที่ ตอนนี้เหมียวอี้ลงมืออย่างหนักหน่วง ไม่ทะนุถนอมเลยสักนิด ย่ำยีอย่างเต็มกำลัง ใช้มือบีบเค้นจนหวงฝู่รู้สึกเจ็บมาก รอยเล็บและรอยฟันบนยอดเขาสีหยกปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน หวงฝู่เองก็กัดเขาอย่างแรงเช่นกัน กัดจนเขาเลือดไหลออกมา

หลังจากพายุฝนจบลง หวงฝู่ก็ดูดเลือดสดบนไหล่เขาแล้วกลืนลงไปโดยตรง นางกำลังดูดเลือดของเขา แต่ตัวเองกลับน้ำตาไหลออกมา

“กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์จริงๆ ด้วย อยู่กับปีศาจโลหิตนานแล้ว เรียนรู้วิธีการดูดเลือดแล้วสินะ!” เหมียวอี้ที่ผลักนางล้มไปข้างๆ ดูเย็นชาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แล้วลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้าขึ้นมา

หวงฝู่จวินโหรวกัดริมฝีปากแดงที่เปื้อนเลือด ยื่นมือไปหยิบหมอนใบหนึ่งมาทุ่มใส่ เหมียวอี้ใช้มือปัดกลับไป แล้วหันกลับมาเตือนว่า “อย่าเรียกปีศาจโลหิตมาที่นี่ ถ้าให้คนอื่นเห็นเข้าคงไม่ใช่เรื่องดีอะไร”

หวงฝู่จวินโหรวคว้าหมอนที่ถูกตีกลับมา กระโดดลงจากเตียง แล้วเดินตัวเปล่าเอาหมอนไปทุ่มตีเหมียวอี้ไม่หยุด

เหมียวอี้ยื่นมือมาข้างหลังแล้วคว้าแขนนางไว้ พลางกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “ที่เขาว่ากันว่า เป็นผัวเมียกันวันเดียวเท่ากับติดนี้บุญคุณกันไปร้อยวัน เจ้าอยากจะฆ่าข้าก่อนถึงจะมีความสุขใช่มั้ย? ข้าบอกแล้วว่าจะชดใช้เจ้าด้วยหุ้นสองส่วนนั่น ทำไมยังสมคบกับปีศาจโลหิตมาทำร้ายข้าอีก?

“ของที่ข้าต้องการ ข้าหาเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามามอบให้!” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวพร้อมคราบน้ำตาบนใบหน้า

สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนหน้าอกอิ่มเอิบขาวดุจหิมะของนาง “ถ้างั้นความสัมพันธ์ของเรานับเป็นแบบไหน?”

“ไม่นับว่าเป็นอะไรทั้งนั้น!” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวอย่างเคียดแค้น ร่ายอิทธิฤทธิ์ผลักเขาออกไป แล้วรีบหยิบเสื้อผ้าตัวองขึ้นมาใส่

เหมียวอี้มองดูนางที่กำลังโป๊เปลือย พลางกล่าวอย่างรู้สึกขำมาก “อีกด้านหนึ่งก็นอนกับข้า อีกด้านหนึ่งกลับอยากสังหารข้า เจ้าจะให้ข้าทำยังไง? เจ้าอยากจะให้ข้าบอกว่า ตั้งแต่นี้ไปความแค้นของเราสองคนจบลงงั้นเหรอ?”

หวงฝู่จวินโหรวที่สวมเสื้อผ้าได้ครึ่งเดียวพลันหยิบหมอนขึ้นมา แล้ววิ่งไปฟาดใส่เหมียวอี้พักหนึ่ง “ก็ไม่ได้ให้เจ้ามารับผิดชอบนี่ ข้าไม่ได้ขอให้เจ้ารับผิดชอบ!”

เพียะ! เหมียวอี้ข่มไฟโกรธไม่ไหว จู่ๆ ก็สะบัดฝ่ามือเข้ามา ตบที่ใบหน้านางฉาดหนึ่ง เสียงดังฟังชัดมาก

หมอนในมือของหวงฝู่จวินโหรวตกพื้น นางเอามือกุมใบหน้า มองเหมียวอี้ด้วยแววตาสับสน พลางกัดฟันตะคอกว่า “ข้าเกลียดเจ้า!”

“ดี! ตามใจเจ้าแล้วกัน งั้นต่อไปพวกเราไม่ต้องมาพบหน้ากันอีก พรุ่งนี้ข้าจะไปแล้ว จะไม่กลับมาอีกแล้ว!” เหมียวอี้พูดทิ้งท้าย แล้วหันตัวจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว…

เมื่อกลับมาถึงห้องตัวเองที่ร้านขายของชำ พอเห็นจงหลีค่วย เหมียวอี้ก็บอกว่า “เป็นปีศาจโลหิตจริงๆ”

“ถ้าเป็นแบบนี้ ต่อให้ทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ แต่ก็ไม่อาจทำลายวรยุทธ์ของปีศาจโลหิตได้ ทำให้นางเสียวรยุทธ์ไปแค่สองขั้นเท่านั้น… แต่นั่นก็นับว่าเสียหายอย่างหนักแล้ว” จงหลีค่วยกล่าวอย่างลังเล

“ตอนนี้วรยุทธ์ของปีศาจโลหิตสูสีกับท่าน ท่านพอจะสู้ไหวรึเปล่า?” เหมียวอี้ถาม

“เมื่อไม่มีน้ำเต้าโลหิตช่วย และมีวรยุทธ์เท่ากัน นางก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอก” จงหลีค่วยตอบ

เหมียวอี้พยักหน้า “ดี! ข้าบอกไว้ชัดเจนแล้วว่าพรุ่งนี้จะจากที่นี่ไป บอกว่าจะไม่กลับมาอีกแล้ว ปีศาจโลหิตคงไม่ปล่อยให้ข้าหายตัวไปจนหาไม่พบแน่นอน จะต้องไล่สังหารข้าแน่ ถึงตอนนั้นคอยดูว่าท่านจะกำจัดนางได้หรือเปล่า!

“ถ้าไม่มีพลังที่สมบูรณ์พอที่จะสังหารนาง เรื่องคิดจะกำจัดนางทิ้งก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เคล็ดวิชามารโลหิตมีจุดเด่นเฉพาะตัว ตอนสังหารมารโลหิตที่มีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งในปีนั้น สำนักเราส่งผู้อาวุโสที่มีพลังอิทธิฤทธิ์ระดับอนันตภาพออกไป ถึงได้กำจัดเขาได้” จงหลีค่วยส่ายหน้าตอบ

942

สู้ให้ตายกันไปข้าง

คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ ตอนนั้นไฉจวิ้นนำศิษย์พี่ศิษย์น้องระดับบงกชทองไปเป็นกลุ่ม แต่ก็ยังทำอะไรปีศาจโลหิตไม่ได้ อาศัยแค่พวกเขาสองคน คิดจะกำจัดปีศาจโลหิตทิ้งก็ไม่ง่ายขนาดนั้น มหาอิทธิฤทธิ์หลีกโลหิตของปีศาจตนนั้นร้ายกาจจริงๆ เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ปีศาจตนนี้เพ่งเล็งข้าไม่ปล่อย น่าปวดหัวจริงๆ”

“น่าเสียดายที่เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน ถ้ารู้ตั้งแต่แรก เชิญให้อาจารย์อาหมิวจ้าวมาด้วยก็สิ้นเรื่องแล้ว ถ้าเชิญมาตอนนี้ ก็เหมือนเป็นน้ำที่อยู่ไกล ช่วยดับไฟที่อยู่ใกล้ไม่ทัน” จงหลีค่วยกล่าว

“ถ้าฆ่าได้ก็ฆ่า ถ้าฆ่าไม่ได้ก็ช่างเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน เออใช่ ลุงหนวด ท่านมาหาข้าด้วยธุระอะไรกันแน่?” เหมียวอี้ถาม

จงหลีค่วยตอบว่า “มีสองเรื่อง ปราสาทดำเนินนภาได้ยินเรื่องร้านขายของชำซื่อตรงของพวกเจ้ามาบ้างแล้ว เลยส่งข้ามาเจรจาการค้ากับพวกเจ้า ในแต่ละปีศิษย์ปราสาทดำเนินนภาได้ของเบ็ดเตล็ดมาไม่น้อย เที่ยวหาคนซื้อไปทั่วยุ่งยากจริงๆ ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็รับซื้อทุกอย่าง ดังนั้นจึงอยากสร้างเครือข่ายทางการค้าที่มั่นคงกับร้านขายของชำอย่างพวกเจ้า ไม่ทราบว่าสะดวกหรือเปล่า?”

เหมียวอี้ยิ้มตอบ “ทำไมจะคุยไม่ได้ล่ะ มีการซื้อขายมาหาถึงที่ก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว คนทำการค้าก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น  แล้วอีกอย่าง ด้วยความสนิทสนมของพวกเรา ทุกอย่างก็ย่อมคุยง่าย ข้าไม่ให้ท่านมาเสียเที่ยวหรอก เดี๋ยวท่านไปคุยกับอวี้ซวีเจินเหรินก็เรียบร้อยแล้ว พวกเราจะพยายามให้ความสะดวกกับพวกท่าน ยังมีเรื่องอะไรอีกล่ะ?”

จงหลีค่วยกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “แผนที่ซ่อนสมบัตินั่น พวกเราพอจะมองเบาะแสออกบ้างแล้ว ของสิ่งนั้นน่าจะซ่อนอยู่ในสถานที่ไร้ระเบียบ สำนักกำลังรวบรวมกำลังคนไปค้นหา ข้าเลยมาบอกเจ้าสักหน่อย ถ้าเจ้าอยากไป สำนักก็จะตอบตกลงให้เจ้าร่วมเดินทางไปด้วย แต่อาจจะมีอันตรายนะ เจ้าคิดให้ดีแล้วกัน”

เหมียวอี้ตาเป็นประกาย ถ้าตัวเองไม่ไปด้วย แล้วจะรู้ชัดได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายเจอสมบัติมากเท่าไร คงไม่รู้ว่ามีการแบ่งจำนวนสมบัติอย่างไร ถึงตอนนั้นถ้าอีกฝ่ายบอกว่าได้เท่าไรเขาก็จะได้เท่านั้นเหรอ จะทำแบบนั้นได้อย่างไร สถานที่ซ่อนสมบัติของราชันลัทธิมารในยุคนั้นเชียวนะ ต้องร่ำรวยมหาศาลแน่ เห็นได้ชัดเจนมาก ที่อีกฝ่ายมาเรียกตนให้ร่วมเดินทางไปด้วย ก็เพื่อจะแสดงความบริสุทธิ์ใจ เมื่อเจอสมบัติแล้วจะได้ป้องกันไม่ให้เกิดความคลุมเครือ ไม่ให้นึกว่าปราสาทดำเนินนภาฮุบสมบัติเอาไว้ฝ่ายเดียว

และแน่นอน เรื่องเงินก็ส่วนเรื่องเงิน เหมียวอี้อยากให้อวิ๋นจือชิวได้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานมาไว้ในมือมากที่สุด ถ้าอวิ๋นจือชิวได้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่เป็นภาคดิน แบบนั้นก็จะช่วยเหลือเขาได้เยอะมาก เมียตัวเองไม่มีปัญหาเรื่องจงรักภักดีหรือไม่จงรักภักดีแล้ว เขาพยักหน้าซ้ำๆ ทันที “ไปๆๆ”

“จะหาเจอหรือไม่เจอมันก็อีกเรื่องหนึ่งนะ แต่ข้าจะบอกให้ชัดเจนเอาไว้ก่อน เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานเป็นของปราสาทดำเนินนภา ส่วนทรัพย์สินอย่างอื่นเจ้าเอาไปได้ครึ่งหนึ่ง” จงหลีค่วยกล่าว

เหมียวอี้หรี่ตายิ้ม “ได้อยู่แล้วๆ ” ในใจกลับพึมพำว่า งั้นก็ต้องดูว่าใครจะหาเจอก่อน ข้าน่ะถนัดเรื่องนี้ที่สุดแล้ว

เรื่องราวก็ตกลงกันตามนี้ แล้วเหมียวอี้ก็พาเขาไปพบอวี้ซวีเจินเหรินเพื่อเจรจาเรื่องซื้อขาย เรื่องนี้อวี้ซวีเจินเหรินย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว มีช่องทางจัดหาสินค้าที่มั่นคงเพิ่มขึ้น ทั้งยังได้สานสัมพันธ์กับปราสาทดำเนินนภา เป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว

หลังจากเจรจาเสร็จ เหมียวอี้กับจงหลีค่วยก็ออกไปด้วยกัน ไม่ได้รอให้ถึงพรุ่งนี้แล้วค่อยไป ตอนนี้มีเรื่องให้จัดการน้อยๆ เข้าไว้จะดีกว่า เรื่องที่ซ่อนเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินต้องมาเป็นอันดับแรก เหมียวอี้โยนเรื่องสู้กับปีศาจโลหิตทิ้งไปก่อน เอาไว้ตอนหลังค่อยไปคิดบัญชีกับปีศาจโลหิตก็ได้

หลังจากออกจากเมือง ทั้งสองก็เหาะขึ้นฟ้าไปพร้อมกัน จงหลีค่วยอยากจะจูงเหมียวอี้ออกไปด้วยกัน แต่คาดไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะปฏิเสธ จงหลีค่วยเพิ่งรู้ว่าเหมียวอี้บรรลุระดับบงกชทองแล้ว หลังจากรู้ว่าเหมียวอี้ได้ทุกขลาภเพราะโดนปีศาจโลหิตวางยาพิษ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่น

พอทั้งสองทะลุชั้นบรรยากาศออกไป ถึงได้พบว่ามีคนกำลังไล่ตามหลังมา เป็นชายสองหญิงหนึ่ง คนที่นำหน้ามาเป็นสตรีวัยกลางคนสวมชุดสีเขียว

ทั้งสองเหาะด้วยความเร็วสูง สามคนที่ตามหลังมาก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

“เป็นใครกัน?” จงหลีค่วยถาม

เหมียวอี้ส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้จัก

จงหลีค่วยคล้องแขนเขาไว้ทันที แล้วเริ่มเหาะเบนออกนอกเส้นทาง ใครจะคิดว่าสามคนข้างหลังจะเหาะเบนออกเหมือนกัน ยังคงตามหลังทั้งคู่อยู่

ทั้งสองสีหน้าเปลี่ยนนิดหน่อย ชัดเจนว่าพุ่งเป้ามาที่พวกเขา จงหลีค่วยดึงเหมียวอี้เร่งความเร็วเหาะหนีทันที หวังว่าจะทิ้งระยะห่างได้ แต่ความเร็วของสามคนที่ไล่ตามอยู่ข้างหลังก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจงหลีค่วยเลย จงหลีค่วยหันกลับไปร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนถามทันที “ใครกันมาทำลับๆ ล่อๆ?”

สตรีชุดเขียวพลิกตัวกลางอากาศ เสื้อผ้าระเบิดกระจายออก เปล่งเงามายาสีแดง ราวกับดอกไม้สีแดงเลือดเบ่งบาน ผ้ามุ้งสีแดงผืนหนึ่งโบยบินมาครอบไว้ทั้งตัว นางคือปีศาจโลหิต

“สมาคมวีรชนจะทำงาน! คนที่ไม่เกี่ยวข้องหลีกไป อย่าแส่หาเรื่องใส่ตัว” ปีศาจโลหิตตะโกนเตือน ตอนนี้นางไม่รู้ว่าอีกคนคือจงหลีค่วย นางไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของจงหลีค่วย จึงอ้างสมาคมวีรชนมากดดัน หวังว่าอีกฝ่ายจะอ่านสถานการณ์ออก นางอยากจับแค่เหมียวอี้คนเดียวเท่านั้น ไม่อยากมีปัญหากับคนอื่น

เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที จะเห็นได้เลยว่าปีศาจโลหิตกลัวว่าตนจะหนีไปขนาดไหน ตนบอกไว้ว่าพรุ่งนี้จะจากไป ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้นางจะตามมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าหวงฝู่จวินโหรวบอกข้อมูลกับนางในทันที นางจึงไปเฝ้ารออยู่นอกเมืองล่วงหน้าเพราะกลัวเขาหนี ที่ยุ่งยากกว่าเดิมก็คือ ครั้งนี้นางพาผู้ช่วยมาด้วย เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคนของสมาคมวีรชน นางตัวแสบหวงฝู่จวินโหรว ช่างไม่ปรานีกันเลยสักนิด!

“สมาคมวีรชนแล้วยังไงล่ะ หรืออยากจะมีเรื่องกับปราสาทดำเนินนภาของข้า?” จงหลีค่วยตะโกนตอบเสียงดัง พลังอิทธิฤทธิ์บนตัวระเบิดออก ปรากฏโฉมหน้าที่แท้จริงของลุงหนวด มือข้างหนึ่งถือระฆังดาราขึ้นมา รีบติดต่อกับปราสาทดำเนินนภา เห็นได้ชัดว่าวรยุทธ์ของสามคนข้างหลังต่างกับเขาไม่เท่าไร ยากที่จะตัดสินแพ้ชนะ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นสำนักจะได้รู้ว่าเขาตายด้วยน้ำมือใคร ถึงตอนนั้นปราสาทดำเนินนภาย่อมไปคิดบัญชีกับสมาคมวีรชน!

“คนของปราสาทดำเนินนภา!” ชายที่อยู่ทางซ้ายและขวาของปีศาจโลหิตอุทานตกใจ จำเครื่องแบบบนตัวจงหลีค่วยได้ โดยเฉพาะตอนที่เห็นจงหลีค่วยหยิบระฆังดาราออกมาส่งข่าว พวกเขาก็หันไปมองปีศาจโลหิตพร้อมกัน หนึ่งในนั้นถามว่า “ปีศาจโลหิต ทำไมมีคนของปราสาทดำเนินนภาล่ะ?”

ถึงแม้สมาคมวีรชนจะมีอำนาจมาก แต่กำลังของปราสาทดำเนินนภาก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ไม่กลัวสมาคมวีรชนแน่ ทั้งสองทำสีหน้ากังวลหวาดหวั่น ถ้าจะให้สมาคมวีรชนกับปราสาทดำเนินนภาแลกเลือดกันเพื่อความแค้นของปีศาจโลหิตคนเดียว นั่นไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด

ปีศาจโลหิตก็ตกใจไม่เบาเช่นกัน แน่นอนว่านางรู้จักจงหลีค่วย ทั้งสองไม่ได้สู้กันเป็นครั้งแรก นี่ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน คนของปราสาทดำเนินนภาก็มาถึงแล้วเหรอ?

ที่นางกล้าไล่ตามเหมียวอี้มาในทันที ก็เพราะแน่ใจว่าตอนนี้เหมียวอี้ยังหาคนที่เหมาะสมมาช่วยเหลือไม่ทัน บวกกับการคำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัย หวงฝู่จวินโหรวยังเรียกผู้ช่วยสองคนมาให้นางด้วย

พอจงหลีค่วยปรากฏตัว นางก็นึกถึงเรื่องที่พวกหมิงจ้าววางกับดักนางครั้งก่อนทันที อดสงสัยไม่ได้ว่าครั้งนี้เหมียวอี้คิดจะวางแผนกับนางอีกหรือเปล่า นางจึงรีบกวาดสายตามองไปรอบๆ

แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ใช่ ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ จงหลีค่วยก็ไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวเลย หลอกล่อให้นางติดกับดักต่อไปก็พอแล้ว

ทว่าอาจจะเป็นแผนซ้อนแผน ไม่แน่ว่าคิดจะใช้วิธีนี้เพื่อให้นางติดกับดัก

เมื่อเห็นผู้ช่วยสองคนกำลังจะถอนตัวออกกลางคัน ปีศาจโลหิตก็เตือนทันที “พวกเจ้าอย่าลืมนะว่าเถ้าแก่น้อยให้พวกเจ้ามาช่วยข้า? นี่ไม่ใช่ผลประโยชน์ของข้าคนเดียว เพราะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของร้านค้าสมาคมวีรชนด้วย”

ชายคนนั้นบอกว่า “เถ้าแก่น้อยไม่ได้บอกว่าจะสู้กับคนของปราสาทดำเนินนภา แล้วเถ้าแก่น้อยก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้ด้วย!”

“ปีศาจโลหิต ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากช่วยเจ้านะ อีกฝ่ายแสดงตัวชัดเจนแล้วว่าเป็นคนของปราสาทดำเนินนภา ถ้าพวกเรายังลงมืออีก งั้นก็เป็นการสู้กันระหว่างสมาคมวีรชนกับปราสาทดำเนินนภาแล้ว ถ้าเจ้าบ้านหวงฝู่ไม่ได้ออกคำสั่ง พวกเราก็รับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ไหว ถ้าเจ้ายังดึงดันจะลงมือต่อ พวกเราก็ทำได้เพียงถอย เจ้าเชิญจัดการตามสะดวกในนามของตัวเองเถอะ!” ชายอีกคนกล่าว

ชายสองคนสบตาและพยักหน้าให้กัน รีบเลี้ยวแล้วเหาะกลับไปอย่างรวดเร็ว

“เอ๋! ทำไมหนีไปแล้วสองคน?” เหมียวอี้สวมเกราะรบสีทองและถือทวนไว้ในมือแล้ว ตอนนี้หันมาถามอย่างแปลกใจ

จงหลีค่วยแสยะยิ้ม “สมาคมวีรชนอยากจะปะทะกับปราสาทดำเนินนภาเหรอ ยังห่างชั้นกัน!”

ปีศาจโลหิตแค้นจนกัดฟันกรอด แต่ก็ไม่มีทางเลือก เดิมทีสมาคมวีรชนก็เป็นการรวมกลุ่มที่หละหลวมอยู่แล้ว เพียงแต่มีตระกูลหวงฝู่เป็นแกนกลางเท่านั้น เทียบกับตอแข็งที่รวมกำลังกันอย่างปราสาทดำเนินนภาไม่ติด เมื่อเจอกับการกดดันก็ย่อมไม่กลัว เมื่อเจอกับตอแข็งแบบนี้ เว้นเสียแต่ว่าทุกคนจะเจรจาให้เรียบร้อยลงตัว ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครอยากปะทะตรงๆ กับสำนักที่มีกำลังอำนาจมากอย่างปราสาทดำเนินนภา

แต่นางไม่อยากจะปล่อยเหมียวอี้ไปเลยจริงๆ ถ้าเหมียวอี้ไม่ได้เตรียมการอย่างอื่นไว้ ถ้าครั้งนี้เหมียวอี้ไปแล้วไม่กลับมาอีกจริงๆ ใต้หล้าใหญ่ขนาดนี้ นางจะไปหาเจอได้จากไหน?

ที่จริงนางมีบางสิ่งที่ไม่สะดวกจะบอกใคร ที่จริงการทวงยาเม็ดโลหิตกลับมาเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดคือบัวโลหิตต้นนั้น นั่นคือสมบัติอันงดงามที่คนในโลกนี้พบเจอได้แต่ไม่อาจครอบครอง มีเพียงการนำบัวโลหิตกลับมาเท่านั้น ในภายหลังจะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มียาเม็ดโลหิตช่วยเพิ่มวรยุทธ์ จะเสียมันไปไม่ได้

สุดท้ายนางก็ตัดสินใจจะสู้ตายสักยก ถึงแม้ตอนนี้วรยุทธ์ของตนจะสูสีกับจงหลีค่วย แต่ถ้าจงหลีค่วยคิดจะสังหารนาง ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ต่อให้เป็นไฉจวิ้นก็อาจจะทำอะไรนางไม่ได้เช่นกัน

ภายใต้การชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย ผลประโยชน์ก็อยู่เหนืออันตราย ปีศาจโลหิตกัดฟัน ไล่ตามต่อไปเพียงลำพัง

เหมียวอี้เพิ่มระดับความเร็วในการเหาะไม่ไหว ถึงแม้วรยุทธ์ของจงหลีค่วยจะสูสีกับปีศาจโลหิต แต่เมื่อมีเหมียวอี้เป็นตัวถ่วงอีกคน ความเร็วในการเหาะก็ย่อมได้รับผลกระทบ

เมื่อเห็นระยะห่างของสองฝ่ายเข้าใกล้กันเรื่อยๆ เหมียวอี้ก็เอียงหน้ากล่าวอย่างดุร้ายว่า “ก็แค่นางคนเดียว พวกเราร่วมมือกันก็ได้!”

จงหลีค่วยเตือนทันทีว่า “เจ้าอย่าทำเป็นเล่น เมื่อวรยุทธ์ถึงระดับทะยานสวรรค์แล้ว ความต่างของวรยุทธ์เพียงหนึ่งขั้นนั้นไม่ใช่น้อยๆ ไม่ใช่สิ่งที่ระดับก่อนหน้านี้จะเทียบได้ มิหนำซ้ำอีกฝ่ายก็เหนือกว่าเจ้าหกขั้น ให้ข้าลงมือคนเดียวก็พอ!”

“มหาอิทธิฤทธิ์หลีกโลหิตของนางร้ายกาจเกินไป ต่อให้เป็นศิษย์พี่ไฉจวิ้นของท่าน ก็อาจจะทำอะไรนางไม่ได้เช่นกัน ท่านสังหารนางไม่ไหวเลย!” เหมียวอี้กล่าวเตือน

จงหลีค่วยจึงตอบว่า “ต่อให้ฆ่าไม่ได้ แต่ทำให้นางตกใจหนีไปก็ยังดี อย่าบอกนะว่ามีเจ้าเพิ่มขึ้นมาคนเดียวแล้วจะฆ่านางสำเร็จ!”

เหมียวอี้กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ปีศาจตนนี้จ้องข้าไม่ยอมปล่อย นางเป็นภัยอันใหญ่หลวงสำหรับข้า ในเมื่อมีโอกาส จะปล่อยให้นางจองเวรไม่จบไม่สิ้นได้อย่างไร  วันนี้ข้ากับนางต้องสู้ให้ตายกันไปข้าง! ลุงหนวด ท่านหานางพัวพันนางให้ได้ ทางที่ดีทำให้นางเข้าใจผิดว่าท่านสู้นางไม่ไหว แบบนี้ข้าถึงจะมีโอกาสลงมือ ลุงหนวด ท่านจำไว้นะ ถ้าข้าโจมตีครั้งเดียวแล้วพลาด ท่านต้องเก็บข้าใส่กระเป๋าสัตว์แล้วหนีไปทันที!”

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” จงหลีค่วยสงสัย

“ตอนนี้อธิบายลำบาก อีกประเดี๋ยวท่านก็จะรู้เอง!” เหมียวอี้สะบัดแขนดิ้นรนออกจากตัวเขา

จงหลีค่วยใช้ดรรชนีกระบี่ทันที ลำแสงกลุ่มหนึ่งยิงออกจากกำไลเก็บสมบัติ พอหันตัวมาชี้ กระบี่บินก็ยิงออกมาด้วยความเร็วสูงราวกับผีพุ่งใต้ ฟันสังหารใส่ปีศาจโลหิตที่ไล่ตามมาอย่างบ้าคลั่ง ส่วนคนก็ไล่ตามกระบี่บินไป

เหมียวอี้ถือทวนอยู่ในมือ ไล่สังหารตามหลังจงหลีค่วยไปเช่นกัน

ปีศาจโลหิตถือดาบนกเป็ดน้ำอยู่ในมือ แล้วไขว้ดาบต้านเอาไว้ ปั้ง! กระบี่บินที่ฟันเข้ามาสะเทือนกระเด็นกลับไปทันที

ปีศาจโลหิตฉวยโอกาสไล่โจมตี จงหลีค่วยคว้ากระบี่บินกลับมา แล้วพุ่งชนใส่ปีศาจโลหิต พร้อมมือสองข้างควงกระบี่ฟันไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง

ปีศาจโลหิตยกมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ วินาทีที่เห็นแสงสะท้อนของคมกระบี่ฟันแสกหน้าเข้ามา ทั้งร่างกายของนางก็พลันกลายเป็นเงามายาเลือดสิบร่าง แล้วพุ่งยิงกระจายไปสี่ทิศ กลายเป็นร่างสิบร่างที่วนอ้อมจงหลีค่วยที่โจมตีเข้ามาตรงหน้า จากนั้นไปรวมร่างกันอีกครั้งตรงจุดที่ไม่ไกลจากข้างหลังเขา ไปสู้กับเหมียวอี้ที่พุ่งเข้ามา

943



ตอนต่อไป



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น