หน้าเว็บ

room 772--980--003

 room 772-003

https://fiction-no-limit1.blogspot.com/p/room-772-003.html

943-980

943

ทวนสิบสังหาร

จงหลีค่วยที่ฟันกระบี่อยู่กลางอากาศตกใจมาก แอบร้องในใจว่าแย่แล้ว นึกไม่ถึงว่าปีศาจโลหิตจะใช้ท่านี้ ทำให้ป้องกันลำบากนิดหน่อย เขาจินตนาการได้เลยว่าจู่ๆ  ปีศาจโลหิตพรวดไปข้างหลังเขาเพราะคิดจะทำอะไร นอกจากพุ่งเป้าไปที่หนิวโหย่วเต๋อแล้วจะเป็นใครไปได้อีก

ภายใต้ความวิตกกังวล เขาพลิกมือโน้มนำกระบี่ กระบี่บินยิงระเบิดออกมาจากใต้ซี่โครง

ปีศาจโลหิตที่รวมร่างอีกครั้งหมุนตัวราวกับดอกไม้ ใช้ดาบฟันกระบี่บินที่ยิงเข้ามา แล้วกระโจนใส่เหมียวอี้ต่อไป

เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ที่ในปากกำลังกัดกินสมุนไพรเซียนซิงหัวก็ตกใจไม่เบาเช่นกัน สีหน้าพลันเครียดขรึม หยุดนิ่งกะทันหัน ค่อยๆ ยกทวนขึ้นมาตั้งรับกับศัตรู ดูเหมือนเชื่องช้า ตัวทวนค่อยๆ เกิดเงามายาเป็นชุด ที่จริงรวดเร็วมาก หัวทวนแทบจะชี้ไปข้างหน้าอย่างฉับพลัน ชี้แน่วแน่ไปทางปีศาจโลหิตที่พุ่งเข้ามา

จงหลีค่วยกลับตัวเร่งไล่ตามปีศาจโลหิต แต่ปีศาจโลหิตที่พรวดพราดเข้ามากลับทำสีหน้าประหลาด พบว่าลักษณะท่าทางของเหมียวอี้เหมือนจะเปลี่ยนไปในชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ยกทวนขึ้นมา ราวกับร่างกายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทวน เหมียวอี้จ้องนางด้วยแววตาเงียบขรึม ลึกล้ำ เยือกเย็น สีหน้าสงบนิ่ง ท่าทางเตรียมพร้อมโจมตี เหมือนจะพุ่งทะลักออกมา

ในชั่วขณะนั้น ปีศาจโลหิตยังนึกว่าตัวเองมองผิดคน ไม่เคยเห็นสภาพแบบนี้จากตัวเหมียวอี้มาก่อน

นี่รู้ตัวว่าหนีไม่พ้นเลยเตรียมตัวจะสู้ตายเหรอ? ปีศาจโลหิตทำสีหน้าตื่นเต้นดุร้าย นางไม่เห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตาเลย พอถลันตัวมาถึง ก็ฟันดาบทันที

“หลีกไป!” จงหลีค่วยตะโกนเสียงดัง

“ตาย!” เหมียวอี้พลันตะโกนเกรี้ยวกราดเสียงดัง สิ่งที่ตามมาคือพลังอิทธิฤทธิ์ที่กระเพื่อมกระจายไปยังจักรวาลอันกว้างใหญ่ ทำให้พลังที่เพิ่มถึงขีดสุดของตนเหมือนถูกจุดไฟในชั่วพริบตาเดียว พลังอิทธิฤทธิ์ที่ก่อตัวในร่างกายปล่อยออกมาอย่างฉับพลัน

เกราะทอง ทวนสีทองเปล่งแสงสีม่วงออกมาพร้อมกัน ราวกับดอกไม้พร่างพรายเบ่งบานอย่างฉับพลัน เหมือนพระอาทิตย์ยามเช้าที่เปล่งแสงสีทองตรงเส้นขอบฟ้า ราวกับมีหมอกสีม่วงลอยมาจากทิศตะวันออกยามพระอาทิตย์ขึ้น สว่างไสวแวววาวน่าครั่นคร้าม

หนึ่งทวน สองทวน สามทวน สี่ทวน…

ทวนแล้วทวนเล่า แทงสังหารทวนแล้วทวนเล่าติดต่อกัน กลืนเข้าคายออก รวดเร็วว่องไว ยากจะบรรยายได้ ทำให้คนตาลายเพราะมองไม่ทัน

หนึ่งทวนสิบสังหาร ตอนอยู่ระดับบงกชม่วง เหมียวอี้ก็ไม่เคยใช้กระบวนท่านี้อีกเลย พอมาใช้ท่านี้อีกครั้งตอนอยู่ระดับบงกชทอง เหมียวอี้เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอานุภาพมากมายขนาดไหนกันแน่ มีเพียงความเร็วที่ทำให้คนมองไม่ทัน บนหัวทวนที่แทงออกมามีจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลือง ราวกับเป็นไข่มุกสีดำเม็ดหนึ่งที่กำลังหมุนวน เหมือนเป็นหลุมดำของประตูดวงดาวที่หดเล็กลงกว่าเดิมหลายเท่า

ตอนออกทวนครั้งแรก ดาบนกเป็ดน้ำฟันที่หัวทวนในแนวเฉียง ทั้งสองฝ่ายวรยุทธ์ต่างกันมาก บวกกับความคมกริบของดาบนกเป็ดน้ำ หัวทวนจึงโดนฟันกระเด็นออกไปราวกับเต้าหู้โดนมีดหั่น

หัวทวนที่กระเด็นออกไปยังคงเคลื่อนที่เร็วมาก ยิงไปทางจงหลีค่วยที่กระโจนเข้ามาพอดี จงหลีค่วยไม่แยแส ใช้กระบี่ในมือปัดลวกๆ หนึ่งที โดนจุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองที่อยู่บนหัวทวนพอดี

บึ้ม! เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น กระบี่ในมือจงหลีค่วยสะเทือนจนแทบหลุดมือ สะเทือนแขนจนชา ร่างที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงก็ยิ่งกระเด็นถอยหลังไปหลายจั้ง

จงหลีค่วยเรียกได้ว่าพลันมองไปที่เหมียวอี้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา ไม่ค่อยเข้าใจว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร

ทวนสีทองที่ไร้หัวทวนพลันอับแสงลง เมื่อขาดอานุภาพดั้งเดิมของทวนวิเศษขั้นสี่ จุดสีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองบนหัวทวนก็หายไปด้วยเช่นกัน

แต่พอเหมียวอี้ใช้กระบวนท่านี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ควบคุมไม่อยู่แล้วเช่นกัน การแทงสังหารยังคงดำเนินต่อไป

แขนของปีศาจโลหิตสะเทือนจนรู้สึกชาเล็กน้อย นางมองไปที่เหมียวอี้อย่างไม่เชื่อสายตา นึกไม่ถึงว่าอานุภาพยามเหมียวอี้ออกทวนจะน่าหวาดกลัวขนาดนี้

ดาบแรกที่ฟันออกไปยังไม่ทันชักเก็บเข้ามา ทวนครั้งที่สองก็แทงเข้ามาแล้ว นางหลบไม่ทันไปชั่วขณะ เป็นเพราะเหมียวอี้ใช้ทวนได้รวดเร็วเกินไปจริงๆ เร็วจนแทบจะกดเข้ามาพร้อมกัน ขณะกำลังฉุกละหุก ปีศาจโลหิตใช้ดาบโลหิตอีกด้ามกวาดฟันเข้ามาอย่างรวดเร็ว แกร๊ก! ด้ามทวนกระเด็นเฉียงออกไปอีกครั้ง

ตอนทวนแทงเข้ามาครั้งที่สาม ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็หลบไม่ทันแล้ว เรียกได้ว่าตกใจมากจนหน้าถอดสี ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ชัดเจน วิชาทวนที่รวดเร็วขนาดนี้ทำไมถึงไม่หมดไปเสียที ไม่กล้าดันทุรังปะทะตรงๆ อีกแล้ว ทั้งตัวจึงระเบิดกลายเป็นเงามายาเลือดสิบร่างอย่างรวดเร็ว

จากนั้นลำแสงแปดสายจากเงามายาเลือดทั้งสิบก็ยิงตามมาติดๆ เงามายาเลือดทั้งสิบแทบจะระเบิดพร้อมกัน ลำแสงแปดสายราวกับลูกธนูแปดดอกที่ยิงเรียงออกมา ตอนที่เงามายาเลือดทั้งสิบยังไม่กระจายตัวออกไปจนหมด ก็ยิงโดนเป้าหมายไปแล้วหลายครั้ง

มีเพียงเงามายาเลือดสองร่างที่หนีออกไป ส่วนลำแสงสีเลือดอีกแปดร่าง มีเจ็ดร่างที่โดนแทงจนพังทลายลง หนึ่งในลำแสงพวกนั้นปรากฏร่างของปีศาจโลหิต “โอ้ย…” เสียงครางเจ็บปวดดังขึ้น โดนทวนแทงที่จุดสำคัญ โดนตรงแก้มก้นข้างหนึ่ง!

มหาอิทธิฤทธิ์หลีกโลหิตของนาง ไม่ใช่การกลายร่างเป็นสิบร่างในเวลาเดียวกัน แต่เป็นการใช้วิชาแยกร่างพรางตาชนิดหนึ่ง ทำให้คนแยกไม่ออกว่าร่างไหนคือร่างจริง ร่างไหนคือร่างปลอม ส่วนร่างจริงของนางก็ซ่อนอยู่ในนั้น ในบรรดาเงามายาเลือดสิบร่างเมื่อครู่นี้ เหมียวอี้ไม่รู้ด้วยว่าร่างไหนคือร่างจริง เพียงแต่แปดทวนนั้นโจมตีออกไปอย่างครอบคลุม ทำให้โอกาสโจมตีโดนเป้าหมายมีสูงมาก เขาก็แค่บังเอิญโจมตีโดนเป้าหมายเท่าก็นั้นเอง

แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ปีศาจโลหิตทนไม่ไหวแล้ว ถึงแม้หัวทวนจะโดนนางฟันจนหัก แต่ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ด้ามทวนก็โดนนางฟันในแนวเฉียงจนหักเช่นกัน จุดที่โดนฟันในแนวเฉียงเกิดเป็นรอยแหลมคม จึงแทงเข้าก้นของนางได้อย่างไม่มีปัญหา

สิ่งที่ทำให้ปีศาจโลหิตกลัวก็คือ บนด้ามทวนนั้นยังมีของอะไรบางอย่างที่นางไม่รู้จักอยู่ด้วย ไม่น่าเชื่อว่ามันจะทะลุเกราะเลือดของนางได้อย่างง่ายดาย ตอนที่แทงเข้ามาในก้นของนาง ภายใต้ความเจ็บปวดมหาศาลยังมีความร้อนรุ่มกลุ่มหนึ่งไหลเข้าสู่ร่างกาย นางรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของน้ำเลือด สังเกตพบความไม่ชอบมาพากลทันที บนหัวทวนของอีกฝ่ายมีลับลมคมในแน่นอน

ส่วนอีกด้านหนึ่ง จงหลีค่วยที่ไล่ตามเข้ามาก็ฟันกระบี่บินสายหนึ่งเข้ามาแล้ว

ภายใต้ความวิตกกังวล ปีศาจโลหิตฟาดฝ่ามือสีเลือดขนาดใหญ่ออกมาทีหนึ่ง ฝ่ามือของปีศาจโลหิตฟาดโดนเหมียวอี้ที่กำลังหมดแรงพอดี ในขณะนี้ เหมียวอี้ปล่อยมือจากอาวุธและโบกแขนออกมา ไขว้แขนสองข้างปกป้องใบหน้าเอาไว้

ปั้ง! เหมียวอี้เงยหน้ากระอักเลือดสดอย่างบ้าคลั่ง เกราะทองบนตัวโดนโจมตีจนอับแสงลง ทั้งตัวสะเทือนจนกระเด็นถอยหลังอย่างรวดเร็ว

เสียงโช้งเช้งพลันดังขึ้น ตอนนี้จงหลีค่วยปะทะเดือดกับปีศาจโลหิตแล้ว เดิมทีเหมียวอี้ไม่น่าจะได้รับบาดเจ็บอะไร แต่เกิดเหตุไม่คาดคิดกับหัวทวนที่โดนฟันกระเด็น ทำให้จงหลีค่วยมาถึงช้านิดหน่อย มาช่วยไว้ไม่ทัน ทำให้เหมียวอี้โดนฟาดไปหนึ่งฝ่ามือ

หลังจากปะทะกันได้ไม่กี่กระบวนท่า ในดวงตาปีศาจโลหิตฉายแววหวาดกลัว ราวกับหมดกำลังใจต่อสู้ ยังไม่ทันมีท่าทีว่าจะแพ้ นางก็ระเบิดกลายเป็นเงามายาเลือดสิบร่างอีกแล้ว

จงหลีค่วยไล่โจมตีโดนร่างร่างหนึ่งราวกับโชคช่วย ร่างนั้นระเบิดกลายเป็นสิบร่างอีกครั้ง เงามายาเลือดร้อยร่างกระจัดกระจายไปยังจุดลึกของท้องฟ้า

เมื่อเผชิญสถานการณ์แบบนี้ จงหลีค่วยก็อับจนหนทางเหมือนกัน ขณะมองดูเงามายาเลือดเลือดพวกนั้นแยกย้ายกันไปไกล เขาก็ไม่รู้จะไล่ตามไปที่ร่างไหน

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาครุ่นคิดเรื่องนี้ เขารีบถลันตัวเลี้ยวกลับมา ไล่ตามเหมียวอี้ที่หลุดลอยไปไกลเนื่องจากอยู่ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วง

เขาตามเข้ามาดึงแขนเหมียวอี้เอาไว้ แล้วมองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่แปลกมาก การออกทวนอันน่าทึ่งของเหมียวอี้เมื่อครู่นี้ เขาเองก็ได้เห็นกับตาแล้ว รู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ

เห็นดวงตาเหมียวอี้พร่าเลือนไร้แวว สีหน้าซีดขาว ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอาการให้เหมียวอี้ทันที

ผลก็คือพบว่าเหมียวอี้ไม่ได้บาดเจ็บรุนแรง ถึงอย่างไรเจ้าเด็กนี่ก็ปกป้องชีวิตตัวเองจนชินแล้ว สวมเกราะรบป้องกันไว้ตั้งแต่การต่อสู้ยังไม่ทันเริ่ม เกราะรบของตำหนักสวรรค์ก็ไม่ใช่เล่นๆ มีพลังป้องกันดีมาก โดนฝ่ามือของปีศาจโลหิตครั้งเดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เกราะรบตำหนักสวรรค์บนตัวเหมียวอี้พัง แต่ถ้าเป็นการโจมตีอย่างจริงจัง แบบนั้นเหมียวอี้ก็อาจจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ยาก

ส่วนอาการบาดเจ็บที่ได้รับ เจ้าเด็กนี่ก็ปกป้องชีวิตจนชินแล้วเช่นกัน กินยาเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนยังไม่โดนโจมตี เจ้าตัวกลืนสมุนไพรเซียนซิงหัวเตรียมไว้สำหรับการบาดเจ็บ สมุนไพรเซียนซิงหัวในร่างกายกำลังออกฤทธิ์ อาการบาดเจ็บน่าจะฟื้นตัวเร็วๆ นี้ ส่วนอานุภาพของเลือดปีศาจในฝ่ามือปีศาจโลหิต ก็ทำอะไรเจ้าเด็กนี่ไม่ได้เช่นกัน

สิ่งเดียวที่ทำให้จงหลีค่วยขมวดคิ้วก็คือ พลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ใกล้จะแห้งเหือดแล้ว จิงชี่เสินก็ยิ่งเซื่องซึมจนน่าตกใจ ราวกับจะขาดใจในฉับพลันทันที ทั้งตัวแทบจะเหมือนผีดิบ ดูเหมือนไม่ใช่เพราะได้รับบาดเจ็บ จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “สภาพเจ้าในตอนนี้ เป็นเพราะใช้วิชาทวนเมื่อครู่นี้เหรอ?”

เหมียวอี้คลี่ปากที่เปื้อนเลือดยิ้มอย่างไร้เรี่ยวแรง แล้วถามเสียงอ่อนว่า “ปีศาจโลหิตล่ะ?”

พอพูดถึงเรื่องนี้ จงหลีค่วยก็กล่าวอย่างอับอายว่า “พูดแล้วก็ละอายใจ ขนาดเจ้ามีแค่วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งยังทำนางบาดเจ็บได้ แต่ข้ากลับปล่อยนางหนีไปโดยไม่เจ็บตัวเลยสักนิด”

เหมียวอี้ยิ้มขื่นขมในใจ ตัวเองย่อมรู้สภาพของตัวเองดีที่สุด ตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปีศาจโลหิตเลย เป็นเพราะปีศาจโลหิตไม่รู้สถานการณ์เอง อย่างเช่นเมื่อครู่นี้ ถ้าปีศาจโลหิตไม่ใช้ดาบฟันทวนของเขา แต่เปลี่ยนเป็นตีให้ทวนเขาหลุดมือแทน อาศัยวรยุทธ์ของปีศาจโลหิต ก็สามารถทำให้ทวนของเขาหลุดมือได้เลย ถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงไม่ได้ใช่ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารที่เป็นแผนสำรองหรอก เขาคงตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจโลหิตไปแล้ว ต่อไปถ้าได้สู้กับปีศาจโลหิตอีกครั้ง ปีศาจโลหิตเคยเสียเปรียบมาแล้วครั้งหนึ่ง เกรงว่าครั้งหน้าคงไม่โชคดีแบบนี้แล้ว

“ลุงหนวด ไม่ต้องโทษตัวเองหรอก มหาอิทธิฤทธิ์หลีกโลหิตของปีศาจตนนั้นร้ายกาจจริงๆ หนีไปได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา” เหมียวอี้พูดปลอบใจอย่างไร้เรี่ยวแรง ตอนนี้ชีวิตของตนอยู่ในมืออีกฝ่าย ไม่มีกำลังจะโต้ตอบเลยแม้แต่น้อย

จงหลีค่วยส่ายหน้า แล้วกล่าวอย่างสงสัยว่า “เรื่องนี้มีลับลมคมในบางอย่าง นางไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงอะไร ในเมื่อกล้าพุ่งเป้ามาที่พวกเราสองคน ทั้งยังมีมหาอิทธิฤทธิ์หลีกโลหิตคอยช่วย ทำไมหนีไปทั้งๆ ที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะแพ้?”

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ อย่างหมดแรง “เหตุผลไม่ซับซ้อน ข้าเอาคืนนางแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันแล้ว นางวางยาพิษข้า ข้าก็วางยาพิษนางเหมือนกัน บนหัวทวนข้ามีพิษ ถ้านางยังไม่หนีไป แล้วพิษกำเริบขึ้นมา ถึงตอนนั้นอยากจะหนีก็หนีไม่รอดแล้ว ต้องตายด้วยน้ำมือข้าแน่นอน”

จงหลีค่วยมึนงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็เข้าใจกระจ่างทันที “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง! วางยาพิษจนนางตายได้เลยรึเปล่า?”

“ไม่รู้สิ!” เหมียวอี้ไม่ยอมเปิดเผยความจริง ถ้าให้คนอื่นรู้ว่าตนมีพิษที่ยากจะหายาถอนได้ ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร แต่เขาเดาว่าครั้งนี้ปีศาจโลหิตคงจะตายแน่นอน ยังไม่เคยมีใครที่โดนเปลวเพลิงไร้รูปร่างนี้แล้วรอดชีวิตไปได้ ที่เขายอมเสี่ยงอันตรายครั้งนี้ สุดท้ายก็กำจัดภัยใหญ่ที่กำลังจะตามมาได้แล้ว

พอได้ยินคำว่า ‘ไม่รู้สิ’ จงหลีค่วยก็เสียดายอยู่บ้าง ถามอีกว่า “ที่เจ้าออกทวนเมื่อครู่นี้มันคืออะไรกันแน่ บนหัวทวนมีจุดสีดำที่มีอานุภาพมากขนาดนี้ เกือบทำให้กระบี่ของข้าหลุดมือแล้ว”

เหมียวอี้เองก็สังเกตเห็นแล้วเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนั้นสมาธิจดจ่ออยู่ที่การออกทวน ไม่ได้แบ่งสมาธิมาคิดถึงปัญหานี้ พอลองมาคิดดูตอนนี้ ก็พบว่าตัวเองเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเช่นกัน เมื่อก่อนตอนใช้กระบวนท่าหนึ่งทวนสิบสังหารก็ไม่เคยเห็น จึงส่ายหน้าตอบว่า “ข้าเองก็เพิ่งสังเกตเห็นเป็นครั้งแรก”

เมื่อเห็นเหมียวอี้อ่อนแรงจนหมดสภาพ ตาใกล้จะปิด จงหลีค่วยก็ไม่ได้ถามอะไรมากอีก “ฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์เป็นเรื่องง่าย แต่สูญเสียจิงชี่เสินไปมากขนาดนี้ ต้องค่อยๆ ฟื้นฟู เกรงว่าคงตอนนอนหลับไปสักระยะถึงจะฟื้นฟูกลับมาได้ ข้าเก็บเจ้าไว้ในกระเป๋าสัตว์แล้วกัน เจ้าก็พักผ่อนอยู่ในนั้น พอกลับถึงปราสาทดำเนินนภา เจ้าก็คงจะฟื้นตัวพอดี”

ถ้าไม่ใช่คนที่เชื่อใจกันจริงๆ คนทั่วไปก็ไม่อยากโดนเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์เลย ไม่อย่างนั้นถ้าอีกฝ่ายเล่นไม่ซื่อนิดเดียว ตัวเองก็รักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว เพียงแต่สภาพในตอนนี้ไม่ได้ดีกว่าถูกเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์สักเท่าไร เหมียวอี้ทำได้เพียงพยักหน้าเบาๆ จะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้

จงหลีค่วยเก็บเขาเข้าในกระเป๋าสัตว์โดยตรง แล้วมองไปที่ท้องฟ้ารอบๆ หลังจากแยกแยะทิศทางได้แล้ว ก็เหาะออกไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางยังคอยช่วยเปลี่ยนอากาศให้เหมียวอี้ที่กำลังนอนหลับลึกด้วย…

944

สร้างผลงานสักครั้ง

ส่วนปีศาจโลหิตในเวลานี้กลับคำรามร้องอย่างเจ็บปวดอยู่บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง ขณะที่สั่นศีรษะไปมา ผ้ามุ้งสีแดงที่คลุมหน้าก็ปลิวออกไปแล้ว ผมงามยุ่งเหยิงปลิวสยาย สองมือยันอยู่ระหว่างหินผาก้อนใหญ่ทางซ้ายและขวา “พลั่ก” บนก้นมีเนื้อปนเลือดก้อนหนึ่งระเบิดออกมา มันกำลังปล่อยควัน!

ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ มันกำลังปล่อยไอเลือด เลือดสดในร่างกายกำลังพ่นออกจากปากแผลอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็มีชิ้นเนื้อทะลักออกมาด้วย ทุกครั้งที่ก้อนเนื้อทะลักออกมาก็จะมีน้ำเลือดพุ่งกระฉูดออกมาด้วยสายหนึ่ง

ส่วนใบหน้าสวยที่อยู่ใต้ผมงาม ตอนนี้กำลังลีบเหี่ยวลงเร็วมากจนสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า สีหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่นทรมานจนยากที่จะระงับไว้ “เฮ่อ เฮ่อ” เสียงร้องแสดงความเจ็บปวดทรมานจนแทบทนไม่ไหวดังขึ้นไม่หยุด เจ็บจนใบหน้าที่บิดเบี้ยวเล็กน้อยค่อยๆ เหี่ยวลีบราวกับโครงกระดูก

ก็ช่วยไม่ได้ คนอื่นไม่รู้ถึงความร้ายกาจของของประหลาดในร่างกาย แต่นางกลับรู้ชัดเจน นางรู้จักน้ำเลือดดีเกินไป เมื่อพบว่าไม่สามารถควบคุมได้ นางก็รู้ถึงผลลัพธ์ของการปล่อยให้ของประหลาดนี้ลุกลามในร่างกาย ในสถานการณ์ที่ตัวเองไม่มีทางควบคุมได้ ไม่น่าเชื่อว่านางจะร่ายอิทธิฤทธิ์ปล่อยให้เลือดไหลออกมา ระบายน้ำเลือดที่ปนกับของประหลาดนั่นออกมา เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัย นางถึงขั้นรีบตัดเนื้อส่วนที่ปนเปื้อนของประหลาดนั่นออกมาด้วย ไม่เหมือนคนทั่วไปที่ใช้แค่การร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุม

ทว่าหากคนทั่วไปปล่อยเลือดจนแห้งหมดตัว ก็มีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้แล้วเหมือนกัน แต่นางไม่กลัว…

ตอนที่ยอดหญิงงามกลายเป็นร่างผอมแห้งที่มีแค่หนังหุ้มกระดูก เสียงลมหายใจที่แหบแห้งเหมือนทะเลทรายก็ค่อยๆ สงบมั่นคงแล้วเช่นกัน ในที่สุดก็กำจัดภัยคุกคามที่เป็นอันตรายถึงชีวิตออกจากร่างกายแล้ว นางตบยาเม็ดสีแดงเข้าปากเม็ดหนึ่ง ในดวงตาที่กลวงเว้าเข้าไปค่อยๆ เปล่งแสงสีแดง ร่างที่โงนเงนก็เริ่มมั่นคงขึ้นแล้วเช่นกัน

ภายใต้กระโปรงสีแดง สามารถใช้คำว่าโครงกระดูกงามมาบรรยายได้เลย ร่างกายที่เหี่ยวลีบลงค่อยๆ หันมา เห็นเพียงเลือดเนื้อที่กระจายอยู่บนพื้นกำลังกลายเป็นน้ำข้น ยังคงปล่อยฟองออกมา ในเบ้าตาที่กลวงลึกเข้าไปฉายแววหวาดผวา ไม่รู้ว่าตัวเองโดนพิษอะไรมา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นพิษร้ายขนาดนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าคงจะตายไปนานแล้ว

ฝ่ามือสองข้างที่ผอมแห้งกำบีบจนเกิดเสียงดังแกร๊ก นางนึกเสียใจทีหลัง และได้สติรู้ตัวแล้วเช่นกัน อาศัยวรยุทธ์ของเหมียวอี้ก็ไม่มีทางต้านทานนางได้เลย ถ้านางทำให้ทวนด้ามนั้นของเหมียวอี้หลุดมือไป นางคงไม่มีจุดจบเหมือนอย่างตอนนี้

เรื่องที่ผ่านไปแล้ว มานึกเสียใจทีหลังก็ไม่มีประโยชน์ พอนางโบกแขน ผ้ามุ้งสีแดงที่ห้อยติดอยู่บนก้อนหินก็ลอยกลับมาคลุมนางไว้ ปิดบังใบหน้าอันน่าหวาดกลัวของนาง

นางไม่กล้าอยู่ที่นี่นานเกินไป จึงรีบเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วหายไปยังจุดลึกของจักรวาล

ตอนที่กลับมาถึงดาวเทียนหยวนอีกครั้ง นางไม่ได้กลับไปที่ตลาดสวรรค์ แต่กำลังค้นหาอยู่บนฟ้า ค้นหา…

ณ วัดแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาเขียวชอุ่มและสายน้ำมรกต มีชื่ออันไพเราะว่า ‘วัดจิตสงบ’ ขนาดวัดไม่ใหญ่โต มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน แต่กลับถูกทำลายจนชำรุดทรุดโทรม

ในวิหารใหญ่ที่เรี่ยราดยุ่งเหยิง พระพุทธรูปที่ร่างหายไปครึ่งหนึ่งประดิษฐานอยู่เบื้องบน ภายใต้การจ้องมองของใบหน้าที่เต็มไปด้วยเมตตาธรรม ในวิหารกลับวางโต๊ะยาวไว้ตัวหนึ่ง สุราเนื้อสัตว์วางไว้เต็มโต๊ะ มีชายสองคน หญิงหนึ่งคน พระสงฆ์หนึ่งรูป ทั้งสี่กำลังนั่งล้อมโต๊ะ บางครั้งก็ยกจอกสุราชนกันและดื่มอย่างถึงอกถึงใจ สุขสันต์หรรษา

พระสงฆ์สวมจีวรสีขาวนวล สีหน้าเบิกบานสำราญใจ ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือศีลแปดนั่นเอง

ผู้ชายอีกสองคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคนคือเจ้าบ้านทั้งสามของ ‘สมาคมดอกกล้วยไม้’  ผู้ชายสองคนนั้นชื่อว่าหลันเหย่ หลีเถี่ยหุ้ย ส่วนผู้หญิงชื่อหูลี่ฮวา ชื่อ ‘สมาคมดอกกล้วยไม้’ ก็ตั้งมาจากชื่อของพวกเขาสามคน เลือกคำที่นำมารวมกันแล้วเรียกคล่องปากฟังดูไพเราะ

ชื่อฟังดูไพเราะ แต่ที่จริงพวกเขาเป็นโจรกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มโจรชั้นต่ำท่ามกลางนักพรตของดาวเทียนหยวน

ทั้งสี่กินดื่มอยู่อย่างนั้น แต่ข้างๆ กลับมีศพเปื้อนเลือดหลายศพเรียงรายอยู่ ทั้งหมดเป็นพระสงฆ์ แต่ทั้งสี่กลับพูดคุยกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางสภาพแวดล้อมแย่ๆ แบบนี้

ในลานวัดด้านนอก คนกลุ่มหนึ่งกำลังเก็บกวาดรอยเลือดและศพที่อยู่บนพื้น ล้วนเป็นพระสงฆ์ที่อยู่ในลานวัด จากเลือดสดบนพื้นที่ยังไม่แห้งกรัง ก็ดูออกเลยว่าการสังหารโหดเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน

ในวิหาร เจ้าบ้านรองหูลี่ฮวาวางชามสุราลง แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “พวกเราต้องยึดวัดนี้แล้วกลายเป็นคนออกบวชจริงๆ เหรอ? จะโดนคนจับได้รึเปล่า?”

ศีลแปดวางชามสุราลงเช่นกัน แล้วโบกมือตอบว่า “เจ้าบ้านรองไม่ต้องกังวล วัดเนี่ยนะ เปลี่ยนใครเป็นเจ้าบ้านก็เหมือนๆ กัน หลังจากเจ้าอาวาสชราที่นี่มรณภาพ พวกลูกศิษย์ระดับล่างก็แก่งแย่งกันไปแก่งแย่งกันมา ไม่มีคนเก่งๆ ไปมาหาสู่ตั้งนานแล้ว ไม่มีใครสนใจเท่าไรหรอก แต่ถ้ามียอดฝีมือมาจริงๆ อาศัยวรยุทธ์ของพวกเราก็จัดการไม่ไหว เจ้าบ้านทั้งสามลองคิดดูสิ ‘สมาคมดอกกล้วยไม้’ เที่ยวปล้นไปทั่วก็เพื่อทรัพย์สินไม่ใช่เหรอ เป็นพระสงฆ์ที่ร่ำรวยก็ไม่มีอะไรเสียหาย ต่อไปพวกเราก็แค่ยึดวัดนี้ ถ้ามีคนมาค้างแรม ขอแค่เป็นคนร่ำรวยพวกเราก็ลงมือจัดการเลย แต่ถ้าไม่มีคนมาค้างแรม พวกเราก็แอบอ้างเป็นนักบวชเพื่อหลอกให้คนอื่นเชื่อใจได้ง่ายๆ ตีขนาบทั้งข้างนอกข้างในเหมือนวันนี้ ราบรื่นจะตาย ดีกว่าการที่พวกเจ้าต้องคอยเสี่ยงโชคไม่ใช่เหรอ?”

ทั้งสามได้ยินแล้วพยักหน้า เจ้าบ้านใหญ่หลันเหย่ก็ยิ่งตบโต๊ะพูดอย่างเด็ดขาดว่า “เป็นวิธีการหาเงินที่ดีจริงๆ พระอาจารย์ศีลแปดช่างมีความคิดที่ดี ก็ได้ ก็แค่โกนหัวแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอยู่แล้ว รอให้มีทรัพยากรฝึกตนเพิ่มขึ้น แบนนั้นก็ยอดเยี่ยมกว่าทุกอย่างไม่ใช่เหรอ?”

“พี่ใหญ่ ท่านเคยคิดรึเปล่า พวกเราไม่เข้าใจแนวทางของพระสงฆ์เลยนะ แม้แต่พระคัมภีร์บ้าบออะไรนั่นก็ไม่เข้าใจ แค่พูดออกมาคำเดียว คนก็มองออกได้ง่ายๆ แล้ว” เจ้าบ้านสามหลีเถี่ยหุ้ยกล่าวอย่างลังเล

ศีลแปดจึงยิ้มพร้อมบอกว่า “เจ้าบ้านสามคิดมากไปแล้ว อาตมาเป็นพระปลอมมาหลายปีขนาดนี้ พวกพระคัมภีร์ก็นับว่าเข้าใจอยู่บ้าง ตบตาคนได้ไม่มีปัญหา ไม่อย่างนั้นคงหลอกพวกพระวัดนี้แล้วร่วมมือกับพวกเจ้าโจมตีขนาบทั้งข้างนอกข้างในไม่ได้หรอก หลังจากพวกเรายึดวัดนี้แล้ว ก็ให้ข้าเป็นเจ้าอาวาสก็แล้วกัน… แน่นอน ข้าแค่ออกไปรับแขกในนามเจ้าอาวาส จะได้ขายผ้าเอาหน้ารอดได้สะดวก ที่จริงเรื่องต่างๆ ภายในวัด เจ้าบ้านทั้งสามก็ยังเป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจ ตราบใดที่หาเงินได้ แบ่งให้ข้าสักส่วนก็พอแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะสอนพูดประโยคนามธรรมที่ชาวพุทธชอบเอาไว้รับมือกับคนอื่น ขอแค่ภายนอกตบตาได้ พวกเราก็จะไม่พลาดแน่นอน แค่นั่งรอรับความรวยก็พอแล้ว”

เป็นอย่างที่เขาบอก หลังจากเขาหนีออกมาจากตลาดสวรรค์ ก็หนีมาตลอดทางจนถึงที่นี่ เมื่อเห็นว่าเป็นวัด ก็คิดว่าเป็นสหายในวงการเดียวกัน การรับเขาเข้าจำวัดคงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ใครจะคิดว่าพวกพระในวัดนี้จะไร้มารยาทต่อเขา ถ้าอยากจะจำวัดก็ย่อมได้ เมื่อเห็นว่าวรยุทธ์เขาไม่ได้เรื่องเท่าไร ก็เลยโยนงานหนักมาให้เขาทำ และพูดอ้างอย่างสวยหรูว่า ตรากตรำพากเพียร ลำบากเหนื่อยล้า มีประโยชน์ต่อการฝึกตน

ก็ได้! ไม่คุ้นเคยกับคนและสถานที่ ศีลแปดจึงข่มความโกรธนี้เอาไว้ เตรียมจะหาที่พักและรอให้เข้าใจสถานการณ์ของที่นี่ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ตอนหลังมีอยู่วันหนึ่งที่ศีลแปดออกมาข้างนอก แล้วเจอสมาคมดอกกล้วยไม้ดักปล้นในภูเขา ปรากฏว่าปล้นศีลแปดไม่สำเร็จ กลับโดนศีลแปดเกลี้ยกล่อม จึงตอบตกลงให้ศีลแปดเข้าร่วมกลุ่มด้วย

แนวคิดของศีลแปดเรียบง่ายมาก ในเมื่อจะมาอยู่ที่นี่ ก็ต้องอยู่อย่างประสบความสำเร็จสิ ขนาดพี่ใหญ่ยังสร้างร้านขายของชำซื่อตรงขึ้นมาได้ เราไม่ได้มีความชำนาญมากขนาดนั้น แต่ในเมื่อมาที่นี่แล้ว ก็จะทำอะไรไม่สำเร็จสักเรื่องเลยไม่ได้ เริ่มจากการเป็นโจรก็แล้วกัน รอให้วางรากฐานได้ก่อนแล้วค่อยวางแผนอีกที จะต้องสร้างผลงานสักเรื่อง ดังนั้นใบมอบตัวแรกก็คืออยู่ที่วัดจิตสงบ นอกจากเขาจะวางยาพิษในน้ำดื่มให้พวกพระในวัดแล้ว เขายังทำลายค่ายกลใหญ่คุ้มกันภูเขาด้วย เป็นหนอนบ่อนไส้ให้คนของสมาคมดอกกล้วยไม้เข้ามาเปิดฉากสังหารหมู่ สังหารพระของวัดจิตสงบจนหมดเกลี้ยง ถึงได้มีฉากที่เห็นอยู่ตรงนี้

ตอนนี้เกลี้ยกล่อมให้คนกลุ่มนี้มาเป็นพระสงฆ์ได้แล้ว ส่วนเขาก็อยากจะเป็นพี่ใหญ่ของคนพวกนี้ เจ้าอาวาส!

ถ้าจะให้เป็นพี่ใหญ่ของสมาคมดอกกล้วยไม้ในตอนนี้ ก็ฟังดูไม่เข้าท่าน ต้องเริ่มจากเป็นเจ้าอาวาสก่อน เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้กลายเป็นพี่ใหญ่ของสมาคมดอกกล้วยไม้

เจ้าบ้านใหญ่หลันเหย่ยิ้มพร้อมบอกว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ก็พอได้อยู่นะ ถ้าน้องรองกับน้องสามไม่มีความเห็นแย้งอะไร เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้แล้วกัน”

“ข้าก็ต้องโกนหัวด้วยเหรอ?” เจ้าบ้านรองหูลี่ฮวาขมวดคิ้วถาม เอามือลูบมวยผมที่ดำขลับของตัวเอง ชำเลืองมองศีลแปดแวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างลำบากใจว่า “ให้ผู้หญิงอยู่กับพระในวัดก็จะฟังดูเหลวไหล… มิหนำซ้ำ โกนหัวแล้วจะน่าเกลียดมากด้วย”

ศีลแปดค่อนข้างรับไม่ไหวกับแววตาของผู้หญิงคนนี้ เขาพบว่าผู้หญิงคนนี้แอบเล่นหูเล่นตาให้เขาบ่อยๆ เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ซื่อกับเขา แต่ก็เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ช่วยกู้หน้าให้ เขาถึงเกลี้ยกล่อมสมาคมดอกกล้วยไม้สำเร็จได้อย่างราบรื่น

“ไม่น่าเกลียดหรอก เจ้าบ้านรองหน้าตางดงามดุจดอกไม้ จะไว้ผมยาวหรือไม่ไว้ผมยาวก็ดูดีทั้งนั้น อาจจะมีเสน่ห์ไปอีกแบบก็ได้”

เมื่อศีลแปดกล่าวมาแบบนี้ เจ้าบ้านใหญ่กับเจ้าบ้านสามก็พากันหัวเราะลั่น ส่วนหูลี่ฮวาก็กลอกตาใส่ศีลแปด

ศีลแปดบอกอีกว่า “แล้วอีกอย่าง เจ้าบ้านรองก็ไม่ต้องโกนผมหรอก สามารถบวชโดยไว้ผมได้ ก็สร้างสำนักชีสมาคมดอกกล้วยไม้สักแห่งที่หลังเขา ให้พักอยู่กับผู้หญิงคนอื่นๆ แล้วเจ้าบ้านรองก็เป็นเจ้าอาวาสที่สำนักชีก็ได้”

“แบบนี้ก็พอไหว” หูลี่ฮวาเหลือบมองอย่างหยาดเยิ้ม

เจ้าบ้านใหญ่หัวเราะลั่น แล้วบอกว่า “งั้นพวกเราก็ต้องตั้งฉายานามด้วยสิ พระอาจารย์ศีลแปดมีฉายานามว่าศีลแปด งั้นข้าก็ชื่อศีลหก เจ้าสามชื่อศีลเจ็ดก็แล้วกัน”

แม่งเอ๊ย! ศีลแปดกลอกตาใส่ ช่างแต่งชื่อไม่เป็นเอาเสียเลย บังอาจมาเอาเปรียบอาตมา อาตมาโดนเอาเปรียบได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?

ข้าไม่ได้ถือศีลกินเจสักหน่อย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เขาเป็นพระที่ไม่กินเจ จึงพูดกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าบ้านใหญ่ ไม่เหมาะสม ไม่เหมาะสม ภายนอกข้าต้องเป็นเจ้าอาวาส เจ้ากับเจ้าบ้านสามชื่อศีลหก ศีลเจ็ด เป็นฉายานามที่สูงกว่าเจ้าอาวาสอย่างข้าเสียอีก แบบนั้นคนนอกจะไม่สงสัยหรอกเหรอ? มิหนำซ้ำ เจ้าบ้านทั้งสามก็ยังมีอำนาจตัดสินใจที่วัดจิตสงบด้วย ทุกคนทำไปเพื่อความร่ำรวย ไม่จำเป็นต้องคิดหยุมหยิมกับชื่อเสียงอันจอมปลอมหรอก เจ้าบ้านใหญ่ชื่อศีลเก้า เจ้าบ้านรองชื่อศีลสิบ ดีไหม?”

เจ้าบ้านทั้งสามสบตากันแวบหนึ่ง ไม่เข้าใจสาเหตุที่อยู่ในนั้น คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเป็นชื่อเสียงอันจอมปลอมจริงๆ ไม่มีอะไรน่าคัดค้าน เจ้าบ้านใหญ่หลันเหย่พยักหน้าบอกว่า “ได้ เอาอย่างนี้ก็ได้ ศีลเก้าศีลสิบก็ศีลเก้าศีลสิบ ตกลงตามนี้แล้วกัน”

ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว สถานะ ‘ลูกศิษย์ผู้สืบทอด’ ของศีลแปดกลับตาลปัตรทันที ทำให้ทั้งสองคนกลายเป็น ‘ลูกศิษย์ผู้สืบทอด’ ไม่เสียเปรียบสักนิดเลยจริงๆ

“แล้วข้าล่ะ?” หูลี่ฮวามองทั้งสามคน แล้วถามว่า “แล้วข้ามีฉายานามว่าอะไรถึงจะเหมาะล่ะ?”

ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงคนตะโกนว่า “ใครกัน?”

สี่คนที่กำลังนั่งล้อมวงตกใจทันที เจ้าบ้านทั้งสามถลันตัวออกไปดูข้างนอกทันที

ศีลแปดอึ้งเล็กน้อย ออกจากงานเลี้ยงไปเงียบๆ ไปอยู่ที่วิหารด้านข้าง เดินย่องอย่างลับๆ ล่อๆ ไปที่ด้านหลังหน้าต่าง แล้วแอบมองไปด้านนอก

ยังไม่คุ้นเคยกับคนและสถานที่ เพิ่งจะมาอยู่ใหม่ เขายึดถือหลักการความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก ไม่ประมาทออกไปประสมโรง หลบดูสถานการณ์อยู่ข้างๆ ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เห็นเพียงบนพื้นนอกวิหารใหญ่ที่กำลังเก็บกวาดรอยเลือดและศพ คนคนหนึ่งที่ร่างกายด้วยผ้ามุ้งสีแดงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ผ้ามุ้งบางพลิ้วไหวอยู่ท่ามกลางสายลมอ่อน มองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ดูจากการแต่งตัวเหมือนจะเป็นผู้หญิง แต่ดูจากสภาพเสื้อผ้าที่หลวมโคร่ง เหมือนจะผอมโซสุดๆ

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน คือปีศาจโลหิตนั่นเอง ตอนที่เหาะผ่านเหนือฟ้าบริเวณนี้ นางถูกดึงดูดด้วยกลิ่นคาวเลือดจำนวนมากของที่นี่ เดิมทีนางก็เป็นคนที่ความรู้สึกไวต่อกลิ่นคาวเลือดอยู่แล้ว เดิมทีนางก็ไม่อยากไปมีเรื่องกับคนในวัดให้ตัวเองเกิดปัญหา แต่เห็นฆราวาสกลุ่มนี้สังหารพระสงฆ์ไปไม่น้อย ถึงได้ลงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

เจ้าบ้านใหญ่หลันเหย่ตะโกนอีกครั้ง “เจ้าเป็นใคร?”

ปีศาจโลหิตยืนเงียบอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน มีเพียงศีรษะที่คลุมด้วยผ้ามุ้งสีแดงที่ขยับช้าๆ กวาดมองสภาพเหตุการณ์โดยรอบ

เมื่อเห็นนางไม่ตอบ ทางนี้ก็ไม่รู้ชัดว่าอีกฝ่ายมีที่มาอย่างไร ไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม หลันเหย่พยักหน้าเบาๆ เพื่อบอกใบลูกน้องคนหนึ่ง

ลูกน้องคนนั้นจำต้องถืออาวุธและรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปใกล้ เจ้าตัวไม่กล้าลงมือบุ่มบ่ามเช่นกัน เพียงใช้ทวนยาวแหย่เลิกผ้ามุ้งของปีศาจโลหิตออก

โฉมหน้าที่แท้จริงของปีศาจโลหิตเปิดเผยต่อหน้าทุกคนทันที ใบหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวที่เต็มไปด้วยรอยย่นราวกับโครงกระดูก ทำให้ทุกคนตกใจทันที

945

เจ้าอาวาสวัดจิตสงบ

ศีลแปดที่หลบอยู่ด้านหลังหน้าต่างอ้าปากค้าง ถูกทำให้ตกใจเช่นเดียวกัน ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นคนตายมาก่อน ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นโครงกระดูกมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นหนังย่นหุ้มกระดูกแบบนี้เดินได้มาก่อน ศีรษะที่แห้งกรังกำลังขยับ ลูกตาในเบ้าตาที่กลวงลึกแบ่งแยกขาวดำชัดเจน แต่พอมารวมอยู่ด้วยกันแล้วก็บอกไม่ถูกว่าสยดสยองขนาดไหน

พอเปิดผ้าสีแดงแล้วเห็นอะไรแบบนี้  มองเห็นชัดเจนตอนกลางวันแสกๆ น่ากลัวมาก มีคนไม่น้อยสูดหายใจอย่างตกตะลึง คนเป็นๆ คนหนึ่งทำไมกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ เป็นตัวประหลาดอะไรกันแน่?

ปีศาจโลหิตเหมือนจะมองอะไรบางอย่างออกจากสายตาของทุกคน เงยหน้าช้าๆ มองดูสองมือของตัวเอง มันเหมือนตีนไก่ยิ่งกว่าอะไรเสียอีก แม้แต่ตัวเองยังรับไม่ค่อยได้ ปีศาจก็ดี มารก็ดี มนุษย์ที่ไหนก็รักสวยรักงามทั้งนั้น

นางเองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ แต่ไม่มีทางเลือก ถ้าไม่ทำแบบนี้นางก็มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ความเป็นความตายในแดนฝึกตนไม่มีความเมตตา แต่ละคนล้วนทำไปเพื่อให้ได้ยืนมองหมิ่นสรรพสิ่งอยู่บนจุดสูงสุด ชีวิตคือสิ่งที่ไร้ค่าที่สุด คนที่รอดมาได้มักปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างโหดร้ายอยู่เสมอ ตอนปฏิบัติต่อตัวเองก็ไม่ได้อ่อนโยนสักเท่าไร ถ้าไม่สู้สุดชีวิตก็อยู่ไม่รอด

ดวงตาในเบ้าตาฉายแววเย็นเยียบ กวาดสายตามองกลุ่มคน แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าหน้าตาน่าเกลียดมากใช่มั้ย?”

“นางอัปลักษณ์! เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่?” หูลี่ฮวาควงดาบตะคอกถาม

“นางอัปลักษณ์?” ปีศาจโลหิตหัวเราะแห้งๆ ในเสียงหัวเราะปนด้วยความโกรธอย่างที่ยากจะปิดบัง แล้วจู่ๆ มีเสียงดังพรึ่บ ผ้าไหมแดงเส้นหนึ่งยิงเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับหนวดปลาหมึก

ทุกคนตกใจมาก หูลี่ฮวาก็ยิ่งตื่นตระหนก อีกฝ่ายลงมือเร็วเกินไปจริงๆ เร็วจนนางหลบไม่ทัน นางยกดาบฟันมั่วๆ แต่พอโดนผ้าไหมแดงสะบัดใส่ ดาบก็ถูดปัดกระเด็นออกไปพร้อมเสียงดังปั้ง จากนั้นก็รู้สึกตึงแน่นร่างกาย ยังไม่ทันรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ก็โดนผ้าไหมแดงรัดแน่นและดึงเข้ามาแล้ว

ชั่วพริบตาเดียว หูลี่ฮวาก็เผชิญหน้าอยู่กับปีศาจโลหิตที่สยดสยองน่ากลัว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าวรยุทธ์ของทั้งสองต่างกันมาก หูลี่ฮวาที่ขยับตัวไม่ได้หวาดกลัวถึงขีดสุด กล่าวขอร้องว่า “โปรดไว้ชีวิต… ช่วยข้าด้วย!” ตะโกนประโยคสุดท้ายบอกคนของตัวเอง

ปีศาจโลหิตพลิกฝ่ามือถือน้ำเต้าโลหิตออกมา ค้างคาวโลหิตตัวหนึ่งยัดอยู่ตรงปากน้ำเต้า หน้าตาเหมือนน้ำเต้าโลหิตที่โดนเหมียวอี้ทำลายไปในปีนั้น

ค้างคาวไม่ใช่เครื่องประดับ แต่เป็นสัตว์มีชีวิต มันบิดหัวเผยฟันแหลมร้อง ‘จี๊ดๆ’ สองคำ แล้วจู่ๆ ก็พุ่งตัวออกมาราวกับสายฟ้า ฟันแหลมเต็มปากกัดที่คอของหูลี่ฮวาจนเป็นแผลเลือด ในขณะที่โดนผ้าไหมแดงรัดคออยู่ น้ำเลือดสายหนึ่งพุ่งออกมาจากคอของหูลี่ฮวา

เห็นได้ชัดว่าน้ำเต้าโลหิตมีแรงดึงดูดกลุ่มหนึ่ง น้ำเลือดไม่หยดลงพื้น เพราะมันดูเลือดที่พุ่งจากคอของหูลี่ฮวาเข้าไปจนหมด ที่คอของหูลี่ฮวามีเลือดพุ่งไม่หยุด น้ำเต้าโลหิตก็ดูดซับไม่หยุดเช่นกัน หูลี่ฮวาซูบซีดลงเร็วมากจนสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า ค้างคาวโลหิตบินวนไปวนมาอยู่บนท้องฟ้า

ทุกคนตกใจกลัวไม่หาย แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเหลือ ได้แต่มองหูลี่ฮวาสิ้นชีวิตไปโดยทำอะไรไม่ได้ เป็นเพราะปีศาจโลหิตเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดตรงหว่างคิ้ว คนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนั้นไม่มีใครวรยุทธ์บงกชทองสักคน เจ้าบ้านใหญ่หลันเหย่ที่วรยุทธ์สูงสุดก็มีแค่บงกชม่วงขั้นหกเท่านั้น

ศีลแปดที่หลบอยู่ข้างหลังหน้าต่างปิดปากเงียบกริบ เขาหันไปมองข้างหลัง อยากจะหนีแต่ก็ไม่กล้าหนี เมื่ออยู่ภายใต้คนที่วรยุทธ์ระดับนี้ เขาไม่มีความมั่นใจว่าจะหนีพ้นเลย

“หนี!” เจ้าบ้านใหญ่หลันเหย่พลันตะโกน ทุกคนหนีกระจัดกระจายเหมือนนกตื่นธนูทันที

พรึ่บๆ! ผ้าไหมแดงหลายสิบเส้นยิงออกจากตัวปีศาจโลหิต กระจายไปทั่วทุกทิศ ราวกับปลาหมึกที่มีหนวดสัมผัสงอกเต็มไปหมด มันลอยไปดึงคนที่กำลังหนีกลับมาได้อย่างง่ายดายเหมือนเอามือล้วงหยิบของในกระเป๋า ชั่วพริบตาเดียวก็ดึงกลับมาได้แล้ว ดึงเข้ามาใกล้โดยมีปีศาจโลหิตเป็นศูนย์กลาง!

“ท่านเซียนได้โปรดไว้ชีวิต…” กลุ่มคนร้องขอชีวิตอย่างตื่นตระหนก

แต่กลับเห็นค้างคาวโลหิตที่บินวนอยู่บนท้องฟ้าพุ่งตัวใส่กลุ่มคน บินเข้ามากัดเส้นเลือดตรงคอของพวกเขาจนขาด จมูกที่ลีบแบนของปีศาจโลหิตขยับเล็กน้อย ใช้ความสามารถในการดมกลิ่น แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวชายหญิงคู่หนึ่ง พรึ่บๆ ทั้งสองถูกดึงเข้ามาตรงหน้านางทันที

ปากเหี่ยวที่มีฟันขาวอยู่ข้างในอ้าออก บนคอของชายหญิงคู่นั้นมีเลือดพุ่งออกมาสองสาย และกรอกเข้าไปในปากนางโดยตรง ไหลลงท้องนางไปแล้ว

ชายหญิงคู่นั้นเหี่ยวลีบลงเร็วมาก แต่ปีศาจโลหิตกลับมีเนื้อมีหนังขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันเลือดจากคอคนอื่นก็พุ่งออกมา และโดนน้ำเต้าโลหิตดูดเก็บเข้าไปแล้ว

ผ่านไปไม่นาน ปีศาจโลหิตก็กลับมาสวยสดใสหยาดเยิ้มอีกครั้ง อาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ฟื้นตัวแล้ว กลายเป็นผู้หญิงสวยงดงดงามคนหนึ่ง สภาพน่าหวาดกลัวเมื่อครู่นี้ไม่มีทางเทียบติด เป็นภาพเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดมาก

ท่ามกลางสียงร้องโหยหวน ศีลแปดที่หลบอยู่ด้านหลังหน้าต่างจนใจจนตัวสั่นงันงก วางมือข้างหนึ่งกัดไว้ในปาก ไม่กล้ามองดูต่อแล้ว นั่งยองๆ ลงอย่างเนิบช้า

ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังแล้ว พบว่าคนของพิภพใหญ่โหดเกินไปจริงๆ ไม่น่าดื้อกับพี่ใหญ่แล้วเพ่นพ่านไปทั่วแบบนี้เลย ตอนนี้ต่อให้อยากหนีแต่ก็ไม่กล้านี้ ชัดเจนมากแล้ว  อาศัยวรยุทธ์ของเขาไม่มีทางหลบหนีผ่านหนังตาของอีกฝ่ายได้เลย

สายตาพลันไปหยุดอยู่บนศพหลายร่างของพระสงฆ์ กลอกตาล่อกแล่กไปมาแล้วกัดฟัน เหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ ฉวยโอกาสที่ข้างนอกกำลังมีเสียงกรีดร้องโหยหวน เจ้าบ้านี่รีบหยิบมีดสั้นออกมาด้ามหนึ่ง คิดจะแทงตัวเองสักสองที แต่ชูมีดขึ้นมาสองครั้งแล้วก็ยังทำไม่ลง ถ้าจะให้ใช้มีดตัดต้นขาตัวเองเหมือนพี่ใหญ่ที่หุบเขาเพลิงนภาในปีนั้น เขาก็ทำไม่ไหวจริงๆ เขาเป็นคนที่ค่อนข้างรักตัวกลัวตาย แต่ไหนแต่ไรก็ยึดถือหลักการ ‘ให้เพื่อนตายก่อน แต่อาตมาต้องไม่ตาย’ ทำเรื่องโหดร้ายกับตัวเองไม่ไหว

เขารีบเก็บมีดสั้น แล้วนำโซ่เส้นหนึ่งมามัดตัวเองเอาไว้ แล้วล้มตัวลงนอนเงียบๆ อยู่ในกองเลือดข้างศพพวกนั้น จากนั้นก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับวรยุทธ์ของตัวเอง ทำท่าเหมือนโดนจับมาทรมาน นอนรอการตัดสินของโชคชะตาอยู่อย่างนั้น ดูว่าจะอยู่รอดไปได้หรือเปล่า

ในที่สุดเสียงร้องโหยหวนในลานวัดก็เงียบลง ผ้าไหมแดงหดกลับมาจากทั่วสารทิศผืนแล้วผืนเล่า ศพหลายศพแห้งเหี่ยวล้มลงพื้นเหมือนกับสภาพของปีศาจโลหิตก่อนหน้านี้ น้ำเต้าโลหิตที่อยู่ในมือนางหมุนวนกวาดพื้น กวาดเก็บศพทุกร่างเข้าไปในน้ำเต้าโลหิต แม้แต่ศพของพระสงฆ์พวกนั้นก็ไม่ปล่อยให้เสียของเหมือนกัน

การหลอมสร้างค่ายกลมารโลหิตขึ้นมาใหม่ ไม่รู้ว่าต้องใช้กี่ชีวิตมาเสริมชดเชย ศพพวกนี้สามารถใช้ประโยชน์ได้

ปีศาจโลหิตที่กลับสู่สภาพเดิมแล้วกวาดดวงตางามมองไปรอบๆ นางได้กลิ่นคาวเลือดโชยมาจากในวิหารใหญ่ จึงถลันตัวเข้าไปในนั้น ค้างคาวโลหิตก็บินตามไปเช่นกัน เมื่อเห็นศพหลายร่างในวิหารใหญ่ นางก็หยิบน้ำเต้าโลหิตออกมาเก็บทันที

นางถือน้ำเต้าโลหิตเดินตามกลิ่นคาวเลือดเข้าไปในวิหารด้านข้าง พอกวาดตามองแวบหนึ่งก็อึ้งทันที เห็นเพียงพระรูปหนึ่งโดนมัดอยู่ท่ามกลางศพพระรูปอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สวมจีวรสีเทาเหมือนพระสงฆ์ที่เหลือ แต่เป็นสีขาวนวล ทั้งยังมีชีวิตอยู่ด้วย

ศีลแปดเงยหน้ามองนาง ถอนหายใจแล้วบอกว่า “อามิตาพุทธ วัดจิตสงบไม่แย่งชิงเรื่องทางโลก สมาคมดอกกล้วยไม้ของพวกเจ้ายกดาบสังหาร ไม่กลัวตกนรกอเวจีเชียวหรือ?”

ที่จริงในใจเขายังหวาดกลัวไม่หาย แต่ฝีมือการวางมาดสง่าภูมิฐานนั้นฝึกมาจนยอดเยี่ยมไร้เทียมทานแล้ว พรสวรรค์นี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบติด ดังนั้นภายนอกจึงสงบใจเย็นมาก

ปีศาจโลหิตไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร แต่มองออกแล้วว่าพระรูปนี้คือพระของวัดนี้ อย่างน้อยศีรษะโล้นนั่นก็ไม่ได้ดูเหมือนเพิ่งโกน นางไม่ได้พูดอะไรอีก ถือน้ำเต้าโลหิตดูดก็บศพที่อยู่ข้างซ้ายและขวาของศีลแปด พอยกมือขึ้น ค้างคาวโลหิตก็บินกลับมาเป็นจุกปิดปากน้ำเต้า แล้วพลิกมือเก็บน้ำเต้าโลหิตเอาไว้

จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ร่ายอิทธิฤทธิ์ดึงศีลแปดขึ้นมา หลังจากมองดูใบหน้าของศีลแปดตรงๆ ปีศาจโลหิตก็ชะงักงัน ในดวงตาฉายแววตกตะลึง ช่างเป็นพระสงฆ์ที่สง่างาม โดยเฉพาะลักษณะท่าทางที่ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องเหนือคนธรรมดา ยิ่งมองยิ่งสบายใจ การปล่อยให้เลือดเปื้อนจีวรของเขาช่างเป็นการดูหมิ่นจริงๆ…

“โยม อยากสังหารก็สังหารเถิด อย่าคิดว่าอาตมาจะก่อเวรก่อกรรมเพื่อสมาคมดอกกล้วยไม้ของพวกเจ้า” ศีลแปดกล่าวแล้วถอนหายใจเบาๆ

ปีศาจโลหิตที่จ้องไม่ละสายตาได้สติกลับมา แล้วเดินเขาไปวางมือบนบ่าของเขา พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบ ก็พบว่าโดนคนระงับวรยุทธ์ จึงใช้ฝ่ามือตบหน้าอกของศีลแปดหนึ่งที ปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์อันแข็งแกร่งพุ่งชน แล้วดึงโซ่ที่มัดศีลแปดโยนลงพื้น จ้องศีลแปดพร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าไม่ใช่คนของสมาคมดอกกล้วยไม้ เพียงผ่านมาที่นี่ เห็นมีคนมาทำชั่วหยามหมิ่นในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธ จึงลงมือกวาดล้าง”

ลงมือกวาดล้างคือคำโกหก แต่นางไม่สู้กับคนของตำหนักสวรรค์และคนของศาสนาพุทธคือเรื่องจริง นอกเสียจากจะจำเป็นและไม่มีทางเลือก ไม่อย่างนั้นถ้าไปแตะต้องคนของสองแดนนี้ ก็จะไปเตะโดนเหล็กแข็งเอาได้ง่ายๆ ถ้าก่อปัญหาใหญ่ขึ้นมาจะเอาตัวไม่รอด

“อามิตาพุทธ ที่แท้ก็ได้พบพระโพธิสัตว์หญิงแล้ว” ศีลแปดประนมมือขอบคุณ “ประเสริฐแท้! ประเสริฐแท้!”

คำชมนี้ทำให้ปีศาจโลหิตรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย มือตัวเองเปื้อนเลือดมาไม่รู้ตั้งเท่าไร เป็นครั้งแรกที่ถูกคนมองว่าเป็นพระโพธิสัตว์ จึงถามว่า “ไต้ซือเป็นใครกัน?”

“อาตมาคือศีลแปด เป็นเจ้าอาวาสของวัดจิตสงบแห่งนี้” ศีลแปดตอบ

“ที่แท้ก็เป็นเจ้าอาวาส…” ปีศาจโลหิตพยักหน้า มิน่าล่ะการแต่งตัวจึงดูพิเศษกว่าพระทั่วไปของวัดนี้ แต่ก็ยังถามด้วยสีหน้าสงสัยว่า “ทำไมบนตัวไต้ซือมีกลิ่นสุราล่ะ?”

ศีลแปดหัวใจกระตุกวูบ ร้องในใจว่าซวยแล้ว ทำไมลืมไปได้ว่าตัวเองดื่มสุรามา?

แต่เขาก็ยังทำสีหน้าเหมือนเดิม ตอบอย่างจนใจว่า “พวกสมาคมดอกกล้วยไม้บังคับให้อาตมาทำเรื่องชั่วกับพวกเขา อาตมาไม่ยอม พวกเขาก็เลยกรอกสุรายัดเนื้อเข้าปากอาตมา อาตมาจะได้ผิดศีลทำชั่วกับพวกเขา หารู้ไม่ว่าสำหรับอาตมาแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสุราและเนื้อที่ผ่านลำไส้เท่านั้น แต่พระพุทธเจ้ากลับประทับอยู่ในใจ!”

“ไต้ซือช่างมีความคิดที่เหนือชั้น!” ปีศาจโลหิตพยักหน้ายิ้ม พูดจบก็รู้สึกแปลกนิดหน่อย ทำไมตัวเองถึงมาพูดสรรเสริญเยินยอพระสงฆ์รูปนี้ได้?

ศีลแปดเดินเฉียดผ่านนางไปด้วยสีหน้าสงบใจเย็น เดินมาถึงวิหารใหญ่ด้านนอก พอสายตาเหลือบไปเห็นถ้วยและตะเกียบสี่ชุดบนโต๊ะสุรา เขาก็เลิกคิ้วทันที รีบเดินไปบดบังเอาไว้ข้างหลังตัวเอง ประนมมือขอภัย แล้วโบกมือหวาดทำลายของบนโต๊ะทั้งหมดทิ้งไป

พอหันไปมองพระพุทธรูปที่ชำรุดอยู่เบื้องบน เขาก็ประนมมือสวดมนต์อยู่พักหนึ่ง สงบใจสวดด้วยท่าทางจริงจัง

ปีศาจโลหิตเดินตามอยู่ข้างหลัง ความระมัดระวังตัวในใจหายไปแล้วเช่นกัน มั่นใจว่าท่านนี้คือพระจริงๆ อย่างน้อยถ้าไม่เคยอ่านคัมภีร์มาก่อน ก็คงไม่มีทางสวดมนต์ได้คล่องขนาดนี้หรอก ไม่ได้แกล้งทำชั่วคราวแน่นอน

จากนั้นศีลแปดก็เดินออกจากวิหารใหญ่ เดินวนตรวจดูทั่ววัดอย่างชำนาญตลอดทาง เห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยกับวัดมาก ปีศาจโลหิตที่เดินตามอยู่ข้างหลังก็ยิ่งมั่นใจว่าศีลแปดคือพระของวัดนี้จริงๆ

เมื่อเดินดูตามที่ต่างๆ แล้วไม่เจอใครสักคน ศีลแปดก็เดินออกจากประตูใหญ่ของวัด เงยหน้ามองป้าย ‘วัดจิตสงบ’  ถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ไม่มีใครรอดชีวิตสักคนเลยหรือ?”

ปีศาจโลหิตยืนมองเขาเงียบๆ อยู่ไม่ไกล ในใจรู้สึกสงบ ลืมเรื่องบุญคุณความแค้นไปแล้ว…

946

ปฏิบัติการลับ

ณ ร้านค้าสมาคมวีรชน ปีศาจโลหิตกลับมา หวงฝู่จวินโหรวที่รออยู่ในศาลากลางน้ำเห็นแล้วถามว่า “ทำสำเร็จแล้วรึยัง?”

ปีศาจโลหิตส่ายหน้า “พลาดค่ะ”

“โดนคนของปราสาทดำเนินนภาขัดขวางเหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวถาม

คนที่นางเรียกให้ไปช่วยปีศาจโลหิตกลับมาแล้ว รู้ว่ามีคนของปราสาทดำเนินนภาอยู่ข้างกายเหมียวอี้

ปีศาจโลหิตขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตอบว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับปราสาทดำเนินนภา เป็นเพราะข้าประเมินไอ้จัญไรนั่นต่ำไป วิชาทวนยอดเยี่ยมมาก ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะโดนเขาทำร้ายจนบาดเจ็บ เกือบต้องไปตายด้วยน้ำมือเขา”

“จะเป็นไปได้ยังไง? วรยุทธ์ของเจ้าสูงกว่าเขาไม่ใช่น้อยๆ!” หวงฝู่จวินโหรวตกใจ

จนกระทั่งปีศาจโลหิตเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้ฟัง หวงฝู่จวินโหรวก็เงียบไปครู่หนึ่ง พบว่าตัวเองประเมินเหมียวอี้ต่ำไปเหมือนกัน พบว่าเจ้าบ้านี่ไม่ใช่แค่เจ้าเล่ห์ แต่มีความสามารถจริงๆ ไม่ได้อาศัยของวิเศษอะไรช่วย เมื่อเอาจริงขึ้นมา ก็อาศัยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งทำร้ายปีศาจโลหิตที่วรยุทธ์ระดับบงกชทองขั้นเจ็ดจนบาดเจ็บได้ มิน่าล่ะถึงหยิ่งไม่ยอมแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่ พอนึกถึงเรื่องนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เขาบอกว่าถ้าไปแล้วจะไม่กลับมาอีก เขาไปครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะหาเขาพบ” ในน้ำเสียงเจือด้วยความกลัดกลุ้มเล็กน้อย

ปีศาจโลหิตนึกว่านางเสียดายที่ฆ่าเหมียวอี้ไม่สำเร็จ ตัวเองก็รู้สึกเสียดายมากเช่นกัน เป็นความผิดพลาดของตนโดยแท้ ไม่อย่างนั้นต่อให้จับตัวเป็นๆ ไม่ได้ ต่อให้ตายก็ต้องจับให้สำเร็จ “นอกเสียจากจะหลบไม่ยอมออกมา ไม่อย่างนั้นในใต้หล้าก็มีคนของสมาคมวีรชนของพวกเราอยู่ทั่ว ต้องหาเขาพบอยู่แล้ว ถ้าได้ข่าวของเขา รบกวนเถ้าแก่น้อยส่งข่าวให้รู้สักหน่อย”

“ส่งข่าวเหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวงุนงง “เจ้าจะไปแล้วเหรอ?”

ปีศาจโลหิตจะไปแล้วจริงๆ ทั้งยังรีบร้อนมากด้วย หลังจากอธิบายเรื่องบางอย่างให้ชัดเจนแบบต่อหน้าไปแล้ว ก็ไม่ได้อยู่ต่อเลย กล่าวอำลาทันที ถึงขั้นไม่อยากคุยเรื่องเหมียวอี้เยอะด้วย เหมือนมีเรื่องอะไรที่เร่งด่วนกว่านั้น สิ่งนี้ทำให้หวงฝู่จวินโหรวแปลกใจอยู่บ้าง เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ปีศาจโลหิตก็เอาแต่คิดเรื่องที่ตัวเองเสียยาเม็ดโลหิต…

ณ สถานที่ไร้ระเบียบ ปราสาทดำเนินนภา ภูเขาเซียนเลื่อนลอย ยอดเขาสูงเทียมเมฆปรากฏให้เห็นรางๆ ตอนพระอาทิตย์ขึ้นแสงสีทองหมื่นจั้งปูคลุมทะเลเมฆ

เมื่อเข้ามาในภูเขาเซียน ศาลาแต่ละแห่งที่อยู่ระหว่างภูเขาก็โดดเด่นสะดุดตา สงบเงียบน่าอยู่ ระหว่างทางเดินของดินแดนที่คล้ายกับสรวงสวรรค์ เห็นผู้ชายและผู้หญิงไม่น้อยคำนับจงหลีค่วย เรียกเขาว่าอาจารย์อาบ้าง อาจารย์ลุงบ้าง ลูกศิษย์ในภูเขาที่เห็นคนแปลกหน้าอย่างเหมียวอี้พากันประหลาดใจ

จงหลีค่วยพาเหมียวอี้มาที่ใต้หน้าผาแห่งหนึ่ง น้ำตกไหลตกกระทบกันหลายชั้น มันไหลยาวเหยียดคดเคี้ยวลงจากยอดเขาสูงหลายสิบจั้งราวกับมังกรหยก น่าตื่นตาตื่นใจมาก และบนน้ำตกนั้น มีสะพานโค้งวางพาดในแนวขวาง ประณีตยิ่งกว่าเนรมิต

ภายใต้การแนะนำของจงหลีค่วย ทั้งสองเหาะขึ้นไปบนนั้นด้วยกัน ไปเหยียบลงบนสะพานโค้งเหนือน้ำตก เมื่อมาถึงตรงนี้ถึงได้พบว่าเห็นอะไรได้เยอะกว่าตอนอยู่ข้างล่าง ด้านบนมีตำหนักอยู่หลังหนึ่ง

บนรั้วของสะพานมีรูปสลักของสัตว์ประหลาดหลายตัวตั้งอยู่ รูปร่างแปลกประหลาด สมจริงราวกับมีชีวิต ส่วนตำหนักที่อยู่ตรงหน้าก็ดูโบราณเรียบง่าย ที่นี่คือตำหนักคุมงาน ไม่ใช่สถานที่ที่ประมุขปราสาทรักษาการณ์

เหมียวอี้เหลียวซ้ายแลขวา ส่วนจงหลีค่วยก็โบกมือบอกว่า “ไปเยี่ยมคารวะรองเจ้าสำนักก่อน เดี๋ยวค่อยมาเดินชมก็ยังไม่สาย”

เหมียวอี้พยักหน้าแล้วเดินตามไป ก่อนหน้านี้จงหลีค่วยบอกเอาไว้แล้ว เหวินหวนเจินประมุขปราสาทดำเนินนภากับผู้อาวุโสอีกหลายท่านที่มีพลังอิทธิฤทธิ์ระดับอนันตภาพไม่สนใจโลกภายนอกมาตั้งนานแล้ว เก็บตัวฝึกตนมาโดยตลอด ถ้าไม่มีธุระสำคัญก็จะไม่ออกจากการเก็บตัวฝึกตน ธุระต่างๆ ในปราสาทล้วนส่งต่อให้หัวหน้าศิษย์ฝูเสี่ยนจัดการ เขาคือรองเจ้าสำนักที่จงหลีค่วยเรียก และเป็นอาจารย์ของจงหลีค่วยเช่นกัน

เดิมทีเหมียวอี้ไม่มีสิทธิ์เข้าพบศิษย์รองเจ้าสำนักของปราสาทดำเนินนภาเลย เป็นเพราะตอนนี้ปราสาทดำเนินนภากับร้านขายของชำซื่อตรงทำงานร่วมกัน และเหมียวอี้ก็เป็นหนึ่งในหุ้นส่วน เขาถึงได้มาพบกับเหมียวอี้เป็นกรณีพิเศษ

ด้านนอกตำหนักไม่มีคนเฝ้า หลังจากได้รับรายงานแล้ว ชายวัยกลางคนที่สีหน้าอ่อนโยนคนหนึ่งก็เดินออกมา ไม่ได้ดูน่าเกรงขามอะไร หน้าตาธรรมดาสามัญ เป็นประเภทที่ถ้ารวมกลุ่มอยู่กับคนอื่นจะไม่โดดเด่นสะดุดตา ดูอายุน้อยกว่าจงหลีค่วย แต่จงหลีค่วยเห็นเขาแล้วก็กุมหมัดคารวะทันที “ท่านอาจารย์!”

เมื่อได้ยินคำเรียกนี้ ก็ไม่ต้องอธิบายถึงฐานะของผู้ที่มาแล้ว เหมียวอี้กุมหมัดคารวะทันที “ผู้น้อยหนิวโหย่วเต๋อคารวะรองเจ้าสำนัก”

“แขกคนสำคัญมาเยือน ข้าเสียมารยาทที่ไม่ได้เข้าไปต้อนรับใกล้ๆ ไม่ต้องมากพิธีหรอก เชิญข้างใน!” ฝูเสี่ยนยิ้มพร้อมยื่นมือเชิญ เหมียวอี้เองก็ไม่ได้มีหน้ามีตาใหญ่โตอะไร อีกฝ่ายเห็นแก่หน้าร้านขายของชำซื่อตรง

หลังจากกล่าวทักทายกันตามมารยาท ทั้งสองก็ไม่ค่อยมีอะไรให้คุยกันเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธ์หรือระดับ ถึงอย่างไรทั้งสองก็ต่างกันมาก เหมียวอี้เองก็ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายเสียเวลา จึงนำแผ่นหยกแผ่นหนึ่งยื่นให้ฝูเสี่ยน นี่คือป้ายคำสั่งของอวี้ซวีเจินเหริน ผู้ซึ่งรักษาการณ์ร้านขายของชำซื่อตรง เหมียวอี้บอกเขาว่า ปราสาทดำเนินนภาสามารถส่งคนไปลงนามสัญญาการซื้อขายที่ร้านขายของชำซื่อตรงได้ทุกเมื่อ ถ้าถือป้ายคำสั่งนี้ไป ไม่ว่าจะเข้าไปทำการค้าที่สาขาใดของร้านขายของชำซื่อตรง ก็ล้วนได้รับการอำนวยความสะดวกและสิทธิพิเศษ

ป้ายคำสั่งนี้ เหมียวอี้เป็นคนขอมาจากอวี้ซวีเจินเหริน ในเมื่อสำนักลมปราณคบค้ากับปราสาทดำเนินนภาแล้ว จะไม่แสดงน้ำใจสักหน่อยได้อย่างไร ต้องได้รับน้ำใจก่อน ถึงจะเกิดความสนิมสนมกัน

การกระทำที่ไว้หน้ากัน ไม่ว่าใครก็ชอบใจทั้งนั้น มิหนำซ้ำ ของเบ็ดเตล็ดที่ลูกศิษย์ปราสาทดำเนินนภาหามาได้ในแต่ละปี ถ้าจะจัดการแบ่งประเภทขึ้นมาก็ยุ่งยากจริงๆ เมื่อมีร้านขายของชำซื่อตรงคอยช่วย ต่อไปนี้ก็เว้นช่วงไว้จัดการรวมกันครั้งเดียวก็พอแล้ว แบบนี้ช่วยให้ลูกศิษย์ในสำนักลดภาระยุ่งยากไปไม่น้อย รองเจ้าสำนักอย่างเขานับว่าได้ทำเรื่องดีๆ แล้ว

ดังนั้นฝูเสี่ยนจึงดีใจมาก มองไปที่จงหลีค่วยพลางพยักหน้าเบาๆ รู้สึกว่าครั้งนี้ลูกศิษย์ของตัวเองออกไปปฏิบัติงานนอกสถานที่ได้ดี เรื่องนี้ทำเอาจงหลีค่วยละอายใจ เพราะที่จริงเขาไม่ได้ไปทำอะไรที่ที่ร้านขายของชำซื่อตรงเลย

ที่จริงฝูเสี่ยนยังไม่ค่อยเข้าใจร้านขายของชำซื่อตรงเท่าไร มีช่องทางจัดหาสินค้าที่มั่นคงเพิ่มขึ้นมา นับเป็นเรื่องดีสำหรับร้านขายของชำ นี่คือเรื่องที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ตอนหลังก็ย่อมรู้เอง แต่การได้ป้ายคำสั่งของอวี้ซวีมา ก็นับว่าเป็นการไว้หน้าปราสาทดำเนินนภาจริงๆ

นอกจากพูดจาตามมารยาทกับเหมียวอี้นิดหน่อย อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรให้คุยกันแล้ว จากนั้นก็ให้คนพาเหมียวอี้ไปพักผ่อน เหลือแค่จงหลีค่วยที่อยู่คุยกับเขา

เรือนพักรับรองแขกสวยและเงียบสงบ สภาพแวดล้อมก็ไม่เลว หลังจากเหมียวอี้ได้อยู่เงียบๆ คนเดียว ก็ไม่มีอารมณ์จะเดินดูรอบๆ แล้ว เขานั่งอยู่คนเดียวในศาลา นึกย้อนไปถึงภาพตอนที่ตัวเองต่อสู้กับปีศาจโลหิต

ก่อนหน้านี้จิงชี่เสินยังไม่ฟื้นตัวกลับมา แต่ตอนนี้มีสมาธิครุ่นคิดให้ละเอียดแล้ว กำลังคิดวนไปวนมาว่าจุดสีดำที่เกิดตอนใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารคืออะไร จากที่จงหลีค่วยบอก จุดสีดำนั่นมีอานุภาพเยอะมาก ขนาดวรยุทธ์อย่างจงหลีค่วย กว่าจะต้านทานได้ยังเปลืองพลังไปเยอะมาก

เขาอยากจะลองใช้ดูอีกสักครั้ง แต่ถ้าใช้กระบวนท่าหนึ่งทวนสิบสังหารอีก เขาก็คงจะไร้เรี่ยวแรงและทำอะไรไม่ได้ไปสักระยะหนึ่ง ไม่เป็นผลดีกับการตามหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานในครั้งนี้

ในมือเขามียาเม็ดโลหิตที่ใช่ฝึกตนได้ เดิมทีคิดไว้ว่าหลังจากส่งเยารั่วเซียนมาที่พิภพใหญ่แล้ว เขาก็จะสงบจิตสงบใจฝึกฝน ทุ่มเทกำลังและจิตใจไปกับการเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงขึ้น เป็นเพราะเรื่องเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนแผน

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ จงหลีค่วยก็ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่ตอนไหน ถามว่า “กำลังคิดอะไรอยู่?”

เหมียวอี้หันไปมองแวบหนึ่ง แล้วยืนขึ้นถามด้วยรอยยิ้มม “ไม่มีอะไร! พวกเราจะออกเดินทางกันเมื่อไรล่ะ?”

จงหลีค่วยรู้ว่าเขากำลังถามอะไร ตอบอย่างลังเลว่า “เกรงว่าต้องรออีกประมาณครึ่งเดือน”

“รอเหรอ?” เหมียวอี้แปลกใจ “รออะไร?”

จงหลีค่วยถามกลับว่า “ยังจำพวกมารปีศาจที่หนีรอดไปตอนที่ข้าแย่งแผนที่มาได้มั้ย?”

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ แล้วพยักหน้าช้าๆ “จำได้ อย่าบอกนะว่ามีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น?”

จงหลีค่วยนั่งลง “รองเจ้าสำนักสงสัยว่ามีข่าวเรื่องนี้หลุดออกไป ก่อนหน้านี้มีบุคคลนิรนามมาปรากฏตัวแถวๆ ปราสาทดำเนินนภา ทำให้รองเจ้าสำนักตื่นตัวขึ้นมา รองเจ้าสำนักก็เลยเตรียมจะส่งคนกลุ่มหนึ่งให้ออกไปหลอกล่อดึงดูดความสนใจ จากนั้นพวกเราค่อยออกเดินทางเงียบๆ”

เมื่อพูดแบบนี้แล้ว เหมียวอี้ย่อมไม่มีความเห็นแย้งอะไร ทำได้เพียงรอต่อไป แต่กลับพบว่าตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป จงหลีค่วยก็คอยจับตาดูเขาโดยไม่ออกห่างไปไหน ทำเอาเขาฝึกตนไม่สะดวก เพราะเขาต้องใช้ยาเม็ดโลหิต

ตั้งใจออกมาเดินวนหยั่งเชิงที่เรือนพักรับรองแขก จงหลีค่วยยังคงไม่ออกห่างไปไหน เหมียวอี้พลันหันตัวไปถาม “ลุงหนวด ท่านหมายความว่าอย่างไร? ท่านอย่าบอกเชียวนะว่าไม่ได้กำลังจับตาดูข้าอยู่!”

ตอนนี้จงหลีค่วยถึงได้กอดอก แล้วกล่าวอย่างอ้อมค้อมว่า “พวกมารปีศาจที่หลบหนีไป ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะปล่อยข่าว แต่เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รู้เรื่อง แน่นอน ข้าไม่ได้ว่าเจ้าเป็นคนปล่อยข่าว แต่ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อป้องกันเอาไว้ ทุกคนจะได้ไม่สงสัย!”

เหมียวอี้พูดไม่ออก แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไรเช่นกัน ทุกคนระวังตัวแบบนี้ก็ไม่ผิด ถึงอย่างไรเขาก็คือคนนอก เพียงสบถไปว่า “แม่งเอ๊ย ถ้าบอกตั้งแต่แรกจะตายรึไง?”

ในค่ำคืนหนึ่งหลังจากครึ่งเดือนผ่านไป เหมียวอี้ที่กำลังฝึกตนถูกจงหลีค่วยพาออกไปยังหุบเขาที่ลับตาคนแห่งหนึ่งเงียบๆ พบว่าหมิงจ้าวที่มีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งก็อยู่ด้วย ไฉจวิ้นและพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องก็อยู่ด้วยเช่นกัน เป็นกลุ่มคนที่เข้ามาช่วยตอนที่เจอปีศาจโลหิตครั้งก่อน ถ้านับรวมเหมียวอี้  กลุ่มนี้ก็มีคนทั้งหมดสิบสามคน มีหมิงจ้าวเป็นผู้นำกลุ่ม

ภายใต้การบัญชาการของหมิงจ้าว ทุกคนเปลี่ยนเสื้อและปลอมตัว

หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้ว พวกเขาก็กระโดดลงไปที่แม่น้ำในหุบเขา ไม่ได้ออกเดินทางอย่างโจ่งแจ้ง แต่แอบดำน้ำออกจากปราสาทดำเนินนภาผ่านทางแม่น้ำ

ตามแม่น้ำที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ ความเร็วของกระแสน้ำก็ยิ่งลดลง พวกเขาดำน้ำมาถึงกลางแม่น้ำใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ถึงได้โผล่ขึ้นมาที่ผิวน้ำ แล้วทะลุออกจากชั้นบรรยากาศจากจุดที่มืดและลับตาคนของดาวดำเนินนภา ปฏิบัติภารกิจลับอย่างระมัดระวังสุดๆ

เมื่อเดินทางลึกข้าไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล พวกเขาก็เฝ้าระวังรอบข้างตลอดทาง ป้องกันไม่ให้มีคนสะกดรอยตาม แต่กลับไม่รู้ว่าบนดาวเคราะห์อันเงียบสงัดดวงหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล มีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องพวกเขาอยู่ หลังจากได้เห็นทิศทางที่พวกเขามุ่งไปแล้ว คนชุดดำที่ซ่อนตัวอยู่ในก้อนหินที่ลอยอยู่ในอวกาศก็นำระฆังดาราออกมาส่งข่าว บอกทิศทางที่พวกเขามุ่งไป

แต่หมิงจ้าวที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ระหว่างทางเปลี่ยนเส้นทางติดต่อกันหลายครั้ง เลี้ยวจนเหมียวอี้ไม่รู้แล้วว่ากำลังจะไปทางไหน แต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเหมียวอี้ จะได้หลบหลีกความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น

หลังจากนั้นหลายวัน ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีสีสันแพรวพราวก็ปรากฏสู่สายตาของทุกคน ขณะกำลังจะเข้าใกล้ หมิงจ้าวก็ยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดก่อน เขานำม้วนหนังออกมาแผ่ดู พลางเปรียบเทียบดาวเคราะห์ที่หมุนวนอยู่ตรงหน้า เหมือนกำลังตามหาจุดลงที่แม่นยำ

เหมียวอี้ฉวยโอกาสแอบมองแวบหนึ่ง พบว่าเป็นแผนที่ฉบับสำเนา ภาพผู้หญิงทะยานฟ้าบนนั้นสะดุดตามาก เขามองปราดเดียวก็จำได้แล้ว แล้วมองดูดาวเคราะห์สีครามเข้มที่อยู่ตรงหน้า พลางครุ่นคิดในใจว่า หรือว่าดาวเคราะห์ดวงนี้จะเป็นสถานที่ซ่อนภาคดินของเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน?

เขาเองก็ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน จึงหยิบ ‘แผนที่ดาว’ ออกมาตรวจดู แต่ใครจะคิดว่าจงหลีค่วยที่จ้องอยู่ข้างๆ จะยื่นมือมาตบบ่าเขา บอกใบ้ให้เขาเก็บแผนที่ดาวเดี๋ยวนี้

947

ปราสาทแมกไม้

เจ้าบ้านี่ทำเหมือนป้องกันโจร เหมียวอี้ถลึงตาจ้องจงหลีค่วยอย่างหงุดหงิด และทำได้เพียงเก็บแผนที่ดาวเอาไว้

กลับเป็นหมิงจ้าวที่หันมาองแวบหนึ่ง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ดูแผนที่ดาวนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรก็มาถึงที่นี่แล้ว สุดท้ายก็รู้อยู่ดี ขอแค่ไม่ปล่อยข่าวให้คนนอกรู้ก็พอ”

เมื่อได้ยินดังนั้น เหมียวอี้กับจงหลีค่วยก็สบตากันแวบหนึ่ง

ส่วนหมิงจ้าวก็โบกมือ นำทุกคนเหาะอ้อมดาวเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้าไป จนกระทั่งปรากฏป่าทึบเขียวขจีอีกด้านหนึ่ง ถึงได้นำทุกคนเลี้ยวฝ่าท้องฟ้าเข้าไป

เบื้องล่างเป็นป่าไม้โบราณที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ตัวอยู่บนฟ้ามองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ทำให้คนรู้สึกตกตะลึง แม่น้ำหลายสายตัดสลับกันราวกับสายผ้า

พวกเขาเหาะลงจากฟ้า ลอยมาเหยียบลงบนยอดพุ่มของต้นไม้โบราณสูงระฟ้าบนยอดเขา บนพุ่มไม้ที่กว้างใหญ่ คนสิบกว่าคนที่เหยียบลงบนนั้นดูเล็กลงราวกับหมากล้อมที่ตกลงบนกระดาน ราวกับนกกระยางขาวหลายตัวที่บินมาเกาะกิ่งไม้ จะเห็นได้ว่าต้นไม้ต้นนี้ใหญ่ขนาดไหน

เหมียวอี้เดาะลิ้นขณะมองไปรอบๆ ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนได้มาที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้โบราณบนเกาะศักดิ์สิทธิ์ก็ใหญ่แบบนี้ และป่าไม้โบราณของที่นี่ก็ไม่ได้มีขอบเขตกว้างใหญ่เท่าเกาะศักดิ์สิทธิ์แห่งเดียว แต่มีพื้นที่เท่าเกาะศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทำให้คนตกตะลึงขนาดไหน ต่อให้เป็นนักพรตที่มีพลังอิทธิฤทธิ์สูงส่ง เมื่อมาเจอกับกลิ่นอายของป่าไม้ที่กว้างใหญ่ไพศาล ก็ยังรู้สึกได้ว่ายามเผชิญหน้ากับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ตัวเองนั้นเล็กจ้อยราวกับมดตัวหนึ่ง

ทุกคนหันมองดูโดยรอบ พบว่าภูเขาสูงที่อยู่ใต้เท้าและภูเขาสูงอีกสองลูกที่อยู่ทางซ้ายและขวาไกลๆ เหมือนจะตั้งอยู่รวมกันเป็นรูปสามเหลี่ยม หมิงจ้าวหยิบม้วนหนังแผนที่ออกมาเทียบดูอีกครั้ง แล้วพยักหน้าบอกว่า “ศิษย์พี่รองเจ้าสำนักนำพวกเราร่วมศึกษาค้นคว้ามานานแล้ว สุดท้ายก็แน่ใจว่าสถานที่ที่ระบุไว้บนแผนที่อยู่ที่ดาวแมกไม้แห่งนี้ และสามจุดสุดท้ายที่ระบุไว้บนแผนที่ก็คือภูเขาสามลูกนี้ พอมาถึงที่นี่ก็ไม่มีคำบรรยายแล้ว คาดว่าที่ซ่อนสมบัติน่าจะอยู่ระหว่างภูเขาสามลูกนี้ จะว่าไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนข้าก็เคยมาที่นี่นะ นึกไม่ถึงว่าที่ซ่อนสมบัติจะเกี่ยวข้องกับที่นี่ น่าขำที่ในปีนั้นข้าไม่พบความแปลกประหลาดอะไร ตอนนี้กับต้องดูให้ละเอียดสักหน่อย”

“ดาวแมกไม้?” เหมียวอี้ถามอย่างงุนงง “หรือว่าที่นี่คือที่อยู่ของปราสาทแมกไม้?”

ทุกคนหันมามองเขา แล้วพากันยิ้มบางๆ จงหลีค่วยพูดดูถูกว่า “เหลวไหล!”

หมิงจ้าวตอบพร้อมรอยยิ้ม “ฆราวาสหนิว ระหว่างทางที่อ้อมไปอ้อมมาและปิดบังมากมายก็เพราะไม่มีทางเลือก หวังว่าจะเข้าใจกันหน่อยนะ เพราะเรื่องนี้ร้ายแรงมาก ถ้าเคล็ดวิชานั้นเล็ดรอดออกไป ก็จะทำให้พวกลัทธิมารกำเริบเสิบสาน” จากนั้นก็หันไปเตือนคนอื่นๆ “ทุกคนปฏิบัติการที่นี่อย่างระมัดระวังหน่อย จะได้ไม่เกิดการปะทะกับปราสาทแมกไม้โดยไม่จำเป็น ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของปราสาทแมกไม้ พวกเราต้องปฏิบัติตามกฎของพวกเขา อย่าบุ่มบ่ามทำอะไรเกินเลย”

“รับทราบ!” ทุกคนกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง

ไฉจวิ้นถามอีกว่า “อาจารย์อา ขอบเขตระหว่างสามภูเขากว้างใหญ่ขนาดนี้ ถ้าอยากจะหาเป้าหมายให้พบก็คงจะไม่ง่าย บนแผนที่ไม่มีข้อชี้แนะอะไรแล้วเหรอ?”

หมิงจ้าวส่ายหน้า “ข้าไม่เห็นว่ามีข้อชี้แนะอะไร แต่เพื่อให้ทุกคนค้นหาได้สะดวก ข้าเตรียมแผนที่ไว้ให้ทุกคนแล้ว อาจจะทำให้ทุกคนเจอเบาะแสอะไรตอนที่ค้นหา” พูดจบก็พลิกฝ่ามือนำสำเนาแผนที่ห้าฉบับส่งให้ไฉจวิ้น “ทุกคนจับคู่กันสองคน หนึ่งคู่ดูหนึ่งฉบับ แบ่งเขตที่นี่เป็นหกเขตแล้วแยกกันค้นหา จำไว้ว่าห้ามให้แผนที่ตกอยู่ในมือคนอื่น ถ้าพบปัญหาอะไรขึ้นมา ก็ทำลายแผนที่ทิ้งทันที”

“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยรับคำสั่งอีกครั้ง ไฉจวิ้นเองก็หยิบแผนที่มาฉบับหนึ่งเช่นกัน แล้วแจกจ่ายอีกสี่ฉบับที่เหลือ

เหมียวอี้มองตาปริบๆ อยากจะหยิบแผนที่มาศึกษาดูให้ละเอียดเหมือนกัน เมื่อถึงเวลาที่รอคอยมากที่สุดแบบนี้ เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองแย่กว่าคนอื่น คนอื่นอ่านไม่ออก แต่เขารู้สึกว่าตัวเองอาจจะอ่านออก เขาร้อนใจอยากจะหยิบแผนที่มาเทียบดูกับสถานที่จริง

ใครจะคิดว่าหมิงจ้าวจะกล่าวว่า “ฆราวาสหนิว เจ้ากับจงหลีค่วยไปกับข้าแล้วกัน”

เหมียวอี้พูดไม่ออก ความคิดนั้นถูกทำลาย นี่กำลังจับตาดูเขา หรือกำลังปกป้องเขาอยู่กันแน่ล่ะ?

สิบคนที่เหลือจับคู่คนวรยุทธ์สูงกับวรยุทธ์ต่ำ กลายเป็นห้ากลุ่ม ถ้ารวมกลุ่มของหมิงจ้าวที่มีสามคนไปด้วยก็มีทั้งหมดหกกลุ่ม

ตอนนี้หมิงจ้าวดึงหน้ากากออกแล้ว และบอกกับทุกคนว่า “ทุกคนเลิกปลอมตัวเถอะ ที่นี่มีปีศาจฝูงหนึ่งที่หน้าตาเหมือนมนุษย์ นิสัยใจดีซื่อสัตย์ ไม่แย่งแก่งอะไรกับใคร นิสัยเข้ากับกับป่าผืนนี้ได้ดี ได้รับการปกป้องจากปราสาทแมกไม้ คอยจัดการดูแลป่าผืนนี้ให้ปราสาทแมกไม้มาโดยตลอด ไม่ชอบคนหลอกลวงและคนปลอมตัว ไม่อย่างนั้นจะถูกมองว่าเป็นจุดด่างพร้อยของพวกเขา พวกเขานับว่าเป็นเจ้าของของที่นี่ ถ้าเพ่นพ่านไปทั่วโดยไม่ได้บอกพวกเขาก่อน ก็จะถูกเข้าใจผิดได้ง่ายๆ ถึงตอนนั้นปราสาทแมกไม้คงไม่ปล่อยไปง่ายๆ เช่นกัน ดังนั้นพวกเราต้องไปเยี่ยมคารวะพวกเขาก่อนสักหน่อย”

ทุกคนไม่รู้เรื่องนี้เลย ทำได้เพียงเชื่อทุกอย่างที่เขาพูด แล้วอีกอย่าง ฐานะของ ‘อาจารย์อาผู้บัญชาการ’ ท่านนี้ก็เห็นๆ กันอยู่ การมาครั้งนี้ต้องเชื่อฟังเขา

หมิงจ้าวเหาะขึ้นมา แล้วทุกคนก็เหาะตามหลังเขาไป เหาะอยู่บนฟ้าที่ขนาบกับป่า ไม่นานในป่าก็มีปีศาจที่สวมชุดสีขาวพากันปรากฏตัว เหมียวอี้มองสำรวจด้วยความอยากรู้อยากเห็น พบว่าปีศาจพวกนี้หน้าตาเหมือนคนจริงๆ ด้วย จะบอกว่าต่างกับคนปกติมากก็ต่างมาก จะว่าไม่ต่างมากก็ไม่ต่างมาก

พวกเขาผิวขาวมาก แต่ละคนมีลูกตาสีฟ้าสวยงาม จมูกโด่งเป็นสัน ผมยาวสีเหลืองทอง ไม่มัดหรือเกล้าผม ปล่อยสยายไปข้างหลังตามธรรมชาติ อย่างมากก็สวมมงกุฎหญ้ากับห่วงที่สานจากไม้หวาย ผู้หญิงบางคนสวมมงกุฎดอกไม้ หูยาวจนประหลาดนิดหน่อย ยอดหูแหลมตั้งขึ้นมา

ผู้หญิงสวมกระโปรงยาวสีขาว แต่กลับไม่มีแขนเสื้อ เปลือยแขนขาวหมดจดทั้งสองข้าง สองเท้าที่อยู่ใต้กระโปรงก็เปลือยเช่นกัน ผู้ชายไม่ใส่กระโปร่ง แต่กลับใส่กางเกงสั้นเหนือเข่า เปลือยเท้าเช่นกัน คนที่นี่เหมือนจะไม่ใส่รองเท้ากันหมด

สรุปว่าคนที่นี่ ไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็หน้าตางดงามกันทั้งนั้น เครื่องหน้างามประณีต สายเลือดแบบนี้… เหมียวอี้แอบเดาะชิ้นอย่างตกตะลึง สมกับเป็นปีศาจจริงๆ แต่เขากลับไม่เห็นกลิ่นอายมารปีศาจจากตัวคนพวกนี้เลย กลับเห็นแต่กลิ่นอายธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่เรียบง่ายหอมกรุ่น

เรียบง่ายก็ส่วนเรียบง่าย เมื่อมีกลุ่มคนบุกเข้ามาในอาณาเขตของอีกฝ่าย ก็ยังถูกขวางเอาไว้ ปีศาจหลายตนที่สวมกำไลแขนเผยร่างกายบึกบึนมาขวางทางไว้ แล้วถามว่า  “พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาทำลายความสงบเงียบของพวกเรา?”

หมิงจ้าวยืนอยู่ข้างหน้าและกุมหมัดคารวะ “รบกวนไปแจ้งผู้อาวุโสมู่เซิน บอกว่าหมิงจ้าว สหายจากปราสาทดำเนินนภามาเยี่ยม”

ปีศาจที่นำหน้ามาขวางทางหันกลับไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง ปีศาจหญิงหนึ่งในนั้นเข้าใจที่เขาจะสื่อ จึงเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนคนทั้งสองฝ่ายก็ยืนเงียบหยั่งเชิงกันอยู่

ผ่านไปไม่นาน ปีศาจหญิงตนนั้นก็เหาะกลับมา ผู้ที่มาด้วยอีกคนคือสตรีวัยกลางคน พอหมิงจ้าวเห็นก็ยิ้มให้ ใช้มือข้างหนึ่งกดที่หัวใจแล้วโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ “มู่หลินหลาง ไม่เจอกันหลายปี สบายดีมั้ย?”

สตรีวัยกลางคนแสดงความเคารพกลับเช่นเดียวกัน “ไม่ทราบว่านายท่านหมิงจ้าวมาเยี่ยม ขออภัยที่ล่วงเกิน ผู้อาวุโสมู่เซินกำลังรออยู่ค่ะ” พูดจบก็ยื่นมือเชิญ

เป็นคนรู้จักจริงๆ ด้วย ปีศาจที่ขวางทางหลีกทางให้ทันที สายตาที่จ้องเขม็งคลายความระแวดระวังแล้ว แต่ละคนมากันใช้มือกดตรงหัวใจพลางโค้งกายต้อนรับ

หมิงจ้าวก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วเหาะเคียงข้างปีศาจหญิงที่ชื่อว่ามู่หลินหลางไปด้วยกัน ระหว่างนั้นก็พูดคุยกันไปด้วย ส่วนเหมียวอี้ก็ย่อมตามอยู่ข้างหลัง แต่ละคนเหลียวซ้ายแลขวา ต่างก็รู้สึกประหลาดใจกับที่แห่งนี้ ประเพณีของที่นี่แตกต่างจากที่อื่นอย่างเช็ดได้ชัด

พวกเขาเหาะไปเหยียบลงบนไหล่เขาแห่งหนึ่ง เหยียบลงใต้ต้นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้าต้นหนึ่งที่ใหญ่โตเป็นพิเศษ

สิ่งที่อยู่ตรงหน้ายังเรียกว่าต้นไม้ได้อีกเหรอ? ลำต้นใหญ่จนต้องใช้คนหลายร้อยคนโอบถึงจะมิด สูงตระหง่านโดดเด่น พุ่มของต้นไม้ราวกับเมฆคลุมผืนดิน บรรยายต้นไม้ทั้งต้นได้เพียงคำว่าใหญ่โตรโหฐาน บนต้นไม้มีโพรงไม้ที่เกิดตามธรรมชาติหลายโพรง มีทั้งเล็กมีทั้งใหญ่ ในโพรงไม้มีคนเข้าออก ถึงขั้นมีคนสร้างบ้านบนกิ่งไม้ด้วย ปีศาจเหล่านี้อาศัยว่าต้นไม้ต้นนี้เป็นบ้านขนาดใหญ่และอยู่อาศัยรวมกันเป็นกลุ่ม

นอกจากหมิงจ้าว สมาชิกคนอื่นๆ ที่เดินทางมาด้วยกันก็ไม่เคยเห็นต้นไม้ที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน จินตนาการไม่ออกเลยว่าต้องใช้เวลากี่ปีกว่าจะเติบโตจนใหญ่ขนาดนี้

บนต้นไม้ที่อยู่ใต้เนินเขาก็สร้างบ้านเอาไว้มากมายเช่นกัน มีทั้งชายทั้งหญิง ทั้งเด็กทั้งคนแก่ ทั้งชนเผ่าปีศาจใช้ชีวิตอันสงบสุขอย่างอิสระเสรี

ด้วยการเชื้อเชิญของมู่หลินหลาง หมิงจ้าวกับนางเดินขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ด้วยกัน ไม่ผิดหรอก พวกเขาเดินขึ้นไป เป็นเพราะต้นไม้ต้นนี้เก่าแก่เกินไป ส่วนรากกินพื้นที่ไปเยอะมาก ถึงได้ค้ำยันต้นไม้ที่ใหญ่โตขนาดนี้ไว้ได้ ก้านรากที่โผล่ออกมาด้านนอกล้วนเป็นบันไดสูงได้ทั้งนั้น ผิวไม้ที่ขรุขระของลำต้นก็สามารถใช้เท้าเหยียบขึ้นไปได้เลย ช่างทำให้คนได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่จริงๆ

ส่วนเหมียวอี้และคนอื่นๆ ก็ถูกเชิญไปยังส่วนรากที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่ง ที่นั่นมีโพรงไม้ธรรมชาติอีกโพรง คนหลายสิบคนเข้าไปนั่งกับพื้นได้สบายๆ

บรรดาปีศาจสาวที่สวมมงกุฎดอกไม้บนศีรษะเดินเนิบนาบเข้ามา นำผลไม้สดชนิดต่างๆ มาให้ มีหลายชนิดมากที่เหมียวอี้ไม่เคยเห็นมาก่อน สุราผลไม้ที่รินให้พวกเขาก็เป็นของเหลวสีเขียวสดชนิดหนึ่ง กลิ่นอ่อนๆ หอมสดชื่น เจือด้วยกลิ่นสุราเล็กน้อย

ขณะที่คนอื่นๆ กำลังสับสนว่าควรดื่มหรือไม่ควรดื่ม เหมียวอี้ก็ยกชามสุราที่ทำจากไม้ขึ้นมาชิมแล้ว เขาเดาะปากสองที สิ่งที่เข้าไปในปากค่อนข้างเหนียวข้น เย็นสดชื่นหวานอร่อย เจือด้วยรสสุราเล็กน้อย พอกลืนลงท้องไปแล้ว ในปากก็รู้สึกขมเฝื่อนนิดหน่อย แต่กลับเหนียวติดเต็มฟัน ถึงแม้จะได้รสชาติไปอีกแบบ แต่เหมียวอี้ก็ไม่ค่อยชิน จึงสุ่มหยิบผลไม้ประหลาดขึ้นมากัด พบว่ารสชาติใช้ได้เลย หวานกรอบ กัดเข้าปากแล้วหยุดเคี้ยวไม่ได้

จงหลีค่วยและคนอื่นๆ พากันมองไปที่เหมียวอี้พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย พบว่าเจ้าหมอนี่ช่างไม่ดูตาม้าตาเรือ ขนาดมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย แต่ก็ยังกล้ากินอาหารสุ่มสี่สุ่มห้า

หารู้ไม่ว่าบรรดาปีศาจสาวที่ยืนอยู่ตรงปากโพรงไม้พากันมองไปที่เหมียวอี้ด้วยแววตาอมยิ้ม สำหรับพวกนางแล้ว คนต่างถิ่นทำตัวซับซ้อนมาก สำหรับพวกนาง การกระทำของเหมียวอี้เหมือนเป็นการเชื่อใจและยอมรับพวกนางอย่างหนึ่ง

ที่จริงเหมียวอี้ไม่ใช่คนใสๆ เหมือนที่พวกนางคิด เจ้าหมอนี่เป็นพวกที่สารพัดพิษทำอะไรเขาไม่ได้ ไม่ได้หวาดกลัวอะไรเลย

เมื่อเห็นคนอื่นไม่มีท่าที่ว่าจะลงมือกิน ปีศาจสาวตนหนึ่งก็กล่าวกับทุกคนด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าต้องการอะไรก็เรียกนะคะ เดี๋ยวจะมีคนเข้ามาเอง” พูดจบก็นำคนอื่นๆ ถอยออกไป

ตอนนี้เอง เหมียวอี้ที่กัดผลไม้ไปคำหนึ่งถึงได้ถามว่า “ผู้อาวุโสหมิงจ้าวคุ้นเคยกับที่นี่มากเลยเหรอ?”

ไฉจวิ้นตอบว่า “ข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง เคยได้ยินเกี่ยวกับที่นี่ด้วย ผู้อาวุโสหมิงจ้าวเหมือนจะเคยช่วยชีวิตคนที่นี่ไว้ จึงค่อนข้างสนิทกับผู้อาวุโสมู่เซิน นึกไม่ถึงว่าของสิ่งนั้นจะเกี่ยวข้องกับที่นี่ ถ้าไม่ได้มาที่นี่ เกรงว่าก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสหมิงจ้าวก็คงนึกไม่ถึงเหมือนกัน”

ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีคนนอก หลังจากที่ทุกคนตรวจสอบแล้วว่าในอาหารและเครื่องดื่มไม่มียาพิษ ถึงได้ลองชิมทีละอย่าง

หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วยาม หมิงจ้าวก็กลับมาแล้ว หลังจากนั่งลงที่หัวโต๊ะ ก็บอกกับทุกคนว่า “ข้าได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสมู่เซินแล้ว เขายอมให้พวกเราค้นหาของที่นี่ แต่ที่นี่มี ‘กิ่งหยกเหลือง’ จำนวนมากที่พวกเขาปลูกไว้ให้ปราสาทแมกไม้ ทุกคนอย่าไปแตะต้องซี้ซั้ว แล้วอย่าทำลายของที่อยู่บริเวณนี้ตามอำเภอใจ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะเริ่มปฏิบัติการ”

“อาจารย์อา วันนี้ยังเหลือเวลาอีกเยอะ ทำไมต้องเป็นพรุ่งนี้ล่ะ?” ไฉจวิ้นถาม

หมิงจ้าวยิ้มพร้อมตอบว่า “คืนนี้พวกเขาต้องการจัดพิธีให้พวกเรา ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่พวกเราอย่างเดียวหรอก ทุกครั้งเวลามีแขกมา พวกเขาก็จะจัดพิธีต้อนรับ เพื่อเลือกแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของพวกเขา”


948

แผนที่สมบัติ

“แขกผู้มีเกียรติสูงสุด?” ทุกคนพึมพำเบาๆ มองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร

“อาจารย์อา ในบรรดาพวกเรา ท่านย่อมเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของพวกเขาอยู่แล้ว ยังต้องเลือกอีกเหรอ?” ศิษย์พี่รองหญิงเซี่ยหนานเอ๋อร์ถามอย่างแปลกใจ

หมิงจ้าวโบกมือพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “ไม่ใช่อย่างนั้น ต่อให้มีแขกมาแค่คนเดียว ก็ต้องจัดพิธีนี้อยู่ดี ไม่แบ่งแยกตามวรยุทธ์สูงต่ำ ฐานะหรือความอาวุโส ขอแค่ผ่านการทดสอบพิธีของพวกเขา ถึงจะได้กลายเป็นแขกที่มีค่าที่สุดของพวกเขา”

“อาจารย์อา ถ้าได้กลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดแล้วจะได้ประโยชน์อะไร?” จงหลีค่วยถาม

หมิงจ้าวส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว ในปีนั้นข้าเคยลองแล้ว แต่จนใจที่ไม่ผ่านการทดสอบ เลยไม่ได้กลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของพวกเขา ถึงอย่างไรเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เป็นแค่พิธีเดียวเท่านั้น ทำตามที่พวกเขากำหนดก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นถ้าไปยั่วให้พวกเขาไม่พอใจ ก็อาจจะนำปัญหาใหญ่มาสู่พวกเราได้ ถึงอย่างไรก็ยังต้องหาของในถิ่นของพวกเขา คิดเสียว่าทำให้ผ่านๆ ไปก็แล้วกัน”

“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยรับ

จากนั้นหมิงจ้าวก็เรียกรวมทุกคนอีกครั้ง ใช้มือแตะอะไรบางอย่าง แล้ววาดลักษณะทางภูมิศาสตร์ระหว่างภูเขาทั้งสามลูกบนโต๊ะ ก่อนจะเริ่มแบ่งเขตการค้นหาที่เริ่มพรุ่งนี้เช้าให้คนทั้งหกกลุ่ม

หลังจากอธิบายภารกิจค้นหาชัดเจนแล้ว หมิงจ้าวก็เตือนอีกว่า “ทุกคนพยายามติดต่อกันเอาไว้ หลังจากหาของพบแล้ว เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น และอย่าบอกให้สมาชิกคนอื่นรู้ รวมทั้งข้าด้วยเหมือนกัน ให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้ติดต่อกับรองเจ้าสำนักโดยตรง ถึงตอนนั้นปรมาจารย์จะออกโรงนำพวกผู้อาวุโสมารับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่ไม่คาดคิด”

นี่เป็นการป้องกันแม้กระทั่งคนของตัวเอง เหมียวอี้พึมพำในใจ

“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยรับคำสั่งอีกครั้ง

พอคุยกันเสร็จแล้ว ทุกคนก็ยังไม่ได้แยกย้ายกันออกไปไหน ยังอยู่ในโพรงไม้เหมือนเดิม แต่ละคนนั่งสมาธิฝึกตนอยู่อย่างนั้น

เหมียวอี้กลับสงบจิตใจสงบใจไม่ได้ ในใจเหมือนโดนกรงเล็บแมวเกา สุดท้ายก็ไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “ผู้อาวุโสหมิงจ้าว ให้ข้าศึกษาแผนที่นั่นดูหน่อยได้มั้ย ไม่แน่ว่าข้าอาจจะพบเบาะแสอะไรก็ได้”

ทุกคนลืมตามองมาทันที เห็นเหมียวอี้ยิ้มแห้งอยู่อย่างนั้น ดูเขินอายมาก

หมิงจ้าวลังเลนิดหน่อย ก่อนจะโยนม้วนหนังแผนที่เข้ามา เหมียวอี้รับไว้แล้วขอบคุณ จากนั้นก็ไม่สนใจความคิดของคนอื่นแล้ว เอาแต่กางแผนที่ออกและตรวจดู

ภาพสตรีทะยานฟ้าดึงดูดความสนใจของเขา เมื่อเห็นภาพนี้ ความรู้สึกนึกคิดของเขาก็ไม่แคล้วต้องย้อนกลับไปที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งในปีนั้น เขาไม่มีทางแน่ใจว่าภาพนี้เหมือนกับภาพสลักที่อยู่บนหินของแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งทุกอย่างรึเปล่า แต่ภาพที่ติดอยู่ในความทรงจำบอกว่าเหมือนทุกอย่าง ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจำรายละเอียดทุกอย่างในภาพได้ชัดเจน ในตอนนั้นเขาไม่มีอารมณ์จะไปจดจำมัน

ที่สำคัญคือตัวอักษรสองแถวที่อยู่ข้างๆ หญิงสาวผู้กำลังทะยานสู่ฟ้าอย่างนิ่มนวลอ่อนช้อย : ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบสิ้น เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด!

เขากลับจำตัวอักษรทั้งหมดนี้ได้อย่างชัดเจน และเป็นเพราะตัวอักษรพวกนี้ เขาถึงได้มั่นใจว่าสภาพนี้เหมือนกับภาพสลักที่เขาเห็นที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งทุกประการ

แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเป็นสถานที่ฝังศพของจอมมาร ทำไมถึงมีภาพนี้อยู่ด้วย? เกี่ยวข้องอะไรกับแผนที่สมบัติที่ซ่อนเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินเอาไว้? หรือว่าจอมมารที่โดนทหารสวรรค์หนึ่งแสนนายไล่สังหารจนมาตายที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง จะเป็นราชันลัทธิมารในปีนั้น? ไม่อย่างนั้นทั้งสองจะมีของแบบเดียวกันโผล่มาได้อย่างไร?

เหมียวอี้คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ถูก เพราะเวลาไม่ตรงกัน แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเพิ่งปรากฏที่พิภพเล็กเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน แต่ราชันลัทธิมารของพิภพใหญ่กลับตายไปนานกว่าหนึ่งแสนปีแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะถ่อไปวาดภาพที่พิภพเล็ก แต่ที่ทั้งสองภาพเหมือนกันทุกประการ จะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไรล่ะ? หรือว่าเป็นผู้สืบทอดของราชันลัทธิมาร?

คิดไม่ตก คิดไม่ตกจริงๆ เขาได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ อยู่อย่างนั้น

หารู้ไม่ว่าหมิงจ้าวและคนอื่นๆ กำลังมองปฏิกิริยาของเขาอยู่ พบว่าเจ้าหมอนี่ตาเป็นประกายทันทีที่เปิดแผนที่ดู จากนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น บางครั้งก็เอามือลูบคางครุ่นคิด บางครั้งก็ส่ายหน้า ดูจากท่าทางแบบนั้นของเขา เหมือนจะอ่านอะไรบางอย่างออกแล้วจริงๆ

ทุกคนแอบส่งสายตาให้กัน แล้วจงหลีค่วยก็ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าอ่านอะไรออกเข้าแล้วล่ะ?”

“อย่าเอะอะ! ข้ากำลังคิด” เหมียวอี้ตอบโดยจิตใต้สำนึก ไม่ได้เงยหน้าเลยสักนิด ไม่เห็นจงหลีค่วยที่ถลึงตาจ้อง ทำท่าเหมือนอยากจะตบเขาสักที

หมิงจ้าวกลับยกมือเบาๆ บอกใบ้จงหลีค่วยว่าอย่าไปรบกวนเหมียวอี้ เพียงส่งสายตาบอกให้จงหลีค่วยจับตาดูเหมียวอี้ไว้ให้ดี เพราะท่าทางแบบนั้นของเหมียวอี้ไม่เหมือนการเสแสร้งแกล้งทำ เหมือนมองอะไรออกแล้วจริงๆ ถ้าเจ้าหมอนี่อ่านผลลัพธ์ออกจริงๆ ทุกคนก็จะได้ไม่ต้องลำบากหลับตาคลำหาในขอบเขตที่ใหญ่ขนาดนี้

อ่านไม่เข้าใจ! อ่านไม่ออก! เหมียวอี้เรียกได้ว่าเปลี่ยนท่าทางไม่หยุด บางครั้งก็ใช้มือสองข้างกอบขึ้นมาดู บางครั้งก็นอนคว่ำดู บางครั้งก็นอนหงายดู แต่ก็ยังอ่านไม่ออก ช่างแปลกะประหลาดจริงๆ แผนที่ซ่อนสมบัติไม่มีเครื่องหมายบอกตำแหน่งที่เป็นรูปธรรม วาดขอบเขตใหญ่ขนาดนี้ ให้คนหลับตาคลำหา นี่เป็นแผนที่ซ่อนสมบัติอะไรกันประสาอะไร ไม่สู้บอกไปตรงๆ ว่าอยู่ที่ดาวแมกไม้ก็สิ้นเรื่อง ยังจะเปลืองแรงวาดไปทำไมอีก

ดังนั้นสัญชาตญาณของเขาบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถ้าอ่านอะไรบนแผนที่ไม่ออก ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับอะไรบางอย่างที่อยู่นอกแผนที่รึเปล่า บางทีสิ่งที่อยู่นอกแผนที่ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญให้หาสถานที่นั้นได้แม่นยำจริงๆ แต่สิ่งที่อยู่นอกแผนที่ก็คือภาพผู้หญิงทะยานฟ้ากับตัวอักษรสองแถวนั่น แล้วด้านบนแผนที่ก็มีคำว่า ‘มาร’ กับ ‘ดิน’ แสดงสถานที่ซ่อนเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินเอาไว้โดยสังเขป

แต่เมื่อเหมียวอี้นำภาพกับตัวอักษรนั้นมาเทียบกับแผนที่ ก็พบว่ามันช่างเหมือนกับตำราสวรรค์[1] อ่านเบาะแสอะไรไม่ออกเลย เขาเองก็นับถือคนของปราสาทดำเนินนภาจริงๆ อาศัยแค่แผนที่ที่หัววัวไม่ตรงกับปากม้า[2]ฉบับนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะหาดาวแมกไม้พบจากจักรวาลอันกว้างใหญ่ มองออกเลยว่าปราสาทดำเนินนภาใช้ความคิดไปกับแผนที่นี้เยอะกว่าเขา ขนาดพวกนั้นยังไม่เข้าใจ ถ้าเขาอยากจะเข้าใจในทันที ก็เกรงว่าไม่น่าจะเป็นไปได้

แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขารู้สึกแปลกใจ พอได้สติกลับมาก็เงยหน้ามองหมิงจ้าว ผลก็คือพบว่าไม่ใช่แค่หมิงจ้าว แต่ทุกคนกำลังจ้องเขาอยู่

เวรเอ๊ย! เวลาจ้องใครก็ไม่ควรจ้องแบบนี้รึเปล่า? ทำไมต้องจ้องข้าแบบนี้กันหมด? เหมียวอี้แอบด่าในใจ อย่าบอกนะว่ามีคนมากมายขนาดนี้ดูอยู่แล้วยังกลัวข้าจะแย่งแผนที่หนีไป?

“ฆราวาสอ่านอะไรออกแล้วใช่มั้ย?” หมิงจ้าวถามพร้อมรอยยิ้ม

เหมียวอี้ส่ายหน้า “เปล่าหรอก ข้าแค่สงสัยอะไรบางอย่าง ไม่ทราบว่าจะขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสได้หรือไม่?”

หมิงจ้าวพยักหน้า “ว่ามาได้เลย”

เหมียวอี้สะบัดแผนที่กางออก แล้วชี้ไปยังตัวอักษร ‘ดินมาร’ พลางถามว่า “ผู้อาวุโสไม่รู้สึกว่ามันแปลกเหรอ? ใครกันที่อาศัยแค่สองคำนี้ก็ตัดสินออกมาแล้วว่านี่คือสถานที่เก็บเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดิน? มิหนำซ้ำ ไม่ว่าจะอ่านอย่างไรข้าก็นึกเชื่อมโยงไปถึงสิ่งนั้นไม่ได้ ถ้าข้าไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกแล้วมาอ่านเจอ ก็คงนึกว่า ‘ดินมาร’ นี้หมายถึงดินแดนพักพิงของลัทธิมาร หมายถึงอาณาเขตของมาร แผนที่ที่นำทางมาสู่อาณาเขตของมาร อย่าบอกนะว่าผู้อาวุโสคิดเชื่อมโยงไปว่าเป็นเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมภาคดินทาน?”

“เอ่อคือ…” หมิงจ้าวส่ายหน้าเล็กน้อย เขาไม่เคยตั้งคำถามนี้เลยจริงๆ

กลับเป็นจงหลีค่วยที่ผลักไหล่เหมียวอี้เบาๆ “เจ้าโง่รึเปล่า ตอนที่บังคับให้นักพรตมารบอก เจ้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ไม่ใช่เจ้าบ้านั่นหรอกเหรอที่บอกเรา?”

เหมียวอี้จึงกล่าวว่า “ใช่แล้วล่ะ เขาบอกพวกเราแบบนั้น ข้ารู้ด้วยว่าพวกเขาก็แย่งมาเหมือนกัน แต่เจ้าของที่ถือมันไว้ก่อนหน้านี้จะรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นสถานที่ซ่อนเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดิน? ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ในเมื่อเขารู้แล้วทำไมถึงไม่ไปหาเองล่ะ? แน่นอน ท่านอาจจะบอกว่าเขาเป็นคนที่คอยเก็บรักษาแผนที่นี้ไว้ แต่คนที่สามารถแก็บรักษาสมบัติล้ำค่ามหาศาลได้หลายปีขนาดนี้ จะต้องเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่แน่นอน ข้าคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนประเภทที่เปิดเผยความลับได้ง่ายๆ ต่อให้โดนคนแย่งสมบัติไป รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าต่อให้คายความลับนี้ก็ต้องตายอยู่ดี ถามหน่อยว่าคนที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่แบบนั้นจะยอมคายความลับได้ยังไง?”

เมื่อได้ยินเหมียวอี้พูดแบบนี้ ทุกคนก็ขมวดคิ้วทันที มีบางคนพยักหน้าช้าๆ รู้สึกว่าที่เขาพูดก็มีเหตุผล

“เจ้าหนุ่มนี่อยากจะพูดอะไรกันแน่?” จงหลีค่วยถามเสียงต่ำ

เหมียวอี้เอามือจับศีรษะ จ้องแผนที่ทางซ้ายทีขวาที แล้วบอกว่า “หลังจากข้าพิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว ทำไมรู้สึกเหมือนมีคนจงใจปล่อยมันออกมา เบื้องหลังไม่มีลับลมคมในอะไรใช่มั้ย? จะมีกับดักอะไรรึเปล่า?”

ทุกคนหัวใจกระตุกวูบ เหมือนผวาตื่นจากความฝัน รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้จริงๆ ทำไมพวกเรานึกไม่ถึงเลยล่ะ? สายตาของทุกคนไปรวมอยู่ที่หมิงจ้าว

หมิงจ้าวเม้มริมผีปากแน่นครู่หนึ่ง หลังจากเงียบไปพักใหญ่ ก็รีบนำระฆังดาราออกมาร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่า

ทุกคนเข้าใจแล้ว ตอนนี้กำลังติดต่อกับทางปราสาทดำเนินนภา หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ระฆังดาราที่อยู่ในมือหมิงจ้าวก็มีเสียงตอบกลับมา หมิงจ้าวเก็บระฆังดารา หันมองรอบวงแล้วถอนหายใจ “รองเจ้าสำนักก็บอกว่าใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ทว่าลมพายุจะเกิดได้ ก็ต้องมีต้นปลายปลายเหตุแน่นอน ไม่ว่าจะจริงหรือโกหก ในเมื่อพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว ก็คงไม่ดีที่จะเลิกพิสูจน์ตอนนี้ ถ้าพวกเราคิดมากไปเอง จะไม่เป็นการพลาดโอกาสหรอกเหรอ? ดังนั้นรองเจ้าสำนักจึงสั่งให้พวกเราปฏิบัติตามแผนการ ส่วนพวกเขาก็จะเตรียมการเพิ่มเติม จะเชิญผู้อาวุโสท่านหนึ่งออกมาเตรียมตัวสนับสนุนพวกเราเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด”

ดูท่าทางแล้วคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหมือนกัน ทำได้เพียงพยักหน้าเอ่ยรับ

ส่วนเหมียวอี้ก็ยังกอดแผนที่อ่านศึกษาต่อไป

ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ตอนที่โดนจงหลีค่วยดึงแผนที่กลับไปส่งคืนให้หมิงจ้าว สีของท้องฟ้าด้านนอกก็มืดแล้ว ในโพรงไม้มีหิ่งห้อยที่เปล่งแสงราวกับดวงดาวบินเข้ามา

ปีศาจหญิงวัยกลางคนที่ชื่อมู่หลินหลางเข้ามาเชิญทุกคนไปร่วมงานเลี้ยง พอเดินออกจากโพรงไม้ ภาพตรงหน้าก็สว่างทันที เห็นหิ่งห้อยบินสว่างไสวอยู่ทั่วป่า พืชจำพวกเฟินหน้าตาประหลาดเรืองแสงอยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี พวกดอกไม้ป่าแปลกๆ ข้างทางที่เห็นตอนกลางวัน ตอนกลางคืนก็เปล่งแสงอ่อนๆ สีแดงบ้างฟ้าบ้าง เป็นแสงละมุนหลากสีสัน สวยสดงดงามมาก ทำให้คนรู้สึกเหมือนอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน ผ่อนคลายสบายใจ

“ช่างเป็นสถานที่ที่งดงามจริงๆ!” ศิษย์พี่รองหญิงเซี่ยหนานเอ๋อร์กล่าวชมอย่างตกตะลึง แววตาเคลิบเคลิ้ม ทำท่าเหมือนถูกทิวทัศน์ยามราตรีตรงหน้ามอมเมา

ตอนกลางคืนของที่นี่ไม่ต้องจุดโคมไฟเลย ที่ใต้ต้นไม้โบราณสูงใหญ่ต้นนั้น รากไม้มีสูงมีต่ำสลับกันจนเข้าชุดกลายเป็นโต๊ะกับเก้าอี้ได้ แค่ไปได้จัดเรียงตามระเบียบแบบแผนก็เท่านั้นเอง สุราเลิศรสและผลหมากรากไม้ถูกเตรียมเอาไว้แล้ว แต่มองไม่เห็นเนื้อสัตว์

ไฉจวิ้นและคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าตัวเองมองผิดไปรึเปล่า พบว่ากลุ่มปีศาจพวกนี้เหมือนต้องการจะเอาใจให้เหมียวอี้ชอบเขา ปีศาจสาวสวยสองคนมาจูงมือเหมียวอี้ไว้คนละข้าง พลางหัวเราะกระซิบกระซาบกัน พวกนางจูงเหมียวอี้ที่กำลังหัวเราะแห้งๆ เดินไปถึงตำแหน่งหนึ่ง แล้วกดให้นั่งลงไป ในทางกลับกัน ปีศาจที่เหลือมีท่าทีเกรงอกเกรงใจพวกเขา เมื่อเปรียบเทียบกับเหมียวอี้แล้ว ถึงแม้พวกปีศาจจะสุภาพเกรงใจต่อพวกเขา แต่กลับรักษาระยะห่างอย่างเห็นได้ชัด เห็นพวกเขาเป็นแขก แต่เห็นเหมียวอี้เป็นสหาย

พวกปราสาทดำเนินธารามองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ ขนาดหมิงจ้าวยังงงเลย ไม่เข้าใจว่านี่มันเรื่องอะไรกัน หรือว่าคนของปราสาทดำเนินนภาหน้าตาน่ารังเกียจเหรอ?

949

วงล้อเติมคำ

ที่จริงพวกนางไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนขนาดนั้น แค่เพราะตอนที่กินอาหารก่อนหน้านี้ ไฉจวิ้นและคนอื่นๆ ทำตัว ‘เกรงอกเกรงใจ’ มีแค่เหมียวอี้ที่ไม่หวาดกลัวอะไร ในสายตาของปีศาจพวกนี้ มองว่าพวกไฉจวิ้นไม่เชื่อใจพวกนาง ดังนั้นพวกนางก็ไม่เชื่อใจพวกไฉจวิ้นเช่นกัน กลับรู้สึกว่าเหมียวอี้เป็นคนที่ซื่อสัตย์จริงใจ

ทว่าเมื่อเหมียวอี้เห็นปีศาจสาวปฏิบัติกับตนอย่างอบอุ่นมาก แต่ทำตัวเย็นชากับพวกไฉจวิ้น ในใจเขากลับรู้สึกกังวล ปีศาจสาวพวกนี้คงไม่ได้ตกหลุมรักข้าหรอกใช่มั้ย?

พอเป็นแบบนี้ คนที่นั่งอยู่ข้างหลังหมิงจ้าวเดิมทีควรจะเป็นไฉจวิ้น ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นเหมียวอี้แล้ว ปีศาจพวกนั้นรู้แค่ว่าหมิงจ้าวคือแขกของผู้อาวุโส คนอื่นๆ ถึงได้ไม่สนใจเขา และจับเหมียวอี้ให้นั่งติดแถวหน้าตามความชื่นชอบของตัวเอง ไฉจวิ้นกลับได้นั่งอยู่แถวหลังเหมียวอี้

หลังจากทุกคนทยอยกันนั่งประจำที่แล้ว หมิงจ้าวก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงถามเหมียวอี้ “ก่อนหน้านี้เจ้าเคยมาที่นี่เหรอ?”

“เปล่าเสียหน่อย? ทำไมผู้อาวุโสพูดแบบนี้ล่ะ…” พอพูดไปได้ครึ่งเดียว เหมียวอี้ก็รู้ตัวทันที จึงตอบกลั้วหัวเราะว่า “อาจจะเห็นว่าข้าหน้าตาดีมีความรู้กระมัง”

คำพูดโอ้อวดไร้ยางอายแบบนี้ทำให้หมิงจ้าวพูดไม่ออก กลุ่มคนของประสาทดำเนินนภาที่มาในครั้งนี้ นอกจากจงหลีค่วยที่ขี้เหร่ไปนิด คนอื่นๆ ก็หน้าตาใช้ได้อยู่นะ คนที่สามารถถูกประสาทดำเนินนภาเลือกเป็นศิษย์ได้ ล้วนเป็นคนที่มีเนื้อแท้ยอดเยี่ยม มีลักษณะภายนอกสง่าผ่าเผย โดยทั่วไปหน้าตาไม่แย่แน่นอน แบบจงหลีค่วยคือข้อยกเว้น

จากนั้นเหมียวอี้ก็คลำรากไม้โค้งที่ทำเป็นโต๊ะอยู่ข้างหน้า แล้วคลำรากไม้ที่อยู่ใต้ก้นอีก เขารู้สึกขำนิดหน่อย พบว่าปีศาจพวกนี้ช่างใกล้ชิดธรรมชาติจริงๆ แม้แต่ที่นั่งก็ไม่ต้องมี

ในตอนนี้เอง ปีศาจชายหลายคนที่สวมกำไลแขนก็เริ่มเป่าขลุ่ยเงิน เสียงขลุ่ยที่เดี๋ยวสูงเดี๋ยวแผ่วดังก้องอยู่ในป่าภูเขา

กลุ่มปีศาจที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ทยอยกันลุกขึ้นยืน หมิงจ้าวก็ยืนตามเช่นกัน พร้อมทั้งส่งสัญญาณบอกใบ้พวกเหมียวอี้ คนที่เหลือจึงพากันยืนขึ้น รู้ว่าตัวละครสำคัญกำลังจะปรากฏตัวแล้ว

เป็นอย่างที่คาดไว้ มีคนสองคนลอยลงมาจากต้นไม้ใหญ่ มาเหยียบลงบนเวทีที่เกิดจากรากไม้ด้านบนไขว้ตัดสลับกัน

คนหนึ่งคือชายชราผมขาวยาวคลุมบ่า สวมชุดคลุมยาวสีขาว ในมือถือไม้เท้าสีแดง ใบหน้ามีเมตตาหน้าเกรงขาม แววตาไร้ประกาย ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหก อีกคนคือหญิงสาวผมทอง เครื่องหน้างามวิจิตรมาก หน้าตาราวกับสาวน้อย เพียงแค่ได้มองหน้านางครั้งเดียว ก็เกรงว่าจะลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต ความสวยของนางเป็นเรื่องรอง แต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องที่ทำให้คนเห็นแล้วอยากเข้าใกล้ต่างหากที่เป็นสิ่งล้ำค่าหายาก ลูกตาสีฟ้าสดใสเป็นประกาย บริสุทธิ์ผุดผ่องมาก ปีศาจหญิงที่ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหกคนนี้ นอกจากคำว่า ‘บริสุทธิ์ผุดผ่อง’ ในโลกนี้ก็ไม่มีคำไหนที่ใช้บรรยายนางได้แล้ว อ่อนโยนไร้ราคี แววตาไร้เดียวสาราวกับเด็กทารก

เกรงว่าทั้งเผ่าปีศาจคงจะมีแค่สองคนนี้ที่สวมเครื่องแต่งกายที่มีกระบอกแขน และเป็นแค่สองคนในกลุ่มปีศาจที่เหมียวอี้เห็นว่าสวมรองเท้า

แต่สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้แปลกใจก็คือ ชายชราคนนั้นเหมือนจะอยู่คนละเผ่ากับปีศาจพวกนี้ หูไม่ได้แหลมตั้งขึ้น หน้าตาก็เหมือนคนทั่วไป แถมบนตัวยังไม่มีปราณปีศาจด้วย ซึ่งบนตัวของปีศาจคนอื่นล้วนมีสิ่งนี้

ปีศาจทั้งหมดที่อยู่ในงานใช้มือข้างเดียวกดตรงหัวใจเพื่อคำนับทั้งสอง หมิงจ้าวก็ทำแบบนี้ด้วยเหมือนกัน เหมียวอี้และคนอื่นๆ จึงเลียนแบบ

หลังจากชายชราและสาวน้อยคำนับตอบ ชายชราก็โบกมือบอกให้ทุกคนนั่งลง “แขกผู้มีเกียรติทุกท่านเชิญดื่มด่ำอาหารเลิศรสที่มาจากป่าไม้ ไม่ต้องเกรงใจ” จากนั้นสาวน้อยก็ชายชราก็นั่งลงเคียงกัน ชายชรายกจอกสุรา แล้วทุกคนก็ยกจอกสุราขึ้นมาดื่มสุราสีเขียวที่อยู่ในนั้น

ไม่ต้องประดิษฐ์คำพูดอะไรมากมาย บรรดาปีศาจที่กำลังนั่งยกจอกสุราขึ้นชนกันทันที บางคนเป่าขลุ่ย บางคนตีกลองไม้ บางคนก็ชูจอกสุราร้องเพลง แล้วก็มีชายหญิงที่คล้องแขนกันเต้นรำอย่างคึกคัก บรรยากาศเริ่มคึกคักขึ้นเรื่อยๆ เหมือนสนุกสนานสุดเหวี่ยง

ส่วนหมิงจ้าวและคนอื่นๆ ก็มองดูพลางยิ้มตาหยี พวกเขาค่อนข้างสำรวม ยากที่จะกลืนกับบรรยากาศแบบนี้ได้

เหมียวอี้ดื่มสุราสีเขียวเข้าไปคำหนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงถามหมิงจ้าวว่า “ผู้อาวุโส ท่านนี้คือผู้อาวุโสที่บอกเหรอ?”

หมิงจ้าวพยักหน้าเบาๆ เหมียวอี้ถามอีกว่า “แล้วผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ คือใคร ทำไมนั่งเสมอกันได้?”

“เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจ ชื่อมู่น่า” หมิงจ้าวตอบ

ธิดาศักดิ์สิทธิ์? เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ ถามอีกว่า “ทำไมผู้อาวุโสมู่เซินดูไม่เหมือนอยู่เผ่าเดียวกับปีศาจพวกนี้ล่ะ บนตัวยังมีปราณปีศาจด้วย”

“พวกเรากำลังนั่งอยู่บนร่างเดิมของเขา ต้นไม้ต้นนี้ก็คือร่างเดิมของเขา พอแล้ว อย่าพูดมาก คนที่นี่ไม่ชอบให้คนอื่นแอบถ่ายทอดทอดเสียงคุยกันลับหลัง” หมิงจ้าวกล่าว

เหมียวอี้กลับเงยหน้ามองต้นไม้โบราณที่ใหญ่โตรโหฐานไร้ที่เปรียบตรงหน้า ที่แท้ผู้อาวุโสท่านนี้ก็คือปีศาจต้นไม้นี่เอง

เหมียวอี้กำลังครุ่นคิด แตรทันใดนั้นเอง ปีศาจสาวสองคนที่ที่จูงมือเขาก่อนหน้านี้ก็วิ่งเข้ามาอีก มาดึงแขนเขาเอาไว้ ตอนที่กำลังฉงนใจ เขาก็ถูกปีศาจสาวทั้งสองดึงเข้าไปร่วมวงเต้นรำปลดปล่อยอารมณ์แล้ว

ปีศาจสาวทั้งสองบอกใบ้ให้เหมียวอี้เต้นรำกับพวกนาง เหมียวอี้อับอายนิดหน่อย ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเต้นระบำเลย เขามองไปยังพวกปีศาจที่กำลังบรรเลงดนตรีเต้นรำอย่างสนุกสนานร่าเริงอีกครั้ง เขากระโดดเต้นแบบนั้นไปเป็นเลยจริงๆ จึงรีบโบกมือบอกพวกนางว่าเต้นไม่เป็น แล้วหันเลี้ยวกลับโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ใครจะคิดว่าปีศาจสาวสองคนนั้นจะดึงเขนเสื้อเขาไว้ ดึงเข้ากลับมา แล้วบอกให้เขาเต้นตามใจชอบ สบายใจอย่างไรก็เต้นอย่างนั้น

นี่กำลังกลั่นแกล้งข้าเหรอ? ท่านขุนนางเหมียวทำสีหน้าไม่ถูก แต่เมื่อเห็นทุกคนกำลังทำสายตาเฝ้าคอย เขาก็คงสัยนิดหน่อยว่าถ้าตัวเองไม่เต้นแล้วจะทำให้ทุกคนไม่พอใจรึเปล่า เพื่อเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน เจ้าบ้านี่จึงตัดสินใจกล้ำกลืนความอัปยศเอาไว้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรเสียหาย เขามองซ้ายมองขวา แล้วเริ่มยื่นมือ แล้วก็ยกเท้าต่อ เต้นแบบถูๆ ไถๆ ไปก็แล้วกัน

ท่าทางแข็งทื่อสุดๆ ปีศาจสาวทั้งสองที่หัวเราะคิกคักเข้ามาคล้องแขนเขาอีกครั้ง แล้ววิ่งไปพลางกระโดดไปพลาง

ค่อยเป็นค่อยไป เมื่อคล้อยตามกับบรรยากาศ เหมียวอี้ก็ค่อยๆ ปลดปล่อยอารมณ์แล้ว เริ่มกระโดดโลดเต้นท่ามกลางกลุ่มคน ไม่มีท่าทางอื่น รู้จักแค่ยื่นเท้ากับยื่นมือ แขนขาทั้งสี่ยื่นเข้ายื่นออก

ท่าทางของเขา ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนคนปัญญาอ่อน อาหารที่อยู่ในปากจงหลีค่วยแทบจะพุ่งออกมา เซี่ยหนานเอ๋อร์ก็ยิ่งเอามือปิดปากกลั้นขำ พวกหมิงจ้าวล้วนกำลังมองเหมียวอี้อย่างบันเทิงเริงใจ

พวกเขาหัวเราะเยาะเหมียวอี้ แต่เหมียวอี้เหมือนจะได้รับความนิยมจากพวกปีศาจมาก มีปีศาจถือจอกสุราเข้ามาหาเขาไม่ขาดสาย นำสุรามากรอกปากเขา หลังจากดื่มไปไม่กี่จอกเพราะปฏิเสธลำบาก ก็เหมือนเป็นการยั่วให้คนที่เหลือเข้ามาหา คนที่มากรอกสุราใส่ปากเขาจึงยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ เหมียวอี้อยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา อยากจะหนีแต่กลับโดนดึงไว้ครั้งแล้วครั้งแล้ว ปีศาจพวกนั้นก็ไม่เกรงใจกันเลยจริงๆ เหมียวอี้เกิดความคิดอยากจะเอาทวนแทงพวกเขาให้ตายให้หมด

“อาจารย์อา!” ไฉจวิ้นมองไปทางหมิงจ้าวอย่างกังวล แต่หมิงจ้าวเพียงโบกมือยิ้มบางๆ บอกใบว่าไม่เป็นอะไร

ผู้อาวุโสมู่เซินที่นั่งอยู่บนเวทีก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกัน เอียงหน้าถามมู่หลินหลาง “เรื่องอะไรกัน?”

มู่หลินหลางกวักมือเรียกคนที่อยู่ข้างล่างทันที ปีศาจสาวที่ดึงแขนเหมียวอี้ก่อนหน้านี้วิ่งขึ้นไป หลังจากได้ยินที่ผู้อาวุโสถาม นางก็ยิ้มตาหยีกระซิบตอบผู้อาวุโสพักหนึ่ง ผู้อาวุโสมู่เซินได้ยินแล้วก็พยักหน้าเบาๆ เหลือบมองเหมียวอี้ที่โดนกรอกสุราอยู่ท่ามกลางฝูงชนหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยห้าม

หลังจากโดนทรมานไปประเดี๋ยวเดียว เหมียวอี้ก็ฉวยโอกาสหาช่องว่างกึ่งคลานกึ่งวิ่งหนีออกมา ทำเอาพวกปีศาจหัวเราะเสียงดังลั่น

พวกหมิงจ้าวเหลือบมองเหมียวอี้ที่สะบักสะบอมเกินทน แล้วพากันกลั้นขำ

ในขณะนี้เอง ผู้อาวุโสมู่เซินกระทุ้งไม้เท้า หลังจากเสียงกระทุ้งดังขึ้นสามครั้ง คนที่กำลังเต้นรำในงานก็หยุดทันที บรรดาปีศาจที่สนุกสุดเหวี่ยงก็กลับไปนั่งประจำที่ตัวเองแล้วเช่นกัน

ปีศาจชายสองคนที่สวมกำไลแขนยกวงล้อโลหะสีดำขึ้นมาใบหนึ่ง แล้ววางบนชั้นไม้ จากนั้นผู้อาวุโสมู่เซินก็ยืนขึ้น มองไปทางพวกหมิงจ้าวพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แขกผู้มีเกนีติทุกท่าน เผ่าปีศาจของพวกเรามีประเพณีที่ทำกันมาตลอด ถ้ามีแขกมาเยือนเผ่าของพวกเรา พวกเราก็ทำการทดสอบ เพื่อดูว่าเป็นแขกผูมีเกียรติสูงสุดหรือไม่ ผู้ที่ผ่านการทดสอบจะได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นที่สุดจากเผ่าปีศาจ หวังว่าทุกท่านจะเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม เคารพประเพณีของพวกเรา”

พวกเหมียวอี้เงยหน้ามองวงล้อโลหะบนเวที นอกจากหมิงจ้าว คนอื่นก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร เหมียวอี้ก็เงยหน้ามองแวบหนึ่ง แล้วเช็ดน้ำสุราสีเขียวที่เปื้อนบนตัวต่อไป เขาโดนปีศาจกลุ่มนี้ต้อนรับอย่างอบอุ่นเต็มที่แล้ว ไม่ได้คิดจะเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดอะไรนั่นเลย นี่เป็นการดื่มสุราเสียที่ไหนกัน นี่เป็นการดื่มสุราทัณฑ์ชัดๆ หลังจากเคยโดยจับโดนจับกรอกสุราที่นภาจอมมาร เขาก็รังเกียจการโดนคนอื่นกรอกสุรามาก

หมิงจ้าวยืนขึ้น ประทับมือตรงหัวใจคำนับพลางกล่าวว่า “พวกเรายินดีจะเคารพประเพณีของเผ่าปีศาจ รับการทดสอบจากเจ้าบ้าน”

ผู้อาวุโสมู่เซินยื่นมือเชิญทันที หมิงจ้าวเป็นคนแรกที่เดินเข้าไป เดินไปข้างวงล้อโลหะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้รับการทดสอบแบบนี้  เขาก้มหน้าจ้องวงล้อโลหะและเริ่มครุ่นคิด

บนวงล้อโลหะมีอักษรตัวเล็กๆ อยู่รวมกันวงแล้ววงเล่า แน่นขนัดเป็นพันตัว ด้านบนของวงล้อโลหะมีตัวอักษรอยู่แถวหนึ่ง : ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก ปลายขั้วแห่งหยินหยาง

มีทั้งหมดแปดตัวอักษร และด้านข้างของตัวอักษรทั้งแปด ก็ยังมีรอยเว้าอีกหนึ่งแถว เหลือตำแหน่งว่างไว้แปดตัว วงตัวอักษรที่หมุนอยู่บนถอดกลมก็คือตัวอักษรสำหรับเติมคำในช่องว่าง เมื่อเติมคติพจน์สิบหกตัวเสร็จแล้ว คนที่ตอบถูกก็จะผ่านการทดสอบ จะกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของเผ่าปีศาจ

ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าอธิบายกติกาให้หมิงจ้าวฟัง หมิงจ้าวพยักหน้ายิ้ม เขารู้กติกานี้อยู่แล้ว ถึงแม้จะมีประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ถ้าอยากจะเติมให้สอดคล้องกับคำตอบเดิมทุกตัว ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

ทำได้เพียงไตร่ตรองพักหนึ่ง แล้วทำตามอำเภอใจ ยื่นมือไปกดตัวอักษร ‘ฟ้า’ แล้วหมุนไปตรงช่องว่าง ใช้ปลายนิ้วกดชี้ออกมา ไหลตามรางเติมไปที่ช่องว่างตัวแรก จากนั้นก็หมุนตัวอักษรอีกเจ็ดตัวอย่างรวดเร็ว เติมเข้าไปทีละตัว

ตัวอักษรแปดตัวที่เขาเติมได้ความหมายว่า  : ท้องฟ้าสีดำแผ่นดินสีเหลือง จักรวาลผสมรวมกัน!

หลังจากเติมเสร็จแล้ว หมิงจ้าวก็เงยหน้ามองผู้อาวุโสมู่เซิน เจ้าตัวยิ้มบางๆ แล้วยื่นมือเชิญ บอกใบ้ให้เขากลับไปนั่งที่ได้

หมิงจ้าวส่ายหน้ายิ้มเจื่อน ไม่ต้องบอกก็รู้ เขาไม่ผ่านการทดสอบนี้แล้ว ทำได้เพียงกุมหมัดคารวะและหันตัวเดินลงจากเวที ก่อนจะบอกเหมียวอี้ที่อยู่ถัดไปว่า “ฆราวาส ถึงตาเจ้าไปทดสอบแล้ว”

เหมียวอี้ไม่อยากได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นอะไรอีกแล้ว จึงบอกว่า “ขนาดผู้อาวุโสยังไม่ผ่านการทดสอบนี้เลย อย่างข้าก็ไม่ต้องทดสอบแล้ว” เขาหันไปบอกกับไฉจวิ้น “เชิญศิษย์พี่ใหญ่ก่อนแล้วกัน เสื้อข้ายังเหนียวเปื้อนอยู่เลย ต้องเช็ดก่อน”

ทำแบบนี้ได้เหรอ? ไฉจวิ้นมองไปทางหมิงจ้าว เขาเองก็อยากลองเปิดหูเปิดตาดูสักหน่อย

หมิงจ้าวไม่คัดค้านอะไร พยักหน้าตอบรับ ไฉจวิ้นจึงยืนขึ้น วิ่งไปคำนับบนเวทีแล้วฟังธิดาศักดิ์สิทธิ์อธิบายกติกา หลังจากครุ่นคิดครู่เดียว เขาก็หมุนตัวอักษรมาเติมแปดตัว ผลที่ได้เหมือนกับหมิงจ้าว ถูกผู้อาวุโสมู่เซินเชิญลงจากเวทีแล้ว

950

คติพจน์สิบหกตัว

ไฉจวิ้นรู้สึกว่ายังไม่หายอยาก แต่ช่วยไม่ได้ที่การเล่นวงล้อเติมคำไม่มีการลองซ้ำ ทำได้เพียงลงจากเวทีพร้อมกับความเสียดาย

เหมียวอี้ไม่มีท่าทีว่าจะขึ้นไปบนเวที ไฉจวิ้นจึงนั่งลงแล้วบอกเขาว่า “ไม่ต้องเช็ดแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก็สิ้นเรื่อง” ความหมายที่จะสื่อก็คือ เร่งให้เขาขึ้นไปลองเล่น

ปรากฏว่าเหมียวอี้หันไปพยักหน้าให้ศิษย์พี่รองหญิงคนสวย บอกใบ้ให้นางขึ้นเล่นแทน ที่บอกว่าเสื้อผ้าสกปรกคือข้ออ้าง ความจริงคือไม่อยากเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดที่ถูกต้อนรับอย่างอบอุ่นอีกแล้ว

เซี่ยหนานเอ๋อร์เองก็ไม่เกรงใจ เห็นว่าหมิงจ้าวไม่คัดค้าน นางก็ลุกเดินออกจากโต๊ะ ค่อยๆ ก้าวขึ้นไปคำนับบนเวที หลังจากฟังคำชี้แนะจากธิดาศักดิ์สิทธิ์จบแล้ว นางก็ทำตัวทำให้กระปรี้กระเปร่าทันที ยืนจ้องหน้าวงล้อเงียบๆ นางใช้เวลาครุ่นคิดนานมาก ถึงได้ลองหมุนวงล้อเติมอักษรแปดตัว

ถึงแม้จะใช้ความคิดนานมาก แต่ก็ยังเปลี่ยนแปลงตอนจบไม่ได้อยู่ดี ยังถูกผู้อาวุโสมู่เซินยื่นมือเชิญให้ลงจากเวทีเหมือนเดิม ส่วนธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าก็รีบหมุนวงล้อเติมคำกลับไปตำแหน่งเดิม

เหมียวอี้แน่วแน่ว่าไม่อยากขึ้นไปเล่น หลังจากเซี่ยหนานเอ๋อร์กลับมาแล้ว คนถัดไปก็วิ่งขึ้นไปทดลองเล่นอีก ไม่ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ ก็คิดเสียว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน

ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม พ่ายแพ้กลับมา แล้วก็เปลี่ยนให้คนต่อไปขึ้นไปเล่นต่อ

จนกระทั่งเปลี่ยนให้จงหลีค่วยขึ้นไปเล่นก็ยังแพ้ ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสิบเอ็ดคน ขึ้นไปเล่นทีละคนและถอยกลับมาทีละคน รวมหมิงจ้าวด้วยก็เล่นครบสิบสองคนแล้ว พวกเขารู้สึกเสียดายมาก ไม่มีใครได้กลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของเผ่าปีศาจเลย

แต่เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสมู่เซินไม่อยากปล่อยให้ใครบางคนเป็น ‘ปลาลอดแห’ จ้องมองเหมียวอี้ที่อยู่เบื้องล่างตลอด ในงานเลี้ยงเงียบลง สายตาของทุกคนจ้องไปที่เหมียวอี้แล้ว

การรังควานด้วยสายตาแบบนี้ทำให้หมิงจ้าวกุมหมัดไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “ฆราวาส ขึ้นไปลองหน่อยเถอะ ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย”

เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ แล้วตอบว่า “เว้นข้าไว้เถอะ ขนาดพวกท่านยังไม่ผ่านการทดสอบเลย งั้นข้าก็ไม่ขึ้นไปแสดงฝีมืออันต่ำต้อยแล้ว”

ใครจะคิดว่าผู้อาวุโสมู่เซินจะกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “ผู้ที่ไม่ยอมรับการทดสอบ พวกเราจะมองว่าดูถูกเผ่าของพวกเรา ป่าผืนนี้จะไม่ต้อนรับการมาเยือนของเขา ถ้าเจ้าไม่ยอมรับการทดสอบ ก็เชิญออกไปเสียตั้งแต่ตอนนี้!”

“…” เหมียวอี้อ้าปากค้าง ไม่ใช่แล้วมั้ง แค่ไม่เล่นด้วยก็จะไล่ข้าไปเลยเหรอ ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวเหรอ?

“ฆราวาส!” หมิงจ้าวขมวดคิ้วพลางพยักหน้า บอกใบ้ให้เขาขึ้นไป ที่จริงเหมียวอี้จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่สำคัญ เหมียวอี้ไปแล้วก็ไม่เป็นอะไร แต่ประเด็นสำคัญคือหมิงจ้าวไม่อยากปล่อยให้เรื่องนี้มาทำให้คนของเผ่าปีศาจไม่พอใจ ถึงอย่างไรต่อไปก็ยังต้องมาหาสมบัติในอาณาเขตของอีกฝ่าย

อีกฝ่ายพูดถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวอี้ยังจะอ้างอะไรได้อีก ถ้าจะให้เขาออกไปตอนนี้เขาก็ไม่ยอมหรอก ถ้ายังหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานไม่พบ เขาจะยอมจากไปได้เหรอ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถ่อมาไกลขนาดนี้หรอก ทำได้เพียงขึ้นเวทีไป

แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เล่นดูหน่อยก็ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรเสียหาย ถ้าไม่อยากได้รับการปฏิบัติอย่างอบอุ่นเหมือนเมื่อครู่นี้ อย่างมากถ้าเล่นมั่วก็ไม่ผ่านการทดสอบหรอก! เหมียวอี้พึมพำในใจแล้วลุกขึ้นเดินไปบนเวที

เหมียวอี้ตัวเปื้อนน้ำสุราสีเขียว พอขึ้นบนเวทีแล้วดูสะดุดตามาก หลังจากขึ้นมากุมหมัดคารวะด้านข้างวงล้อโลหะ สายตาก็กวาดมองตัวอักษรที่ยัวเยี้ยอยู่บนวงล้อแวบหนึ่ง เขาไม่ได้ให้ความสำคัญสักเท่าไร ตอนที่เพิ่งย้ายสายตาไปบนใบหน้าของธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่า เขาก็ตกตะลึงทันที

ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่ามีแววตาที่สดใสเปล่งประกายมาก ดูสวยละมุนสะอาดไปทั้งตัว ยิ่งมองใกล้ๆ ก็ยิ่งพบว่าบริสุทธิ์ผุดผ่องจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ ตอนที่นางกำลังอธิบายให้เหมียวอี้ฟังว่าจะทดสอบอย่างไร เหมียวอี้กลับรู้สึกเหมือนโดนเข็มจิ้ม เขาย้ายสายตากลับไปที่วงล้อเติมคำ จ้องมองตัวอักษรที่เขียนว่า ‘ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก ปลายขั้วแห่งหยินหยาง’ บนวงล้อ เมื่อครู่เขากวาดสายตามองแต่เกือบจะมองข้ามไป ตอนนี้เขาเบิกตากว้างทันที ได้แต่ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น ขนาดธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าพูดจบแล้วเขาก็ยังไม่รู้ตัว

คนอื่นอาจจะประหลาดใจกับอักษรแปดตัวนี้ แต่สำหรับเหมียวอี้ เขากลับคุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยยังไงแล้ว เป็นอักษรแปดตัวหน้าที่อยู่ในบทนำคติพจน์สิบหกตัวของเคล็ดวิชาอัคนีดารา เขาจะไม่รู้จักได้ยังไง

ปฏิกิริยาของเหมียวอี้ค่อนข้างแปลก เขาหันหลังให้คนที่อยู่ข้างล่าง คนข้างล่างจึงมองไม่เห็น คิดว่าเขากำลังครุ่นคิดว่าจะเติมอักษรอย่างไร

แต่ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าสังเกตเห็นแล้ว นางหันไปมองผู้อาวุโสมู่เซินแวบหนึ่ง ผู้อาวุโสมู่เซินก็สังเกตเห็นความผิดปกติของเหมียวอี้แล้วเช่นกัน โดยเฉพาะปฏิกิริยาที่เหมียวอี้เสียอาการจนเบิกตากว้าง เรียกได้ว่าทำให้ผู้อาวุโสมู่เซินกลั้นหายใจทันที จ้องมองปฏิกิริยาของเหมียวอี้เงียบๆ มองออกรางๆ ว่าเขาเฝ้าคอยอยู่

ในใจเหมียวอี้กลับว้าวุ่นราวกับมีคลื่นโหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง อักษรแปดตัวแรกในคติพจน์สิบหกตัวของบทนำเคล็ดวิชาอัคนีดารา ทำไมถึงมาโผล่ที่นี่ได้ล่ะ? จะบังเอิญขนาดนั้นเชียวเหรอ ทำไมแปดตัวข้างหน้าตรงกันพอดี แล้วแปดตัวข้างหลังก็เว้นว่างไว้พอดี? เคล็ดวิชาอัคนีดารามาจากแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง อย่าบอกนะว่ามาจากพิภพใหญ่ด้วยเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคติพจน์สิบหกตัวจะมาโผล่อยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

หลังจากได้สติกลับมาอย่างช้าๆ เหมียวอี้ก็เหลือบตาขึ้นอย่างสงสัย มองดูธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่า แล้วก็มองผู้อาวุโสมู่เซินอีก เหมือนอยากจะหาเบาะแสจากสีหน้าของทั้งสองคน แต่จนใจที่สีหน้าและแววตาของมู่น่าบริสุทธิ์ใสซื่อมาก ผู้อาวุโสมู่เซินก็นิ่งเฉยเยือกเย็นเช่นกัน เขามองเบาะแสอะไรไม่ออกเลย

ผู้อาวุโสมู่เซินจับสังเกตได้ถึงความตกตะลึงประหลาดใจในดวงตาเหมียวอี้ เขายิ้มบางๆ พลางยื่นมือเชิญ “หากแขกผู้มีเกียรติไตร่ตรองดีแล้ว เชิญลงมือได้!”

แววตาประหลาดใจสงสัยของเหมียวอี้ค่อยๆ ย้ายกลับไปบนวงล้อเติมคำ ตอนนี้เขากำลังพิจารณาว่าควรจะเติมคติพจน์แปดตัวหลังของบทนำเคล็ดวิชาอัคนีดาราลงไปหรือไม่ ถ้าเป็นความบังเอิญ ต่อให้เขาเติมคติพจน์สิบหกตัวนั้นไปก็คงไม่เป็นอะไร แต่ถ้าไม่ใช่ความบังเอิญ เขาก็กังวลว่าจะสร้างปัญหาอะไรตามมาหรือเปล่า ทำไมต้องนำคติพจน์สิบหกตัวของเคล็ดวิชาอัคนีดารามาทำเป็นบททดสอบด้วยล่ะ? ระหว่างเผ่าปีศาจกับเคล็ดวิชาอัคนีดารามีอะไรเกี่ยวข้องกันเหรอ?

จะเติมคำตอบที่อยู่ในใจตัวเอง หรือจะเติมมั่วๆ ไป เขาสับสนพัวพันกันอุตลุต ทั้งอยากจะรู้ผลลัพธ์ ทั้งกลัวว่าจะสร้างปัญหาอะไร ประสบพบเจอกับเรื่องที่ทำให้เขาสับสนได้ขนาดนี้เข้าแล้ว

หลังจากไตร่ตรองซ้ำๆ เหมียวอี้ก็เริ่มตัดสินใจได้ เขาเองก็อยากจะเห็นว่าวงล้อเติมคำนี้เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาอัคนีดาราหรือเปล่า บางทีตัวเองอาจจะคิดมากไป

คนอื่นไม่มีทางเข้าใจว่าตัวอักษร ‘ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก ปลายขั้วแห่งหยินหยาง’ ดึงดูดใจเขาขนาดไหน เพราะนี่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาฝึกตนของเขา เคล็ดวิชาที่ทำให้เขาเดินมาจนถึงวันนี้

สุดท้าย ขณะที่หมิงจ้าวและคนอื่นๆ ข้างล่างกำลังขมวดคิ้วสงสัยว่าทำไมเหมียวอี้ครุ่นคิดนานขนาดนี้ หลังจากสายตาของเหมียวอี้มองหาบนวงล้อโลหะพักหนึ่ง ก็ยื่นมือไปจิ้มตัวอักษร ‘ดารา’  แล้วหมุนวงอักษรนั่นช้าๆ ย้าย ตัวอักษร ‘ดารา’ ตามราง พอตัวอักษรหลุดจากวงก็ดันขึ้นไปเบาๆ ไปเติมที่ช่องว่างช่องแรกจากแปดช่องนั้น

หลังจากวางตรงตำแหน่งแล้ว เหมียวอี้ก็ใช้นิ้วจิ้มต่อไป จิ้มคำว่า ‘ดารา’ อีกตัว หมุนไปตามวิถีโคจรอีกครั้ง ตอนที่ดันตัวอักษรตัวที่สองไปเติมในช่องว่าง สายตาเขามองไปที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าและผู้อาวุโสมู่เซินอีกครั้ง หวังว่าจะมองเบาะแสอะไรออกจากสีหน้าของพวกเขา

ทว่าสายตาของทั้งสองก็กำลังจ้องอยู่บนวงล้อเช่นกัน ไม่ได้แสดงความผิดปกติใดๆ ถ้าจะบอกว่าผู้อาวุโสมู่เซินกำลังปิดบังอะไรอยู่ แล้วธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าล่ะ? ไม่ว่าจะมองอย่างไร เหมียวอี้ก็รู้สึกว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าไม่เหมือนคนที่จะหลอกลวงคนอื่น เป็นเพราะความบริสุทธิ์ผุดผ่องของนางเหมือนมาจากเนื้อแท้ บนโลกนี้เหมือนจะไม่มีแววตาของใครใสสะอาดเท่านางอีกแล้ว ราวกับฝุ่นทรายก็ทำใจพัดเข้าไปในดวงตาของนางไม่ลง เหมือนไม่เคยปนเปื้อนอะไรมาก่อน ไม่เหมือนกำลังหลอกลวงคนอื่น

ถ้าคนแบบนี้ยังหลอกคนอื่นได้ เช่นนั้นเหมียวอี้ก็บอกได้เพียงว่า ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าท่านนี้แสดงได้เหนือกว่ากว่าศีลแปด

ยิ่งทั้งสองทำท่าทางแบบนี้ ในใจเหมียวอี้ก็ยิ่งสงสัย ถ้าไม่ใช่เพราะคำตอบของตัวเองผิด ก็คงเป็นเพราะทั้งสองไม่รู้คำตอบที่แท้จริงเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นทำไมไม่แสดงปฏิกิริยาที่ผิดปกติอะไรสักนิดเลยล่ะ?

เหมียวอี้รีบเร่งมือ พอวางตัวอักษรตัวที่สองให้เข้าตำแหน่งแล้ว ก็ชี้ไปยังตัวอักษร ‘แห่ง’ ที่อยู่ข้างล่าง ขณะที่ดันมันขึ้นมาก็สังเกตปฏิกิริยาของทั้งสองอีกครั้ง

ทั้งสองยังคงทำสีหน้าสนใจเหมือนปกติ เหมียวอี้จึงกัดฟัน หาตัวอักษรอีกห้าตัวและหมุนดันขึ้นไปทีละตัว อักษรห้าตัวนั้นได้ความหมายว่า : ไฟเผาลามทุ่งหญ้า

อักษรแปดตัวนั้นได้ความหมายว่า : อัคนีแห่งดารา เผาลามทุ่งหญ้า!

คติพจน์สิบหกตัวในบทนำของเคล็ดวิชาอัคนีดารา ได้ความหมายว่า : ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก ปลายขั้วแห่งหยินหยาง อัคนีแห่งดารา เผาลามทุ่งหญ้า!

เหมียวอี้ถอนนิ้วออกจากวงล้อเติมคำ หลังจากปล่อยมือสองข้าง ก็มองดูปฏิกิริยาของผู้อาวุโสมู่เซิน

ผู้อาวุโสมู่เซินก็จ้องวงล้อเติมคำเช่นกัน ในดวงตาเหมือนฉายแววผิดหวัง เงยหน้ามองเหมียวอี้ แล้วยกมือเล็กน้อย เป็นการเชิญให้กลับลงไป

เหมียวอี้แอบโล่งอก คิดในใจว่า ข้าก็ว่าแล้วไง จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นได้ยังไง ตัวเองคิดมากไปจริงๆ ด้วย สงสัยอักษรแปดตัวนั้นจะบังเอิญไปเหมือนกับคติพจน์สิบหกตัวในบทนำของเคล็ดวิชาอัคนีดาราพอดี

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะเตรียมจะลงจากเวที ทว่าตอนที่เขาหันตัวมา ขณะที่ผู้อาวุโสมู่เซินยกมือเตรียมจะบอกให้ปีศาจชายสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลมาถือวงล้อโลหะออกไป วงล้อโลหะนั่นก็มีเสียง ‘แกร๊ก’ ดังชัดเจนมาก

เหมียวอี้ที่ก้าวเท้าออกมาได้ก้าวหนึ่งหยุดชะงัก พอหันกลับไปมอง ก็ตกตะลึงทันที

เสียง ‘แกร๊ก’ ค่อยๆ กลายเป็นเสียง ‘แกร๊กๆๆ’ ดังต่อเนื่องเป็นชุด จู่ๆ วงตัวอักษรที่แน่นขนัดก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา ภายใต้สถานการณ์ที่มีใครควบคุม มันกำลังหมุนด้วยตัวเองเสียงดัง ‘แกร๊กๆ’ วงตัวอักษรหลายวงหมุนอย่างรวดเร็ว หมุนจนคนมองตาลายหมดแล้ว

ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

ผู้อาวุโสมู่เซินก็เบิกตากว้างเช่นกัน ลมหายใจถี่กระชั้นผิดปกติ ไม้เท้าที่ถืออยู่ในมือสั่นเล็กน้อย จ้องมองการเปลี่ยนแปลงบนวงล้อเติมคำอย่างไม่ละสายตา

เหมียวอี้ที่กำลังประหลาดใจสงสัยหันไปมองการเปลี่ยนแปลงของวงล้อเติมคำอีกครั้ง

เสียง ‘แกร๊กๆ’ บนเวทีทำให้หมิงจ้าวที่อยู่ข้างล่างยืนขึ้น เขาเองก็ทำสีหน้าประหลาดใจสงสัยเช่นกัน พวกไฉจวิ้นยืนขึ้นมองหน้ากันเลิกลั่ก อย่าบอกนะว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้เติมคำตอบได้ถูกต้อง?

พวกเขาอยากจะขึ้นไปดูมากว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ แต่ก็ไม่สะดวกจะทำตัวบุ่มบ่าม ทำได้เพียงยืนอยากรู้อยากเห็นอยู่ข้างล่าง

บรรดาปีศาจชายหญิงทุกคนที่นั่งอยู่ข้างล่างก็ลุกยืนเช่นกัน แต่ละคนมองไปข้างบนอย่างเงียบๆ

ในขณะนี้ทุกอย่างเงียบสงัด มีเพียงล้อเติมคำบนเวทีที่ส่งเสียงดัง ‘แกร๊กๆ’ ไม่หยุด ในระหว่างนั้นก็เริ่มมีเสียง ‘แปะๆ’ ดังขึ้น

เหมียวอี้ ผู้อาวุโสมู่เซินและธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่ากำลังจ้องวงล้อเติมคำอย่างไม่ละสายตา เห็นเพียงอักษรสิบหกตัวที่รวมกันจนได้ความหมายว่า ‘ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก ปลายขั้วแห่งหยินหยาง อัคนีแห่งดารา เผาลามทุ่งหญ้า’ กำลังตกลงจากรางทีละตัว ไปรวมในวงอักษรที่กำลังหมุนวน หลังจากอักษรทั้งสิบหกตัวตกลงมาหมดแล้ว ตอนที่วนกลับรางไหล วงอักษรที่กำลังหมุนก็กระโดดขึ้นลงไม่หยุด มีทั้งตัวอักษรจากวงอักษรด้านล่างไปเติมใส่ด้านบน มีทั้งตัวอักษรจากวงอักษรด้านบนไปเติมใส่ด้านล่าง กำลังรวมกลุ่มกันไม่หยุด

951

คนเฝ้ากุญแจ

ฉากนี้ทำให้ปฏิกิริยาของสามคนที่อยู่บนเวทีแตกต่างกันออกไป พวกเขาต่างก็กำลังรอคอย รอคอยว่าจะเกิดผลลัพธ์อะไรขึ้น

หลังจากความเคลื่อนไหวบนวงล้อเติมคำเงียบลงโดยสิ้นเชิงแล้ว เหมียวอี้ก็เงยหน้าช้าๆ มองธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าและผู้อาวุโสมู่เซินที่กำลังทำสีหน้าตื่นเต้นฮึกเหิม ถ้าตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าตัวเองเติมคำถูกต้องแล้ว หรือยังไม่รู้ว่าวงล้อเติมคำนี่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาอัคนีดาราจริงๆ เขาก็คงไม่ต่างอะไรกับคนโง่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่มันจะเกิดการเปลี่ยนแลงเพราะคติพจน์บทนำสิบหกตัวของเคล็ดวิชาอัคนีดารา

ขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจเรื่องบางอย่าง มองออกได้อย่างชัดเจนจากปฏิกิริยาของสองคนนี้ ชายชราและสาวน้อยคู่นี้ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เรียกว่าคำตอบที่แท้จริงคืออะไร กุญแจสำคัญในการตรวจคำตอบมีเพียงวงล้อเติมคำเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าวงล้อเติมคำนี้เป็นของวิเศษสุดพิเศษที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนหลอมสร้างขึ้นมา คนที่ออกแบบของชิ้นนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาอัคนีดาราที่ตนฝึกแน่นอน

วงล้อเติมคำที่เงียบลง ในสายตาเหมียวอี้เป็นเพียงวงอักษรที่หนาแน่นไร้กฎเกณฑ์ แต่ปฏิกิริยาของผู้อาวุโสมู่เซินกลับค่อนข้างผิดปกติ เขาชี้ที่อักษรตัวแรกบนช่องว่างของรางไหล พลางเริ่มสวดคาถา “อาเสินหลัวหม่าต๋า หยวนม่านกู่หลันสั่ว…”

วงแล้ววงเล่า ใช้นิ้วชี้สวดหมดไปหนึ่งวง แล้วก็สวดวงที่อยู่ข้างในต่อ ทำนองของคาถานั่นราวกับร้องเพลง เหมือนเป็นภาษาที่คลุมเครือเข้าใจยากภาษาหนึ่ง

สำนวนยุ่งเหยิงที่ยากจะอ่านให้เป็นบทความได้สำหรับเหมียวอี้ แต่ผู้อาวุโสมู่เซินเหมือนจะสวดออกมาราวกับเป็นบทความของตำราธรรมดา คล่องปากมาก ถ้าให้เหมียวอี้สวดคงจะตะกุกตะกักมาก แต่ผู้อาวุโสมู่เซินสวดออกมาได้อย่างมีท่วงทำนอง

ความคิดต่างๆ แวบเข้ามาในหัวเหมียวอี้ เหมียวอี้ไม่รู้ว่าตัวเองไปเปิดใช้งานของสิ่งใดกันแน่ ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์หรือโทษกับตัวเอง

พวกหมิงจ้าวที่อยู่ข้างล่างขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสมู่เซินกำลังสวดคาถาผีอะไร แต่ดูจากปฏิกิริยาของบรรดาปีศาจในงาน เหมือนพวกเขาจะตื่นเต้นมาก แต่ละคนมองไปยังผู้อาวุโสมู่เซินที่กำลังสวดคาถาบนเวทีอย่างฮึกเหิม

ผู้อาวุโสมู่เซินที่ใช้กำลังนิ้วหมุนย้ายวงพลางสวดคาถา ตอนที่ชี้ตรงวงอักษรหลายวงที่อยู่ใกล้ชั้นใน นิ้วก็พลันหยุดชะงักไป ปากก็หยุดสวดคาถาแล้วเช่นกัน ไม่ได้สวดต่อแล้ว แต่กำลังมองดูเนื้อหาในนั้นอย่างละเอียด หลังจากแววตาวูบไหวอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ก็ยื่นมือไปขยับวงล้อเติมคำใหม่ แล้วปั่นวงอักษรที่เพิ่งรวมกลุ่มกันเองเมื่อครู่นี้วุ่นวายยุ่งเหยิงอย่างรวดเร็ว

หลังจากทำเสร็จ ผู้อาวุโสมู่เซินก็โบกมือเก็บวงล้อเติมคำ แล้วมองเหมียวอี้ด้วยแววตาลึกซึ้ง ถอยหลังช้าๆ สองสามก้าว แล้วหันตัวมาประกาศต่อทุกคนว่า “วันนี้ เผ่าปีศาจหาแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของพวกเราเจอแล้ว!” พูดจบก็นำทุกคนประทับฝ่ามือที่หัวใจ พลางโค้งกายให้เหมียวอี้!

ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าก็ทำแบบนี้เช่นกัน บรรดาปีศาจที่อยู่ในงานก็ทำแบบนี้ ทั้งงานเงียบเชียบไร้เสียง ทั้งหมดแสดงความเคารพต่อเหมียวอี้อย่างนอบน้อมและจริงใจ

พวกหมิงจ้าวตกตะลึงอ้าปากค้าง หันซ้ายหันขวามองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกเหลือเชื่อนิดหน่อย จากปฏิกิริยาที่เคารพเลื่อมใสของเหล่าปีศาจ สามารถดูออกได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อคือแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของเผ่าปีศาจจริงๆ

จงหลีค่วยพึมพำในใจ เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า เจ้าเด็กที่ถูไถเอาตัวรอดไปวันๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของเผ่าปีศาจแล้ว ความยุติธรรมยังมีอยู่มั้ย?

ขณะที่มองคนมากมายขนาดนี้คำนับตนอย่างเคารพเลื่อมใส เหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือควรกังวล สรุปคือในใจสับสนวุ่นวายไปหมด ไม่รู้ว่าการกระทำเมื่อครู่นี้หมายความว่าอะไร เขาจึงผายมือสองข้างอย่างระแวดระวัง “ผู้อาวุโส ธิดาศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนไม่ต้องมากพิธี!”

ผู้อาวุโสมู่เซินและธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าพยักหน้าเบาๆ เพื่อแสดงความจริงใจ พอวางมือลงแล้วยืนตัวตรง บรรดาปีศาจถึงได้ยืนตัวตรงตาม

“วันนี้ควรค่าแก่การจดจำ พี่น้องเผ่าปีศาจ แล้วก็แขกของพวกเรา ทุกคนเชิญใช้ความสนุกสุดเหวี่ยงเพื่อเฉลิมฉลอง!” ผู้อาวุโสมู่เซินยกไม้เท้าขึ้น แล้วกางแขนสองข้างประกาศเสียงดัง

“เฮ… เฮ…” บรรดาปีศาจโห่ร้องดีใจทันที เสียงเพลงดังขึ้น เรียกได้ว่าทั้งร้องทั้งเต้นอย่างสนุกสนาน ผู้คนกอดกันโห่ร้องไม่หยุด ออกแรงชนจอกสุราอย่างแรง น้ำสุราสีเขียวกระเด็นหก เป็นการเฉลิมฉลองอย่างบ้าคลั่งตามอำเภอใจ

มีเพียงพวกหมิงจ้าวที่เงียบงันอยู่ท่ามกลางฝูงชน มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ทำอะไรไม่ถูกนิดหน่อย ไม่นานก็เห็นเหมียวอี้ถูกผู้อาวุโสมู่เซินและธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าเชิญให้เหาะขึ้นมาบนง่ามไม้ที่อยู่สูง ด้านบนมีโพรงไม้ที่ใหญ่ที่สุดของทั้งต้น หลังจากทั้งสามเข้าไปในโพรงไม้ ทางเข้าโพรงไม้เลื้อยขยุกขยิกปิดอย่างรวดเร็ว หมิงจ้าวขมวดคิ้ว แต่จนใจที่ไม่ได้ถูกเชิญ จึงไม่สะดวกจะตามขึ้นไป

เหมียวอี้ที่เข้ามาในโพรงไม้หันขวับไปมองข้างหลัง เห็นประตูปิดสนิท ที่ว่างในโพรงไม้กว้างขวาง โต๊ะเก้าอี้งอกออกมาเป็นชุดเดียวกัน แต่ก็พอจะเข้าใจได้ นี่คือร่างเดิมของผู้อาวุโสมู่เซิน เขาอยากจะควบคุมให้เปลี่ยนแปลงอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ตามใจชอบ

เมื่อเห็นประตูปิดแล้ว เหมียวอี้ก็หันไปมองผู้อาวุโสมู่เซิน แล้วถามอย่างระแรงว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสกับธิดาศักดิ์สิทธิ์เชิญขึ้นมาด้วยเรื่องอะไร?”

แต่ผู้อาวุโสมู่เซินกลับมองเขาพลางถอนหายใจ “ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”

เหมียวอี้ฟังแล้วรู้สึกว่าแปลกประหลาดเกินบรรยาย ถามอย่างสงสัยว่า “อะไรนะ?”

ผู้อาวุโสมู่เซินถอนหายใจเบาๆ แล้วจ้องเขาด้วยสีหน้าจริงจังและหนักแน่น พร้อมบอกว่า “พวกเราทำตามความประสงค์ของท่าน รับการลงโทษจากท่าน รอท่านอยู่ที่นี่มานานแสนนานแล้ว ชดใช้ความผิดอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ในที่สุดก็รอจนท่านหวนกลับมา ตอนนี้พวกเราทำตามสัญญาแล้ว หวังว่าท่านจะไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเผ่าปีศาจของพวกเรา”

เหมียวอี้ยิ่งคิดก็ยิ่งหัวทึบเหมือนมีหมอกลง “ผู้อาวุโส ทำไมข้าฟังไม่เข้าใจว่าท่านกำลังพูดอะไร?”

ผู้อาวุโสมู่เซินตอบว่า “เดี๋ยวท่านจะเข้าใจเอง!” พูดจบก็พลิกฝ่ามือยื่นกระจกทองแดงออกมาบานหนึ่ง พอผลักฝ่ามือเบาๆ กระจกทองแดงก็ลอยไปตรงหน้าเหมียวอี้ “ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ของท่านควบคุมมัน มีเพียงพลังอิทธิฤทธิ์ของท่านเท่านั้นที่ควบคุมมันได้ กระจกบานนี้จะให้คำตอบท่านเอง”

เหมียวอี้ที่รับกระจกทองแดงมาไว้ในมือกำลังฉงนสนเท่ห์ มองหน้าทั้งสองคน แล้วก็มองกระจกในมือตัวเอง ผู้อาวุโสมู่เซินพยักหน้าเบาๆ ให้เขา เหมือนกำลังแนะนำว่าให้เขาลองดูสักหน่อย

เหมียวอี้ขมวดคิ้วมุ่น ในใจครุ่นคิดว่าเล่นบ้าอะไรกัน หลังจากคิดไปคิดมา ก็ลองร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูในกระจก พบว่าเป็นของวิเศษชิ้นหนึ่งที่ไร้ค่ามาก เหมือนจะไม่มีอานุภาพในการโจมตีหรือป้องกันอะไร จากนั้นก็ร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้น แต่ก็ไม่พบกฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองทั้งสองอย่างสงสัยอีกครั้ง

ผู้อาวุโสมู่เซินเหมือนจะดูออกว่าเขาสงสัย จึงอธิบายว่า “พวกเราเองก็รู้ไม่เยอะ จึงช่วยอะไรท่านไม่ได้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะเปิดใช้งานมันได้อย่างไร แต่คนที่ทิ้งกระจกบานนี้ไว้เคยบอกว่า นี่คือกุญแจดอกหนึ่ง คนที่ผ่านการทดสอบได้ก็จะได้รับคำตอบที่อยู่ในกระจกทองแดง และจะได้กุญแจที่เขาทิ้งไว้ให้ด้วย”

การทดสอบแขกผู้มีเกียรติสูงสุด? เหมียวอี้นึกเชื่อมโยงไปถึงวงล้อเติมคำทันที แล้วก็นึกเชื่อมโยงไปถึงเคล็ดวิชาอัคนีดารา อย่าบอกนะว่า?

เมื่อก้มหน้ามองกระจกทองแดงในมืออีกครั้ง ร่ายอิทธิฤทธิ์เล็กน้อย เปลวเพลิงไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งกรอกเข้าไปในกระจกทองแดง เพียงชั่วพริบตาเดียว กระจกทองแดงในมือก็สั่นเบาๆ อย่างเห็นได้ชัด หน้ากระจกเริ่มมีลำแสงหลากสีสันปรากฏขึ้น

เหมียวอี้ตกตะลึง ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่ามองเขาด้วยสีหน้าเคารพ ผู้อาวุโสมู่เซินถอนหายใจเบาๆ มองเหมียวอี้ด้วยแววตาซับซ้อน พลางพึมพำว่า “ท่านกลับมาแล้วจริงๆ! ราชันกลับมาแล้ว ฟ้าจะเปลี่ยนแล้ว อีกไม่นานจักรวาลผืนนี้คงจะเกิดพายุฝนโลหิต หวังว่าความสงบสุขจะกลับคืนมาโดยเร็ว!”

ตอนที่พูดประโยคข้างบน เขาใช้ภาษาเหมือนกับตอนที่สวดคาถาอ่านวงล้อเติมคำ เหมียวอี้ฟังไม่เข้าใจ ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าที่เพียงมองผู้อาวุโสมู่เซินแวบหนึ่งอย่างค่อนข้างหวาดกลัว

ตาแก่นี่กำลังพึมพำอะไร? เหมียวอี้เหลือบมองมู่เซินแวบหนึ่ง แล้วสายตาไปรวมอยู่ในกระจกทองแดงอย่างรวดเร็ว พอลำแสงหลากสีในกระจกหายไป ก็เกิดตัวอักษรหลายแถวบนหน้ากระจกทันที : ตรงกลางระหว่างภูเขาสามลูก บนท้องฟ้าสูงหกพันจั้ง ยามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกัน  มองลงเบื้องล่าง เคล็ดวิชาจอมมารไรเทียมทานภาคดิน!

เมื่อตัวอักษรยี่สิบเจ็ดตัวนี้ปรากฏขึ้น เหมียวอี้ก็ตกตะลึงพรึงเพริด ถ้าไม่ได้อ่านผิดหรือเข้าใจผิดไป ไม่น่าเชื่อว่าของสิ่งนี้จะกำลังชี้แนะให้หาเคล็ดวิชาจอมมารไรเทียมทานภาคดินได้อย่างแม่นยำ!

ในวินาทีนี้เหมือนเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว แผนที่ซ่อนสมบัติที่ตกอยู่ในปราสาทดำเนินนภาไม่ใช่ของปลอม แต่ไม่ได้ชี้นำไปยังที่ซ่อนสมบัติโดยตรง ชี้มาที่เผ่าปีศาจแทน  ชี้นำให้มารับการทดสอบจากเผ่าปีศาจ มีเพียงการผ่านการทดสอบจากเผ่าปีศาจเท่านั้น ถึงจะรู้สถานที่ซ่อนสมบัติที่แท้จริง

หรือพูดได้อีกอย่างว่า มีเพียงคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราเท่านั้น ถึงจะผ่านแบบทดสอบวงล้อเติมคำ ถึงจะได้กระจกทองแดงมาไว้ในมือ มีเพียงคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราเท่านั้น ถึงจะเห็นสถานที่ซ่อนสมบัติในตอนสุดท้ายได้

ถ้าคำพูดบนกระจกทองแดงเป็นความจริง เช่นนั้นทุกอย่างก็เหมือนจะชัดเจนขึ้นมาแล้ว เกี่ยวกับแผนที่ซ่อนสมบัตินี้  ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ มีเพียงคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราเท่านั้น ถึงจะได้เคล็ดวิชาจอมมารไรเทียมทานภาคดินไป คนอื่นต่อให้ได้แผนที่ซ่อนสมบัติไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้รู้คติพจน์สิบหกตัวของบทนำเคล็ดวิชาอัคนีดาราไปก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี  ด่านยากที่สร้างไว้ในแผนที่สอนสมบัติ คือสิ่งที่เตรียมไว้ให้คนประเภทเดียวเท่านั้น คนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดารา!

ยากจะอธิบายได้ว่าตอนนี้ในใจเหมียวอี้สั่นสะเทือนขนาดไหน ไม่รู้ว่าในโลกนี้มีแค่เขาคนเดียวหรือเปล่าที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดารา ไม่ใช่สิ ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ยังมีท่านมหาเซียนที่เหล่าไป๋บอก หรือว่ามหาเซียนท่านนั้นต่างหากที่เป็นตัวจริงที่จะได้ของสิ่งนี้ไป? หรือไม่อย่างนั้น ถ้าดูจากความสัมพันธ์ระหว่างเคล็ดวิชาอัคนีดารากับที่นี่ อย่าบอกนะว่ามหาเซียนท่านนั้นจะเป็นผู้ที่ทิ้งของสิ่งนี้ไว้?

ในหัวเขาเกิดความคิดแวบไปแวบมาราวกับสายฟ้าแลบ เริ่มเข้าใจเรื่องบางอย่างแล้ว เหล่าไป๋รู้จักแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งพอสมควร อย่างเช่นตอนที่ไปเก็บไข่ตั๊กแตนทมิฬ ทั้งยังมีภาพสลักสตรีทะยานฟ้าในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง เหมือนกับที่อยู่ในแผนที่ซ่อนสมบัติไม่มีผิด หรือว่าท่านมหาเซียนที่เหล่าไป๋บอกจะเป็นจอมมารที่โดนทหารสวรรค์หนึ่งแสนนายไล่สังหารในปีนั้น?

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้!

ถึงแม้ในใจจะมีเรื่องสงสัยอยู่บ้าง แต่สรุปว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่เขามั่นใจได้ ตนไม่ใช่คนที่เผ่าปีศาจรอมาตลอดแน่นอน เพราะตนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักนิด ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกอะไรเลย

แต่ใครจะไปสนล่ะ ของต้องตกอยู่ในมือตนถึงจะมีประโยชน์อย่างแท้จริง! เหมียวอี้แอบดีใจอย่างบ้าคลั่ง พอเก็บเปลวเพลิงไร้รูปร่าง แสงที่อยู่บนกระจกทองแดงก็หายไป ตัวอักษรที่อยู่ด้านบนหายไปหมดแล้ว เขาเก็บกระจกทองแดง ความลับนี้อยู่ในมือเขาแล้ว เขาไม่คิดจะมอบให้ใครด้วยความเคารพ และไม่คิดจะให้สองคนที่อยู่ตตรงหน้ารู้ด้วย

หลังจากจัดระเบียบความคิด สงบสติอารมณ์ลงแล้ว เหมียวอี้ก็ถามว่า “ผู้อาวุโส เป็นใครกันที่ทิ้งของสิ่งนี้ไว้แล้วบอกให้พวกท่านรออยู่ที่นี่?” เขาแปลกใจมากว่าใครกันแน่ที่วางแผนซับซ้อนแบบนี้ไว้

ผู้อาวุโสมู่เซินตอบว่า “เพียงเราเพียงทำตามคำสาบานของตัวเอง เป็นคนเฝ้ารักษากุญแจ ตอนนี้พวกเราทำตามสัญญาแล้ว ส่งมอบกุญแจให้ถึงมือของผู้ที่ควรจะรับแล้ว ในเมื่อท่านได้กุญแจไป เดี๋ยวก็จะพบคำตอบเอง!”


952

เตรียมจะทำคนเดียว

เมื่อเห็นเขาไม่อยากพูดอะไรมาก วรยุทธ์ของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ เหมียวอี้รู้ว่าตัวเองกดดันถามไปก็ไม่ได้เรื่องอะไร จึงไม่มัวพัวกับปัญหานี้อีก ถึงอย่างไรของก็ตกอยู่ในมือตนแล้ว เรื่องอื่นไม่เกี่ยวอะไรกับตน ขั้นต่อไปก็คือหาทางตามหาเคล็ดวิชาจอมมารไรเทียมทานภาคดิน โดยอิงจากคำแนะนำในกระจกทองแดง

“ผู้อาวุโสยังมีอย่างอื่นจะกำชับอีกหรือไม่?” เหมียวอี้ถามอีก ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เขาก็จะกลับไปคิดหาทางค้นหาสิ่งของต่อไป เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเล่นสนุก

“มิบังอาจจะกำชับอะไรหรอก เพียงหวังว่าท่านจะไม่ลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับพวกเรา” ผู้อาวุโสมู่เซินกล่าว

พูดถึงคำสัญญาอะไรกัน เหมียวอี้พูดไม่ออก เขามั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน ตนจะไปรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ต้องรับการทดสอบตัวจริงต้องรักษาสัญญาอะไร จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “สัญญาอะไรเหรอ?”

ผลก็คือผู้อาวุโสมู่เซินหลีกเลี่ยงที่จะตอบ “กุญแจอยู่ในมือท่านแล้ว เดี๋ยวท่านก็เจอคำตอบเอง” พูดจบก็กระทุ้งไม้เท้าบนพื้น ทางเข้าโพรงไม้ที่ปิดสนิทเลื้อยขยุกขยิกเปิดออกอีกครั้ง

ตอนนี้หมิงจ้าวไปพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับมู่หลินหลางแล้ว สุดท้ายก็ถามอ้อมๆ ว่า “ภาษาที่ผู้อาวุโสมู่เซินสวดใส่วงล้อเติมคำก่อนหน้านี้ ข้าฟังไม่ออกเลยสักคำ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสสวดอะไร ทำไมถึงทำให้พวกท่านตื่นเต้นฮึกเหิมขนาดนั้น?”

หลังจากมู่หลินหลางยกจอกสุราให้เขา ก็ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ใช่ภาษาที่เป็นหนึ่งเดียวหลังจากปกครองจักรวาลผืนนี้หรอก ที่ผู้อาวุโสสวดคือภาษาที่เผ่าปีศาจของพวกเราถ่ายทอดกันมาตั้งแต่โบราณ บอกว่าพวกเราหาแขกผู้มีเกียรติสูงสุดพบแล้ว เทพแห่งโชคลาภจะประทานอนาคตที่ดีงามและสงบสุขให้พวกเรา!”

“เฉลิมฉลองอย่างฮึกเหิมเพื่อสิ่งนี้น่ะเหรอ?” หมิงจ้าวงุนงง

มู่หลินหลางตอบอย่างปีติยินดี “แน่นอนสิ! เจ้าก็รู้ว่าเผ่าปีศาจของเราไม่ชอบวิธีการใช้ชีวิตแบบพวกเจ้า เราหวังเพียงจะได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ตลอดไป อยู่อย่างสงบสุขตลอดไป ใช้ชีวิตอยู่ในป่าอย่างงดงาม ป่าไม้สามารถประทานสิ่งจำเป็นทุกอย่างในการใช้ชีวิตให้พวกเราได้ สิ่งนี้ไม่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองหรอกหรือ?”

หมิงจ้าวพูดไม่ออก เข้าใจเช่นกันว่าค่านิยมของทั้งสองฝ่ายไม่มีทางหลอมรวมกันได้ เมื่อเห็นท่าทางอีกฝ่ายไม่เหมือนกำลังหลอกลวง แถมเผ่าปีศาจก็ไม่มีนิสัยหลอกลวงด้วย บางทีอาจจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริงๆ

ในขณะนี้เอง เหมียวอี้เหาะลงจากต้นไม้ใหญ่ เดินกลับมาแล้ว เข้ามาร่วมกลุ่มอยู่กับทุกคนต่อไป พบว่าสายตาที่ทุกคนมองตนดูแปลกไปนิดหน่อย เขาเองก็ทำได้เพียงยิ้มเจื่อน

จนกระทั่งการฉลองที่สนุกสนานจบลง ผู้อาวุโสมู่เซินกับธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลย

หลังจากกลับมาถึงที่พักที่จัดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ ไม่จำเป็นต้องพูดอย่างอื่นแล้ว ประโยคแรกที่หมิงจ้าวถามเหมียวอี้ก็คือ “ฆราวาส เจ้าเติมคำว่าอะไรบนวงล้อเติมคำถึงได้ผ่านการทดสอบ?”

เหมียวอี้รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาต้องเข้ามาถามเรื่องนี้ แต่จะบอกความจริงได้อย่างไรล่ะ พวกเจ้าป้องกันข้า ก็แสดงว่าไม่เชื่อใจข้า แล้วทำไมข้าจะป้องกันพวกเจ้าบ้างไม่ได้ จึงเอามือเกาหัวทันที “ข้าเองก็ไม่อยากผ่านการทดสอบอะไรนี่เลย หลังจากโดนพวกท่านกดดันให้ขึ้นไป พอคิดไปคิดมาก็ไม่สนใจอะไรแล้ว เติมไปส่งเดชแปดตัวอักษร ใครจะคิดว่าจะผ่านแบบทดสอบไปแบบงงๆ ก็ช่วยไม่ได้ สงสัยข้าจะเกิดมาเพื่อเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของพวกเขา”

พอเขาตอบบนี้ ทุกคนก็เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งอยากขำ มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? แต่คิดไปคิดมาก็ไม่มีใครสงสัยอะไร ตอนนั้นเจ้าบ้านี่โดนกลุ่มปีศาจดึงตัวไป เจ้าตัวไม่อยากขึ้นไปเล่นเลย โดนกดดันให้ขึ้นไปจริงๆ

“ฆราวาสเติมคำว่าอะไรกันแน่?” หมิงจ้าวขอหลักฐานต่อ

เหมียวอี้เอามือลูบคางทำท่านึกย้อนไป “เหมือนจะเป็น ‘ภูตผีมารปีศาจ ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก’ เหมือนข้าจะเติมไปแบบนี้นะ ตอนนั้นก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ จำได้ไม่ชัดเจนแล้ว เหมือนจะเติมไปแบบนี้แหละ”

ทุกคนอึ้งไปชั่วขณะ รวมทั้งหมิงจ้าวด้วย พากันครุ่นคิดพึมพำอยู่อย่างนั้น “ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก ปลายขั้วแห่งหยินหยาง ภูตผีมารปีศาจ ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก…”

ทุกคนพึมพำซ้ำๆ รู้สึกว่าการเติมคำของเหมียวอี้เหมือนจะถูกแต่ก็เหมือนไม่ถูก แต่ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เขาเหมือนแกล้งถูกเลือกให้เป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดจริงๆ ไม่ว่าผู้ที่มาจะเป็นมารหรือภูตผีหรือปีศาจก็ล้วนเป็นแขกของที่นี่เหรอ บางทีเดาไปแบบนี้ก็อาจจะถูกเหมือนกัน

เพียงแต่ว่า… ถ้าทำแบบนี้แล้วยังผ่านการทดสอบได้ ทุกคนก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกแล้ว ตัวเองลำบากใช้สมองครุ่นคิดไปตั้งมากมาย แต่ก็ยังสู้เจ้าเด็กนี่ที่ยังเติมคำไปมั่วๆ ไม่ได้

ไม่ว่าจะจริงหรือหลอก เหมียวอี้ก็ผ่านการทดสอบแล้ว จงหลีค่วยก้าวขึ้นมาถาม “ผู้อาวุโสมู่เซินเชิญเจ้าขึ้นไปทำอะไร?”

เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง “ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกเขาเชิญข้าขึ้นไปทำไม”

จงหลีค่วยถลึงตาถาม “เหลวไหล! เจ้าเป็นคนไปเองแท้ๆ เจ้าไม่รู้แล้วใครจะรู้? ข้าว่าเจ้าเด็กนี่ไม่ซื่อสัตย์แล้วมั้ง!”

เหมียวอี้จะตกหลุมพรางนี้ได้อย่างไร พูดเหน็บแนมกลับทันที “ข้าขึ้นไปยืนอยู่บนนั้น แล้วมู่เซินกับธิดาศักดิ์สิทธิ์นั่นก็เดินวนรอบตัวข้า ปากก็พูดพึมพำภาษาที่ข้าฟังไม่เข้าใจ ทำเหมือนร่ายมนตร์กับอวยพรอย่างนั้นแหละ พอเดินวนเสร็จก็เชิญให้ข้าลงมา ข้าถามว่าหมายความว่าอะไร พวกเขาก็ไม่ยอมบอก ข้าจะไปรู้เหรอว่าพวกเขาเชิญข้าขึ้นไปทำอะไร? ลุงหนวด ถ้าท่านเก่งนักก็ช่วยข้าแปลหน่อยสิว่าพวกเขากำลังทำอะไรกับข้า?”

“…” จงหลีค่วยพูดไม่ออก ที่ผู้อาวุโสมู่เซินสวดคาถาใส่วงล้อเติมคำก่อนหน้านี้ ทุกคนก็ได้ยินหมดแล้ว ถ้าเล่นแบบนั้นจริงๆ เขาก็แปลไม่ออกแล้ว

หมิงจ้าวถอนหายใจแล้วบอกว่า “คงจะเป็นภาษาของเผ่าปีศาจ ช่างเถอะ! จะได้เป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดหรือไม่ ก็ไม่มีความหมายอะไรสำหรับพวกเรา ทุกคนอย่าลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาที่นี่ นั่นต่างหากคือเรื่องหลักที่พวกเราต้องทำ ทุกคนพักผ่อนบำรุงกำลังวังชาให้เต็มที่ พรุ่งนี้เช้าจะเริ่มคุ้นหาบริวเวณนี้ตามแผน”

“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยรับคำสั่ง แล้วต่างคนต่างกลับไปนั่งขัดสมาธิ

เช้าตรู่วันต่อมา ขณะที่แสงอาทิตย์ยามเช้าโผล่ตรงเส้นขอบฟ้า หมิงจ้าวก็ไปเจรจาหารือกับผู้อาวุโสมู่เซิน จากนั้นก็กลับมาวางแผนนิดหน่อย แบ่งคนสิบสามคนออกเป็นหกกลุ่ม เหมียวอี้กับจงหลีค่วยอยู่กลุ่มเดียวกับหมิงจ้าวเหมือนที่กำหนดไว้ตอนแรก แล้วแยกย้ายกันค้นหาโดยยึดตรงนี้เป็นจุดศูนย์กลาง

บริเวณที่เผ่าปีศาจอยู่รวมกัน ไม่ต้องพูดถึงทิวทัศน์เลย ลำพังแค่ต้นไม้ใหญ่ที่กระจายอยู่ทั่วทุกที่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้ในสถานที่ทั่วไปแล้ว แม้แต่เถาวัลย์เก่าแก่ที่โยงใยกันอยู่ในป่าก็ใหญ่เท่าต้นขาแล้ว ทั้งยังมีพวกพืชพรรณเรืองแสงตอนกลางคืนที่อยู่ระหว่างป่าหรือไม่ก็หุบเขาประหลาดอันตราย บางครั้งยามยืนยืนอยู่ข้างน้ำตกลำธารตอนกลางคืน ฉากนั้นเหมือนอยู่ในความฝันจริงๆ งดงามจนทำให้คนต้องยกนิ้ว

บริเวณนี้แทบจะมองไม่เห็นสัตว์ใหญ่ชนิดใดเลย ย่อมเป็นเพราะกำจัดออกไปหมดเพื่อปลูกกิ่งหยกเหลือง ถ้ามีสัตว์เกะกะมากไปจะทำให้กิ่งหยกเหลืองที่ปลูกไว้เสียหาย

ไม่ต้องสงสัยเลย สถานที่ที่ต้นไม้เติบโตจนน่าทึ่งแบบนี้ จะต้องเป็นทำเลยอดเยี่ยมสำหรับการปลูกกิ่งหยกเหลืองแน่นอน ดังนั้นตรงใต้ต้นไม้ใหญ่บริเวณนี้ โดนส่วนใหญ่จะปลูกกิ่งหยกเหลืองเอาไว้ ทำให้คนที่เห็นใจสั่นหวั่นไหว แต่หมิงจ้าวดันออกคำสั่งกับทุกคนไว้ว่าห้ามแตะต้อง ถึงแม้เผ่าปีศาจจะปลูกพืชพวกนี้ไว้ แต่ที่จริงแล้วช่วยปลูกให้ปราสาทแมกไม้ทั้งหมด เป็นช่องทางรายได้หลักของปราสาทแมกไม้ ถ้าไปแตะต้องสมบัติของเขาซี้ซั้ว นอกจากจะสร้างปัญหาแล้ว ปราสาทดำเนินนภากับปราสาทแมกไม้ยังเป็นคนในเส้นทางเดียวกันด้วย ล้วนเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ ยังคบค้าสมาคมกัน ถ้าไปขโมยสมบัติของคนอื่น อย่าว่าแต่ปราสาทแมกไม้จะมาคิดบัญชีเลย ปราสาทดำเนินนภาเองก็ไม่ยกโทษให้ลูกศิษย์ของตัวเองเช่นกัน

เหมียวอี้ก็ยิ่งถูกเตือนซ้ำๆ ว่าอย่าแตะต้องของที่นี่ซี้ซั้ว สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้ไม่สบอารมณ์มาก เห็นข้าเป็นคนยังไงไปแล้ว จำเป็นต้องสั่งข้าซ้ำๆ แบบนี้มั้ย?

ว่ากันตามจริง เขาเองก็อยากจะแตะต้องเหมือนกัน ตัวเองแต่งเมียมาตั้งหลายคน ต้องมีสมบัติไปเลี้ยงสิ! ในโลกมนุษย์ เวลาแต่งงานมีภรรยาก็ต้องหาข้าวให้กิน ไม่มีผู้หญิงคนไหนแต่งงานกับเจ้าเพื่อปรนนิบัติและนอนกับเจ้าอย่างเดียวหรอก พวกนางก็ต้องใช้ชีวิตเหมือนกัน การใช้ชีวิตก็ต้องมีช่องทางทำเงิน เห็นท่าทางของอวิ๋นจือชิวตอนมาตลาดสวรรค์ครั้งแรกแล้วอยากซื้อของแต่เงินไม่พอมั้ยล่ะ ขนาดท่านขุนนางเหมียวยังทนมองไม่ไหว รู้สึกผิดอยู่สามส่วน!

กิ่งหยกเหลืองมากมายขนาดนี้ ถ้านำกลับไปได้จะต้องร่ำรวยเป็นเศรษฐีแน่นอน… แต่ก่อนที่จะหาเคล็ดวิชาจอมมารไรเทียมทานพบ ก่อนที่จะได้สมบัติของราชันลัทธิมารในปีนั้นมา เขาก็ไม่อยากจะก่อเรื่องจนตัวเองเสียการเสียงาน เขาไม่ถึงกับแยกแยะความสำคัญไม่ออก กลับเตือนจงหลีค่วยด้วยซ้ำว่าอย่าแตะต้องของคนอื่นซี้ซั้ว จะได้ไม่ทำให้ตนลำบากไปด้วย

จงหลีค่วยกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ชื่นชมกิ่งหยกเหลืองต้นใหญ่ที่พบเห็นได้ยาก พอได้ยินเหมียวอี้เตือนแบบนี้ ก็รู้สึกเหมือนโดนสบประมาท จึงตะคอกตอบว่า “เจ้าคุมตัวเองให้ดีก่อนเถอะน่า!”

ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ผ่านไปเดือนแล้วเดือนเล่า ทุกคนก็ยังไม่พบอะไรเลย แต่ก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ สับเปลี่ยนอาณาเขตกันค้นหาไม่หยุดเพราะกลัวจะตกหล่น

หลังจากผ่านไปหนึ่งปี เหมียวอี้ที่ได้สลับมาค้นหาบริเวณตรงกลางระหว่างภูเขาสามลูกดีอกดีใจมาก แต่ก็ยังไม่แสดงออกทางสีหน้า อดทนไว้ตลอด เพราะไม่มีทางเลือก ถ้าจะให้แย่งของกับปราสาทดำเนินนภาก็แย่งไม่ชนะ ทำได้เพียงคาดคะเนเงียบๆ ว่าจุดศูนย์กลางคือตรงไหน เตรียมจะกำหนดตำแหน่งไว้เงียบๆ แล้วหาโอกาสฮุบไว้คนเดียว จะประมาทเลินเล่อไม่ได้เด็ดขาด

“เหม่ออะไรของเจ้า?”

เมื่อหาจุดศูนย์กลางระหว่างภูเขาสามลูกได้แล้ว มันอยู่ตรงภูเขาหินที่เงียบสงบไม่สะดุดตา เนื่องจากปัญหาของสภาพพื้นดิน ด้านบนจึงไม่มีพืชอะไรงอกขึ้นมา มีแค่พวกวัชพืชและไม้เลื้อยที่ขึ้นตามซอกหินนิดหน่อย แต่ภูเขาลูกนี้น่าจะเป็นยอดเขาที่เคยโดนคนถากให้เรียบไม่รู้ตั้งกี่ปีมาแล้ว

เหมียวอี้คิดจนเหม่อลอย เป็นไปไม่ได้ที่จะบังเอิญขนาดนี้ สงสัยคนที่ทิ้งของไว้จะทำสัญลักษณ์ตำแหน่งที่แน่นอนเอาไว้เพื่อให้ค้นหาได้สะดวก จุดศูนย์กลางระหว่างสามภูเขาคือตรงนี้แน่นอน

จงหลีค่วยเห็นเขาเหม่อลอย จึงโพล่งถามไปส่งเดช

“ไม่มีอะไรนี่?” เหมียวอี้ส่ายหน้า ไม่อยากตกเป็นที่ต้องสงสัย เตรียมจะเดินหนี

แต่ใครจะคิดว่าหลังจากหมิงจ้าวเดินดูจนทั่วแล้ว จู่ๆ ก็บอกว่า “สถานที่นี้เหมือนจะเกิดจากฝีมือมนุษย์นะ ดูจากหินที่ตากแดดตากฝนจนเสื่อมโทรม เวลาผ่านไปนานมาก ดีไม่ดีอาจจะมีเบาะแส ไปตรวจดูให้ละเอียดสักหน่อย”

“เหมือนจะเป็นแบบนี้จริงๆ” จงหลีค่วยที่หันมองรอบๆ พยักหน้าอย่างแปลกใจ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจดูรอบๆ ทันที

เหมียวอี้รู้สึกตึงเครียดในใจทันที แสร้งทำเป็นสำรวจตาม

ผลลัพธ์ถูกลิขิตไว้แล้ว ร่ายอิทธิฤทธิ์ทะลุลงไปค้นหาใต้ดินก็ไม่มีประโยชน์ นั่นคือภูเขาหินที่แท้จริง ข้างในไม่ได้ซ่อนของอะไรเอาไว้

ด้วยวิธีการเดียวกัน อีกสิบกว่าคนเหมือนจะร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจภูเขาและพื้นดินบริเวณนี้ไปแล้วรอบหนึ่ง แม้แต่ในแม่น้ำก็ไม่ปล่อยผ่าน แต่ก็ไม่พบสถานที่ไหนที่สามารถซ่อนสมบัติได้เลย พวกถ้ำภูเขาที่หาพบก็เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่พบที่ซ่อนสมบัติ มีแต่ทำให้สัตว์เล็กที่หลบอยู่ในถ้ำตกใจ

การค้นหาครั้งนี้ หลายครั้งแล้วที่ไม่ยอมแพ้ หาแล้วหาอีก หาซ้ำไปซ้ำมา หลังจากหาเป็นเวลาสามปีเต็ม ในที่สุดปราสาทดำเนินนภาก็ยอมแพ้แล้ว เหมือนที่เหมียวอี้เดาไว้ตอนแรก สงสัยว่ามีคนเจตนาไม่ดีอยากยุให้รําตําให้รั่ว จึงจงใจปล่อยแผนที่ฉบับนี้ออกมา

หมิงจ้าวที่ลำบากค้นหาอยู่นานสามปี ตอนนี้นำพาทุกคนเหาะอยู่บนฟ้าและมองลงมาด้านล่าง เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ หลับหูหลับตาทำงานมาตั้งนาน

“กลับกันเถอะ!” หมิงจ้าวโบกมือเรียก แล้วนำทุกคนเหาะผ่านฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

ทุกคนที่กลับทางเก่าต่างก็รู้สึกอับจนหนทาง มีเพียงเหมียวอี้ที่แอบดีใจอย่างบ้าคลั่ง เขาถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดมาตลอด กอปรกับไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เขาเฝ้ารอวันนี้มานานมาก ต่อไปก็ถึงเวลาที่เขาจะทำคนเดียวแล้ว

แต่เขาก็เคลือบแคลงใจอยู่บ้าง ทุกคนค้นหาที่นี่จนทั่วเป็นเวลาหลายปี ทำขนาดนี้ยังหาไม่เจออีกเหรอ ของจะไปซ่อนอยู่ตรงไหนได้ล่ะ?


953

ไต้ซือ ลาสิกขาเถอะ

ระหว่างทางกลับ หลังจากแน่ใจตำแหน่งที่ตัวเองอยู่รวมทั้งทางที่จะไปแล้ว เหมียวอี้ก็กล่าวอำลาหมิงจ้าว “ผู้อาวุโส เสียเวลาอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว ผู้น้อยก็ต้องกลับไปฝึกตนเหมือนกัน ขอกล่าวอำลาตรงนี้”

หมิงจ้าวคิดไปคิดมาครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รั้งให้เขาอยู่ต่อ “ไฉจวิ้น เจ้านำศิษย์น้องสองคนพาเขากลับไปแล้ว!”

ไฉจวิ้นยังไม่ทันเอ่ยรับ เหมียวอี้ก็รีบปฏิเสธ “ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น ในมือข้ามีแผนที่ดาว สามารถหาทางกลับได้”

หมิงจ้าวส่ายหน้า “ที่นี่ยังอยู่ในเขตของสถานที่ไร้ระเบียบ มารปีศาจขวักไขว่ เจ้าไปคนเดียวอาจจะเกิดเหตุไม่คาดคิด ให้พวกเขาส่งเจ้าออกนอกสถานที่ไร้ระเบียบก็แล้วกัน”

เหมียวอี้เองก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธ กลัวว่าจะตกเป็นที่ต้องสงสัย จึงกุมหมัดคารวะทันที “ขอบคุณที่ผู้อาวุโสหวังดี รบกวนด้วย!”

หมิงจ้าวยิ้มตอบ แล้วพยักหน้าเบาๆ ให้ไฉจวิ้น ไฉจวิ้นน้อมรับคำสั่ง พาคนสองคนคุ้มกันส่งเหมียวอี้ออกไป พอแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่ม ก็นับว่าแยกทางกันบนท้องฟ้าแล้ว

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ไฉจวิ้นและศิษย์อีกสองคนก็มาส่งเหมียวอี้ถึงหน้าประตูดวงดาวของสถานที่ไร้ระเบียบ เหมียวอี้โน้มน้าวให้พวกเขาหยุดอยู่แค่ตรงนี้ “ไม่ต้องส่งแล้วล่ะ พอออกจากประตูดวงดาวก็ต้องอ้อมจากที่อื่นกลับมาอีก แบบนั้นยุ่งยากเกินไปแล้ว ข้าไปเองก็สิ้นเรื่อง”

ทั้งสามไม่ได้ฝืนใจ ไฉจวิ้นยิ้มพร้อมบอกว่า “ฆราวาสรักษาตัวด้วย”

“รักษาตัวด้วย!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ แล้วหันตัวเหาะไปยังประตูดวงดาวอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มีแสงสีเงินสายหนึ่งระเบิดออกมาหมุนวนครอบตัวเขา และชั่วพริบตาเดียวก็จมหายไปในหลุมที่ดำมืด

หลังจากพวกไฉจวิ้นเห็นเขาหายไปกับตาตัวเองแล้ว ถึงได้หันหลังกลับสู่ปราสาทดำเนินนภา

ส่วนทางด้านเหมียวอี้ พอออกจากประตูดวงดาวมาแล้ว ก็มองสำรวจโดยรอบแล้วรีบหยิบแผนที่ดาวออกมา ปากก็พึมพำด่าไปด้วย “ไม่ให้มาส่ง ก็ยังจะมาส่งอยู่ได้ ทำเอาข้าต้องอ้อมกลับไปตั้งไกล” เขาเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง แล้วเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว

ปัญหาที่สำคัญก็คือ ประตูดวงดาวเป็นช่องทางที่ผ่านได้เพียงครั้งเดียว ฝั่งนั้นมีทางให้มา แต่ฝั่งนี้กลับไม่มีทางให้ไปโดยตรง ต้องอ้อมประตูดวงดาวหลายดวงถึงจะกลับไปได้ แบบนั้นก็เกิดปัญหาแล้ว ไปกลับลำบากขนาดนี้ บนตัวเขามีกระสวยทองกับกระสวยเงินสำหรับใช้ข้ามประตูดวงดาวไม่พอแล้ว ก่อนหน้านี้อยากจะขอยืมจากพวกไฉจวิ้นสักหน่อย แต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความน่าสงสัยที่ไม่จำเป็น เขาจึงไม่ได้เอ่ยปากขอยืม

ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงไปยังตลาดสวรรค์ที่อยู่ใกล้ที่สุด จุดหมายคือดาวเมิ่งหัว จึงเร่งเดินทางเพียงลำพังอยู่ในจักรวาล ใจร้อนอยากไขปริศนาที่กระจกทองแดงทิ้งไว้..

ณ ดาวเทียนหยวน ริมมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ บนหินโสโครกที่ถูกระลอกคลื่นซัด ศีลแปดที่ยืนประนมมือยู่หน้ามหาสมุทรผืนใหญ่กำลังทุกข์ใจมาก เขาหันหน้าสู่ทะเลครามด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

ความกลัดกลุ้มใจมาจากสตรีชุดแดงที่อยู่ข้างหลัง ดวงหน้างามหยาดเยิ้ม สองแขนกำลังโอบเอวเขาอยู่ กำลังกอดเขา ร่างกายแนบชิดสนิทกัน นางกอดเขาแน่นจากข้างหลัง ใบหน้าแนบติดกับบ่าของเขา ทำสีหน้าสุขสันต์ชื่นมื่น มองดูน้ำที่ไหลขึ้นไหลลงด้วยกัน

ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ปีศาจโลหิตนั่นเอง สาเหตุที่เกิดฉากแบบนี้ได้ก็ไม่ซ้อนเลย ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นศีลแปด นางก็ตกหลุมรักแล้ว เป็นรักแรกพบ ไม่ว่าศีลแปดจะไปที่ไหน นางก็ตามไปที่นั่น คอยทุ่มเทดูแลตลอดทาง ถึงขนาดว่าปราบปีศาจกำจัดมารเพื่อศีลแปดมาตลอดทาง คอยรักษาความปลอดภัยให้ศีลแปด

ยิ่งศีลแปดรักษาระยะห่างกับนางเท่าไร ลักษณะมาดเคร่งและบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคีของเขาก็ยิ่งดึงดูดใจนางเท่านั้น มีอยู่จุดหนึ่งที่ปีศาจโลหิตไม่มีทางปฏิเสธได้ นั่นก็คือรูปลักษณ์ภายนอกของศีลแปดมีพลังทำลายล้างต่อผู้หญิงสูงมาก ทีผู้ชายยังชอบผู้หญิงสวยได้ แล้วทำไมผู้หญิงจะชอบผู้ชายที่หล่อเหลาน่ามองไม่ได้ล่ะ โดยเฉพาะผู้ชายหน้าตาดีที่ทั้งมีเสน่ห์ทั้งดูสะอาดแบบนั้น ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นพระหรือไม่เป็นพระ ที่สำคัญคือเป็นผู้ชายในสายตาผู้หญิงหรือเปล่า

แน่นอน สิ่งที่ทำให้ตกหลุมรักศีลแปดไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ผู้ชายในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือเป็นพระ ผู้ชายส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไร สิ่งที่เรียกว่าผู้ชาย ปีศาจโลหิตเห็นมานักต่อนักแล้ว ต่อให้ดูเรียบร้อยจริงจังขนาดไหน แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกวางมาดสง่าภูมิฐาน ยากที่จะปฏิเสธสาวงามได้ ปีศาจโลหิตยอมรับว่าหน้าตาตัวเองไม่ได้แย่ แต่พระรูปนี้กลับมีหัวใจอันบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ไม่สะทกสะท้านต่อความงาม เป็นผู้ชายที่มีดีทั้งภายนอกและภายใน สามารถพบเจอได้แต่ไม่สามารถไขว้คว้ามาได้ ในเมื่อเจอกันแล้ว ปีศาจโลหิตก็ไม่อยากปล่อยผ่านไป กว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะได้พบผู้ชายที่ตรงใจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จะเป็นพระหรือไม่เป็นพระก็ไม่สำคัญ ถึงอย่างไรก็สึกได้

พอได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันมาตลอดทาง ยิ่งได้รู้จักศีลแปดมากขึ้น ปีศาจโลหิตก็ยิ่งพบว่าตัวเองยากที่จะแยกจากกับเขาได้ รู้สึกกับศีลแปดถึงขั้นควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว จมอยู่ในห้วงแห่งความรักอย่างไม่มีทางถอนตัว เป็นฝ่ายรุกเข้ามากอดแบบนี้ยังเป็นแค่น้ำใจเล็กๆ เวลาอาการหนักก็ถึงขั้นเปลื้องผ้ายกร่างกายให้

สิ่งนี้ทำให้ศีลแปดตกใจกลัวไม่หาย เรียกได้ว่าหวาดกลัวแต่หนีไม่ทัน จนใจที่วรยุทธ์ต่างกับอีกฝ่ายเกินไป สำหรับวิชาศีลของเขา พรสวรรค์การฝึกตนในช่วงแรกสูงจนเหมือนปาฏิหาริย์ ถึงแม้ตอนนี้จะประสบปัญหาหยุดชะงักจนก้าวหน้าล่าช้า แต่วรยุทธ์ก็ถึงระดับบงกชม่วงขั้นหนึ่งแล้ว เพียงแต่เมื่อเทียบกับปีศาจโลหิตที่วรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ด เขาก็ไม่มีแม้แต่กำลังจะโต้ตอบเลย อยากจะหนีก็หนีไม่พ้น

ใช่ว่าศีลแปดจะไม่ชอบคนสวย เขาค่อนข้างบ้าผู้หญิง เป็นบิดาแห่งพระเจ้าชู้ แต่ศีลแปดก็มีความขมขื่นที่พูดออกมาไม่ได้ มารดาเจ้าเถอะ แบบนี้ยังเรียกว่าผู้หญิงอีกเหรอ? ต่อให้อีกฝ่ายเปลื้องผ้าหมดตัวมากอดเขาไว้ เขาก็ยังตกใจกลัวอยู่ดี พอเจอกันก็ทำให้นึกถึงภาพตอนที่เจอกับปีศาจโลหิตเป็นครั้งครั้งแรก ใบหน้าสุดสะพรึงที่เต็มไปด้วยรอยย่นราวกับโครงกระดูก ทั้งยังดูดเลือดคนอีก น่ากลัวจนไม่รู้จะน่ากลัวยังไงแล้ว ต่อให้เป็นพระที่บ้าผู้หญิงกว่านี้ แต่ก็คงไม่บ้าผู้หญิงแบบนี้หรอกมั้ง? ถ้ากอดกันแล้วจู่ๆ กลายสภาพเป็นแบบนั้น กัดคอเจ้าอย่างเย็นเยียบ แล้วดูดเลือดของเจ้าขึ้นมาล่ะ จะไม่ตกใจจนพระพุทธเจ้าองค์แรกถือกำเนิด พระพุทธเจ้าองค์ที่สองขึ้นสวรรค์หรอกเหรอ?

ดังนั้นศีลแปดจึงหันหลังให้นางตลอด โดยเฉพาะตอนที่กอดเขาไว้อย่างนี้ ในเมื่อวรยุทธ์ของเขาไม่สูงพอที่จะขัดขืน ดังนั้นก็ทำได้เพียงเหลือหลังไว้ให้นางกอด ทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ เขาก็ไม่กล้าหลับตาเลย กลัวว่าจะเกิดความคิดเพ้อเจ้อมากมายจนทำให้หวาดกลัวตัวสั่น ลืมตาไว้จะได้อยู่กับความเป็นจริงมากๆหน่อย

ศีลแปดทำได้เพียงยอมรับเคราะห์ร้ายของตัวเอง เวลาที่สนใจผู้หญิงสวยมากๆ แต่ไหนแต่ไรมาก็มีศีลเจ็ดคอยก่อกวนตลอด ร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับจุดหยางของเขาไว้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะสลัดศีลเจ็ดและมาถึงพิภพใหญ่ที่คนในแดนฝึกตนใฝ่ฝันถึง ปรากฏว่าได้มาเจอ ‘ยอดหญิงงาม’ ท่านนี้ตามเกาะแกะอยู่ตลอด ทำยิ่งกว่าตาแก่โล้นศีลเจ็ดอีก ตามเกาะติดทั้งวัน ไม่ออกห่างแม้แต่ก้าวเดียว กะจะไม่ให้เขาใช้ชีวิตเลยเหรอ?

ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังที่หนีมา โดนสาวงามสุดสยองท่านนี้เกาะติดแล้ว แบบนี้ไม่สู้อยู่ที่พิภพเล็กอย่างซื่อสัตย์ดีกว่า

“ไต้ซือ ลาสึกเถอะ มาเป็นคู่สามีภรรยาที่รักและผูกพันกับข้า!” ปีศาจโลหิตกอดเขาพลางกระซิบข้างหู

“หัวใจของอาตมาอยู่กับพระโพธิสัตว์มาตลอด หัวใจแห่งพุทธแน่วแน่ไร้ที่เปรียบ ไม่มีทางลาสึก” ศีลแปดปฏิเสธอย่างแน่วแน่อีกครั้ง

ปีศาจโลหิตคลายกอดเขาทันที จับเขาหันตัวมา แล้วตะคอกอย่างโกรธเคืองต่อหน้า “เป็นเพราะข้ายังสวยไม่พอใช่มั้ย?”

ศีลแปดยิ้มบางๆ พร้อมตอบว่า “หงเอ๋อร์ เจ้าสวยมาก แต่ในสายตาอาตมา ต่อให้เป็นสตรีที่งดงามกว่านี้ แต่ก็เป็นเพียงกระดูกที่งดงามทั้งนั้น รูปโฉมคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าก็คือรูปโฉม อามิตาพุทธ!” คำพูดนี้จริงครึ่งปลอมครึ่ง ผู้หญิงคนอื่นอาจจะไม่ใช่โครงกระดูกที่งดงามในสายตาของเขา แต่ปีศาจโลหิตเป็นแน่นอน ทั้งยังเป็นโครงกระดูกงดงามแบบที่น่ากลัวมากด้วย

ปีศาจโลหิตที่ขอร้องครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่ได้ผล ตอนนี้เริ่มโมโหแล้ว “ศีลแปด ในโลกนี้ไม่มีผู้ชายคนไหนที่ทำให้ข้าทำดีด้วยขนาดนี้ได้ เจ้าพูดมาจากใจจริงซิว่าจะให้ข้าทำอย่างไร?”

ศีลแปดใช้คำพูดดีๆ กล่าวโน้มน้าวอย่างนุ่มนวล “หงเอ๋อร์ เจ้ายึดมั่นถือมั่นกับรูปลักษณ์ พอตกอยู่ในความเดือดดาลลุ่มหลวง ตรงหน้าก็มีแต่ทะเลทุกข์แห่งความปรารถนา หันหลังกลับเข้าฝั่งเถิด รีบกลับฝั่งให้เร็วที่สุด!”

“อย่ามาใช้อุบายกับข้า ตอนข้าเปลือยร่างเจ้าก็เห็นมาหมดแล้ว สัมผัสก็สัมผัสแล้ว ตอนนี้มาให้ข้ากลับตัว เจ้าจะให้ข้ากลับตัวอย่างไร?” ปีศาจโลหิตตวาดถาม “ตอนนี้ข้าจะถามเจ้าคำเดียว เจ้าจะยอมหรือไม่ยอม?”

ศีลแปดแอบร้องในใจ เจ้าเป็นคนถอดเสื้อผ้าเองนะ แล้วเจ้าก็เป็นฝ่ายมาสัมผัสข้า ข้าไม่เคยแตะต้องเจ้าแม้แต่ปลายนิ้ว ในใจเขาค่อนข้างประหม่ากังวล สงสัยว่าผู้หญิงคนนี้จนตรอกเป็นหมากระโดดกำแพงแล้วจะทำอันตรายเขาถึงชีวิตหรือเปล่า? แต่ก็ยังถามด้วยรอยยิ้มว่า “หรือเจ้าอยากสังหารอาตมาเหรอ?”

ปีศาจโลหิตแสยะยิ้ม “ข้าต้องการอยู่กับเจ้าไปจนแก่ชรา จะฆ่าเจ้าได้อย่างไร! ในเมื่อเจ้าไม่ยอมลาสึก งั้นข้าก็จะช่วยลาสึกให้เจ้าเอง ให้เจ้าเป็นพระต่อไปไม่ได้!”

พูดจบก็ใช้นิ้วจิ้มที่หน้าอกของศีลแปดหนึ่งที ปราณปีศาจโลหิตที่เหมือนกับหมอกเลือดทะลักออกจากร่างกายนาง แผ่คลุมไปที่ศีลแปด กรอกเข้าไปในทวารทั้งเจ็ดของศีลแปดอย่างรวดเร็ว ศีลแปดตกใจมาก ตัวสั่นขัดขืนอยู่อย่างนั้น แต่เมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมโดยพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งออกอีกฝ่าย เขากระดิกกระเดี้ยไม่ได้เลยสักนิด ได้แต่มองดูปราณปีศาจโลหิตนับไม่ถ้วนไหลเข้าร่างกายตัวเอง เข้ามาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกายหยาบของตัวเอง

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ปราณปีศาจโลหิตก็สลายตัวไปแล้ว ปีศาจโลหิตถึงได้ผลักเขาออก

ศีลแปดย่อมรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติในร่างกาย จึงถามอย่างตกใจกลัวว่า “เจ้าทำอะไรกับอาตมา?”

ปีศาจโลหิตยิ้มอย่างสนิทสนม ตอบว่า “ไม่ได้ทำอะไร แค่ต้องทำให้เจ้ากลายเป็นเหมือนข้า อีกครึ่งเดือนเจ้าก็จะกลายเป็นปีศาจเหมือนข้าแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าจะแยกจากกับข้าไม่ได้อีก ทั้งยังจะขอร้องให้ข้าทำดีกับเจ้าด้วย!”

ศีลแปดที่ยืนอยู่บนหินโสโครกถูกลมทะเลพัดจนจีวรสีขาวปลิวสะบัด เขาถามพลางยิ้มอย่างขื่นขม “หงเอ๋อร์ ไม่เคยได้ยินหรือว่าแตงที่ฝืนเด็ดมาจะไม่หวาน ถ้าข้ากลายเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ข้าแล้ว เจ้ายังจะชอบข้าอยู่อีกเหรอ?”

ปีศาจโลหิตสะบัดแขนเสื้อ ตอบอย่างประสาทเสียว่า “ข้าไม่สนใจอะไรขนาดนั้นหรอก ข้าทิ้งศักดิ์ศรีแล้ว ทิ้งความสำรวมทุกอย่างที่ผู้หญิงควรจะมีเพื่อเจ้า แม้แต่เรื่องน่าไม่อายก็ทำมาแล้ว เจ้าคิดว่าข้าจะแยแสอะไรอีกล่ะ?”

ศีลแปดถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หัวตัวเข้าหามหาสมุทรอย่างเงียบๆ สีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดสลับกันอย่างรวดเร็ว เขาประนมมือสองข้าง นั่งขัดสมาธิลงบนหินโสโครก หันหน้าหาทะเลสีเขียวมรกตที่มีเสียงคลื่นซัดดังไม่หยุด หลับตาลงช้าๆ มือสองข้างที่อยู่ตรงหน้าอกกำลัง พลิกขยับนิ้วทั้งสิบเป็นตาประทับ พลางกล่าวเสียงดังอย่างนิ่งสงบ “ปิดตา ปิดหู ปิดใจ ไม่ถือมั่นในอาตมะลักษณะ ไม่ถือมั่นในปุคละลักษณะ ไม่ถือมั่นในสัตวะลักษณะ ไม่ถือมั่นในชีวะลักษณะ รู้แจ้งเห็นจริง!”

เมื่อกล่าวจบ นิ้วของมือทั้งสองข้างที่พลิกขยับเป็นรูปดอกบัวหยุดนิ่ง กลับมาประนมมือตั้งตรงหน้าอกอีกครั้ง นิ่งเงียบ!

ขณะมองดูศีลแปดที่กำลังนั่งขัดสมาธิอย่างสงบเรียบไร้เสียงราวกับพระพุทธรูป ปีศาจโลหิตก็ทำเสียงฮึดฮัด ไม่สนใจเขาอีก หันตัวมาสะบัดมือจนเกิดเสียงโครมคราม โจมตีหินโสโครกให้เกิดเป็นโพรงถ้ำโพรงหนึ่ง เดินเข้าไปนั่งขัดสมาธิ รอให้เวลานั้นมาถึง เวลาที่ศีลแปดยินยอมปฏิบัติตาม

ทะเล ท้องฟ้า ตะวัน จันทรา ดวงดาวสับเปลี่ยนตำแหน่ง

หลังจากนั้นสามวัน ศีลแปดที่นั่งสมาธิหันหน้าเข้าหามหาสมุทร ในที่สุดก็ลืมตาแล้ว เขายืนขึ้น ยังคงมองดูปีศาจโลหิตเดินเข้ามาตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ ยังคงสูงส่งบริสุทธิ์ราวกับไม่ถูกดูหมิ่นจากโลกมนุษย์ ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเหมือนที่ปีศาจโลหิตจินตนาการไว้

หารู้ไม่ว่าสาเหตุที่ศีลแปดฝึกตนได้เร็วมาก เป็นเพราะเคล็ดวิชาตรัสรู้ของเขาสามารถมองข้ามการรบกวนจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในลูกแก้วพลังปรารถนาได้ เวลาคนอื่นใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาฝึกตน ก็ยังต้องเสียเวลากลั่นกรองเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่อยู่ในลูกแก้วพลังปรารถนาทิ้ง แต่เขากลับสามารถรับกลืนเข้าไปทั้งหมด เพราะเคล็ดวิชาของเขาสามารถทำให้บริสุทธิ์ได้ สิ่งชั่งร้ายอัปมงคลพวกนี้ใช้ไม่ได้ผลกับเขา

954

กระชั้นชิดจวนตัว

ปีศาจโลหิตย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว และไม่มีทางยอมรับความจริงข้อนี้ด้วย หลังจากดันทุรังตรวจสอบดู นางก็ตกตะลึงมาก!

นางเฝ้าสังเกตทุกการกระทำของศีลแปดมาตลอด ยังไม่เห็นศีลแปดใช้ของอะไรช่วยเลย ปราณปีศาจโลหิตที่กรอกเข้าไปในร่างกายศีลแปดอันตรธานไปหมดสิ้น ถูกกำจัดหมดเกลี้ยง จะเป็นไปได้อย่างไร?

“เจ้าฝึกเคล็ดวิชาอะไร?” อุทานถามอย่างตกใจ

ศีลแปดถอนหายใจแล้วตอบว่า “ไม่เกี่ยวว่าฝึกเคล็ดวิชาอะไร ยามเกิดบาปขึ้นในใจ หัวใจข้าเป็นอิสระ ข้าก็เป็นเพียงข้า จะโดนปนเปื้อนจากสิ่งภายนอกได้อย่างไร! หากกระจกเดิมใสสะอาดอยู่แล้ว จะมีฝุ่นจับได้อย่างไร! หงเอ๋อร์ เจ้ายึดมั่นในลักษณ์แล้ว!”

“เจ้า…” ใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็งก็ไม่สำเร็จ ทำอะไรเขาไม่ได้เลย ปีศาจโลหิตรู้สึกอยากจะเป็นบ้า เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากฆ่าศีลแปดทิ้ง!

ผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นฝ่ายถอดเสื้อผ้าเสนอตัวเพื่อขอความรักจากผู้ชายที่รู้จักกันเป็นครั้งแรก แต่กลับไม่ได้อะไรกลับมา คนนอกไม่มีทางเข้าใจได้เลยว่าความนับถือในตัวเองได้รับความกระทบกระเทือนขนาดไหน ถ้านางเป็นแค่ผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่งก็ไม่เป็นไร แต่นางกลับแข็งแกร่งกว่าผู้ชายคนนี้ เดิมทีนางคิดว่าผลลัพธ์จะออกมาดีงามมาก ใครจะคิดว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้

เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้ทำท่าอับอายโมโหจนใกล้จะควบคุมตัวเองไม่อยู่ ศีลแปดก็แอบร้องในใจว่าซวยแล้ว หัวสมองรีบคิดหาหนทาง

ประจวบเหมาะพอดี โอกาสพลิกสถานการณ์โผล่มาแล้ว ปีศาจโลหิตขมวดคิ้ว ถือระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา

หลังจากตั้งใจฟังครู่หนึ่ง ปีศาจโลหิตก็สีหน้าเปลี่ยนทันที ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตะคอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ!”

เมื่อเอ่ยชื่อนี้ออกมา ศีลแปดคิ้วกระคุกโดยไม่รู้ตัว เป็นคนชื่อแซ่เดียวกันหรือเป็นพี่ใหญ่? รอจนกระทั่งปีศาจโลหิตร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าระฆังดาราตอบข้อความเสร็จ ศีลแปดก็ยิ้มบางๆ พร้อมถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อเป็นใครหรือ?”

“เป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจเหมือนกับเจ้าไงล่ะ” ปีศาจโลหิตเดือดดาล

ศีลแปดงงไปชั่วขระ ถามหยั่งเชิญว่า “หนิวโหย่วเต๋อคือคนที่เจ้าชอบเหมือนกันเหรอ?”

“เหลวไหล!” ปีศาจโลหิตโมโหจนตัวสั่น “เจ้าคิดว่าข้าเจอผู้ชายคนไหนก็ถอดเสื้อผ้าให้ดูหมดเลยใช่มั้ย? ที่แท้ในสายตาเจ้า ข้าก็เป็นคนแบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะเจ้าถึงไม่ชอบข้า!”

“อามิตาพุทธ! ในสายตาของอาตมา ถึงแม้การกระทำของเจ้าจะออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่กลับเป็นคนจริงใจ มีหัวใจเหมือนเด็กแรกเกิด พบหาได้ยาก ไม่เกี่ยวกับชอบหรือไม่ชอบเหมือนที่เจ้าบอก!” ศีลแปดประนมมือกล่าวปลอบใจ

เป็นครั้งแรกที่ปีศาจโลหิตได้ยินเขาเอ่ยชมนิสัยของนาง ถึงแม้สีหน้าจะยังแสดงความไม่พอใจ แต่ความโกรธกลับคลายลงแล้ว นางทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “สุดท้ายก็ยังไม่ชอบไง เจ้ารังเกียจข้า เพราะในสายตาของผู้ฝึกตนในแนวทางที่ถูกต้องอย่างพวกเจ้า ข้าเป็นเพียงมารปีศาจใช่มั้ย?”

“อาตมาไม่ได้หมายความอย่างนี้เลย ในสายตาอาตมา สรรพสิ่งล้วนเท่าเทียมกัน!” ศีลแปดพูดจาดูดีอย่างไม่กระดากอาย แล้วถามว่า “อาตมาเพียงรู้สึกแปลกใจ เหตุใดเวลาเจ้าเอ่ยถึงชื่อนี้แล้วใจเกิดความอาฆาต หรือว่าเจ้ามีความแค้นกับหนิวโหย่วเต๋อคนนี้?”

พอพูดถึงเรื่องนี้ ปีศาจโลหิตก็เกลียดเข้ากระดูกดำ “ไม่ใช่แค่มีความแค้นหรอก ข้าอยากจะฉีกร่างป่นกระดูกเขาด้วยซ้ำ เดิมทีข้ามีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้า ห่างกับระดับบงกชรุ้งเพียงก้าวเดียว แต่กลับโดนเขาเล่นงานจนวรยุทธ์ลดเหลือบงกชทองขั้นเจ็ด…”

ศีลแปดตั้งใจสืบหาโดยถามอ้อมๆ ปีศาจโลหิตจึงเล่าเรื่องความแค้นระหว่างตัวเองกับเหมียวอี้ให้ฟังคร่าวๆ

หลังจากฟังจบ ศีลแปดก็พึมพำในใจ เป็นพี่ใหญ่จริงๆ ด้วย พี่ใหญ่เหี้ยมหาญมาโดยตลอดอย่างที่คาดไว้ เพิ่งจะแยกจากกันไม่นาน แต่วรยุทธ์บรรลุถึงระดับบงกชทองแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง แต่ยังกล้าปะทะกับปีศาจโลหิตที่วรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดตรง ทั้งยังเล่นงานจนปีศาจโลหิตบาดเจ็บด้วย…

ศีลแปดมองดูระฆังดาราในมือนาง แล้วยิ้มเรียบๆ “จู่ๆ เจ้าก็เอ่ยถึงศัตรูคนนี้ หรือว่าเจ้ากับเขามีการติดต่อกัน?”

ปีศาจโลหิตอแสยะยิ้ม “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าได้ข่าวว่าเจ้าบ้านั่นหนีออกจากดาวเทียนหยวน แล้วไปโผล่ที่ตลาดสวรรค์ของดาวซิงหัว”

“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีอำนาจมากขนาดนี้ ทุกที่ล้วนมีคนคอยเป็นหูเป็นตาให้เจ้า…” เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเหมียวอี้ ศีลแปดย่อมต้องหาทางรู้ให้กระจ่าง ว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่!

ณ ตลาดสวรรค์ ของดาวซิงหัว เหมียวอี้วิ่งไปที่ร้านค้าของสำนักเมฆดาราที่ขายกระสวยทองและกระสวยเงินโดยเฉพาะ เขาซื้อมาเก็บไว้จำนวนหนึ่ง หลังจากมีบทเรียนในครั้งนี้ เขาก็พยายามเตรียมติดตัวไว้เยอะๆ หน่อย เมื่อก่อนไม่กล้าเตรียมไว้เยอะเพราะกลัวว่าพวกปีศาจเฒ่าที่ทะเลดาวนักษัตรจะจดจำเส้นทางของพิภพใหญ่ได้ แต่ตอนนี้มีวรยุทธ์ระดับบงกชทองแล้ว ทำให้เขาพอจะมีความมั่นใจขึ้นมาบ้าง

กระสวยเงินที่ไว้ใช้สำหรับคนเดียว เขาเตรียมไว้เยอะเป็นพิเศษ ที่จริงการใช้ของที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งทำให้เปลืองเงินมาก ใช้กระสวยทองครั้งเดียวก็เท่ากับเสียไปแล้วสิบล้านผลึกทอง ส่วนกระสวยเงินก็หนึ่งล้านผลึกทอง แต่การที่เจ้าจะเดินทางไปทั่วพิภพใหญ่ ถ้าไม่ใช้ของสิ่งนี้ก็ทำไม่ได้ นอกเสียจากวรยุทธ์ของเจ้าจะสูงถึงระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ แบบนั้นถึงจะไม่ได้รับผลกระทบจากพลังใดๆ ที่เกิดจากประตูดวงดาว

เมื่อออกจากร้านค้าสำนักเมฆดารา เหมียวอี้ก็ไม่ได้อยู่ที่ตลาดสวรรค์ของที่นี่ต่อ ร้านขายของชำซื่อตรงยังไม่ได้ขยายสาขามาถึงที่นี่

เมื่อออกจากเมือง เหมียวอี้ก็เหาะฝ่าชั้นบรรยากาศออกไปโดยตรง ขณะที่ตัวอยู่บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ เขาก็หยิบแผนที่ดาวออกมาหาเส้นทางที่ใกล้ที่สุดในการไปดาวแมกไม้ แล้วเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว

เร่งเหาะมาตลอดทาง ข้ามผ่านประตูดวงดาวติดต่อกันหลายบาน ขณะที่ใกล้จะถึงดาวแมกไม้ ระฆังดาราในกำไลเก็บสมบัติก็ส่งเสียงดัง พอร่ายอิทธิฤทธิ์ดู เขาก็ทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นระฆังดาราอันที่ใช้ติดต่อกับศีลแปด

สาเหตุที่เหมียวอี้ดีใจ ก็เพราะสุดท้ายเจ้าเด็กบ้าที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำก็ติดต่อกลับมาเสียที แต่ที่รู้สึกตกใจ ก็เพราะเขารู้จักศีลแปดดีเกินไป ถ้าเจ้าบ้านี่หนีได้ไปเมื่อไร เมื่อไม่โดนกดดันให้จนตรอก เจ้าตัวก็จะไม่มีทางติดต่อกลับมาเด็ดขาด ไม่รู้เหมือนกันว่าศีลแปดประสบปัญหาอะไร ดันติดต่อมาหาเขาในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้

เขาหยิบระฆังดารามาตอบกลับทันที : เจ้ารอง เจ้ารู้จักติดต่อข้าด้วยเหรอ?

ทางฝั่งศีลแปดตอบว่า : พี่ใหญ่ ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบนะ ท่านอย่าเอาแต่มองว่าข้าเป็นเด็กน้อยสิ ไม่ต้องเปลืองคำพูดด่าข้าแล้ว ข้าจะบอกท่านว่า ตอนนี้ท่านประสบปัญหาแล้วล่ะ ท่านโดนคนของร้านค้าสมาคมวีรชนที่ตลาดสวรรค์ดาวซิงหัวเพ่งเล็งอยู่ มีคนติดตามท่านตลอดทาง เพียงแต่การต่อสู้ระหว่างท่านกับปีศาจโลหิตทำให้พวกเขาไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร บังเอิญว่าที่ดาวซิงหัวไม่มียอดฝีมือเก่งๆ แล้วท่านเองก็เพ่นพ่านอยู่ในจักรวาลตลอด ไม่สะดวกจะดักโจมตีท่าน รอให้ท่านหยุดพักเมื่อไร รอให้แน่ใจจุดหมายปลายทางของท่านแล้ว ก็จะมีผู้ช่วยตามไปทันที ตอนนี้ปีศาจโลหิตกำลังตามไปหาท่านที่นั่น ท่านรีบหาทางหนีเถอะ!

เหมียวอี้ได้ยินข่าวแล้วตกใจมา ศีลแปดรู้ว่าเขาไปที่ตลาดสวรรค์ของดาวซิงหัว ทั้งยังรู้ว่าเขาเพ่นพ่านไปทั่ว แถมยังรู้เรื่องปีศาจโลหิตอีก เช่นนั้นสิ่งที่ศีลแปดพูดก็ไม่ผิดพลาดแน่

เขารีบหันกลับไปมองหาโดยใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ แต่ก็ไม่เห็นใครสะกดรอยตามมา แต่ในเมื่อศีลแปดพูดแบบนี้แล้ว แสดงว่าไม่ผิดพลาดแน่นอน เมื่อมองสำรวจให้ละเอียดอีกที ก็เหมือนจะเห็นรางๆ ว่ามีคนตามเขาอยู่ไกลๆ เหมือนจะอยู่นอกขอบเขตที่สายตาของเขาจะมองเห็น ถ้าไม่สังเกตให้ดีเป็นพิเศษ ก็จะไม่สังเกตเห็นเลย

เห็นได้ชัดเจนมา ในเมื่อคนอื่นๆ ของสมาคมวีรชนเข้ามาแทรกแซงแล้ว ก็แสดงว่าไม่เกี่ยวกับความแค้นส่วนตัวระหว่างเขากับปีศาจโลหิต เป้าหมายย่อมเป็นหุ้นสองส่วนที่อยู่ในมือเขา สงสัยสมาคมวีรชนจะเห็นว่าปีศาจโลหิตทำพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องยื่นมือเข้ามาด้วยตัวเอง

ถ้าจะพูดไม่ให้ชัดก็ไม่เกี่ยวกับสมาคมวีรชน เพราะตอนนี้ยังไม่เปิดเผยให้สาธารณชนรู้เรื่องที่ในมือเขามีหุ้นสองส่วน กอปรกับสมาคมวีรชนช่วยรักษาความลับเพราะอยากจะฮุบไว้คนเดียว ไม่อย่างนั้นถ้าข่าวแพร่ออกไปทั่ว คนที่อยากลงมือกับเขาคงไม่ได้มีแค่สมาคมวีรชนแล้ว

ในใจเหมียวอี้เต็มไปด้วยความคับแค้น ตัวเองแทบจะไม่มีอำนาจและคนหนุนหลังที่พิภพใหญ่เลย ต่อให้มีโอกาสร่ำรวยแต่ก็รักษาไว้ไม่ได้ รอบข้างมีแต่ฝูงเสือฝูงหมาป่าที่ละโมภไม่รู้จักอิ่มคอยจ้อง เมือ่เห็นเนื้อติดมันก็อยากจะกัดสักคำ กฎแห่งธรรมชาติของโลกนี้ก็คือผู้ที่เข้มแข็งที่สุดจึงจะอยู่รอด เข่นฆ่าให้เป็นภูเขากระดูกทะเลเลือดกก็ยากที่จะระบายความแค้นในใจตอนนี้ได้!

เขารีบติดต่อศีลแปดอีกครั้งภายใต้ความตกใจกลัว : เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง? เจ้าอยู่ที่ไหน?

ศีลแปดตอบว่า : ข้าพยายามสุดความสามารถถึงหาโอกาสติดต่อท่านได้ มีคนจับตาดูข้าอยู่ พูดอะไรกับท่านมากไม่ได้ ไม่พูดแล้ว ถ้าพูดอีกเดี๋ยวโดนจับได้ ท่านรีบหาทางหนีให้เร็วที่สุดเถอะ!

หลังจากนั้น ไม่ว่าเหมียวอี้จะพยายามติดต่ออย่างไร ทางฝั่งศีลแปดก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว ไม่ต้องบอกอะไรมาก เหมียวอี้เดาว่าศีลแปดจะต้องปะปนอยู่กับคนของสมาคมวีรชนแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ข่าววงในของสมาคมวีรชนหรอก

ส่วนศีลแปดทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร เหมียวอี้คิดไม่ตก ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดอะไรมากมายขนาดนั้น เรื่องที่ต้องทำตอนนี้คือปลีกตัวหนีให้เร็วที่สุด

เขาคิดกลับไปกลับมาอย่างรวดเร็ว สิ่งแรกที่เขาคิดได้ก็คือไปหลบภัยที่ปราสาทดำเนินนภา แต่พอลองคิดอีกมุม ตัวเองสู้กับปีศาจโลหิตมาหลายครั้งแล้ว ทางสมาคมวีรชนรู้แล้วว่าตนกับปราสาทดำเนินนภามีความสัมพันธ์กันอย่างไร ถ้าเปิดเผยเบาะแสว่าจะไปปราสาทดำเนินนภา อีกฝ่ายจะต้องกำหนดสถานที่แล้วไปดักรอตนแน่นอน แบบนั้นอันตรายเกินไป

ถ้าอ้อมเบี่ยงจากเส้นทาง เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะสลัดฝ่ายตรงข้ามพ้นหรือไม่ โดนจับตามองตอนอยู่คนเดียวนานเกินไปนับว่าเสี่ยงมาก ไม่เหมาะที่จะเพ่นพ่านไปที่ไหนเพียงลำพังอีก

อันตรายทำให้เรื่องราวกระชั้นชิดจวนตัว เมื่อคิดไปคิดมา เขาก็ยังไม่เปลี่ยนเส้นทาง มุ่งหน้าสู่ดาวแมกไม้ต่อไป ที่นั่นยังมีปราสาทแมกไม้ นั่นคืออาณาเขตของปราสาทแมกไม้ ขอเพียงหาผู้อาวุโสมู่เซินพบ อาศัยฐานะของแขกผู้มีเกียติสูงสุดอย่างตน ถ้าผู้อาวุโสมู่เซินยังขัดขวางไม่ไหว ผู้อาวุโสมู่เซินก็สามารถเรียกยอดฝีมือของปราสาทแมกไม้ให้มาช่วยได้ ปราสาทแมกไม้ต้องไม่ยอมให้คนของสมาคมวีรชนมากำเริบเสิบสานบนอาณาเขตของตนแน่นอน ปราสาทแมกไม้ก็มีความสามารถที่จะขัดขวางสมาคมวีรชนเหมือนกัน!

เมื่อกำหนดแผนได้แล้ว ก็หันไปมองข้างหลังเป็นระยะ ก่อนจะเหาะด้วยความเร็วสุดกำลัง

สุดท้ายเมื่อมาถึงดาวแมกไม้ เขาก็เหาะวนอยู่พักหนึ่ง พอหาตำแหน่งคร่าวๆ ของเผ่าปีศาจเจอแล้ว ก็พุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศลงไปด้วยความเร็วสูง ระหว่างทางที่เหาะลงมาก็เปลี่ยนทิศทางไม่หยุด สุดท้ายก็เหยียบลงบริเวณใจกลางของผ่าปีศาจอย่างมั่นคง เหยียบลงนอกโพรงของต้นไม้มหึมาที่เป็นร่างเดิมของผู้อาวุโสมู่เซิน

บรรดาปีศาจที่เหาะขึ้นมาขวางทาง พอเห็นว่าเป็นเขาก็ย่อมหลีกทางให้ เหมียวอี้อยู่ที่นี่มาหลายปี ด้วยฐานะของแขกผู้มีเกียรติสูงสุด ผู้อาวุโสมู่เซินจึงออกคำสั่งกับเผ่าปีศาจไว้แล้ว ว่าเหมียวอี้สามารถเข้าออกทุกที่ในอาณาเขตของเผ่าปีศาจได้ตามอำเภอใจ ไม่ว่าใครก็ห้ามขัดขวาง ทำให้เขามาที่นี่ได้สะดวกกว่าพวกหมิงจ้าวเสียอีก

มู่เซินกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในโพรงไม้ พอเห็นเหมียวอี้เดินเข้ามา ก็ถามอย่างประหลาดใจ “ฆราวาส พวกเจ้าออกจากที่นี่ไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนลำบากใจที่จะพูด “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่คนของปราสาทดำเนินนภา ระหว่างทางแยกทางกับพวกเขา ตอนกลับโดนคนของสมาคมวีรชนจับตามอง โดนกดดันจนหมดทางเลือกจึงหนีกลับมา จะมาขอร้องให้ผู้อาวุโสช่วย…”

หลังจากเขาเล่าสถานกาณ์คร่าวๆ โดยพูดข้ามบางอย่างไป ผู้อาวุโสมู่เซินก็กระทุ้งไม้เท้าเดินไปนอกโพรงถ้ำและเงยหน้ามองข้างบน กิ่งไม้ใบไม้ที่ปิดบังท้องฟ้าก็เปิดแยกเป็นสองฝั่งทันที เผยให้เห็นท้องฟ้าสีคราม เหมียวอี้เดินตามอยู่ข้างกาย ถามว่า “ผู้อาวุโสยินดีจะช่วยหรือไม่ ถ้าหากลำบากใจ ข้าจะไม่รบกวน จะออกไปจากที่นี่ทันที!”

“สมาคมวีรชน?” ผู้อาวุโสมู่เซินเงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจ “กล้าแตะต้องแม้กระทั่งท่านเหรอ สงสัยพวกเขาจะใจกล้าถึงขั้นพลิกฟ้าจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าหาเรื่องใส่ตัวใหญ่หลวงขนาดนี้ ไม่กลัวว่าในอนาคตจะโดนล้างเลือดเหรอ?”


955

ปริศนาที่ซ่อนสมบัติ

ล้างเลือดสมาคมวีรชนเหรอ? เจ้าให้เกียรติข้าเกินไปแล้วมั้ง แค่ปกป้องชีวิตข้าได้ก็พอแล้ว!

เหมียวอี้กำลังพึมพำในใจ พบว่าตาแก่คนนี้ชอบพูดจาแปลกๆ ชอบกล สงสัยจะเห็นตนเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดที่มารับกุญแจจริงๆ

อยากจะถามให้กระจ่าง แต่ตาแก่นี่ก็ไม่ยอมคายความจริงออกมา และตอนนี้เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์มาพัวพันกับประเด็นนี้เหมือนกัน จึงถามว่า “ผู้อาวุโสมีวิธีช่วยเหรอ?”

กิ่งไม้และใบไม้ด้านบนกลับมาคลุมไว้เหมือนเดิมแล้ว ผู้อาวุโสมู่เซินจ้องเขาอย่างไม่ละสายตาครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “เผ่าปีศาจรออยู่ที่นี่เพราะมีภารกิจของตัวเอง ไม่อาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องรบราฆ่าฟันได้ ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่กำลังของพวกเรา ก็ยากที่จะอยู่รอดมาได้ถึงวันนี้ และคงอยู่รอท่านไม่ไหวเช่นกัน แต่ข้าไปเชิญคนของปราสาทแมกไม้ได้ สมาคมวีรชนคงจะไม่กล้ากำเริบเสิบสานที่อาณาเขตของปราสาทแมกไม้”

เผ่าปีศาจทำงานรับใช้ปราสาทแมกไม้มาหลายปี  รับหน้าที่ดูแลช่องทางรายได้หลักให้ปราสาทแมกไม้อย่างจงรักภักดีมาโดยตลอด ค่าตอบแทนที่ต้องการก็ไม่สูง ขอแค่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าอันกว้างใหญ่ของปราสาทแมกไม้อย่างสงบสุข กอปรกับเผ่าปีศาจถนัดเรื่องดูแลรักษาป่า ไม่มีใครเหมาะสมที่จะปลูกกิ่งหยกเหลืองในป่านี้ได้เท่าพวกเขาอีกแล้ว จะไปหาแรงงานชั้นดีขนาดนี้ได้จากไหน ต่อให้ผู้อาวุโสมู่เซินไม่เอ่ยปาก ปราสาทแมกไม้ก็ไม่ให้คนของสมาคมวีรชนมากำเริบเสิบสานในอาณาเขตของตัวเองอยู่ดี

สำนักที่สามารถลงหลักปักฐานในสถานที่ไร้ระเบียบได้ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ถ้าแม้แต่ความน่าเกรงขามนี้ก็ยังไม่มี ในภายหลังก็คงเกิดปัญหาใหญ่แล้ว!

ไม่ว่าจะเป็นแขกผู้มีเกียรติหรือไม่ใช่แขกผู้มีเกียรติ นั่นก็เป็นเรื่องของเผ่าปีศาจ ปราสาทแมกไม้อยู่ร่วมกับเผ่าปีศาจที่ซื่อสัตย์อย่างปรองดองมาตลอด ไม่คิดจะเข้าไปก้าวก่ายประเพณีของเผ่าปีศาจ ดังนั้นปราสาทแมกไม้จึงถามเพียงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แม้แต่หน้าของเหมียวอี้ก็ขี้คร้านจะออกไปพบ จึงส่งกำลังพลออกมาทันที จับคนที่สะกดรอยตามเหมียวอี้ไปที่ประสาทแมกไม้โดยตรง

“กลับไปบอกตาแก่หวงฝู่ พวกเราไม่สนใจเรื่องของสมาคมวีรชน ตราบใดที่ไม่ก่อเรื่องในดาวแมกไม้ พวกเจ้าจะทำอย่างไรก็เรื่องของพวกเจ้า ปราสาทแมกไม้ของพวกเราไม่ใช่ลูกพลับอ่อนที่จะบีบกันง่ายๆ ไสหัวไป!”

เมื่อเผชิญการกดดันจากนักพรตที่มีพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ นักพรตบงกชทองขั้นสองที่ร้านค้าสมาคมวีรชนของดาวซิงหัวส่งมาก็ตกใจมาก หนีหัวซุกหัวซุนออกจากดาวแมกไม้

ผ่านไปไม่นาน ปีศาจโลหิตที่พาศีลแปดเหาะอยู่บนฟ้าก็ได้รับข่าวจากหวงฝู่จวินโหรว เตือนนางว่าอย่าไปก่อเรื่องที่ดาวแมกไม้ ปราสาทแมกไม้ออกหน้าแล้ว

“ไอ้เวรนี่สมควรตาย หนิวโหย่วเต๋อมีที่มายังไงกันแน่ ปราสาทดำเนินนภาช่วยเขาก็ว่าแย่แล้ว แม้แต่ปราสาทแมกไม้ก็ออกหน้าปกป้องเขาด้วย!” ศีลแปดปีศาจโลหิตที่จูงศีลแปดเหาะอยู่บนฟ้าแค้นจนกัดฟันกรอด

ศีลแปดชำเลืองมองอย่างโล่งอก แต่ภายนอกกลับกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดจึงดันทุรัง เหตุใดไม่รีบหาโอกาสกลับตัว?”

“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะหลบอยู่ที่ดาวแมกไม้ไปทั้งชีวิต! ถึงแม้สมาคมวีรชนจะไม่สะดวกสู้กับปราสาทแมกไม้ แต่ในเมื่อลงมือแล้ว หากข้ายังไม่ได้เอาจริง ข้าก็ไม่ยอมรามือหรอก คอยดูเถอะ ข้าจะต้องหาทางกดดันให้เขาออกมาให้ได้!” ปีศาจโลหิตตอบอย่างเคียดแค้น

ทางด้านเผ่าปีศาจ เหมียวอี้ได้ข่าวจากผู้อาวุโสมู่เซินว่าตอนนี้ตัวเองปลอดภัยแล้ว เขายังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นอะไร ไม่เห็นว่าปราสาทแมกไม้เคลื่อนไหวอะไรเลย

แต่เหมียวอี้ก็เข้าใจเช่นกัน ปลอดภัยแค่ที่ดาวแมกไม้ ถ้าออกจากดาวแมกไม้เมื่อไรก็ไม่ปลอดภัยแน่นอน

ยังไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ แค่ปลอดภัยชั่วคราวก็พอแล้ว ทำตามเป้าหมายในการมาครั้งนี้สำเร็จก่อน รีบหาทางนำเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานมาไว้นมือให้เร็วที่สุด ยิ่งปล่อยให้เวลายาวนาน อุปสรรคก็ยิ่งมีมาก

พอกลับมาจากผู้อาวุโสมู่เซิน เข้าไปในโพรงใต้ต้นไม้ยักษ์ที่เป็นที่พักชั่วคราว เหมียวอี้ก็นำกระจกทองแดงบานนั้นออกมาร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นอีก

ตรงกลางระหว่างภูเขาสามลูก บนท้องฟ้าสูงหกพันจั้ง ยามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกัน มองลงเบื้องล่าง เคล็ดวิชาจอมมารไรเทียมทานภาคดิน!’ ตัวอักษรยี่สิบเจ็ดตัวปรากฏขึ้นอีกครั้ง

“ตรงกลางระหว่างภูเขาสามลูกข้าเจอแล้ว บนท้องฟ้าสูงหกพันจั้งก็เข้าใจง่าย แล้วสองประโยคหลังหมายความว่ายังไง ยามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกัน มองลงเบื้องล่าง…” เหมียวอี้อุ้มกระจกทองแดงพลางครุ่นคิดพึมพำอยู่พักหนึ่ง

วันต่อมาตอนที่ฟ้ายังไม่สว่างดี เหมียวอี้ออกมาข้างนอกคนเดียว เหาะขวักไขว่อยู่ในป่าอย่างรวดเร็ว บนภูเขาหินที่เคยโดนคนตัดส่วนยอดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เขายืนอยู่บนนั้นพลางมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง จากนั้นก็เหาะขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เหาะขึ้นบนฟ้า ในใจเขาคำนวณระดับความสูงที่เหาะขึ้นมาโดยอิงจากความเร็วของตัวเอง ตอนที่เหาะขึ้นมาถึงหกพันจั้ง ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ลอยหยุดอยู่บนฟ้า

เมื่อมองไปรอบๆ ยังพอเห็นแสงจันทร์ที่อยู่ไกลๆ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็มีแสงสีขาวเหมือนพุงปลาโผล่ออกมา ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น พอมองดูที่พื้นดินอีกครั้ง เบื้องล่างก็มืดตึ๊ดตื๋อ มองไม่เห็นเบาะแสอะไร สิ่งนี้ทำให้เขาปวดกบาลมาก ประโยค ‘ยามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกัน มองลงเบื้องล่าง’ ก็จะเห็นเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานโผล่ออกมาเหรอ?

ถึงแม้เขาจะเรียนหนังสือมาไม่เยอะ แต่ถึงอย่างไรเหล่าไป่ก็เคยบังคับให้เขาเรียนอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ความหมายที่อยู่บนอักษรยี่สิบเจ็ดตัวนั้น ดูเผินๆ แล้วชัดเจนเข้าใจง่ายมาก ไม่ถึงขั้นอ่านไม่ออก แต่เขาก็ยังสงสัยอีก ว่าทิศทางการตีความหมายของตัวเองผิดพลาดไปหรือปล่า ถ้ายืนอยู่ตรงนี้แล้วสามารถมองเห็นเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน เช่นนั้นคนที่เหาะเข้าเหาะออกดาวแมกไม้ก็ต้องมองเห็นไปตั้งนานแล้วน่ะสิ?

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นก็รอให้ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ส่องแสงพร้อมกัน แล้วค่อยดูอีกทีก็แล้วกัน! เมื่อเจอกับวิธีการซ่อนสมบัติที่เป็นนามธรรมแบบนี้ เหมียวอี้รู้สึกอับจนหนทางมาก

ตอนที่แสงอาทิตย์สายแรกสาดส่องมาถึงเขา บนพื้นดินที่อยู่ไกลๆ ก็มีแสงสีทองลอยขึ้นมา แต่บนพื้นดินด้านล่างยังมืดตึ๊ดตื๋อเหมือนเดิม เหมียวอี้ที่ลอยอยู่บนฟ้ามองไปรอบๆ อย่างเชื่องช้าและระแวดระวัง มองที่พื้นดินเป็นระยะ ในหัวกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ตลอด พิจารณาอย่างละเอียดว่าตัวเองตีความอักษรยี่สิบเจ็ดตัวนั้นผิดหรือเปล่า

เวลาล่วงเลยผ่านไปทีละนิด ตอนที่แผ่นดินครึ่งหนึ่งโดนอาบด้วยแสงสีทอง ส่วนแผ่นดินอีกครึ่งยังมืดสลัว ใต้เท้าเหมียวอี้ก็เกิดเรื่องปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง กลางคืนอันมืดมิดและกลางวันอันสว่างไสวกำลังก่อตัวเป็นเส้นแบ่งเขตเลือนรางอยู่ใต้เท้าของเขา เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานระหว่างแสงสว่างกับความมืด มีเสน่ห์ไปอีกแบบ

แต่เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อชื่นชมสิ่งนี้ แค่มองดูไม่กี่ครั้งเท่านั้น เขาลอยวนอยู่กลางอากาศ จ้องประเมินสิ่งที่อยู่ข้างหลัง ปากพึมพำประโยคนั้นซ้ำๆ  “ยามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกัน มองลงเบื้องล่าง แม่งเอ๊ย ให้มองอะไรกันแน่…”

มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ขณะที่ปากกำลังพึมพำด่า แววตาที่กำลังกวาดมองไปรอบๆ โดยไม่ได้ตั้งใจก็ชะงัก เขาค่อยๆ หันกลับมามองที่ไหล่ซ้าย มองไปทางพื้นดินอันกว้างใหญ่ที่กำลังโดนแสงสีทองครอบคลุมทีละนิด เขากลั้นลมหายใจ ตาสองข้างค่อยๆ เบิกโพลง ร่างกายหันตามไปอย่างช้าๆ ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

เรื่องมหัศจรรย์! เกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้นแล้ว!

ปรากฏเรื่องมหัศจรรย์ขึ้นบนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ที่ตะวันและจันทราแย่งกันสาดแสงลงมา ไม่น่าเชื่อว่าบนพื้นดินที่สูงต่ำเป็นระลอกจะสลักรูปผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ เป็นผู้หญิงหน้าคุ้นคนหนึ่งที่เขาเคยเห็นมาก่อน ผู้หญิงที่อยู่บนหินสลักในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งและแผนที่ซ่อนสมบัติ! สิ่งเดียวที่ต่างกันก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้จะได้เห็นภาพนางจากพื้นดินอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา การได้เห็นนางบนพื้นดินที่มีบริเวณกว้างใหญ่ขนาดนี้ทำให้เขาตกตะลึงมาก ครั้งนี้ได้เห็นนางในแบบที่ยิ่งใหญ่มาก!

ถึงแม้จะไม่ได้ดูชัดเจนมีชีวิตชีวาสมจริงเหมือนบนแผนที่ซ่อนสมบัติและแท่นหินในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง แต่ก็มีเค้าโครงที่ชัดเจนมาก ทั้งยังแจ่มชัด มีชีวิตชีวา สดใส บางทีอาจเป็นเพราะผลกระทบจากแสงอาทิตย์ ยังอยู่ในสภาพกางแขนสองข้างทะยานขึ้นฟ้าอย่างอ่อนช้อย เป็นภาพที่เหมือนระลอกคลื่นซัดสาดจริงๆ

นี่คือปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่มีทางมองเห็นหากไม่สังเกตให้ดี! ถ้าไม่เคยเห็นภาพสตรีทะยานฟ้ามาก่อน คงไม่มีภาพติดอยู่ในความทรงจำ จะต้องมองข้ามไปอย่างแน่นอน!

เมื่อภาพนี้ปรากฏขึ้น ก็หมายความว่าตัวอักษรบนกระจกทองแดงไม่ได้โกหก หมายความว่ามีสมบัติซ่อนอยู่ที่นี่จริงๆ ทว่าปัญหาใหญ่ก็คือ เมื่อดูจากรูปภาพนี้แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะเจอที่ซ่อนสมบัติ

เหมียวอี้ที่กำลังตกตะลึงรีบสงบสติอารมณ์ หลังจากใจเย็นลงแล้ว ก็รีบใช้สายตากวาดมองม้วนภาพขนาดมหึมาบนพื้นดิน

มาถึงขั้นนี้แล้ว คำตอบที่คนซ่อนสมบัติให้ไว้เหมือนจะชัดเจนมาก เพียงแต่ถ้าใช้ความคิดมากขึ้นหน่อย ก็จะพบว่าสตรีทะยานฟ้าที่อยู่บนพื้นได้เปิดเผยคำตอบของปริศนาแล้ว สตรีทะยานฟ้าที่กำลังกางแขนอย่างอ่อนช้อยกำลังช้อนถือแสงสีทองระยิบระยับบนไว้ฝ่ามือ ราวกับถือลูกแก้วอัญมณีสีทองอร่ามเอาไว้ลูกหนึ่ง

เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องมอง มันย่อมไม่ใช่ลูกแก้วอัญมณีอะไรอยู่แล้ว เขาพบว่าแท้จริงแล้วลูกแก้วอัญมณีลูกนั้นก็คือทะเลสาบรูปวงรี เป็นปรากฏการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นยามอยู่ภายใต้การสะท้อนหักเหของแสงอาทิตย์ เพียงแต่เมื่อเชื่อมต่อภาพนั้นแล้ว ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเห็นสตรีทะยานฟ้ากำลังมอบสมบัติให้

ไม่ต้องพูดแล้ว ถ้าหากมีสมบัติอะไรจริงๆ ก็น่าจะอยู่ในทะเลสาบนั่นแล้วล่ะ เหมียวอี้รู้สึกเร่าร้อนในใจ ตื่นเต้นเร้าใจไม่หยุด ในที่สุดก็หาเจอแล้ว! ทุ่มเทความพยายามไปเต็มที่ ในที่สุดก็หาเจอแล้ว!

เหมียวอี้มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ถ้าเหาะไปที่นั่นโดยตรง เป้าหมายก็จะชัดเจนเกินไป เพื่อให้มั่นใจขึ้นหน่อย เขาตัดสินใจกลับไปบนพื้นดิน แล้วค้นหาสมบัติโดยอาศัยป่าภูเขาช่วยพรางตัว

เขาอดใจรอไม่ไหวแล้ว ไม่มีความลังเลใดๆ ทว่าตอนที่ร่างกำลังจะเหยียบลงพื้นแล้วมอง ‘รูปภาพ’ ด้านล่าง ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ พบว่าภาพสตรีทะยานฟ้าหายไปแล้ว ข้างล่างกลายเป็นภูเขาและแม่น้ำธรรมดาทั่วไป

มันเรื่องอะไรกัน? เขาเหาะขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง ภาพสตรีทะยานฟ้าที่เห็นก่อนหน้านี้ปรากฏชัดเจนอีกครั้ง

กระทั่งเขาเหาะถึงระดับที่สูงเกิน ก็พบว่าภาพสตรีทะยานฟ้าเปลี่ยนเป็นเลือนรางอีกแล้ว ค่อยๆ กลายเป็นภูเขาและแม่น้ำธรรมดาทั่วไป

ภายใต้การทดลองซ้ำๆ เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นด้วยความอัศจรรย์ใจ ในที่สุดเขาก็คลี่คลายความคลุมเครือของภาพที่อยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่นี้ได้แล้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนที่เหาะผ่านไปผ่านมาหลายปีจึงไม่สังเกตเห็น สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อน ภาพนี้ปรากฏขึ้นโดยอาศัยผลจากแสงสว่างกับเงามืดรวมทั้งสภาพพื้นดินที่สูงต่ำไม่เสมอกัน ถ้าไม่มีการทำงานร่วมกันของสองสิ่งนี้ก็จะมองไม่เห็น ถ้าเบี่ยงออกจากมุมนี้ก็จะมองไม่เห็นเหมือนกัน ต้องอยู่ในมุมที่เหมาะสมภายใต้สถานการณ์สองอย่างนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถมองเห็นได้ และมุมที่สามารถชมภาพได้ดีที่สุด ก็อยู่ในรัศมีซ้ายขวาบนล่างประมาณสามสิบจั้งจากตำแหน่งที่เขาลอยอยู่ตอนนี้

เมื่อมีเงื่อนไขสามข้อนี้ครบแล้ว ภาพทิวทัศน์ธรรมชาติ ภาพอันน่าตกตะลึงที่มีแม่น้ำเป็นเหมือนผ้าคาดเอวสตรีถึงจะปรากฏอยู่ตรงหน้า

การสร้างภาพแบบนี้ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน มันไม่เหมือนภาพสลักทั่วไป ภาพที่วาดไว้บนกระดาษหรือแผ่นหยก บทจะถูกทำลายก็ถูกทำลายทิ้งไปเลย แต่ขนาดพื้นที่ของภาพนี้ใหญ่เกินไป ต่อให้สภาพพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปจุดเดียว ก็ยังไม่ทำลายความรู้สึกเวลามองเห็นภาพรวม สามารถรักษาไว้ได้ยาวนาน

จะไม่ให้เหมียวอี้แอบทึ่งก็คงไม่ได้ พบว่าผู้ที่ปูเรื่องไว้ช่างเป็นคนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ คนที่ได้แผนที่ซ่อนสมบัติไปนึกว่าสมบัติซ่อนอยู่ระหว่างภูเขาสามลูก แต่ความจริงสิ่งที่เรียกว่าที่ซ่อนสมบัติเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง เป็นเพียงสถานที่ทดสอบผู้ที่จะมารับสมบัติใครจะไปจินตนาการออก ว่าแท้จริงแล้วสมบัติกลับซ่อนอยู่ในทะเลสาบที่ไกลออกไปหลายร้อยลี้ ต่อให้ผู้อาวุโสมู่เซินทรยศปณิธานของเจ้าของสมบัติเดิม แต่ก็นำสมบัติไปไม่ได้อยู่ดี ไม่แปลกใจเลย ขนาดปราสาทดำเนินนภาได้แผนที่ซ่อนสมบัติมาแล้วแต่ก็ยังกลับไปมือเปล่า ทำงานเสียแรงเปล่าไปหลายปี



956

อยู่ในทะเลสาบ หรือนี้

เพียงแต่เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะสงสัย ว่าคนที่ซ่อนสมบัตินี้ไว้เป็นใครกันแน่? เกี่ยวอะไรกับเคล็ดวิชาอัคนีดาราที่ตนฝึก? ทำไมต้องกำหนดว่าคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราเท่านั้นถึงจะได้สมบัติไป?

อยู่กับความสงสัยและครุ่นคิดไปต่างๆ นาๆ จนกระทั่งเงาของแสงอาทิตย์เปลี่ยนไป ภาพบนพื้นดินที่เกิดจากแม่น้ำภูเขาเริ่มเลือนรางทีละนิดจนแยกแยะไม่ออก เหมียวอี้ถึงได้เหาะลงมาบนพื้นอีกครั้ง มุดเข้ามาในป่าโบราณของภูเขาลึก แล้วเลี้ยวอ้อมไปอ้อมมาตลอดทาง

เขาอาศัยป่าโบราณของภูเขาลึกและลักษณะพื้นที่แบบต่างๆ เพื่อพรางตัวตลอดทาง ให้ตั๊กแตนที่นำติดตัวมาห้าตัวปูทางและนำหน้าเพื่อป้องกันตัว ในที่สุดก็คลำทางไปจนถึงทะเลสาบที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้

ริมทะเลสาบมีพืชน้ำเขียวชอุ่มสวยงาม น้ำใสสีเขียวมรกต หมู่นกกำลังเต้นระบำร้องขับขานอยู่บนต้นอ้อ

เหมียวอี้ที่ซ่อนตัวสังเกตการณ์ไปสักพักเก็บตั๊กแตนห้าตัวนั้น แล้วถือไข่มุกกันน้ำดำลงไปในน้ำอย่างเงียบๆ ระหว่างที่ดำน้ำก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ค้นหาตลอดทาง แต่ก็ไม่ค้นพบอะไร จึงขยับเข้าไปบริเวณกลางทะเลสาบทีละนิด เมื่อยิ่งเข้าใกล้บริเวณกลางทะเลสาบ น้ำก็ยิ่งลึกขึ้นเช่นกัน หลังจากไปถึงตรงจุดที่น้ำลึกร้อยเมตร จู่ๆ เหมียวอี้ก็พบว่าช่องว่างที่ไข่มุกกันน้ำกั้นออกมาป้องกันร่างกายเขาหดเล็กลงเรื่อยๆ ทั้งยังมีเสียงกัดเซาะดังแว่วมา มีหมอกสีดำกรองผ่านน้ำลอยเข้ามา

เหมียวอี้ตกใจนิดหน่อย ตอนแรกนึกว่าน้ำลึกทำให้แสงส่องลงมาไม่ถึง ตอนนี้ถึงได้พบว่าพอดำน้ำมาถึงตรงนี้ น้ำของทะเลสาบก็กลายเป็นสีดำเหมือนน้ำหมึกแล้ว ต่างกับน้ำสีเขียวมรกตชั้นบนโดยสิ้นเชิง ทำให้เหมียวอี้รู้ตัวทันที น้ำสีดำด้านล่างมีพิษ!

เกราะป้องกันตัวกางออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ไร้ประโยชน์! หลังจากประสิทธิภาพของไข่มุกกันน้ำโดนทำลาย เกราะป้องกันตัวก็โดนกัดกร่อนอย่างรุนแรงเช่นกัน

สิ่งนี้คืออะไร? ขณะกำลังตกใจ เหมียวอี้รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ปล่อยเปลวเพลิงไร้รูปร่างออกมาป้องกันตัว

เป็นอย่างที่คาดไว้ น้ำที่สีดำเหมือนหมึกพวกนั้น พอสัมผัสกับเปลวเพลิงก็เลิกกัดกร่อนทันทันที ป้องกันอยู่นอกร่างกายของเหมียวอี้อย่างราบรื่น

อย่าบอกนะว่าสิ่งนี้ก็เตรียมไว้สำหรับคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราเหมือนกัน? เหมียวอี้ที่โล่งอกแล้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วดำลงไปที่ก้นทะเลสาบโดยตรง รอบข้างขุ่นมืดจนยื่นมือแล้วมองไม่เห็นนิ้ว ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองก็เห็นไม่ชัดเหมือนกัน แบบนี้จะให้หาของได้อย่างไร? ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูก็ไม่มีประโยชน์ น้ำสีดำที่สามารถกัดกร่อนพลังอิทธิฤทธิ์เป็นอุปสรรคในการค้นหา

เขาถึงได้ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำโดยตรง แล้วเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า พอแยกแยะตำแหน่งใจกลางทะเลสาบคร่าวๆ ได้ ก็โฉบจากฟ้าลงมาในทะเลสาบอีกครั้ง

ปรากฏว่าตัวเองตัดสินผิดพลาดไป บริเวณใจกลางทะเลสาบที่เห็นจากผิวทะเลสาบ ที่จริงเป็นเพราะลักษณะพื้นที่กักเก็บน้ำไว้ ลักษณะพื้นที่ก้นทะเลสาบกลับไม่ได้เรียบเสมอเท่ากัน ภายใต้ความอับจนหนทาง เมื่ออิงจากการค้นหาก่อนหน้านี้ ทำให้เขาตัดสินได้ว่าก้นทะเลสาบมีลักษณะรูปกรวย จึงดำน้ำลงไปตลอดทางตามลักษณะพื้นที่ก้นทะเลสาบ ดำน้ำไปจนถึงจุดต่ำสุด เตรียมจะหาจุดที่อยู่ตรงกลางให้เจอก่อน แล้วค่อยขยายวงค้นหาไปรอบๆ โดยอิงจุดนั้นเป็นจุดศูนย์กลาง เดาว่าถ้ามีสมบัติซ่อนอยู่ ก็น่าจะอยู่ในบริเวณที่ลึกที่สุด

ทว่าพอหาจุดศูนย์กลางของ ‘กรวย’ ก้นทะเลสาบพบ ถึงได้พบว่าก้นทะเลสาบมีโลกอีกใบ โพรงถ้ำที่กว้างประมาณหนึ่งจั้ง ด้านล่างเหมือนจะมีทางน้ำใต้ดิน

เหมียวอี้ที่ยืนอยู่หน้าโพรงถ้ำถือไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งคอยส่องแสง หลังจากลังเลอยู่ครู่เดียว สุดท้ายก็แข็งใจลอยลงไปโดยตรง ดำลงไปอย่างช้าๆ ตลอดทาง

ตามลักษณะพื้นแนวดิ่งที่เปลี่ยนเป็นแนวนอน เหมียวอี้ก็เดินทางตามแนวนอนอยู่ในทางน้ำใต้ก้นทะเลสาบเช่นกัน

หลังจากถึงปลายทาง ถ้าจะพูดให้ถูกคือจุดที่โดนอะไรบางอย่างกั้นไว้ เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ปล่อยเปลวเพลิงไร้รูปร่างออกมากันน้ำสีดำแล้วมองดู เขาตกใจแทบแย่ เห็นเพียงตะขาบสีมรกตที่เหมือนสวมเกราะรบสีเขียวตัวหนึ่งนอนขดเป็นวง ร่างกายของมันยาวประมาณสิบจั้ง โดนโซ่สีใสราวกับทับทิมหลายเส้นล่ามไว้ บนตัวยังมีตะปูยาวสีแดงที่ใหญ่หยาบราวกับแขนเสียบไว้ เสียบไว้หลายสิบแท่ง ร่างที่มีเปลือกสีเขียวมรกตของมันน่าเกลียดน่ากลัว ใครเห็นก็ต้องตกใจ

เหมียวอี้กำลังแปลกใจว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้เป็นหรือตาย แต่จู่ๆ ก็เห็นปากของมันขยับ พ่นหมอกสีดำเหมือนน้ำหมึกออกมาใส่เหมียวอี้โดยตรง

เหมียวอี้สะบัดแขนสองข้าง นอกร่างกายมีเปลวเพลิงไร้รูปร่างออกมาอีกชั้น กันไว้! หมอกดำโดนเผาสลายจางเป็นสีเทาทันที

ไม่น่าเชื่อว่าจะยังมีชีวิตอยู่! ขณะมองดูตะขาบที่กำลังนอนขดตัวขยับหนวดสัมผัสขนาดมหึมาสองข้าง เหมียวอี้ก็ตกใจมากเจ้าตัวนี้มันโดนขังมากี่ปีแล้ว? ไม่น่าเชื่อว่าจะยังไม่ตาย?

ดูเหมือนยังไม่ตาย แต่ตะขาบตัวนี้ก็กระดิกตัวแค่สองที แล้วก็ไม่ขยับตัวซ้ำอีก

เหมียวอี้พอจะเข้าใจแล้ว เป็นไปได้สูงว่าน้ำพิษสีดำที่อยู่ก้นทะเลสาบเป็นผลงานของตะขาบตัวนี้ เป็นไปได้ว่าผู้ซ่อนสมบัติจงใจล่ามตะขาบตัวนี้ไว้เพื่อสร้างอุปสรรคอีกชั้น

ไม่ต้องบอกเลย ขนาดแช่น้ำอยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้วยังไม่ตาย แสดงว่าตะขาบพิษตัวนี้ต้องเป็นปีศาจเฒ่าอาวุโสแน่นอน ทั้งยังเป็นประเภทที่วรยุทธ์ร้ายกาจมากด้วย ถ้าจับปีศาจทั่วไปมาขังไว้แบบนี้ ก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานหรอก! เหมียวอี้อยากจะคลายผนึกบนตัวมัน แล้วถามว่ามันเป็นอะไรกันแน่ แต่พอคิดอีกมุม ถ้าทำแบบนั้นสมองตัวเองคงมีปัญหาแล้ว ถ้าไปยั่วแหย่สัตว์ประหลาดแบบนี้โดยที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ก็แสดงว่าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว

แต่ตรงนี้คือปลายทางแล้ว ทางน้ำที่ขนานกันทอดตัวลงไปข้างล่าง แต่ทางเข้ากลับถูกตะขาบยักษ์สีเขียวขวางไว้

พอกวาดสายตามองรอบๆ เขาก็ชะงักเล็กน้อย พบว่าบนผนังผนังหินด้านข้างมีบันไดหินที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ลาดเอียงขึ้นไป เหมียวอี้ที่มาพร้อมความมุ่งมั่นในการค้นหาต้องอยากขึ้นไปดูแน่นอน ถึงได้วางเรื่องตะขาบไวชั่วคราว แล้วลอยตามบันไดหินขึ้นไป หลังจากขึ้นไปตามบันไดหินที่วกวนหลายสิบเมตร เขาก็ตาเป็นประกายทันที เห็นห้องหินห้องหนึ่งที่เรียบง่ายสุดๆ บนเพดานห้องฝังเลี่ยมไข่มุกราตรีไว้เม็ดหนึ่ง ส่องแสงสว่างจางๆ

เนื่องจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ น้ำของทางน้ำใต้ดินจึงมาไม่ถึงตรงนี้ สายตาเหมียวอี้กำลังจ้องภาพสลักหินบนผนังหินอย่างตกตะลึง เห็นบ่อยจนเริ่มจะคุ้นชิน เป็นสตรีทะยานฟ้าคนนั้นอีกแล้ว แต่ครั้งนี้กลับเป็นภาพสลักนูน เพียงแต่ก้อนโลหะกลมสีดำที่ถืออยู่ในมือ ครึ่งหนึ่งของมันถูกฝังเลี่ยมอยู่บนผนังหิน

พื้นที่ว่างในห้องหินไม่ใหญ่มาก คาดว่าบริเวณรอบๆ กว้างไม่ถึงสองจั้ง หรือนี่จะเป็นสถานที่ซ่อนสมบัติที่ต้องการหา?

เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจที่ผนังหินรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่พบที่ซ่อนสมบัติใดๆ เลย รู้สึกงงนิดหน่อย ห้องหินเล็กขนาดนี้ แค่มองปราดเดียวก็เห็นทุกอย่างตรงหน้าหมดแล้ว ยังจะซ่อนสมบัติอะไรได้อีกล่ะ? ไม่ใช่หรอกมั้ง? สมบัติที่ราชันลัทธิมาซ่อนไว้ล่ะ? ข้าสิ้นเปลืองความพยายามไปมากขนาดนี้ คงไม่ได้แกล้งข้าเล่นหรอกใช่มั้ย?

แต่พอลองคิดอีกมุมหนึ่ง ผู้ซ่อนสมบัติสิ้นใช้ความพยายามไปมากขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาเรื่องนี้มาล้อเล่น สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดที่ก้อนโลหะกลมสีดำบนมือของสตรีทะยานฟ้าอีกครั้ง ในห้องหินมีเพียงสิ่งนี้ที่เป็นวัตถุประหลาด เมื่อมองให้ละเอียดก็รู้สึกคุ้นเหมือนเคยเห็นมาก่อน เหมียวอี้ยกมือขึ้นขยุ้มกลางอากาศ เกิดเสียงดัง ‘แกร๊ก’ ก้อนโลหะกลมสีดำถูกดูดฝ่ากำผนังออกมาอยู่ในฝ่ามือเขา พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรงดู เขาก็พบเบาะแสอีกอย่าง มันเป็นของวิเศษที่เรียบง่ายชิ้นหนึ่ง

เมื่อร่ายพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปกระตุ้น ก้อนโลหะกลมสีดำก็แผ่ออกทันที เหมียวอี้ดีใจอย่างบ้าคลั่ง หรือว่าสิ่งนี้จะเป็นภาคดินของเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน?

ทว่ารอจนก้อนโลหะกลมสีดำแผ่ขยายอยู่ในฝ่ามือจนเต็มที่ แล้วมองดูสิ่งที่อยู่บนนั้น เขาก็ต้องเอ๋อกินอีกครั้ง อุทานอย่างตกใจว่า “ไอ้เวรเอ๊ย! ข้าทำอะไรพลาดรึเปล่า?”

ในฝ่ามือเป็นแผนที่ฉบับหนึ่ง เหมือนแผนที่ที่เขาเคยเห็นในมือจงหลีค่วยตอนแรก บนนั้นเป็นภาพของสตรีทะยานฟ้า แนบด้วยตัวอักษรสองแถว : ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบสิ้น เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด!

ที่หลอกลวงที่สุดก็คือ บนแผนที่มีตัวอักษร ‘มาร’ กับ ‘ดิน’ ชัดเจน

นี่ก็เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินเหรอ? เหมียวอี้รู้สึกเหมือนจะประสาทเสีย ใช้ความพยายามไปมากมายขนาดนี้ ถึงขั้นโดนคนของสมาคมวีรชนจับตาดู ลำบากลำบนมาหลายปี แต่เจอแค่แผนที่ที่หน้าตาเหมือนฉบับที่อยู่ในมือของปราสาทดำเนินนภาเนี่ยนะ? แบบนี้มันแกล้งกันเล่นไม่ใช่เหรอ!

ภายใต้ความโมโห เหมียวอี้อยากจะทำลายภาพนี้ให้พัง แต่ไม่นานก็ถอนหายใจดัง “เฮ้อ” สายตาไปจ้องอยู่บนแผนที่อีกครั้ง ค่อยๆ สังเกตเห็นว่ามีบางจุดที่ไม่เหมือนแผนที่ที่อยู่ในมือของปราสาทดำเนินนภา นั่นก็คือแผนที่ที่อยู่นอกตัวอักษรและภาพวาด ภาพนั้นที่อยู่ในมือของปราสาทดำเนินนภา อย่างน้อยเขาก็ศึกษาฉบับสำเนามาแล้วอย่างละเอียด ยังไม่ต้องพูดถึงความแตกต่างบนภาพพิกัดแผนที่ดาว อย่างน้อยสัญลักษณ์ระหว่างภูเขาสามลูกที่อยู่บนภาพนั้นก็ไม่ปรากฏบนภาพนี้ สัญลักษณ์ที่อยู่บนนี้คือสถานที่อีกแห่งหนึ่ง

หลังจากดูอย่างละเอียดจนแน่ใจแล้ว เหมียวอี้ก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก สงสัยเป้าหมายของแผนที่ฉบับนั้นก็เพื่อให้หาแผนที่ฉบับนี้เจอ จำเป็นต้องอ้อมไปอ้อมมาเยอะขนาดนี้มั้ย? ไม่ใช่ว่าหาสถานที่อีกแห่งพบแล้วจะเจอแผนที่ฉบับนี้อีกหรอกนะ?

เหมียวอี้ยังรู้สึกเหมือนโดนปั่นหัว ยังคิดจะทำลายแผนที่ฉบับนี้ แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น ความจริงทำไม่ลง ขณะกำลังแค้นจนกัดฟันกรอด เขาก็เดินวนในห้องหินหลายรอบ แล้วกอบแผนที่ฉบับนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง อยู่ในถ้ำหินห้องนี้เป็นเวลาหนึ่งวัน

หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน เหมียวอี้ที่อ่านจนมึนหัวก็ยอมแพ้แล้ว แผนที่บอกจุดหมายปลายทางอย่างละเอียด สามารถอ่านเข้าใจได้ แต่สำหรับภาพแผนที่กลุ่มดาวที่อยู่นอกจุดหมายปลายทาง เขาก็ไม่รู้แล้วว่าควรจะจัดการอย่างไร จักรวาลกว้างใหญ่ขนาดนี้ แถมเขาไม่คุ้นเคยกับพิภพใหญ่ด้วย ทั้งยังไม่สะดวกจะนำออกมาให้คนอื่นช่วยศึกษา ภาพแผนที่กลุ่มดาวที่อยู่บนนั้น ใครจะไปรู้ว่าที่ไหนเป็นที่ไหน!

ถ้าจะให้ยอมแพ้ตอนนี้ เขาก็ตัดใจไม่ลงอีก แต่ถ้าจะศึกษาเองก็ไม่รู้จะเริ่มลงมือจากตรงไหน เขาครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา แล้วก็ตัดสินใจไปที่ปราสาทดำเนินนภา ทางนั้นมีประสบการณ์เรื่องคลายปริศนารูปภาพ หาทางไปสืบดูสักหน่อยว่าอีกฝ่ายลงมืออย่างไร จะได้ให้ทางนั้นคุ้มกันส่งตนออกไปจากที่นี่ด้วย อยู่ที่ปราสาทดำเนินนภาปลอดภัยกว่าอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็สนิทกับปราสาทดำเนินนภา เขาไม่กล้ารับประกันเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ พยายามออกไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่า

จึงนำระฆังดาราออกมาติดต่อกับจงหลีค่วย รอจนกระทั่งจงหลีค่วยกลับมา เหมียวอี้ถึงได้หายกังวล

จากนั้นก็นำแผ่นหยกออกมา เทียบดูกับแผนที่ในมือ แล้วทำสำเนาภาพแผนที่กลุ่มดาวที่อยู่บนนั้น แต่เว้นภาพรายละเอียดจุดหมายปลายทางเอาไว้ ขอเพียงหาตำแหน่งท้องฟ้าที่อยู่บนภาพเจอ ที่เหลือก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว

เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ เหมียวอี้กวาดมองรอบๆ ห้องหินแวบหนึ่ง แล้วเดินก้าวยาวออกไป ดำเข้าไปในน้ำทะเลสาบสีดำอีกครั้ง สำรวจดูตะขาบยักษ์เปลือกเขียวที่หน้าตาดุร้ายตัวนั้นอีกนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดที่จะไปยั่วแหย่มัน เพราะยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางชัดเจน จึงกลับมาที่กลางทะเลสาบตามทางเดิม เมื่อโผล่พ้นน้ำออกมา ก็มุ่งตรงกลับไปที่อาณาเขตของเผ่าปีศาจทันที

หลังจากผ่านไปหลายวัน จงหลีค่วยก็ไม่ได้มา แต่หมิงจ้าวมาแทน พาศิษย์น้องระดับบงกชรุ้งมาด้วยสองคน ย่อมมาเพื่อป้องกันคนของสมาคมวีรชนอยู่แล้ว

เมื่อเจอหน้ากัน หมิงจ้าวก็ขมวดคิ้วทันที “ทำไมเจ้ากลับมาที่นี่อีกแล้วล่ะ?”

เหมียวอี้แอบปาดเหงื่อในใจ คิดว่าถ้าปราสาทดำเนินนภาไม่ได้เห็นแก่เรื่องที่ได้ทำงานร่วมกับร้านขายของชำซื่อตรง ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งยอดฝีมือระดับบงกชรุ้งสามคนรวดเดียวเพื่อรับตัวเขาไป ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็ไม่ได้มีความสำคัญในสายตาของอีกฝ่ายอยู่แล้ว อีกฝ่ายทำแบบนี้เท่ากับเป็นการแสดงน้ำใจต่อร้านขายของชำซื่อตรง

“ข้าเองก็ไม่อยากกลับมาหรอก เป็นเพราะโดนคนดักโจมตีแท้ๆ เลย ถ้าจะหนีไปที่สำนักลมปราณ สำนักลมปราณก็ต้านทานอีกฝ่ายไม่ไหว ถ้าจะไปที่ปราสาทดำเนินนภา ก็กลัวว่าฝ่ายนั้นจะรู้แล้วเตรียมการล่วงหน้า ทำได้เพียงหนีกลับมาที่นี่เพื่อขอให้ผู้อาวุโสมู่เซินรบกวนให้ปราสาทแมกไม้ปกป้อง ไม่อย่างนั้นข้าคงตกอยู่ในมือของสมาคมวีรชนไปนานแล้ว” เหมียวอี้ทำได้เพียงอธิบายไปแบบนี้ คงบอกไม่ได้หรอกว่าตัวเองกลับมาเพื่อหาสมบัติ



957

สุนักรับใช้ราชันสวรรค์

พอพูดถึงตรงนี้ มีเรื่องหนึ่งที่หมิงจ้าวไม่ถามไม่ได้ หมิงจ้าวยังพอเข้าใจเรื่องปีศาจโลหิต แต่เรื่องที่สมาคมวีรชนสู้กับเหมียวอี้อย่างโจ่งแจ้ง เขาไม่เข้าใจแล้ว “จากที่ข้ารู้มา สำนักลมปราณมีคนที่เป็นขุนนางที่ตำหนักสวรรค์ เจ้าอยู่ที่สำนักลมปราณแล้ว ทำไมไม่เข้าร่วมเป็นคนของสำนักลมปราณ แต่เป็นแค่ฆราวาสที่มาเป็นแขก ถ้าเจ้ากลายเป็นศิษย์ของสำนักลมปราณ สมาคมวีรชนก็ไม่กล้าสู้กับเจ้าอย่างโจ่งแจ้งหรอก”

เรื่องแบบนี้เหมียวอี้ไม่มีทางอธิบายกับหมิงจ้าวได้ อวี้หลิงเจินเหรินมาหาเขาด้วยเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว ถ้ากลายเป็นศิษย์ของสำนักลมปราณ ข้างบนก็ยังมีอาจารย์คอยคุ้มครอง แต่ด้วยคุณธรรมประจำสำนักลมปราณ ไม่ช้าก็เร็วที่เขาจะได้กลายเป็นศิษย์ทรยศ ฐานะศิษย์กับอาจารย์ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นั่นคือฐานะที่ต้องเป็นไปตลอดชีวิต ถ้าไม่โดนกดดันจนหมดทางเลือกจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว ทำได้เพียงพูดเอาตัวรอดไปว่า “ผู้น้อยมีอาจารย์ของตัวเองแล้ว คงไม่ดีที่จะไปพึงพาสำนักอื่นขอรับ”

นี่ก็คือหลักการหนึ่งเหมือนกัน หมิงจ้าวไม่สะดวกจะพูดอะไรอีก ทำได้เพียงกล่าวอำลาผู้อาวุโสมู่เซินอีกครั้ง จากนั้นศิษย์พี่ศิษย์น้องสามคนก็คุ้มกันเหมียวอี้พุ่งขึ้นฟ้าไปด้วยกันทันที ออกจากท้องฟ้ามาถึงอวกาศ เหาะออกไปไกลอย่างรวดเร็วราวกับไล่คว้าดวงดาวดวงจันทร์

บนดาวเคราะห์ที่เงียบสงัดดวงหนึ่งที่โคจรตามดาวแมกไม้ นักพรตห้าคนทยอยกันยืนขึ้นและมองหน้ากันเลิกลั่ก ได้แต่มองคนอื่นพาตัวเหมียวอี้ไปโดยไม่กล้าขัดขวาง…

หลังจากมาถึงปราสาทดำเนินนภา เหมียวอี้ก็ตามพวกหมิงจ้าวไปรายงานผลการปฏิบัติงานต่อรองเจ้าสำนักฝูเสี่ยน ไปแสดงความขอบคุณ

แน่นอน หลังจากขอบคุณแล้ว เหมียวอี้ก็ยังไม่ลืมเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของตัวเอง กล่าวขอร้องว่า “รองเจ้าสำนัก ไม่ทราบว่าแผนที่ซ่อนสมบัติที่จงหลีค่วยได้มายังอยู่หรือเปล่า?”

เมื่อกล่าวถามแบบนี้ หมิงจ้าวและคนอื่นๆ ก็มองมาหาเขาทันที ไม่รู้ว่าทำเขาถึงถามแบบนี้

“ยังอยู่!” ฝูเสี่ยนยกมือลูบเคราเบาๆ จ้องมองมาด้วยแววตาเป็นประกาย ถามกลับว่า “หรือว่าฆราวาสยังไม่ยอมแพ้?”

เหมียวอี้ตอบอย่างลังเลว่า “ข้าแค่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน เป็นไปได้มั้นว่าพวกเราไปผิดสถานที่ ดาราจักรกว้างใหญ่ไพศาล อาจจะมีสถานที่ที่คล้ายคลึงกันก็ได้ ไม่ทราบว่าสำนักของท่านแน่ใจได้อย่างไร ว่าจุดที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่กลุ่มดาวคือบริเวณดาวแมกไม้?”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ฝูเสี่ยนยังนึกว่าเขาพบอะไรอย่างอื่น จึงหันมายิ้มให้หมิงจ้าวพร้อมบอกว่า “ศิษย์น้องห้า ข้ายังมีธุระอย่างอื่น เจ้าพาฆราวาสไปพักผ่อนก่อน แล้วถือโอกาสคลายความสงสัยให้ฆราวาสด้วย”

“ขอรับ!” หมิงจ้าวเอ่ยรับคำสั่ง เขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ศิษย์พี่เป็นรองเจ้าสำนักของปราสาทดำเนินนภา ถ้าให้มาคุยเรื่องนี้กับเหมียวอี้ก็จะเป็นการลดเกียรติไปหน่อย ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกเหมียวอี้ เพียงแต่ไม่อยากให้มีคนอื่นมาดูถูกปราสาทดำเนินนภา ถึงอย่างไรศิษย์พี่ก็มีฐานะเป็นรองเจ้าสำนัก เป็นหน้าเป็นตาให้กับปราสาทดำเนินนภา

หลักการนี้เหมียวอี้ก็เข้าใจเช่นกัน แต่ก็ยังทำตัวไม่รู้กาลเทศะ

เมื่อออกจากตำหนักคุมงานมาแล้ว หมิงจ้าวก็กำชับให้ศิษย์ระดับล่างจัดหาเรือนพักเดี่ยวให้เหมียวอี้ เห็นแก่ที่ทั้งสองมีความสนิทสนมกันอยู่บ้าง เขาจึงไม่ได้แสดงความหงุดหงิดใส่เหมียวอี้เท่าไรนัก สำเนาแผนที่ที่เหมือนจะหมดประโยชน์แล้วถูกนำออกมาอีกครั้ง เขาเปิดกางไว้บนโต๊ะ พร้อมอธิบายให้เหมียวอี้ฟังว่า “การไขปริศนาแผนที่นี้ จะว่ายากก็ยาก จะว่าไม่ยากก็ไม่ยาก เพียงแต่ตอนแรกพวกเราต่างก็เดินไปผิดที่ ตามหาแผนที่กลุ่มดาวจากทั่วโลกมาเปรียบเทียบกัน จักรวาลกว้างใหญ่ขนาดนั้น ทำเอาพวกเราลำบากแทบแย่ แต่ตอนหลังก็พบว่าแผนที่กลุ่มดาวมีขนาดจำกัด ถึงแม้จะมีขอบเขตให้วาดใหญ่มาก แต่เหมือนจะไม่พอให้วาดดาวเคราะห์จำนวนนับไม่ถ้วนพวกนั้น พวกเราถึงได้เข้าใจกระจ่างในทันที ว่าผู้ที่สร้างแผนที่ไม่วาดดาวเคราะห์เล็กน้อยที่ไม่จำเป็นเข้าไปด้วยเลย เป็นแค่แผนที่โดยสังเขป ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าพวกเขาไม่ได้วาดอาณาเขตที่ยังไม่ค้นพบลงไปด้วย พอรู้แบบนี้แล้วพวกเราก็ย่อมหาได้ง่ายขึ้น”

หมิงจ้าวชี้ไปบนจุดสีแดงจุดหนึ่ง “หาดวงดาวหลักอย่างพวกดวงอาทิตย์ก่อน แล้วค่อยหาดาวรองที่โคจรอยู่รอบๆ มัน สุดท้ายก็หาดาวเสริมที่โคจรอยู่รอบดาวรองอีกที เทียบจำนวนดาวรองที่อยู่ใกล้ดาวหลัก แล้วเทียบจำนวนดาวเสริมที่อยู่รอบดาวรองอีกที เมื่อมีภาพให้ดูเทียบชัดเจนแบบนี้แล้ว ขอบเขตการค้นหาก็หดเล็กลงหลายเท่าทันที” จากนั้นนิ้วก็ย้ายไปที่ตำแหน่งของดาวแมกไม้ “ดังนั้นพวกเราจึงเจอเป้าหมายเร็วมาก ที่แท้สถานที่ซ่อนสมบัติก็คือดาวแมกไม้ของสถานที่ไร้ระเบียบ! ตอนนี้เจ้าเข้าใจรึยัง?”

“อย่างนี้เองเหรอ! เข้าใจแล้ว…” เหมียวอี้พยักหน้า เขาฟังเข้าใจแล้ว นับว่าได้เพิ่มพูนความรู้มากมาย แต่ก็ยังแอบปาดเหงื่อนิดหน่อย ถึงแม้วิธีการแบบนี้จะเรียบง่ายกว่าการหาจากดวงดาวเต็มท้องฟ้าในจักรวาลอันกว้างใหญ่กลายเท่า แต่ก็ยังยากมากสำหรับเขาอยู่ดี เขาไม่มีอำนาจอะไรที่พิภพใหญ่ ดวงอาทิตย์ในจักรวาลไม่ได้มีน้อยๆ แผนที่ซ่อนสมบัติฉบับนี้กำลังกดดันให้เขาทำความเข้าใจพิภพใหญ่ให้มากขึ้น!

หมิงจ้าวยิ้มบางๆ ถ้าเทียบฐานะและวรยุทธ์ของทั้งสอง เขานับว่าทำดีกับเหมียวอี้มากพอแล้ว จะมัวมาอยู่เล่นเป็นเพื่อนเหมียวอี้ตลอดไม่ได้ ทั้งสองไม่ได้มีหัวข้อสนทนาที่เหมือนกัน เขาพับเก็บแผนที่บนโต๊ะ พลางบอกว่า “สมาคมวีรชนไม่กล้ามาทำตัวกำเริบเสิบสานที่นี่หรอก ปราสาทดำเนินนภาให้ที่อยู่ที่กินกับฆราวาสได้ ฆราวาสอยู่ได้โดยไม่ต้องกังวล ถ้ามีเรื่องอะไรก็เรียกจงหลีค่วย ข้ายังมีธุระอีก”

ด้วยตำแหน่งฐานะของอีกฝ่าย เท่านี้ก็นับว่ารบกวนมากแล้ว เหมียวอี้ไม่ถึงขั้นไม่เจียมตัวขนาดนั้น กุมหมัดขอบคุณทันที แต่สายตาเหลือบไปเห็นฉากกั้นบานหนึ่งตรงห้องโถงด้านข้าง เขาอึ้งทันที พบว่าภาพที่อยู่บนฉากกั้นค่อนข้างคุ้นตา

หมิงจ้าวหันมองตามเขา แล้วบอกพร้อมรอยยิ้มทันทีว่า “นี่คือแผนที่บริเวณปราสาทดำเนินนภา เอาไว้ให้แขกที่เข้ามาพักดู แขกจะได้เดินเล่นที่นี่แบบมีเป้าหมาย เจ้าดูสิว่ามีที่ไหนอยากไปเดินเล่นบ้าง จะได้ให้จงหลีค่วยไปเป็นเพื่อน”

เหมียวอี้รีบเก็บสายตากลับมาแล้วกุมหมัดคารวะ “ได้โปรดอภัยที่ผู้น้อยหน้าด้านไร้ยางอาย ถ้ายังหาสมบัติที่ซ่อนไว้ไม่พบ ผู้น้อยก็ตัดใจไม่ลง ผู้น้อยจึงยากจะขอให้ผู้อาวุโสทิ้งแผนที่ซ่อนสมบัติฉบับสำเนาไว้ให้ผู้น้อยศึกษาให้ละเอียดสักหน่อย ไม่ทราบว่าได้หรือไม่?”

หมิงจ้าวลังเลนิดหน่อย แต่พอลองคิดดูอีกมุม ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว ถึงได้หยิบแผนที่ออกมาวางไว้บนโต๊ะ

พอเดินออกประตูมา หมิงจ้าวก็แอบส่ายหน้า เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของเหมียวอี้ เดิมทีปราสาทดำเนินนภารับปากไว้แล้วว่าถ้าเจอสมบัติจะแบ่งให้เขาครึ่งหนึ่ง พอหาไม่พบเขาก็ตัดใจไม่ลงเป็นธรรมดา ความรู้สึกที่ยังกอดความหวังเอาไว้ ไม่ยากเกินที่จะเข้าใจ

เหมียวอี้ออกมาส่งเขาที่ประตูด้วยตัวเอง แล้วรีบเร่งฝีเท้าเดินกลับมาทันที เหมือนมีธุระด่วนอะไร แต่ใครจะไปคาดคิด จงหลีค่วยที่รออยู่ข้างนอกนานแล้ว พอเห็นหมิงจ้าวเดินออกมาก็ถลันตัวเข้ามาขวางเหมียวอี้ทันที “หนิวโหย่วเต๋อ ทำไมเจ้ากลับไปที่ดาวแมกไม้อีกแล้วล่ะ ไม่ใช่ว่าตัดใจไม่ลงเลยกลับไปหาสมบัติอีกรอบหรอกใช่มั้ย?”

เขาเดาไม่ผิดหรอก แต่มีหรือที่เหมียวอี้จะยอมรับ ยอมบอกเหมือนที่เล่าให้หมิงจ้าวฟังอยู่แล้ว บอกว่าโดนสมาคมวีรชนกดดันให้กลับไป

“สงสัยสมาคมวีรชนจะลงมือแล้วจริงๆ!” จงหลีค่วยเอามือลูบหนวดพลางขมวดคิ้ว “ตอนนี้เจ้าเกิดปัญหาใหญ่แล้วล่ะ ถ้าสมาคมวีรชนได้ลงมือ ถ้าทำไม่สำเร็จก็เกรงว่าจะไม่วางมือ สมาคมนี้มีอำนาจมาก เหมือนปลาและมังกรอยู่รวมกัน คนจากสามลัทธิเก้านิกายในแดนฝึกตนล้วนมีหมด เกรงว่าจะเป็นการรวมกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในแดนฝึกตน ยังดีที่เป็นการรวมกลุ่มแบบหละหลวม ไม่อย่างนั้นก็อย่าว่าแต่ปราสาทดำเนินนภาของพวกเราเลย ต่อให้เป็นตำหนักสวรรค์ก็ต้องหวั่นเกรงสามส่วน”

พูดจนเหมียวอี้กลุ้มใจเลย! ได้แต่ยิ้มขื่นขมไม่หยุด “ตำหนักสวรรค์ปล่อยให้มีการรวมกลุ่มแบบนี้ได้อย่างไร ถ้าพวกเขาร่วมมือกันขึ้นมาจริงๆ ไม่กลัวว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อตำหนักสวรรค์เหรอ?”

จงหลีค่วยเอาสองมือไขว้หลัง เดินมาข้างๆ แล้วก้มตัวดมดอกไม้ที่กำลังบานได้ที่ ก่อนจะทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “นอกเสียจากตระกูลหวงฝู่จะโดนน้ำเข้าสมองเท่านั้นแหละ ถึงจะทำอย่างนั้น ถ้าเจ้าเก่งนักก็ลองให้พวกเขาร่วมมือกันดูสิ เกรงว่ายังไม่ทันได้เคลื่อนไหวไปถึงไหน ตำหนักสวรรค์ที่รู้ข่าวก็ส่งทหารสวรรค์มาถอนรากถอนโคนตระกูลหวงฝู่แล้ว ฆ่าสุนัขรับใช้ไม่ให้เหลือสักตัว!”

เหมียวอี้กะพริบตา เดินมาอยู่ข้างกายเขาและถามอย่างสงสัย “ลุงหนวด ท่านหมายความว่า ในสมาคมวีรชนมีสายลับของตำหนักสวรรค์เหรอ?”

จงหลีค่วยตอบกลั้วหัวเราะว่า “ยังต้องพูดอีกเหรอ? คนจากร้อยพ่อพันแม่มารวมกลุ่มใหญ่ขนาดนั้น สมาชิกเยอะและมีที่มาซับซ้อน ตำหนักสวรรค์ไม่แทรกคนเข้ามาก็แปลกแล้ว เกรงว่าตระกูลหวงฝู่เองก็ยังไม่กล้าฟันธงด้วยซ้ำว่าใครบ้างที่เป็นคนของตำหนักสวรรค์ ต่อให้รู้อยู่แก่ใจแต่ก็ไม่กล้าตรวจสอบ ถ้ากำจัดสายลับของตำหนักสวรรค์ออกจากสมาคมวีรชน เจ้าคิดว่าตำหนักสวรรค์ยังจะปล่อยพวกเขาไว้อีกเหรอ? ว่ากันตามจริงนะ ถ้ามองจากอีกด้านหนึ่ง สมาคมวีรชนก็เป็นส่วนหนึ่งของตำหนักสวรรค์เหมือนกัน พิภพใหญ่ขนาดนี้ อาศัยทหารสวรรค์อย่างเดียวก็ควบคุมไม่ไหว ตำหนักสวรรค์จำเป็นต้องมีกลุ่มที่สามารถยื่นมือเข้าไปถึงซอกมุมต่างๆ ที่ตำหนักสวรรค์เข้าไม่ถึงอย่างสมาคมวีรชนเอาไว้ ที่จริงตระกูลหวงฝู่ก็เป็นสุนัขรับใช้ลับๆ ของราชันสวรรค์ ถ้าไม่มีตำหนักสวรรค์ให้ท้าย ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่สมาคมวีรชนจะขยายอำนาจได้ใหญ่โตขนาดนี้ สรุปก็คือตำหนักสวรรค์จะทำเรื่องที่โจ่งแจ้งเปิดเผย ส่วนเรื่องชั่วช้าน่าอับอาย ก็ย่อมเป็นหน้าที่ของสุนัขรับใช้ที่ชั่วช้าน่าอับอายอยู่แล้ว”

เมื่อได้ยินสิ่งเหล่านี้ เหมียวอี้ก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง มิน่าล่ะเซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานที่ดูเหมือนมีภูมิหลังใหญ่โต ถึงแม้ทั้งคู่จะชอบหวงฝู่จวินโหรวมาก แต่กลับไม่มีใครกล้าใช้ไม้แข็งกับหวงฝู่จวินโหรว ที่แท้ก็เกรงกลัวราชันสวรรค์ที่หนุนหลังตระกูลหวงฝู่นี่เอง!

ได้ยินจงหลีค่วยบอกอีกว่า “เจ้ารู้จักผู้หญิงคนหนึ่งของตระกูลหวงฝู่ไม่ใช่เหรอ? อย่าบอกนะว่าไม่เคยได้ยินนางพูดถึงกฎข้อหนึ่งของตระกูลหวงฝู่ ผู้หญิงของตระกูลหวงฝู่ไม่เคยแต่งงานออก มีเพียงให้ผู้ชายแต่งงานเข้าบ้านเท่านั้น”

“เคยได้ยินมาบ้าง อย่าบอกนะว่ามีเรื่องราวเบื้องลึกอะไร?” เหมียวอี้พยักหน้าถาม

จงหลีค่วยเดาะลิ้นแล้วบอกว่า “พูดไปเยอะขนาดนี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกเหรอ? ตระกูลหวงฝู่ก็คือสุนัขรับใช้ของราชันสวรรค์ ถ้าราชันสวรรค์ไม่อนุญาต ใครจะกล้าแก้เชือกที่คอตัวเองแล้วหนีไปล่ะ? ถ้าความลับน่าอับอายที่ราชันสวรรค์แอบสั่งให้พวกเขาไปทำเกิดรั่วไหลขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ?”

เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนใจลอย กระจ่างแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหวงฝู่จวินโหรวนอนกับเขาแต่ไม่ยอมแต่งงานกับเขา ต้องให้เขาแต่งงานเข้าตระกูลนางเท่านั้น ที่แท้หวงฝู่จวินโหรวก็ตัดสินใจเองไม่ได้เหมือนกัน!

เมื่อได้สติกลับมา เหมียวอี้ก็ถามอย่างแปลกใจว่า “ในเมื่อสมาคมวีรชนมีอำนาจมากขนาดนี้ ทำไมปราสาทดำเนินนภาของพวกท่านยังกล้าปกป้องข้าอีกล่ะ ไม่กลัวฝั่งราชันสวรรค์เหรอ?”

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องถามแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่ข้าควรพูด” จงหลีค่วยตอบ

“แล้วท่านรู้เบื้องลึกของราชันสวรรค์กับสมาคมวีรชนได้อย่างไร?” เหมียวอี้มองสำรวจเขาแวบหนึ่ง “ท่านรู้เรื่องพวกนี้ตั้งนานแล้วเหรอ? ทำไมไม่เห็นท่านเตือนข้าล่วงหน้าเลย? ทำไมต้องรอให้ข้าก่อเรื่องใหญ่โตแล้วค่อยมาเตือน!”

จงหลีค่วยเงียบไป และสุดท้ายก็อธิบายอย่างลำบากใจ “หนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ข้าก็ยังไม่รู้หรอก ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์เพิ่งบอกข้า ให้ข้ามาบอกเจ้าต่อ ให้ข้ามาแนะนำเจ้าสักหน่อย ว่าหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรง เจ้ารักษาไว้ไม่ได้หรอก! ถึงแม้ปราสาทดำเนินนภาจะไม่กลัวสมาคมวีรชน แต่อาจารย์ข้าที่เป็นรองเจ้าสำนักก็ต้องพิจารณาเพื่อส่วนรวมของปราสาทดำเนินนภา ปกป้องเจ้าได้แต่ชั่วคราวเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะสู้กับสมาคมวีรชนเพื่อเจ้าไปตลอด ถึงอย่างไรสมาคมวีรชนก็ไว้หน้าปราสาทดำเนินนภาเต็มที่แล้ว แค่นี้ก็ถ่อมตัวไม่กล้าล่วงเกินมากพอแล้ว ถึงขีดจำกัดแล้ว ถ้าจะให้พวกเขาคุกเข่าอีกก็คงเป็นไปไม่ได้ เจ้าต้องเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ!”

คำพูดนี้ชัดเจนมากแล้ว เหมียวอี้เองก็ฟังเข้าใจ ปราสาทดำเนินนภาก็มีจุดที่ลำบากเหมือนกัน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ถึงแม้เหมียวอี้จะมีความสัมพันธ์อันดีกับจงหลีค่วย แต่ก็มีความสัมพันธ์ที่ธรรมดากับปราสาทดำเนินนภา แค่ส่งยอดฝีมือบงกชรุ้งสามคนไปคุ้มกันเขากลับมาก็นับว่าทำดีที่สุดแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่ปราสาทดำเนินนภาจะสู้กันเอาเป็นเอาตายกับสมาคมวีรชนโดยไม่สนใจชีวิตของลูกศิษย์ในสำนัก


958

เปลี่่ยนเจ้าของร้านขายของชำ

“เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ เหรอ?” เหมียวอี้ที่ยื่นมือไปสัมผัสก้านดอกไม้หันกลับมาช้าๆ ถามกลับว่า “ให้ข้านำหุ้นสองส่วนนั้นให้พวกเขาเหรอ? ถ้าไม่มีข้าสร้างร้านค้าร้านนั้นให้สำนักลมปราณ ร้านขายของชำซื่อตรงก็ไม่มีทางอยู่มาจนถึงวันนี้หรอก! ที่ร้านขายของชำซื่อตรงมีวันนี้ได้ ก็เพราะข้าผลักดันเองกับมือ ข้าได้หุ้นไปสองส่วนก็ไม่นับว่าเยอะหรอก หุ้นสองส่วนนั้นคือของของข้า เป็นแหล่งทรัพยากรฝึกตนที่ใหญ่ที่สุดของข้าด้วย ทำไมข้าต้องให้คนอื่นล่ะ?”

จงหลีค่วยถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็เพราะร้านขายของชำซื่อตรงมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไงล่ะ อาศัยแค่กำลังของเจ้าก็รักษาไว้ไม่อยู่หรอก! ดูจากแนวโน้มแบบนี้ เจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่า ดีไม่ดีมันอาจจะกลายเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของแดนฝึกตนก็ได้! เจ้าคนเดียวสู้ไม่ชนะฝ่ายนั้นหรอก อำนาจภูมิหลังไม่คู่ควรให้ถือรองเท้าให้เขาด้วยซ้ำ กอดเนื้อชิ้นใหญ่ขนาดนี้เอาไว้ จะไม่ดึงดูดพวกหมาป่าที่หิวโหยได้อย่างไร? อาจารย์ของข้าหมายความว่า ถ้าเจ้าจะมอบของสิ่งนั้นให้อีกฝ่ายไป ปราสาทดำเนินนภาของเราจะเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้ รับรองว่าตั้งแต่นี้ไปสมาคมวีรชนจะเลิกรังควานเจ้า บางทีอาจจะทำให้เจ้ารักษาหุ้นที่ร้านขายของชำไว้ได้บ้างสักนิด เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

เหมียวอี้เม้มริมฝีปากแน่น ยากจะบรรยายความคับแค้นในใจออกมาได้ เขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ตัวเขาในตอนนี้เหมือนเด็กสามขวบที่กอดสมบัติล้ำค่าเดินโอ้อวดตามถนน ถ้าไม่มอบให้อีกฝ่ายไป เกรงว่าพิภพใหญ่คงจะไม่มีที่ให้เขายืน

จงหลีค่วยถอนหายใจแล้วบอกว่า “อาจารย์ข้าบอกแล้ว อย่าว่าแต่เจ้าเลย ตราบใดที่ร้านขายของชำซื่อตรงยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วที่สำนักลมปราณจะต้องเผชิญกับแรงกดดันเดียวกัน สมาคมวีรชนเองก็รักษาหุ้นมากมายขนาดนั้นไม่ไหวเหมือนกัน อำนาจจากฝ่ายต่างๆ จะแทรกเข้ามา ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ตอนนี้สมาคมวีรชนไม่ได้แย่งชิงสิ่งนี้เพื่อตัวเองเลย เจ้าคงจะรู้ว่าหมายความว่าอย่างไร เจ้าต้านทานไหวเหรอ?”

พอพูดถึงสำนักลมปราณ สำนักลมปราณก็ส่งข่าวมาทันที เหมียวอี้ที่กำลังทำสีหน้าไม่ยอมนำระฆังดาราออกจากกำไลเก็บสมบัติ อวี้ซวีเจินเหรินส่งข่าวมาแล้ว

ที่จริงสำนักลมปราณก็รู้สึกถึงแรงกดดันแล้วเช่นกัน ตอนแรกมีคนมาถามเรื่องหุ้นสองส่วนที่อยู่ในมือเหมียวอี้ บอกว่าได้ยินมาว่าหุ้นสองส่วนที่อยู่ในมือเหมียวอี้เป็นคำสัญญาปากเปล่า ไม่ได้ลงนามสัญญา ดังนั้นจึงมีคนอยากจะซื้อหุ้นสองส่วนนั้นจากมือของสำนักลมปราณ ชัดเจนว่ามองเห็นอนาคตที่ก้าวหน้าของร้านขายของชำแล้ว คิดจะฉวยโอกาสเริ่มลงมือตอนที่หุ้นยังราคาต่ำ

ส่วนเจ้าสำนักอวี้หลิงเจินเหรินก็บอกไปว่า ตอนที่ขยายสาขาร้านขายของชำซื่อตรงครั้งก่อน ได้ลงนามสัญญาอย่างเป็นทางการกับเหมียวอี้ไปแล้ว

ความจริงคือยังไม่ได้ลงนามสัญญา แต่ตอนนี้อวี้หลิงเจินเหรินลงนามสัญญาเรียบร้อยแล้ว อวี้ซวีเจินเหรินจะถามว่าเหมียวอี้อยู่ที่ไหน อยากจะนำสัญญาส่งมาให้ถึงมือ

เห็นได้ชัดว่าสำนักลมปราณรับแรงกดดันนั้นไม่ไหวเช่นกัน ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ อวี้หลิงเจินเหรินยังสามารถรักษาสัญญาและนำหุ้นสองส่วนนั้นร่างเป็นสัญญามอบให้เหมียวอี้ได้ ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ

แต่สิ่งที่สำนักลมปราณสามารถช่วยเหมียวอี้ได้ก็มีแค่เท่านี้ เป็นเพราะกำลังอำนาจของตัวเองมีจำกัด เพราะสำนักลมปราณก็รักษาส่วนของตัวเองไว้ไม่อยู่เช่นกัน แรงกดดันปะทะเข้ามาราวกับพายุคลั่ง ไม่น่าเชื่อว่าสำนักลมปราณเล็กๆ จะยั่วให้ผู้มีอำนาจทั้งหลายของตำหนักสวรรค์ทยอยมาไม่ขาดสาย ไม่มีใครที่สำนักลมปราณจะไปมีเรื่องด้วยไหว ขนาดชีอู๋เจินเหริน ปรมาจารย์ผู้บุกเบิกสำนักลมปราณยังได้รับแรงกดดันเลย ผู้บังคับบัญชาของชีอู๋เจินเหรินมาเจรจาที่สำนักลมปราณด้วยตัวเอง จะให้สำนักลมปราณทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร!

แต่อย่างน้อยสำนักลมปราณก็ยังมีคนของตำหนักสวรรค์หนุนหลัง ผู้มีอำนาจพวกนั้นไม่สะดวกจะแสดงความโลภมากเกินไป อย่างน้อยก็ยังต้องรักษากฎกติกา นำหุ้นไปจากมือของสำนักลมปราณโดยวิธีการรับซื้อ เพียงแต่ราคาไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร ต้องขายถูกๆ เท่านั้น ขายแพงไม่ได้

สุดท้ายหุ้นสี่ส่วนของสำนักลมปราณก็ถูกแบ่งครึ่ง เหลือเพียงหนึ่งในแปดส่วน นี่ยังเห็นแก่ที่สำนักลมปราณบริหารร้านขายของชำมาหลายปี ช่องทางจัดหาสินค้าต่างๆ ล้วนอยู่ในมือของสำนักลมปราณ ถ้าถอดคนบริหารร้านค้าของสำนักลมปราณออกไปหมด ก็เป็นเรื่องยากที่จะให้คนอื่นจะมารับช่วงต่องานซื้อขายสินค้าเบ็ดเตล็ดแบบนี้ มีแค่สำนักลมปราณที่มีประสบการณ์บริหารการค้ารูปแบบใหม่ มิหนำซ้ำ ถ้าจะเปลี่ยนคนก็คงต้องเปลี่ยนชื่อร้านด้วย ถ้าจะเรียกว่าร้านขายของชำซื่อตรงต่อไป ก็คงจะฟังดูไม่เข้าท่า และผู้มีอำนาจพวกนั้นก็ไม่มาบริหารธุรกิจแบบนี้โดยตรง ไม่ว่าธุรกิจอะไรก็ตาม แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาก็แค่ซื้อมาแล้วส่งให้คนอื่นจัดการดูแลต่อ เวลาเกิดปัญหาอะไรขึ้น ตัวเองก็แค่ออกหน้าไปสนับสนุน ที่เหลือแค่รอรับเงินก็พอ

คำพูดบางคำ อวี้ซวีเจินเหรินก็ไม่สะดวกใจที่จะเอ่ยออกมา ถึงแม้สำนักลมปราณจะเสียหายไปไม่น้อย แต่ก็ยังมีรายรับอยู่ ประเดี๋ยวเดียวก็ได้ตีสนิทกับผู้มีอำนาจพวกนั้นแล้ว ดูแลธุรกิจให้ผู้มีอำนาจมากมายขนาดนั้น ทำให้ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครกล้าแตะต้องศิษย์ของสำนักลมปราณ อันดับของสำนักลมปราณขึ้นพรวดพราดในรวดเดียว ส่วนชีอู๋เจินเหริน ปรมาจารย์ผู้บุกเบิกสำนักลมปราณที่เคยมีชีวิตการงานไม่ได้ดั่งใจ ปัจจุบันก็ได้เลื่อนขั้นแล้วเช่นกัน ได้อาศัยบารมีพวกลูกศิษย์แล้ว

เมื่อรู้ข่าวว่าสำนักลมปราณโดนกดดันให้ขายหุ้นในมือไปแล้ว เหมียวอี้ถือระฆังดาราอยู่ในมือ แต่ใบหน้ากลับฉายแววดุร้าย กลิ่นอายสังหารลอยขึ้นรอบตัว ตะโกนในใจว่า ไอ้พวกโจรสุนัขรังแกกันเกินไปแล้ว!

จุดจบของสำนักลมปราณนับว่ายังดี อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยินดีจ่ายเงินซื้อจากสำนักลมปราณ ทั้งยังเหลือหุ้นบางส่วนไว้ให้สำนักลมปราณด้วย แต่สำหรับหุ้นของเหมียวอี้ อีกฝ่ายกลับไม่คิดจะจ่ายเงินซื้อสักแดงเดียว อยากจะแย่งไปตรงๆ เลย!

แค่คิดดูนิดเดียวเขาก็เข้าใจแล้ว ตอนที่ร้านขายของชำยังไม่ขยายสาขา ก็ยังเป็นเนื้อชิ้นเล็กเกินไป ยังไม่มีสายตาอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกผู้มีอำนาจสอดส่องเข้ามา แต่พอขยายสาขาก็ดึงดูดความสนใจทันที เกรงว่าจะเป็นเพราะสมาคมวีรชนเกิดอดใจรอไม่ไหว จึงลงมือกับเหมียวอี้ด้วยตัวเอง ถ้ายังไม่ลงมือเดี๋ยวจะไม่ทัน

ตอนนี้นับว่าเหมียวอี้เข้าใจแล้ว ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีคนหนุนหลังใหญ่โตถึงได้มีสิทธิ์ทำซี้ซั้ว ตอนนี้ถึงได้พบว่าที่จริงแล้วพิภพใหญ่ไม่ได้ต่างอะไรกับพิภพเล็ก เหมือนเปลี่ยนแค่น้ำแกง ไม่ได้เปลี่ยนยา ถ้าไม่มีอำนาจก็ไม่สามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงได้ ตัวเองในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับนักพรตอิสระที่พิภพเล็ก

เมื่อเห็นกลิ่นอายสังหารบนตัวเหมียวอี้ จงหลีค่วยก็มองระฆังดาราในมือเขาแวบหนึ่ง แล้วขมวดคิ้วถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“ไม่มีอะไร!” เหมียวอี้ส่ายหน้า ถามว่า “ข้ามีเรื่องจะขอคำชี้แนะสักเรื่อง ในตำหนักสวรรค์ บุคคลที่สามารถหนุนหลังได้ดีมีแซ่เซี่ยโห้วกับแซ่โค่วรึเปล่า?”

จงหลีค่วยตอบอย่างไม่แน่ใจ “มันก็มีอยู่หรอกนะ ได้ยินว่าราชินีสวรรค์มีแซ่สองพยางค์คือเซี่ยโห้ว แล้วก็มีอ๋องสวรรค์โค่ว หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ สองท่านนี้ภูมิหลังคงจะใหญ่พอสมควรกระมัง? ส่วนคนอื่นๆ ข้าเองก็ไม่ได้สนิทกับคนของตำหนักสวรรค์ พวกตัวเล็กตัวน้อยที่เหลือข้ารู้จักเสียที่ไหนล่ะ คนตำแหน่งใหญ่ๆ เท่าที่เคยได้ยินมาก็มีแค่สองท่านนี้แหละ เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม?”

เหมียวอี้อึ้งทันที ราชินีสวรรค์มีแซ่สองพยางค์คือเซี่ยโห้ว ไอ้เซี่ยโห้วหลงเฉิงนั่นคงไม่ใช่คนของตระกูลราชินีสวรรค์หรอกใช่มั้ย?

พอคิดดูก็รู้สึกว่าเป็นไปได้จริงๆ คนที่มีภูมิหลังแต่ไม่ยอมพูดออกมา ถ้าไม่เป็นคนสำรวมถ่อมตัว ก็แสดงว่าภูมิหลังใหญ่เกินไปจนกลัวว่าพูดออกมาแล้วจะส่งผลกระทบไม่ดี หรือไม่ภูมิหลังก็เล็กเกินไป ถ้าพูดออกกลัวคนจะหัวเราะเยาะ ภูมิหลังของเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่เล็กแน่นอน เจ้าบ้านั่นไม่ใช่คนถ่อมตัว อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการหมีควายนั่นคือคนของตระกูลราชินีสวรรค์จริงๆ?

ถ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีที่มาแบบนี้จริงๆ เช่นนั้นโค่วเหวินหลานก็คงจะมาจากอ๋องสวรรค์โค่วอะไรนั่นจริงๆ ไม่อย่างนั้นคนทั่วไปที่ไหนจะกล้าแย่งผู้หญิงกับคนของตระกูลราชินีสวรรค์ ถ้าเป็นคนระดับสี่อ๋องสวรรค์ก็พอเป็นไปได้ ถึงอย่างไรต่อให้ฐานะของราชินีสวรรค์จะสูงกว่านี้ แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็เป็นญาติฝ่ายหญิง แต่สี่อ๋องสวรรค์กลับเป็นบุคคลสำคัญที่กุมอำนาจที่แท้จริงไว้ในมือ

“ไม่มีอะไร!” เหมียวอี้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว กัดฟันบอกว่า “หุ้นสองส่วนนั้นข้าไม่เอาแล้ว แต่สมาคมวีรชนจะเอาชีวิตข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ยังจะให้ข้ามอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้พวกเขาอีกเหรอ? ข้าก็ไม่ได้ต่ำต้อยถึงขั้นนั้น! ท่านไม่ต้องห่วง ข้าไม่อยู่รบกวนที่ปราสาทดำเนินนภานานหรอก และจะไม่ทำให้ปราสาทดำเนินนภาลำบากด้วย เพียงหวังว่าอีกไม่กี่วันจะรบกวนปราสาทดำเนินนภาอีกสักครั้ง ไปส่งข้ากลับดาวเทียนหยวนสักครั้งได้รึเปล่า ความแค้นที่เหลือระหว่างข้ากับสมาคมวีรชน เดี๋ยวข้าจะจัดการด้วยตัวเอง!”

เขาเองก็โดนกดดันจนถึงขั้นหมดทางเลือกแล้ว ถ้าไม่มอบหุ้นส่วนนั้นไปก็ไม่ได้ อาศัยกำลังความสามารถของเขาในตอนนี้ ก็ไม่มีทางปกป้องไว้ได้เลย!

“เฮ้อ!” จงหลีค่วยรู้ว่าครั้งนี้เหมียวอี้ขาดทุนหนัก แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ปราสาทดำเนินนภาจะต้องเข้าไปร่วมลุยน้ำโคลนนี้ด้วย จึงได้แต่ตบบ่าเขาและบอกว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง เรื่องส่งเจ้ากลับดาวเทียนหยวน เดี๋ยวข้าจัดการเอง ข้าจะโน้มน้าวทางรองเจ้าสำนักให้” พูดจบก็หันตัวเดินออกไป ต้องไปบอกให้สำนักรู้ถึงท่าทีของเหมียวอี้

เหมียวอี้ที่ยืนเงียบอยู่ที่เดิมเริ่มกำหมัด ตอนที่ร้านขายของชำซื่อตรงยังไม่ขยายสาขา ในแต่ละปีเขาได้กำไรพิเศษห้าหมื่นล้านผลึกแดง เท่ากับยาแก่นเซียนห้าหมื่นเม็ดในแต่ละปี แค่คิดก็รู้แล้วว่าสภาพรายได้จะเป็นอย่างไร ยอมถวายเนื้อชิ้นใหญ่ขนาดนี้ให้คนอื่น ถ้าบอกว่าไม่ปวดใจก็คงโกหก แต่ก็อย่างที่บอก ตอนนี้เขารักษาไว้ไม่ได้จริง ถ้าไม่คายออกมา พิภพใหญ่ก็ไม่มีที่ให้เขายืน!

เขาไม่ใช่คนลังเล ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะสละรถเพื่อรักษาคนขับ ก็ไม่มีอะไรให้นึกเสียใจทีหลัง ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีโอกาสนำของที่เสียไปกลับคืนมาได้เสมอ!

เหมียวอี้ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง แล้วเก็บสีหน้าอารมณ์ จากนั้นมองไปรอบๆ แล้วสาวเท้าเดินเข้าไปในโถงหลัก พอเดินมาตรงหน้าฉากกั้นห้องโถงด้านข้าง เขาก็หยิบก้อนโลหะกลมที่ได้มาจากก้นทะเลสาบที่ดาวแมกไม้ออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ให้มันกางออกในฝ่ามือ

เมื่อเปรียบเทียบภาพทั้งสอง เหมียวอี้ก็ตกใจไม่เบา ตอนแรกยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป ตอนนี้ถึงได้พบว่าลักษณะพื้นภูมิของปราสาทดำเนินนภาที่วาดไว้บนฉากกั้นใกล้เคียงกับที่วาดไว้บนแผนที่ซ่อนสมบัติมาก เพียงแต่ลักษณะพื้นภูมิบนแผนที่ซ่อนสมบัติได้ย่อขอบเขตไว้กว้างกว่าเท่านั้นเอง

เมื่อเทียบแหน่งดูให้ละเอียด ลักษณะการวางตัวของภูเขาแม่น้ำก็เหมือนกันแทบทุกอย่าง แค่บนฉากกั้นทำสัญลักษณ์ของสิ่งปลูกสร้างไว้เยอะกว่าเท่านั้นเอง อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรต่างกัน

มิน่าล่ะก่อนหน้านี้ถึงรู้สึกคุ้นตา เหมียวอี้จึงขอแผนที่ซ่อนสมบัติฉบับสำเนาจากหมิงจ้าวได้ทันเวลา ตอนนี้นำออกมาเปรียบเทียบยืนยันแล้ว

เหมียวอี้เปรียบเทียบตามวิธีการที่หมิงจ้าวสอน ดูว่าภาพกลุ่มดาวบนแผนที่สมบัติที่ได้มาจากก้นทะเลสาบอยู่ในสถานที่ไร้ระเบียบเหมือนกันหรือไม่

ในสัญลักษณ์ดาราจักรที่หนาแน่นยั้วเยี้ย เขาเจอดาวหลักสามดวงบนแผนที่ฉบับสำเนา แต่บนแผนที่โลหะมีดาวหลักเพียงสองดวง ความแตกต่างนี้ไม่สามารถตัดสินอะไรได้ เนื่องจากเป็นภูมิภาคเดียวกันแต่เป็นคนละพื้นที่ สถานที่ไร้ระเบียบมีดวงอาทิตย์หลายดวง หรือเรียกอีกอย่างว่าดาวหลักนั่นเอง

หลังจากเปรียบเทียบแผนที่สองฉบับแล้ว ก็พบว่ามีดาวหลักดวงหนึ่งที่มีดาวรองและดาวเสริมในขอบเขตจำนวนเท่ากัน เหมียวอี้รีบหาตำแหน่งดาวหลักที่ตรงกับบนแผนที่สองฉบับนั้น ปรากฏว่าเป็นตำแหน่งของดาวแมกไม้บนแผนที่ฉบับสำเนา แยกออกเป็นทิศทางไปดาวดำเนินนภา เขาใช้นิ้วลากเส้นจากแผนที่ม้วนหนังไปบนแผนที่โลหะ พอลากลงมาเรื่อยๆ ผลก็คือตัดผ่านดาวเคราะห์ซ่อนสมบัติบนแผนที่โลหะพอดี

วินาทีที่ลากเส้นตัดผ่านอย่างแม่นยำ เหมียวอี้ก็มองดูภาพประกอบ แล้วเงยหน้ามองแผนที่บนฉากกั้นอีก เขาตกตะลึงเล็กน้อย ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ จริงหรือล้อเล่น? สถานที่ซ่อนสมบัติอยู่ที่ดาวดำเนินนภาเหรอ ทั้งยังอยู่บริเวณปราสาทดำเนินนภาด้วย!


959

ทำตัวเดินเกินหน้าเกินตา

ก่อนหน้านี้โมโหเดือดดาลเพราะร้านขายของชำซื่อตรง ตอนนี้เมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่แห่งขุมทรัพย์ อารมณ์ก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นดีใจถึงขีดสุด หุ้นของร้านขายของชำที่เสียไป ถ้าได้สมบัติจากราชันลัทธิมารกลับมาชดเชยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร

ไม่มีอะไรน่าลังเล เขากอบแผ่นแผนที่โลหะไปเทียบดูตรงหน้าฉากกั้น ทำให้พูดไม่ออกอีกครั้ง

จุดซ่อนสมบัติที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่อยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง เป็นเกาะตรงกลางแม่น้ำที่ไหลแยกกันและมาบรรจบกันอีกครั้ง เมื่อดูเทียบกัน ก็พบว่าเป็นแม่น้ำที่เกิดจากน้ำตกใต้ตำหนักคุมงานของปราสาทดำเนินนภา เป็นเกาะที่อยู่ห่างออกไปสิบลี้ เพียงแต่บนเกาะที่อยู่บนฉากกั้นมีศาลาอยู่หนึ่งหลัง

เหมียวอี้มึนตึ้บ ล้อเล่นอะไรกัน สมบัติของราชันลัทธิมารอยู่ในปราสาทดำเนินนภาเหรอ? ถ้าที่นี่มีสมบัติอะไรซ่อนไว้จริงๆ จะปิดบังสายตาของปราสาทดำเนินนภาไปได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ที่ปราสาทดำเนินนภาจะไม่คุ้นเคยกับอาณาเขตของตัวเอง แม้กระทั่งใต้ดินมีหนูซ่อนอยู่กี่ตัว ก็ยังปิดบังสายตาของปราสาทดำเนินนภาไม่ได้เลย ถ้ามีสมบัติซ่อนอยู่ ก็คงจะตกอยู่ในมือของปราสาทดำเนินนภาไปแล้ว

แต่คิดไปคิดมาก็พบว่าไม่ถูก ถ้าเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินอยู่ในมือของปราสาทดำเนินนภาจริงๆ เช่นนั้นปราสาทดำเนินนภาก็ไม่จำเป็นต้องถ่อไปลำบากหาที่ดาวแมกไม้ อย่าบอกนะว่าปราสาทดำเนินนภารู้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่แกล้งปล่อยข่าวมั่วเพื่อหลอกฝ่ายตรงข้าม?

เมื่อเทียบดูกับแผนที่บนฉากกั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็พบว่าน่าจะอยู่บนเกาะแห่งนั้นจริงๆ

พอเก็บแผนที่แล้ว เหมียวอี้ก็เดินออกจากเรือนพักเดี่ยว เหลือบตามองเกาะไกลๆ ที่อยู่ตรงแม่น้ำที่ไหลมาจากน้ำตก

ในขณะนี้เอง จงหลีค่วยก็เหาะมาอีกครั้ง มายืนข้างกายเขาแล้วถามว่า “กำลังเหม่อลอยอะไร?”

“ไม่มีอะไร?” เหมียวอี้ส่ายหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย

“ข้านำความประสงค์ของเจ้าไปบอกท่านอาจารย์แล้ว อาจารย์บอกว่าถ้าเจ้าจะไปเมื่อไรก็บอก จะต้องส่งเจ้ากลับไปอย่างปลอดภัยแน่นอน… พร้อมทั้งให้ข้ามาบอกเจ้าด้วย ว่าขอให้เจ้าเข้าใจถึงความลำบากใจของปราสาทดำเนินนภา” จงหลีค่วยกล่าว

เหมียวอี้พยักหน้า เขาเข้าใจถึงความลำบากใจของปราสาทดำเนินนภา ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา ก็คงไม่มีทางทุ่มเทสู้ตายอย่างซี้ซั้วเพื่อคนคนเดียวเหมือนกัน จึงโบกมือบอกว่า “ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว เกาะที่มีศาลาแห่งนั้นคือที่ไหนเหรอ?” เขาชี้ถาม

จงหลีค่วยมองแวบหนึ่ง แล้วตอบกลั้วหัวเราะว่า “เป็นที่พักของศิษย์หญิงที่ยังไม่แต่งงานน่ะ”

“ศิษย์หญิงที่ยังไม่แต่งงาน…” เหมียวอี้กระตุกมุมปากเล็กน้อย ถามหยั่งเชิงว่า “ข้าอยากจะไปดูที่นั่นสักหน่อย ไม่รู้ว่าจะสะดวกหรือเปล่า?”

“มีอะไรไม่สะดวกล่ะ ขอแค่เจ้าไม่บุกเข้าไปในห้องพวกนางซี้ซั้วก็พอ คงไม่ถึงขั้นไม่หลีกทางให้เดินหรอก ตามข้ามา!” จงหลีค่วยตบบ่าเขา แล้วเหาะนำไปทันที ที่ตอบรับอย่างไม่ลังเลแบบนี้ ก็อาจเป็นเพราะรู้สึกผิดที่ช่วยเหลือเหมียวอี้ไม่ได้ ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็นับว่าเคยช่วยชีวิตเขาไว้ที่ค่ายกลมารโลหิต

ทั้งสองต่างก็สร้างความเดือดร้อนให้กัน เท่ากับช่วยชีวิตกันและกันไว้ มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา แต่จนใจที่ไม่อาจปล่อยให้ปัจจัยเรื่องความสัมพันธ์ของจงหลีค่วยคนเดียวมาทำให้ต้องละเลยผลประโยชน์ของทั้งปราสาทดำเนินนภา ได้แต่เก็บความรู้สึกผิดไว้ในใจ!

ระยะทางสิบลี้ สำหรับทั้งสองแค่ถลันตัวทีเดียวก็ไปถึงแล้ว บนเกาะมีศาลางดงาม มีบ่อปลาและดอกไม้ เขียวชอุ่มร่มรื่น มีน้ำล้อมรอบ ราวกับแดนสวรรค์ในเทพนิยาย

เกาะนี้คือที่อยู่ของศิษย์หญิงที่วรยุทธ์ยังไม่ถึงขั้น ยังไม่สามารถพักอาศัยตามลำพังได้ ถ้าวรยุทธ์ถึงขั้นแล้ว ก็สามารถออกจากตรงนี้ไปพักที่เรือนพักเดี่ยว หรือไม่ถ้าแต่งงานก็ออกจากที่นี่ได้เช่นกัน ส่วนคนที่เหลือก็รวมกลุ่มกันอยู่ที่นี่

จงหลีค่วยควบตำแหน่งมัคคุเทศก์พาเหมียวอี้เดินเล่นอยู่บนเกาะ คอยชี้บอกและแนะนำตลอดทาง แล้วก็ชี้ไปที่เชิงเขาตรงข้ามแม่น้ำ “ด้านหลังภูเขาเป็นที่อยู่ของศิษย์ผู้ชาย สถานการณ์คล้ายๆ กับที่นี่ ลูกศิษย์ชายหญิงวัยรุ่นที่ยังไม่แต่งงานต้องแยกกันอยู่ จะได้ไม่คิดเพ้อเจ้อจนเสียสมาธิฝึกตน แต่สำนักนี้ไม่ไม่ขับไล่ศิษย์ที่แต่งงาน ถ้าเจ้าถูกใจศิษย์หญิงคนไหนก็บอกได้ เดี๋ยวข้าจะช่วยเป็นคนกลางติดต่อให้ให้เจ้า”

“ไม่เป็นไรหรอก!” เหมียวอี้ยกมือห้าม ผู้หญิงของเขามีเยอะจนรับมือไม่ไหวแล้ว ที่บ้านมีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ทั้งยังมีสาวงามอีกสามคน สองคนในนั้นยังเป็นฝาแฝดกันด้วย แถมยังมีสาวใช้หกคนกำลังรอให้เขาไปรับเข้าห้อง ข้างนอกยังมีหญิงชู้อีกหนึ่งคน แต่ละคนหน้าตาไม่ธรรมดา ขนาดในบ้านยังรับมือไม่ไหวเลย จะมีความคิดไปเจ้าชู้เสเพลได้อย่างไร ผู้หญิงสวยทั่วไปไม่ถูกใจเขาเลยจริงๆ เขาชำเลืองจงหลีค่วยพลางพูดหยอก “ท่านจัดการเรื่องของตัวเองก่อนเถอะน่า”

จงหลีค่วยหัวเราะเสียงดัง “ข้าหน้าตาขี้เหร่ เป็นคนที่ขี้เหร่ที่สุดในปราสาทดำเนินนภา ไม่มีใครถูกใจข้าหรอก”

เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูกสองที เขาไม่เชื่อคำพูดนี้หรอก ด้วยวรยุทธ์และฐานะของจงหลีค่วย ถ้าอยากจะแต่งงานก็ไม่ใช่ปัญหาเลย ในฐานะที่เป็นศิษย์ของรองเจ้าสำนัก ถ้าถูกใจคนไหน ปราสาทดำเนินนภาต้องช่วยเป็นตัวกลางประสานให้แน่นอน ก็เหมือนกับเหมียวอี้ ในปีนั้นก็รู้สึกว่าไม่มีใครชอบตัวเองเหมือนกัน ตอนหลังพอมีตำแหน่งฐานะขึ้นที่พิภพเล็ก เรื่องผู้หญิงก็ไม่ใช่ปัญหาเลย อยากจะมีมากเท่าไรก็ได้

ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เหมียวอี้ไม่ได้มาเพื่อคุยเรื่องนี้ เขามาหาสมบัติ

ตอนที่เดินเล่นอยู่บนเกาะ ศิษย์หญิงที่เดินผ่านมาอย่างไม่ขาดสายพากันคำนับจงหลีค่วย เรียกว่าศิษย์ลุงบ้างศิษย์อาบ้าง จงหลีค่วยเดินพยักหน้ารับตลอดทาง

เมื่อเดินวนบนเกาะได้รอบหนึ่ง ในใจเหมียวอี้ก็เกิดความสงสัย ถึงแม้เกาะนี้จะมีพื้นที่ไม่น้อย แต่นับว่ามีลักษณะพื้นที่ราบเรียบ ดูไม่เหมือนสถานที่ซ่อนสมบัติเลย

ตรงกลางเกาะมีเสาหินเก่าแก่โบราณขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง บนนั้นสลักอักษรตัวใหญ่เอาไว้ : ดำเนินนภาสร้างสัตบุรุษ พากเพียรบากบั่น จองจำมารปีศาจชั่วนิรันดร์!

ทั้งสองยืนอยู่ตรงหน้าเสาหิน เงยหน้ามองอักษรสลักตัวใหญ่ที่แข็งแรงเปี่ยมด้วยพลัง เป็นตัวอักษรที่ผ่านลมผ่านฝนมาแสนนาน ไม่รู้ว่าสร้างไว้กี่ปีแล้ว

จงหลีค่วยอธิบายว่า “ในปีที่สร้างปราสาทดำเนินนภาขึ้นมา ประมุขปราสาทเป็นผู้ถือกระบี่สลักไว้ที่นี่ด้วยตัวเอง เพื่อให้ลูกศิษย์ที่เข้าออกได้เห็นและจดจำใส่ใจ!”

เหมียวอี้ไม่สนใจสิ่งนี้ แต่มองไปรอบๆ แล้วถามเหมือนไม่ตั้งใจว่า “เลือกมาอยู่ที่สถานที่แบบนี้ได้อย่างไร ที่นี่มีกระแสน้ำไหลปะทะทุกปี ไม่กลัวหน้าดินพังเหรอ?”

จงหลีค่วยตอบกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว พวกเราจะไม่คิดถึงจุดนี้ได้อย่างไร พวกเราย่อมตรวจสอบรากฐานมาก่อนแล้ว ด้านล่างเป็นหินที่ทนทาน ไม่ได้พังง่ายๆ ขนาดนั้น แล้วเวลาน้ำไหลมาถึงตรงนี้ กระแสน้ำก็อ่อนลงแล้ว ไม่มีแรงปะทะอะไร”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็หนักใจยิ่งกว่าเดิม ที่เขามาดูสถานที่ด้วยตัวเอง ก็เพราะรู้สึกว่าที่นี่ไม่น่าจะซ่อนสมบัติได้ แต่อีกฝ่ายมาสำรวจดูตั้งนานแล้ว ถ้ามีของอะไรก็คงจะถูกพบไปตั้งแต่แรก ไม่รอให้เขามาหาหรอก ผู้ที่ซ่อนสมบัตินี้เล่นบ้าอะไรกันแน่

พอนึกถึงพฤติกรรมพิลึกพิลั่นของผู้ซ่อนสมบัติ เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องที่ดาวแมกไม้ คนกลุ่มหนึ่งถ่อไปค้นหาซ้ำไปซ้ำมาตั้งหลายปี แต่สมบัติไม่ได้ซ่อนอยูในจุดที่ระบุไว้บนแผนที่ซ่อนสมบัติเลย เขาใจเต้นแรงทันที ที่นี่ไม่เหมือนจุดที่จะซ่อนอะไรไว้ได้ หรือว่าจุดที่ซ่อนสมบัติจะอยู่ที่อื่น?

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ เหมียวอี้กวาดสายตามองรอบๆ แล้วสุดท้ายก็ไปหยุดจ้องบนเสาหินตรงหน้า ชี้ถามว่า “นี่คงจะเป็นจุดกึ่งกลางของเกาะใช่มั้ย?”

“คงจะใช่ มีปัญหาอะไรเหรอ?” จงหลีค่วยพยักหน้าถาม

เหมียวอี้ถลันตัวขึ้นไป เหาะขึ้นไปด้านบนเสาหิน แล้วลอยตัวขึ้นอย่างช้า พอมองไปรอบๆ ก็พบว่าเสาต้นนี้เป็นจุดกึ่งกลางของเกาะจริงๆ จากนั้นก็เหาะลงมา พูดกับจงหลีค่วยที่กำลังทำสีหน้าสงสัยว่า “ทิวทัศน์ของที่นี่ไม่เลวเลย!”

“เจ้ายังมองเห็นทิวทัศน์ด้วยเหรอ?” จงหลีค่วยทำสีหน้าฉงนสนเท่ห์

เหมียวอี้กลับตอบไม่ตรงคำถาม “ลุงหนวด ถ้าข้าถูกใจศิษย์หญิงคนไหนของปราสาทดำเนินนภา ท่านจะช่วยเป็นสื่อกลางให้ข้าจริงๆ เหรอ?”

“…” จงหลีค่วยเบิกตากว้าง “ไหนเจ้าบอกว่าไม่เอาไง?”

“เมื่อกี้ข้าเพิ่งเจอคนหนึ่ง หน้าตาใช้ได้เลย” เหมียวอี้ว่าอย่างนั้น

จงหลีค่วยมองสำรวจรอบๆ ทันที “คนไหน? อยู่ที่ไหน?”

“ท่านไม่ต้องสนใจหรอก ข้าแค่อยากถามว่าท่านจะรักษาคำพูดมั้ย?”

“ก็ต้องรักษาคำพูดอยู่แล้ว แต่ข้าจะเตือนไว้ก่อนเลยนะ เรื่องนี้ต้องได้รับการยินยอมจากอีกฝ่ายด้วย ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอม เจ้าก็จะทำซี้ซั้วไม่ได้ เรื่องนี้บังคับกันไม่ได้”จงหลีค่วยกล่าวพลางเหลียวซ้ายแลขวา ถามว่า “ชอบคนไหนกันแน่?”

เรียกได้ว่าทำสีหน้าอยากรู้อยากเห็น ไม่รู้ว่าศิษย์หญิงคนไหนกันแน่ที่เปลี่ยนความคิดของเหมียวอี้ได้

“ไม่รีบหรอก! ข้าครุ่นคิดอีกทีค่อยตัดสินใจ ถึงอย่างไรสถานการณ์ในตอนนี้ของข้าก็ไม่สู้ดีนัก” เหมียวอี้โบกมือ

นี่คือข้ออ้างทั้งนั้น เช้าตรู่วันต่อมา เหมียวอี้ก็มาที่เกาะแห่งนี้คนเดียว ยืนเอามือไขว้หลังรออยู่ใต้เสาหิน

ตอนที่เส้นขอบฟ้ามีแสงสว่างจางๆ เหมียวอี้ก็เหาะขึ้นบนฟ้า ลอยขึ้นเหนือเสาหินในระดับความสูงสามพันจั้ง ลอยอยู่กลางอากาศพลางสังเกตการเปลี่ยนแปลงสีของท้องฟ้า

การกระทำของเขาดึงดูดความสนใจของศิษย์ปราสาทดำเนินนภาไม่น้อย มีคนมากมายใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองขึ้นไป ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้ทำอะไรอยู่บนฟ้า

เหมียวอี้เองก็รู้ว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ใครใช้ให้แผนที่สมบัติระบุเครื่องหมายไว้ที่ปราสาทดำเนินนภาล่ะ เจ้าคงไล่คนของปราสาทดำเนินนภาออกไปหมดไม่ได้หรอก

ผ่านไปไม่นาน จงหลีค่วยก็เหาะขึ้นบนฟ้าอีกครั้ง แล้วขมวดคิ้วถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ากำลังทำอะไร?”

“ท่านจะมาทำตัวโดดเด่นเกินข้าทำไม?” เหมียวอี้ถาม

“ทำตัวเด่น?” จงหลีค่วยมึนงง “ทำตัวเด่นอะไรเกินเจ้า?”

เหมียวอี้ตอบอย่างหงุดหงิด “ข้ากำลังดึงดูดความสนใจของผู้หญิงคนนั้น ท่านจะมาประสมโรงด้วยทำไม? รีบไปเลย รีบไป ตอนนี้นางมองเห็นข้าแล้ว”

“…” จงหลีค่วยใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปข้างล่างทันที เห็นมีศิษย์หญิงจำนวนไม่น้อยกำลังมองขึ้นมาบนฟ้า ใครจะไปรู้ว่าเป็นคนไหน ในใจอยากรู้อยากเห็นมาก อดไม่ได้ที่จะถามว่า “คนไหนกันแน่? เจ้าบอกข้ามาตรงๆ ก็พอแล้ว ข้าจะไปทักทายและให้พวกเจ้าได้พูดคุยกันเลย จำเป็นต้องทำตัวยุ่งยากขนาดนี้มั้ย”

เหมียวอี้บอกว่า “ท่านไม่เข้าใจ ข้าแอบบอกเป็นนัยไว้ล่วงหน้าแล้ว ถ้านางตอบตกลง รออีกประเดี๋ยวก็มาหาข้าเองนั่นแหละ ข้ากับนางรู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย ถ้าทำไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร ทุกคนจะได้ไม่ต้องรับผลกระทบอะไร ลุงหนวด ท่านรีบลงไปเถอะ อย่ามาขัดขวางธุระของข้า!”

จงหลีค่วยพูดไม่ออก เขาไม่สะดวกจะขัดขวางธุระของอีกฝ่ายจริงๆ จึงถลันตัวออกไปทันที ไปยืนอยู่ข้างๆ ตำหนักคุมงาน ที่จริงแล้วฝูเสี่ยนอาจารย์ของเขาสั่งให้เขามาดูว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ เขาย่อมต้องกลับไปรายงาน

หลังจากรู้ความจริงแล้ว พวกหมิงจ้าวที่ทยอยเข้ามาในตำหนักคุมงานเพื่อถามไถ่ถึงเหตุการณ์ก็อยู่ที่นี่ต่อ เดินคุยเล่นกันนอกตำหนักพลางมองไปทางเหมียวอี้เป็นระยะ พวกเขาก็สงสัยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังแอบส่งสัญญาณลับให้ศิษย์หญิงคนไหนกันแน่ ไม่รู้ว่าศิษย์หญิงคนนั้นจะตอบรับหรือเปล่า เหมียวอี้มีอนาคตที่น่าเป็นห่วงนะ!

ตอนที่ตรงเส้นขอบฟ้ามีแสงสีทองปรากฏ เหมียวอี้ที่ลอยอยู่บนฟ้าก็เหาะขึ้นสูงกว่าเดิม เหาะขึ้นสูงอีกสามพันจั้ง พออยู่สูงในระดับหกพันจั้งแล้ว ก็ก้มมองลงมาที่พื้นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล รอให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ส่องแสงพร้อมกัน หยินหยางรวมกันอยู่ใต้เท้าตัวเอง

ตอนที่ช่วงเวลานั้นกำลังใกล้เข้ามาทีละนิด บนพื้นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล ในที่สุดภาพที่อลังการงานสร้างก็ปรากฏขึ้นมา สตรีทะยานฟ้าที่กางแขนอย่างอ่อนช้อยโผล่มาแล้ว ปรากฏขึ้นแล้วจริงๆ!

เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย! เหมียวอี้กำหมัดแน่น รู้สึกตื่นเต้นฮึกเหิมมาก รีบใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปบนฝ่ามือของผู้หญิงคนนั้น ตรงจุดที่อยู่ไกลๆ มันคือภูเขาลูกหนึ่ง!

960

ได้สมบัติที่ซ่อนแล้ว

ในตอนนี้เอง จู่ๆ เหมียวอี้ก็นึกถึงคำพูดของผู้อาวุโสมู่เซิน

ผู้อาวุโสมู่เซินบอกว่าเขาคือคนเฝ้ารักษากุญแจ ตอนนี้เหมียวอี้เพิ่งรู้สึกได้จริงๆ ว่าตัวเองได้กุญแจมาแล้ว และกุญแจดอกนั้นก็ทำให้เขาได้เข้าไปที่ก้นทะเลสาบของดาวแมกไม้ ตอนนี้ก็ชี้นำเขาเห็นภูเขาลูกที่อยู่ตรงหน้าอีก ถ้าไม่มีกุญแจที่ผู้อาวุโสมู่เซินมอบให้ เขาก็คงไม่รู้ว่าจะเชื่อมโยงจุดซ่อนสมบัติกับภูเขาลูกที่อยู่ไกลๆ นั่นได้อย่างไร

เพียงแต่ไม่รู้ว่าในภูเขาลูกนั้นจะมีของที่เขาตามหาหรือเปล่า ถ้าหากมีอยู่จริง แบบนั้นเขาก็คิดไม่ตกแล้ว วางไว้ที่ก้นทะเลสาบในดาวแมกไม้เพื่อรอให้เขาหาพบก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้ วางไว้สองฝั่งแบบนี้ อย่าว่าแต่คนหาสมบัติที่ลำบาก อย่างน้อยในปีนั้นคนที่ซ่อนสมบัติก็ยุ่งยากเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?

ปัญหาที่คิดไม่ตกพวกนี้ ราวกับเป็นเมฆหนาในสมองที่ปัดโบกเท่าไรก็ไม่สลายไป เขาเลิกคิดชั่วคราว กลัวว่าอยู่บนฟ้านานแล้วจะทำให้คนสงสัย จึงเหาะจากฟ้าลงมาเสียเลย แฉลบผ่านท้องฟ้าเป็นวิถีโค้งกลับไปยังที่พักของตัวเอง

ผ่านไปไม่นาน  ‘นักสืบ’ อย่างจงหลีค่วยก็มาอีกแล้ว ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”

เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง แล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ชัดเจนมาก อีกฝ่ายไม่สนใจข้า ไม่มีการตอบกลับเลย”

“ก็ไม่แน่นะ รีบบอกมาว่าคนไหน ข้าจะไปช่วยพูดให้ ไม่แน่อาจจะสำเร็จก็ได้” จงหลีค่วยรู้สึกคันยิบๆ ในใจ

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ต้องยุ่งยากแล้ว เมื่อครู่นี้ข้าคิดได้แล้ว ข้าปกป้องตัวเองยังลำบากเลย อนาคตไม่แน่นอน ไม่จำเป็นต้องทำให้อีกฝ่ายลำบากไปด้วย ตอนหลังค่อยว่ากันใหม่ ถ้าข้าผ่านด่านยากที่อยู่ตรงหน้าไปได้ ถึงตอนนั้นข้าค่อยบอกท่าน ให้ท่านช่วยเป็นคนกลางประสานให้”

“อย่างนี้เองเหรอ!” จงหลีค่วยคิดไปคิดมาก็พบว่าคงทำได้แค่นี้ ก่อนหน้านี้หมิงจ้าวและพวกอาจารย์อาก็กำลังพูดคุยปรึกษาเรื่องนี้อยู่พอดี บอกว่าอนาคตเหมียวอี้ไม่แน่นอน ถ้าปล่อยให้ศิษย์หญิงของปราสาทดำเนินนภาไปกับเหมียวอี้ จะเหมือนเป็นการไม่แสดงความรับผิดชอบต่อลูกศิษย์ในสำนักหรือเปล่า

เมื่อเห็นเหมียวอี้ทำท่าเหมือนอารมณ์หดหู่นิดหน่อย จงหลีค่วยก็ย่อมพูดปลอบใจไปยกหนึ่ง แล้วกลับไปรายงานอีก

ตอนหลังเหมียวอี้ไม่ได้เคลื่อนไหวติดต่อกันอีก กลัวจะทำให้คนสงสัย ระงับอารมณ์และอยู่นิ่งๆ ชั่วคราวสองวัน ทำท่าเหมือนหมดอาลัยตายอยากเพราะถูกความรักโจมตี

หลังจากนั้นสองวัน เหมียวอี้ถึงได้ออกจากเรือนพัก อ้างว่าจะออกไปเดินเล่นให้สบายใจ จงหลีค่วยบอกว่าจะไปเป็นเพื่อน แต่เหมียวอี้ปฏิเสธ จงหลีค่วยจึงทำได้เพียงบอกว่าเขาว่ามีที่ไหนในปราสาทดำเนินนภาที่ห้ามล่วงล้ำเข้าไปส่งเดช อย่างเช่นสถานที่ที่ประมุขปราสาทและบรรดาผู้อาวุโสเก็บตัวฝึกตน

เหมียวอี้ตอบว่ารู้แล้ว จะจำไว้ แล้วก็ออกไปคนเดียว

เขาเดินวนไปวนมาอยู่คนเดียว ปล่อยตั๊กแตนห้าตัวออกมาเป็นหูเป็นตาให้ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครสะกดรอยตาม เขาก็คลำทางไปตรงจุดที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ตรงภูเขาลูกนั้นที่เขาเห็นตอนเหาะอยู่บนฟ้าสูงหกพันจั้ง

ยืนอยู่บนยอดเขา ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ตอนที่รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปที่เขาเพลิงนภา เหมียวอี้ถึงพบว่าที่นี่คือภูเขาไฟ

แต่อุณหภูมิของที่นี่ยังไม่สูงเท่าที่หุบเขาเพลิงนภา อย่างน้อยตั้งแต่ไหล่เขาลงไปก็ยังมีต้นไม้งอกเขียวชอุ่ม บนยอดเขายังมีหิมะทับถมอยู่บ้าง ไม่รู้เหมือนกันว่าภูเขาไฟลูกนี้ไม่ได้ปะทุมากี่ปีแล้ว ในเมื่อเป็นภูเขาไฟ ตามหลักการแล้วคงไม่ซ่อนของไว้ข้างนอก ควรจะซ่อนไว้ข้างในตรงจุดที่คนพบเห็นไม่ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะของที่เตรียมจะซ่อนไว้หลายปี เห็นได้ชัดว่าคงไม่ขุดหลุมฝังซ่อนเอาไว้มั่วๆ แน่ หรือพูดได้อีกอย่างว่า เป็นไปได้สูงที่ของจะซ่อนอยู่ในกลางภูเขาไฟ

สำหรับมนุษย์ธรรมดา การซ่อนของไว้กลางภูเขาไฟคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับนักพรตคือเรื่องที่เป็นไปได้ มิหนำซ้ำ เหมียวอี้ก็เป็นคนที่ผ่านประสบการณ์ที่เขาเพลิงนภามาแล้วด้วย ขนาดเลี่ยหวนยังสร้างตำหนักไว้ในภูเขาไฟได้ นับประสาอะไรกับการซ่อนของไว้ในภูเขาไฟล่ะ

เหมียวอี้มองดูถ้ำภูเขาไฟที่กลวงและมืดมิดแวบหนึ่ง แล้วมองไปรอบๆ อย่างระวังตัวอีกครั้ง จนกระทั่งพวกตั๊กแตนส่งข้อมูลมายืนยันว่าไม่มีใครสะกดร้อยตาม ถึงได้เก็บตั๊กแตนห้าตัวนั้น แล้วลอยลงไปตรงกลางภูเขา

เขาลอยลงมาอย่าไม่รีบร้อน ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองสำรวจรอบๆ ไม่หยุด กลัวว่าจะพลาดอะไรไป

แต่ไม่พบอะไรเลยตลอดทาง กลับเป็นอุณหภูมิตรงกลางภูเขาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากลงมาได้ประมาณสามร้อยจั้ง ก็เห็นหินหนืดสีแดงสดไหลปุดๆ ออกมา

ตลอดทางที่ลอยลงมาก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไรเลย แม้แต่พวกโพรงถ้ำก็ไม่เห็นเลยสักโพรง อย่าบอกนะว่าของซ่อนอยู่ใต้หินหนืด

สำหรับนักพรตทั่วไป การเข้าไปอยู่ใต้หินหนืดเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยาก แต่สำหรับเหมียวอี้ อาศัยวรยุทธ์ที่เขามีในตอนนี้ อุณหภูมิสูงนิดหน่อยทำอะไรเขาไม่ได้

พอเขากดฝ่ามือลงไปข้างล่าง ในหินหลอมเหลวที่ไหลทะลักก็จมลงกลายเป็นหลุมลึกทันที เหมียวอี้ที่กำลังร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดาราจมดิ่งลงไปในหินหนืดราวกับมีฟองกาศห่อหุ้มตัว

ยิ่งลงไปข้างล่าง อุณหภูมิก็ยิ่งสูง สำหรับนักพรตทั่วไป การอยู่ในอุณหภูมิที่สูงขนาดนี้จะสิ้นเปลืองพลังอิทธิฤทธิ์รุนแรงมาก จะทนรับไม่ไหว แต่เหมียวอี้กลับพอทนไหว

แต่พอยิ่งลงมาข้างล่าง ขอบเขตของหินหลอมเหลวก็ยิ่งกว้างขึ้น เหมียวอี้ที่กำลังร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจหาไปทั่วรู้สึกลำบากนิดหน่อย เมื่อลอยลงมาจนถึงจุดที่ลึกหนึ่งพันจั้ง จู่ๆ เหมียวอี้ที่วนหาตามผนังถ้ำหินหนืดก็ตาเป็นประกาย พบว่าบนผนังถ้ำที่ดำเกรียมมีบันไดหินที่คนขุดเจาะให้กลวงเข้าไป มีภาพสลักรูปประตูบานหนึ่งเป็นแอ่งเว้าอยู่บนผนังถ้ำ

เหมียวอี้ยืนอยู่หน้าประตู ร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจบนประตูหินครู่หนึ่ง พอพบว่าข้างในเป็นโพรง เขาก็ดีใจมาก หรือว่าสมบัติจะอยู่ที่นี่?

ปั้ง! ชกเข้าไปหนึ่งหมัด ประตูหินที่หนาเกือบสองจั้งพังเข้าไป เหมียวอี้ถลันตัวเข้าไป หินหนืดที่แดงฉายที่อยู่ข้างหลังก็ทะลักตามเข้าไปด้วยเช่นกัน ส่องแสงสว่างจนเห็นทางข้างในชัดเจน

เหมียวอี้ขึ้นไปตามบันไดหินที่ขุดขึ้นมาอย่างง่ายๆ หินหนืดที่ไหลกลิ้งเข้ามาค่อยๆ หยุดอยู่ข้างหลัง เนื่องจากแรงกดดันและลักษณะพื้นภูมิภายใน ทำให้หินหนืดทะลักตามขึ้นมาไม่ได้อีก เหมียวอี้ที่เดินขึ้นมาหลายสิบจั้งก้าวขึ้นมาบนแท่นหิน กิ้งก่ายักษ์ตัวหนึ่งดึงดูดความสนใจเขาแล้ว ขนาดคลานอยู่บนพื้นยังสูงกว่าเขาอีก มันหน้าตาดุร้าย ขนาดหลับตาอยู่ก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความดุร้าย

เป็นกิ้งก่าสีแดงเพลิง เหมือนกับตะขาบสีเขียวที่เจอตรงก้นทะเลสาบในดาวแมกไม้ กิ้งก่าตัวนี้มีเกล็ดสีแดงหนาทนทานทั้งตัว ถูกโซ่สีทับทิมล่ามเอาไว้เช่นกัน บนร่างกายตะปูยาวสีแดงหนาเท่าแขนเสียบอยู่หลายตัว หลับตาสนิทสองข้างไม่เคลื่อนไหว ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

เหมียวอี้ลองร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู อยากจะรู้ว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้เป็นหรือตาย ปรากฏว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาเหมือนจะไปกระตุ้นมันเข้าแล้ว ปากใหญ่ที่มีฟันแหลมน่ากลัวพลันอ้าออก พ่นเปลวเพลิงที่ร้อนแรงกลุ่มหนึ่งออกมา เพียงแต่ดูอ่อนแรงมาก พอเหมียวอี้ตั้งฝ่ามือรับข้างเดียว เปลวเพลิงก็แยกเป็นสองฝั่งอ้อมตัวเขาไปทันที

แต่ก็พ่นไฟแค่คำเดียว ปากใหญ่ที่มีฟันน่าเกลียดน่ากลัวของกิ้งก่าสีแดงเพลิงหุบปิดเหมือนเดิม แล้วนอนนิ่งไม่กระดิกตัวต่อไป แต่อย่างน้อยก็พิสูจน์ให้เหมียวอี้เห็นแล้วว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่

เหมียวอี้ตกใจอีกครั้ง ไม่เข้าใจว่าผู้ซ่อนสมบัติจะนำสัตว์แบบนี้มาไว้ที่นี่ทำไม ที่ก้นทะเลสาบครั้งก่อนก็เป็นตะขาบยักษ์ ครั้งนี้ก็เป็นกิ้งก่าสีแดงเพลิง ล้วนเป็นปีศาจเฒ่าที่แค่เห็นก็ทำให้กลัวแล้ว แต่ตะขาบครั้งก่อนยังดีกว่าหน่อย มันพ่นพิษเพราะมีเจตนาจะเฝ้าสมบัติ แต่อานุภาพของไฟที่กิ้งก่าไฟตัวนี้พ่นออกมา เหมือนจะไม่มีภัยคุกคามต่อนักพรตประเภทที่สามารถมาถึงสถานที่แบบนี้เท่าไรเลย ไม่รู้ว่าจับมันมามัดไว้แบบนี้หมายความว่าอะไร?

ยังไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ เหมียวอี้กวาดตามองไปรอบๆ เห็นในโพรงถ้ำบนผนังหินที่อยู่ตรงหน้ามีแสงขมุกขมัวเปล่งออกมา เขาถลันตัวข้ามร่างมหึมาของกิ้งก่าเพลิง เข้าไปในโพรงถ้ำและตกลงในห้องหินห้องหนึ่ง

บนเพดานของห้องหินฝังไข่มุกราตรีไว้เม็ดหนึ่ง บนผนังหินที่อยู่ตรงข้ามมีภาพสลักสตรีทะยานฟ้าอีกแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้บนฝ่ามือนางถือกล่องโลหะที่เหมือนมณีแดงใบหนึ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าทำมาจากผลึกแดงที่มีความริสุทธิ์สูง

เมื่อมีประสบการณ์ครั้งแรกไปแล้ว เหมียวอี้ก็พุ่งเข้าหาเป้าหมายทันที พอกางนิ้วทั้งห้า กล่องใบนั้นก็หลุดฝ่ากำแพงออกมาตกอยู่ในมือของเขา

เมื่อได้ของมาไว้ในมือ ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะไม่กล้าเปิดกล่อง เขาถูกปั่นหัวจนกลัวแล้ว ภาวนาว่าอย่าให้เปิดมาเจอไอ้แผนที่บ้าๆ นั่นอีกเลย ถ้าเป็นแบบนั้นตนก็ไม่เล่นด้วยแล้ว โดนปั่นหัวเล่นถึงขั้นนี้ ถ้าเล่นต่อไปคงจะตายแน่

จะไม่เปิดก็ไม่ได้ เหมียวอี้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ดึงสลักออก เปิดฝาช้าๆ อย่างระมัดระวัง พอมองเข้าไปก็มึนหัวนิดหน่อย เป็นก้อนโลหะกลมสีดำอีกแล้ว! เหมียวอี้อยากจะทุ่มของที่อยู่ในมือเสียตรงนี้ แต่หลังจากเปิดฝาครอบออกจนสุด ก็พบว่าในกล่องมีของอย่างอื่นด้วย เป็นแผ่นหยกแผ่นหนึ่ง

มันคืออะไร? เหมียวอี้รีบหยิบแผ่นหยกมาไว้ในมือ กรอกพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปอ่าน ทำให้ตาเป็นประกายลุกวาวทันที

ในแผ่นหยกเขียนตัวอักษรตัวใหญ่ไว้หนึ่งแถว : เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน ดิน!

พออ่านเนื้อหาที่อยู่ข้างล่าง ก็พบว่าเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนจริงๆ เหมียวอี้เรียกได้ว่าน่าชื่นตาบาน ได้สมบัติมาไว้ในมือแล้ว!

แต่เขาก็ดีใจได้แค่ประเดี๋ยวเดียว สายตาไปหยุดอยู่บนก้อนโลหะกลมสีดำ พึมพำในใจว่า นี่มันแผนที่อะไรอีก? เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินคงไม่ได้แบ่งเป็นหลายส่วนหรอกใช่มั้ย? ท่านปู่ที่ซ่อนสมบัติ ท่านอย่าแกล้งข้าเล่นเชียวนะ!

เหมียวอี้หยิบก้อนโลหะกลมมาไว้ในมือ หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจดู มันก็กางออกในฝ่ามือทันที เขากวาดสายตามองแวบหนึ่ง พบว่าเป็นแผนที่จริงๆ ยังเป็นภาพสตรีทะยานฟ้าที่นิ่มนวลอ่อนช้อย ตัวอักษร ‘ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบสิ้น เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด’ ก็ยังอยู่ แผนที่ดาวรวมทั้งแผนที่ซ่อนสมบัติที่แนบมาก็ยังอยู่เช่นกัน

สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้เบิกตากว้างก็คือ ตัวอักษรสองตัวที่อยู่ด้านบนแผนที่ ‘อู๋’ กับ ‘ดิน’

เมื่อนำมารวมกับเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินที่อยู่ในมือ ก็เดาได้ไม่ยากว่าแผนที่ที่อยู่ในมือคืออะไร อย่าบอกนะว่าเป็นที่ซ่อนมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดิน?

การเชื่อมต่อของข้างหน้าและข้างหลังชัดเจนเกินไป จะไม่ให้สงสัยว่าเป็นมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินก็คงยาก

เหมียวอี้รู้สึกเร่าร้อนในใจ รีบนำแผนที่ฉบับสำเนาที่หมิงจ้าวให้ออกมา รวมทั้งกางแผนที่โลหะที่ทำให้หาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินพบ นำแผนที่ทั้งสามฉบับมาดูเปรียบเทียบด้วยกัน ยังคงทำตามวิธีการที่หมิงจ้าวสอน ค้นหาดาวหลักบนแผนที่ที่เพิ่งได้มา แล้วเทียบกันแผนที่อีกสองแผ่น แต่ปรากฏว่าไม่มีอะไรเหมือนกันเลย

ตอนนี้เหมียวอี้ปวดประสาทแล้ว เขาไม่มีทางแน่ใจได้ว่ามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินซ่อนอยู่ที่ไหนกันแน่

“มารดาเจ้าเถอะ…” ท่านขุนนางเหมียวด่าแม่เสียเลย ไม่รู้ว่าคนซ่อนสมบัติสมองมีปัญหารึเปล่า ซ่อนไว้ที่เดียวกันก็สิ้นเรื่องแล้วมั้ย เปลืองแรงเอาไปซ่อนตรงนั้นที่ตรงนี้ที จักรวาลกว้างใหญ่ขนาดนี้จะให้ไปหาเจอได้อย่างไร

ตอนนี้เขาทั้งกังวลทั้งตั้งตาคอย ตั้งตาคอยเพราะอยากรู้ว่าภาคดินของหกเคล็ดวิชาพิเศษอยู่ในมือคนซ่อนสมบัติหมดเลยหรือไม่ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เขาคงไม่กังวลไม่ได้แล้ว ถ้าเจ้าบ้าที่กินยาผิดนั่นมันซ่อนของทุกชิ้นแยกกัน จะไม่เหมือนเป็นการบังคับให้ตนต้องเที่ยวไขปริศนาไปทั่วพิภพใหญ่หรอกเหรอ

เขาไม่เข้าใจว่าผู้ซ่อนสมบัติทำเรื่องเปลืองแรงแบบนี้เพราะมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ อย่าบอกนะว่าจงใจทรมานคนหาสมบัติ? หรือว่ามีเจตนาอะไรอย่างอื่น?

อารมณ์ดีใจที่หาสมบัติเจอถูกแผนที่ฉบับใหม่ก่อกวนแล้ว หลังจากเก็บของ เขาถึงนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ สมบัติอย่างอื่นที่ราชันลัทธิมารซ่อนไว้ล่ะ? สิ้นเปลืองความพยายามไปมากขนาดนี้ คงไม่ได้ซ่อนของไว้อย่างเดียวหรอกใช่มั้ย?

ในห้องหินที่เล็กจนมองปราดเดียวก็เห็นทุกอย่าง มีตรงไหนบ้างที่สามารถซ่อนสมบัติอย่างอื่นไว้ได้ เหมียวอี้รีบร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจจนทั่ว ตรวจสอบทั้งข้างในข้างนอก รวมทั้งจุดที่กิ้งก่าเพลิงโดนล่ามด้วย ปรากฏว่าทุกที่มีแต่ผนังหินที่อัดแน่นทนทาน ไม่มีสมบัติอะไรอย่างอื่นซ่อนไว้เลย ไม่มีแม้แต่เงาทรัพย์สมบัติมหาศาลของราชันลัทธิมารที่เขาเฝ้าคอย

961

ช่วยเหลือสัก 3 เรื่อง

หาจนทั่วแล้วยังไม่เจอ จู่ๆ เหมียวอี้ก็พบว่าสิ่งที่ตัวเองเฝ้าคอยมาตลอดสูงเกินไปรึเปล่า ใครบอกล่ะว่าต้องเป็นราชันลัทธิมารเท่านั้นที่ซ่อนสมบัติไว้? ตอนแรกมีแค่แผนที่ซ่อนสมบัติของเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน ก็ทำให้คิดไปแล้วว่าเป็นสมบัติที่ราชันลัทธิมารซ่อนไว้ ตอนนี้มีมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงโผล่มาอีกแล้ว จะเอาอะไรมาแน่ใจว่าเป็นราชันลัทธิมารล่ะ?

เมื่อเชื่อมโยงแผนที่สมบัติสองฉบับนี้ เขาก็สงสัยว่าผู้ซ่อนสมบัติไม่ใช่ราชันลัทธิมารอะไรนั่นเลย

พอนึกถึงจุดนี้ ท่านขุนนางเหมียวก็สิ้นหวังสุดๆ ทำได้เพียงหยุดการค้นหาสุ่มสี่สุ่มห้า เดินวนรอบกิ้งก่าเพลิงที่โดนขังสองสามรอบ แล้วส่ายหน้าเดินออกไป ดำเข้าไปในหินหนืดเพลิงอีกครั้ง

เหมียวอี้เหาะออกจากกลางภูเขาไฟมาเหยียบลงบนยอดเขา ตอนที่ก้มมองลงไปข้างล่างอีกครั้ง เขาก็ทอดถอนใจมาก ซ่อนสมบัติไว้ตรงนี้ ต่อให้มีคนลงไปได้ แต่ก็คงไม่รู้ว่าผู้ซ่อนสมบัติจะสามารถค้นหาจนทั่วแล้วสุดท้ายพบทางเข้าเล็กๆ ในหินหนืดที่อยู่ลึกลงไปหนึ่งพันจั้ง จากดาวแมกไม้จนถึงที่นี่ จากที่ค้นหามาตลอดทาง เขาพบว่าผู้ซ่อนสมบัติมีความคิดรอบคอบมากทีเดียว

หลังจากกลับมาถึงปราสาทดำเนินนภา เหมียวอี้ก็นำระฆังดาราออกมาติดต่อศีลแปด ผลปรากฏว่าไม่มีการตอบกลับ ไม่รู้ด้วยว่าสถานการณ์ของเจ้าบ้านั่นเป็นอย่างไรกันแน่ และเขาก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ไปตลอด คาดว่าความอดทนของสมาคมวีรชนมีจำกัด ถึงได้เป็นฝ่ายกล่าวอำลาปราสาทดำเนินนภา

ทางปราสาทดำเนินนภาก็รักษาคำพูดเหมือนอย่างเคย ยังส่งหมิงจ้าวและนักพรตระดับบงกชรุ้งอีกสองคนให้คุ้มกันส่ง เหาะอยู่ในอวกาศด้วยความเร็วตลอดทางจนถึงดาวเทียนหยวน

เมื่อส่งเหมียวอี้เข้าไปในตลาดสวรรค์ พวกหมิงจ้าวก็นับว่าทำภารกิจสำเร็จแล้ว ทั้งสองฝ่ายกล่าวอำลาและบอกให้อีกฝ่ายรักษาตัวดีๆ

คนกลุ่มหนึ่งตามมาตลอดทางตั้งแต่อยู่ในอวกาศ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนของสมาคมวีรชน พอตามเข้ามาในเมือง ก็เจอหน้าพวกหมิงจ้าว ทั้งสามสบตากับคนพวกนั้น แล้วหมิงจ้าวก็หันหลังกลับไปมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ก่อนจะออกจากเมืองไปทันที

เหมียวอี้มองคนกลุ่มนั้นของสมาคมวีรชน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก หันหน้าเดินออกจากตรงนั้นไป มุ่งตรงสู่ร้านขายของชำซื่อตรงเพื่อเข้าพบอวี้ซวีเจินเหริน

เมื่อเห็นเหมียวอี้ อวี้ซวีเจินเหรินก็รู้สึกผิดมาก ยื่นมือเชิญให้เหมียวอี้นั่งลงแล้วบอกว่า “ฆราวาส ที่ปล่อยร้านขายของชำไป… สำนักลมปราณก็หมดหนทางแล้วจริงๆ!” ขณะที่พูดก็ใช้สองมือยื่นสัญญาให้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย

เหมียวอี้เข้าใจว่าทางสำนักลมปราณยังไม่รู้เรื่องที่สมาคมวีรชนกำลังไล่สังหารเขาอยู่ สำหรับเรื่องบางเรื่อง ในเมื่อเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ หลังจากเหมียวอี้รับสัญญามาอ่านดู ก็กล่าวอย่างสั้นกระชับเพื่อลดความยุ่งยากว่า “ข้าเองก็รักษาหุ้นส่วนนี้ไว้ไม่อยู่แล้วเช่นกัน เตรียมจะปล่อยแล้ว! เจินเหริน รบกวนท่านนำกำไรพิเศษของร้านขายของชำที่ค้างไว้มาชำระให้ข้าได้มั้ย ข้าคิดว่าคงไม่ยากอะไรหรอกใช่มั้ย?”

อวี้ซวีเจินเหรินพยักหน้า แล้วถามว่า “ต้องการเมื่อไรล่ะ?”

“ตอนนี้เลย ยิ่งเร็วยิ่งดี แลกทั้งหมดเป็นยาแก่นเซียนให้ข้า ข้ามีเวลาไม่มากแล้ว” เหมียวอี้ตอบ

“ดี!” อวี้ซวีเจินเหรินเอ่ยรับ บอกให้เขารอสักครู่ แล้วไปจัดการทันที

หลังจากนั้นเกือบครึ่งชั่วยาม อวี้ซวีเจินเหรินก็นำกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งและแผ่นหยกแผนหนึ่งส่งให้เหมียวอี้นับ

เหมียวอี้มองดูรายละเอียดการคิดบัญชีในแผ่นหยก ทำให้ตกตะลึงทันที พอมองดูของในกำไลเก็บสมบัติอีกครั้ง ก็พบว่าเหมือนจะไม่ตรงกัน อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจินเหริน จำนวนผิดพลาดหรือเปล่า?”

อวี้ซวีเจินเหรินส่ายหน้าบอกว่า “กำไรพิเศษของสามร้อยห้าสิบปี มีจำนวนเกือบหนึ่งล้านแปดแสนล้าน ครั้งก่อนท่านนำยาแก่นเซียนไปแล้วหนึ่งล้านหนึ่งแสนล้าน ก่อนหน้านี้ท่านเบิกไปสองแสนล้าน ห้าแสนล้านที่เหลือก็แลกเป็นยาแก่นเซียนให้ท่านห้าล้านเม็ด ทั้งหมดอยู่ในแหวนเก็บสมบัติแล้ว”

ครั้งก่อนให้อวิ๋นจือชิวไปแล้วสองแสนล้าน เหมียวอี้ยกแผ่นหยกขึ้นมาถามอย่างแปลกใจ “งั้นถ้าแยกจำนวนรวมในแผ่นหยกออก แล้วสามล้านหกแสนล้านผลึกแดงมันคืออะไรล่ะ?”

อวี้ซวีเจินเหรินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะอธิบายว่า “นี่คือความประสงค์ของเจ้าสำนัก เจ้าสำนักบอกไว้แล้ว ว่าสำนักลมปราณทนแรงกดดันนี้ไม่ไหว ฆราวาสเองก็คงทนแรงกดดันนี้ไม่ไหวเช่นกัน ถ้าฆราวาสต้องการจะถอนตัวออก เราก็จะไม่คำนวณตามกำไรพิเศษแล้ว แต่คำนวณตามกำไรที่ผู้บัญชาการเซี่ยโห้วได้ไป นำที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งมาเติมชดเชยให้ท่าน เจ้าสำนักบอกว่าในภายหลังท่านต้องได้ใช้แน่นอน ส่วนหนึ่งล้านแปดแสนล้านผลึกแดงที่เหลือ ทางพวกเรานำออกมาทั้งหมดรวดเดียวไม่ได้ ถ้าจ่ายเงินส่วนนี้ไปหมดจะส่งผลกระทบต่อการบริหารธุรกิจ จะอธิบายกับผู้ถือหุ้นคนอื่นไม่ได้ ดังนั้นพวกเราจึงแจ้งไปที่ร้านค้าอีกเก้าสาขาแล้ว พวกเขาจะแลกเป็นยาแก่นเซียนสิบแปดล้านเม็ดเพื่อมอบให้ท่านให้เร็วที่สุด”

เหมียวอี้ซาบซึ้งอยู่ในใจ แสดงว่าสำนักลมปราณพยายามช่วงชิงผลประโยชน์ที่มากที่สุดให้เขา จึงถามทันทีว่า “ทำแบบนี้จะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อสำนักลมปราณเหรอ?”

อวี้ซวีเจินเหรินตอบพร้อมรอยยิ้มขื่นขม “นี่คือส่วนแบ่งที่ท่านควรจะได้ไป ถ้าท่านต้องการเบิกเป็นเงินสดก็เป็นเรื่องที่สมควร ไม่มีผลกระทบอะไรต่อพวกเราหรอก กลับเป็นสำนักลมปราณของพวกเราที่ติดค้างฆราวาสไว้เยอะ ที่สำนักลมปราณมีวันนี้ได้ ก็เพราะความช่วยเหลือจากฆราวาส เรื่องอื่นพวกเราก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน จะว่าไปแล้ว ตอนแรกที่บริหารร้านขายของชำนี้ พวกเราก็แค่อยากหาเงินนิดหน่อยเท่านั้น แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นการบุกเบิกวิธีการบริหารแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในแดนฝึกตน ถึงขั้นทำให้คนพากันอิจฉา แบบนี้เรียกว่า ราษฎรเดิมไม่มีความผิด[1] แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด!”

“เช่นนั้นข้าก็ไม่กล่าวคำขอบคุณอะไรมากแล้ว!” หลังจากกุมหมัดคารวะ เหมียวอี้ก็บอกว่า “ต่อไปนี้ข้าไม่มีรายได้อะไรแล้ว ตอนนี้ต้องการทรัพยากรฝึกตนจริงๆ ข้าไม่เกรงใจแล้วกัน เจินเหริน หนึ่งล้านแปดแสนล้านที่เหลือ ให้ยาแก่นเซียนข้าสิบล้านเม็ด แล้วให้ผลึกแดงข้าอีกแปดแสนล้าน”

“ตกลง!” อวี้ซวีเจินเหรินพยักหน้า “เพียงแต่ตอนนี้ยังเบิกมาไม่ได้ เกรงว่าต้องรออีกสักระยะถึงจะได้มา”

“ได้ขอรับ! ข้ามีธุระต้องขอตัวก่อน ถ้าได้ของแล้วรบกวนแจ้งข้าด้วย”

“เรื่องนี้ฆราวาสไม่ต้องห่วง”

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง คนพวกนั้นที่ฮุบหุ้นของร้านขายของชำไป รบกวนเจินเหรินนำรายชื่อมาให้ข้าสักฉบับ”

อวี้ซวีเจินเหรินตกใจ “ฆราวาส อย่าบุ่มบ่ามเชียวนะ ท่านไปมีเรื่องกับคนพวกนั้นไม่ไหวหรอก”

เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอบว่า “เจินเหรินคิดมากไปแล้ว ข้ายังไม่อยากรนหาที่ตายหรอก แค่จะเอาไปใช้อย่างอื่นเฉยๆ” แต่พูดเสริมในใจว่า ใครมันฮุบของของของข้า สักวันหนึ่งข้าจะให้มันคายออกมาทั้งต้นทั้งดอก ตราบใดที่ข้ายังไม่ตาย ก็เตรียมตัวรอข้าไว้ได้เลย!

หลังจากบอกเรื่องบางอย่างไว้ชัดเจนแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่นาน เดินออกจากร้านขายของชำซื่อตรง มุ่งตรงสู่เขตเมืองตะวันออก

ระหว่างทาง ไม่น่าเชื่อว่าคนของสมาคมวีรชนจะติดตามเขาอย่างโจ่งแจ้ง เรียกได้ว่าจับจ้องเขาอย่างไม่เกรงกลัวอะไรเลย

ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้าลงมือที่นี่ เหมียวอี้จึงไม่กลัวพวกเขา กลัวแค่หวงฝู่จวินโหรวจะขอให้ไอ้เวรเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาบังคับเท่านั้น จึงรีบหลบไปที่อาณาเขตของศัตรูคู่แค้นของเซี่ยโห้วหลงเฉิง มาขอพบโค่วเหวินหลานจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก

ผ่านไปครู่เดียว หลังจากรายงานแล้ว คนเฝ้าประตูก็ปล่อยเขาเข้าไป คนของสมาคมวีรชนที่หยุดอยู่หน้าจวนผู้บัญชาการมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่กล้าบุกเข้าไปโดยพลการ หนึ่งในนั้นมีคนรีบนำระฆังดาราออกมาติดต่อหวงฝู่จวินโหรว

เหมียวอี้ที่ถูกพาเข้าไปที่ห้องรับแขกรออยู่ครู่หนึ่ง โค่วเหวินหลานถึงได้เดินเนิบนาบเข้ามา แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “พี่หนิวช่างเป็นแขกทีนานๆ มาที!”

เหมียวอี้รีบยืนขึ้นคำนับ “คำนับผู้บัญชาการโค่ว!”

โค่วเหวินหลานยื่นมือเชิญให้ดื่มชา หลังจากตัวเองนั่งลง ก็สะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมาป้องปากหัวเราะ “ได้ยินว่าคนของสมาคมวีรชนสนใจพี่หนิวมากเชียวนะ ไม่ทราบว่าพี่หนิวมาเยี่ยมตอนนี้เพราะมีอะไรจะชี้แนะ?”

เหมียวอี้เห็นรอยยิ้มในดวงตาเขาแฝงความหมายลึกซึ้ง รู้สึกเหมือนเขาจะเดาออกถึงเจตนาของตน รู้สึกวูบในหัวใจทันที คนคนนี้ฉลาดกว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเยอะ

“ท่านผู้บัญชาการรู้ข่าวไวจริงๆ! มิบังอาจชี้แนะหรอก” เหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก พูดตรงๆ เลยว่า “ท่านผู้บัญชาการคงรู้แล้วว่าทำไมคนของสมาคมวีรชนจึงไล่ตามข้าไม่ปล่อย สมาคมวีรชนคุกคามรังแกกันเพื่อหุ้นร้านขายของชำสองส่วนในมือข้า รังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ ข้าเลยยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์[2] ยินดีจะนำหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรงมอบให้ท่านผู้บัญชาการ!”

โค่วเหวินหลานตาเป็นประกายทันที

คนที่มีพื้นเพแบบเขา ปกติจะไม่มาสนใจเรื่องทำธุรกิจเอง เพราะความรู้สึกค่อนข้างช้า สู้คนทำธุรกิจอย่างหวงฝู่จวินโหรวไม่ได้ นางมองเห็นอนาคตของร้านขายของชำตั้งแต่แรก กำจัดคนเห็นต่างและเข้ามาแทรกแซงตั้งนานแล้ว แม้แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เป็นไอ้โง่ในสายตาเขาก็ช้อนหุ้นไปแล้วสองส่วน

ร้านขายของชำที่เมื่อก่อนไม่ค่อยสะดุดตา ปัจจุบันหลังจากขยายสาขาแล้ว การผงาดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้การร้องทุกข์ของพวกพ่อค้าดึงดูดความสนใจคนจำนวนมากทันที หลังจากให้ความสนใจเพิ่มขึ้น คนพวกนั้นก็ค้นพบอย่างตกตะลึงว่า ถ้าใช้วิธีการบริหารแบบนี้กับธุรกิจของทั้งแดนฝึกตน ในภายหลังนักพรตทั้งใต้หล้าจะต้องทำการซื้อขายกับร้านขายของชำนี้แน่นอน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากำไรที่เกิดขึ้นจะน่าดูขนาดไหน

ยิ่งคนที่มีฐานะตำแหน่งสูง ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งมาก ลูกน้องที่เลี้ยงไว้ก็ยิ่งมีเยอะ ตระกูลโค่วก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำเป็นส่วนแบ่งที่ไม่น้อยเลย!

โค่วเหวินหลานค่อยๆ วางผ้าเช็ดหน้าในมือลง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ในใต้หล้านี้ไม่มีของที่ได้มาโดยไม่ต้องจ่าย มีเงื่อนไขอะไรก็ว่ามาตรงๆ เถอะ”

ไม่จำเป็นต้องพูดคลุมเครืออ้อมค้อมกับคนประเภทนี้ เหมียวอี้บอกตรงๆ เลยว่า “อยากจะขอให้ท่านผู้บัญชาการช่วยอะไรนิดหน่อยสักสามเรื่อง”

“ช่วยนิดหน่อย?” โค่วเหวินหลานเลิกคิ้ว แล้วพยักหน้าบอกว่า “ว่ามาให้ฟังก่อนสิ”

เหมียวอี้ยืนขึ้น “หนิวโหย่วเต๋อไร้ความามารถ แต่อยากจะเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์!”

เรื่องนี้จัดการได้ยากสำหรับคนทั่วไป คนที่ตำหนักสวรรค์จะรับเป็นขุนนาง โดยทั่วไปจะเป็นคนที่สามารถสร้างคุณูปการอย่างชัดเจนให้ตำหนักสวรรค์ได้ ต่อให้เป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ถ้ามีอำนาจมากพอที่จะรวบรวมพลังปรารถนาของสาวกให้ตำหนักสวรรค์ ก็สามารถได้รับแต่งตั้งจากตำหนักสวรรค์ได้ทั้งนั้น หรือที่พวกมนุษย์เรียกกันว่าสำเร็จเป็นเซียนเป็นพระ สำนักพุทธที่มีอำนาจทัดเทียมกับตำหนักสวรรค์ก็ใช้หลักการนี้เหมือนกัน ส่วนนักพรตทั่วไปที่อยากจะได้รับแต่งตั้งจากตำหนักสวรรค์ อย่างน้อยก็ต้องมีคนของตำหนักสวรรค์สามคนแนะนำและรับประกันให้ โดยทั่วไปถ้าไม่ใช่คนที่เชื่อใจกันมาก ก็จะไม่มีใครมารับประกันให้ ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาก็จะต้องติดร่างแหไปด้วย

แต่สำหรับตระกูลโค่ว เหมียวอี้เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

โค่วเหวินหลานยังสีหน้าไม่เปลี่ยน เพียงเหล่ตามองมา พลางถามเสียงเรียบว่า “อยากเป็นขุนนางระดับใหญ่ขนาดไหน?”

“จะเล็กจะใหญ่ก็ไม่เป็นไร แล้วแต่ท่านผู้บัญชาการจะจัดให้” เหมียวอี้ตอบ

“บอกมาสักสองเรื่องก่อนแล้วกัน?” โค่วเหวินหลานถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “ในปีนั้นตอนเพิ่งเริ่มเปิดร้านขายของชำซื่อตรง ข้าน้อยเคยไปขอยืมเครื่องประดับชุดหนึ่งมาเรียกกระแสนิยม เรื่องนี้ท่านผู้บัญชาการรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ตอนขอยืมเครื่องประดับพวกนั้นมา ข้าน้อยรับปากอีกฝ่ายไว้ว่าจะหาหน้าร้านที่ตลาดสวรรค์ให้สักร้าน แต่จนใจที่ความสามารถมีจำกัด ยังไม่ได้ทำตามสัญญา เลยอยากจะขอให้ท่านผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกดูแลจัดหาให้สักร้าน”

“อยากได้ร้านที่ใหญ่ขนาดไหนล่ะ?” โค่วเหวินหลานถามอีก

“จะเล็กจะใหญ่ก็ไม่เป็นไร แล้วแต่ท่านผู้บัญชาการจะจัดให้!” เหมียวอี้ตอบ

สำหรับสองเรื่องนี้ เขาไม่เสนอเงื่อนไขใดๆ กับอีกฝ่าย ไม่มีการต่อรองใดๆ ทั้งนั้น ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกลำบากใจอะไรทั้งนั้น ต้องรู้จักสละทิ้ง ถึงจะได้สิ่งตอบแทนกลับมาง่ายๆ!

…………………………

[1] ราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด 匹夫无罪怀璧其罪 อุปมาว่า มีภัยเพราะความสามารถของตัวเอง

[2] ยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์宁为玉碎 , 不为瓦全 อุปมาว่า ตั้งมั่นในความดีไม่เปลี่ยนแปลงไม่หลงไปในทางเลว

962

ทหารเลวของตำหนักสวรรค์

สมเหตุสมผล ท่าทีแบบนี้ทำให้โค่วเหวินหลานพอใจมาก จึงพยักหน้าเบาๆ พร้อมถามว่า “สองเรื่องนี้เดี๋ยวข้าจะลองจัดการดู แล้วเรื่องสุดท้ายล่ะ?”

“เรื่องสุดท้ายผู้น้อยโดนกดดันจนหมดหนทางจริงๆ สมาคมวีรชนมีอำนาจมาก หวังว่าผู้บัญชาการโค่วจะบอกกล่าวสมาคมวีรชนสักหน่อย ไม่ให้พวกเขากลั่นแกล้งผู้น้อยอีก!” เหมียวอี้ตอบด้วยรอยยิ้มขื่นขม

“บอกกล่าว? บอกกล่าวอะไร? เป็นความแค้นส่วนตัวระหว่างพวกเจ้า พวกเขาไม่ได้ทำเรื่องอะไรผิดกฎสวรรค์ จะให้ข้าไปบอกกล่าวอะไร?” โค่วเหวินหลานยืนขึ้นพูด “รออีกไม่กี่วันหรอก รอให้เจ้าได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางตำหนักสวรรค์ สมาคมวีรชนย่อมไม่กล้าแตะต้องเจ้าแล้ว”

“แต่ข้าได้ยินมาว่าสมาคมวีรชนมีความสามารถไม่น้อย” เหมียวอี้ถามหยั่งเชิง

โค่วเหวินหลานทำสีหน้าดูถูกทันที “ต่อให้มีความสามารถกว่านี้ก็เป็นแค่พวกพวกหัวมังกุท้ายมังกร ตำหนักสวรรค์คือที่ที่พวกพวกหัวมังกุท้ายมังกรอย่างพวกเขาจะยื่นมือเข้ามาได้เหรอ? ถ้าทำผิดกฎจนฝูงชนไม่พอใจ ไม่ว่าใครก็ปกป้องพวกเขาไม่ได้ทั้งนั้น เจ้าให้พวกเขาลองยื่นมือเข้ามาสิ!”

ในเมื่ออีกฝ่ายกล่าวแบบนี้แล้ว เหมียวอี้ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ตรงไปตรงมามาก เขียนสัญญาโอนหุ้นให้ตรงนั้นเลย แล้วใช้สองมือยื่นให้พร้อมสัญญาที่สำนักลมปราณลงนามให้ “ท่านผู้บัญชาการ นี่คือหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรง ท่านผู้บัญชาการได้โปรดรับไว้!” ภายนอกดูใจกว้างซื่อสัตย์ แต่ในใจเหมือนมีเลือดไหล

ตรงไปตรงมาขนาดนี้เชียวเหรอ? โค่วเหวินหลานเหล่ตามองเขา รับแผ่นหยกมาอ่านดูรายละเอียด หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็แกว่งไกวแผ่นหยกในมือพร้อมถามว่า “ให้ข้าตอนนี้ ไม่กลัวว่าข้าจะเบี้ยวสัญญาทีหลังเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบตรงๆ ว่า “ผู้บัญชาการโค่วไม่เหมือนผู้บัญชาการเซี่ยโห้วเสียหน่อย!”

โค่วเหวินหลานอึ้งทันที หลังจากเข้าใจความหมายแล้ว เขาก็ชอบการเปรียบเทียบนี้ ถือผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาป้องปากหัวเราะทันที “ช่างเถอะ รออีกไม่กี่วันหรอก อีกไม่นานเรื่องของเจ้าจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว”

เหมียวอี้กุมหมัดถามหยั่งเชิงอีกว่า “ไม่ทราบว่าว่าจะให้ข้าพักอยู่ในจวนของผู้บัญชาการโค่วสักสองสามวันได้หรือไม่ ผู้บัญชาการเซี่ยโห้วนั่นเชื่อฟังผู้จัดการร้านหวงฝู่มาก ผู้น้อยกังวลนิดหน่อย” ขณะที่พูด เขาก็สังเกตสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายไปด้วย

ก็ช่วยไม่ได้ เพราะท่านที่อยู่ตรงหน้าก็ตามจีบหวงฝู่จวินโหรวเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้กำเริบเสิบสานเหมือนเซี่ยโห้วหลงเฉิง ถ้าเทียบเรื่องวางอำนาจบาตรใหญ่ ท่านนี้ถือว่าสงบเสงี่ยมมาก ทำให้คนเดาท่าทีไม่ค่อยถูก มองไม่ออกเลยว่าเขาคือคนที่ตามจีบหวงฝู่จวินโหรว ถึงขั้นเห็นเขาใกล้ชิดติดต่อกับหวงฝู่จวินโหรวน้อยมาก ชอบหวงฝู่จวินโหรวมากขนาดไหนกันแน่ เขาต้องใช้คำพูดหยั่งเชิงสักหน่อย ถ้าพบความไม่ชอบมาพากล จะได้ถือโอกาสเตรียมแผนการอีกอย่างไว้ ถือว่าใช้คำพูดยั่วโมโหโค่วเหวินหลาน หวังว่าท่านนี้จะไม่ตกอับเหมือนเซี่ยโห้วหลงเฉิง

ที่พิภพใหญ่ เหมียวอี้เป็นแค่ตัวละครเล็กๆ ที่ไร้ค่า แถมกำลังอยู่ในอันตรายด้วย ถ้าอยากจะลงหลักปักฐาน แต่ไม่ขยันไปมาหาสู่อย่างระมัดระวังก็คงไม่ได้!

เมื่อได้ยินแบบนั้น โค่วเหวินหลานก็เรียกได้ว่ายิ้มอย่างเริงร่า พยักหน้าบอกว่า “สงสัยเจ้าจะได้ประสบการณ์เรื่องความร้ายกาจของหมีควายเซี่ยโห้วมาแล้ว ก็ได้ เจ้าพักอยู่กับข้าก่อนก็ได้ รอให้ได้คำสั่งแต่งตั้งแล้วค่อยว่ากัน”

เมื่อเห็นเขามีท่าทีแบบนี้ เหมียวอี้ก็วางใจลงไม่น้อย แต่ในใจกลับยังสงสัยนิดหน่อย

ตรงนี้เพิ่งจะคุยจบ ทหารยามที่เฝ้าอยู่ข้างนอกก็วิ่งเข้ามารายงานแล้ว “รายงานผู้บัญชาการ ผู้จัดการหวงฝู่ของร้านค้าสมาคมวีรชนมาขอพบขอรับ”

“เชิญเข้ามา!” โค่วเหวินหลานพยักหน้า แล้วบอกเหมียวอี้ทันทีว่า “พี่หนิว คู่แค้นของเจ้ามาแล้ว พวกเรามานั่งคุยพร้อมกันเลยเถอะ”

ทั้งสองออกไปข้างนอกทันที เพิ่งจะเดินมาถึงลานบ้านด้านนอก เกี้ยวหลังหนึ่งก็ถูกหามเข้ามาแล้ว

ทั้งสองหยุดฝีเท้า เกี้ยววางลงพื้นแล้วเช่นกัน หวงฝู่จวินโหรวเรือนร่างอ้อนแอ้นแหวกม่านก้าวออกมา ยังคงสวยสดใส ทวงท่าสง่างาม ย่อมดึงดูดสายตาทหารยามรอบๆ ให้แอบมองมา

สายตาของหวงฝู่จวินโหรวหยุดอยู่บนตัวเหมียวอี้ครู่หนึ่ง เหมียวอี้สบตากับนาง ในดวงตาฉายแววสับสนนิดหน่อย

โค่วเหวินหลานรีบก้าวเข้ามา ถามด้วยท่าทางดีใจมากว่า “จวินโหรว เจ้ามาได้อย่างไร!”

“ผู้บัญชาการโค่ว!” หวงฝู่จวินโหรวคำนับเล็กน้อย แล้วก็ยิ้มให้เหมียวอี้ “ที่แท้ฆราวาสก็อยู่ด้วยเหมือนกัน”

รู้อยู่แก่ใจแต่แกล้งโง่ชัดๆ เหมียวอี้พยักหน้าอย่างเย็นชา “ผู้จัดการหวงฝู่!” แล้วหันตัวไปทางโค่วเหวินหลาน แสดงท่าทีเหมือนจะหลบเลี่ยง

ใครจะคิดว่าหวงฝู่จวินโหรวจะยื่นมือเข้ามาขวาง “สหายเก่าพบหน้ากัน มานั่งคุยกันสักหน่อยสิ!”

โค่วเหวินหลานกระตุกคิ้วเล็กน้อย ถือผ้าเช็ดหน้าป้องปากหัวเราะ แล้วยื่นมือเชิญ ทั้งสามกลับเข้ามาในห้องรับแขกอีกครั้ง ย่อมมีคนนำน้ำชามาวางให้

แต่เห็นได้ชัดว่าหวงฝู่จวินโหรวกับเหมียวอี้ไม่อยากแตะต้องอาหารและเครื่องดื่มของที่นี่ จึงพุ่งเข้าประเด็นหลักทันที โค่วเหวินหลานยิ้มพร้อมถามว่า “จวินโหรว ปกติเจ้าไม่ค่อยมาหา ครั้งนี้เจ้ามาด้วยธุระอะไรเหรอ?”

หวงฝู่จวินโหรวชำเลืองสายตาไปทางเหมียวอี้ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ที่นี่ก็ไม่มีคนนอก คนสง่าผ่าเผยไม่พูดอะไรคลุมเครือ หนิวโหย่วเต๋อ สมาคมวีรชนก็ไม่ได้อยากจะกดดันมากเกินไปหรอก ถ้าเจ้ามอบส่งหุ้นสองส่วนนั้นมาเสียตอนนี้ ข้ารับรองว่าสมาคมวีรชนจะไม่ไปหาเรื่องเจ้าอีก ทางปีศาจโลหิตก็จะวางมือเช่นกัน ต่อไปเจ้าจะไม่พบปัญหาอะไรอีก สมาคมวีรชนจะช่วยสงเคราะห์ให้ ทำแบบนี้ดีสำหรับทุกคน!”

เหมียวอี้ไม่พูดอะไรทั้งนั้น โค่วเหวินหลานหัวเราะเบาๆ แล้วตอบแทนว่า “ข้าก็นึกว่าเจ้ามาหาข้า ที่แท้ก็มาเพราะเรื่องหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำ! จวินโหรว เจ้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำอยู่ในมือข้าแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่หนิวแล้ว ถ้าอยากจะได้ก็บอกข้ามาตรงๆ ขอแค่เจ้าเต็มใจ ข้าย่อมมอบให้ด้วยความเคารพ!” ขณะที่พูดก็นำแผ่นหยกสองแผ่นให้นางอ่าน

หลังจากหวงฝู่จวินโหรวรับมาอ่าน นางก็แอบกัดฟันเงียบๆ พอได้ยินว่าเหมียวอี้มาที่นี่ นางก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว แต่ใครจะคิดว่ามาช้าไปก้าวหนึ่ง นางมองเหมียวอี้ด้วยแววตาคับแค้น ผู้ชายคนนี้ยอมให้คนอื่นเอาเปรียบ แต่ไม่ยอมให้นางเอาเปรียบ!

“โค่วเหวินหลาน เจ้าจะให้ข้าเปล่าๆ เชียวเหรอ?” นางฝืนยิ้มเล็กน้อย

“เจ้าก็รู้ว่าข้าต้องการอะไร แต่งงานกับข้าสิ!” โค่วเหวินหลานยิ้มตอบ

ต่ำช้า! เหมียวอี้แอบดูถูกในใจ

ใครจะคิดว่าหวงฝู่จวินโหรวจะส่งสายตามาหาเขา แล้วยิ้มอย่างสนิทสนม “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าคิดว่าข้าแต่งงานกับผู้บัญชาการโค่วเพื่อแลกกับหุ้นสองส่วนนั่นดีไหม?”

คนนอกฟังไม่ออกถึงคำพูดที่ซ้อนอยู่ในคำพูด คงมีเพียงสุนัขตัวผู้และสุนัขตัวเมียคู่นี้ที่เข้าใจความหมายแฝงดีที่สุด เหมียวอี้เริ่มระวังตัวสุดๆ ปั่นป่วนใจมาก กลัวว่าผู้หญิงคนนี้จะพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา จึงหัวเราะแห้งๆ แล้วตอบว่า “เรื่องแบบนี้ ความเห็นของข้าไม่สำคัญหรอก”

“เฮ้อ!” หวงฝู่จวินโหรวถอนหายใจ แล้วหันไปหาโค่วเหวินหลาน คืนแผ่นหยกสองแผ่นกลับไป “นี่เจ้ากำลังกลั่นแล้งข้ารึเปล่า? โค่วเหวินหลาน เจ้าคงจะเข้าใจนะ ว่าสมาคมวีรชนไม่ได้ต้องการของสิ่งนี้ คนจากเบื้องบนต่างหากที่ต้องการ เจ้ามาเป็นก้างขวางคอแบบนี้ เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมัง?”

โค่วเหวินหลานตอบกลั้วหัวเราะว่า “คนไม่เอาไหนอย่างเซี่ยโห้วได้มาไว้ในมือแล้วสองส่วน ตระกูลเซี่ยโห้วน่าจะพอใจแล้วล่ะ เบื้องบนได้กินเนื้อ ก็ต้องเหลือน้ำไว้ให้คนข้างล่างกินบ้างสิ? จะให้ฮุบคนเดียวจนคนข้างล่างอดกินเหรอ หลักการนี้ฟังขึ้นที่ไหนกัน ต่อให้เป็นราชันสวรรค์ก็ทำเรื่องพรรค์นั้นไม่ได้หรอก ดังนั้นเจ้าไม่ต้องอ้างท่านนั้นมากดดันข้า ข้าตำแหน่งต่ำต้อย ไม่พอให้เจรจาเรื่องพวกนี้หรอก เจ้าลองให้ท่านนั้นไปเจรจากับท่านผู้เฒ่าบ้านข้าดูสิ หากท่านนั้นไม่กระดากใจที่จะเอ่ยปาก ข้าว่าท่านผู้เฒ่าบ้านข้าก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธเหมือนกัน”

อีกฝ่ายพูดถึงขั้นนี้แล้ว หวงฝู่จวินโหรวเองก็รู้ว่าตัวเองพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ โค่วเหวินหลานบอกเป็นนัยอย่างชัดเจนมากแล้ว เจ้าตัวไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องแบบนี้ ที่บอกว่าถ้านางแต่งงานกับเขาแล้วเขาจะให้หุ้นนาง ล้วนเป็นคำพูดที่เลื่อนลอยทั้งนั้น

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว” หวงฝู่จวินโหรวยืนขึ้น แล้วพูดกับเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้มว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวหน่อย!”

โค่วเหวินหลานลุกขึ้นแล้วยื่นมือเชิญ “ทั้งสองเชิญตามสะดวก!” พูดจบก็ยิ้มพร้อมหันตัวเดินออกไป ของมาตกอยู่ในมือเขาแล้ว เขาไม่กลัวว่าหวงฝู่จวินโหรวจะเปลี่ยนแปลงอะไร

ในห้องโถงไม่มีคนอื่น ดวงตาหวงฝู่จวินโหรวแฝงความคับแค้น ก้าวช้าๆ เข้าไปประชิดเหมียวอี้ เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ ถามว่า “ผู้จัดการหวงฝู่มีอะไรจะชี้แนะ?”

หวงฝู่จวินโหรวยืนอยู่ตรงหน้าเขาในระยะที่ใกล้มาก ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ข้าคิดถึงเจ้าแล้ว คืนนี้จะไปนอนค้างกับข้ามั้ย?”

คิดถึงข้าเหรอ? เจ้าคิดจะฆ่าข้าน่ะสิไม่ว่า? เหมียวอี้ทำสีหน้าไม่ถูก เดินถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “เรื่องระหว่างเรา… ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไปเถอะ”

“เจ้าก็พูดได้สบายปากนี่ เจ้าทำลายความบริสุทธิ์ของข้าไปแล้ว เจ้าย่อมปล่อยผ่านไปได้ แต่ต่อจากนี้เจ้าจะให้ข้าใช้ชีวิตอย่างไร?” หวงฝู่จวินโหรวค่อยๆ ก้าวเข้ามาประชิด ยอดเขาที่อิ่มเอิบทั้งคู่ประชิดเข้ามา

ถ้าให้คนอื่นเห็นภาพนี้คงแย่แน่ เหมียวอี้รีบมองซ้ายมองขวาแล้วถอยหลัง พลางตอบอย่างกินปูนร้อนท้องว่า “เจ้าก็รู้ดีว่าที่นี่คือที่ไหน นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเจ้านะ”

“ไร้มโนธรรม!” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวอย่างคับแค้นใจ แต่ไม่สะทกสะท้าน ประชิดเข้าหาเขาจนติดมุมผนัง ประชิดจนเขาหมดทางถอย ยอดเขาสองข้างกดอยู่ที่หน้าอกของเขาแล้ว นุ่มเด้งจนน่าทึ่ง

ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้ว! เหมียวอี้ไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังเสพสุขกับวาสนาทางความรักเลยสักนิด กลับทำสีหน้าตกใจกลัว เพราะมันผิดที่ผิดเวลาจริงๆ

ผู้ชายกลัวอะไรที่สุดรู้มั้ย? กลัวจะเจอผู้หญิงที่อยากจะสลัดทิ้งแต่สลัดไม่หลุดไง!

ตอนที่เพิ่งคิดจะถลันตัวหนีไป ก็โดนแขนสองข้างของหวงฝู่จวินโหรวคล้องคอไว้แล้ว กอดไว้เต็มอก เรือนร่างอ่อนนุ่มหอมกรุ่น กลิ่นกายหอมโชยเข้าจมูก ริมฝีปากแดงสวยเข้ามาประกบโดยตรง ลิ้นหอมสอดแทรกเข้ามาในปาก

เหมียวอี้พยายามผลักนางออก แต่กลับรู้สึกเจ็บที่ริมฝีปาก

พอกัดจนริมฝีปากเขามีเลือดสดไหลออกมา หวงฝู่จวินโหรวถึงได้ผลักออก ใช้ลิ้นเลียรอยเลือดที่ริมฝีปากตัวเอง จากนั้นก็ไม่รอให้เหมียวอี้ด่า หันตัวเดินออกไปทันที

“เจ้า…” เหมียวอี้พูดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง รีบนำสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมารักษาแผล

แผลเล็กนิดเดียว สมุนไพรเซียนย่อมรักษาได้ง่ายๆ อยู่แล้ว แต่กลับไม่อาจปิดบังรอยเลือดบนริมฝีปากได้ ตอนที่โค่วเหวินหลานโผล่มาอีกครั้ง ก็ถามอย่างแปลกใจว่า “พี่หนิว ทำไมที่ปากมีรอยเลือด?”

เหมียวอี้ทำหน้านิ่งพลางบุ้ยปากตอบ “โดนผู้หญิงคนนั้นชกหมัดหนึ่ง!”

“กล้าลงมือที่จวนข้า ผู้หญิงคนนี้ช่างไม่รู้จักแยะแยะความสำคัญ!” โค่วเหวินหลานขมวดคิ้ว แล้วบอกอีกว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ จัดการเรื่องตำแหน่งขุนนางที่เจ้าขอก่อนดีกว่า ตอนนี้วรยุทธ์เจ้าสูงเท่าไร?”

เหมียวอี้ยกมือเช็ดโคลนซ่อนจิตตรงกว่างคิ้ว เผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง…

โค่วเหวินหลานมีอำนาจมากจริงๆ หลังจากนั้นสองวัน ยังไม่ทันมีการตรวจสอบอะไรเพิ่มเติม เบื้องบนก็อนุมัติเรื่องรับเหมียวอี้เข้ากับตำหนักสวรรค์แล้ว เหมียวอี้ไม่ได้เรียกร้องตำแหน่งใหญ่ แต่โค่วเหวินหลานก็ไม่ได้เอาเปรียบเขา แต่งตั้งให้เป็นทหารเลวสามแถบโดยตรง มอบเกราะรบสีทองขั้นสี่ให้ชุดหนึ่ง แต่ตอนนี้ยังไม่มีตำแหน่งว่าง ตอนนี้ทำงานเป็นลูกน้องโค่วเหวินหลานไปก่อน

โค่วเหวินหลานก็บอกแล้วเช่นกัน ว่ารอให้มีตำแหน่งที่เหมาะสม แล้วจะจัดให้อีกที

เหมียวอี้ที่ยังไม่ได้ตำแหน่งอย่างเป็นทางการก็ไม่ว่าอะไร สิ่งที่เขาต้องการก็คือคลุมหนังเสือบนร่างเพื่อให้สมาคมวีรชนหวั่นเกรง ตอนนี้นอกจากฝ่ายตำหนักสวรรค์ ข้างนอกก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเขาอย่างโจ่งแจ้งอีกแล้ว เพียงแต่ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้ได้หนังเสือมาคลุมนั้นสูงเกินไปหน่อย

เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบสีทองเดินออกจากจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกอย่างสง่าผ่าเผย เดินไปดูร้านค้าของตัวเอง ตำแหน่งของร้านค้าอยู่ไม่ไกลจากจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ไม่รู้เหมือนกันว่าโค่วเหวินหลานใช้วิธีการอะไร สรุปก็คือทำให้เจ้าของร้านคนเดิมขายร้านให้โค่วเหวินหลานอย่างเคารพนบนอบ

ส่วนโค่วเหวินหลานจะจ่ายเงินซื้อไปเท่าไร เหมียวอี้ก็ขี้คร้านจะไปถาม ไม่สะดวกจะถามเรื่องการใช้อำนาจอย่างลับๆ ด้วย ถึงอย่างไรโค่วเหวินหลานก็ส่งร้านต่อให้เขาแล้ว

เช่นเดียวกัน ถึงแม้เหมียวอี้จะไม่เรียกร้องเรื่องขนาดของร้านค้า แต่โค่วเหวินหลานเป็นคนรักศักดิ์ศรีหน้าตา จะควักอะไรให้ทั้งทีก็ต้องเล่นใหญ่ ร้านค้ามีพื้นที่สี่หมู่[1] ไม่ใหญ่ไม่เล็ก เหมียวอี้ที่เดินดูทั้งข้างนอกข้างในไปหลายรอบพอใจมาก

963

ของขวัญชิ้นที่ 2

บนถนนหนทางข้างนอกยังคงเจริญเฟื่องฟู แต่ในร้านค้าว่างเปล่าเงียบเหงา

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใจสื่อถึงใจหรือเปล่า…

เหมียวอี้กำลังจัดโต๊ะเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาดอยู่ในร้านค้า กำลังครุ่นคิดว่าจะบอกอวิ๋นจือชิวดีมั้ยว่าได้ร้านค้ามาแล้ว เขายังกังวลว่าเรื่องมั่วโลกีย์ระหว่างเขากับหวงฝู่จวินโหรวจะโดนอวิ๋นจือชิวจับได้

ตัวเองกับหวงฝู่จวินโหรวทะเลาะกันถึงขั้นนั้น เดิมทีนึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองน่าจะจบลงได้แล้ว แต่หลังจากโดนหวงฝู่จวินโหรวประกบปากกัดปาก เขาก็เริ่มกลัวนิดหน่อย กังวลว่าผู้หญิงคนนั้นจะเกาะแกะไม่เลิก

อยากจะทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาดสักหน่อย แต่ใจก็ไม่เด็ดเดี่ยวขนาดนั้น ถึงอย่างไรเขาก็ขืนใจครอบครองความบริสุทธิ์ของนาง ถ้าไม่รับผิดชอบก็จะฟังไม่ขึ้นแล้ว หากจะทำเรื่องที่โหดเกินไปเขาก็ทำไม่ลง

ขณะกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ ระฆังดาราในกำไลเก็บสมบัติก็เริ่มสั่น พอเขาเรียกออกมาดู พบว่าไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นอวิ๋นจือชิวเมียของเขานั่นเอง

เขาตั้งใจฟัง อวิ๋นจือชิวถามว่า : หนิวเอ้อร์ เจ้าอยู่ที่ไหน?

เหมียวอี้ตอบว่า : นอกจากพิภพใหญ่แล้วจะเป็นที่ไหนได้?

อวิ๋นจือชิว : ที่ไหนของพิภพใหญ่?

เหมียวอี้ : ตลาดสวรรค์! ข้ามีธุระที่นี่นิดหน่อย ช่วงนี้ยังกลับไปหาเจ้าไม่ได้

อวิ๋นจือชิว : ไม่รบกวนให้เจ้ามาหาหรอก ข้าทนทุกข์จากความคิดถึงไม่ไหวแล้ว เป็นฝ่ายมาหาเจ้าเอง ข้ามาถึงตลาดสวรรค์แล้ว เจ้าอยู่ตรงไหน?

เหมียวอี้พูดไม่ออก ลองตอบไปทันทีว่า : เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว ข้ามีธุระต้องจัดการ

อวิ๋นจือชิว : ทำเป็นเล่นอะไรล่ะ ข้ามาถึงแล้วจริงๆ อยู่ในซอยนอกร้านขายของชำซื่อตรง พวกผู้ชายบ้ามันน่ารำคาญจริงๆ ใช้แววตาเจ้าเล่ห์กวาดมองเรือนร่างข้า อย่างกับหมาป่า เหมือนอยากจะถอดเสื้อผ้าข้าออกให้หมด นิสัยเหมือนเจ้าเลย!

มีคนคิดไม่ซื่อกับเมียตัวเอง แย่แล้วล่ะ! เรื่องบางเรื่องผู้ชายสามารถทนได้ แต่เรื่องบางเรื่องผู้ชายเขาถือ! เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที ถามสถานที่อย่างละเอียดว่าอยู่ตรงไหน ไม่รอให้อวิ๋นจือชิวมา เขาเป็นฝ่ายวิ่งขึ้นตึกไปชะโงกหน้ามองหาตรงหน้าต่างเอง

ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวที่สวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวครามก็ปรากฏตัวที่หัวถนน เดินเนิบนาบอย่างสง่างาม เหลียวซ้ายแลขวาตามหาร้านค้าที่เหมียวอี้บอก

เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงมาแต่ไกลๆ ทันที “ไม่ต้องมองซ้ายมองขวาแล้ว ตรงมาข้างหน้าห้าสิบจั้ง ตึกสองชั้นที่อยู่ทางขวามือ!” ขณะที่พูดก็กวักมือเรียกตรงหน้าต่าง

อวิ๋นจือชิวต้องใจจ้องไปข้างหน้า พอเห็นเหมียวอี้แล้ว นางก็ยิ้มอย่างอ่อนหวานแพรวพราวทันที ทำให้ผู้ชายที่สัญจรอยู่บนถนนหันมามองเป็นระยะ

เดินอย่างไม่รีบร้อนจนมาถึงร้านค้าร้านนั้น อวิ๋นจือชิวมองสำรวจทั้งข้างบนข้างล่าง พบว่าประตูร้านค้าเปิดแค่บานเดียว แม้แต่ป้ายร้านก็ถอดไปแล้ว ดูค่อนข้างเงียบเหงาเมื่อเทียบกับร้านค้าที่อยู่ทางซ้ายและขวา

แล้วนางก็หันกลับมามองรอบๆ อีกครู่หนึ่ง ถึงได้เดินเข้าไปอย่างช้าๆ เมื่อเห็นโต๊ะเก้าอี้วางระเนระนาดเต็มพื้น ในดวงตาก็ฉายแววสงสัยอย่างอดไม่ได้ ไม่รู้ว่าเหมียวอี้มาหดหัวทำอะไรอยู่ที่นี่

เหมียวอี้ที่เดินลงมาจากชั้นบนโบกมือให้นาง แล้วประตูใหญ่ของร้านค้าก็ปิดสนิท สลักประตูเด้งขึ้น

อวิ๋นจือชิวหันกลับไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปหาเหมียวอี้ สายตากวาดมองรอบๆ พร้อมถามว่า “มีแค่เจ้าคนเดียวเหรอ?”

กังวลว่าจะมีคนอื่นอยู่ด้วย ไม่สะดวกจะแสดงความสนิทสนมมากเกินไป ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็บอกไว้แล้ว ว่าไม่อยากประกาศความสัมพันธ์ของทั้งสองที่พิภพใหญ่

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วขมวดคิ้วถามว่า “เถ้าแก่เนี้ย เจ้ามาได้อย่างไร?”

เมื่อเห็นว่าที่นี่มีแค่เขาคนเดียว อวิ๋นจือชิวก็ยิ้มอย่างสนิทสนมและเข้ามาเกาะแกะทันที กระโจนเข้าใส่อ้อมกอด แล้วคล้องคอเขาด้วยรอยยิ้มสดใสราวดอกไม้ “ก็บอกแล้วไงว่าคิดถึงเจ้า พอส่งข้อความมาหาเจ้า เจ้าก็เอาแต่บอกว่ามีธุระ ข้าเลยต้องมาดูด้วยตัวเอง ว่าธุระอะไรกันแน่ที่ทำให้เจ้าไม่สนใจแม้แต่เมีย”

เหมียวอี้ดึงมือที่ซุกซนของนางออก แล้วจูงมือนางเดินไปด้วยกัน “มีอะไรก็ไปคุยกันข้างบน!”

อวิ๋นจือชิวสะบัดมือออก แล้วกางแขนสองข้างพร้อมบ่นว่า “ข้าเดินมาตั้งไกล ปวดขาไปหมดแล้ว อุ้มขึ้นไปหน่อยสิ!”

เหมียวอี้ส่ายหน้าอย่างจนใจมาก ก้าวเข้ามากางแขนอุ้มไว้ แล้วเดินขึ้นไปชั้นบน อวิ๋นจือชิวเหมือนจะชอบเสพสุขกับท่าทางนี้มาก นางยิ้มอย่างเบิกบานใจ เป็นฝ่ายหอมแก้มเขาฟอดหนึ่ง

พอขึ้นมาชั้นบน แล้วเข้ามาในห้องที่ค่อนข้างลับตาคน ทั้งสองก็แยกออกจากกัน อวิ๋นจือชิวมองเกราะทองบนตัวเขา แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้าแต่งตัวแบบนี้ทำไม?”

เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข้าเข้าเป็นคนของตำหนักสวรรค์แล้ว ตอนนี้เป็นทหารเลวสามแถบที่แต่งตั้งโดยตำหนักสวรรค์”

“เอ๋! กลายเป็นขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์แล้วเหรอ!” อวิ๋นจือชิวพูดหยอก “นี่เป็นเรื่องดีนะ จะทำท่าทางกลุ้มใจไม่มีความสุขทำไมล่ะ ไม่ใช่ว่าเห็นข้าแล้วอารมณ์เสียหรอกใช่มั้ย? บอกมาเสียดีๆ ลับหลังแอบข้าทำอะไรแล้วกลัวโดนข้าจับได้ใช่มั้ย?”

นางพูดมั่วแต่ดันพูดถูก ทำเอาเหมียวอี้ระแวงไม่หาย แต่เหมียวอี้ย่อมไม่ยอมรับอยู่แล้ว เปลี่ยนประเด็นพูดทันที “ขุนนางใหญ่บ้าอะไรล่ะ ทหารเลวสามแถบของตำหนักสวรรค์มีเยอะเหมือนขนวัว เจ้ารู้รึเปล่าว่าข้าได้ตำแหน่งนี้มายังไง? แลกมาด้วยหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรง”

เมื่อได้ยินเขากล่าวแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที กล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้ากินยาผิดมาใช่มั้ย? ทหารเลวคนหนึ่งจะมีรายได้ต่อปีเท่าไรกันเชียว ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะนำหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำไปแลก ไม่มีทางที่เจ้าจะไม่รู้ว่ารายได้จากร้านขายของชำเยอะขนาดไหน? ผลาญสมบัติขนาดนี้ เจ้ายังจะเลี้ยงพวกผู้หญิงในบ้านอยู่รึเปล่า? ถ้าเลี้ยงไม่ไหว เจ้าจะแต่งงานมาทำไมเยอะขนาดนั้น?”

“ข้าไม่ได้บอกนี่ว่าจะแต่งงาน เจ้าตัดสินใจเองทั้งนั้น” เหมียวอี้เถียงกลับ

อวิ๋นจือชิวไม่ยอมทันที ดวงตางามทั้งคู่ถลึงจ้อง “หนิวเอ้อร์ เจ้าพูดมาให้ชัดเจนเถอะ ตอนแต่งงานกลับมานอนด้วยคนแล้วคนเล่าทำไมไม่พูดคำนี้ล่ะ? ตอนนี้มาบ่นว่าข้าตัดสินใจเองโดยพลการเหรอ เจ้ายังมีมโนธรรมอยู่บ้างรึเปล่า!” ตามด้วยการกระทำที่เคยชิน นางถกกระโปรงขึ้น แล้วเตะที่ต้นขาเหมียวอี้หนึ่งที

ปรากฏว่าเตะแล้วตัวเองก็เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟันเอง ลืมไปว่าบนตัวเหมียวอี้สวมเกราะรบ ตอนที่เตะไม่ได้ร่ายอิทธิฤทธิ์ด้วย เตะจนตัวเองเจ็บนิ้วเท้าเสียเอง

สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้หัวเราะอย่างมีความสุข อวิ๋นจือชิวเดือดดาลแล้ว กระโจนเข้าไป ‘สู้สุดชีวิต’ ทันที

ตอนนี้วรยุทธ์ของทั้งสองไม่ต่างกันเท่าไร เหมียวอี้ลงมือเร็วกว่านาง จับมือสองข้างของนางเอาไว้ พร้อมอธิบายดีๆ ว่า “เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว ข้ากำลังวุ่นวายใจเพราะเรื่องนี้นี่แหละ เจ้าคิดว่าข้าอยากจะแลกหุ้นสองส่วนนั้นเหรอ ข้าเองก็โดนกดดันจนหมดทางเลือกเหมือนกัน ถ้าไม่ให้เขาไป ข้ากลัวว่าแม้แต่รอดชีวิตออกจากตลาดสวรรค์ก็ทำไม่ได้”

พอได้ยินว่าร้ายแรงขนาดนี้ อวิ๋นจือชิวก็ชักมือออก ถามด้วยสีหน้าเจือความกังวล “เรื่องเป็นยังไง?”

เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ นางฟังจนแค้นแยกเขี้ยวยิงฟัน “ปีศาจโลหิต นางตัวดีหวงฝู่!” จากนั้นก็กอดแขนและพูดปลอบใจเหมียวอี้ทันที “ไม่เป็นไรนะ! เงินทองหายไปเดี๋ยวก็กลับมาใหม่ได้ เป็นลูกผู้ชายจะมากลุ้มใจเรื่องเล็กๆ แบบนี้ได้ยังไง รวยก็เคยรวยมาแล้ว จนก็เคยจนมาแล้ว ขอแค่คนยังมีชีวิตอยู่ สักวันนึงจะต้องทวงของที่เสียไปกลับคืนมาได้แน่นอน คิดให้ได้สิ มากลุ้มใจเพราะเงินทองเล็กน้อยแค่นี้ไม่คุ้มหรอก ไม่เป็นอะไรนะ”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “เสียหายหนักเกินไป ปวดเนื้อนะ!”

เรือนร่างนุ่มนวลหอมกรุ่นของอวิ๋นจือชิวเข้ามาแนบชิดทันที กระซิบข้างหูเขาว่า “แต่เนื้อของข้ายังอยู่ในมือเจ้านะ! ข้าไม่กลัวปวดเนื้อหรอก เจ้ารังแกได้ตามใจชอบเลย”

คำพูดนี้ยั่วยวนเกินไปแล้ว ทำให้เหมียวอี้รุ่มร้อนท้องน้อยทันที เหลือบมองหญิงงามช่างยั่วข้างกายที่สามารถหยิบกินได้ทุกเมื่อ

ปรากฏว่าพอไปสบประสานกับสายตายั่วหยอกของอวิ๋นจือชิว เขาก็หัวเราะแห้งๆ ทันที พลิกฝ่ามือยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งในนาง “ถึงแม้จะเสียหายนักมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเลย ข้ามอบของขวัญให้เจ้า!”

ผู้หญิงสนใจคำว่าของขวัญมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว รับมาดูในมือทันที

เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน ดิน!

เมื่ออักษรหกตัวปรากฏสู่สายตา อวิ๋นจือชิวก็เบิกตากว้างทันที พลันเงยหน้าขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ “นี่…”

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วเล่าเรื่องที่ไปหาสมบัติให้ฟังรอบหนึ่ง

อวิ๋นจือชิวฟังปลาบปลื้มดีใจอย่างหาที่สุดมิได้ เขาไปกอดจูบเขาอย่างบ้าคลั่งทันที “สามีที่ดี ช่างเป็นท่านสามีที่ดีของข้าจริงๆ…”

“อย่าเพิ่งรีบเลย! ยังมีของขวัญอีกอย่างที่เจ้าต้องชอบมากแน่ๆ!” เหมียวอี้นำแผ่นหยกอีกแผ่นออกมา แล้วยัดเข้าไปในมือนาง “ดูสิ!”

ไม่ใช่ของอะไรอย่างอื่น เป็นสัญญาของร้านค้าร้านนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอวิ๋นจือชิวอ่านแล้วมีปฏิกิริยาแบบไหน เรียกได้ว่ากระโดดโลดเต้นดีใจอย่างบ้าคลั่ง ตบหน้าอกเหมียวอี้พร้อมบอกว่า “ไม่กลัว! มีบ้านที่มีข้าวกินแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้วว่าจะเลี้ยงอนุภรรยาพวกนั้นของเจ้าไม่ไหว ต่อไปเจ้าจะเลี้ยงผู้หญิงเยอะกว่านี้ก็ไม่กลัวแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าเลี้ยงเอง!”

“ใจกว้างขนาดนี้เชียวเหรอ?” เหมียวอี้ถามอย่างสงสัย “จริงหรือล้อเล่น?”

อวิ๋นจือชิวยิ้มค้างทันที ราวกับโดนน้ำเย็นสาดหน้า พบว่าตัวเองดีใจเกินไปหน่อย จึงมองค้อนทันที “ในบ้านยังกินไม่หมดเลย เจ้ายังอยากได้เพิ่มอีกเหรอ?”

เหงื่อแตก! ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนหน้าเร็วจริงๆ! เหมียวอี้ตอบเสียงต่ำว่า “อย่าได้ยินเสียงลมกลายเป็นเสียงฝน ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้ามาคนเดียวเหรอ? ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจะทำอย่างไร?” สีหน้าจริงจังมาก!

ถึงคราวที่นางจะต้องกินปูนร้อนท้องบ้างแล้ว รู้ว่าตัวเองทำแบบนี้แล้วจะทำให้เขากังวล อวิ๋นจือชิวจึงใช้ท่าไม้ตายทันที นางขี้เกียจเถียงแล้ว พูดออดอ้อนว่า “ท่านสามี นอนกอดหมอนคนเดียวมันเหงานะ คิดถึงเจ้าก็เลยมาหาเจ้า แบบนี้ก็ผิดด้วยเหรอ?”

เหมียวอี้ดึงนางเข้ามาทันที แล้วตีก้นนางจนเกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ

นางตะโกนร้องว่าเจ็บด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย จงใจเล่นหูเล่นตายั่วยวนเขา อีกคนที่โดนยั่วจึงเกิดไฟชั่วร้ายลุกในใจ สันดานสัตว์ป่าปะทุทันที…

หลังจากลมฝนสงบ ก็นำถังอาบน้ำออกมาใบหนึ่ง น้ำใสร้อนระอุอยู่ภายใต้เคล็ดวิชาอัคนีดารา ทั้งสองคลอเคลียกันอยู่ในถังไม้อาบน้ำ เรียกได้ว่าอิจฉาเพียงนกยวนยาง ไม่อิจฉาเซียน

อวิ๋นจือชิวผมยาวห้อยสยายออกนอกอ่าง กอดเหมียวอี้ที่กำลังเอนกายอยู่ในอ้อมอกของตน นางสีหน้าผ่อนคลายเต็มอิ่ม ต้นขาขาวดุจหิมะทั้งสองข้างกำลังพันเอวของเขาอยู่ “หนิวเอ้อร์ หายโกรธรึยัง? ถ้าหายโกรธแล้วก็เริ่มให้ข้าบริหารร้านค้าร้านนี้ได้แล้ว”

เหมียวอี้ใช้มือบีบขยำต้นขานาง “ข้าจนปัญญากับเจ้าจริงๆ เจ้าอยู่ที่นี่นานๆ ให้พวกเวยเวยดูแลทางนั้นจะเหมาะสมเหรอ?”

“มีอะไรไม่เหมาะสมล่ะ อย่างมากข้าก็แค่วิ่งไปวิ่งมาสองฝั่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสามของเจ้าอยู่ในมือมู่ฝานจวิน ข้าคงทิ้งไว้ไม่สนใจแล้ว ให้เวยเวยรับต่อไปให้หมดเลย” พอพูดถึงเยว่เหยา นางก็โมโหนิดหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะเยว่เหยา นางก็จะได้ครองผู้ชายคนนี้คนเดียว ไม่จำเป็นต้องให้เหมียวอี้แต่งงานมีอนุภรรยาหลายคน

เมื่อพูดถึงเยว่เหยา เหมียวอี้ก็ปวดหัวเหมือนกัน “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว! ถ้าไม่สามารถหาทางนำเคล็ดวิชาภาคคนที่สมบูรณ์มาจากมือของปู่เจ้าได้ เจ้ามีเคล็ดวิชาภาคดินไปก็ไร้ประโยชน์ เกรงว่าเรื่องนี้จะยุ่งยากนิดหน่อย ถ้าอยากให้ปู่เจ้ามอบเคล็ดวิชาภาคคนให้อย่างเต็มใจก็คงเป็นไปไม่ได้ หรือว่าจะเอาภาคดินไปแลก?”

อวิ๋นจือชิวตอบอย่างรู้สึกขำว่า “เจ้าก็รู้ดีว่าปู่ข้าเป็นคนอย่างไร ถ้าเขารู้ว่าในมือเจ้ามีเคล็ดวิชาภาคดิน เรื่องแรกที่เขาจะทำก็คือแย่งมาไว้ในมือตัวเอง แย่งไปแล้วก็อาจจะสังหารข้าก็ได้ เขาไม่ยอมให้ข้าเป็นภัยคุกคามต่อตระกูลอวิ๋นหรอก! เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าจะค่อยๆ คิด สนใจเรื่องของเจ้าก่อนเถอะ หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำนั่น หมดไปแล้วก็ปล่อยให้หมดไป ไม่ต้องคิดมาก คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อได้เข้าตำหนักสวรรค์ ก็ต้องพยายามบากบั่น ขอเพียงมีอำนาจ ของที่เสียไปแล้วก็นำกลับมาได้เสมอ หนิวเอ้อร์ การมีผู้หญิงเยอะ ถึงแม้จะได้เสวยสุข แต่ก็เป็นภาระที่จะต้องรับผิดชอบ ภรรยากับอนุภรรยาที่บ้านกำลังรอให้เจ้าดูแล ลูกผู้ชายยิ่งแพ้ก็ยิ่งต้องกล้าหาญ อย่าท้อแท้ เจ้าคือเสาหลักของบ้าน ถ้าเจ้ายืนไม่ไหว แล้วพวกเราจะทำยังไงล่ะ? เรื่องในบ้านเจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลจัดการให้ดี ไม่ให้เกิดความขัดแย้งภายใน เจ้าสนใจแต่เรื่องนอกบ้านก็พอ!”

964

คนพังงานมาแล้ว

หลังจากทั้งสองออกจากร้านค้าด้วยกัน ไม่ว่าใครก็ดูไม่ออกว่าทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน รักษามารยาทในการกระทำและคำพูดระหว่างกัน ดูแล้วเหมือนคนที่สนิทกันธรรมดา

ทั้งสองมุ่งตรงสู่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก พวกเขาไม่ได้ไปพบโค่วเหวินหลาน แต่พาอวิ๋นจือชิวมาลงทะเบียนร้านค้า ไม่ว่าจะเปิดร้านอะไรก็ต้องลงทะเบียนในเขตของตัวเอง จะได้มาเก็บภาษีได้สะดวก

ในเมื่อไม่อยากให้คนนอกรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง เดิมทีอวิ๋นจือชิวไม่อยากให้เหมียวอี้มาเป็นเพื่อน แต่หลังจากเหมียวอี้ได้รู้จักเจ้าเดรัจฉานเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้ว ก็กังวลกับพวกคนของตำหนักสวรรค์ อวิ๋นจือชิวอาจจะไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่สวยที่สุด แต่เหมียวอี้รู้ว่านางเป็นประเภทหญิงงามช่างยั่วแน่นอน นางไม่ค่อยคุ้นเคยกับพิภพใหญ่เท่าไรนัก ถ้าถูกถามอะไรแล้วตอบไม่ได้ขึ้นมา ถ้าไปโดนผู้ชายพวกนั้นทำเจ้าชู้ใส่ เขาจะไม่เสียเปรียบแย่หรอกเหรอ

อวิ๋นจือชิวมองออกว่าเขากังวลอะไร ทำให้นางแอบรู้สึกขำในใจ แต่ก็รู้สึกภูมิใจมาก ในใจรู้สึกหวานชื่น รู้ว่าเขาใส่ใจนาง นางชอบอะไรแบบนี้มาก

ในตำหนักพ่อบ้านที่จัดการธุระพวกนี้ ถึงแม้ทุกคนจะไม่คุ้นหน้าเหมียวอี้ แต่ก็รู้ว่าเป็นเพื่อนร่วมงานที่มาใหม่ เพราะเห็นระดับเกราะทองสามแถบของเหมียวอี้

สิ่งที่เรียกว่า ‘เกราะทองสามแถบ’ ก็หมายถึงแถบโลหะที่อยู่ทางซ้ายและขวาบนคอปกเกราะทองที่ตัวเหมียวอี้ นี่คือสัญลักษณ์ยศในกองทัพของทหารตำหนักสวรรค์ ยศเพิ่มขึ้นตามลำดับแถบ ถ้ามีแถบมากขึ้นอีกแถบ ก็เป็นสัญลักษณ์ว่ายศสูงขึ้นอีกขั้น ที่เหมียวอี้ใส่อยู่บนตัวก็คือเกราะทองสามแถบ เป็นสัญลักษณ์ของทหารเลวระดับสาม

ผู้ที่สวมเกราะเงินคือทหารสวรรค์ ผู้ที่สวมเกราะทองก็คือทหารเลวในกองทัพสวรรค์ ผู้ที่สวมเกราะม่วงคือแม่ทัพ ผู้ที่สวมเกราะแดงคือแม่ทัพใหญ่ ความสูงต่ำของแต่ละขั้นล้วนแยกโดยใช้ความแตกต่างของแถบบนคอปกเกราะรบ โดยในแต่ละขั้นนั้น หกแถบคือขั้นสูงสุด

ผู้บัญชาการอย่างโค่วเหวินหลานก็เป็นแค่เกราะทองห้าแถบ ผู้บัญชาการใหญ่ที่คุ้มสี่เขตเมืองคือหกแถบ ระดับของปี้เหยว่ฮูหยินที่คุมดาวเทียนหยวนก็คือแม่ทัพเกราะม่วงสามแถบ

สวนบูรพาผู้ใต้บังคับบัญชาของเขตเมืองตะวันออก นอกจากโค่วเหวินหลานที่มีเกราะทองห้าแถบ ก็มีแค่รองผู้บัญชาการฝั่งซ้ายฝั่งขวาสองคนที่มีเกราะทองสี่แถบ มีลูกน้องเป็นทหารเกราะทองสามแถบอีกหกคน บวกเหมียวอี้เข้าไปด้วยอีกคน ก็รวมเป็นเจ็ดคน และแน่นอน คนอื่นล้วนมีหน้าที่ มีเพียงเหมียวอี้คนเดียวที่ยังว่าง

ในเมื่อมียศอยู่แล้ว เมื่อเข้าตำหนักพ่อบ้านของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกก็ย่อมไม่มีใครขวาง

ผู้ที่คุมตำหนักนี้และรับผิดชอบธุระเบ็ดเตล็ดทั่วไปของตลาดสวรรค์เขตเมืองตะวันออก ชื่อว่าสวีถังหราน เป็นหนึ่งในทหารเลวเกราะทองสามแถบเจ็ดคนในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก โดยทั่วไปการลงทะเบียนร้านค้าไม่ต้องให้สวีถังหรานทำเอง ย่อมมีพวกลูกน้องไปจัดการอยู่แล้ว แต่มีหนึ่งในลูกน้องที่อ่านสถานการณ์ออก มารายงานก่อนล่วงหน้าแล้ว สวีถังหรานจึงออกมาจากโถงข้างหลังทันที ไม่ใช่ว่าไว้หน้าเหมียวอี้ แต่ทุกคนต่างก็ได้ยินมาว่าเหมียวอี้คือคนที่โค่วเหวินหลานรับเข้ามาเอง ดีไม่ดีอาจจะมีความสัมพันธ์อะไรกับโค่วเหวินหลานก็ได้ คงไม่ดีหากจะไปล่วงเกิน

เมื่อมีเหมียวอี้ออกหน้าพูดให้ พนักงานที่จัดการเรื่องนี้ก็ถามอวิ๋นจือชิวแค่สองสามคำอย่างไม่ใส่ใจ ถามว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เตรียมจะเปิดร้านขายอะไร จากนั้นก็อนุมัติให้อย่างสบายอกสบายใจ แล้วสั่งให้คนนำไปให้สวีถังหรานลงนาม

ทางนี้ยังไม่ทันนำของออกมา สวีถังหรานก็เดินก้าวยาวเข้ามาแล้ว พวกลูกน้องลุกขึ้นต้อนรับอย่างเคารพ เหมียวอี้ได้ยินแล้วกุมหมัดคารวะทันที “ได้ยินชื่อเสียงของพ่อบ้านสวีมานานแล้ว หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งมาเป็นครั้งแรก ฝากเนื้อฝากตัวกับพี่สวีด้วย”

สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ แล้วกุมหมัดคารวะตอบ “พี่หนิวไม่มีน้ำใจเสียบ้างเลย! พี่น้องคนนี้กำลังรอให้เจ้ามาเลี้ยงอาหารอยู่นะ แต่เจ้ากลับไม่มีความเคลื่อนไหวเลย!”

“แน่นอนๆ เดี๋ยวข้าเลี้ยงแน่!” เหมียวอี้รับประกันอย่างเต็มปากเต็มคำ

“พี่หนิวมาที่นี่มีธุระอะไรล่ะ?” พอสวีถังหรานเอ่ยปาก ก็มีลูกน้องนำเรื่องมารายงานทันที

หลังจากรู้ว่าเหมียวอี้มาเป็นเพื่อนคนที่มาลงทะเบียนร้านค้า สายตาสวีถังหรานก็มองไปที่อวิ๋นจือชิวที่กำลังกุมหมัดคารวะอยู่ข้างๆ เขาตาเป็นประกายทันที เหลือบมองหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว แล้วถามเหมียวอี้พร้อมรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าท่านนี้เป็นอะไรกับพี่หนิว?”

“สหาย!” เหมียวอี้ตอบ

หลังจากอ่านดูแผ่นหยกในมือแล้ว สวีถังหรานก็ไม่ถามอะไรเพิ่ม ลงตราประทับให้โดยตรง แล้วส่งให้อวิ๋นจือชิว เหมือนมีเจตนาอยากจะคุยกับนาง

เหมียวอี้จึงบอกให้อวิ๋นจือชิวออกไปรอข้างนอก

ปรากฏว่าพออวิ๋นจือชิวหันตัวไป สวีถังหรานก็ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ทันที “ผู้หญิงคนนี้รูปร่างมีสวนบูรพาเว้าสวนบูรพาโค้ง หุ่นดีจริงๆ มีลักษณะเฉพาะตัวเหนือคนอื่น ในความสง่างามแฝงความเย้ายวน มีเสน่ห์จากภายใน มองปราดเดียวก็รู้ว่าหาพบได้ยากในหมู่ผู้หญิง พี่หนิว หากสะดวกล่ะก็ รบกวนเป็นคนกลางติดต่อให้ขาหน่อยสิ”

เป็นคนกลางติดต่อให้แม่เจ้าสิ! เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที “พี่สวีกำลังตบหน้าข้าเหรอ? ข้าจีบนางมาตลอดนะ!”

“อ้อ… ขออภัย ขออภัย!” สวีถังหรานกุมหมัดคารวะอย่างอับอายทันที

เหมียวอี้คิดในใจว่า โชคดีนะที่ข้ามาด้วย ไม่อย่างนั้นใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เขาย่อมรู้ดีว่าอวิ๋นจือชิวมีความงามเป็นอย่างไร สาเหตุที่เขาชอบนาง ย่อมเกี่ยวกับความงามของนางแน่นอน ถ้าเป็นผู้หญิงอัปลักษณ์ขี้เหร่ เหมียวอี้คงไม่เสี่ยงชีวิตเพื่อแต่งงานกับนางหรอก นางย่อมมีจุดที่ดึงดูดเขาอยู่แล้ว ในเมื่อสามารถดึงดูดเขาได้ ก็ย่อมดึงดูดชายอื่นได้เหมือนกัน

ถ้ามองในมุมที่เห็นแก่ตัวของผู้ชาย เหมียวอี้เองก็ไม่อยากอวิ๋นจือชิวโผล่หน้าออกมา ตอนอยู่ที่พิภพเล็ก อาศัยภูมิหลังของนางจึงไม่มีใครกล้าแตะต้อง แต่เมื่ออยู่ที่พิภพใหญ่ ทุกอย่างก็ต่างออกไปแล้ว ถ้าอยากจะเลี้ยงอวิ๋นจือชิวให้เป็นนกคีรีบูนในกรงก็คงทำไม่ได้แน่นอน เรื่องนี้ทำให้เขาปวดหัวมาก

หลังจากทั้งสองคุยกันพักหนึ่ง ก็นัดหมายเวลาให้เหมียวอี้เลี้ยงอาหาร สวีถังหรานรับหน้าที่รวบรวมคน แล้วก็กล่าวอำลากัน

พอออกประตูมาเจออวิ๋นจือชิว ทั้งสองก็กลับไปยังร้านค้าที่ระเกะระกะด้วยกัน อวิ๋นจือชิวรีบกลับพิภพเล็ก จึงยื่นแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งให้เหมียวอี้

ที่นางมาครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อมาเยี่ยมเหมียวอี้อย่างเดียว แต่มาเพื่อส่งของให้ด้วย ผลึกแดงบริสุทธิ์ที่ตั๊กแตนผลิตชุดแรกออกมาแล้ว เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้ไม่กลับไปเอาสักที นางก็กังวลเรื่องความปลอดภัยของเหมียวอี้ ถึงได้นำมาส่งให้ด้วยตัวเอง จะได้ให้เหมียวอี้ทำของวิเศษดีๆ ไว้ป้องกันตัว

อวิ๋นจือชิวที่เพิ่งมาถึงไม่ได้อยู่ต่อเลยสักวัน บททจะไปก็ไปเลย รีบไปดึงคนมาช่วยเปิดร้านค้า เหมียวอี้รั้งอย่างไรก็รั้งไม่อยู่ และไม่สะดวกจะไปส่งด้วย

ในคืนนั้น เหมียวอี้เป็นเจ้าภาพใน ‘สวนบูรพา’ เลี้ยงอาหารพวกเพื่อนร่วมงาน ทั้งยังเชิญหอกลิ่นสวรรค์มาร้องเล่นเต้นระบำด้วย

ไม่ต้องจ่ายค่าการแสดง ท่านแม่สวียอมใจกว้างให้ครั้งหนึ่ง เสวี่ยหลิงหลงก็ขึ้นเวทีโดยไม่คิดเงินเช่นกัน นับว่าแสดงน้ำใจที่เหมียวอี้ได้เลื่อนตำแหน่ง มาเป็นหน้าเป็นตาให้เหมียวอี้

ในศาลาหลังใหญ่กลางน้ำ ประดับโคมไฟแวววาว มีการร้องระบำอย่างอ่อนช้อยงดงาม

ทหารเลวเจ็ดคนในเขตเมืองตะวันออก เมื่อรวมเหมียวอี้ไปด้วยก็ครบแล้ว นอกจากเหมียวอี้ที่ไม่มีลูกน้อง คนอื่นๆ พาลูกน้องมาด้วยสิบกว่าคน คนเกือบร้อยคนทำให้งานเลี้ยงสนุกสนานครึกครื้น

การร้องระบำกำลังครึกครื้น สุรากำลังออกฤทธิ์ จนกระทั่งเสวี่ยหลิงหลงขึ้นเวที ก็ทำให้ทั้งงานโห่ร้องดีใจทันที

สวีถังหรานก็ยิ่งตบบ่าเหมียวอี้อย่างแรง เหมือนกำลังบอกว่าเหมียวอี้ช่างมีน้ำใจไมตรี แม้แต่เสวี่ยหลิงหลงก็เชิญมาได้

“วายุบุปผา หิมะจันทรา ราตรีมอมเมา…”

เมื่อเสียงบรรเลงดนตรีดังตามมา ทั้งงานก็เงียบทันที

เหมียวอี้ที่ถือจอกสุราจ่อตรงปากชะงักทันที ดวงตาฉายแววตกตะลึง ขณะมองดูเสวี่ยหลิงหลงที่กำลังร้องระบำอย่างนุ่มนวลอ่อนหวาน เขาก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

เขาเคยพบเจอเสวี่ยหลิงหลงแบบใกล้ๆ ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง แต่คืนนี้เพิ่งเห็นเสวี่ยหลิงหลงร้องเพลงเป็นครั้งแรก พอนางสะบัดแขนเสื้อพลิ้วดุจริ้วเมฆร่ายรำ ก็ทำให้คนตื่นตะลึงทันที โดยเฉพาะดอกไม้ที่โปรยลงพื้นตามการร่ายรำของนาง ช่างเป็นการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบ ราวกับนางเป็นเทพธิดาแห่งมวลหมู่ดอกไม้ ทำให้คนในงานที่กำลังตั้งใจชมราวกับเคลิบเคลิ้มเมามาย

เหมียวอี้นับว่าเป็นผู้มีอำนาจในพิภพเล็กเช่นกัน ใช่ว่าจะไม่เคยชมการร้องเล่นเต้นระบำดีๆ แต่เมื่อเทียบกับเสวี่ยหลิงหลงแล้ว พวกนั้นนับว่าเป็นคนละชั้นจริงๆ

เสวี่ยหลิงหลงสวยมากจริงๆ เมื่อก่อนเหมียวอี้กลับรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้สวยแบบไร้เดียงสา ให้ความรู้สึกเหมือนซื่อบื้อ แต่วันนี้เพิ่งจะได้เห็นฉากที่เสวี่ยหลิงหลงมีราศีเปล่งประกายอย่างแท้จริง สมกับเป็นดาวเด่นของหอกลิ่นสวรรค์ พอสวี่ยหลิงหลงออกมาร้อยบุปผาก็ร่วงโรย ไม่มีใครบนเวทีกล้าแข่งกับนาง

สวีถังหรานเหมือนจะชอบวิจารณ์ผู้หญิงเป็นพิเศษ ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้แล้วว่า “เจ้าดูเอวเล็กๆ นั่นสิ แล้วก็แขนขาทั้งสี่ อ่อนช้อยเหมือนไร้กระดูกจริงๆ! ตอนเข้าห้องหอคงจะรสชาติดีมิรู้ลืม ถ้าได้มาร่วมห้องสักคืน ต่อให้ตายก็คุ้มค่า แต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนี้มีผู้บัญชาการโค่ว เซี่ยโห้วหลงเฉิง และหวงฝู่จวินโหรวคุ้มครองอยู่ เป็นดอกไม้งามที่ไม่มีใครกล้าเด็ด ไม่อย่างนั้นคงโดนคนอื่นเก็บไว้เป็นเนื้อต้องห้ามของตัวเองตั้งนานแล้ว…”

ตรงนี้ยังไม่ทันพูดจบ ไม่รู้ว่าใครทำเสียเรื่อง ฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนกำลังเคลิบเคลิ้มมัวเมา ทุ่มหินก้อนใหญ่ลงมาจากฟ้าก้อนหนึ่ง แขกทุกคนในงานตกใจ แต่กว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว มีเสียงดังโครมคราม กระเบื้องหลังคาพังตกลงมา

แต่ทุกคนในงานก็ไม่ใช่ไก่อ่อน แทบจะร่ายอิทธิฤทธิ์ดันไว้พร้อมกัน ทำให้หินก้อนใหญ่กับกระเบื้องหลังคาและคานที่ทุ่มลงมาให้กระเด็นออกไป สุราอาหารที่อยู่ตรงหน้าคนในงานกลับไม่เปื้อนฝุ่นเลยด้วยซ้ำ

โครม! ตูม! เสียงของพังตกลงกระทบผิวน้ำ

“ใครกัน!” ทุกคนยืนขึ้นตะโกน ใจกล้าเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้ามากำเริบเสิบสานกับเขาที่เขตเมืองตะวันออก สงสัยเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่

เสวี่ยหลิงหลงที่อยู่บนเวทีเหมือนจะถูกทำให้ตกใจเช่นกัน การร้องระบำหยุดลงแล้ว เสียงดนตรีบรรเลงก็หยุดแล้วเช่นกัน

เหมียวอี้ยืนขึ้นและหันไปมอง เขาเบิกตากว้างทันที รู้อยู่แล้วว่าถ้าข่าวแพร่ออกไปจะมีคนบางคนมาหาเรื่อง นึกไม่ถึงว่าจะมาในเวลาแบบนี้

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เซี่ยโห้วหลงเฉิงมาแล้ว เดินวางก้ามมาจากบนสะพาน ทำหน้าแสยะยิ้ม เรียกได้ว่ากำเริบเสิบสาน ข้างหลังมีคนติดตามสี่คน

ไม่ต้องบอกเลย คนที่กล้าก่อเรื่องแบบนี้ นอกจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่มีใครแล้ว

คนในงานเงียบทันที คนที่พอจะได้ยินข่าวมาบ้างต่างก็รู้ว่ามีเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีคนหนุนหลัง ทุกคนไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว มีแค่ผู้บัญชาการโค่วเหวินหลานที่กล้ามีเรื่องด้วย

คนกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวอะไร ทหารเล็กๆ ที่นั่งอยู่ข้างหลังย่อมไม่กล้าหาเรื่องใส่ตัวอยู่แล้ว พากันหลีกทางให้

“เอ๋!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เดินเข้ามาในศาลากลางน้ำ พอเงยหน้ามองหลังคาก็หัวเราะทันที “ข้าก็นึกว่าพวกเจ้ามีเรื่องอะไร? ถึงแม้จะเป็นอาณาเขตของเจ้าตุ้งติ้ง พอพวกเจ้าดูการร่ายรำแล้วไม่บันเทิงใจ แต่ก็ไม่ควรทำลายหลังคาของคนอื่นสิ ช่างพาลเกเรเสียจริง แบบนี้ไม่ค่อยเข้าท่าแล้วมั้ง!”

สวีถังหรานจึงกล่าวว่า “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว ท่านรู้อยู่แก่ใจแล้วทำไมต้องถาม ท่านเป็นคนพังหลังคาชัดๆ”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงเหล่ตามอง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “สุราสามารถดื่มซี้ซั้วได้ แต่คำพูดไม่อาจพูดซี้ซั้วได้ เจ้าเห็นกับตาเหรอว่าข้าทำพัง? ขอเพียงเจ้าหาพยานได้ ข้าก็จะกินศาลาพังๆ นี้ให้ดูทันที!”

“…” สวีถังหรานพูดไม่ออก เพราะไม่มีใครเห็นจริงๆ เมื่อครู่นี้ทุกคนกำลังเคลิบเคลิ้มเหม่อลอยกับบทเพลง ใครจะมีอารมณ์ไปสนใจ บางทีคนอื่นในสวนบูรพาอาจจะเห็น แต่ใครจะกล้ายืนขึ้นเป็นพยานให้ล่ะ? ตอนหลังต้องโดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเล่นงานถึงตายแน่

อีกฝั่งหนึ่งมีเสียงของปู้เหลียนจงดังขึ้น  “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว นี่ท่านกำลังจงใจมาป่วน”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงหัวเราะหึหึ แล้วบอกว่า “ข้าได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใหญ่ของที่นี่ เลยตั้งใจมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรไปล่ะ? หรือว่าข้ามาเดินเล่นที่นี่เฉยๆ ไม่ได้? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ครั้งหน้าถ้าคนของเขตเมืองตะวันออกถ่อไปที่เขตเมืองตะวันตกของข้า ข้าก็หักขาพวกเจ้าได้เลยใช่มั้ย?”

“เด็กๆ มาจับเจ้าสองคนที่มันใส่ร้ายผู้บัญชาการคนนี้ไปสั่งสอนหน่อยซิ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือสั่ง

สี่คนที่อยู่ข้างหลังพุ่งเข้ามาใส่สวีถังหรานกับปู้เหลียนจงทันที

พอตรงนี้เคลื่อนไหว พวกทหารเลวของเขตเมืองตะวันออกก็กรูกันเข้ามาทันที มาขวางสี่คนนั้นไว้พร้อมเตือนว่า “ใครบังอาจมากำเริบเสิบสาน!”


965

ช่วงเข้าด้ายเข้าแข็ม

หลังจากทั้งสองออกจากร้านค้าด้วยกัน ไม่ว่าใครก็ดูไม่ออกว่าทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน รักษามารยาทในการกระทำและคำพูดระหว่างกัน ดูแล้วเหมือนคนที่สนิทกันธรรมดา

ทั้งสองมุ่งตรงสู่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก พวกเขาไม่ได้ไปพบโค่วเหวินหลาน แต่พาอวิ๋นจือชิวมาลงทะเบียนร้านค้า ไม่ว่าจะเปิดร้านอะไรก็ต้องลงทะเบียนในเขตของตัวเอง จะได้มาเก็บภาษีได้สะดวก

ในเมื่อไม่อยากให้คนนอกรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง เดิมทีอวิ๋นจือชิวไม่อยากให้เหมียวอี้มาเป็นเพื่อน แต่หลังจากเหมียวอี้ได้รู้จักเจ้าเดรัจฉานเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้ว ก็กังวลกับพวกคนของตำหนักสวรรค์ อวิ๋นจือชิวอาจจะไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่สวยที่สุด แต่เหมียวอี้รู้ว่านางเป็นประเภทหญิงงามช่างยั่วแน่นอน นางไม่ค่อยคุ้นเคยกับพิภพใหญ่เท่าไรนัก ถ้าถูกถามอะไรแล้วตอบไม่ได้ขึ้นมา ถ้าไปโดนผู้ชายพวกนั้นทำเจ้าชู้ใส่ เขาจะไม่เสียเปรียบแย่หรอกเหรอ

อวิ๋นจือชิวมองออกว่าเขากังวลอะไร ทำให้นางแอบรู้สึกขำในใจ แต่ก็รู้สึกภูมิใจมาก ในใจรู้สึกหวานชื่น รู้ว่าเขาใส่ใจนาง นางชอบอะไรแบบนี้มาก

ในตำหนักพ่อบ้านที่จัดการธุระพวกนี้ ถึงแม้ทุกคนจะไม่คุ้นหน้าเหมียวอี้ แต่ก็รู้ว่าเป็นเพื่อนร่วมงานที่มาใหม่ เพราะเห็นระดับเกราะทองสามแถบของเหมียวอี้

สิ่งที่เรียกว่า ‘เกราะทองสามแถบ’ ก็หมายถึงแถบโลหะที่อยู่ทางซ้ายและขวาบนคอปกเกราะทองที่ตัวเหมียวอี้ นี่คือสัญลักษณ์ยศในกองทัพของทหารตำหนักสวรรค์ ยศเพิ่มขึ้นตามลำดับแถบ ถ้ามีแถบมากขึ้นอีกแถบ ก็เป็นสัญลักษณ์ว่ายศสูงขึ้นอีกขั้น ที่เหมียวอี้ใส่อยู่บนตัวก็คือเกราะทองสามแถบ เป็นสัญลักษณ์ของทหารเลวระดับสาม

ผู้ที่สวมเกราะเงินคือทหารสวรรค์ ผู้ที่สวมเกราะทองก็คือทหารเลวในกองทัพสวรรค์ ผู้ที่สวมเกราะม่วงคือแม่ทัพ ผู้ที่สวมเกราะแดงคือแม่ทัพใหญ่ ความสูงต่ำของแต่ละขั้นล้วนแยกโดยใช้ความแตกต่างของแถบบนคอปกเกราะรบ โดยในแต่ละขั้นนั้น หกแถบคือขั้นสูงสุด

ผู้บัญชาการอย่างโค่วเหวินหลานก็เป็นแค่เกราะทองห้าแถบ ผู้บัญชาการใหญ่ที่คุ้มสี่เขตเมืองคือหกแถบ ระดับของปี้เหยว่ฮูหยินที่คุมดาวเทียนหยวนก็คือแม่ทัพเกราะม่วงสามแถบ

สวนบูรพาผู้ใต้บังคับบัญชาของเขตเมืองตะวันออก นอกจากโค่วเหวินหลานที่มีเกราะทองห้าแถบ ก็มีแค่รองผู้บัญชาการฝั่งซ้ายฝั่งขวาสองคนที่มีเกราะทองสี่แถบ มีลูกน้องเป็นทหารเกราะทองสามแถบอีกหกคน บวกเหมียวอี้เข้าไปด้วยอีกคน ก็รวมเป็นเจ็ดคน และแน่นอน คนอื่นล้วนมีหน้าที่ มีเพียงเหมียวอี้คนเดียวที่ยังว่าง

ในเมื่อมียศอยู่แล้ว เมื่อเข้าตำหนักพ่อบ้านของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกก็ย่อมไม่มีใครขวาง

ผู้ที่คุมตำหนักนี้และรับผิดชอบธุระเบ็ดเตล็ดทั่วไปของตลาดสวรรค์เขตเมืองตะวันออก ชื่อว่าสวีถังหราน เป็นหนึ่งในทหารเลวเกราะทองสามแถบเจ็ดคนในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก โดยทั่วไปการลงทะเบียนร้านค้าไม่ต้องให้สวีถังหรานทำเอง ย่อมมีพวกลูกน้องไปจัดการอยู่แล้ว แต่มีหนึ่งในลูกน้องที่อ่านสถานการณ์ออก มารายงานก่อนล่วงหน้าแล้ว สวีถังหรานจึงออกมาจากโถงข้างหลังทันที ไม่ใช่ว่าไว้หน้าเหมียวอี้ แต่ทุกคนต่างก็ได้ยินมาว่าเหมียวอี้คือคนที่โค่วเหวินหลานรับเข้ามาเอง ดีไม่ดีอาจจะมีความสัมพันธ์อะไรกับโค่วเหวินหลานก็ได้ คงไม่ดีหากจะไปล่วงเกิน

เมื่อมีเหมียวอี้ออกหน้าพูดให้ พนักงานที่จัดการเรื่องนี้ก็ถามอวิ๋นจือชิวแค่สองสามคำอย่างไม่ใส่ใจ ถามว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เตรียมจะเปิดร้านขายอะไร จากนั้นก็อนุมัติให้อย่างสบายอกสบายใจ แล้วสั่งให้คนนำไปให้สวีถังหรานลงนาม

ทางนี้ยังไม่ทันนำของออกมา สวีถังหรานก็เดินก้าวยาวเข้ามาแล้ว พวกลูกน้องลุกขึ้นต้อนรับอย่างเคารพ เหมียวอี้ได้ยินแล้วกุมหมัดคารวะทันที “ได้ยินชื่อเสียงของพ่อบ้านสวีมานานแล้ว หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งมาเป็นครั้งแรก ฝากเนื้อฝากตัวกับพี่สวีด้วย”

สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ แล้วกุมหมัดคารวะตอบ “พี่หนิวไม่มีน้ำใจเสียบ้างเลย! พี่น้องคนนี้กำลังรอให้เจ้ามาเลี้ยงอาหารอยู่นะ แต่เจ้ากลับไม่มีความเคลื่อนไหวเลย!”

“แน่นอนๆ เดี๋ยวข้าเลี้ยงแน่!” เหมียวอี้รับประกันอย่างเต็มปากเต็มคำ

“พี่หนิวมาที่นี่มีธุระอะไรล่ะ?” พอสวีถังหรานเอ่ยปาก ก็มีลูกน้องนำเรื่องมารายงานทันที

หลังจากรู้ว่าเหมียวอี้มาเป็นเพื่อนคนที่มาลงทะเบียนร้านค้า สายตาสวีถังหรานก็มองไปที่อวิ๋นจือชิวที่กำลังกุมหมัดคารวะอยู่ข้างๆ เขาตาเป็นประกายทันที เหลือบมองหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว แล้วถามเหมียวอี้พร้อมรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าท่านนี้เป็นอะไรกับพี่หนิว?”

“สหาย!” เหมียวอี้ตอบ

หลังจากอ่านดูแผ่นหยกในมือแล้ว สวีถังหรานก็ไม่ถามอะไรเพิ่ม ลงตราประทับให้โดยตรง แล้วส่งให้อวิ๋นจือชิว เหมือนมีเจตนาอยากจะคุยกับนาง

เหมียวอี้จึงบอกให้อวิ๋นจือชิวออกไปรอข้างนอก

ปรากฏว่าพออวิ๋นจือชิวหันตัวไป สวีถังหรานก็ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ทันที “ผู้หญิงคนนี้รูปร่างมีสวนบูรพาเว้าสวนบูรพาโค้ง หุ่นดีจริงๆ มีลักษณะเฉพาะตัวเหนือคนอื่น ในความสง่างามแฝงความเย้ายวน มีเสน่ห์จากภายใน มองปราดเดียวก็รู้ว่าหาพบได้ยากในหมู่ผู้หญิง พี่หนิว หากสะดวกล่ะก็ รบกวนเป็นคนกลางติดต่อให้ขาหน่อยสิ”

เป็นคนกลางติดต่อให้แม่เจ้าสิ! เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที “พี่สวีกำลังตบหน้าข้าเหรอ? ข้าจีบนางมาตลอดนะ!”

“อ้อ… ขออภัย ขออภัย!” สวีถังหรานกุมหมัดคารวะอย่างอับอายทันที

เหมียวอี้คิดในใจว่า โชคดีนะที่ข้ามาด้วย ไม่อย่างนั้นใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เขาย่อมรู้ดีว่าอวิ๋นจือชิวมีความงามเป็นอย่างไร สาเหตุที่เขาชอบนาง ย่อมเกี่ยวกับความงามของนางแน่นอน ถ้าเป็นผู้หญิงอัปลักษณ์ขี้เหร่ เหมียวอี้คงไม่เสี่ยงชีวิตเพื่อแต่งงานกับนางหรอก นางย่อมมีจุดที่ดึงดูดเขาอยู่แล้ว ในเมื่อสามารถดึงดูดเขาได้ ก็ย่อมดึงดูดชายอื่นได้เหมือนกัน

ถ้ามองในมุมที่เห็นแก่ตัวของผู้ชาย เหมียวอี้เองก็ไม่อยากอวิ๋นจือชิวโผล่หน้าออกมา ตอนอยู่ที่พิภพเล็ก อาศัยภูมิหลังของนางจึงไม่มีใครกล้าแตะต้อง แต่เมื่ออยู่ที่พิภพใหญ่ ทุกอย่างก็ต่างออกไปแล้ว ถ้าอยากจะเลี้ยงอวิ๋นจือชิวให้เป็นนกคีรีบูนในกรงก็คงทำไม่ได้แน่นอน เรื่องนี้ทำให้เขาปวดหัวมาก

หลังจากทั้งสองคุยกันพักหนึ่ง ก็นัดหมายเวลาให้เหมียวอี้เลี้ยงอาหาร สวีถังหรานรับหน้าที่รวบรวมคน แล้วก็กล่าวอำลากัน

พอออกประตูมาเจออวิ๋นจือชิว ทั้งสองก็กลับไปยังร้านค้าที่ระเกะระกะด้วยกัน อวิ๋นจือชิวรีบกลับพิภพเล็ก จึงยื่นแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งให้เหมียวอี้

ที่นางมาครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อมาเยี่ยมเหมียวอี้อย่างเดียว แต่มาเพื่อส่งของให้ด้วย ผลึกแดงบริสุทธิ์ที่ตั๊กแตนผลิตชุดแรกออกมาแล้ว เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้ไม่กลับไปเอาสักที นางก็กังวลเรื่องความปลอดภัยของเหมียวอี้ ถึงได้นำมาส่งให้ด้วยตัวเอง จะได้ให้เหมียวอี้ทำของวิเศษดีๆ ไว้ป้องกันตัว

อวิ๋นจือชิวที่เพิ่งมาถึงไม่ได้อยู่ต่อเลยสักวัน บททจะไปก็ไปเลย รีบไปดึงคนมาช่วยเปิดร้านค้า เหมียวอี้รั้งอย่างไรก็รั้งไม่อยู่ และไม่สะดวกจะไปส่งด้วย

ในคืนนั้น เหมียวอี้เป็นเจ้าภาพใน ‘สวนบูรพา’ เลี้ยงอาหารพวกเพื่อนร่วมงาน ทั้งยังเชิญหอกลิ่นสวรรค์มาร้องเล่นเต้นระบำด้วย

ไม่ต้องจ่ายค่าการแสดง ท่านแม่สวียอมใจกว้างให้ครั้งหนึ่ง เสวี่ยหลิงหลงก็ขึ้นเวทีโดยไม่คิดเงินเช่นกัน นับว่าแสดงน้ำใจที่เหมียวอี้ได้เลื่อนตำแหน่ง มาเป็นหน้าเป็นตาให้เหมียวอี้

ในศาลาหลังใหญ่กลางน้ำ ประดับโคมไฟแวววาว มีการร้องระบำอย่างอ่อนช้อยงดงาม

ทหารเลวเจ็ดคนในเขตเมืองตะวันออก เมื่อรวมเหมียวอี้ไปด้วยก็ครบแล้ว นอกจากเหมียวอี้ที่ไม่มีลูกน้อง คนอื่นๆ พาลูกน้องมาด้วยสิบกว่าคน คนเกือบร้อยคนทำให้งานเลี้ยงสนุกสนานครึกครื้น

การร้องระบำกำลังครึกครื้น สุรากำลังออกฤทธิ์ จนกระทั่งเสวี่ยหลิงหลงขึ้นเวที ก็ทำให้ทั้งงานโห่ร้องดีใจทันที

สวีถังหรานก็ยิ่งตบบ่าเหมียวอี้อย่างแรง เหมือนกำลังบอกว่าเหมียวอี้ช่างมีน้ำใจไมตรี แม้แต่เสวี่ยหลิงหลงก็เชิญมาได้

“วายุบุปผา หิมะจันทรา ราตรีมอมเมา…”

เมื่อเสียงบรรเลงดนตรีดังตามมา ทั้งงานก็เงียบทันที

เหมียวอี้ที่ถือจอกสุราจ่อตรงปากชะงักทันที ดวงตาฉายแววตกตะลึง ขณะมองดูเสวี่ยหลิงหลงที่กำลังร้องระบำอย่างนุ่มนวลอ่อนหวาน เขาก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

เขาเคยพบเจอเสวี่ยหลิงหลงแบบใกล้ๆ ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง แต่คืนนี้เพิ่งเห็นเสวี่ยหลิงหลงร้องเพลงเป็นครั้งแรก พอนางสะบัดแขนเสื้อพลิ้วดุจริ้วเมฆร่ายรำ ก็ทำให้คนตื่นตะลึงทันที โดยเฉพาะดอกไม้ที่โปรยลงพื้นตามการร่ายรำของนาง ช่างเป็นการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบ ราวกับนางเป็นเทพธิดาแห่งมวลหมู่ดอกไม้ ทำให้คนในงานที่กำลังตั้งใจชมราวกับเคลิบเคลิ้มเมามาย

เหมียวอี้นับว่าเป็นผู้มีอำนาจในพิภพเล็กเช่นกัน ใช่ว่าจะไม่เคยชมการร้องเล่นเต้นระบำดีๆ แต่เมื่อเทียบกับเสวี่ยหลิงหลงแล้ว พวกนั้นนับว่าเป็นคนละชั้นจริงๆ

เสวี่ยหลิงหลงสวยมากจริงๆ เมื่อก่อนเหมียวอี้กลับรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้สวยแบบไร้เดียงสา ให้ความรู้สึกเหมือนซื่อบื้อ แต่วันนี้เพิ่งจะได้เห็นฉากที่เสวี่ยหลิงหลงมีราศีเปล่งประกายอย่างแท้จริง สมกับเป็นดาวเด่นของหอกลิ่นสวรรค์ พอสวี่ยหลิงหลงออกมาร้อยบุปผาก็ร่วงโรย ไม่มีใครบนเวทีกล้าแข่งกับนาง

สวีถังหรานเหมือนจะชอบวิจารณ์ผู้หญิงเป็นพิเศษ ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้แล้วว่า “เจ้าดูเอวเล็กๆ นั่นสิ แล้วก็แขนขาทั้งสี่ อ่อนช้อยเหมือนไร้กระดูกจริงๆ! ตอนเข้าห้องหอคงจะรสชาติดีมิรู้ลืม ถ้าได้มาร่วมห้องสักคืน ต่อให้ตายก็คุ้มค่า แต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนี้มีผู้บัญชาการโค่ว เซี่ยโห้วหลงเฉิง และหวงฝู่จวินโหรวคุ้มครองอยู่ เป็นดอกไม้งามที่ไม่มีใครกล้าเด็ด ไม่อย่างนั้นคงโดนคนอื่นเก็บไว้เป็นเนื้อต้องห้ามของตัวเองตั้งนานแล้ว…”

ตรงนี้ยังไม่ทันพูดจบ ไม่รู้ว่าใครทำเสียเรื่อง ฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนกำลังเคลิบเคลิ้มมัวเมา ทุ่มหินก้อนใหญ่ลงมาจากฟ้าก้อนหนึ่ง แขกทุกคนในงานตกใจ แต่กว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว มีเสียงดังโครมคราม กระเบื้องหลังคาพังตกลงมา

แต่ทุกคนในงานก็ไม่ใช่ไก่อ่อน แทบจะร่ายอิทธิฤทธิ์ดันไว้พร้อมกัน ทำให้หินก้อนใหญ่กับกระเบื้องหลังคาและคานที่ทุ่มลงมาให้กระเด็นออกไป สุราอาหารที่อยู่ตรงหน้าคนในงานกลับไม่เปื้อนฝุ่นเลยด้วยซ้ำ

โครม! ตูม! เสียงของพังตกลงกระทบผิวน้ำ

“ใครกัน!” ทุกคนยืนขึ้นตะโกน ใจกล้าเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้ามากำเริบเสิบสานกับเขาที่เขตเมืองตะวันออก สงสัยเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่

เสวี่ยหลิงหลงที่อยู่บนเวทีเหมือนจะถูกทำให้ตกใจเช่นกัน การร้องระบำหยุดลงแล้ว เสียงดนตรีบรรเลงก็หยุดแล้วเช่นกัน

เหมียวอี้ยืนขึ้นและหันไปมอง เขาเบิกตากว้างทันที รู้อยู่แล้วว่าถ้าข่าวแพร่ออกไปจะมีคนบางคนมาหาเรื่อง นึกไม่ถึงว่าจะมาในเวลาแบบนี้

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เซี่ยโห้วหลงเฉิงมาแล้ว เดินวางก้ามมาจากบนสะพาน ทำหน้าแสยะยิ้ม เรียกได้ว่ากำเริบเสิบสาน ข้างหลังมีคนติดตามสี่คน

ไม่ต้องบอกเลย คนที่กล้าก่อเรื่องแบบนี้ นอกจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่มีใครแล้ว

คนในงานเงียบทันที คนที่พอจะได้ยินข่าวมาบ้างต่างก็รู้ว่ามีเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีคนหนุนหลัง ทุกคนไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว มีแค่ผู้บัญชาการโค่วเหวินหลานที่กล้ามีเรื่องด้วย

คนกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวอะไร ทหารเล็กๆ ที่นั่งอยู่ข้างหลังย่อมไม่กล้าหาเรื่องใส่ตัวอยู่แล้ว พากันหลีกทางให้

“เอ๋!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เดินเข้ามาในศาลากลางน้ำ พอเงยหน้ามองหลังคาก็หัวเราะทันที “ข้าก็นึกว่าพวกเจ้ามีเรื่องอะไร? ถึงแม้จะเป็นอาณาเขตของเจ้าตุ้งติ้ง พอพวกเจ้าดูการร่ายรำแล้วไม่บันเทิงใจ แต่ก็ไม่ควรทำลายหลังคาของคนอื่นสิ ช่างพาลเกเรเสียจริง แบบนี้ไม่ค่อยเข้าท่าแล้วมั้ง!”

สวีถังหรานจึงกล่าวว่า “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว ท่านรู้อยู่แก่ใจแล้วทำไมต้องถาม ท่านเป็นคนพังหลังคาชัดๆ”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงเหล่ตามอง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “สุราสามารถดื่มซี้ซั้วได้ แต่คำพูดไม่อาจพูดซี้ซั้วได้ เจ้าเห็นกับตาเหรอว่าข้าทำพัง? ขอเพียงเจ้าหาพยานได้ ข้าก็จะกินศาลาพังๆ นี้ให้ดูทันที!”

“…” สวีถังหรานพูดไม่ออก เพราะไม่มีใครเห็นจริงๆ เมื่อครู่นี้ทุกคนกำลังเคลิบเคลิ้มเหม่อลอยกับบทเพลง ใครจะมีอารมณ์ไปสนใจ บางทีคนอื่นในสวนบูรพาอาจจะเห็น แต่ใครจะกล้ายืนขึ้นเป็นพยานให้ล่ะ? ตอนหลังต้องโดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเล่นงานถึงตายแน่

อีกฝั่งหนึ่งมีเสียงของปู้เหลียนจงดังขึ้น  “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว นี่ท่านกำลังจงใจมาป่วน”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงหัวเราะหึหึ แล้วบอกว่า “ข้าได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใหญ่ของที่นี่ เลยตั้งใจมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรไปล่ะ? หรือว่าข้ามาเดินเล่นที่นี่เฉยๆ ไม่ได้? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ครั้งหน้าถ้าคนของเขตเมืองตะวันออกถ่อไปที่เขตเมืองตะวันตกของข้า ข้าก็หักขาพวกเจ้าได้เลยใช่มั้ย?”

“เด็กๆ มาจับเจ้าสองคนที่มันใส่ร้ายผู้บัญชาการคนนี้ไปสั่งสอนหน่อยซิ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือสั่ง

สี่คนที่อยู่ข้างหลังพุ่งเข้ามาใส่สวีถังหรานกับปู้เหลียนจงทันที

พอตรงนี้เคลื่อนไหว พวกทหารเลวของเขตเมืองตะวันออกก็กรูกันเข้ามาทันที มาขวางสี่คนนั้นไว้พร้อมเตือนว่า “ใครบังอาจมากำเริบเสิบสาน!”



966

จับกุมคาาหลักฐาน

“เจ้าไม่รู้เหรอ?” ปู้เหลียนจงแปลกใจ แต่นึกขึ้นได้ว่าเจ้านี่เพิ่งมาใหม่ ก็เป็นไปได้ที่จะไม่รู้ ถึงได้ชี้ไปทางตำหนักคุ้มเมืองพร้อมอธิบายว่า “เป็นเพราะฝีมือของปีศาจจิ้งจอกพันหน้า สัตว์วิญญาณของปี้เยว่ฮูหยินไงล่ะ ปีศาจจิ้งจอกตนนี้ให้มีชีวิตอยู่ดีๆ ไม่ชอบ เอาแต่คิดอยากจะหนี ครั้งนี้หนีไปอีกแล้ว!”

ปีศาจจิ้งจอกพันหน้า? เหมียวอี้ตะลึงงัน ถ้าไม่พูดถึงปีศาจจิ้งจอก เขาก็แทบจะลืมไปแล้ว นางหนีไปอีกแล้วเหรอ? เขาถามอย่างแปลกใจอยู่บ้างว่า “ใครจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ เกี่ยวอะไรกับปีศาจจิ้งจอก อย่าบอกนะว่าใครหาปีศาจจิ้งจอกเจอ คนนั้นจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่?” ร้านขายของชำซื่อตรงได้มาอย่างไร เขารู้ดีที่สุด ก็เป็นเพราะหาปีศาจจิ้งจอกตั้วนั้นพบนั่นแหละ

สวีถังหรานส่ายหน้า “นายท่านมีคนหนุนหลัง เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ เป็นลูกน้องของปี้เยว่ฮูหยินมานานขนาดนี้ เดิมทีควรได้เลื่อนขั้นตั้งนานแล้ว แต่มันแย่ตรงที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็มีคนหนุนหลังเหมือนกัน ทั้งสองต่างก็อยากเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์เพื่อให้อีกคนอับอาย ส่วนจะให้เลื่อนขั้นใคร ปี้เยว่ฮูหยินก็ลำบากใจมาก ถ้าเลื่อนขั้นคนนี้จะทำให้คนนั้นไม่พอใจ ถ้าเลื่อนขั้นคนนั้นก็จะทำให้คนนี้ไม่พอใจ จึงถ่วงเวลามาโดยตลอด ไม่อยากล่วงเกินทั้งสองฝ่าย แต่ครั้งนี้ปีศาจจิ้งจอกหนีไปอีกแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินย่อมสั่งให้คนไปค้นหา ผู้บัญชาการใหญ่ก็เลยระดมกำลังพลกองหนึ่งไปค้นหา แต่ใครจะคิดว่าตอนค้นหาจะไปเจอกับนักพรตผี ‘เฮยหวัง’ นักพรตผีที่ใจกล้าคับฟ้าตนนี้บุ่มบ่ามแตะต้องทหารสวรรค์ หลังจากสังหารคนไปหลายสิบคนก็หลบหนี ทำเอาทางตำหนักสวรรค์ตำหนิยกใหญ่ ปี้เยว่ฮูหยินย่อมมาระบายความโกรธกับผู้บัญชาการใหญ่ ที่จริงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผู้บัญชาการใหญ่หรอก แต่มีข่าวมาว่าปี้เยว่ฮูหยินอยากจะฉวยโอกาสทำให้ผู้บัญชาการใหญ่ออกจากตำแหน่ง อยากจะอาศัยภูมิหลังของนายท่านกับผู้บัญชาการเซี่ยโห้วมาเพื่อกันไม่ให้ตำหนักสวรรค์สอบถาม เมื่อข่าวหลุดออกมา นายท่านกับผู้บัญชาการเซี่ยโห้วขอเสนอตัวไปจับนักพรตผีนั่น เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ปี้เยว่ฮูหยินถึงลังเลไม่ยอมตัดสินใจมาตลอด!”

หลัวว่านกวงพยักหน้าเช่นกัน “ตอนนี้นายท่านกับผู้บัญชาการเซี่ยโห้วต่างก็กำลังถูหมัดถูมือ เพียงรอให้ปี้เยว่ฮูหยินลั่นวาจา ถ้าใครจัดการนักพรตผีตนนั้นได้ คาดว่าปี้เยว่ฮูหยินคงไม่มีทางถ่วงเวลาเรื่องตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ต่อไปได้อีก ขอถามหน่อย ว่าถ้าปล่อยให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงทำเรื่องนี้สำเร็จ นายท่านจะไม่ต้องเป็นลูกน้องคอยเงยหน้าฟังคำสั่งเซี่ยโห้วหลงเฉิงหรอกเหรอ ถึงตอนนั้นถ้าไม่ถูกกลั่นแกล้งจนตายก็ต้องทรมานจากความอัปยศ นายท่านต้องออกจากที่นี่เพื่อหลีกเลี่ยงความอัปยศแน่นอน พวกเราที่เหลืออยู่ก็แย่แล้ว!”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! เหมียวอี้รู้สึกหนาวในใจ แอบร้องว่าทำไมตัวเองซวยขนาดนี้ สละหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ใครจะคิดว่าสุดท้ายอาจจะต้องตกอยู่ในมือเซี่ยโห้วหลงเฉิง

แต่พอลองคิดอีกมุม ก็อาจจะเป็นการคิดมากไปเอง เรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกตัดสินใจเสียหน่อย แล้วอีกอย่าง อาศัยคนปัญญาอ่อนอย่างไอ้หมีควายเซี่ยโห้ว ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโค่วเหวินหลานก็ได้ มีความเป็นไปได้มากกว่าที่โค่วเหวินหลานจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่

ทางนี้เพิ่งจะสงบใจ ด้านนอกก็มีเสียงคนวิ่งมากระซิบข้างหูสวี่เต๋อ

สวี่เต๋อหัวเราะแห้งๆ ตบโต๊ะยืนขึ้น แล้วโบกมือบอกว่า “โจรมาแล้ว ไปเตรียมตัว!”

โจร? โจรอะไร? เหมียวอี้ยังเหม่องง แต่อีกหกคนก็ถลันตัวออกไปแล้ว แต่เขาก็หัวไว ที่ตลาดสวรรค์ยังจะมีใครกล้ามาปล้นที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกอีก นอกจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่มีคนอื่นแล้ว เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งอยากขำ พบว่าเจ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงปัญญาอ่อนจริงๆ อีกฝ่ายกำลังเปิดกระเป๋ารอให้เขามาติดกับดักเองแท้ๆ

เขาเองก็อยากจะเห็นโค่วเหวินหลานจัดการเซี่ยโห้วหลงเฉิงเหมือนกัน จึงรีบวิ่งออกไปดูเอาสนุก พอออกจากประตูมา สวีถังหรานที่อยู่บนหลังคาฝั่งตรงข้ามก็ถ่ายทอดเสียงเรียก ให้ขึ้นมารอดูบนหลังคาด้วยกัน

ภายใต้ม่านราตรี ไม่นานก็มีเงาคนลับๆ ล่อๆ ปรากฏขึ้น เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “มาแล้ว!”

สวีถังหรานกดบ่าเขาพร้อมบอกว่า “ไม่รีบหรอก จุดประสงค์ของผู้บัญชาการก็คือให้พวกเขาทำให้สำเร็จก่อน แล้วพวกเราค่อยลงมือ”

ผ่านไปครู่เดียว ก้อนหินใหญ่ห้าหกก้อนก็ถูกโยนออกมา ทุ่มจากฟ้าใส่ตำหนักหลักที่กำลังจุดโคมไฟสว่าง เหมียวอี้และคนอื่นๆ ได้แต่มองดูตำหนักหลักพังยุบลงไป แล้วก็กระเด็นกลับภายใต้การยิงของพลังอิทธิฤทธิ์ วัตถุระเกะระกะปลิวมั่วไปหมด

“ใครกัน!” พวกสวีถังหรานตะโกนถามเสียงเข้มแล้ว คนที่ดักซุ่มอยู่ในร้านค้าด้านนอกกรูกันออกมาในชั่วพริบตาเดียว ดักคนที่คิดจากหนีจากซอยนั้นเอาไว้ พอพุ่งเข้าใส่ก็ตีกันทันที ตีกันจนมีเสียงร้องตกใจ ร้านค้าหลายร้านพังอย่างง่ายดายราวกับเป็นไม้ผุ

เหมียวอี้ที่ยังหมอบอยู่บนหลังคาหันไปมองแวบหนึ่ง เห็นเพียงเงาคนสองคนถลันตัวออกจากตำหนักที่พังถล่ม ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายคือโค่วเหวินหลาน ส่วนผู้หญิงก็ทำให้เหมียวอี้หนังตากระตุก เขาเคยเห็นมาก่อน ผู้การสองที่เคยเจอตอนตามหาปีศาจจิ้งจอกพันหน้าที่ดาวไร้ลักษณ์ นางกำลังทำสีหน้าเย็นเยียบ

เหมียวอี้แอบเดาะลิ้นในใจ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนอยู่สวนบูรพาก่อนหน้านี้ โค่วเหวินหลานถึงให้เชิญผู้การสองมาจากตำหนักคุ้มเมือง เพราะจะดึงตัวมาเป็นพยาน นี่คือการวางกับดักตายให้เซี่ยโห้วหลงเฉิง!

คนของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกแทบจะออกมาดักไว้หมด จุดจบก็ไม่ต้องพูดถึง เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้หนังตากระตุกก็คือ อานุภาพการต่อสู้สะเทือนไปทั้งข้างนอกข้างใน

ท่ามกลางเสียงดังโครมคราม ตึกรามบ้านช่องพังทลาย เห็นได้ชัดว่าคนของโค่วเหวินหลานอยากหลอกฝ่ายตรงข้ามให้ตายใจก่อนแล้วค่อยจัดการ คนหลายสิบคนล้อมคนคนเดียว เดี๋ยวล้อมเดี๋ยวปล่อยอยู่อย่างนั้น จงใจจะขยายขอบเขตการต่อสู้ให้ใหญ่ขึ้น ทำเอาบรรดาร้านค้าวุ่นวายเหมือนไก่บินเตลิดหมาวิ่งพล่าน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่กล้าเข้ามาเกี่ยวพันกับการต่อสู้ของทหารสวรรค์

ความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ ย่อมสะเทือนไปถึงคนของตำหนักคุ้มเมือง คนกลุ่มหนึ่งรีบตามเข้ามา ทหารสวรรค์โดยรอบก็รีบตามมาเป็นกองหนุนเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าสะเทือนไปถึงคนอื่นแล้ว กำลังคนของเขตเมืองตะวันออกก็วางมือทันที รีบจบการต่อสู้อย่างเด็ดขาดรวดเร็ว

ใช้เวลาไม่นาน คนหกคนที่โดนโจมตีจนสาหัสก็ถูกลากเข้ามา ถูกถอดเครื่องปลอมตัวออก แล้วโยนไว้ตรงหน้าโค่วเหวินหลานกับผู้การสอง

“เอ! พวกเจ้าเป็นลูกน้องของผู้บัญชาการเซี่ยโห้วเขตเมืองตะวันตกไม่ใช่เหรอ?” ข่งเฟยฝานเจตนาทำท่าตระหนกตกใจ

บนลานกว้าง คนกลุ่มหนึ่งพากันอุทานตาม “เป็นพวกเขาจริงๆ ด้วย!”

“ฟางเทียนเป่า พวกเจ้ามาลอบโจมตีจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกของพวกเราทำไม?” ส้าวเติงก่วงก้าวขึ้นมาเตะทีหนึ่ง

ผู้การสองโบกมือห้าม สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก นั่งอยู่ในบ้านแล้วจู่ๆ โดนหินหลายลูกทุ่มลงมา ไม่ว่าใครก็อารมณ์ไม่ดีทั้งนั้น  เป็นครั้งแรกที่นางเจอเรื่องอันตรายแบบนี้ที่ตลาดสวรรค์ นางถามคนที่ตามมาจากตำหนักคุ้มเมืองด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “พวกนี้เป็นคนของเขตเมืองตะวันตกจริงเหรอ?”

ใช่ว่านางจะไม่รู้โค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีความสัมพันธ์กันอย่างไร จึงไม่ค่อยเชื่อคำพูดของลูกน้องโค่วเหวินหลาน ถามคนของตัวเองจะเหมาะสมกว่า คนที่มาพยักหน้าเงียบๆ ให้นาง

ผู้การสองเอียงศีรษะและใช้สายตาเย็นเยียบมองโค่วเหวินหลานที่ทำสีหน้าเยือกเย็นสุขุม พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงเชิญตนมาวันนี้ สงสัยตนจะถูกใช้ประโยชน์แล้ว

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นนางต้องตั้งตัวเป็นศัตรูแน่นอน แต่จนใจที่นางรู้จักภูมิหลังของโค่วเหวินหลาน อีกฝ่ายกล้าทำแบบนี้เพราะไม่ได้หวาดกลัวเลย นางเลยทำได้เพียงจัดการอย่างยุติธรรม

ผู้การสองไม่ได้อยู่นาน หลังจากถามจนรู้ชัดแล้วว่าใครเป็นผู้ลอบโจมตีฝ่ายนี้ นางก็กล่าวพร้อมใบหน้านิ่งตึง “พากลับไปรอฟังคำสั่งของฮูหยิน!”

คนของตำหนักคุ้มเมืองพุ่งตัวเข้ามาทันที ลากคนที่อยู่บนพื้นออกไปด้วย

เมื่อเห็นผู้การสองกำลังจะออกไป โค่วเหวินหลานก็กุมหมัดคารวะทันที “เซี่ยโห้วหลงเฉิงสันดานชั่วร้าย มีเจตนาไม่ดี พวกเราจะคุ้มกันส่งผู้การสอง!”

ผู้การสองไฟลุกในใจ กล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “เจ้าตามข้าไปพบฮูหยิน ส่วนคนของเจ้า… ฮันเปียว ส่งคนไปดูพวกเขาไว้ให้ดี อย่าให้พวกเขาออกจากจวนผู้บัญชาการโดยพลการแม้แต่ก้าวเดียว!”

“รับทราบ!” ฮันเปียว หัวหน้าที่ตามมาจากตำหนักคุ้มเมืองกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง พอโบกมือ กำลังพลใต้บังคับบัญชาก็เหาะไปเหยียบลงรอบๆ เฝ้าจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกไว้อย่างแน่นหนา

“ทุกคนรอข้าอยู่ตรงนี้ ข้าไปประเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวกลับมา” โค่วเหวินหลานหันกลับมาสั่ง จากนั้นก็เหาะตามผู้การสองออกไป

“รับทราบ!” เหมียวอี้กุมหมัดน้อมรับคำสั่ง

ณ ตำหนักคุ้มเมือง ในสวนดอกไม้ใต้แสงจันทร์ ปี้เยว่ฮูหยินเกล้าผมสูง รูปร่างอวบอัด ผิวขาวละเอียดอ่อน หน้าตางดงามดุจภาพวาด ริมฝีปากแดงเย้ายวน สวมชุดกระโปรงผ้ามุ้งสีเขียวน้ำทะเล เผยหน้าอกอวบอัดสีขาวดุจหิมะออกมาครึ่งหนึ่ง นางกำลังหรี่ตาครึ่งเดียว เอนกายพิงอยู่บนเก้าอี้กลมขนาดใหญ่ กำลังฟังโค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงปะทะฝีปากกัน

เรื่องนี้เซี่ยโห้วหลงเฉิงดิ้นไม่หลุด ย่อมต้องถูกเรียกมาอยู่แล้ว เพียงแต่เจ้าตัวโมโหจนหน้าแดงคอแห้ง สมองสู้โค่วเหวินหลานไม่ได้ ฝีปากก็ย่อมสู้ไม่ได้เช่นกัน มิหนำซ้ำยังโดนจับกุมพร้อมหลักฐาน ไม่มีทางแก้ตัวได้ ทำได้เพียงดันทุรังเถียงไป “เจ้าส่งคนไปพังจวนผู้บัญชาการของข้าก่อนชัดๆ!”

“ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าพูดซี้ซั้ว ถ้าเจ้าทำแบบนี้ได้ งั้นข้าก็บอกได้เหมือนกันน่ะสิ ว่าคนที่ทุ่มหินใส่สวนบูรพาตอนแรกคือเจ้า?” โค่วเหวินหลานพูดดูถูก

“ใส่ร้ายกันหน้าด้านๆ!” ต่อให้โดนตีให้ตาย เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่ยอมรับ

ทั้งสองเถียงกันไปเถียงกันมา ปี้เยว่ฮูหยินหลับตาไม่แสดงท่าทีอะไร หลับตาฟังเหมือนกำลังพักผ่อนร่างกาย

ผ่านไปไม่นาน ก็มีลูกน้องนำคำให้การที่ได้มาเพราะโดนทรมานสอบปากคำมาส่ง  คำให้การมาถึงมือปี้เยว่ฮูหยิน พออ่านแล้วดวงตานางก็ฉายแววขุ่นเคืองทันที

ไม่ใช่เพราะลูกน้องของเซี่ยโห้วหลงเฉิงตกกลุมพราง ต่อให้โดนซ้อมจนตายก็ไม่ยอมตกหลุมพราง ทุกคนต่างแบกความรับผิดชอบไว้ที่ตัวเอง พวกเขาช่วยให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงพ้นผิด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้าใจสถานการณ์มาก ถ้าสารภาพชื่อเซี่ยโห้วหลงเฉิงออกมา แบบนั้นพวกเขาก็ได้ตายสถานเดียว เซี่ยโห้วหลงเฉิงมีนิสัยเหี้ยมโหด เจ้าคิดเจ้าแค้นไร้เหตุผล ถ้าไม่เล่นงานพวกเขาจนตายก็คงแปลก ถ้าปกป้องเซี่ยโห้วหลงเฉิง โทษของพวกเขาก็ไม่ถึงกับตาย ไม่แน่ว่าในภายหลังเซี่ยโห้วหลงเฉิงอาจจะให้อนาคตที่ดีกับพวกเขาก็ได้

แต่การกระทำแบบนี้นับว่าเป็นอะไรสำหรับปี้เยว่ฮูหยินล่ะ โค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีคนหนุนหลัง ทั้งสองไม่เห็นนางอยู่ในสายตาก็ว่าแย่แล้ว แต่พวกลูกน้องต่ำต้อยก็บังอาจไม่เห็นนางอยู่ในสายตาด้วยเหมือนกัน ชัดเจนว่าต่อให้จับได้พร้อมหลักฐานก็จะไม่ยอมรับ แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน!

แต่สีหน้าโกรธเคืองก็หายไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็เอ่ยถามว่า “พวกเจ้าสองคนสู้กันไปสู้กันมา ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ พวกเจ้าลองบอกว่ามาซิว่าจะยุติเรื่องนี้อย่างไร?”

“ประหารเซี่ยโห้วหลงเฉิง!” โค่วเหวินหลานตอบ

“เหลวไหล! เจ้าน่ะสิต้องโดนประหาร!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงเดือดดาลทันที

“พอแล้ว!” ปี้เยว่ฮูหยินพลันตวาดเสียงเข้ม ลุกขึ้นยืนด้วยแววตาเป็นประกาย แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “คนของเขตเมืองตะวันตกก่อเรื่อง จับตัวได้พร้อมหลักฐาน เซี่ยโห้วหลงเฉิงยากที่จะพ้นผิดไปได้ ลงโทษปรับเงินเดือนเจ้าหนึ่งร้อยปี แล้วชดเชยค่าเสียหายตามสมควร เจ้ายินดีจะรับบทลงโทษนี้มั้ย?”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงกุมหมัดกล่าวว่า “ฮูหยินเองก็รู้ ตระกูลข้าน้อยไม่ได้ให้เงินไว้ใช้จ่าย ไม่เหมือนไอ้ตุ้งติ้งนี่ที่มีนมป้อนตลอด ตำแหน่งข้าน้อยยากจน ไม่มีเงินจ่ายค่าชดเชย!”

โค่วเหวินหลานได้ยินแล้วกุมหมัดแน่น อยากจะเตะเขาให้ตาย

ปี้เยว่ฮูหยินโมโหแล้ว แต่จู่ๆ ผู้การสองก็ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ฮูหยิน ผู้บัญชาการโค่วอาศัยโอกาสแสดงความสามารถ ความเสียหายค่อนข้างหนัก ถ้ามีการชดเชยขึ้นมาก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ”

ปี้เยว่ฮูหยินทั้งโมโหทั้งกลุ้มใจ แต่ก็ทำอะไรสองคนนี้ไม่ได้ ถ้าทำเกินไป อำนาจที่หนุนหลังทั้งสองก็จะกดดันนาง ตอนนั้นคงถึงคราวที่นางต้องลำบากเสียเอง จึงกัดฟันบอกว่า “ลูกน้องเจ้าก่อความวุ่นวาย เจ้าเป็นผู้บังคับบัญชา หนีไม่พ้นความรับผิดชอบนี้หรอก ปรับค่าเสียหายเจ้าครึ่งเดียว ห้ามแย้งอะไรอีก ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง เจ้าก็หาทางไปติดต่อเจรจากับพ่อค้าเอาเอง ถ้าจัดการเรื่องนี้ให้สงบไม่ได้ ข้าจะมาถามหาความรับผิดชอบจากเจ้า!”

โค่วเหวินหลานกุมหมัดคารวะทันที “ข้าน้อยจะไปรวมรวบข้อมูลความเสียหายทั้งหมดของร้านค้าเดี๋ยวนี้”

ผู้การสองรีบถ่ายทอดเสียงเตือนปี้เยว่ฮูหยิน “ข้าสั่งให้คนไปจับตาดูคนของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกไว้แล้ว กลัวว่าพวกเขาจะเล่นไม่ซื่ออะไรอีก!”

ปี้เยว่ฮูหยินเลิกคิ้ว เหล่ตามองไปที่โค่วเหวินหลาน คิดในใจว่า ถ้าให้เจ้าไปดูก็แย่น่ะสิ เจ้าอยากจะเล่นงานเซี่ยโห้วหลงเฉิงให้ถึงตาย แล้วตอนหลังจะให้ข้าไปอธิบายกับตระกูลเซี่ยโห้วอย่างไรล่ะ? นางตอบอย่างเย็นชาว่า “ไม่ต้องแล้ว! ตำหนักคุ้มเมืองส่งคนไปรวบรวมข้อมูลแล้ว”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงโล่งอก!

หารู้ไม่ว่าในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกตอนนี้ รองผู้บัญชาการสองคนกับทหารเลวเจ็ดคนกำลังรวมตัวอยู่ด้วยกัน ลูกน้องกลุ่มหนึ่งกำลังพากันขว้างทรัพย์สินที่ฉวยโอกาสทำพังตอนเหตุการณ์วุ่นวายก่อนหน้านี้ ของวางซ้อนกันเป็นกองใหญ่ เหมียวอี้เห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน เจ้าพวกนี้เลวใช้ได้เลย นี่ต้องการจะให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงจ่ายค่าเสียหายจนหมดตัวเลยใช่มั้ย?

967

ด่ากันกลางตลาด

ยังโชคดี ที่ตั้งของจวนผู้บัญชาการค่อนข้างเงียบสงบ ถ้าอยู่ในบริเวณที่เจริญคึกคักที่สุดรอบตำหนักคุ้มเมือง อย่างเช่นพวกร้านสมาคมวีรชน คาดว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะต้องชดใช้จนล้มละลายหมดตัวแน่นอน เกรงว่าใช้ทั้งชีวิตก็ชดเชยไม่หมด

วันนี้เหมียวอี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว แบบนี้ใช่ทหารสวรรค์ที่ไหนกัน บอกว่าเป็นโจรสวรรค์ก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป

ของที่เก็บได้จากร้านค้าที่โดนฉวยโอกาสถล่มพังตอนจับโจรก่อนหน้านี้ พวกเขาชำระเงินชิ้นแล้วชิ้นเล่า พร้อมทั้งมีคนถือพู่กันตรวจสอบทีละชิ้น

“ห้ามเก็บไว้ส่วนตัวนะ ส่งออกมาให้หมด เดี๋ยวถ้าไปเทียบบัญชีกับตำหนักคุ้มเมืองแล้วไม่ตรงกัน ระวังพวกเจ้าจะโดนถลกหนัง” สวีถังหรานคอยตะโกนเตือนอยู่ข้างๆ ไม่หยุด

รองผู้บัญชาการสองคนกับทหารเลวเจ็ดคนกำลังมองดูของที่ค่อยๆ กองสูงขึ้น บางคนก็อมยิ้ม บางคนก็ยิ้มอย่างเริงร่า บางคนก็แอบเล่นหูเล่นตาใส่กัน ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ จะรวยแล้ว!

หลังจากจ่ายเงินให้ของทั้งหมดแล้ว สวีถังหรานก็กุมหมัดคารวะพร้อมบอกรองผู้บัญชาการทั้งสองว่า “รองผู้บัญชาการหง รองผู้บัญชาการซุน จะจัดการอย่างไรกับของที่ ‘เก็บ’ ได้พวกนี้?”

รองผู้บัญชาการทั้งสองสบตากันแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าเบาๆ รองผู้บัญชาการหงกล่าวเสียงเรียบว่า “ผู้บัญชาการไม่รู้เรื่องนี้ พวกเราตัดสินใจเอากลับไปเองแล้วกัน”

แค่พูดประโยคเดียวก็ช่วยให้โค่วเหวินหลานบริสุทธิ์แล้ว รองผู้บัญชาการซุนที่อยู่ข้างๆ ยื่นมือไปหยิบบันทึกรายการสินค้าที่เก็บได้ มาสุมหัวดูด้วยกันกับรองผู้บัญชาการหง แอบถ่ายทอดเสียงกระซิบสื่อสารกัน แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเลือกติ๊กเครื่องหมายบนบันทึกรายสินค้า

หลังจากติ๊กรายการสินค้าไปกองหนึ่งแล้ว ก็นำบันทึกส่งต่อให้สวีถังหราน พอสวีถังหรานเห็นว่ารายการของที่ติ๊กไปมีแต่ของที่แพงที่สุด ในใจก็เข้าใจทันที ว่าทุกคนไม่มีส่วนแบ่งกับพวกนี้แล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นของนายท่านผู้บัญชาการ จึงเรียกลูกน้องเข้ามาทันที บรรจุสินค้าแต่ละชิ้นให้ตรงกับรายการสินค้าที่ติ๊กเครื่องหมายถูก

ขณะนี้เอง ด้านนอกก็มีคนเข้ามารายงาน “กำลังพลของตำหนักคุ้มเมืองกำลังตรวจนับความเสียหายของร้านค้าใหญ่ๆ ขอรับ”

รองผู้บัญชาการหงหัวเราะเบาๆ แล้วโบกมือให้ถอยออกไป สื่อว่ารู้แล้ว จากนั้นก็กล่าวเสียงต่ำว่า “รีบเร่งมือหน่อย!”

ทางสวีถังหรานรีบเร่งมือเก็บของ หลังจากทำซ้ำไปซ้ำมาจนเสร็จ ก็นำกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งยื่นให้รองผู้บัญชาการหง หลังจากรองผู้บัญชาการตรวจสอบแล้ว ก็พยักหน้าอย่างพอใจ รองผู้บัญชาการหงบอกว่า “ในเมื่อเป็นของที่เก็บได้ คนที่เห็นก็ย่อมมีส่วนแบ่ง ทำตามธรรมเนียมเดิมแล้วกัน! แต่ข้าจะบอกสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อนนะ ใครที่ได้ประโยชน์จากเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้แล้ววันหลังมาเปิดโปง ก็แสดงว่าคนนั้นกินบนเรือนขี้บนหลังคา อย่าหาว่าข้าแปรพักตร์ตั้งตัวเป็นศัตรูก็แล้วกัน!”

“แน่นอน… อยู่แล้ว…” ทุกคนพากันเอ่ยรับ

จากนั้นพวกเขาก็แบ่งของกัน ส่วนของที่เหลือ รองผู้บัญชาการทั้งสองเอาไปคนละหนึ่งส่วนสาม แล้วอีกหนึ่งในสามก็เป็นของเหมียวอี้และทหารเลวอีกคนหกแบ่งกัน แล้วหนึ่งในสามส่วนสุดท้ายก็ให้ลูกน้องระดับล่างแบ่งกัน นี่คือการแบ่งตามลำดับยศ

โอ้แม่เจ้า! หาเงินง่ายเกินไปแล้ว! เหมียวอี้นับของในกำไลเก็บสมบัติที่ได้รับส่วนแบ่งมา คาดว่าคงจะมีมูลค่าประมาณสามหมื่นล้านผลึกแดง เท่ากับทหารเลวทั้งเจ็ดได้ไปรวดเดียวคนละสองพันล้านล้านผลึกแดง ถ้าบวกรวมลูกน้องทั้งหมดกับรองผู้บัญชาการทั้งสอง ก็ได้เกินหกล้านล้านแล้ว ส่วนแบ่งของโค่วเหวินหลานยังมีมูลค่าเยอะกว่าของลูกน้องบวกรวมกันอีก นับดูคร่าวๆ เกรงว่าจะเกินสิบห้าล้านล้านผลึกแดงแล้ว

ครั้งนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงเหลือทนแล้ว ขนาดเหมียวอี้ยังอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ กำไรหลายร้อยปีที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงได้จากร้านขายของชำก็ชดเชยการขาดทุนนี้ไม่ได้

ความร่ำรวยนี้! เหมียวอี้ทอดถอนใจไม่หยุด แต่จะว่าไปแล้ว การหาเงินแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้บ่อยๆ ถ้าทำเรื่องแบบนี้บ่อยจริงๆ ใต้หล้าต้องวุ่นวายหนักแน่นอน ตำหนักสวรรค์จะเป็นฝ่ายแรกที่ไม่ยอมรับ ถึงขั้นจะเชือดไก่ให้ลิงดูด้วยซ้ำ!

ถึงแม้จะร่ำรวยง่ายๆ แต่เหมียวอี้กลับดีใจไม่ออก ครั้งนี้ล่วงเกินเซี่ยโห้วหลงเฉิงหนักมากจริงๆ โค่วเหวินหลานย่อมไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว อีกฝ่ายมีความมั่นใจที่จะตั้งตัวเป็นศัตรู เซี่ยโห้วหลงเฉิงโค่นล้มโค่วเหวินหลานไม่ได้ เป้าหมายจึงต้องลดต่ำลงมา หนังหน้าไฟก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเหมียวอี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงต้องตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาอย่างหัวชนฝาแน่นอน!

ทางนี้เพิ่งจะแบ่งของได้ไม่นาน โค่วเหวินหลานก็กลับมาแล้ว ถามถึงสถานการณ์และสั่งอะไรไว้นิดหน่อย จากนั้นก็นำรองผู้บัญชาการทั้งสองออกไป

ณ ตำหนักคุ้มเมือง ใบหน้าสวยหยาดเยิ้มของปี้เยว่ฮูหยินเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ ในมือถือรายงานความเสียหายจากร้านค้าต่างๆ พบว่าสูงถึงยี่สิบล้านล้านผลึกแดง ส่วนหนึ่งเสียหายไปเพราะตอนต่อสู้กัน แต่ส่วนใหญ่หายไปไหนก็ไม่รู้ นี่ยังไม่รวมความเสียหายจากอาคารบ้านเรือนที่พังพวกนั้น

เสียหายหนักขนาดนี้ จะให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงชดเชยอย่างไรไหว? ต่อให้ชดเชยครึ่งเดียว เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็จ่ายไม่ไหวอยู่ดี นอกเสียจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะนำหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำมาเติม แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ ตระกูลเซี่ยโห้วต้องเก็บหุ้นสองส่วนนั้นของเซี่ยโห้วหลงเฉิงไปแน่นอน จะให้ของที่สำคัญแบบนี้อยู่ในมือเจ้าโง่นี่ได้อย่างไร

นางอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างทอดถอดใจว่า “โค่วเหวินหลานคนนี้ เมื่อก่อนไม่เคยทำอะไรเด็ดขาดขนาดนี้มาก่อนเลย สงสัยข่าวลือที่ฝ่ายเราปล่อยไปจะทำให้เขาเริ่มลงมืออย่างเด็ดขาดแล้ว!”

“ฮูหยิน เกรงว่าจะต้องรีบตัดสินใจให้เด็ดขาดแล้ว ถ้าให้ผู้ชายสองคนนี้อยู่สู้กันไปสู้กันมาที่ดาวเทียนหยวนต่อไป จะไม่เป็นผลดีกับฮูหยิน!” ผู้การสองที่อยู่ข้างๆ กล่าว

ปี้เยว่ฮูหยินลากชุดกระโปรงสีเขียวน้ำทะเลเดินไปเดินมา “ใช่แล้ว! เจ้าสองคนนี้ไม่เห็นหัวใคร เดิมทีข้ากังวลว่าถ้าไล่ไปคนหนึ่ง แล้วคนที่เหลือเป็นใหญ่คนเดียวโดยไม่มีใครคอยคานจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร ตอนนี้สู้กันรุนแรงแล้ว ไม่สู้ไล่ไปสักคนจะสบายกว่า ถ้าปล่อยให้พวกเขาก่อเรื่องต่อไปแบบนี้ ข้าคงนั่งในตำแหน่งนี้ไม่ได้แล้ว!”

วันต่อมา ในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก มีเสียงกลองดังสะเทือนเลือนลั่น ตอนแรกเหมียวอี้ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่อถามคนข้างๆ ถึงได้รู้ว่าเป็นเสียงกลองรบที่ผู้บัญชาการโค่วใช้รวบรวมกำลังพล จึงรีบสวมเครื่องแบบและวิ่งไปรวมตัวกัน

ตำหนักหลักของจวนผู้บัญชาการยังคงพังถล่มเหมือนเดิม โค่วเหวินหลานเปลี่ยนใส่เครื่องแต่งกายสง่างาม สวมเกราะรบห้าแถบสีทองอร่ามกึ่งโปร่งแสง ยืนตระหง่านรับแสงอาทิตย์ยามเช้าสีทองอยู่บนบันได ตรงหน้าคือกำลังพลที่มารวมตัวกัน ภาพลักษณ์องอาจกล้าหาญที่มีอยู่แต่เดิม กลับถูกท่าทางควักผ้าเช็ดหน้าที่สะดีดสะดิ้งทำลายหายจนหมดสิ้น

เมื่อสมาชิกมารวมตัวกันครบ โค่วเหวินหลานก็ออกคำสั่ง เคลื่อนพลหลายร้อยออกจากจวนผู้บัญชาการ ใช้วิธีการเดินเท้ามุ่งตรงสู้จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก ดึงดูดให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาในตลาดสวรรค์ชำเลืองมองมาไม่หยุด

กลุ่มคนมาดักอยู่นอกจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก แล้วตะโกนคำขวัญที่นัดกันไว้พร้อมกัน “เซี่ยโห้วหลงเฉิง ยุยงลูกน้อง ปล้นทำลายทรัพย์ จงรีบชดใช้! เซี่ยโห้วหลงเฉิง ยุยงลูกน้อง ปล้นทำลายทรัพย์ จงรีบชดใช้…”

คนหลายร้อยคนตะโกนประโยคนี้ซ้ำๆ อย่างพร้อมเพรียงกัน เป็นภาพที่อลังการงานสร้าง เหมียวอี้ที่เป็นหนึ่งในทหารเลวเจ็ดคนนั้นก็ไม่มีทางเลือก ต้องตะโกนตามเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่เขาทำเรื่องแบบนี้ นักพรตบงกชทองที่สง่าผ่าเผย ยามอยู่ที่พิภพเล็กเป็นชนชั้นสูงขนาดไหน ไม่น่าเชื่อว่าปัจจุบันจะได้มาทำเรื่องน่าอับอายพรรค์นี้

มีเพียงโค่วเหวินหลานที่ไม่ต้องตะโกน เดินเอามือไขว้หลังอยู่ข้างหน้า เดินไปเดินมาอยู่นอกจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก สีหน้าเครียดขรึมจริงจัง

คนแถวนี้ที่มามุงดูยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปครู่เดียว เหมียวอี้ก็เห็นเป่าเหลียนจากร้านขายของชำซื่อตรงปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชน นางมองเหมียวอี้อย่างงุนงงประหลาดใจ เหมียวอี้ได้แต่ยิ้มเจื่อนอย่างจนใจ

ว่ากันตามจริง เหมียวอี้นับถือไอ้คนตุ้งติ้งอย่างโค่วเหวินหลานมากเช่นกัน นอกจากวางกับดักเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้ว ยังทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตอีก ค่อยๆ บีบบังคับทีละก้าว ชัดเจนว่าอยากจะทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างถึงที่สุด ทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่มีที่ยืนในตลาดสวรรค์!

เรื่องดำเนินมาจนวันนี้ ลองนำสถานการณ์ที่รู้มาเชื่อมต่อกัน ถ้าเหมียวอี้ยังมองสาเหตุไม่ออก ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนโง่ ที่การต่อสู้เริ่มดุเดือดขึ้นมากะทันหัน ก็เพราะการแย่งชิงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์มาถึงช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มแล้ว โค่วเหวินหลานอยากจะทำลายชื่อเสียงของเซี่ยโห้วหลงเฉิงให้ป่นปี้ กดดันให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงอับอายจนไม่มีที่ยืนในตลาดสวรรค์ บีบให้ปี้เยว่ฮูหยินเลือกไปในทิศทางเดียว

เมื่อรอไปสักพักแล้วยังไม่เห็นคนข้างในมีปฏิกิริยาอะไร โค่วเหวินหลานก็หันกลับมาถ่ายทอดเสียงสั่ง

ท่วงทำนองของเสียงตะโกนเปลี่ยนทันที “ท่านแม่ทัพมีคำสั่ง ให้เจ้าชดเชยเงิน เซี่ยโห้วหลงเฉิง ฝ่าฝืนคำสั่ง! เซี่ยโห้วหลงเฉิง ยุยงลูกน้อง ปล้นทำลายทรัพย์ จงรีบชดใช้! ท่านแม่ทัพมีคำสั่ง ให้เจ้าชดเชยเงิน เซี่ยโห้วหลงเฉิง ฝ่าฝืนคำสั่ง…”

เมื่อใช้ข้ออ้างเรื่องฝ่าฝืนคำสั่งมากดดัน เหมือนจะทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงร้อนใจแล้ว ไม่นานก็เคลื่อนกำลังพลเขตเมืองตะวันตกออกจากจวนผู้บัญชาการ เซี่ยโห้วหลงเฉิงยืนควงดาบชี้อยู่ข้างหน้า กำลังพลที่ยืนเรียงแถวอยู่ข้างหลังตะโกนตอบเสียงดังทันที “โค่วเหวินหลาน ไอ้คนตุ้งติ้ง คนวิปริต โดนผู้ชายจับขึ้นเตียง ไอ้คนขายตูด! โค่วเหวินหลาน ไอ้คนตุ้งติ้ง คนวิปริต โดนผู้ชายจับขึ้นเตียง ไอ้คนขายตูด…”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา คนไม่น้อยที่กำลังมุงดูเอาสนุกก็พากันกลั้นขำ

อีกฝั่งโยนความผิด แต่อีกฝั่งโจมตีมาที่ตัวบุคคล!

โค่วเหวินหลานหน้าดำเป็นก้นหม้อทันที เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่เก่งเรื่องแทงข้างหลังเท่าเขา แต่หน้าไม่อายยิ่งกว่าเขา ต่อให้ตายก็จะต้องทำให้ชื่อเสียงของเขาสะเทือนใต้หล้าไปด้วยกัน เรื่องนี้เทียบกันไม่ติดแล้ว

เหมียวอี้ที่กำลังตะโกนแอบทอดถอนใจไม่หาย ช่างเหมือนคำกล่าวที่ว่า สังหารข้าศึกไปหนึ่งพัน แต่ฝ่ายตัวเองสูญเสียไปแปดร้อย

เมื่อเห็นโค่วเหวินหลานสีหน้าดูไม่ได้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เดิมทีสีหน้าแย่มากก็รู้สึกสะใจทันที หัวเราะเสียงดังลั่น ถือดาบเดินไปเดินมาโอ้อวดแสนยานุภาพ ทำท่าทางลำพองใจ

“หุบปากกันให้หมด!” เสียงตวาดของผู้หญิงพลันดังมาจากท้องฟ้า ผู้การสองของตำหนักคุ้มเมืองเหาะลงมาแล้ว มาเหยียบลงตรงกลางระหว่างคนสองกลุ่ม แล้วกวาดสายตาเย็นเยียบมองทั้งสองฝั่ง

สองฝั่งที่ส่งเสียงข่มกันพลันหุบปาก โค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ถูกผู้การสองพาตัวไปเช่นกัน เหมียวอี้และคนอื่นๆ ที่ตะโกนจนเกือบเสียงแหบ ตอนนี้โล่งใจแล้ว กำลังพลแยกย้ายกลับเขตเมืองตะวันออก

เป่าเหลียนยืนอยู่ริมถนน มองดูเหมียวอี้เดินจากไปพร้อมกำลังพล นางเงียบงันอยู่นานมาก…

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม โค่วเหวินหลานก็กลับมาแล้ว เรื่องแรกที่ทำเมื่อกลับมาก็คือเรียกรวมผู้ใต้บังคับบัญชาไปประชุม

ตำหนักหลักพังแล้ว ตอนนี้ยังไม่ได้ซ่อมแซม ผู้บัญชาการ รองผู้บัญชาการทั้งสองกับทหารเลวทั้งเจ็ด คนทั้งสิบไปรวมตัวกันในตำหนักด้านข้าง

โค่วเหวินหลานไม่เปลืองคำพูด และไม่ได้นั่งลง เพียงยืนอยู่ตรงหน้าเก้าอี้ บอกกับทุกคนอย่างตรงไปตรงมาว่า “ทุกคน ข่าวลือเกี่ยวกับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ทุกคนคงได้ยินกันหมดแล้ว ข้าจะไม่เปลืองคำพูด เมื่อครู่นี้ท่านแม่ทัพกล่าวชัดเจนแล้ว คนที่จะเข้าชิงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ก็คือข้ากับไอ้หมีควายเซี่ยโห้ว ใครที่ประหารเฮยหวังที่ทำผิดกฎสวรรค์ได้ คนนั้นก็จะได้ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ไป! ตำแหน่งนี้ข้าต้องได้มา ดังนั้นทุกคนต้องช่วยข้าสุดความสามารถ สำหรับคนที่มีผลงาน ผู้บัญชาการคนนี้ก็ไม่งกรางวัลหรอก ขอเพียงข้าได้ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ในบรรดาพวกเจ้า หากใครมีผลงานมากที่สุด ตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกก็เป็นของคนนั้น!”

ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ถึงแม้การได้เป็นเขตเมืองตะวันออกผู้บัญชาการคือเรื่องดี แต่ว่า… รองผู้บัญชาการหงกุมหมัดถาม “นายท่าน พวกเราไม่รู้เลยว่าเฮยหวังไปหลบอยู่ที่ไหน ไม่รู้เลยว่าจะเริ่มลงมือจากตรงไหน แล้วจะจับเขามาลงโทษได้อย่างไร?”

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะคิดหาทางส่งคนไปสืบข่าว ที่บอกพวกเจ้าตอนนี้เพราะจะให้พวกเจ้าเตรียมตัวล่วงหน้า หากได้ข่าวมาเมื่อไร นักพรตบงกชทองใต้บังคับบัญชาข้าทุกคนต้องติดตามข้าไปออกศึกด้วยกัน!” โค่วเหวินหลานตอบ

รองผู้บัญชาการซุนกุมหมัดถามอีก “นายท่าน ถ้าพวกเราไปกันหมด แล้วจะทำอย่างไรกับเขตเมืองตะวันออกล่ะ?”

“ทางท่านแม่ทัพจะจัดการเอง พวกเจ้าแค่เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางได้ทุกเมื่อก็พอ!” โค่วเหวินหลานกล่าวเสียงเรียบ

มีคำบางคำที่เขาไม่สะดวกจะพูดออกมา ที่จริงเขาเองก็รู้ชัด ปี้เยว่ฮูหยินอยากจะไล่เขากับเซี่ยโห้วหลงเฉิงออกไปไวๆ จะได้ไม่ต้องก่อเรื่องที่นี่ แม้แต่เรื่องชดเชยค่าเสียหายให้บรรดาร้านค้าที่เขตเมืองตะวันออก ปี้เยว่ฮูหยินก็ส่งคนไปรับงานต่อแล้ว สำหรับเรื่องนี้โค่วเหวินหลานไม่ได้เห็นแย้งอะไร ถึงอย่างไรเงินชดเชยก็เป็นของพ่อค้าพวกนั้น ไม่ได้ให้เขา ผลประโยชน์ที่แท้จริงเขาได้มาไว้ในมือแล้ว

968

ร้านโฉมเมฆ

หลังจากสั่งลูกน้องที่เป็นกำลังหลักแล้ว โค่วเหวินหลานก็ออกจากจวนผู้บัญชาการและมุ่งตรงสู่ร้านสมาคมวีรชน

เจอศัตรูบนทางแคบ คนที่เข้าประตูกับคนที่ออกประตูเจอกันแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงเพิ่งจะออกมาจากข้างใน พอเห็นเขาก็ขยับตัวขวาง จงใจขวางทางโค่วเหวินหลาน แล้วแสยะยิ้มทักทาย “ไอ้ตุ้งติ้ง เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

“ไอ้หมีควายเซี่ยโห้ว ข้าอยากจะไปไหนมันก็เรื่องของข้า เจ้าเป็นคนเปิดร้านสมาคมวีรชนรึไงล่ะ?”

“อย่าลืมนะว่าที่นี่คืออาณาเขตของใคร!”

“ไอ้หมีควายเน่า เห็นแก่หน้าท่านแม่ทัพ ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าแส่หาเรื่องจะดีกว่า”

“ยังไม่รู้เลยว่าใครปล่อยใครกันแน่!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดเหยียดหยามแต่กลับต้องหลีกทาง จากนั้นเดินก้าวยาวออกไป ก็ช่วยไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ปี้เยว่ฮูหยินลั่นวาจาแล้ว ว่าให้พวกเขาสองคนแสดงฝีมือที่แท้จริงกับเรื่องเฮยหวัง ห้ามทั้งสองก่อเรื่องทะเลาะกันที่นี่อีก ทั้งสองตอบตกลงไปแล้วด้วย

เซี่ยโห้วหลงเฉิงเพิ่งจะออกไป โค่วเหวินหลานก็มาอีกแล้ว หวงฝู่จวินโหรวปวดหัวนิดหน่อย แต่ยังใช้ใบหน้ายิ้มรับแขก หลังจากนั่งลงในศาลาและวางน้ำชาแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็ถอนหายใจแล้วถามว่า “ผู้บัญชาการโค่วให้เกียรติมาเยือน ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร?”

โค่วเหวินหลานตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เจ้าหมีควายนั่นมาเพราะเรื่องอะไร ข้าก็มาเพราะเรื่องนั้น จวินโหรว ระหว่างเราไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรกันแล้ว ข้าจะเปิดอกพูดตรงๆ นะ ใช้กำลังของสมาคมวีรชนช่วยข้าหาที่กบดานของเฮยหวังหน่อย!”

“เจ้ามาหาผิดคนแล้วรึเปล่า คนที่แม้แต่ตำหนักสวรรค์ยังหาไม่เจอ พวกเราจะไปหาเจอได้อย่างไร” หวงฝู่จวินโหรวขมวดคิ้วตอบ

โค่วเหวินหลานจิบน้ำชาไปคำหนึ่ง แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าบอกว่า “รู้อยู่แจ่มแจ้งทำไมต้องแกล้งโง่ สมาคมวีรชนของพวกเจ้าทำงานอะไร เจ้ารู้ ข้าก็รู้เหมือนกัน ตำหนักสวรรค์อยู่ในที่แจ้ง พวกเจ้าอยู่ในที่ลับ ในมุมมืดที่ตำหนักสวรรค์มองไม่เห็น สมาชิกจากสามลัทธิเก้านิกายของสมาคมวีรชนเกรงว่าจะอยู่ในนั้นด้วย เห็นแก่ที่เป็นสหาย ช่วยเหลือนิดหน่อยเท่านั้นเอง!”

“ในเมื่อเจ้าพูดจาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าก็น่าจะเข้าใจดีนะ ถ้าต้องใช้งานสมาคมวีรชนเพื่อหาเฮยหวังจริงๆ คงไม่ถึงคราวที่เจ้าต้องเอ่ยปากหรอก เบื้องบนคงเอ่ยปากตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าไม่ใช่เรื่องที่โดนบีบจนหมดหนทาง เบื้องบนก็ไม่เคยใช้งานสมาคมวีรชนเลย ไม่อย่างนั้นถ้าใช้งานสมาคมวีรชนไปเสียทุกเรื่อง แล้วจะมีทหารสวรรค์อย่างพวกเจ้าไว้ทำอะไรล่ะ? ถ้าใช้งานสมาคมวีรชนทุกเรื่อง แล้ววุ่นวายจนทั้งใต้หล้ารู้เบื้องลึกของสมาคมวีรชน แบบนั้นสมาคมวีรชนก็ไม่จำเป็นต้องมีอยู่แล้ว แทนที่จะไปขอให้อำนาจของตระกูลโค่วช่วยหา เจ้ากลับมาหาข้า เจ้ามาหาผิดคนแล้วจริงๆ” หวงฝู่จวินโหรวกล่าว

“มีกำลังช่วยเพิ่มอีกแรง โอกาสที่จะหาพบก็เร็วขึ้นอีก จวินโหรว เจ้าคงไม่ปฏิเสธที่จะช่วยข้าจริงๆ หรอกใช่มั้ย?” โค่วเหวินหลานถาม

หวงฝู่จวินโหรวส่ายหน้า “โค่วเหวินหลาน เจ้าประเมินข้าสูงเกินไปจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องแบบนี้ ต่อให้ข้ามีอำนาจตัดสินใจ แต่เจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่า… ในเมื่อเจ้ารู้ว่าสมาคมวีรชนฟังคำสั่งใคร ถ้าแม้แต่ตระกูลโค่วของเจ้ายังใช้งานสมาคมวีรชนได้ ถ้ายั่วให้ท่านนั้นระแวง อย่าว่าแต่สมาคมวีรชนของข้าที่จะซวย เกรงว่าแม้แต่ตระกูลโค่วของเจ้าก็จะเจอหายนะเหมือนกัน เจ้ามีพื้นเพมาจากตระกูลใหญ่ คงจะเคยได้ยินผลลัพธ์ของการทำผิดข้อห้ามมาบ้าง อำนาจสวรรค์ยากที่จะคาดเดา เจ้าอยากจะแบกผลลัพธ์แบบนี้จริงเหรอ? ถ้าเปลี่ยนให้ท่านผู้เฒ่าตระกูลเจ้าทำเรื่องนี้ เขาจะไม่มาหาสมาคมวีรชนแน่นอน เจ้า… เห็นแก่ที่เป็นสหายกัน ขอโทษที่ข้าพูดตรงๆ นะ เจ้ากับเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่เกรงกลัวสิ่งใดจนกลายเป็นนิสัย พอก้าวออกจากบ้านก็ได้เป็นผู้บัญชาการเขตเลย ยังขาดประสบการณ์ ขนาดปี้เยว่ฮูหยินที่เป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเจ้า พวกเจ้าก็ยังกล้ามองข้ามหัว ต่อให้พวกเจ้าจะมีคนหนุนหลังยังไง แต่ทำแบบนี้ก็ไม่ถูกอยู่ดี ไม่ผิดหรอก ปี้เยว่ฮูหยินทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้ แต่คนทั้งตำหนักสวรรค์ไม่มีใครชอบคนไม่สนกฎระเบียบแบบนี้ ถึงอย่างไรท่านผู้เฒ่าของตระกูลเจ้าก็ปิดบังความจริงไม่ได้ คำพูดของคนน่ะน่ากลัว คำพูดของฝูงชนพลิกดำเป็นขาว พลิกขาวเป็นดำได้ อย่าทำลายอนาคตของตัวเอง ดังนั้นประสบการณ์ในด้านนี้ของพวกเจ้ายังน้อยไปหน่อย ควรเรียนรู้จากท่านผู้เฒ่าของพวกเจ้าให้เยอะๆ เรื่องที่ไม่ควรไปแตะต้องก็อย่าไปแตะต้อง ข้าช่วยเหลือพวกเจ้าเรื่องนี้ไม่ได้!”

คำพูดตอนท้ายๆ ให้ความรู้สึกเหมือนให้โอวาท แต่โค่วเหวินหลานกลับตกอยู่ในความเงียบแล้ว หลังจากผ่านไปนานถึงได้พยักหน้าบอกว่า “ได้รับบทเรียนแล้ว คิดเสียว่าข้าไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้!” พูดจบก็กุมหมัดคารวะ แล้วลุกขึ้นเดินจากไป…

โค่วเหวินหลานจะหาข่าวเฮยหวังได้เมื่อไร เหมียวอี้ก็ไม่รู้ หลังจากนั้นหนึ่งเดือนอวิ๋นจือชิวกลับพาคนมาแล้ว

นางพาบัณฑิต พ่อครัว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ แล้วก็คนงานไม่กี่คนของโรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ทั้งหมดเป็นคนที่ค่อนข้างไว้ใจได้ ถึงแม้คนงานคนอื่นจะเชื่อใจได้มาก แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะพามาด้วยทั้งหมด ทางพิภพเล็กยังต้องมีคนเฝ้า ส่วนคนที่พามาก็เตรียมจะเฝ้าอยู่ที่นี่ในระยะยาว

เยารั่วเซียนออกจากดาวไร้ลักษณ์มาที่นี่เช่นกัน หลังจากได้ข่าวว่าอวิ๋นจือชิวจะมา เหมียวอี้ก็ให้สำนักลมปราณพาตัวเยารั่วเซียนมาส่งที่อวกาศ จากนั้นตอนที่พวกอวิ๋นจือชิวเดินทางผ่านมา ก็ถือโอกาสพาตัวมาด้วยอย่างเงียบๆ

การซ่อมแซมตกแต่งร้านค้าใหม่เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เหมียวอี้ย่อมต้องวิ่งมาดูสักหน่อย พอเข้ามาในร้านค้าก็เห็นอวิ๋นจือชิวกำลังชี้ไม้ชี้มือ สั่งว่าตรงนี้ต้องทำอยางไร ตรงนั้นต้องทำอย่างไร สรุปก็คือนางเป็นเถ้าแก่เนี้ย ทุกอย่างต้องจัดการตามความชอบของนาง

คนอื่นๆ มองเหมียวอี้ด้วยปฏิกิริยาที่ชื่นชมปนสับสน บัณฑิตกับพ่อครัวทอดถอนใจ ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี เจ้าเด็กนี่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ที่พิภพเล็ก ที่แท้ก็มาหากินที่พิภพใหญ่ในตำนานตั้งนานแล้วนี่เอง ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เป็นทหารเลวสามแถบของตำหนักสวรรค์ด้วย

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ยิ่งทำสีหน้าเคารพนับถือ ถึงอย่างไรในสายตาพวกนาง ก็ไม่เคยมีอะไรที่เหมียวอี้ทำไม่ได้ พวกนางยังเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าเหมียวอี้จะต้องมีอนาคตที่สดใสที่พิภพใหญ่แน่นอน

แต่ระหว่างทางที่มา อวิ๋นจือชิวก็ได้อธิบายไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าสถานการณ์ของพิภพใหญ่ซับซ้อน ต้องรักษาระยะห่างกับเหมียวอี้ไว้ตลอด

เหมียวอี้เพียงพยักหน้ายิ้มบางๆ ให้ทุกคน ตอนที่เห็นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ในใจเขากลับรู้สึกสับสนนิดหน่อย เพราะที่พิภพใหญ่ไม่มีความนิยมเรื่องหญิงรับใช้ประจำตัว ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าทั้งสองอยู่ที่พิภพใหญ่นานไป แล้วจะเกิดความคิดอะไรอย่างอื่นหรือเปล่า

“ผ่านไปไม่นาน งานยุ่งขนาดนี้เชียวเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลั้วหัวเราะ แล้วพาอวิ๋นจือชิวหลบมาจากกลุ่มคน

เมื่อขึ้นมาบนตึก อวิ๋นจือชิวก็นับนิ้วพร้อมบอกว่า “มีเรื่องที่ต้องทำเยอะมาก จุดที่ต้องใช้เงินก็มีเยอะมาก ข้าพาเฮยทั่นกับตั๊กแตนพวกนั้นมาแล้ว ไม่สะดวกจะเลี้ยงพวกมันที่นี่ ถ้าแยกพวกมันให้คนอื่นเลี้ยงก็ไม่ดีอีก เกรงว่าจะต้องซื้อ ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ แล้วก็ทางด้านเยารั่วเซียนอีก ตอนที่หลอมสมบัติที่นี่ เกรงว่าบ้านหลายหลังคงไม่พอให้เขาเผา ถ้าไม่ซื้อ ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ คงไม่ได้ ข้าเคยเห็นของแบบนั้นที่ตลาดสวรรค์ ค่อนข้างเปลืองเงิน”

เหมียวอี้พยักหน้า สิ่งที่เรียกว่า ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ เขาเองก็เคยเห็นเหมือนกัน เป็นของประเภทที่มีพื้นที่ว่างให้เก็บสมบัติ แต่ไม่ใช่สิ่งที่พวกแหวนสมบัติจะเทียบติด ใน ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ คนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ อย่างเช่นยามตำหนักสวรรค์แต่งตั้งให้ไปเป็นขุนนางคุมอาณาเขต ต่อให้เป็นพวกเทพเจ้าที่ ผีหลักเมือง ก็ล้วนได้รับความร่วมมือจากตำหนักสวรรค์ ดังนั้น อย่าไปมองว่าศาลของเทพแห่งผืนดินเล็กๆ ใหญ่สู้ห้องครัวไม่ได้ ที่จริงแล้วข้างในเหมือนมีโลกอีกใบหนึ่ง

ทว่าของแบบนั้นมีเพียงขุนนางที่คุมอาณาเขตเท่านั้นที่มี ระดับของเหมียวอี้สูงกว่าเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมือง แต่กลับไม่มี โค่วเหวินหลานกลับผู้บัญชาการพวกนั้นมี

เขาเคยคิดว่าควรจะปล้น ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ มาจากเทพเจ้าที่ผีหลักเมืองดีไหม แต่ตอนหลังพอสืบข่าวมาถึงได้รู้ ว่า ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ ของขุนนางตำหนักสวรรค์กับ ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ ที่ร้านค้าขายไม่เหมือนกัน พวกนั้นคือสิ่งที่สั่งทำเป็นพิเศษ พวกลูกแก้วพลังปรารถนาที่แจกก็ไม่ต้องส่งให้ต่อหน้า ข้างในมีเครื่องมือแจกจ่ายลูกแก้วพลังปรารถนาที่รวบรวมได้ เล็กใหญ่ตามยศขุนนาง มากน้อยตามสวัสดิการ ส่วนพลังปรารถนาของสาวกที่แจกจ่ายให้ ทางตำหนักสวรรค์ย่อมโอนไปยังดินแดนใต้อาณัติแต่ละแห่ง ให้รวมเป็นลูกแก้วพลังปรารถนาเองโดยกลไกของมันเอง

ก็เพราะสาเหตุที่กล่าวมา ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ ประเภทนี้ หากแย่งมาไว้ในมือก็ไม่มีทางใช้งานได้เลย ตำหนักสวรรค์สามารถรู้ได้ทุกเมื่อว่า ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ ที่ถูกปล้นไปอยู่ที่ไหน สามารถหาเจ้าพบได้อย่างแม่นยำ นอกเสียจากเจ้าจะนำ ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ ที่ปล้นได้มาหลอมสร้างใหม่อีกครั้ง แต่ถ้ามีความสามารถที่จะหลอมสร้างใหม่ได้ ใครจะยังไปเสี่ยงอันตรายปล้นมาล่ะ

ร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ก็มีขายเหมือนกัน เพียงแต่ราคาแพงไปหน่อย ถ้าเป็นขนาดเล็กที่มีพื้นที่ไม่ใหญ่ ราคาก็หนึ่งแสนล้านผลึกแดง แบบพื้นที่กว้างขึ้นมาหน่อยก็แพงกว่า มีนักพรตหลายคนที่ทั้งชีวิตนี้ก็หาเงินไม่ได้มากขนาดนั้น ดังนั้นผู้ที่ใช้ของสิ่งนี้ไหวจึงมีไม่เยอะ

เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอบว่า “ของที่ใช้งานได้ ซื้อเตรียมไว้หลายๆ ชิ้นแล้วกัน ไม่อย่างนั้นตอนที่พวกเราแอบทำจะไม่สะดวก ถึงอย่างไรร้านค้านี้ก็ไม่ใหญ่ ทั้งยังอยู่ในย่านการค้าที่เจริญคึกคักด้วย”

อวิ๋นจือชิวกลอกตามองเขาอย่างหยาดเยิ้ม “ยังจะซื้อหลายชิ้นอีก เจ้าซื้อไหวเหรอ?”

เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ แล้วนำกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งโยนให้นาง “เงินเล็กน้อยแค่นี้ ช่วงนี้ยังพอหามาได้”

พออวิ๋นจือชิวเห็นของในกำไลเก็บสมบัติ นางก็อ้าปากร้อง ‘อ้อ’ ทันที พบว่าข้างในมียาแก่นเซียนและผลึกแดงจำนวนมหาศาล จึงถามอย่างตกตะลึงว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าหาของมาไหนมากมายขนาดนี้?”

เหมียวอี้เล่าเรื่องที่สำนักลมปราณชำระบัญชีให้ในปีนั้น และของที่เพิ่งได้มาในช่วงนี้ รวมทั้งของที่ได้ส่วนแบ่งมาจากจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกก่อนหน้านี้ด้วย

อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างระแวดระวังทันที “นี่คือการปล้นชัดๆ งั้นพวกเราต้องซื้อค่ายกลคุ้มกันขนาดเล็กด้วยแล้ว”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “โดยทั่วไปต้านทานนักพรตบงกชทองไม่ได้ แบบขั้นสูงก็แพงเกินไป ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ถึงราคาค่ายกลแปดทิศ”

อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า “อันที่ราคาถูกก็ต้องซื้อไว้สักอัน คงดีกว่าเวลามีคนแอบเข้ามาเงียบๆ แล้วไม่รู้ ที่นี่มีผู้หญิงหลายคน เจ้าไม่เป็นห่วงเหรอ? ช่างเถอะ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว เดี๋ยวข้าจัดการเองตามเห็นสมควร เออใช่ เจ้าเก็บเงินติดตัวไว้สักหน่อยแล้วกัน เอาไว้ใช้เวลาเข้าสังคมกับคนของตำหนักสวรรค์ เจ้าต้องมั่นคงในตำแหน่งของตำหนักสวรรค์เท่านั้น พวกเราถึงจะมั่นคงได้” พูดจบก็แบ่งสมบัติส่วนหนึ่งจากกำไลเก็บสมบัติออกมา

เหมียวอี้โบกมือ “ข้าไม่สะดวกจะพกเงินติดตัวเยอะ ดีไม่ดีอาจจะโดนคนอื่นแย่งไป เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน ข้าเก็บติดตัวไว้แค่พอใช้ก็พอ”

มอบทรัพย์สินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ให้นางจัดการเอง แบบนี้ต้องใช้ความเชื่อมั่นและวางใจขนาดไหน รอยยิ้มบนใบหน้าอวิ๋นจือชิวช่างงดงาม แววตาค่อนข้างออเซาะ แต่ช่วยไม่ได้ที่ตอนนี้กำลังตกแต่งร้าน ไม่สะดวกเพราะมีคนเข้าคนออก ไม่อย่างนั้นนางคงโผเข้าไปกอดเขาแล้ว

หลังจากนั้นครึ่งเดือน ก็เปิดร้านค้าแล้ว ชื่อว่า”ร้านโฉมเมฆา” ขายเครื่องประดับกับพวกผลึกบริสุทธิ์โดยเฉพาะ

พวกเครื่องประดับที่ขายตอนร้านขายของชำซื่อตรงเพิ่งเปิด ตอนนี้นำมาขายอีกครั้ง อาศัยความนิยมที่เหลือในปีนั้น สร้างยี่ห้อโฆษณานิดหน่อย ก็ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวได้เหมือนกัน วันเปิดร้านดึงดูดลูกค้าผู้หญิงได้ไม่น้อยเลย เพียงแต่ราคาแพงจนไร้เหตุผล แค่ต่างหูคู่เดียวก็กระเด็นไปแล้วเป็นล้านผลึกแดง ทำให้คนมากมายดูเสร็จแล้วต้องถอย

เหมียวอี้วิ่งมาแสดงความยินดีวันเปิดร้านก็เป็นเรื่องปกติมาก สิ่งที่ทำให้เขากลุ้มใจก็คือ พวกทหารในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกถือของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาประสมโรงด้วย ทหารเลวทั้งเจ็ดมากันครบแล้ว เป็นเพราะคนปากมากอย่างสวีถังหรานปล่อยข่าว บอกว่าเหมียวอี้กำลังจีบเถ้าแก่เนี้ยของร้านนี้ ทำเอารู้กันทั้งจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก คนกลุ่มนี้มาก็นับว่าสร้างกระแสให้เหมียวอี้

จากสิ่งนี้ทำให้ดูออกว่าช่วงนี้เหมียวอี้มีความสัมพันธ์อันดีกลับกลุ่มนี้ แต่ในใจเหมียวอี้รู้ชัด ประการแรกเป็นเพราะตนไม่มีตำแหน่งในจวนผู้บัญชาการ ถึงขั้นไม่มีลูกน้องเลยสักคน ในกลุ่มทหารเลวตนมีวรยุทธ์ต่ำสุด ไม่มีผลประโยชน์อะไรกับพวกเขา ประกอบกับโค่วเหวินหลานเป็นคนพาเข้ามาเอง ไม่รู้แน่ชัดว่ามีความสัมพันธ์กับโค่วเหวินหลานอย่างไรกันแน่ คนยศเท่ากันย่อมยินดีสานสัมพันธ์อันดีกับตน

“เถ้าแก่เนี้ย น้องหนิวของพวกเราจริงใจต่อเจ้านะ ถ้าไม่มีงานก็วิ่งมาหาเจ้าตลอด” สิ่งที่สวีถังหรานพูดกับอวิ๋นจือชิวเรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆ กล่าวให้คล้อยตามอยู่อย่างนั้น บอกว่าเหมียวอี้ดีอย่างนั้นอย่างนี้ พยายามเป็นพ่อสื่อเต็มที่

ขณะที่เหมียวอี้กำลังกลุ้มใจ จู่ๆ ก็หนังตากระตุก มีคนคนหนึ่งเดินเข้าประตูร้านมา ไม่ใช่ใครที่ไหน หวงฝู่จวินโหรวนั่นเอง

969

ผู้หญิงมีสามีแล้ว

แค่มองการแต่งกายและคุณสมบัติเฉพาะตัวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา อยู่เป็นคนงานที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุหลายปีขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะมีตาแต่ไร้แวว คนงานรีบเข้ามารับแขกทันที ต้อนรับอย่างอบอุ่น

หวงฝู่จวินโหรวที่เดินเข้าประตูมายิ้มให้พนักงาน แล้วพยักหน้าเบาๆ กวาดสายตามองในร้านค้า พอสบตากับเหมียวอี้ นางก็รีบหลบตา ทำเหมือนไม่เห็นท่านขุนนางเหมียวอยู่ในสายตา สิ่งนี้ทำให้ท่านขุนนางเหมียวโล่งใจมาก ถ้าไม่สนใจเขาได้จะดีที่สุด

ดันเป็นเวลานี้ สวีถังหรานบอกกับอวิ๋นจือชิวว่า “น้ำจิตน้ำใจที่สหายเหมียวมีต่อเถ้าแก่เนี้ย คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็รู้กันหมด เถ้าแก่เนี้ยลองพิจารณาดูให้ดีนะ”

อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงอมยิ้ม แต่ไม่แสดงท่าทีอะไร

หารู้ไม่ว่าคำพูดนี้กลับทำให้เหมียวอี้กินปูนร้อนท้อง เขารีบเหลือบมองหวงฝู่จวินโหรว

เป็นอย่างที่คาดไว้ หวงฝู่จวินโหรวที่กำลังก้มหน้าดูเครื่องประดับในตู้แสดงสินค้า พอได้ยินแล้วเอียงหน้ามองมา สายตาไปหยุดอยู่ที่อวิ๋นจือชิว จากนั้นก็ถามพนักงานที่อยู่ข้างกายเพื่อยืนยันว่า “คนไหนคือเถ้าแก่เนี้ยของพวกเจ้า?”

พนักงานย่อมชี้ไปยังอวิ๋นจือชิวที่กำลังอยู่กับลูกค้าที่มาจากจวนผู้บัญชาการ “ท่านนั้นคือเถ้าแก่เนี้ยของพวกเราขอรับ”

หวงฝู่จวินโหรวขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นก็หันตัวเดินเข้าไป แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พวกขุนพลช่างมีอารมณ์สุนทรีย์จริงๆ นะ!”

“ผู้จัดการร้านหวงฝู่มาแล้ว!” พวกทหารเลวพากันพยักหน้าทักทาย

หวงฝู่จวินโหรวมองไปที่อวิ๋นจือชิวอีก “ท่านนี้คือเถ้าแก่เนี้ยของ ‘ร้านโฉมเมฆา’ เหรอ ไม่ทราบว่าเถ้าแก่เนี้ยยังจำได้หรือเปล่า พวกเราเคยเจอกันมาก่อน”

อวิ๋นจือชิวเพียงเคยได้ยินเหมียวอี้พูดถึง ว่าผู้หญิงคนนี้เกือบทำให้เหมียวอี้ตาย ในใจย่อมไม่ปลื้มนางอยู่แล้ว แต่บนใบหน้ายังยิ้มทักทายอย่างสดใส “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ช่างความจำดีจริงๆ! ข้าจะลืมได้อย่างไร ตอนแรกยังไปรบกวนที่ร้านค้าสมาคมวีรชนอยู่เลย อวิ๋นจือชิวคำนับผู้จัดการร้านหวงฝู่!” อวิ๋นจือชิวคำนับทักทาย

หวงฝู่จวินโหรวคำนับกลับ แล้วกวาดสายตามองในร้าน ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ที่แท้เครื่องประดับที่ร้านขายของชำซื่อตรงขายก็มาจากเถ้าแก่เนี้ยนี่เอง ยามเห็นเมฆาคนึงหาอาภรณ์ ยามเห็นบุปผาคนึงหาโฉมงาม ร้านโฉมเมฆา ช่างเป็นชื่อร้านที่ดีจริงๆ เถ้าแก่เนี้ยคงไม่รู้ว่าทำให้ผู้หญิงมากมายเท่าไรอิจฉาแทบตาย!”

“ธุรกิจเล็กๆ ของร้านนี้เทียบร้านค้าสมาคมวีรชนไม่ติดหรอก” อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างเกรงใจ จากนั้นก็กล่าวขออภัยพวกสวีถังหราน “ขุนพลทุกท่านเชิญตามสะดวก” จากนั้นหันตัวมายื่นมือเชิญหวงฝู่จวินโหรว พาหวงฝู่จวินโหรวเดินดูสินค้าด้วยตัวเอง แนะนำเครื่องประดับที่วางแสดงด้วยตัวเอง

ฉากนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกเหงื่อแตก

“พี่หนิว ทำไมสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวล่ะ?” สวี่เต๋อหรานมาโผล่ข้างกายเหมียวอี้และตบบ่าเขา

ข่งเฟยฝานเข้ามาเดาะลิ้นแล้วบอกว่า “พี่หนิวมองจนตาค้างหมดแล้ว แต่จะว่าไปแล้ว ก็อาจจะสวยสู้ผู้จัดการร้านหวงฝู่ไม่ได้ แต่เสน่ห์แบบนั้นพบได้น้อยมากจริงๆ เถ้าแก่เนี้ยแซ่อวิ๋นช่างเป็นผู้หญิงที่สวยโดดเด่น เห็นแล้วมีแรง ไม่แปลกใจที่พี่หนิวจีบไม่เลิกแบบนี้”

เหมียวอี้ได้สติกลับมา แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “แต่อีกฝ่ายเหมือนจะไม่สนใจอะไรข้าเลยนะ! แถมยัง… ไม่ปิดบังก็ได้ เถ้าแก่เนี้ยคนนี้เป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว”

เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก ต้องทำให้ดูเหมือนทั้งสองมีระยะห่างกัน ไม่อย่างนั้นถ้างานของเขามีอะไรผิดพลาด ก็เป็นไปได้สูงว่าจะทำให้ร้านโฉมเมฆาลำบากไปด้วย เรื่องนี้เขาปรึกษากับอวิ๋นจือชิวไว้เรียบร้อยแล้ว

ผู้หญิงที่มีสามีแล้ว? คนที่ล้อมเข้ามาอึ้งทันที หลังจากมองหน้ากันเลิกลั่ก ก็มองไปทางเหมียวอี้ด้วยสายตาแปลกๆ พึมพำในใจว่า เจ้าชอบผู้หญิงที่มีสามีก็ว่าแย่แล้ว แต่การจีบอย่างสง่าผ่าเผยแบบนี้มันเกินไปหน่อยมั้ง

หลัวว่านกวงไอแห้งๆ ทีหนึ่ง แล้วถามเสียงต่ำว่า “พี่หนิว เจ้าคิดจะเล่นๆ หรือจะเอาจริง? ถ้าคิดจะเล่นๆ งั้นก็สงบเสงี่ยมไว้หน่อยเถอะ ไม่อย่างนั้นเจ้าทำแบบนี้จะโจ่งแจ้งเกินไป ดีไม่ดีจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง ต่อให้ผู้ชายจะเจ้าชู้ แต่ก็ต้องได้มาด้วยวิธีที่ถูกต้อง ภายนอกต้องรักษาภาพพจน์มั่งสิ  ถ้ามากเกินไป เกรงว่าพวกเราจะช่วยเจ้าไม่ได้!”

คนที่เหลือพยักหน้าเห็นด้วย ในใจรู้สึกเบื่อหน่ายมาก เจ้าจะจีบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นขุนพล กลุ่มขุนพลมาช่วยเจ้าจีบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปจะไม่แย่เหรอ? ถึงอย่างไรทุกคนก็ทำงานให้ตำหนักสวรรค์ อย่างน้อยก็ต้องรักษาหน้าตาบ้าง ถ้าตอนได้โยกย้ายเลื่อนขั้นมีคนนำเรื่องนี้มาโจมตีจุดอ่อน อนาคตก็ถูกทำลายหมดแล้ว

เหมียวอี้กลับกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ย่อมต้องอยากคิดจะแต่งงานกับนางอยู่แล้ว”

ทุกคนงงมาก ปู้เหลียนจงกล่าวเสียงต่ำว่า “พี่หนิว เรื่องแบบนี้ต้องรอบคอบไว้นะ ในใต้หล้ามีดอกไม้หอมอยู่ทั่วทุกที่ เหตุใดต้องรักข้างเดียวกับดอกไม้ก้านเดียว แค่เล่นๆ ก็พอแล้ว ถ้าเจ้าเคยแต่งงานมาแล้วก็ว่าไปอย่าง ทั้งคู่สมน้ำสมเนื้อกันก็ไม่เป็นไร แต่คนบริสุทธิ์อย่างเจ้า มันใช่เรื่องเหรอที่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่มีสามีแล้ว? ผู้หญิงที่แต่งงานครั้งที่สอง ไม่มีสิทธิ์จะได้เป็นภรรยาเอกด้วยซ้ำ ถ้าแต่งงานกลับมาจริงๆ เกรงว่าแม้แต่บรรพบุรุษก็ยังเสียหน้า ต้องโมโหจนคลานออกมาจากหลุมศพแน่ รอบคอบหน่อย คิดดูอีกทีเถอะ!”

เหมียวอี้แสดงท่าทีแน่วแน่มาก กล่าวอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาดว่า “หนิวคนนี้ไม่ได้มั่ว ทำเรื่องเล่นๆ แบบนั้นไม่ได้หรอก!”

ทุกคนได้ยินแล้วพูดไม่ออก ไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี สุดท้ายสวีถังหรานก็หัวเราะแห้งๆ แล้วแอบกระซิบถามเบาๆ “ในเมื่อพี่หนิวมีรสนิยมแบบนี้ งั้นก็ง่ายเหมือนกัน เจ้าตัวอยู่ในอาณาเขตของพวกเรา แสดงว่าเป็นเป็ดในหม้อต้ม บินหนีไปไหนไม่ได้แล้ว เจ้ารู้หรือเปล่าว่าสามีของนางเป็นใคร ขอเพียงทำให้นางเป็นแม่หม้าย เรื่องนี้ก็จัดการได้สะดวกแล้ว”

เมียเจ้าสิที่จะกลายเป็นแม่หม้าย! เหมียวอี้สบถในใจ แต่ภายนอกส่ายหน้าตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่เคยเจอผู้ชายของนาง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำงานอะไร”

ทุกคนพูดไม่ออกอีกครั้ง เจ้าอย่าให้พวกเราหลงหลุมไปด้วยเลย

สวีถังหรานทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน เปลี่ยนคำพูดทันที “งั้นก็ต้องระวังตัวจริงๆ แล้ว ผู้หญิงคนนี้ดูมีสง่าราศีไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าเคยถูกกล่อมเกลามาก่อน  ถ้าผู้ชายของนางเป็นประเภทที่พวกเราไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว คงเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนจริงๆ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้หญิงคนนี้มาทำลายอนาคตนะพี่หนิว!”

คนที่เหลือพยักหน้า ส้าวเติงก่วงบอกว่า “เอ่อคือ พี่หนิว ข้ายังมีธุระนิดหน่อย อยู่นานไม่ได้ ขอตัวกลับก่อนนะ”

“ข้าไปด้วยสิ!” ปู้เหลียนจงพูดตามทันที

กลุ่มทหารสวรรค์ตีกลองถอยทัพแล้ว พวกเขาไม่อยากแส่หาเรื่อง ต้องการจะหนีกันหมด แต่เหมียวอี้กลับดึงพวกเขาไว้ “ในเมื่อพี่ใหญ่ทุกท่านมาแล้ว ก็อยู่เป็นหน้าเป็นตาให้น้องชายสักหน่อยสิ? อีกฝ่ายเพิ่งจะเปิดร้าน พวกพี่ๆ ช่วยซื้อเครื่องประดับติดมือกลับไปบ้างสิ” นี่เป็นการหาเงินให้ตัวเอง จะไม่กระตือรือร้นได้อย่างไร

“ไม่ใช่มั้ง?” สวีถังหรานหดหัว แล้วกล่าวเสียงอ่อนปวกเปียก “พี่หนิว สินค้าที่นี่ ราคาถูกสุดก็หนึ่งล้านผลึกแดงแล้ว มีแต่ของที่ผู้หญิงชอบ ไม่มีประโยชน์อะไรกับการฝึกตนเลย ไม่มีความหมายในสายตาผู้ชาย พวกเราจะซื้อไปทำไม?”

“ครั้งก่อนพวกพี่ๆ ก็หาเงินมาได้ก้อนหนึ่งแล้ว ช่วยกันหน่อยเถอะ!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะต่อทุกคน

เพื่อนร่วมงานทั้งหกคนปวดประสาทนิดหน่อย ถ้ารู้แต่แรก ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่มาประสมโรงด้วยหรอก หนึ่งล้านผลึกแดงสามารถแลกยาแก่นเซียนได้สิบเม็ดเชียวนะ มีแต่คนที่กินข้าวอิ่มแล้วไม่มีงานทำเท่านั้น ถึงจะโยนยาแก่นเซียนสิบเม็ดทิ้งเพราะเครื่องประดับบ้าๆ นี่ชิ้นเดียว

“เครื่องประดับของร้านขายของชำซื่อตรงในปีนั้นมีผู้หญิงชอบเยอะขนาดไหน พี่ใหญ่ทุกคนคงเคยได้ยินมาแล้ว ตัวเองไม่ใช้ แต่ซื้อไปง้อผู้หญิงได้นะ…”

ในขณะที่เหมียวอี้ ‘เป็นคนกลางแนะนำให้’ อย่างหน้าด้านกระตือรือร้น ทหารเลวทั้งหกก็กัดฟันซื้อไปคนละชิ้น พวกเขาไม่ได้กำลังไว้หน้าเหมียวอี้ แต่กำลังไว้หน้าโค่วเหวินหลานเพราะไม่แน่ใจว่าเจ้าเจ้าบ้านี่กับโค่วเหวินหลานมีความสัมพันธ์กันอย่างไร คงไม่ดีถ้าจะไม่ไว้หน้า

อวิ๋นจือชิวที่กำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานกับหวงฝู่จวินโหรว พอเห็นเหมียวอี้ช่วยเรียกลูกค้า ในใจก็แอบขำ แน่นอนว่าดูออกว่าลูกค้าพวกนั้นไม่ค่อยเต็มใจ

หวงฝู่จวินโหรวแอบเหลือบมองหลายครั้ง ขณะกำลังส่องกระจกเทียบปิ่นปักผมบนศีรษะตัวเอง นางก็ถือโอกาสกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ดูออกเลยว่าขุนพลหนิวใส่ใจธุรกิจของถ้าแก่เนี้ยมาก! สงสัยขุนพลหนิวกับเถ้าแก่เนี้ยจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดานะ!”

อวิ๋นจือชิวกลับเกิดความระมัดระวังในใจ นางรู้เพียงว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ถูกกับเหมียวอี้ กังวลว่าตัวเองจะกลายเป็นจุดอ่อนให้นางบีบ แน่นอนว่าต้องปฏิเสธเรื่องความสัมพันธ์ เพียงตอบพร้อมรอยยิ้มจืดๆ “เป็นแค่สหายธรรมดาเท่านั้น”

หวงฝู่จวินโหรวเอียงหน้ายิ้มอย่างสนิทสนม “แต่ไม่เหมือนสหายธรรมดาเลยนะ ข้าได้ยินว่าขุนพลหนิวท่านนี้กำลังตามจีบเถ้าแก่เนี้ย”

หลังจากนางได้ยินข่าวลือนี้ ในใจก็เกิดความแค้น อยากจะมาดูว่าเถ้าแก่เนี้ยหน้าตางดงามอย่างไรกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เหมียวอี้หลงใหลจนใจลอย นี่ก็คือสาเหตุที่นางมาที่ ‘ร้านโฉมเมฆา’ ในวันเปิดร้าน เมื่อเห็นว่าเถ้าแก่เนี้ยคือผู้หญิงที่นางเคยพบมาก่อน ในใจก็จำต้องยอมรับ ว่าถึงแม้อีกฝ่ายอาจจะไม่สวยเท่าตน แต่เสน่ห์ความเย้ายวนที่แฝงอยู่ในความสง่างามแบบนั้น เป็นสิ่งที่ตนเทียบไม่ติด

สิ่งนี้ทำให้นางแค้นจนกัดฟันกรอด ที่แท้เหมียวอี้ก็ชอบผู้หญิงแบบนี้นี่เอง! นางย่อมรู้ชัดอยู่แล้ว ว่าตอนแรกที่เหมียวอี้มาอยู่กับนาง ล้วนเป็นเพราะความผิดพลาดทั้งนั้น เหมียวอี้ไม่นับว่าชอบนางเท่าไรเลย สิ่งนี้ทำให้หวงฝู่จวินโหรวไม่พอใจมาก เพราะนางชอบเหมียวอี้

ตอนแรกนางยังไม่เข้าใจว่าตัวเองชอบเหมียวอี้ แต่หลังจากมีความสัมพันธ์กัน แล้วนึกขึ้นได้ว่าตัวเองหยิบปิ่นแมลงปอสีแดงออกมาทุกครั้งที่นั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นางถึงได้เข้าใจ ว่าแท้จริงแล้วนางชอบเหมียวอี้ตั้งแต่ตอนที่เขาปักปิ่นให้นางครั้งแรก สิ่งนี้ฝังลึกอยู่ในใจของนาง ยากที่จะลบเลือนไปได้!

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้ายิ้ม “ข้าเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ข้ากับเขาไม่มีทางเป็นไปได้”

หวงฝู่จวินโหรวงุนงงกับสิ่งนี้ โดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานจะไม่นำเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น แต่ผ่านไปชั่วพริบตาเดียว ในใจนางก็คับแค้นหนักกว่าเดิม ได้แต่ฝืนยิ้มพร้อมบอกว่า “แต่ขุนพลหนิวดูเหมือนจะไม่ถือสาเรื่องนี้เท่าไรนะ แน่วแน่กับเถ้าแก่เนี้ยมาก ไม่อย่างนั้นจะลากเพื่อนร่วมงานมาเป็นหน้าเป็นตาให้เถ้าแก่เนี้ยได้อย่างไร?”

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าตอบ “ถึงอย่างไร สำหรับข้าก็เป็นไปไม่ได้”

หวงฝู่จวินโหรวจ้องนางผ่านทางกระจกแวบหนึ่ง บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร นางถอดปิ่นลงมาพร้อมบอกว่า “เอาด้ามนี้แล้วกัน!”

อวิ๋นจือชิวไปที่โต๊ะชำระเงินกับนางทันที แล้วบอกบัณฑิตว่า “ให้ราคาที่พิเศษที่สุดกับผู้จัดการร้านหวงฝู่!”

“ขอรับ!” บัณฑิตเอ่ยรับด้วยความยินดี

ต่อให้เป็นราคาพิเศษ แต่ปิ่นปักผมด้ามนี้ก็ทำให้หวงฝู่จวินโหรวต้องจ่ายยี่สิบกว่าล้านผลึกแดง

และตรงประตู หลังจากพวกสวีถังหรานออกจากร้านค้ามาแล้ว ทั้งหกก็พากันทอดถอนใจ แบบนี้เรียกว่ามาให้เชือดถึงที่!

“พี่ชายทุกท่านกลับดีๆ นะ ครั้งหน้าค่อยมาใหม่!” เหมียวอี้ยืนโบกมือส่งแขกตรงหน้าประตู

พวกเขาหันกลับมาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มฝืนๆ พอหันตัวไป สวีถังหรานก็พึมพำว่า “ครั้งหน้าต่อให้ตีให้ตาย ข้าก็จะไม่มาที่

นี่อีก”

เหมียวอี้แอบยิ้มในใจ ข้าจะคอยดูว่าพวกเจ้าจะกล้ามาประสมโรงที่นี่อีกหรือเปล่า แต่พอหันหน้ากลับมา เขาก็ยิ้มไม่ออกทันที อวิ๋นจือชิวออกมาส่งหวงฝู่จวินโหรวด้วยตัวเอง พวกนางคุยกันประมาณว่าวันหลังจะไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เหมียวอี้ได้ยินแล้วแอบตื่นตระหนกในใจ พวกเจ้าจะไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เหรอ?

ทั้งสามเจอกันตรงประตูพอดี หวงฝู่จวินโหรวยิ้มอย่างสนิทสนมพร้อมบอกว่า “ขุนพลหนิวใส่ใจธุรกิจของพี่อวิ๋นดีเชียวนะ”

“ก็ช่วยๆ กัน!” เหมียวอี้ตอบหัวเราะแห้งๆ  ขายผ้าเอาหน้ารอด

ใครจะไปคิดล่ะ หวงฝู่จวินโหรวกลับถ่ายทอดเสียงหาเขาต่อหน้าอวิ๋นจือชิว “เจ้าแซ่หนิว ยังมียางอายอยู่มั้ย? ข้าเคยเจอคนไร้ยางอายมาก่อน แต่ไม่เคยเจอใครไร้ยางอายเท่าเจ้าเลย แม้แต่ผู้หญิงที่มีสามีแล้ว เจ้าก็ไม่เว้นเหรอ?”

970

ชัยภูมิถ้ำสวรรค์

เหมียวอี้ไม่โมโหกับคำด่านี้ ทั้งยังอธิบายกับอีกฝ่ายไม่ได้ด้วย นี่ก็คือสาเหตุที่เขาไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวมาที่พิภพใหญ่ พอจินตนาการว่าผู้หญิงคนนี้จะได้เจอกันทุกๆ สามวันห้าวัน เขาก็อกสั่นขวัญแขวนแล้ว ทางหวงฝู่จวินโหรวยังไม่เท่าไร กลัวก็แต่อวิ๋นจือชิวจะสู้ตายกับเขาหลังจากที่รู้ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเมียตัวเองนิสัยเป็นอย่างไร เวลาจะหยาบคายไร้เหตุผลขึ้นมา ก็เหมือนแม่ค้าปากตลาดอย่างแท้จริงๆ ดีไม่ดีอาจจะฉวยโอกาสตอนของเขาตอนเขาหลับก็ได้

สิ่งที่ทำให้เขาขนหัวลุกที่สุดก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าหวงฝู่จวินโหรวจะถ่ายทอดเสียงคุยกับเขาต่อหน้าอวิ๋นจือชิว เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นจือชิวรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ นางมองทั้งสองด้วยความสงสัย

เหมียวอี้ทำได้เพียงถ่ายทอดเสียงตอบ “เกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ?”

ไม่เกี่ยวอะไรหรอก ตนถึงขั้นช่วยคนอื่นฆ่าเขาด้วยซ้ำ! แต่หวงฝู่จวินโหรวได้ยินแล้วอยากจะเตะเขาให้ตาย แสยะยิ้มตอบว่า “ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าหรอก แต่ข้ารับรองว่าเจ้าจีบนางไม่ติดแน่นอน!” พูดจบก็หันหน้าเดินจากไป

เจ้ารับรองเลยเหรอ? เจ้าเอาอะไรมารับรอง? เหมียวอี้ได้ยินแล้วแทบจะเงยหน้าหัวเราะลั่น อยากจะบอกหวงฝู่จวินโหรวมากว่า นางเป็นผู้หญิงของข้าตั้งนานแล้ว ถ้าข้าเต็มใจ นางก็มีโอกาสคลอดลูกชายให้ข้ามากกว่าเจ้าอีก!

“ผู้จัดการร้านหวงฝู่กลับดีๆ!” อวิ๋นจือชิวยังโบกมือส่ง แล้วก็หันหน้ามาถามเหมียวอี้ด้วยเสียงต่ำเบาว่า “พวกเจ้าถ่ายทอดเสียงคุยอะไรกันต่อหน้าข้า? คงไม่ได้แอบทำเรื่องผิดอะไรลับหลังข้าหรอกนะ?”

เมื่อก่อนถ้าได้ยินคำนี้ เขาคงจะอกสั่นขวัญแขวน แต่ตอนนี้เหมียวอี้เริ่มค่อยๆ มีภูมิคุ้มกันเวลานางโพล่งถามเหมือนสงสัยเขา รู้ว่านางปากไม่ตรงกับใจ จึงตอบเบาๆ ว่า “พูดเหลวไหล ข้ากับนางก็แค่ขู่กันเฉยๆ เท่านั้น”

ที่จริงอวิ๋นจือชิวไม่ได้คิดเลยว่าทั้งสองจะทำเรื่องน่าอับอายกันจริงๆ ถึงอย่างไรทั้งสองก็เป็นศัตรูคู่แค้นที่หมายจะเล่นงานกันถึงตาย ถ้าสงสัยเหมียวอี้กับคนอื่นยังพอเป็นไปได้ แต่ไม่มีทางสงสัยหวงฝู่จวินโหรว คำพูดประเภทนี้ของนาง เป็นเพียงคำด่าหยอกระหว่างคู่รักที่นางใช้ระบายอารมณ์กับเหมียวอี้จนชินแล้ว

สองสามีภรรยากลับเข้ามาในร้าน เหมียวอี้ถือโอกาสมองไปยังของในตู้แสดงสินค้าแวบหนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “ข้าว่าราคาของในตู้สูงจนไร้เหตุผลไปหน่อยรึเปล่า ต่างหูคู่เดียวก็หนึ่งล้านผลึกแดงแล้ว สร้อยคอเส้นเดียวเจ้ากล้าขายหนึ่งร้อยล้านผลึกแดงเลยเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวตอบว่า “เจ้าหรือข้าที่เข้าใจผู้หญิงมากกว่ากัน? ของแบบนี้ยิ่งเจ้าเน้นปริมาณขายเยอะ ก็จะได้กำไรไม่เท่าไร ของที่ยิ่งทำให้ผู้หญิงปรารถนาอยากได้ ก็ยิ่งทำเงินจากผู้หญิงได้ ต้องทำให้คนส่วนใหญ่ซื้อไม่ไหวสิ ถึงจะมีคนอยากซื้อมากขึ้น ช่างเถอะ หัวใจที่รักสวยรักงามของของผู้หญิง พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง ปลายปีคอยดูว่าฮูหยินของเจ้าขายได้กำไรเท่าไร เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง!”

เหมียวอี้หัวเราะจนตัวโยน หวังว่าสิ่งที่นางพูดจะเป็นความจริง แต่จะสนใจอะไรนางล่ะ มีร้านนี้ไว้ฆ่าเวลาให้นางเท่านั้น ขอแค่นางเล่นอย่างมีความสุขก็พอแล้ว

“มานี่สิ ข้าจะให้เจ้าดูอะไรบางอย่าง!” อวิ๋นจือชิวถ่ายทอดเสียงบอก

ทั้งสองเดินขึ้นชั้นบน พอเดินมาถึงห้องที่เยารั่วเซียนอยู่ อวิ๋นจือชิวก็เคาะประตู ข้างในไม่มีเสียงตอบ จึงผลักเข้าไปโดยตรง พบว่าในห้องไม่มีใครอยู่เลยสักคน

“ตาแก่เยาไปไหนแล้ว?” เหมียวอี้แปลกใจ

อวิ๋นจือชิวชี้ไปยังศาลเจ้าหลังหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นติดกำแพง แล้วตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “วางค่ายกลไว้แล้ว ถ้าไม่ได้เดินออกประตูใหญ่ ก็ไม่มีเหตุผลที่ข้าจะไม่สังเกตเห็น นี่คือ ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ ที่ข้าซื้อให้เขา เขาคงเข้าไปหลบอยู่ในนั้น จึงตะโกนใส่ศาลเจ้าว่า “ท่านจื่อหยาง!”

พอสิ้นเสียง ในศาลเจ้าก็มีแสงยิงออกมาสายหนึ่ง ปรากฏเป็นเงามายาตรงหน้าศาลเจ้า อวิ๋นจือชิวก้าวเข้าไปช้าๆ แล้วเงาคนก็หายไปในเงามายานั้น ตอนหลังเหมียวอี้เดินตามเข้าไป พอก้าวเข้าไปในเงามายา ภาพตรงหน้าก็กลายเป็นฟ้าดินอีกแห่งทันที

ในลานบ้านเล็กๆ มีเสียงหายใจดังเป็นพักๆ เฮยทั่นกำลังนอนงีบอยู่ในศาลา มันกินยาเจี๋ยตันขั้นห้าไป ไม่รู้ว่าจะตื่นเมื่อไร

ในลานบ้านยังมีเตาหลอมของเยารั่วเซียนวางอยู่ด้วย บนบันไดนอกห้องโถงเล็กๆ เยารั่วเซียนกำลังนั่งขัดสมาธิ เพียงเงยหน้ามองทั้งสองแวบหนึ่ง แล้วก็เล่นของวิเศษในมือตัวเองต่อไป พอตกอยู่ในสภาพนี้ ก็ไม่เห็นเหมียวอี้กับภรรยาอยู่ในสายตาแล้ว

อวิ๋นจือชิวชี้ไปที่ลานบ้านพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อมี ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ นี้แล้ว เขาก็สามารถศึกษาวิธีหลอมของวิเศษในร้านค้าได้อย่างสงบได้ ตอนนี้เขาสนใจของวิเศษที่พิภพใหญ่มาก”

เหมียวอี้มองไปรอบๆ พบว่าภาพในห้องด้านนอกลานบ้านชัดเจนมาก แต่เหมือนสิ่งของจะเปลี่ยนเป็นใหญ่ขึ้นแล้ว ตอนอยู่ในลานบ้านแล้วมองไปในห้องข้างนอก ก็รู้ว่าว่าตัวเองเหมือนเป็นตุ๊กตาตัวเล็ก เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมากจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์

พอหันกลับมองมองสิ่งของที่เยารั่วเซียนกำลังถือเล่นอยู่ในมือ ก็ขมวดคิ้วถามว่า “ปีศาจเฒ่า เกราะรบชุดนั้นของข้า เมื่อไรท่านจะเริ่มหลอมสร้างให้?”

เยารั่วเซียนไม่สนใจเขาเลย อวิ๋นจือชิวจึงยิ้มบางๆ และตอบแทนว่า “ท่านจื่อหยาง สถานการณ์ที่พิภพใหญ่ไม่ค่อยดีสำหรับพวกเรา เกราะรบชุดนั้นมีประโยชน์ต่อหนิวเอ้อร์มาก หวังว่าท่านจะใช้ความคิดกับมันสักหน่อย ช่วยทำให้เขาเร็วๆ”

เยารั่วเซียนได้ยินแล้วเงยหน้า พยักหน้าตอบว่า “ฮูหยินไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ข้าจะเริ่มหลอมสร้างแล้ว”

เหมียวอี้กลอกตามองบนทันที เจ้าปีศาจเฒ่าเห็นคำพูดของเขาเป็นเหมือนลมตด!

ที่จริงเยารั่วเซียนหวาดกลัวอวิ๋นจือชิวมาก สามารถปีนเกลียวเหมียวอี้ได้ แต่กลับไม่กล้าทำกำเริบเสิบสานต่อหน้าอวิ๋นจือชิว ประการแรกเป็นเพราะชื่อเสียงของหลานสาวปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนสามารถกดดันเขาได้หลายส่วน ประการต่อมาเป็นเพราะเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ล้วนอยู่ในการควบคุมดูแลของอวิ๋นจือชิว

“งั้นก็ดี พวกเราสองสามีภรรยาไม่รบกวนแล้ว” อวิ๋นจือชิวตอบพร้อมยิ้มบางๆ ก่อนจะหันตัวไปพยักหน้าให้เหมียวอี้ แล้วมุดออกจากประตูใหญ่ของเงามายาพร้อมกัน กลับมาอยู่ในห้องด้านนอกศาลเจ้าแล้ว

เหมียวอี้หันกลับไปมองแวบหนึ่ง เงามายานั้นพลันหายไปแล้ว พอเดินออกจากประตู เหมียวอี้ก็ถามว่า “เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์พักที่ไหน?”

“พวกนางพักอยู่กับข้า!” อวิ๋นจือชิวพาเขาขึ้นไปชั้นบนสุด ไปที่ห้องนอนของนาง

ศาลเจ้าที่วางอยู่ในห้องสะดุดตามาก พออวิ๋นจือชิวร่ายอิทธิฤทธิ์ชี้ เงามายาแบบเดียวกันก็ยิงกระจายออกมานอกศาลเจ้า แล้วทั้งสองก็เข้าไปพร้อมกัน

ลานบ้านที่อยู่ตรงหน้าใหญ่กว่าลานบ้านของเยารั่วเซียนเยอะ ตั๊กแตนฝูงหนึ่งกำลังกัดกินผลึกแดงเสียงดังกรอบแกรบ

อวิ๋นจือชิวพาเขาเดินเล่นรอบหนึ่ง มีโถงหลัก มีลานบ้านด้านหลัง ในลานบ้านด้านหลังมีห้องนอนหลัก ฝั่งซ้ายและขวามีห้องรอง อวิ๋นจือชิวชี้ไปยังห้องทางซ้ายและขวา “สองฝั่งนี้เป็นที่พักของเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ตรงกลางเป็นห้องของพวกเรา”

เหมียวอี้เผยรอบยิ้มมีลับลมคมใน วางมือข้างหนึ่งที่เอวอ่อนของนาง แล้วลูบไล้บนบั้นท้าย “เอ่อคือ ฮูหยิน เหมือนพวกเราจะไม่เคยจู๋จี๋กันใน ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ เลยนะ ปกติข้าไม่สะดวกจะมาที่นี่บ่อยด้วย ในเมื่อมีโอกาสเหมาะ ก็ปล่อยตามธรรมชาติ…”

“ออกไป!” อวิ๋นจือชิวทำเสียงหงุดหงิด บิดตัวหลบมือมารของเขา แล้วกลอกตาอย่างหยาดเยิ้ม “วันเปิดร้านแท้ๆ ถ้าไม่เห็นเงาเถ้าแก่เนี้ยเลยคงไม่เข้าท่าแล้ว วันนี้ไม่ได้!” พูดจบก็จับเขาหันตัวไป “อย่าพูดจาเหลวไหล เจ้าเองก็อยู่กับข้านานเกินไปไม่ได้เหมือนกัน ออกไปๆ!”

พอออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เหมียวอี้ก็กล่าวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้าไม่อยู่กับข้า งั้นข้าไปหาเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์นะ?”

“สันดานคน!” อวิ๋นจือชิวพูดดูถูก แล้วออกจากห้องนั้นมาคนเดียว ไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้าน

เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ ผ่านไปครู่เดียวก็ไปหาเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่กำลังงานยุ่งอยู่ที่ลานบ้านด้านหลังของร้านค้า แล้วก็จูงมือสองสาวที่กำลังเขินอายเข้าไปในชัยภูมิถ้ำสวรรค์…

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ตอนที่เหมียวอี้มาที่ร้านค้าอีกครั้ง ก็พบว่าอวิ๋นจือชิวเริ่มคบค้ากับพวกสตรีสูงศักดิ์ของตำหนักสวรรค์แล้ว ผู้หญิงหลายคนกำลังนั่งพูดคุยหัวเราะคิกคักอยู่ในห้องที่หรูหรา

“เสวี่ยเอ๋อร์ ไปหาผู้จัดการร้าน นำเครื่องประดับราคาแพงที่ไม่ได้ตั้งแสดงมาให้ฮูหยินทั้งหลายดูหน่อยสิ”

อวิ๋นจือชิวที่อยู่ด้านในเพิ่งจะพูดจบ เสวี่ยเอ๋อร์ที่แหวกม่านไข่มุกออกมาก็พบว่าเหมียวอี้แอบฟังอยู่ข้างนอก ก็แลบลิ้นให้เหมียวอี้เงียบๆ แล้วรีบออกไป

ผ่านไปครู่เดียว นางก็หอบกล่องเครื่องประดับที่งดงามประณีตกลับมาหลายใบ ทำให้ด้านในมีเสียงเดาะลิ้นชื่นชมของผู้หญิงดังขึ้นเร็วมาก

ท่ามกลางเสียงเจื้อยแจ้วของกลุ่มผู้หญิง ก็ได้ยินเสียงอวิ๋นจือชิวแซมออกมา “หันฮูหยิน ชิ้นที่แพงที่สุดอาจจะไม่ได้เหมาะกับท่านเสมอไป ท่านลองดูชิ้นนี้สิคะ ชิ้นนี้เหมาะกับราศีบนใบหน้าท่านที่สุด ท่านลองสิ”

คำพูดนี้ให้ความรู้สึกเหมือนนางอยากจะหาเพื่อนมากกว่าขายของ เหมียวอี้แอบฟังจนปวดประสาท ส่ายหน้ายิ้มเจื่อนๆ แล้วหันตัวเดินจากไป พบว่าเมียตัวเองถนัดเรื่องเข้าสังคมจริงๆ ด้วย ดูท่าทางแล้ว คงเป็นเรื่องยากที่ร้านค้าร้านนี้จะไม่ทำเงิน

หนึ่งเดือนจากนั้น วันหนึ่งตอนที่เหมียวอี้มาอีกครั้ง ก็พบว่ามีเกี้ยวสีดำหลังหนึ่งจอดอยู่นอกร้านค้า ประตูร้านปิดครึ่งหนึ่ง บันฑิตและพวกพ่อครัวเฝ้าอยู่ที่ประตู

เหมียวอี้ที่กำลังประหลาดใจอยากจะเข้าไปดูสักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ปรากฏว่าโดนบัณฑิตกับพ่อครัวยื่นมือขวางไว้ “ขออภัย ร้านปิดชั่วคราว”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เหมียวอี้ฉงนใจ

บัณฑิตถ่ายทอดเสียงตอบทันที “ปี้เหยว่ฮูหยินมาแล้ว กันคนออกชั่วคราว ผู้ชายถูกกันออกหมด เถ้าแก่เนี้ยกำลังอยู่เป็นเพื่อนนางด้วยตัวเอง เจ้ากลับไปก่อนแล้วค่อยมา”

“…” เหมียวอี้กลัดกลุ้ม นึกไม่ถึงว่า ‘ร้านโฉมเมฆา’ จะดึงดูดปี้เหยว่ฮูหยินให้มาด้วยเหมือนกัน สงสัยเครื่องประดับจะมีแรงดึงดูดต่อผู้หญิงมากจริงๆ

เมื่อมาอีกครั้งในวันต่อไป ร้านค้าก็ไม่ได้ปิด เขาเดินผ่านโต๊ะคิดเงิน แล้วถามอย่างขอไปทีว่า “เถ้าแก่เนี้ยล่ะ?”

“ผู้จัดการร้านหวงฝู่มาแล้ว กำลังคุยกับเถ้าแก่เนี้ยอยู่ที่ลานบ้านด้านหลัง” บัณฑิตตอบ

เหมียวอี้ชะงักฝีเท้า ตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว รีบหันตัวกลับทันที ถอนทัพ!

หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งเดือน เมื่อไม่เจออวิ๋นจือชิว เหมียวอี้จึงถามหา พ่อครัวตอบว่า “ปี้เหยว่ฮูหยินเชิญเถ้าแก่เนี้ยไปชมดอกไม้ที่ตำหนักคุ้มเมือง เถ้าแก่เนี้ยพาเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ไปด้วย!”

นี่ตีสนิทกับปี้เหยว่ฮูหยินได้แล้วเหรอ! เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน พบว่าฮูหยินของตัวเองช่างมีความสามารถ เรียบร้อยแล้ว สามารถสร้างเส้นสายกับปี้เหยว่ฮูหยินได้ ต่อไปถ้าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นที่ตลาดสวรรค์ ตนก็ไม่ต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของอวิ๋นจือชิวแล้ว เป็นเหมือนที่นางบอก เหมียวอี้ไม่ต้องกังวลเรื่องทางร้านค้า

หลังจากกลับมาที่จวนผู้บัญชาการ เหมียวอี้ก็พอจะรู้แล้วว่าทำไมปี้เหยว่ฮูหยินถึงมีอารมณ์ไปชมดอกไม้ เป็นเพราะเจ้าสองคนที่ตลาดสวรรค์ที่ทำให้นางปวดหัวกำลังจะได้ออกไปแล้ว

ตำหนักคุ้มเมืองส่งคนมาคุมเขตเมืองตะวันออกแล้ว โค่วเหวินหลานเพียงพูดอย่างรวบรัด ว่าให้นักพรตบงกชทองใต้บังคับบัญชาของเขาสามสิบคนมารวมตัวกัน และไม่ได้กล่าวอะไรอีก รีบประกาศว่า “ตำหนักสวรรค์ส่งข่าวมาแล้ว มีคนพบเฮยหวังปรากฏตัวที่เขาภูตพเนจรของแดนอเวจี ท่านแม่ทัพสั่งให้พวกเรารีบไปค้นหาและจับตัวมาลงโทษ ทุกคนติดตามข้าออกเดินทางเดี๋ยวนี้ ต้องนำอยู่ข้างหน้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเท่านั้น!”

“รับทราบ!” ทุกคนทำได้เพียงเอ่ยรับคำสั่ง

พอโค่วเหวินหลานโบกมือ ก็เหาะขึ้นฟ้านำไปทันที นักพรตบงกชทองสามสิบกว่าคนตามไปข้างหลัง ใช้วิธีเหาะออกจากประตูเมืองของเขตเมืองตะวันออกโดยตรง

ขณะเดียวกัน กำลังพลกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกจากประตูเมืองตะวันตก เมื่อเห็นพวกโค่วเหวินหลานเหาะขึ้นฟ้าไปไกล เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ตะเบ็งเสียงอย่างเดือดดาล “เร็วๆ หน่อยสิโว้ย!”


971

เขาภูตพเนจร

กำลังพลสองกลุ่มพุ่งออกจากชั้นบรรยากาศตามหลังกันไป มุ่งสู่ทิศทางเดียวกันแบบเจ้าไล่ตามข้า ส่วนข้ามุ่งหน้าสู่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว

เซี่ยโห้วหลงเฉิงเหมือนจะไม่อยากตามหลังโค่วเหวินหลาน เมื่อเห็นพวกลูกน้องวรยุทธ์ไม่สูงเท่าตน ความเร็วในการเหาะทำให้ไล่ตามตนไม่ทัน ก็ออกคำสั่งว่า “เข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้าให้หมด”

ลูกน้องทุกคนพูดไม่ออกสุดๆ ต่างก็อยากจะปฏิเสธ ถ้าไม่ใช่คนที่เชื่อใจกันมาก ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของคนอื่น ถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาไม่ดีขึ้นมา ลงดาบฟันบนกระเป๋าสัตว์สักหนึ่งที ร่างกายที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์จะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย ต้องรู้ไว้ว่ากระเป๋าสัตว์ไม่มีความสามารถในการป้องกันใดๆ เลย เรื่องที่มอบชีวิตให้แบบนี้ ยามเจอกับผู้บัญชาการที่ไม่น่าเชื่อถือ ใครบ้างจะไม่หวาดกลัว?

แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเจ้าบ้านี่ไม่พูดจากันด้วยเหตุผลเลย ได้แต่ถูกเขาเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์ไปคนแล้วคนเล่าแต่โดยดี

เมื่อไม่มีลูกน้องที่วรยุทธ์ต่ำเป็นตัวถ่วง เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ปลดปล่อยความเร็วเต็มที่ทันที ไม่นานก็ตามทันพวกโค่วเหวินหลาน แล้วแฉลบผ่านนำไปพร้อมเสียงหัวลั่นลำพองใจ ทั้งยังส่ายก้นอวดโค่วเหวินหลานด้วย

โค่วเหวินหลานหน้าเครียดลงสามส่วน เปิดเกราะรบที่ห้อยอยู่ตรงเอว เผยกระเป๋าสัตว์ที่อยู่ตรงเอวออกมา แล้วตะโกนบอกพวกลูกน้อง “พวกเจ้าก็เข้ามาเหมือนกัน!”

“นายท่าน คนเยอะขนาดนี้…”

สวีถังหรานยังไม่ทันพูดจบ โค่วเหวินหลานก็ตะคอกถามแล้วว่า “เจ้าคิดจะขัดคำสั่งเหรอ?”

พวกลูกน้องพูดไม่ออก ทำได้เพียงถูกเขาเก็บเข้าในกระเป๋าสัตว์แต่โดยดี แต่ละคนที่เข้าไปแอบด่าแม่ในใจ

ในกระเป๋าสัตว์เบียดกันมาก แต่จะบอกว่าพื้นที่น้อยก็ไม่ได้ เพราะของสิ่งนี้จะขยายและหดตามของที่อยู่ข้างใน คาดว่าเก็บเข้าไปอีกร้อยคนก็ไม่มีปัญหา แต่ก็ยังเบียดกันอยู่ดี รู้สึกเบียดเหมือนจับคนฝังรวมเข้าไปในกองผ้าฝ้าย คนสามสิบกว่าคนเบียดรวมกันเป็นก้อนอยู่ข้างในอย่างไร้ระเบียบ ประกอบกับความมืดที่ทำให้มองไม่เห็นอะไร สถานที่ที่ไร้แสงสว่าง ต่อให้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ก็ไม่มีประโยชน์

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าหน้าตัวเองไปเบียดอยู่บนตัวของใคร จึงออกแรงผลักออก ทำให้คนที่โดนผลักบิดตัวหนีทันที ตามด้วยเสียงร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกน “แม่งเอ๊ย ใครมันลูบไล้ก้นข้า!”

เหมียวอี้อับอายนิดหน่อย หัวเราะแห้งๆ แล้วบอกว่า “พี่ใหญ่สวี่ ขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

สวีถังหรานที่ศีรษะแนบอยู่ในอ้อมอกเหมียวอี้พูดกลั้วหัวเราะทันที “น้องหนิว ข้าก็นึกว่าเจ้าชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าก็สนใจก้นผู้ชายเหมือนกัน”

“มารดาเจ้าสิ ข้าไม่ได้ขายตูดโว้ย!” สวี่เต๋องอเท้าเหยียบหน้าสวีถังหราน

สวีถังหรานร้องทันที “สวี่เต๋อ เจ้ากล้าเหยียบหน้าข้าเหรอ!” ขณะที่พูดก็ชกออกไปหนึ่งหมัด

“โอ๊ยๆ!” ข่งเฟยฝานร้องอุทาน “ใครชกข้า? สวีถังหรานใช่เจ้ารึเปล่า?”

คนสามสิบกว่าคนที่พัวพันกันเหมือนก้อนเชือก ขณะที่พวกเขากำลังต่างคนต่างเถียงกันไม่หยุด จู่ๆ ก็รู้สึกพร้อมกันว่าร่างของตัวเองทะลักขึ้นไปข้างบน ราวกับมีสิ่งของขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมา

“ใครวะ?” เหมียวอี้หงุดหงิดมาก “แค่นี้ก็เบียดกันแล้ว อย่าขยับมั่วๆ สิ ไม่อย่างนั้น…”

จู่ๆ ในกระเป๋าสัตว์ก็สว่างวาบขึ้นมาเล็กน้อย แสงสีเขียวน่าตกใจมาก ลูกตาใหญ่สีเขียวมันวาวพลันเบิกโพลง กลอกกวาดมองทุกคนที่อยู่ตรงหน้า

เมื่อมีลำแสงสายหนึ่งคอยช่วย ดวงตาอิทธิฤทธิ์ของทุกคนก็ได้ใช้ประโยชน์ทันที เหมียวอี้เหมือนโดนอุดปาก มองภาพตรงหน้าอย่างหวาดผวา

ศีรษะขนาดใหญ่ที่มีเขาแหลมอัปลักษณ์ เขี้ยวที่ยื่นออกมานอกปากสูงเท่าคนหนึ่งคน ศีรษะคล้ายมังกร ลูกตากลมโตสีเขียวมันวาวกำลังกลอกกลิ้งมองกลุ่มคนอย่างช้าๆ แววตาที่หยุดนิ่งสั่นสะท้านใจคนมาก ลมหายใจที่เข้าออกรุนแรงราวกับทรายดูด แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสัตว์ที่ร้ายกาจ

หนึ่งคนเงียบ สองคนเงียบ สุดท้ายกลุ่มคนที่อาศัยแสงจากตามันเพื่อหมุนตัวไปยืนเบียดกันในท่าปกติก็เงียบกริบ แต่ละคนอ้าปากค้างเบิกตากว้างมองดูศีรษะใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยเกล็ดแข็งและกระดูกปูดน่าเกลียดน่ากลัว ทุกคนตะลึงงัน ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าทุกคนกำลังเบียดอยู่กับสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวตัวหนึ่ง

มีบางคนเริ่มด่าบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของโค่วเหวินหลานในใจ ในกระเป๋าสัตว์มีสัตว์ประหลาดแบบนี้อยู่ แต่ก็ยังจะเก็บพวกเราเข้ามา

พอสัตว์ปะหลาดอ้าปาก ทุกคนก็อกสั่นขวัญแขวน ลิ้นสีแดงสดเลียกวาดออกมา เลียกวาดบนตัวทุกคนพร้อมกลิ่นเหม็นคาว

ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ทหารเลวเกราะทองแต่ละคนก็ตัวเหนียวหนืด มีบางคนอยากจะฆ่าสัตว์ประหลาดตัวนี้ทิ้งมาก แต่นี่เป็นสมบัติของโค่วเหวินหลาน จึงไม่มีใครกล้าแตะต้อง พวกเขาจึงได้แต่เบียดกันอยู่ตรงนั้นอย่างว่านอนสอนง่าย ปล่อยให้ลิ้นใหญ่ของสัตว์ปะหลาดเลียกวาดบนร่างกายและใบหน้า

สุดท้ายสัตว์ปะหลาดตัวนั่นก็หลับตาลง ศีรษะจมลงใต้ฝ่าเท้าของทุกคน พื้นที่ว่างที่เคยขยายออกหดลงทันที มัดกลุ่มคนไว้รวมกันอีกครั้ง

กระเป๋าสัตว์ตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง ทุกคนมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ได้แต่ค่อยๆ ดื่มด่ำกับกลิ่นเหม็นคาวที่สัตว์ปะหลาดทิ้งไว้

เมื่อรู้ว่าตัวเองยืนอยู่บนตัวของสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว ทุกคนก็ไม่กล้ายั่วโมโหมัน ที่สำคัญคือต่อให้ยั่วให้โมโหแล้ว ก็ไม่กล้าลงมือฆ่าสัตว์ประหลาดของโค่วเหวินหลานอยู่ดี ดังนั้นจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบ พยายามไม่ยั่วโมโหสัตว์ประหลาดที่อยู่ใต้เท้า

“เมื่อกี้มันตัวอะไร?” เหมียวอี้เอียงหน้าถ่ายทอดเสียงถามคนที่อยู่ข้างๆ

“เห็นแต่หัวไม่ได้เห็นทั้งตัว ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร ไม่เคยเห็นผู้บัญชาการโค่วเรียกออกมาใช้ด้วย” สวีถังหรานตอบ

สรุปว่าไม่มีการเถียงกันเหมือนก่อนหน้านี้อีก ทุกคนอยู่อย่างว่านอนสอนง่ายแล้ว

แดนอเวจี เขาภูตพเนจร เป็นดวงดาวที่ไร้เจ้าของ จึงไม่ได้นำชื่อของใครมาตั้งชื่อดวงดาว เนื่องจากมีภูตผีจำนวนมากมารวมตัวร่อนเร่กันกันอยู่ที่นี่ ทั้งยังเต็มไปด้วยเขาหลายลูกที่เชื่อมต่อกัน จึงถูกตั้งชื่อว่าเขาภูตพเนจร

เขาภูตพเนจรเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่มากจนทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อ เป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในเก้าโลก จินตนาการได้เลยว่าใหญ่ขนาดไหน รอบข้างที่กว้างโล่งไม่มีดาวดวงอื่นอยู่ด้วยกัน อาจเป็นเพราะหวาดกลัวที่มันใหญ่จนเหลือเชื่อ มีเพียงดวงอาทิตย์ไม่กี่ดวงที่โคจรรอบมัน แต่ระยะห่างอยู่ไกลเกินไป เห็นเพียงแสงกระพริบริบหรี่อยู่ในท้องฟ้าไกลๆ ทำให้ดาวเคราะห์ดวงนี้มีแสงอ่อนจางมาก ทำให้ดาวทั้งดวงอยู่ในสภาวะมืดครื้มตลอดเวลา ขมุกขมัวตลอดเวลา เหมือนจะแจ่มชัดแต่ก็ไม่แจ่มชัด

กลุ่มภูตผีกำลังรวมตัวกันล่องลอยอย่างช้าๆ ร่างกายเลือนรางไม่ชัดเจน อยู่ในสภาพกึ่งโปร่งแสง จัดเป็นนักพรตผีที่เพิ่งก้าวเข้าสู่แดนฝึกตน แต่กลับไม่สามารถก่อตัวเป็นร่างจริงได้ เหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง

ขณะที่กลุ่มภูตผีร่างโปร่งแสงกำลังลอยเร่ร่อน จู่ๆ พวกมันก็เงยหน้าขึ้น เห็นเพียงเทพเกราะทองแฉลบลงมาจากฟ้า หลังจากเหยียบลงพื้นก็กลายเป็นร่างกำยำล่ำสัน ดวงตาสองข้างที่โตเหมือนระฆังทองแดงกวาดมองไปรอบๆ

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน คือเซี่ยโห้วหลงเฉิงนั่นเอง

พอเซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือ ลูกน้องหลายสิบคนที่กำลังโซเซสับสนทิศทางก็ปรากฏตัว พอเห็นเขา ก็จัดตำแหน่งทิศทางใหม่อีกครั้ง

กลุ่มภูตผีเดินเข้ามาหาเขาทันที ยื่นสองมือเข้ามาทำท่าทางขอทาน มีบางคนส่งเสียงเล็กๆ เหมือนละเมอว่า “ทำบุญหน่อย ทำบุญหน่อยเถอะ!”

เสียงขอทานดังซ้อนกันหลายชั้น เหมือนมีวิญญาณโผล่ออกจากใต้ดินมากขึ้นในชั่วพริบตาเดียว มีทั้งหญิงทั้งชาย มีทั้งเด็กทั้งคนแก่ รูปร่างแตกต่างกันไป

สิ่งที่ขอก็คือสิ่งของที่จะช่วยให้ตัวเองฝึกตนได้ วรยุทธ์ของพวกเขาอ่อนแอเกินไปจริงๆ ไร้ความสามารถที่จะไปค้นหาทรัพยากรฝึกตนจากทั่วทุกที่ จึงมาร่อนเร่พเนจรอยู่ที่นี่ เมื่อมองเห็นความหวังจึงไม่อยากพลาดไป

เมื่อเห็นภูตผีล้อมเข้ามาอย่างหนาแน่น เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ตะคอกเสียงดัง “ไสหัวไป!”

ภูตผีพวกนั้นกลับไม่ฟังเลย ยังคงยื่นมือทำท่าขอทานและรวมตัวกันเข้ามา สิ่งที่เรียกว่าภูตผีไม่จากไปไหนก็เป็นแบบนี้นี่เอง เข้ามาแกะแกะไม่ยอมปล่อยไป

“บังอาจ! บังอาจมาดูหมิ่นอำนาจสวรรค์!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงพลันตะโกนอย่างเดือดดาล พอโบกมือหนึ่งที พลังอิทธิฤทธิ์ไร้รูปร่างก็ทะลักออกมาราวกับระลอกคลื่น

“อา…” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นเป็นแถบ ภูตผีนับร้อยนับพันกระเส็นกระสายหายไปในชั่วพริบตาเดียว โดนพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งบดจนขวัญหนีดีฝ่อ

ภูตผีที่เหลือลุกลี้ลุกลนมาก หันหน้าเลี้ยวหนีทันที บ้างก็มุดลงดิน บ้างก็สลายหายไปจนหมดเกลี้ยง คืนความชัดเจนให้ที่แห่งนี้

ในขณะนี้เอง มีเสียงฝ่าลมดังพรึ่บ โค่วเหวินหลานเหาะลงมาจากฟ้า พอโบกมือ พวกเหมียวอี้ก็ปรากฏตัวทันที

เรื่องแรกที่พวกเหมียวอี้ทำเมื่อปรากฏตัวออกมา ก็คือร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดคราบน้ำลายเหนียวบนตัวที่ตอนนี้แห้งกรังหมดแล้ว

เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานสบตากัน วุ่นวายอยู่ตั้งนานแต่ก็ยังมาถึงแทบจะพร้อมกัน ไม่มีใครทิ้งห่างใครได้ ต่างคนต่างทำเสียงฮึดฮัดใส่กัน

จากนั้นทั้งสองก็นำแผ่นหยกออกมาดูแทบจะพร้อมกัน แล้วมองไปรอบๆ อีกครั้ง ไม่รู้ว่ากำลังมองอะไร แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงพลันกระทืบเท้าอย่างแรง ทำให้พื้นดินสะเทือนเล็กน้อย แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดัง “เทพแห่งผืนดินของที่นี่อยู่มั้ย?”

โค่วเหวินหลานตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดทันที “ไอ้หมีควาย เจ้ากลัวว่าจะเคลื่อนไหวเบาเกินไปเหรอ กลัวว่าเป้าหมายจะไม่รู้เหรอว่าพวกเราจะมาจับตัว?”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงอึ้งเล็กน้อย เหมือนจะสังเกตเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่เหมาะสม แต่ภายนอกก็ยังมองเหยียดโค่วเหวินหลาน

ผ่านไปไม่นาน ชายหนุ่มที่สวมชุดสีขาวทั้งตัวก็รีบลอยมาจากที่ไกลๆ มาเหยียบลงตรงหน้าพวกเขา แล้วกุมหมัดคารวะ “กู้โส่วเทพแห่งผืนดินคำนับท่านขุนนางทุกท่าน!”

เหมียวอี้เห็นบนตัวเทพแห่งผืนดินมีปราณหยินเข้มข้นมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นนักพรตผี

เห็นเพียงเทพแห่งผืนดินคนนั้นถอดแผ่นหยกตรงเอวลลงมาให้ทั้งสองตรวจสอบ แต่พอมองดูทั้งสองฝั่ง เขาก็ไม่รู้ว่าจะให้ท่านไหนดี สุดท้ายก็ก้มหน้ายื่นให้มั่วๆ ใครมาก่อนก็ได้ก่อน

เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานยื่นมือพร้อมกัน หลังจากแผ่นหยกลอยออกจากมือของเทพแห่งผืนดิน ก็ลอยไปลอยมาอยู่กลางอากาศราวกับกำลังชัดเลื่อยกลับไปกลับมา สุดท้ายก็มีเสียง “แกร๊ก” กลายเป็นผุยผงอยู่ภายใต้พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่ง

นี่มันเรื่องอะไรกัน? เทพแห่งผืนดินกู้โส่วเฉิงตะลึงงัน นี่คือป้ายขุนนางที่เบื้องบนแจกลงมาเพื่อยืนยันฐานะของเขา!

ศัตรูทั้งสองสบตากันอย่างแค้นเคือง จากนั้นก็ต่างคนต่างหยิบป้ายคำสั่งออกมา ยื่นให้เทพแห่งผืนดินตรวจดู หลังจากดูเสร็จและเก็บกลับมาแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ชิงถามว่า “เทพแห่งผืนดิน ข้าถามเจ้าหน่อย ได้ยินว่าเจ้าพบเบาะแสของเฮยหวังเหรอ?”

โค่วเหวินหลานอ้าปาก แต่คิดไปคิดมาก็ไม่พูดดีกว่า ถ้าทะเลาะกันตอนนี้คงเสียเรื่องแน่นอน เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนแยกแยะความสำคัญไม่เป็นเหมือนเซี่ยโห้วหลงเฉิง

เทพแห่งผืนดินตอบอย่างระมัดระวังว่า “ขอรับ! ไม่กี่วันก่อนตอนข้าน้อยไปลาดตระเวน ก็บังเอิญเห็นตรงยอดเขาโอนเอนที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ครั้ง  ตอนหลังได้ยินพวกผีเล็กๆ แอบคุยกัน ถึงได้รู้ว่าเขาคือเฮยหวัง นักโทษที่ตำหนักสวรรค์ต้องการตัว จึงรายงานขึ้นไปทันที!”

“ยอดเขาโอนเอนอยู่ที่ไหน?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถาม

เทพแห่งผืนดินชี้ไปไกลๆ “ห่างจากตรงนี้ไปทางทิศเหนือสามพันลี้ ตรงแนวเทือกเขาที่มีควันดำท่วมเอ่อ ยอดเขาที่สูงที่สุดก็คือยอดเขาโอนเอน ยอกเขามีหินก้อนใหญ่ที่โอนเอนเหมือนจะล้มลงมา ด้วยเหตุนี้จึงชื่อว่ายอดเขาโอนเอน”

“ไป!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือ แล้วเหาะนำขึ้นฟ้าไป ใช้มือข้างหนึ่งดึงแขนเทพแห่งผืนดินไปด้วยกัน แล้วกำลังพลก็ตามหลังไป

“ปัญญาอ่อน! เจ้าจะไปจับตัวหรือจะไปแหวกหญ้าให้งูตื่น เหาะไปแบบนี้ตลอดทาง กลัวคนอื่นจะดูไม่ออกเหรอว่าเจ้ามาจากตำหนักสวรรค์!” โค่วเหวินหลานพูดดูถูก แล้วกวักมือบอกลูกน้อง “ตามไป ระหว่างทางถอดเกราะรบบนตัวด้วย อย่าทำเหมือนเจ้าโง่นั่น!”


972

ยอดเขาโอนเอน

แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่ได้ปัญญาอ่อนเหมือนที่เขาจินตนาการหรอก ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ลูกน้องของเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้โง่ขนาดนั้น

การกรีธาทัพออกปราบเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย ต่อให้ลูกน้องจะรู้ว่าเจ้านายตัวเองไร้เหตุผล แต่ก็จำเป็นต้องกัดฟันตักเตือน พอได้รับคำตักเตือนแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็รู้สึกว่ามีเหตุผล เขาพาเทพแห่งผืนดินเหาะขึ้นฟ้าไป เห็นได้ชัดว่าจะมองหาจุดที่แม่นยำจากบนท้องฟ้า จากนั้นค่อยรุกโจมตีในแนวตั้ง จะโจมตีให้อีกฝ่ายทำอะไรไม่ถูก

เซี่ยโห้วหลงเฉิงขึ้นไปข้างบนแล้ว สอดคล้องกับเจตนาของโค่วเหวินหลานพอดี โค่วเหวินหลานสั่งให้ลูกน้องถอดเกราะทองและมุ่งไปข้างหน้าในแนวตรง

ระหว่างทาง ทุกคนพบว่าดาวเคราะห์ที่มืดสลัวนี้ก็มีด้านที่เป็นเสน่ห์เหมือนกัน ตอนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองลงมาข้างล่าง ถึงแม้ดาวเคราะห์ดวงนี้จะขาดแคลนแสงอาทิตย์ แต่กลับมีพืชจำนวนหนึ่งที่เปล่งแสงอยู่ท่ามกลางความมืดสลัว คล้ายๆ ฉากยามค่ำคืนที่เหมียวอี้เห็นที่เผ่าปีศาจของดาวแมกไม้

“น้องหนิว ปกติพวกพี่น้องปฏิบัติกับเจ้าอย่างไรบ้าง?”

เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดว่าถ้าเกิดการต่อสู้ขึ้นมา ตัวเองควรจะไปอยู่ตรงไหน แต่จู่ๆ สวีถังหรานก็ถ่ายทอดเสียงเบาๆ มาที่หู

เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะเอียงหน้ามองแวบหนึ่ง เห็นสวีถังหรานกำลังมองตนด้วยแววตาเฝ้าคอย ไม่รู้ว่าทำไมถึงถามคำถามแบบนี้ จึงถ่ายทอดเสียงตอบว่า “พี่สวีค่อนข้างดีต่อข้า”

สวีถังหรานจึงบอกว่า “งั้นก็ดี! ข้าจะไม่ปิดบังอะไรต่อหน้าพี่น้องก็แล้วกัน ผู้บัญชาการโค่วบอกไว้แล้ว ว่าถ้าเขาได้ขึ้นนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ก็จะมอบตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกให้เป็นรางวัลแก่ผู้ที่สร้างผลงาน น้องหนิวรู้สึกว่าพี่สวีมีคุณสมบัติที่จะนั่งตำแหน่งนั้นมั้ย?”

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ แต่ก็ตอบทันทีว่า “แน่นอน มีคุณสมบัติแน่นอนอยู่แล้ว”

สวีถังหรานพูดต่อว่า “ได้ยินคำพูดแบบนี้จากน้องชายข้าก็วางใจ อีกประเดี๋ยวถ้ามีการต่อสู้กันขึ้นมา หวังว่าน้องชายจะยืนอยู่ฝ่ายข้า ช่วยเหลือพี่สวีอีกแรง ขอเพียงพี่สวีได้ขึ้นนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ต่อจะดูแลน้องชายอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแน่!”

เหมียวอี้เข้าใจแล้ว นอกจากเขาที่ไม่มีลูกน้องอยู่ที่เขตเมืองตะวันออก ทหารเลวอีกหกคนล้วนมีลูกน้องติดมาด้วยสี่คน ทุกคนมีกำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกัน การช่วงชิงผลงานย่อมสูสีเช่นกัน ถ้ามีเหมียวอี้เพิ่มมาอีกคน ก็ย่อมมีโอกาสชนะเพิ่มมาอีกส่วน ต่อให้เหมียวอี้จะไม่ยอมช่วยเขา แต่ขอเพียงไม่ไปยืนอีกฝั่งและมาเป็นศัตรูกับเขาก็พอแล้ว

“ได้เลย!” เหมียวอี้เอ่ยรับ แสดงออกว่าเข้าใจ

ตรงนี้เพิ่งรับมือกับสวีถังหรานเสร็จ ปู้เหลียนจงที่เหาะอยู่ข้างหน้าก็ผ่อนความเร็วอย่างแนบเนียน ค่อยๆ เหาะมาเคียงข้างกับเหมียวอี้ที่เหาะอยู่ข้างหลังสุด แล้วถ่ายทอดเสียงถามเงียบๆ “น้องชาย เจ้าคิดว่าพี่ปู้คนนี้ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร?”

พอได้ยินคำถามนี้ เหมียวอี้ก็ปวดประสาท ไม่ต้องบอกก็รู้ คำถามเดิมมาอีกแล้ว เขาตอบอย่างจริงจังว่า “การวางตัวของพี่ปู้ย่อมไม่ต้องพูดถึง”

ปู้เหลียนจงพูดต่อ “ข้าก็ชอบการวางตัวของน้องหนิวเหมือนกัน ข้าจะไม่พูดเยอะ น้องหนิวเองก็ได้ยินสิ่งที่ผู้บัญชาการโค่วบอกแล้ว ถ้าผู้บัญชาการโค่วได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ก็จะมอบตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกให้ขุนนางที่มีผลงาน ถ้าข้าได้นั่งในตำแหน่งนั้น ตำแหน่งรองผู้บัญชาการก็จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากน้องหนิว หวังว่าในศึกนี้น้องหนิวจะช่วยข้าอีกแรง!”

ตำแหน่งรองผู้บัญชาการเหรอ? เหมียวอี้ได้ยินแล้วอยากขำ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาทำการกับทางการที่พิภพเล็กมาหลายปี เกรงว่าจะเชื่อคำพูดเหลวไหลประเภทนี้แล้ว ปู้เหลียนจงมีลูกน้องสี่คน ตำแหน่งรองผู้บัญชาการมีแค่สองตำแหน่ง จะถึงคราวของข้าเหรอ? ถึงตอนนั้นต่อให้เจ้าจะไม่ให้ข้า ข้าก็พูดอะไรไม่ได้แล้ว!

แต่ปากก็ยังตอบซ้ำๆ ว่า “พี่ผู้พูดถึงขั้นนี้แล้ว ข้ายังจะพูดอะไรได้อีก ตกลง!”

ปู้เหลียนจงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วค่อยๆ เร่งความเร็วนำไปข้างหน้า ตามประกบคุ้มกันข้างหลังโค่วเหวินหลาน

ผ่านไปครู่เดียว สวี่เต๋อก็ค่อยๆ เข้ามาใกล้ “น้องหนิว เดี๋ยวกลับไป ข้าจะจัดการเรื่องเถ้าแก่เนี้ย ‘ร้านโฉมเมฆา’ ให้”

เหมียวอี้ตกใจทันที เจ้าจะจัดการอะไร? เหมียวอี้คิดว่าเขามาด้วยจุดประสงค์เดียวกับสองคนก่อนหน้านี้ ใครจะคิดว่าจะพูดถึงเรื่องอวิ๋นจือชิว จึงตอบทันทีว่า “จัดการอะไรเหรอ?”

สวี่เต๋อตอบว่า “ในเมื่อน้องหนิวชอบเถ้าแก่เนี้ยคนนั้น ข้าคิดได้แล้ว เรื่องนี้พี่น้องไม่เสียดายที่จะทุ่มเท เดี๋ยวข้าจะหาทางกำจัดผู้ชายของนางทิ้ง จะพยายามทำให้น้องหนิวได้อุ้มสาวงามกลับบ้านแน่นอน! เพียงแต่เจ้าเองก็รู้ พวกเราล้วนเป็นทหารเลว ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจที่เขตเมืองตะวันออก แต่ถ้าข้าได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ทุกอย่างก็ต่างออกไปแล้ว แบบนั้นข้าจะมีอำนาจตัดสินใจที่เขตเมืองตะวันออก เถ้าแก่เนี้ยคนนั้นก็จะเป็นเนื้อในปากน้องหนิว ต่อให้นางไม่ยอมก็ต้องยอม! และแน่นอน ถ้าข้าได้เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก น้องหนิวก็ย่อมได้เลื่อนขั้น ตำแหน่งรองผู้บัญชาการต้องเป็นของน้องหนิวแน่นอน น้องหนิวเอ๊ย เจ้าคิดอย่างไรก็เอ่ยปากมาสักคำ ข้ารู้ว่าคนอื่นก็ต้องมาหาเจ้าเหมือนกันแน่ๆ แต่อาจจะไม่ได้จริงใจเหมือนข้า ส่วนน้องหนิวจะยืนอยู่ฝ่ายข้าหรือไม่ ข้าก็ไม่ฝืนใจแน่นอน เพียงอยากจะให้น้องหนิวบอกมาสักคำ!”

ขณะที่พูดไม่ออก เหมียวอี้ก็โล่งใจ สงสัยที่พูดอ้อมไปอ้อมมาก็เพื่อตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกนี่เอง เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า  “พี่สวี่พูดถึงขั้นนี้แล้ว ข้ายังจะพูดอะไรได้อีก ท่านวางใจเถอะ ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”

สวี่เต๋อเผยรอยยิ้มชื่นชม แล้วพยักหน้าเบาๆ

ยังไม่หมด มีคนมาพูดแบบนี้กับเขาคนแล้วคนเล่า จุดประสงค์ก็ไม่ซับซ้อนเลย ต่อให้เหมียวอี้จะไม่ช่วยฝ่ายตน แต่ก็หวังว่าเหมียวอี้จะไม่มาสู้กับตนเพื่อเพิ่มกำลังให้ฝ่ายตรงข้าม

เหมียวอี้เริ่มไม่เข้าใจแล้ว ทำไมพวกเจ้ามั่นใจว่าข้าอยากเป็นแค่รองผู้บัญชาการล่ะ ทำไมข้าจะเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกไม่ได้ ทำไมข้าต้องทำงานให้พวกเจ้าด้วยล่ะ?

แต่เขาก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว เหตุผลซับซ้อนเลย แค่เพราะเขาไม่มีกำลังพล ทั้งยังมีแค่วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง ในสายตาของทุกคน เขาไม่มีความสามารถที่จะไปแย่งชิง จึงนึกว่าเขาจะไม่คิดฝันเพ้อเจ้อถึงสิ่งนั้น

แต่เขาเป็นคนยังไงล่ะ ตอนที่ไปค้นหาสมบัติกับปราสาทดำเนินนภา เขาก็ยังแอบแข่งกับปราสาทดำเนินนภาว่าใครจะได้สมบัติมาไว้ในมือ แล้วจะกลัวเรื่องแข่งขันกับพวกเขาได้อย่างไร? ตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เขาเองก็อยากเป็นเหมือนกัน ทุกคนพึ่งพาความสามารถของตัวเองไปเถอะ คำสัญญาปากเปล่าที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรในภายหลัง เขาไม่เชื่อหรอก!

ระยะทางสามพันลี้ สำหรับกลุ่มนักพรตบงกชทอง ไม่นับว่าเป็นระยะทางที่ไกลเท่าไรนัก

หลังจากเดินทางเป็นเส้นตรงได้สามพันลี้ ก็เริ่มได้กลิ่นกำมะถัน เป็นเหมือนที่เทพแห่งผืนดินบอก ท่ามกลางเขาหลายลูกที่เชื่อมต่อกัน ที่ภูเขาแต่ละลูกมีควันดำลอยขึ้นมา ราวกับเป็นปล่องไฟใหญ่

โค่วเหวินหลานนำลูกน้องไปเหยียบลงบนภูเขาแห่งหนึ่ง ทุกคนรีบร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดมองโดยรอบ

บนยอดเขาอุณหภูมิค่อนข้างสูง ไม่ค่อยสอดคล้องกับโลกที่มีลมหนาวยะเยือกพัดมาเป็นระลอกแบบนี้ โค่วเหวินหลานเดินไปบนปากปล่องที่มีควันแล้วก้มมอง พบว่าด้านล่างมีหินหลอมเหลวสีแดงฉานไหลกลิ้งไม่หยุด ตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วที่นี่คือกลุ่มภูเขาไฟ เพียงแต่ไม่รู้ว่าในหินหนืดมีส่วนประกอบอะไร ถึงทำให้มีควันดำลอยโขมง

“นายท่าน! ภูเขาที่สูงที่สุดลูกนั้นคงจะเป็นยอดเขาโอนเอน” รองผู้บัญชาการหงพลันโบกมือชี้ไปยังจุดไกลๆ ที่ขมุกขมัว ตรงนั้นมีภูเขาสูงที่มองเหนรางๆ ลูกหนึ่ง ควันดำลอยโขมงทำให้มองเห็นไม่ค่อยชัด

โค่วเหวินหลานทอดสายตาจ้องมอง แล้วพยักหน้าเบาๆ

รองผู้บัญชาการซุนบอกว่า “นายท่าน ในเมื่อหาสถานที่พบแล้ว ทำไมไม่ฉวยโอกาสชิงลงมือก่อนหมีควายเซี่ยโห้วเพื่อความได้เปรียบล่ะขอรับ?” ความหมายในคำพูดก็คือ จะมัวรออยู่ตรงนี้ทำไม

รองผู้บัญชาการหงกล่าวอีกว่า “เทพแห่งผืนดินนั่นตกอยู่ในมือหมีควายเซี่ยโห้ว พวกเราไม่รู้ว่าเฮยหวังหน้าตาเป็นอย่างไร ทั้งยังไม่รู้สถานการณ์ของที่นี่ เจ้าไม่ได้ยินเทพแห่งผืนดินบอกเหรอว่าที่นี่ยังมีนักพรตผีตนอื่นอีก ถึงตอนนั้นคงแยกไม่ออกว่าใครคือเฮยหวัง หากเปิดช่องโหว่ให้เฮยหวังหนีไปได้จะทำอย่างไร?”

รองผู้บัญชาการซุนจึงบอกว่า “พี่หงกังวลมากไปแล้ว คนที่กล้าให้ที่พักกับนักโทษ แสดงว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด จะสนใจทำไมว่าใครคือเฮยหวัง ฆ่าให้หมดเกลี้ยงไม่ให้มีปลาหนีลอดแหก็ไม่ผิด สรุปก็คือจะให้เฮยหวังตกอยู่ในมือหมีควายเซี่ยโห้วไม่ได้”

โค่วเหวินหลานค่อนข้างลังเล ตอนที่มารีบร้อนฉุกละหุก แต่หลังจากมาแล้วกลับลังเลตัดสินใจไม่ได้ ตั้งแต่เขาออกจากบ้านมา ถึงแม้จะไล่ตามก้นซี่ยโห้วหลงเฉิง ไม่ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะไปเป็นผู้บัญชาการที่ไหน เขาก็ไปเป็นผู้บัญชาการที่นั่น แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นผู้บัญชาการของตลาดสวรรค์ของดาวต่างๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้นำกำลังพลออกปราบ ไม่มีประสบการณ์อะไร ไม่มีความมั่นใจ อดไม่ได้ที่จะคิดมาก

ในเวลานี้ เมื่อเห็นรองผู้บัญชาการซุนกล่าวแล้วรองผู้บัญชาการหงไม่มีความเห็นอะไรต่อ คนอื่นๆ ก็ไม่ได้คัดค้านอะไรเช่นกัน ขณะที่โค่วเหวินหลานกำลังจะพยักหน้า จู่ๆ ก็ได้ยินเหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงมา “นายท่านผู้บัญชาการ จะประมาทไม่ได้!”

โค่วเหวินหลานกวาดสายตามอง ในดวงตาฉายแววสงสัย ไม่รู้ว่าทำไมเขาไม่พูดต่อหน้าทุกคน แต่กลับแอบถ่ายทอดเสียงมา จึงถ่ายทอดเสียงถามกลับทันที “หรือว่าเจ้ามีความคิดอันสูงส่งอะไร?”

ทั้งสองถ่ายทอดเสียงคุยกัน สายตาของคนอื่นๆ สลับมองทั้งสองฝั่ง

“ไม่นับว่าเป็นความคิดอันสูงส่งหรอก! นายท่าน ภายใต้การกดดันจากตำหนักสวรรค์ เหตุใดเฮยหวังจึงซ่อนตัวอยู่ที่นี่? ในเมื่อเฮยหวังกล้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ก็เป็นไปได้สูงว่าจะมีที่พึ่งพาอยู่บ้าง ในสถานการณ์ที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง การบุ่มบ่ามรุกโจมตีไม่ใช่เรื่องดี” เหมียวอี้ตอบ

โค่วเหวินหลานพยักหน้าเงียบๆ รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมีเหตุผล จึงถามต่อว่า “งั้นเจ้าคิดว่าควรจะรับมืออย่างไร?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ล้อม! แบ่งกำลังพลเป็นกลุ่มๆ แล้วดักซุ่มรอบยอดเขาโอนเอนในตำแหน่งที่สะดวกต่อการสังเกตการณ์ ไม่ต้องรีบลงมือ รอให้พวกเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาถึง ให้พวกเขาไปต่อสู้ก่อน พวกเราดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

“ถ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจับเฮยหวังสำเร็จล่ะ เจ้ารู้ถึงผลที่จะตามมาหรือเปล่า?” โค่วเหวินหลานถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้าพวกเราคิดมากไปเอง ที่จริงสามารถจับตัวเฮยหวังได้ง่ายๆ พวกเราก็ห้ามนิ่งดูดาย ผู้บัญชาการต้องสั่งให้กรูกันเข้าไปทันที ไปช่วยผู้บัญชาการเซี่ยโห้วอีกแรง! ถ้าหากเฮยหวังมีผู้ช่วยอีก ก็ให้คนกล้าอย่างผู้บัญชาการเซี่ยโห้วไปประสบความพ่ายแพ้แทนพวกเราก่อน แล้วพวกเราค่อยลงมือก็ยังไม่สาย สรุปก็คือพวกเราดูสภานการณ์ในชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน จะสู้อย่างขาดสติไม่ได้!”

โค่วเหวินหลานเลิกคิ้ว มองไปยังเหมียวอี้ด้วยแววตาแปลกๆ เหมียวอี้พูดชัดเจนขนาดนี้ ถ้าเขายังไม่เข้าใจความหมาย เขาก็คงไม่ต่างอะไรกับคนโง่

เรียกว่าไปช่วยผู้บัญชาเซี่ยโห้วอีกแรงอะไรกันเล่า? ชัดเจนว่านี่คือการปล้นชิงตามไฟ[1]ชัดๆ ถ้าฝ่ายนี้ไปช่วยเซี่ยโห้วหลงเฉิงอีกแรงก็คงแปลกแล้ว ที่บอกว่าให้คนกล้าอย่างผู้บัญชาการเซี่ยโห้วไปประสบความพ่ายแพ้ก่อน ก็ชัดเจนว่าหวังให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับเฮยหวังสู้กันจนย่อยยับทั้งคู่ แล้วฝ่ายนี้ค่อยตักตวงผลประโยชน์ก็พอ ดังนั้นจึงต้องดูสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อน และต้องเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองด้วย ถ้าเฮยหวังร้ายกาจเกินไป ฝ่ายนี้ก็ไม่ยอมบุ่มบ่ามเอาชีวิตไปทิ้งแน่

“พูดจามีเหตุผล!” โค่วเหวินหลานพยักหน้าเบาๆ “ขุนพลเหมียว ดูจากแผนการที่รู้จักรุกเข้าถอยออก เหมือนเจ้ามีประสบการณ์ในสนามรบมานาน เป็นบุคคลมีความสามารถที่ควรเลี้ยงไว้ ข้าอนุมัติแผนของเจ้า ถ้าแผนการของเจ้าได้ผล หลังจากจบเรื่องข้าจะดูแลเจ้าอย่างดีแน่นอน! ในเมื่อมีความคิดแบบนี้  ทำไมไม่พูดออกมาต่อหน้าทุกคน?”

“ข้าน้อยไม่มีตำแหน่งอะไรติดตัว สำหรับความคิดเห็นของผู้ร่วมงานทุกท่าน คนที่มาใหม่อย่างข้าน้อยไม่สะดวกจะคัดค้าน” เหมียวอี้กล่าว

พูดถึงขั้นนี้แล้ว โค่วเหวินหลานเองก็เป็นคนฉลาด เขากวาดสายตามองแวบหนึ่ง แต่ละคนกำลังมองเหมียวอี้กับเขาด้วยแววตาสงสัย ในในเกิดความรู้สึกบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ทำตามแผนของเหมียวอี้ทันที


973

เซียนโห้วปะทะเฮยหัว

ไม่ต้องพูดอะไรมาก แผนใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของโค่วเหวินหลานต้องเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต๋อแน่ๆ นี่คือความคิดในใจของทุกคน แววตาที่มองไปทางเหมียวอี้ก็แตกต่างกันไป

ถ้าแบ่งกลุ่มกันตามแผนของเหมียวอี้ พวกสวีถังหรานและทหารเลวอีกห้าคนต่างพาลูกน้องมาด้วยสี่คน และทหารเลวทั้งหกก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเหมียวอี้ด้วย การดึงตัวก่อนหน้านี้กลายเป็นเรื่องตลกไปแล้ว โค่วเหวินหลานดึงเหมียวอี้มาอยู่ข้างกายตัวเองพร้อมกับรองผู้บัญชาการอีกสองคนโดยตรง

แบ่งเป็นเจ็ดกลุ่ม มียอดเขาโอนเอนเป็นจุดศูนย์กลาง แต่ละกลุ่มคอยเฝ้าสังเกตการณ์คนละทิศ โค่วเหวินหลานขอให้พวกเขาติดต่อกันไว้ในระหว่างนั้น

โค่วเหวินหลานเฝ้าอยู่ตรงทิศนี้ อีกหกกลุ่มแยกย้ายไปทางซ้ายและขวา วางกำลังโอบล้อม โค่วเหวินหลานนำลูกน้องสามคนบุกไปข้างหน้าโดยอาศัยลักษณะพื้นภูมิกำบัง หลบหลีกผีวรยุทธ์ต่ำที่ลาดตระเวนอยู่ตามแนวเทือกเขาตลอดทาง

ทางขวาแบ่งเป็นสามกลุ่ม หลังจากแยกกับโค่วเหวินหลานที่อยู่ฝั่งนี้แล้ว สวีถังหรานก็พูดกับสวี่เต๋อและปู้เหลียนจงที่ร่วมทางกันชั่วคราวด้วยเสียงต่ำเบาว่า “หนิวโหย่วเต๋อทะเยอะทะยานไม่เบา อยากได้ตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก พวกเจ้าสองคนดูออกหรือเปล่า?”

สวี่เต๋อแสยะยิ้มตอบว่า “เพิ่งจะมาใหม่ได้ไม่กี่วัน ก็ไม่รู้จักแยกแยะความสำคัญ คิดจะถีบหัวพวกเราซะแล้ว อวดดีนัก!”

ปู้เหลียนจงก็แสยะยิ้มเช่นกัน “ข้าว่าเขาฝันกลางวันแล้วล่ะ!”

“พวกเจ้าสองคนเพิ่งมองออกเหรอ? ผู้บัญชาการโค่วเหมือนจะชื่นชมเขามากนะ!” สวีถังหรานว่าอย่างนั้น

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา อีกสองคนก็สีหน้าเครียดขรึมลงทันที

ไม่ใช่แค่ฝั่งนี้ อีกฝั่งหนึ่งก็ไม่พอใจเหมียวอี้มากเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ยังเรียกกันว่าพี่ว่าน้อง ทั้งหกมีน้ำใจไมตรีต่อเหมียวอี้มาก นั่นเป็นเพราะระหว่างพวกเขายังไม่ไปเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่ร้ายกาจอะไร แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับการแย่งชิงผลประโยชน์ เหมียวอี้ก็กลายเป็นหนามยอกอกของพวกเขาทันที

เรื่องบางเรื่องอยู่ในการคาดคะเนของเหมียวอี้อยู่แล้ว คนในยศตำแหน่งเดียวกัน ถ้ามีใครโดดเด่นขึ้นมาคนนั้นก็จะโดนอิจฉา เขาเข้าใจตั้งแต่ตอนอยู่ที่พิภพเล็กแล้ว เขาเคยมีประสบการณ์มาก่อน

เมื่อเข้าใกล้จุดที่สามารถมองเห็นยอดเขาโอนเอนได้อย่างชัดเจน โค่วเหวินหลานก็พาแค่รองผู้บัญชาการหงไปด้วย ให้เหมียวอี้กับรองผู้บัญชาการซุนแยกกันอยู่ทางซ้ายและขวา ให้ไปเฝ้าสังเกตการณ์ตรงจุดที่มองเห็นยากเพราะมีภูเขาบัง ป้องกันไม่ให้เฮยหวังอาศัยลักษณะพื้นที่แบบนี้แอบหนีไป

เหมียวอี้หลบหลีกผีที่ลาดตระเวนมาตลอดทางจนถึงยอดเขาแห่งหนึ่ง แล้วอาศัยหินก้อนใหญ่ซ่อนตัว จากนั้นใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์สังเกตการณ์เงียบๆ พบว่าบนยอดเขาโอนเอนมีลักษณะค่อนข้างแปลกๆ มันรูปร่างเหมือนน้ำเต้า ท่อนบนเป็นหินขนาดใหญ่ที่ยาวหลายร้อยจั้งก้อนหนึ่ง ไม่รู้ว่ามาจากไหน มันวางอยู่ด้านบนสุด เวลามองจากที่ไกลๆ แล้วให้ความรู้สึกว่ามันกำลังโอนเอนจริงๆ

เพิ่งรอตรงนี้ได้ไม่นาน บนฟ้าก็มีเสียงตะโกนเกรี้ยวกราด “เฮยหวัง! ปู่เจ้าอยู่นี่แล้ว ยังไม่รีบโผล่หัวออกมารับความตายอีก!” เสียงสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ควันดำที่ลอยโขมงก็สั่นกระเพื่อมเช่นกัน

พวกเหมียวอี้ที่ซ่อนตัวอยู่โดยรอบพากันเงยหน้ามอง เห็นเพียงเซี่ยโห้วหลงเฉิงนำกำลังพลเหาะลงมาจากฟ้า เหยียบลงที่หินยักษ์บนยอดเขาโอนเอนอย่างมั่นคง

เหมียวอี้แอบด่าในใจ ไอ้ปัญญาอ่อนนี่มันทำอะไรของมัน เจ้าจะจับคนมาถามว่าเฮยหวังอยู่ที่ไหนแล้วพุ่งตรงสู่เป้าหมายไม่ได้ ถ้าเฮยหวังขี้ขลาดขึ้นมา ถ้าเฮยหวังมีเส้นทางลับให้หลบหนี การที่เจ้าป่าวประกาศเสียงดังแบบนี้ จะไม่ทำให้อีกฝ่ายตกใจหนีไปหรอกเหรอ!

เสียงตะโกนของเซี่ยโห้วหลงเฉิง ดังพอที่จะทำให้คนที่อยู่ห่างออกไปสิบลี้ได้ยิน ไม่มีเหตุผลที่คนตรงนี้จะไม่ได้ยิน นักพรตผีหลากหลายรูปร่างที่อยู่รอบข้างพากันโผล่ออกจากถ้ำภูเขา แต่ละคนจ้องทหารสวรรค์ที่อยู่บนยอดเขา

เหมียวอี้พบเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง นักพรตผีของที่นี่ไม่กลัวการมาเยือนของทหารสวรรค์เลยสักนิด ปฏิกิริยาแรกก็คือเผยอาวุธออกมาทันที ในจำนวนนั้นยังมีนักพรตผีวรยุทธ์บงกชขาวด้วย ชัดเจนว่าต้องการจะเป็นศัตรูกับตำหนักสวรรค์ ทำให้เหมียวอี้รู้สึกประหลาดใจจริงๆ เอาความกล้าขนาดนั้นมาจากไหน

“กรรร…” เสียงคำรามที่เกรี้ยวกราดดังมาจากใต้ดิน ทำให้ผิวดินสั่นสะเทือน หมอกดำพลันพรั่งพรูออกมาจากหุบเขาแห่งหนึ่ง พุ่งขึ้นบนฟ้าแล้วก่อตัวอย่างฉับพลัน หมอกดำหดหายกลายเป็นคนชุดดำลอยอยู่บนท้องฟ้า คนคนนี้หน้าขาวหนวดหงิก ถลึงตาสองข้าง ในมือถือธงดำผืนหนึ่ง บนนั้นมีตัวอักษรสำหรับคนตายหนึ่งชุด อ่านไม่ออกว่าเขียนอะไร อบอวลไปด้วยไอสีดำ ทำให้คนรู้สึกถึงความชั่วร้ายถึงขีดสุด

เหมียวอี้สังเกตเห็นวรยุทธ์บงกชทองขั้นหกตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่าย วรยุทธ์เท่ากับกับโค่วเหวินหลานและเซี่ยโห้วหลงเฉิง เท่ากับเฮยหวังตามที่ได้ข่าวมาด้วย ไม่รู้ว่าคนคนนี้ใช่เฮยหวังคนนั้นหรือเปล่า ถ้าหากใช่เฮยหวัง เขาก็มีความเห็นแย้งต่อตำหนักสวรรค์อยู่บ้าง เขาคิดว่าส่งยอดฝีมือมาจัดการก็สิ้นเรื่องแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้โค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วมาเสี่ยงชีวิตสู้กับเฮยหวังเลย

แต่พอลองคิดอีกมุม เขาก็เข้าใจเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นตอนเขาเป็นประมุขปราสาทที่พิภพเล็ก ถ้าอยากจะจัดการประมุขขุนเขาที่อยู่ระดับต่ำกว่าสักคน ประมุขปราสาทอย่างเขาก็ไม่ลงมือเองแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะเลี้ยงลูกน้องไว้มากมายขนาดนั้นทำไมล่ะ มีแค่ตอนที่กำลังพลเบื้องล่างจัดการไม่ไหวเท่านั้น เขาถึงจะออกหน้าจัดการเอง ถือเป็นการฝึกฝนลูกน้องอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน

“เป็นพวกเจ้าอีกแล้วเหรอ ข้าหลบหลีกไปทั่วทุกที่แล้ว ทำไมยังไม่ยอมปล่อยข้าไป!” คนชุดดำตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

เซี่ยโห้วหลงเฉิงขอคำยืนยันจากเทพแห่งผืนดินที่อยู่ข้างๆ หลังจากแน่ใจแล้วว่าผู้ที่มาเป็นใคร ก็กระทุ้งดาบสีเลือดลงกับพื้นพักหนึ่ง แล้วตะโกนว่า “ไอ้ผีชุดดำ บังอาจสังหารทหารสวรรค์ แล้วยังจะกล้าอวดดี! ยังไม่รีบมาให้จับแต่โดยดีอีก ถ้ารอให้ท่านปู่เซี่ยโห้วลงมือ เจ้ามาเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้วนะ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยโห้วหลงเฉิง พวกเหมียวอี้ก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง คนคนนี้คือเฮยหวังจริงๆ ด้วย

เฮยหวังตอบอย่างเดือดดาลว่า “ยังเรียกว่าทหารสวรรค์ได้อีกเหรอ? ข้าว่าพวกเขาเหมือนโจรสวรรค์มากกว่า ต้องการจะค้นตัวข้า ข้าก็ยังอดทนไว้ แต่ใครจะคิดว่าต้องการจะแย่งของของข้าด้วย ข้าจะไม่ขัดขืนได้อย่างไร หรือจะรอให้โดนพวกเขาฆ่าปิดปากล่ะ!”

“มีแต่คำพูดเหลวไหลอยู่เต็มปาก!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงตะโกน “ยอมให้จับเดี๋ยวนี้ แล้วผู้บัญชาการคนนี้จะไว้ชีวิตเจ้า!”

เฮยหวังคำรามทันที “ยอมให้จับก็ตายอยู่ดี จะเลือกทางไหนก็ตายเหมือนกัน ทำไมข้าต้องกลัวล่ะ สังหารกลุ่มเดียวข้าก็ทำมาแล้ว สังหารสองกลุ่มก็ยังเป็นการสังหารอยู่ดี ในเมื่อมาแล้ว ก็อย่าคิดจะรอดชีวิตกลับไปเลย!”

“ช่างเป็นสุนัขใจกล้า!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงชี้ดาบยาวในมือ “จับตัวมันมาให้ข้า!”

“ขอรับ!” ลูกน้องสามสิบกว่าคนที่อยู่ข้างหลังกรูกันเข้าไปทันที

พอเฮยหวังโบกธงดำในมือ แสงสีดำร้อยกว่าสายก็ยิงออกมาจากธงดำทันที กลุ่มทหารสวรรค์รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทาน

เสียงดังครืนครานดังอยู่บนฟ้าพักหนึ่ง น่าเชื่อว่าแสงสีดำที่ยิงกระจายจะมองข้ามเกราะอิทธิฤทธิ์ของทุกคน มันทะลุผ่านเข้าไปโดยตรง ในบรรดาทหารสวรรค์สามสิบกว่าคน ไม่มีคนไหนที่ไม่โดนโจมตี

ทุกคนที่โดนแสงสีดำยิงใส่หยุดโจมตีทันที แต่ละคนเอามือกุมศีรษะอยู่กลางอากาศ ทำสีหน้าเจ็บปวดทรมาน

เซี่ยโห้วหลงเฉิงตกใจมาก มือข้างหนึ่งถือดาบในแนวขวางอยู่ข้างหน้า แล้วใช้มืออีกข้างฟาดฝ่ามือออกไปหนึ่งครั้ง ทำให้สร้อยไข่มุกสีขาวดุจหิมะบนข้อมือเบ่งบานเป็นเกราะคุ้มกายสีขาวพร่างพรายทันที

แสงสีดำหลายสิบสายที่รวมตัวกันเข้ามา พอสัมผัสกับแสงสีขาวก็สลายตัวทันที เหมียวอี้เห็นแล้วเดาะลิ้นไม่หยุด สมกับเป็นคนที่มีพื้นฐานครอบครัวไม่ธรรมดา สร้อยที่อยู่บนข้อมือเจ้าหมีควายเป็นของวิเศษที่สามารถปัดเป่าสิ่งอัปมงคลได้

เมื่อเห็นว่าสามารถต้านทานการโจมตีด้วยแสงสีดำจากอีกฝ่ายได้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่อยู่ในเกราะแสงสีขาวก็ได้ความมั่นใจกลับมาทันที หัวเราะลั่นพร้อมบอกว่า “ฝีมือต่ำต้อยแค่นี้ก็ยังกล้านำมาโอ้อวด!”

แต่กลับไม่เห็นสภาพของเทพแห่งผืนดินหลังโดนโจมตี  หลังจากโดนแสงสีดำโจมตีแล้ว ลูกตาดำก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ

เฮยหวังแสยะยิ้ม พอใช้สองมือเขย่าธง พวกลูกน้องของเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ค่อยๆ อารมณ์สงบลงก็หันตัวมาทีละคน แล้วมองไปที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงด้วยแววตาเย็นเยียบชวนขนลุก

เซี่ยโห้วหลงเฉิงตะลึงงัน โบกดาบตะคอกว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? อยากจะก่อกบฎเหรอ?”

เหมียวอี้และคนอื่นๆ กลับตกใจแทนเขาจนเหงื่แตกทั้งตัว เห็นเพียงเทพแห่งผืนดินที่อยู่ข้างหลังเขาพลันคว้าดาบไว้ในมือ แล้วฟันไปทางคอของเซี่ยโห้วหลงเฉิงโดยตรง

โชคดีที่เทพแห่งผืนดินมีวรยุทธ์ต่ำเกินไป แล้วเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ถึงขั้นนั้น ตอบสนองเร็วเหมือนกัน ยื่นดาบไปขวางทางข้างหลัง

แกร๊ง! เกิดเสียงดังสะเทือน เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ต้านดาบของเทพแห่งผืนดินหันกลับมามอง แล้วตะคอกอย่างหัวร้อนทันที “บังอาจ!”

พร้อมถือโอกาสฟันไปดาบหนึ่ง ฟันตั้งแต่ใต้ชายโครงไปถึงบ่า ทำให้เทพแห่งผืนดินตัวขาดครึ่งท่อนในแนวเฉียง

ในตอนนี้เทพแห่งผืนดินเหมือนได้สติกลับมาแล้ว เขามองเซี่ยโห้วหลงเฉิงด้วยสีหน้าตกใจกลัว ปากส่งเสียงกรียดร้องโหยหวน แล้วกลายเป็นควันดำสลายไป

ฆ่าเทพแห่งผืนดินฝีมือต่ำต้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ปัญหายังอยู่ตอนท้าย ลูกน้องสามสิบกว่าคนของเซี่ยโห้วหลงเฉิง นักพรตบงกชทองสามสิบกว่าคนเรียกได้ว่าลงมืออย่างไม่ปรานี ชั่วพริบตาเดียวก็พุ่งเข้ามา ล้อมโจมตีเซี่ยโห้วหลงเฉิงอย่างบ้าคลั่งเอาเป็นเอาตาย

ท่ามกลางการล้อมโจมตีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น หินยักษ์หลายร้อยจั้งบนยอดเขาโอนเอนกระจุยกระจาย ระเบิดปลิวตกลงพื้น

พวกเหมียวอี้ตระหนกตกใจ เฮยหวังช่างมีวิธีการที่เหนือชั้น ขนาดคนของเซี่ยโห้วหลงเฉิงยังต้านไม่ไหว ให้พวกเขาพุ่งเข้าไปก็คงไม่มีประโยชน์!

“ไอ้พวกฝูงหมา พวกเจ้าทรยศ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงตะโกนอย่างกระหืดกระหอบ ตอนนี้กำลังรับมืออย่างฉุกละหุก สู้จนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ขนาดนั้น ย่อมดูออกว่าลูกน้องพวกนี้โดนกับดัก ทำให้เขาลังเลว่าจะฆ่าทิ้งหรือไม่ฆ่าทิ้งดี อึดอัดเหมือนโดนมัดมือมัดเท้า

แต่เจ้าบ้านี่มีชื่อเสียงด้านอารมณ์ร้อน ความอดทนประเภทนี้มีขีดจำกัดต่ำ ในที่สุดก็พวกถูกลูกน้องยั่วให้โมโหจนทนไม่ไหว ดาบใหญ่ที่กำลังต้านทางซ้ายและขวามีแสงสีฟ้าเปล่งออกมา เขากวาดยิงไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว แต่ละคนที่โดนแสงสีฟ้าโจมตีตกลงพื้นพร้อมสีหน้าหวาดกลัว

ความยุ่งยากใจถูกกำจัดออกไปเร็วมาก ทว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้ฆ่าพวกเขา แต่กลุ่มนักพรตผีที่อยู่ข้างล่างกลับไม่ปล่อยไป พุ่งเข้ามาหาพร้อมเสียงโห่ร้องเรียกได้ว่ายกดาบฟันรัวๆ ศีรษะสามสิบกว่าใบถูกฟันกลิ้งอยู่บนพื้นในชั่วอึดใจเดียว พวกเหมียวอี้เห็นแล้วตกใจจนหนังตากระตุก

รองผู้บัญชาการหงอดไม่ได้ที่จะมองโค่วเหวินหลานที่อยู่ข้างกายตัวเอง เห็นโค่วเหวินหลานยังมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีท่าทีว่าจะลงมือช่วย จึบทำได้เพียงหุบปาก

กลุ่มนักพรตผีสังหารทหารสวรรค์ไปแล้วสามสิบกว่าคน จากนั้นก็กรูขึ้นมาทันที โจมตีไปทางเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่อยู่บนฟ้า ห้าวหาญไม่กลัวตาย

เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่กำลังเดือดดาลเปลี่ยนมือถือดาบ แล้วใช้มือข้างเดียวกำหมัดชูขึ้นฟ้า ทำให้กำไลสีแดงบนข้อมือพลันระเบิดแสงสีทองออกมา จากนั้นหมุนวนอย่างรวดเร็วอยู่บนข้อมือ หมุนจนคนที่มองตาลาย ไม่น่าเชื่อว่ากำไลจะหมุนจนเกิดเป็นเงามายาออกมานับพันนับร้อยสาย เงามายากลายเป็นพลังจริงยิงพุ่งขึ้นฟ้า กำไลสีแดงนับร้อยนับพันก่อตัวเป็นวงโคจรขนาดใหญ่กลางอากาศ จากนั้นก็หลุดออกจากวงโคจรวงแล้ววงเล่า โปรยปรายลงอย่างบ้าคลั่งมาราวกับพายุฝน

นักพรตผีนับร้อยที่อยู่ข้างล่างและกำลังจะเหาะขึ้นฟ้า ตอนนี้โดนโจมตีจนร้องโหยหวน บ้างก็โดนโจมตีจนกระอักเลือดสีดำ บ้างก็โดนโจมตีจนกะโหลกศีรษะแตก บ้างก็ร่างแหลกสลายกลายเป็นควันสีดำ ไม่มีทางเข้าใกล้เซี่ยโห้วหลงเฉิงได้เลย

เหมียวอี้เห็นเงาของตะไบมายาวิญญาณบนกำไลวงนี้ แต่ของวิเศษชิ้นนี้ยอดเยี่ยมกว่าตะไบมายาวิญญาณเยอะมาก สิ่งที่ปรากฏออกมาไม่ใช่ภาพมายา แต่เป็นพลังที่สามารถโจมตีได้จริง ทั้งยังเป็นของวิเศษขั้นห้าที่ทำจากผลึกแดง แค่ผลึกแดงที่ใช้สำหรับทำกำไลนับร้อยนับพันวงก็ราคาไม่ใช่น้อยๆ แล้ว

เหมียวอี้เรียกได้ว่าเห็นแล้วอิจฉาไม่หยุด บนตัวเจ้าหมีควายมีของดีเยอะมากจริงๆ สมกับเป็นคนที่มีภูมิหลัง มิน่าล่ะปี้เยว่ฮูหยินถึงกล้าวางใจให้เขากับโค่วเหวินหลานมาสู้กับเฮยหวัง แต่ก็ไม่รู้ว่าเฮยหวังจะต้านทานไหวหรือเปล่า

ใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว นักพรตผีหลายร้อยที่อยู่ข้างล่างก็โดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงกวาดล้างจนหมดเกลี้ยง เฮยหวังเรียกได้ว่าทั้งตกใจทั้งโมโห ไม่อาจเฉยเมยได้อีก พอโบกธงดำในมือ ใบธงก็ปลิวไป ด้ามธงก็กลายเป็นทวนยาวสีแดงด้ามหนึ่ง แล้วโห่ร้องพลางโจมตีเข้ามาทางเซี่ยโห้วหลงเฉิง

974

สถานการร์พลิกผัน

“ไม่เจียมตัว!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงยิ้มชั่วร้าย ลำพองใจอีกครั้ง พอโบกมือชี้ กำไลนับพันที่บินขึ้นบินลงอยู่ข้างล่างก็ยิงขึ้นฟ้าทันที รุมโจมตีเฮยหวังอย่างทรงพลังราวกับผลักภูเขาพลิกทะเล พลานุภาพน่าตกใจ

เฮยหวังตกใจมาก ควงทวนกวาดฟันอย่างบ้าคลั่ง โจมตีจนเกิดเสียงสั่นสะเทือนดุเดือดดังอยู่บนฟ้า แต่จำนวนกำไลที่ล้อมโจมตีมีมากเกินไปจริงๆ

เสียงปึงปังดังต่อเนื่อง ชั่วพริบตาเดียวก็โจมตีโดนเป้าหมายไปหลายครั้ง “อั้ก!” โดนโจมตีจนกระอักเลือดกลางอากาศ ก่อนจะเห็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงถือดาบเข้ามาสังหารด้วยตัวเอง

โค่วเหวินหลานที่หลบดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ ยืนขึ้นแล้ว เมื่อเห็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงใกล้จะทำสำเร็จ ตัวเองก็ซ่อนต่อไปไม่ไหว

โชคดีที่เฮยหวังก็ไม่ใช่เล่นๆ ธงดำที่พัดกระพือลอยล่องอยู่กลางอากาศมัดรวบทะลุเข้ามา แทรกสอดเข้ามาท่ามกลางกำไลนับพันวงที่กำลังล้อมโจมตี แล้วเด้งไปข้างหลังเฮยหวังอย่างฉับพลัน เฮยหวังที่โดนโจมตีจนกระอักเลือดครั้งที่สองถลันตัวถอย ทวนวิเศษในมือพลันหายไป พอหลังจนกับธงดำ ทั้งตัวก็กลายเป็นเหมือนควันดำสายหนึ่ง ชนจมเข้าไปในธงดำนั้น

กำไลที่ไล่ตามเข้ามาระเบิดโจมตีใส่ธงดำ แต่เหมือนการโจมตีประเภทนี้จะไม่ได้ผลกับธงดำ แค่ทำให้ธงดำสันสั่นสะเทือนพักหนึ่งเท่านั้น ชั่วพริบตาเดียวธงดำก็ลอยละล่องอย่างรวดเร็ว สยบความแข็งกร้าว ด้วยความนุ่มนวล นุ่มนวลราวกับปุยเมฆ ลอยล่องออกจากวงล้อมกำไลที่โจมตีเข้ามาอย่างหนาแน่น

เมื่อเห็นว่ากำไลที่ไล่ตามโจมตีไม่มีผลอะไรกับธงดำ เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ถลันตัวตามเข้ามาก็ชูมือ ทำให้กำไลวงที่อยู่บนข้อมือหมุนวน กำไลนับพันวงหดกลับในชั่วพริบตาเดียว กลับเข้ามาในกำไลวงแม่

“จะหนีไปไหน!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงตะคอกอย่างดุดัน ชูดาบสองข้างฟันไปยังธงดำที่กำลังม้วนหนี

ขณะที่กำลังจะฟัน ธงดำที่ม้วนหนีก็กางออกอย่างกะทันหัน กางออกรับลมราวกับเป็นผ้าม่านผืนใหญ่

เซี่ยโห้วหลงเฉิงควงดายฟันอย่างบ้าระห่ำ ฟันโดนผ้าม่านสีดำ แล้วทะลุเข้าไปในจุดที่โดนฟันเป็นช่องโหว่ ทีแรกนึกว่าจะทะลุผ่านไปได้ แต่ใครจะคิดว่าภาพตรงหน้าจะกลายเป็นสีดำ ราวกับได้ก้าวเข้ามาในโลกอีกใบที่มืดมิด พอหันกลับมามองข้างหลัง เขาก็ชูดาบฟันมั่วๆ ยังจะเห็นทางให้ถอยกลับเหมือนตอนที่เพิ่งเข้ามาได้อย่างไรกัน รอบข้างดำสนิทว่างเปล่า…

และในสายตาของพวกเหมียวอี้ พอเซี่ยโห้วหลงเฉิงฟันเข้าไปในธงดำครั้งเดียว ก็ไม่เห็นเขาออกมาอีกเลย ทุกคนพากันตระหนก ธงดำผืนนี้มันคือของวิเศษอะไรกัน?

“ฮ่าๆ… ฮ่าๆ…” เสียงหัวเราะลั่นลำพองใจดังมาจากธงดำ ในธงดำมีควันสีดำลอยออกมา เฮยหวังปรากฏตัวอีกครั้ง หันตัวไปมองธงดำที่กำลังปลิวสะบัดพลางหัวเราะอย่างบ้าระห่ำ “สวรรค์มีทางเจ้ากลับไม่ไป นรกไร้ประตูเจ้ากลับแส่บุกเข้ามา ตำหนักสวรรค์แล้วอย่างไรล่ะ?”

พวกนักพรตผีที่ยู่ข้างล่างกางแขนโห่ร้องทันที “อ๋องใหญ่! อ๋องใหญ่! อ๋องใหญ่…”

“บังอาจ! กล้าดูหมิ่นอำนาจสวรรค์เหรอ!” เสียงตะโกนดังลั่น

เฮยหวังตกใจมาก หันขวับมองมา เห็นเพียงโค่วเหวินหลานที่สวมเกราะทองถือทวนปรากฏตัวแล้ว เขากวาดตามองรอบๆ อย่างรวดเร็ว เห็นเหมียวอี้และคนอื่นๆ ที่หลบอยู่รอบภูเขาปรากฏตัว แต่ละคนสวมเกราะทองใหม่อีกครั้ง กำลังล้อมเข้ามาอย่างช้าๆ

“เดี๋ยวข้าจัดการผีร้ายตัวนี้เอง พวกเจ้าสังหารพวกผีร้ายข้างล่างที่บังอาจดูหมิ่นตำหนักสวรรค์ อย่าให้เหลือรอดแม้แต่ชีวิตเดียว!” โค่วเหวินหลานกล่าวอย่างเย็นเยียบ

“รับทราบ!” พวกลูกน้องกำลังรออยู่พอดี ย่อมน้อมรับคำสั่ง แล้วโจมตีสังหารลงไปอย่างรวดเร็ว

พวกผีวรยุทธ์ต่ำที่อยู่ข้างล่างจะสู้กับกลุ่มนักพรตบงกชทองไหวได้อย่างไร ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกสังหารจนกรีดร้องโหยหวน

เฮยหวังเดือดดาลมาก ยื่นมือไปดึงธงดำเขย่า ทำให้แสงสีดำหลายสายแสงสีดำระเบิดยิงออกมา โจมตีใส่พวกเหมียวอี้ที่อยู่ข้างล่าง

ว่ากันตามจริง พวกสวีถังหรานเกิดความคิดที่จะขอบคุณเหมียวอี้ที่ให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงไปลองย่ำน้ำดูก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าไม่รู้ แล้วบุกโจมตีเข้าไปโดยตรง เกรงว่าจุดจบของพวกเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็จะกลายเป็นจุดจบของพวกเขาแทน

เมื่อมีพวกเซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นบทเรียน พวกเขาก็รู้ถึงความร้ายกาจของแสงสีดำนี่แล้ว จึงพลิกมือดูดดินขึ้นมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ให้เป็นชั้นดินป้องกัน ทำให้แสงสีดำที่ยิงเข้ามาทำอะไรพวกเขาไม่ได้

โค่วเหวินหลานก็ยิ่งไม่ธรรมดา กระจกทองแดงบานหนึ่งลอยออกจากกำไลเก็บสมบัติ ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นสี่บาน มาเลี่ยมฝังอยู่ตรงหน้าอก แผ่นหลัง แขนซ้ายและแขนขวา

กระจกทองแดงตรงหน้าอกพลันยิงแสงสีขาวที่แสบตาออกมาสายหนึ่ง ปะทะกับแสงสีดำที่ยิ่งเข้ามาจนกลายเป็นความว่างเปล่า และชั่วพริบตาเดียวก็เข้าไปครอบบนตัวเฮยหวัง

“อ้า…” วินาทีที่สัมผัสโดนแสงสีขาว เฮยหวังก็ส่งเสียงกรีดร้องทรมานแล้ว ผิวส่วนที่เปลือยอยู่ข้างนอกพลันแตกระแหงกลายเป็นเถ้าปลิวหายไปในชั่วพริบตาเดียว เจ็บปวดทรมานจนขดตัว หลังจากธงดำที่อยู่ข้างหลังโดนส่องด้วยแสงสีขาว ควันดำที่ลอยออกมาพักหนึ่ง ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ลุกไหม้เป็นเปลวเพลิงอันร้อนแรง

เมื่อประสมกับเสียงร้องโหยหวนของผีวรยุทธ์ต่ำที่โดนสังหารอยู่ข้างล่างในที่สุดก็ทำให้นักพรตผีที่ไม่เกรงกลัวกฎสวรรค์พวกนี้ได้เข้าใจเสียที ว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘อานุภาพสวรรค์เกินต้านทาน’ คืออะไร

เหมียวอี้ที่เจียดเวลามองขึ้นไปแอบทอดถอนใจ ไม่รู้ว่าโค่วเหวินหลานใช้ของวิเศษระดับไหน เห็นได้ชัดว่าเป็นดาวอริของนักพรตผี พวกลูกหลานจากตระกูลใหญ่ไม่ใช่ผู้ที่คนธรรมดาจะเทียบติดจริงๆ นักพรตทั่วไปทำได้เพียงอิจฉา แต่ของแบบนี้ไม่มีทางไปเทียบกันได้ อีกฝ่ายถือกุญแจทองมาตั้งแต่เกิด มีของวิเศษดีๆ ติดตัวถือเป็นเรื่องปกติมาก

อาศัยโอกาสนี้ โค่วเหวินหลานถือทวนโจมตีเข้าไป

เฮยหวังที่กำลังส่งเสียงกรีดร้องพลันยกแขนเสื้อบังหน้า ป้องกันไม่ให้แสงสีขาวส่องโดนใบหน้า แล้วถลันตัวพุ่งไปยังธงดำที่กำลังลุกไหม้อย่างดุเดือด พอดึงธงดำมาห่อตัว เปลวเพลิงร้อนแรงที่อยู่บนธงดำก็ดับสนิท เฮยหวังห่อธงดำปิดบังใบหน้า ป้องกันไม่ให้ได้รับบาดเจ็บโดยตรงจากแสงสีขาวที่โค่วเหวินหลานยิงออกมา แล้วมุดลงใต้ดินอย่างรวดเร็ว

“ขวางมันไว้!” โค่วเหวินหลานตะคอกสั่ง

เมื่อกำจัดผีวรยุทธ์ต่ำข้างล่างไปแล้วพอสมควร พวกเหมียวอี้ก็พุ่งขึ้นฟ้าไปดักโจมตีทันที

เมื่อตกอยู่ในสภาพจนตรอก เฮยหวังหลบหนีในแนวขวางทันที แต่จนใจที่โดนของวิเศษของโค่วเหวินหลานโจมตีจนเจ็บหนัก ความเร็วเทียบก่อนหน้านี้ไม่ได้ โดนโค่วเหวินหลานที่พุ่งเข้ามาขวางไว้กลางอากาศ

เห็นโค่วเหวินหลานคำรามและออกทวนแทงทันที เรียกได้ว่าแทงโดนศีรษะของเฮยหวังแล้ว

แต่ที่น่าแปลกก็คือ พอแทงทวนเข้าไปแล้ว ก็ไม่เห็นการเคลื่อนไหวอย่างที่ควรจะเกิด โค่วเหวินหลานสีหน้าเปลี่ยนทันที เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ พลันชักทวนกลับหมายจะถอยหนี

แต่ก็สายไปแล้ว โดนเฮยหวังคว้าหัวทวนเอาไว้ แล้วธงดำที่กำลังคลุมเฮยหวังก็ฉวยโอกาสโถมเข้าใส่ ในระยะที่ใกล้ขนาดนี้ โค่วเหวินหลานไม่ได้เตรียมป้องกัน ถูกตลบม้วนเข้าไปคาที่

“นายท่าน!” พวกสวีถังหรานร้องอุทาน เพราะเห็นกับตาว่าโค่วเหวินหลานดิ้นรนอยู่ในธงดำครู่เดียว ก่อนจะหายไปในอากาศ

ตอนที่ธงดำกางออกอีกครั้ง โค่วเหวินหลานก็ได้หายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเหมือนกับเซี่ยโห้วหลงเฉิง ตกหลุมพรางด้วยกันทั้งคู่ โดนเก็บเข้าไปในธงดำแล้ว

“ฮ่าๆๆ…” เฮยหวังเงยหน้าหัวเราะลั่น มือข้างหนึ่งถือทวนยาวในแนวขวาง มืออีกข้างคว้าธงดำ บนใบหน้า บนมือ ทุกจุดที่เผยผิวออกมา จุดที่โดนแสงสีขาวของโค่วเหวินหลานส่องจนเนื้อหนังแตกยับเห็นกระดูกก่อนหน้านี้ กำลังปล่อยควันดำออกมาสมานแผลตัวเอง

พอหัวเราะเสร็จ เฮยหวังก็กวาดสายตาเย็นเยียบมองพวกที่เหลือ ในดวงตาฉายแววอมยิ้มพิศวง ภาพมายาบงกชทองขั้นหกตรงหว่างคิ้วสะดุดตาเป็นพิเศษ

ทุกคนหัวใจกระตุกวูบ ขนาดโค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงยังโดนเก็บเข้าไป สวีถังหรานกับทหารเลวอีกหกคนมีแค่วรยุทธ์บงกชทองขั้นสามเท่านั้น จะไปสู้กับผีร้ายแบบนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะของวิเศษที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย แปลกประหลาดมากจนน่าตกใจ

ในตอนแรก ในใจทุกคนต่างก็คิดจะถอยหนี พอเหมียวอี้มองซ้ายมองขวา ก็ร้องในใจว่าท่าไม่ดีแล้ว คนวรยุทธ์สูงอย่างพวกสวีถังหราน ถ้าคิดจะหนีก็ยังมีความหวังค่อนข้างเยอะ แต่คนวรยุทธ์ต่ำอย่างเขาหนีได้ไม่เร็ว กลัวว่าจะต้องโชคร้ายกลายเป็นแพะรับบาป

พอคิดถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็พลันตะโกนเสียงดัง “เพื่อนร่วมงานทุกท่าน ผีร้ายตนนี้พลังเสื่อมทรุดแล้ว ตอนแรกโดนผู้บัญชาการเซี่ยโห้วโจมตีบาดเจ็บ ตอนหลังโดนผู้บัญชาการโค่วโจมตีซ้ำจนสาหัส มันแค่กำลังดันทุรังทนไว้เท่านั้น พวกเราร่วมมือกันล้อมโจมตี จะต้องสังหารเขาได้แน่นอน!”

ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม มาดอันน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์ไม่อยู่แล้ว

เฮยหวังกลับจ้องเหมียวอี้พลางยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาสองข้างฉายแววดุร้าย

เหมียวอี้มองปฏิกิริยาทุกคนที่อยู่ทางซ้ายและขวา แล้วจู่ๆ ก็นำระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง แล้วเขย่าจนเกิดเสียง

เฮยหวังเบิกตากว้างขึ้นหลายส่วน ดวงตาฉายแววดุดัน แล้วถลันตัวเข้ามาทันที หมายจะกำจัดเหมียวอี้ก่อน

เหมียวอี้ถลันตัวออกไป รีบหลบหลีกอย่างสุดชีวิต แต่กลับหนีไปได้ไม่ไกล ได้เล่นซ่อนแอบกับเฮยหวังตามแนวภูเขาแทน เพราะวรยุทธ์อย่างเขาไม่สามารถรอดพ้นเงื้อมมือมารของอีกฝ่ายได้ วิธีการเดียวก็คือร่วมมือกับคนอื่นๆ สู้ตายสักยก แบบนั้นอาจจะยังพอมีหวังรอดชีวิตอยู่บ้าง

ขณะกำลังอยู่ในวิกฤต เมื่อเห็นคนอื่นจะฉวยโอกาสตอนที่เฮยหวังกำลังพัวพันอยู่กับตนหลบหนี เหมียวอี้ก็รีบตะโกนเสียงดังว่า “ข้าส่งข่าวกลับไปแล้ว ถ้าพวกเจ้ากลับไปแบบนี้ แค่มองก็รู้ว่าเป็นพวกขี้ขลาดกลัวตาย ลองคิดดูว่าตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วจะปล่อยพวกเจ้าไปหรือเปล่า! ถ้าร่วมมือกันสังหารคนร้าย ทุกคนก็ยังพอมีโอกาสรอด คนที่หลบหนีจะต้องตายแน่นอน!”

คำพูดนี้ทำให้เฮยหวังโมโหจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ธงดำที่คลุมอยู่บนตัวยิงแสงสีดำนับไม่ถ้วนใส่เหมียวอี้อย่างต่อเนื่อง

แต่หลังจากโดนแสงสีดำ เหมียวอี้ก็แค่ตัวสั่นนิดหน่อย ยังคงหลบหนีอ้อมไปอ้อมมาอยู่เหมือนเดิม แสงสีดำนั่นใช้ไม่ได้ผลกับเหมียวอี้…

เฮยหวังที่ตามหลังมาตกตะลึงพูดไม่ออก นี่มันเรื่องอะไรกัน?

เรื่องอะไรนะเหรอ? จะเป็นเรื่องอะไรได้ล่ะ? เคล็ดวิชาอัคนีดาราของเหมียวอี้สามารถปัดเป่าสิ่งอัปมงคลได้ไงล่ะ ของเล่นแบบนี้ไม่ได้ผลกับเขาเลยจริงๆ

ที่จริงเหมียวอี้แค่ถือระฆังดาราขึ้นมาเขย่าเฉยๆ ตอนนี้จะเอาสมาธิจากไหนมาหาจังหวะรายงานสถานการณ์ แต่ก็ไม่มีทางเลือก เมื่อกำลังอยู่ระหว่างความเป็นความตายก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง ถ้ายอมแพ้แม้กระทั่งจะช่วยเหลือตัวเอง แล้วยังจะหวังให้ใครมาช่วยเจ้าได้อีก

ทว่าพวกสวีถังหรานไม่รู้ เมื่อเห็นเขาหยิบระฆังดาราขึ้นมาแล้ว ทั้งยังได้ยินเขาพูดแบบนี้อีก ทุกคนก็ตกตะลึงมาก แต่ละคนเรียกได้ว่าแค้นเหมียวอี้จนกัดฟันกรอด ไอ้เวรนี่มันตัดขาดหนทางรอดชีวิตสุดท้ายของทุกคน

แต่ในจุดนี้เหมียวอี้พูดไม่ผิด ทุกคนก็มองออกเช่นกัน เฮยหวังโดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานโจมตีจนสาหัสจริงๆ ไม่อย่างนั้นอาศัยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหกอย่างเขา คงไม่ถึงขั้นไล่ตามเหมียวอี้ที่วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งไม่ทันหรอก

แล้วอีกอย่างก็คือ ทุกคนได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว ว่าแสงสีดำที่เฮยหวังปล่อยออกมาจากธงดำเหมือนจะลดอานุภาพลงเยอะมาก เหมือนจะทำอะไรเหมียวอี้ที่มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งไม่ได้ พลังเสื่อมทรุดลงกว่าเมื่อก่อนแล้วจริงๆ ภาพนี้ทำให้ทุกคนมีความั่นใจขึ้นมาบ้าง

ส่วนเหมียวอี้ก็อ้อมแนวเทือกเขาวนกลับมา พุ่งกลับไปหากลุ่มเพื่อนร่วมงานของตัวเอง เมื่อเห็นทุกคนลังเลตัดสินใจไม่ได้ ก็รู้ว่าวิธีการของตัวเองได้ผลแล้ว จึงตะโกนเสียงดังว่า “ถ้าไม่ร่วมมือกันสังหารตอนนี้ จะรอให้โดนโจมตีแพ้ทีละคนรึไง! ถ้าอยากจะเลื่อนยศ อยากจะร่ำรวยก็ต้องทำตอนนี้แหละ!”

การหนีเป็นเส้นตรงเกิดปัญหาทันที ชั่วพริบตาเดียวเฮยหวังก็ตามทันแล้ว ปล่อยแสงสีดำโจมตีเหมียวอี้ก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงโจมตีให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ถือทวนแทงอย่างดุดัน

เหมียวอี้ตอบสนองรวดเร็ว บิดตัวโบกแขนใช้ทวนแหย่ ปรากฏว่าต้านทานไว้ได้ ทำให้เฮยหวังตกตะลึงกับความเร็วในการออกทวนของเขา

เสียงสะเทือนดังแกร๊ง เหมียวอี้สะเทือนจนแขนสองข้างเหน็บชา เมื่อเห็นว่าล่อเฮยหวังกลับมาที่กลุ่มเพื่อนร่วมงานของตัวเองได้แล้ว เขาก็แสร้งว่าสู้ไม่ได้เพราะวรยุทธ์ต่ำ ฉวยโอกาสอาศัยแรงคนอื่น อาศัยการโจมตีของอีกฝ่ายพุ่งลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว มอบตำแหน่งผู้เล่นหลักในสนามหลักให้พวกสวีถังหราน

พอเฮยหวังพุ่งเข้ามาในกลุ่มคน พวกสวีถังหรานที่โดนเหมียวอี้กดดันจนหมดทางถอยก็พากันด่าแม่ในใจ ข่งเฟยฝานตะโกนเสียงดังก่อนว่า “ตามข้าไปโจมตี!”

…………………………

975

ต่อสู้ในหมู่คณะ

เหมียวอี้ที่ตกลงกระแทกพื้นเดิมทีคิดจะลุกขึ้น สุดท้ายเมื่อเห็นวงล้อมโจมตีไม่ได้จำเป็นต้องมีเขา จึงนอนอยู่อย่างนั้นเสียเลย ไม่ยอมลุกขึ้นมา ทำตัวเหมือนบาดเจ็บสาหัส

ก่อนหน้านี้พวกเขาอยากจะให้เหมียวอี้เป็นแพะรับบาปเพื่อให้ตัวเองหนีได้สะดวก ตอนนี้ถึงคราวที่เหมียวอี้จะแสร้งบาดเจ็บสาหัสและมองดูพวกเขาสู้ตายบ้าง วันๆ เอาแต่กินแต่ดื่ม ไม่มีใครดีสักคน เหมียวอี้ในตอนนี้เหมือนเป็นคนละคนกับเหมียวอี้ในปีนั้น ที่เอะอะอะไรก็จะออกไปสู้ตายลูกเดียว หรืออาจจะพูดได้ว่า คนในยุทธภพยิ่งแก่ยิ่งเจ้าเล่ห์ ไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนในปีนั้นแล้ว

ส่วนบนฟ้าก็สู้กันอย่างมืดฟ้ามัวดิน นักพรตบงกชทองหลายคนสู้กันอย่างอุตลุตแบบนี้ อานุภาพที่หลงเหลือจากการต่อสู้ทำให้ภูเขาถล่มแผ่นดินทลาย ตรงกลางภูเขาไฟมีควันดำลอยตลบอบอวล ตรงก้นภูเขาไฟที่ระเบิดเป็นโพรง หินหลอมเหลวไหลทะลักออกมา ให้ความรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มดินสลายจริงๆ

เหมียวอี้ที่แกล้งสลบอยู่บนพื้นโดนหินที่ไหลกลิ้งและชั้นดินที่พังทลายฝังกลบนับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่เขาปีนขึ้นมาทุกครั้งที่โดนฝัง โผล่หน้าสังเกตการต่อสู้ข้างนอกตลอดเวลา

เฮยหวังที่โดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานโจมตีติดต่อกันจนสาหัส ตอนนี้กำลังอ่อนแอลงเยอะมากจริงๆ พลังสูงกว่าทหารเลวทั้งหกที่กำลังสู้ศึกเดือดไม่เท่าไร ถ้าไม่ใช่เพราะในมือมีทวนวิเศษผลึกแดงที่ร้ายกาจ ทั้งยังมีธงดำที่ห่อหุ้มตัวจนกลายเป็นเหมือนหลุมดำ ทำให้หลังจากโดนโจมตีแล้วไม่บาดเจ็บถึงกายเนื้อ เขาอาจจะแพ้ให้กับการล้อมโจมตีของคนพวกนี้ไปแล้ว

และคนพวกนี้ก็มีประสบการณ์ในการรับมือกับเขามาแล้ว ไม่ใช้ท่าเก่าๆ ร่ายอิทธิฤทธิ์ม้วนโคลนขึ้นมาติดตามตัว พออีกฝ่ายปล่อยแสงสีดำมาโจมตี พวกเขาก็สร้างชั้นดินขึ้นมากั้นขวางทันที

พอเหตุการณ์เป็นแบบนี้ เห็นเฮยหวังไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น พวกสวีถังหรานก็ฮึกเหิมมั่นใจมาก ย่อมไม่กลัวเฮยหวังอีก ในสายตาของพวกเขา เฮยหวังได้กลายเป็นทางลัดที่จะทำให้พวกเขาได้เลื่อนยศและร่ำรวย ทหารเลวทั้งหกตัดสินใจเด็ดเดี่ยว แต่ละคนหมายจะเล่นงานเฮยหวังให้ตาย

“สกัดเขาไว้! ใครถอย ประหาร!” หลัวว่านกวงตะโกนอย่างใจร้อนๆ

เฮยหวังที่กำลังเจ็บจนพูดไม่ออกคิดจะหลบหนี แต่กลับโดนทหารสวรรค์เกราะทองสามสิบกว่าคนพัวพันไม่ปล่อย เรียกได้ว่าล้อมโจมตีจากทุกทิศอย่างบ้าคลั่ง สู้ตายไม่ยอมถอย ถ้าราชันสวรรค์ได้มาเห็นภาพนี้ ดีไม่ดีอาจจะรู้สึกตื้นตันใจก็ได้

เฮยหวังในตอนนี้เรียกได้ว่าเคียดแค้นเหมียวอี้มาก เดิมทีคนพวกนี้หมดหวังเตรียมจะหนีไปแล้ว แต่กลับโดนเหมียวอี้ปั่นให้มาสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับเขา

เมื่อเห็นว่าตอนนี้ไม่มีทางหนีพ้น เฮยหวังก็ตัดสินใจแน่วแน่เสียเลย ตัดสินใจว่าจะยอมแลกทุกอย่างและสู้ตายกับพวกเขาสักยก

ขณะที่กำลังกวาดทวนโจมตีมั่วๆ บนธงดำที่ห่อหุ้มตัวก็ระเบิดแสงสีดำออกมานับไม่ถ้วน คอยให้ความร่วมมือกับการรุกโจมตีของเขา

พอกลุ่มทหารสวรรค์ใช้ชั้นดินป้องกัน แต่ใครจะคิดว่าเฮยหวังกลับฉวยโอกาสแทงทวนเข้ามา แทงทะลุเกราะตรงหน้าอกของส้าวเติงก่วง หัวทวนที่แหลมคมจมเข้าไปในหัวใจของเขาแล้ว

ชั้นดินที่ขวางกั้นสลายตกลงพื้น เผยดวงตาสองข้างที่กำลังฉายแววเหลือเชื่อของส้าวเติงก่วง

ตอนนี้ไม่มีใครสนใจความเป็นความตายของส้าวเติงก่วง อาวุธสี่ห้าชิ้นโจมตีเข้าไปที่ตัวของเฮยหวังพร้อมกัน แต่มีธงดำผืนนั้นป้องกันตัว ถ้าเป็นการป้องกันตัวของคนอื่นอาจจะทำให้ฟันแทงไม่เข้า แต่การป้องกันตัวของเฮยหวังกลับทำให้อาวุธจมมิดเข้าไปหมด ราวกับใช้หลุมดำมาทำเป็นของวิเศษป้องกันตัว

“อั้ก!” ส้าวเติงก่วงเงยหน้ากระอักเลือดสดพุ่งขึ้นฟ้า สะเทือนจนร่างกระเด็นออกไป

“ผู้บัญชาการ!” ลูกน้องทั้งสี่ของเขาร้องอุทาน

พวกสวีถังหรานไม่กล้าใช้ท่าเดิม เมื่อเห็นว่าโจมตีไม่ได้ผลก็รีบหยุดมือ ปู้เหลียนจงรีบตะโกนบอกว่า “โจมตีที่ดวงตาและมือเท้าของเขา!”

อวัยเหล่านั้นคือจุดที่ธงดำไม่ได้ห่อหุ้มไว้ ทุกคนที่ล้อมโจมตีเปลี่ยนตำแหน่งลงมือทันที

พอเฮยหวังกวาดทวนวนรอบๆ แสงสีดำบนตัวก็ระเบิดออกมาอีกครั้ง ขณะที่ทุกคนใช้ชั้นดินเป็นแนวกั้นอีกครั้ง สวี่เต๋อก็ตะโกนเสียงดังว่า “เชือกมัดเซียน!”

ไม่รอให้เฮยหวังโจมตีเข้ามาอีกครั้ง เชือกมัดเซียนยี่สิบสามสิบเส้นถูกยิงเข้ามา สีทองอร่ามราวกับงูศักดิ์สิทธิ์ นี่คือสิ่งที่ตำหนักสวรรค์แบ่งสรรให้ ตราบใดที่ได้ยศทหารก็จะได้คนละหนึ่งเส้น จะได้สะดวกในการจับคน

เฮยหวังรีบออกทวนปาดติดต่อกันอย่างรวดเร็ว หัวทวนแหลมคมปาดเชือกขาดไปหลายเส้น แต่จนใจที่มีจำนวนเยอะเกินไป ชั่วพริบตาเดียวก็โดนมัดจนแน่นหนา

“โจมตี!” พวกสวีถังหรานตะโกนเสียงดัง ทหารเลวทั้งห้าร่วมมือกัน ฉวยโอกาสออกอาวุธพร้อมกัน บางคนก็หั่นมือ บางคนก็หั่นเท้าบางคนก็จิ้มลูกตา

ใครจะไปคาดคิด ขณะที่กำลังวิตกกังวล เชือกมัดเซียนที่มัดอยู่บนตัวเฮยหวังก็ราวกับดินโคลนที่ไหลลงทะเล ไม่น่าเชื่อว่าจะจมลงในธงดำคุ้มกาย ชั่วพริบตาเดียวก็คลายมัดเฮยหวังแล้ว

อย่าว่าแต่คนล้อมโจมตีที่เห็นแล้วขวัญผวา ขนาดเหมียวอี้ที่ดูอยู่ข้างล่างยังสูดหายใจลึก แบบนี้ก็ได้เหรอ? ธงดำนี่มันเป็นของวิเศษอะไรกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะร้ายกาจขนาดนี้?

การพลาดครั้งนี้ทำให้เกิดปัญหาทันที พอเฮยหวังเบี่ยงตัว ทหารทั้งห้าที่โจมตีพร้อมกันก็คว้าน้ำเหลว แต่เฮยหวังกลับถือโอกาสกวาดทวนรอบวง หัวทวนที่แหลมคมฝ่าทะลุเกราะรอบวง ทำให้เลือดสดสาดพุ่งออกมาเป็นสาย

ทั้งห้าคนส่งเสียงคราง เกราะรบตรงส่วนท้องฉีกพัง โดนฟันจนเอวแทบขาดท่อน ตรงท้องน้อยก็โดนฟันจนเป็นแผล ถ้าไม่ใช่เพราะร่ายอิทธิฤทธิ์ป้องกันอยู่ เกรงว่าทุกคนคงจะพุงแตกไส้ทะลักแล้ว

“ลุย!” ห้าคนที่รีบถลันตัวถอยร้องบอก

พอห้าคนที่เป็นฝ่ายรุกโจมตีถอยไป กลุ่มกำลังเสริมที่อยู่ข้างหลังก็ล้อมเข้าไปโจมตีอย่างบ้าคลั่งทันที

แต่พวกเขาใช่คู่ต่อสู้ของเฮยหวังเสียที่ไหนกัน วรยุทธ์ยังไม่สูงพอ พอทหารเลวห้าคนถอยออก ก็ไม่มีใครคุมเหตุการณ์ได้แล้ว กอปรกับแสงสีดำที่ยิงออกจากตัวเฮยหวังเป็นระยะ ผ่านไปประเดี๋ยวเดียวก็โดนเฮยหวังปาดทวนสังหารล้มไปสิบกว่าคนแล้ว แต่ละคนตกลงพื้นพร้อมกับเสียงกรีดร้อง

พวกสวีถังหรานทั้งตกใจทั้งโมโห ถึงแม้ร่างกายจะบาดเจ็บสาหัส แต่ยังกัดฟันโจมตีเข้ามา ตอนนี้ถ้าไม่สู้ตายก็ไม่มีทางอื่นแล้ว พอโดนเหมียวอี้ป่วนแบบนี้ อยากจะกลับตัวก็ทำไม่ได้แล้ว ทำได้พียงแข็งใจสู้สุดกำลัง

ตรงนี้เพิ่งจะยืนอย่างมั่นคงได้ เสียงโครมครามก็ดังขึ้นอีก เหมียวอี้พุ่งออกจากกองดิน โจมตีเข้ามาแล้ว

เขาไม่มีทางเลือกแล้วเหมือนกัน ถ้าตอนนี้ยังไม่ออกแรงช่วยอีก อีกสักพักไม่ว่าใครก็อย่าคิดที่จะหนีเลย บวกกับเห็นสภาพของพวกสวีถังหราน เดาว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะทิ้งตนไว้แล้วหนีไป ก็เลยโจมตีเข้ามา

จากล่างขึ้นบน เหมียวอี้ปาดทวนต่อเนื่องกันขระที่พุ่งขึ้นฟ้า เขาดูการต่อสู้อยู่ข้างล่างนานขนาดนั้น จึงหาเจอแล้วว่าจุดอ่อนของเฮยหวังอยู่ตรงไหน ก็คือจุดที่ไม่ได้โดนธงดำครอบนั่นเอง

ชั่วพริบตาเดียวก็ออกทวนราวกับมังกร แสงสะท้อนคมทนยิงออกมาดอกแล้วดอกเล่า โจมตีไปที่เท้าสองข้างของเฮยหวัง

เฮยหวังที่โดนทหารห้าคนล้อมขยับเท้าเร็วมาก แต่กลับเร็วไม่เท่าการออกทวนของเหมียวอี้ ชั่วพริบตาเดียวก็โดนไปหลายทวนติดต่อกัน

ทีแรกเฮยหวังก็ไม่สนใจอะไร เพราะเท้าทั้งสองข้างไม่ใช่จุดสำคัญของเขา เพราะก่อนหน้านี้โดนโจมตีที่เท้าไปหลายทีแล้ว แต่ใครจะคิดว่าความรู้สึกเวลาโดนเหมียวอี้โจมตีนั้นต่างออกไป ทุกจุดบนเท้าเขาที่โดนทวนจะมีเสียง ‘ฉ่า’ และมีควันดำลอยขึ้นมา ขณะเดียวกันบางสิ่งที่ทำให้เขาวิญญาณสั่นสะท้านก็กรอกเข้ามาในร่างกาย หลังจากมีเวียง “ฉ่าๆ” ดังไม่กี่รั้ง เฮยหวังก็ตกใจแทบขวัญหนีดีฝ่อ

“อา…” เฮยหวังส่งเสียงคำรามอย่างโกรธแค้น แทบจะพุ่งขึ้นฟ้าโดยไม่สนใจอะไรแล้ว

“มัดเขาไว้!” เหมียวอี้ตะโกนสั่งอย่างเกรี้ยวกราด พลางไล่ตามโจมตีใต้เท้าของเฮยหวังขึ้นไปตลอดทาง

พวกสวีถังหรานย่อมรู้ว่าเหมียวอี้พบจุดอ่อนของเฮยหวังแล้ว พวกเขาดีใจมาก ขณะที่บาดเจ็บหนักก็ยังถืออาวุธโจมตี ตามเฮยหวังขึ้นไปบนฟ้าตลอดทาง รุกโจมตีอย่างบ้าคลั่ง

“ไปดักข้างบน!” สวีถังหรานตวาดสั่ง ไม่ใช่แค่เขา อีกสี่คนที่เหลือก็จะตะโกนสั่งเช่นกัน “ดักเขาไว้!”

ทหารสิบกว่าคนที่เหลือรวบรวมกำลังทั้งหมดพุ่งขึ้นฟ้า พุ่งไปล้อมดักทั้งข้างบนข้างล่าง

เฮยหวังรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวในร่างกายตัวเอง ในดวงตาฉายแววหวาดกลัวถึงขีดสุด เรียกได้ว่าตกใจจนมือไม้อ่อน แต่จนใจที่จะหนีก็หนีไม่พ้น

“อา!” เฮยหวังพลันส่งเสียงคำรามดุดัน ธงดำบนตัวพลันระเบิดเป็นแสงสีดำนับไม่ถ้วน กดดันให้ทุกคนต้องปกป้องตัวเอง ส่วนเขาก็โจมตีไปข้างล่างอย่างบ้าคลั่ง ให้ความรู้สึกเหมือนจะสู้ตายกับเหมียวอี้

เหมียวอี้จะไปสู้ตายกับเขาทำบ้าอะไรล่ะ รีบขยับตัวหนีจากตรงนั้น หนีเอาชีวิตรอดอย่างว่องไว

เฮยหวังยังไม่ทันตามมาถึง พวกสวีถังหรานก็เข้ามาล้อมเขาไว้อีก และสีหน้าของแต่ละคนก็ดูจะดีใจมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ ว่าพลังของเฮยหวังกำลังลดลงเร็วมาก การโจมตีที่ใช้รับมือกับพวกเขายิ่งดูดันทุรังขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต่างอะไรกับการเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้ทหาร การโจมตีของพวกเขายิ่งดุดันขึ้นเรื่อยๆ

สุดท้าย ภายใต้การกระทุ้งทวนอย่างดุเดือดของสวี่เต๋อ แกร๊ง! เฮยหวังก็กุมทวนยาวไว้ไม่อยู่แล้ว ทวนหลุดมือกระเด็นไป ขณะเดียวกันก็กระอักเลือดสดอย่างบ้าคลั่ง ร่างตกลงกระแทกพื้น

พรึ่บๆ! กลุ่มทหารพุ่งตามลงมา ออกดาบออกทวนพร้อมกัน ตัดมือและเท้าทั้งคู่ของเขาอย่างรวดเร็ว

สวีถังหรานลงมือเร็วมาก ใช้มือข้างหนึ่งดึงธงดำลงจากตัวเฮยหวัง ดึงมาไว้ในมือตัวเองแล้วพิจารณาดู

เชือกมัดเซียนเส้นหนึ่งถูกโยนออกมา แล้วมัดเฮยหวังไว้อย่างแน่นหนา อาวุธนับไม่ทวนจ่อไปบนตัวของเฮยหวัง และเฮยหวังเองก็สูญเสียความสามารถที่จะขัดขืนขืนโดยสิ้นเชิง นอนขดตัวสั่นเทิ้มอยู่บนพื้นไม่หยุด บนตัวมีควันสีเทาลอยขึ้นมา ทำสีหน้าเจ็บปวดทรมานเกินทน

ส่วนสวี่เต๋อก็หยิบทวนวิเศษผลึกแดงของเฮยหวังมาไว้ในมือแล้ว เขาเดินไปข้างกายเหมียวอี้ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ครั้งนี้น้องชายสร้างผลงานใหญ่เชียวนะ ถ้าไม่ใช่เพราะน้องชายลงมือ เจ้าเฮยหวังนี่ก็ยากที่จะโดนลงโทษได้ ไม่ทราบว่าน้องชายใช้วิธีการอันยอดเยี่ยมอะไรรับมือกับเขา?”

คำพูดนี้ทำให้พวกสวีถังหรานสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ถ้าจะพูดกันตามจริง การที่จับตัวเฮยหวังได้แบบนี้ เหมียวอี้มีส่วนสร้างผลงานชั้นยอดไว้จริงๆ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รู้ว่าใครจะเป็นหรือใครจะตายกันแน่

เหมียวอี้ยิ้มจืดๆ พร้อมตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก แค่อาบยาพิษไว้บนทวนนิดหน่อยเท่านั้นเอง!” จากนั้นก็หันไปบอกสวีถังหราน “พี่สวี รีบดูผู้บัญชาการโค่วที่อยู่ในธงดำว่ายังสบายดีอยู่ไหม อย่า…” เสียงพูดพลันหยุดชะงัก เพราะจู่ๆ มีการเคลื่อนไหวผิดปกติอยู่ข้างหลัง เขาพลันโบกมือแต่ก็สายไปเสียแล้ว

คมทวนด้ามหนึ่งเสียบเข้ามาที่เอวด้านหลังของเขา เป็นทวนวิเศษผลึกแดงในมือสวี่เต๋อ เป็นด้ามที่เก็บได้จากมือเฮยหวัง อีกฝ่ายฉวยโอกาสตอนที่เหมียวอี้ไม่ป้องกันตัว โจมตีทะลุเกราะทองของเหมียวอี้ เสียบเข้ามาถึงเอวของเหมียวอี้แล้ว

ยังโชคดีที่เหมียวอี้ไหวตัวเร็ว ใช้มือคว้าไว้ได้ทันเวลา หัวทวนจึงแทงเข้ามาได้แค่ครึ่งเดียว แต่ก็เห็นเลือดสดไหลออกมาแล้ว

เหมียวอี้หันกลับไปถลึงตาใส่ พลางตวาดอย่างโมโหว่า “สวี่เต๋อ ทำไมเจ้ากล้าลอบทำร้ายข้า!”

กะทันหันเกินไปจริงๆ ทำไมเขาถึงนึกไม่ถึงว่าสวี่เต๋อจะลงมือ ลอบจู่โจมในระยะที่ใกล้กันขนาดนี้ ทั้งยังไม่ได้ป้องกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ถึงผลที่ตามมา ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไหวตัวเร็ว ก็คงจะโดนสวี่เต๋อสังหารตายภายในทวนเดียวแล้ว

สวี่เต๋อออกแรงทิ้มทวนในมือ แต่กลับโดนเหมียวอี้จับไว้ ถึงได้ทำให้เหมียวอี้ไถลไปทั้งตัว ฉากนี้ทำให้พวกสวีถังหรานแอบส่งสายตาให้กันอย่างรู้อยู่แก่ใจ

สวี่เต๋อที่ดันเหมียวอี้ไปข้างหน้ากล่าวด้วยสีหน้าดุร้ายว่า “หนิวโหย่วเต๋อ คนต่ำทรามอย่างเจ้า เพราะความโลภอยากได้ผลงาน ไม่น่าเชื่อว่าจะแกล้งนอนตาย ไม่สนใจความเป็นความตายของพี่น้องคนอื่น ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ส้าวเติงก่วงจะต่อสู้จนตัวตายเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะคนทรามอย่างเจ้า จะต้องเสียสละชีวิตพี่น้องไปเยอะขนาดนี้เหรอ คนต่ำทรามขนาดนี้ ทุกคนคิดว่าควรจะฆ่าทิ้งมั้ยล่ะ?”

สวีถังหรานแสยะยิ้ม “สมควรตายจริงๆ!” เขามองธงดำในมือแวบหนึ่ง กำลังสื่อว่าอย่าเพิ่งปล่อยโค่วเหวินหลานออกมา

“ถ้าไม่ฆ่าก็ไม่พอที่จะทำให้ทุกคนหายโกรธ!” ปู้เหลียนจงกล่าว

“พี่สวี่ลงมือได้เลย มีพยานเห็นเยอะขนาดนี้ ฆ่าคนจัญไรไปสักคนก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก” ข่งเฟยฝานสนับสนุน

“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!” ลูกน้องที่เหลือขานรับเสียงดังทันที

976

ใช้ทวนถาม

ความระเกะระกะหลังจากภูเขาถล่มแผ่นดินทลาย แสงสีแดงฉานของหินหลอมเหลวที่ไหลออกจากภูเขาไฟส่องสะท้อนใบหน้าของพวกเขา จู่ๆ ก็ทำให้เหมียวอี้รู้สึกว่าสีหน้าของคนพวกนี้โหดเหี้ยมเป็นพิเศษ! พวกที่ก่อนหน้านี้ยังเรียกตนว่าพี่ว่าน้อง แต่พอผ่านไปชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น นอกจากจะลอบจู่โจมตนแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าแต่ละคนยังคิดจะเล่นงานตนให้ถึงตายอีก

ไม่มีทางบรรยายความปวดร้าวเศร้าโศกในใจเหมียวอี้ได้เลย เขาทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน แต่ก็ดูดุดันเป็นพิเศษ ในดวงตาค่อยๆ พรั่งพรูความดุร้ายราวกับสัตว์ป่า

จู่ๆ สวี่เต๋อก็เร่งฝีเท้าดันเข้ามา ขณะที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ดันจนสองเท้าของเหมียวอี้เหมือนกับเป็นคันไถ ไถลจนพื้นดินเป็นรอยลึกอย่างรวดเร็ว

เสียงโครมครามดังไม่หยุดตลอดทาง หินก้อนใหญ่ที่ไหลลงจากภูเขาก้อนแล้วก้อนเล่าถูกร่างกายของเหมียวอี้ชนจนแตกกระจาย แต่เหมียวอี้ราวกับไม่สะทกสะท้าน ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องสวี่เต๋อที่ดันจนตัวเองถอยหลังอย่างรวดเร็วตลอดทาง ไม่ต้องดูก็รู้แล้ว สวี่เต๋อกำลังดันตนเข้าไปหาหินหนืดร้อนระอุที่ไหลออกมาจากกลางภูเขา อยากจะตอกตนลงในหินหนืด อยากจะเผาตนให้ตาย หรือไม่ก็ให้ศพหายไปอย่างไร้ร่องรอย

พลั่ก! หินหนืดที่ไหลร้อนถูกร่างกายของเหมียวอี้ชนจนประกายไฟที่สว่างพร่างพรายยิงออกมา ร่างกายครึ่งหนึ่งถูกดันเข้าในหินหนืดอุณหภูมิสูงสีแดงฉาน สิ่งที่เรียกว่าบุกน้ำลุยไฟก็เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่สีหน้าดุดันของเหมียวอี้ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงบนิ่งผิดปกติ แล้วกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “สวี่เต๋อ นี่เจ้ารนหาที่ตายเองนะ!”

“กำเริบเสิบสาน!” สวี่เต๋อแสยะยิ้ม ขณะทวนที่อยู่ในมืออีกข้างกำลังจะโบกแทงเข้าไปพร้อมกัน เหมียวอี้หันหน้ากลับมาพร้อมประกายไฟสวยตระการตา หินหลอมเหลวที่ไหลทะลักกระโจนไปทางเขาราวกับมังกรไฟ

พอสวี่เต๋อโบกทวนกวาด มังกรไฟหลายตัวก็โดนพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาโจมตีพังทันที แต่จู่ๆ ก็ต้องตกตะลึง เห็นเพียงบนข้อมือของเหมียวอี้ที่กำลังจับหัวทวนที่แทงคาอยู่บนหลังเอวมีเงาลึกลับสองสายกะพริบออกมา แล้วยิงเข้ามาทางเขาอย่างรวดเร็ว

ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดอะไร สวี่เต๋ออยากจะดึงทวนหนีออกมา แต่ใครจะไปคิด มือที่เปื้อนเลือดของเหมียวอี้กลับจับทวนที่เสียบหลังเอวตัวเองไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ถ้าอยากจะเอาทวนไปด้วยก็ต้องเอาเหมียวอี้ไปด้วย แล้วก็เห็นเหมียวอี้ชูทวนแทงเข้ามาอีก

เมื่ออยู่ภายใต้ความวิตกกังวล ก็ย่อมต้องปล่อยมือก่อนอยู่แล้ว สวี่เต๋อรีบถลันตัวหลบสัตว์ประหลาดสองตัวที่โจมตีไขว้เข้ามา

สัตว์ประหลาดสองตัวบินวนอยู่กลางอากาศ ตอนนี้ทุกคนถึงได้เห็นชัดๆ ว่ามันคือตั๊กแตนยักษ์หน้าตาหน้าเกลียดน่ากลัว ทั้งตัวมันวาวเหมือนโลหะประหลาด

ฉึก! พอเหมียวอี้ใช้มือดึง หัวทวนที่เสียบอยู่บนหลังเอวตัวเองครึ่งหนึ่งก็ถูกดึงออกมา ทำให้หลังเอวมีเลือดสดไหลทะลักทันที แต่ก็ถูกพลังอิทธิฤทธิ์ผนึกไว้อย่างรวดเร็ว

ขณะมองดูหัวทวนที่เปื้อนเลือดสดของตัวเอง เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ในหินหนืดสีแดงฉานก็เก็บทวนสีทองในมือ แล้วยกมือขึ้นทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของเฮยหวังที่อยู่ในทวนวิเศษผลึกแดง จากนั้นกรอกต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองเข้าไป พอร่ายอิทธิฤทธิ์เล็กน้อย ทวนวิเศษผลึกแดงในมือก็กะพริบแสงสีทองทันที มันคือทวนวิเศษผลึกแดงขั้นห้า!

เหมียวอี้หยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวมากัดคำหนึ่ง แล้วเงยหน้ามองสวี่เต่อที่กำลังทำสีหน้ามุ่งสังหาร ขณะเดียวกันก็เดินออกจากหินหลอมเหลวอย่างช้าๆ รองเท้ายาวสีทองที่เดินออกจากหินหลอมเหลวยังคงเปื้อนหินหลอมเหลวที่ร้อนผ่าว รอยเท้าสีแดงแต่ละก้าวทำให้เกิดควันบนพื้น พอปะทะกับความเย็น แสงสีแดงก็อับแสงลงอย่างรวดเร็ว

“ไม่ได้ใช้ทวนดีที่เหมาะมือมานานแล้ว ยังไม่ได้ฆ่าคนแบบถึงอกถึงใจเหมือนกัน ช่างน่าเสียดายนัก! ให้ข้าทดลองอานุภาพของทวนด้ามนี้หน่อยเป็นไง!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ แล้วจู่ๆ ก็สะบัดทวนสามที แทงไปทางซ้ายทางขวารวมทั้งปากภูเขาไฟที่อยู่ตรงหน้า

บึ้มๆๆ! พลังอิทธิฤทธิ์โหมซัดสาดออกมา แผ่นดินสะท้านภูเขาสะเทือน

การโจมตีประเภทนี้อาจจะไม่ได้ผลกับนักพรตระดับบงกชทอง แต่ยังได้ผลกับภูเขาหลายลูก ใต้ท้องภูเขาไฟสามลูกระเบิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น หินหลอมเหลวทะลักออกมาสามสาย ไหลลงมาในหุบเขาแห่งนี้พร้อมกับไอร้อนและควันดำ

เมื่อเห็นหินหลอมเหลวไหลเข้ามาปกคลุม สวี่เต๋อถึงได้สติกลับมา เมื่อครู่นี้ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าจะตกตะลึงกับสง่าราศี ‘เมื่อทวนอยู่ในมือ’ ของเหมียวอี้เข้าแล้ว พอได้สติกลับมาก็ลอยขึ้นทันที หลบหินหลอมเหลวที่ทะลักมาใต้เท้า

ถึงแม้หินหลอมเหลวร้อนผ่าวจะทำร้ายเขาไม่ได้ แต่เขาก็ไม่มีทางอยู่ตรงนี้ได้นาน

ตั๊กแตนสองตัวที่อยู่บนฟ้าพลันบินกลับมา กลับเข้ามาอยู่ในกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือของเหมียวอี้ เมื่อมีอาวุธที่เหมาะมือแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ตั๊กแตนช่วย แค่อยากจะแสดงอานุภาพของทวนที่อยู่ในมือตัวเองเท่านั้น!

ทุกคนได้แต่มองดูเข่าสองข้างของเหมียวอี้จมลงในหินหลอมเหลวร้อนผ่าวที่ไหลเข้ามาในหุบเขา เหมียวอี้ชูทวนชี้ไปยังกลุ่มทหาร “อยากจะฆ่าข้าเหรอ? หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่แล้ว ใครกล้าก็เข้ามา!”

“รับความตายซะเถอะ!” หนึ่งในนั้นถลันตัวลงมาจากฟ้า ใช้ดาบด้ามหนึ่งฟันลงมาอย่างบ้าคลั่ง เป็นลูกน้องของสวี่เต๋อนั่นเอง นี่คือเวลาที่ควรทุ่มเทความพยายามแสดงความสามารถ

ลูกน้องของสวี่เต๋อตายไปแล้วสามคน เหลือเขาแค่คนเดียว

เหมียวอี้ถือทวนในแนวขวาง ไม่สะทกสะท้านใดๆ จนกระทั่งดาบใหญ่อยู่ห่างจากศีรษะตัวเองประมาณสิบนิ้ว ก็เกิดภาพมายาบนทวน จู่ๆ เงานั้นก็ขยับพร้อมแสงสีทอง ยิงออกมาราวกับผีพุ่งใต้ เร็วมาก! การออกทวนครั้งนี้เร็วจนทำให้นักพรตบงกชทองที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นแล้วตาลาย

แกร๊ง! เสียงดังฟังชัด หัวทวนที่แหลมคมแทงโดนด้ามของดาบใหญ่ที่ฟันลงมาได้อย่างแม่นยำ ฟันขาดอย่างง่ายดายราวกับหั่นเต้าตู้

“ระวัง!” สวี่เต๋อพลันตะโกนบอก

ผีพุ่งใต้สายนั้นยังไม่หยุดพุ่งไปข้างหน้า พอฟันด้ามดาบขาดแล้ว ก็ไถลเข้าไปในเกราะทองต่อ หัวทวนที่แหลมคมเสียบทะลุเกราะเข้าไปในหน้าอกของทหารคนนั้น

ทหารคนนั้นโดนเหมียวอี้ใช้ทวนตรึงไว้กลางอากาศ ขณะมองดูด้ามดาบในมือที่โดนฟันขาดไปครึ่งหนึ่ง ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความรู้สึกเหลือเชื่อ เลือดสดพุ่งออกจากหน้าอก ตรงนั้นคือตำแหน่งของหัวใจพอดี ทำให้เลือดลมปั่นป่วน รู้สึกเจ็บหน้าอกตอนหายใจ ที่มุมปากและรูจมูกมีเลือดสีแดงเข้มซึมออกมา

ในเวลานี้ ดาบยาวอีกครึ่งหนึ่งที่โดนฟันขาดกลิ้งลงไปถึงได้ส่งเสียง “ตู้ม” มันตกลงไปในหินหลอมเหลวสีแดงฉานที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ จมลงไปแล้ว!

สังหารได้ภายในการโจมตีครั้งเดียว! ทั้งยังสังหารได้รวดเร็วราบรื่น ไม่อืดอาดยืดยาดเลยแม้แต่น้อย สังหารจนเกิดความงามทางศิลปะ!

ทุกคนสูดหายใจอย่างตกตะลึง วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งเหมือนกันแท้ๆ แต่เมื่ออยู่ภายใต้น้ำมือหนิวโหย่วเต๋อกลับไม่มีแม้แต่กำลังโต้ตอบ ความสามารถแบบนี้ ต่อให้ทหารเลวคนอื่นๆ ก็ทำไม่ได้ เมื่อนักพรตบงกทองขั้นหนึ่งสู้กับพวกเขา อย่างน้อยก็สามารถทนรับได้หลายท่า

ร่างที่โดนตรึงอยู่กลางอากาศสั่นเทิ้ม เลือดสดไหลลงมาตามด้ามทวน

เหมียวอี้พลันเก็บทวน ทั้งคนทั้งทวนปักลงพื้นพร้อมกัน ทำให้ร่างของอีกฝ่ายกระทุ้งเข้าไปในหินหลอมเหลวที่ร้อนผ่าว เหมียวอี้ก้าวเท้าเหยียบตรงจุดที่ทวนแทงบนหน้าอกของอีกฝ่าย ทำให้อีกฝ่ายที่ยังตายไม่สนิทและกำลังดิ้นรนโดนเหยียบจมลงไปในหินหลอมเหลวสีแดงข้างล่างทั้งเป็นๆ

“อ้า…” คนที่โดนเหยียบลงในหินหลอมเหลวดิ้นรนเอาตัวรอดครั้งสุดท้าย ศีรษะและเท้าสองข้างกระดกขึ้นมา ส่งเสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชใจ ท่ามกลางเสียงแผดเผาฉ่าๆ ควันดำที่เจือกลิ่นเหม็นไหม้ลอยขึ้นมาใต้เท้าเหมียวอี้

เหมียวอี้ขยับเท้า เหยียบไปบนหน้าของอีกฝ่าย แล้วเหยียบศีรษะของเขาให้จมลงในหินหลอมเหลวอีกครั้ง เสียงกรีดร้องเงียบลงทันที เท้าสองข้างที่กำลังสั่นระริกค่อยๆ อ่อนแรง จมหายไปในหินหลอมเหลวอย่างช้าๆ

เหมียวอี้ดันโยกศีรษะเล็กน้อย สูดกลิ่นเหม็นไหม้เฮือกใหญ่ ทำท่าเหมือนกำลังดื่มดำกับมันมาก เป็นเรื่องที่คนปกติทำกันเสียที่ไหน นี่มันยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก ทุกคนมองดูภาพนี้จนอยากอาเจียน แต่ละคนกลืนน้ำลาย รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ขนลุกเหงื่อไหล เรียกได้ว่าตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว มีบางคนถึงขั้นนสงสัยว่าการที่พวกเราทำแบบนี้ เป็นการท้าทายผิดคนหรือเปล่า?

เหมียวอี้สีหน้าเรียบเฉย เรียกได้ว่าสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ ดึงทวนออกมาอย่างช้าๆ แล้วชี้ไปที่สวี่เต๋อโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ ใช้ทวนถามแทน : กล้าสู้กับข้ามั้ย!

สวี่เต๋อมองไปที่ภูเขาด้านข้าง แล้วตะโกนอย่างโมโหว่า “ทุกคนมัวลังเลอะไรอยู่? ยังไม่รีบเข้าไปพร้อมกันอีก ยังไม่รีบร่วมมือกันกำจัดไอ้คนจัญไรที่มันวางกับดักทำร้ายพี่น้องตัวเองอีก!”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็เห็นได้ชัดว่าเขาขาดความมั่นใจ เริ่มจะกลัวขึ้นมาแล้ว ลักษณะพลังเหมียวอี้ทำให้เขาสั่นคลอน หรือพูดได้อีกอย่างก็คือเริ่มไม่ค่อยมั่นใจ ไม่อย่างนั้นคงไม่ร้องเรียกผู้ช่วยหรอก ก่อนหน้านี้เขาลงมือจู่โจมด้วยตัวเองคนเดียว แต่ตอนนี้กลับอยากหาผู้ช่วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสภาพจิตใจเปลี่ยนไปขนาดไหน

“ไอ้ชั่วนี่มันพลังเสื่อมทรุดลงแล้ว แต่จงใจทำให้คนสับสน พวกเจ้าลุยเลย!” สวีถังหรานหันไปบอกกลุ่มลูกน้องที่อยู่ข้างหลัง

“พวกเจ้าลุยเข้าไปพร้อมกันเลย!” ปู้เหลียนจงหันหลังไปบอกพวกลูกน้องเหมือนกัน

สิบคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง เป็นลูกน้องของทหารเลวที่เหลืออยู่เพียงสิบคนเช่นกัน ในใจพวกเขาแค้นมาก อีกฝ่ายพลังเสื่อมทรุดเสียที่ไหนกัน พวกเจ้าอยากจะให้พวกเราเอาชีวิตไปเสี่ยงทดสอบระดับของอีกฝ่ายมากกว่า

แต่ก็ไม่มีทางเลือก ลูกน้องมีประโยชน์ที่สุดในเวลานี้นี่แหละ ถ้าเจ้าขัดคำสั่งตอนนี้ เกรงว่าดาบคงจะมาลงที่คอของเจ้าในทันที แต่ถ้าเจ้าเข้าไปสู้ ก็ยังพอมีโอกาสรอดชีวิตอยู่บ้าง

หลังจากทั้งสิบคนสบตากัน ก็กระโจนตัวขึ้นไปพร้อมกันทันที เข้าไปล้อมวงอยู่กลางอากาศ พวกเขามองหน้ากันไป มองหน้ากันมา ไม่มีใครกล้าลงมือก่อน คนที่โดนทวนสังหารก่อนหน้านี้ก็เป็นบทเรียนให้ดูแล้ว สุดท้ายทั้งสิบก็พยักหน้าพร้อมกัน แล้วพุ่งลงไปหาเหมียวอี้ที่อยู่ข้างล่างพร้อมกัน ร่วมมือกันโจมตี

เหมียวอี้พลันเงยหน้า แล้วพุ่งตัวขึ้นฟ้าเสียงดังพรึ่บ เหยียดทวนขึ้นฟ้า แสงสะท้อนคมทวนสายหนึ่งวับวาบออกมาก่อน ตามติดด้วยแสงสะท้อนคมทวนอีกหลายดอกที่พุ่งขึ้นฟ้าราวกับพายุฝน ราวกับฝนดาวตกที่พุ่งขึ้นท้องฟ้า

เสียงโช้งเช้งดังเป็นแถบ ดังก้องอยู่กลางอากาศ

อาวุธโดนตีจนแตกหักอย่างต่อเนื่อง ละอองเลือดพุ่งกระจายดอกแล้วดอกเล่า คนที่ไล่ตามอยู่ข้างหลังฝนดาวตกราวกับเสือกระโจนเข้าฝูงแกะ บุกรุกรวดเร็วจนไม่อาจต้านทานได้ การร่วมมือของทั้งสิบคนพังทลายลงในชั่วพริบตาเดียว

ทั้งสิบคนพบว่าใช้เวลาแค่ชั่วพบหน้ากันเท่านั้น ด้ามทวนและด้ามดาบที่อยู่ในมือหักกลายเป็นไม้กระบองคามือ เรียกได้ว่ามึนงงจริงๆ แล้วก็เห็นเงาทวนที่ยุ่งเหยิงหมุนวนด้วยความเร็วสูงขึ้นบนฟ้า ทำให้พวกเขาตกใจจนแทบขวัญหนีดีฝ่อ เมื่อเจอกับคู่ต่อสู้แบบนี้ ก็พบว่านี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องวรยุทธ์เลย พบว่าเมื่อตกอยู่ในมืออีกฝ่าย ตัวเองก็ไม่มีแม้แต่กำลังจะโต้ตอบ

เงาทวนดูยุ่งเหยิง แต่ความจริงไม่ได้ยุ่งเหยิง การออกทวนแต่ละครั้งแม่นยำดุดัน สิบคนที่พุ่งลงข้างล่างยังไม่ทันได้ควบคุมความปลอดภัยของตัวเอง คนข้างล่างกลับทำลายการล้อมโจมตีของพวกเขาเสียแล้ว เล่นงานจนอาวุธในมือของพวกเขาพัง แล้วบุกฝ่าเข้าไปกลางวงโดยตรง ใครจะไปต้านทานไหวล่ะ?

ตรงนี้ยังไม่ทันได้หนี คอหอยของบางคนก็กลายเป็นรูที่มีเลือดพุ่ง หัวใจเกิดเป็นโพรงที่พ่นเลือดสีแดงเข้มออกมา มีบางคนที่หน้าผากโดนแทงจนเละ…

“อา..” เสียงกรีดร้องดังขึ้นหลายครั้ง ใช้เวลาแค่ชั่วพบหน้ากัน ร่างสี่ร่างก็ตกลงในหินหลอมเหลวร้อนฉ่าบนพื้น ยังมีบางคนที่คิดจะหนี แต่โดนเหมียวอี้ใช้ทวนแทงย้อนใต้ซี่โครง แทงทะลุจากข้างหลัง หัวทวนทะลุจากข้างหลังไปที่หัวใจโดยตรง ถ้าก้มหน้ามองจะเห็นหัวทวนแหลมอาบเลือดโผล่ออกมาตรงหน้าอกตัวเอง

มีอีกห้าคนที่ตกใจหนีกระเจิงไปคนละทิศละทาง ไม่มีทางต่อสู้กันได้เลย อีกฝ่ายลงมือเร็วจนเจ้าไหวตัวไม่ทัน ช่างเป็นการนำร่างกายที่มีเลือดเนื้อไปป้อนให้ทวนของอีกฝ่ายกินแท้ๆ

ปั้ง! เหมียวอี้หมุนตัวตะแคงถีบ ยันคนที่ห้อยอยู่บนหัวทวนให้กระเด็นออกไป ร่างที่กรีดร้องอยู่กลางอากาศตะเกียกตะกายฟาดแขนสะบัดขา ก่อนจะจมลงในหินหลอมเหลวอุณหภูมิสูงจนประกายไฟสาดกระเด็นขึ้นมา

“นายท่าน พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา นายท่านต้องลงมือด้วยตัวเองขอรับ!” ลูกน้องห้าคนที่หนีกลับมาหาพวกสวีถังหรานกลับมารายงานอย่างขวัญผวา

ขณะที่พวกสวีถังหรานมองดูเหมียวอี้โบกทวนชี้เข้ามาอย่างเย็นเยียบ ในใจก็เกิดความตึงเครียด แบบนี้โหดเกินไปแล้ว ขนาดฉายเดี่ยวยังทำอาวุธคนพังไปแล้วสิบคน ทั้งยังถือโอกาสสังหารนักพรตระดับเดียวกันไปห้าคน แต่หารู้ไม่ว่าบนเส้นทางฝึกตนที่เหมียวอี้เดินมา ในบรรดาคนระดับเดียวกัน ยังไม่เคยมีใครทนเขาได้เกินสามทวน นี่คือสิ่งที่เหล่าไป๋ให้เขามา คือต้นทุนสำหรับการช่วงชิงชัยชนะในใต้หล้า

แต่พวกสวีถังหรานเองก็ดูออก ถึงแม้วิชาทวนของเหมียวอี้จะโหดร้ายทารุณ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะต้านทานไหวหากพวกเราห้าคนร่วมมือกัน ความต่างของวรยุทธ์บงกชทองก็เห็นๆ กันอยู่ แต่ประเด็นสำคัญคือในมือเจ้าหมอนี่ถือทวนวิเศษผลึกแดงขั้นห้า อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องใช้วิชาทวนสู้กับเจ้าตรงๆ เลย แค่ประมือกันก็ทำให้อาวุธของเจ้าพังแล้ว แบบนี้จะให้สู้กันอย่างไรอีก?

สวีถังหรานและทหารเลวอีกสามคนมองสวี่เต๋อแวบหนึ่ง ในใจกำลังด่าแม่ เพราะสวี่เต๋ออยู่ดีไม่ว่าดี ทำไมต้องนำทวนวิเศษผลึกแดงขั้นห้าส่งไปให้อีกฝ่ายด้วย นี่ไม่ใช่การแกว่งเท้าหาเสี้ยนหรอกเหรอ

977

คนเก็บเกี่ยวผลประโยชน์

สวี่เต๋อเองก็กลุ้มใจเหมือนกัน! เขาเองก็ไม่อยากนำทวนวิเศษผลึกแดงขั้นห้าไปให้อีกฝ่ายหรอก แต่อีกฝ่ายอยากได้ทวนจนไม่คิดชีวิต จะให้เขาอยากได้ทวนจนไม่คิดชีวิตเหมือนกันไม่ได้หรอก!

แต่จะว่าไปแล้ว ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทวนวิเศษผลึกแดงขั้นห้าจะสำแดงอานุภาพมากขนาดนี้เมื่ออยู่ในมือเหมียวอี้ ถึงแม้เฮยหวังจะวรยุทธ์สูง แต่ก็สำแดงอานุภาพได้ด้อยกว่าเหมียวอี้เยอะมาก ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรก เขาคงไม่ให้เหมียวอี้แย่งทวนไปง่ายๆ

เหมียวอี้ใช้ทวนชี้ท้าสู้ทุกคน ทำให้พวกเขามองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ลังเลว่าจะสู้หรือไม่สู้ดี?

ถ้าสู้กัน โอกาสตายก็เยอะกว่า แต่ถ้าไม่สู้ อีกฝ่ายก็อาจจะไม่ยอมรามือง่ายๆ การหลบหนีเป็นวิธีที่ดี แต่ถ้ายังไม่ได้กำจัดคนที่รู้สถานการณ์อย่างหนิวโหย่วเต๋อ ถ้าปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อหนีกลับไปด้วยก็จะแก้ตัวไม่ได้ โค่วเหวินหลานไม่ได้หลอกง่ายขนาดนั้น จะให้ฆ่าโค่วเหวินหลานให้ตายไปด้วยเหรอ? แต่การจะทำแบบนี้ก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่ากำจัดหนิวโหย่วเต๋อไปก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางอุดปากหนิวโหย่วเต๋อได้

เรื่องบางเรื่องถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องอาศัยกำลังคุยกัน ถ้าไม่มีกำลังจะทำอะไรก็ห่วงหน้าพะวงหลัง สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้พวกเขาค่อนข้างปวดหัว

หลังจากสองฝ่ายคุมเชิงกันอยู่พักหนึ่ง สวีถังหรานก็กล่าวว่า “น้องหนิว ให้เรื่องมันจบลงตรงนี้เถอะ พวกข้ามีจุดที่ทำไม่ถูก แต่ที่เจ้าแกล้งตายก่อนหน้านี้ก็ฟังไม่ขึ้นเหมือนกัน ตอนนี้เจ้าก็ฆ่าคนไปไม่น้อย โมโหอะไรก็น่าจะระบายไปหมดแล้ว ถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ ต่อให้พวกเราไม่โต้ตอบ แต่เจ้าก็ไล่ตามพวกเราไม่ทันอยู่ดี มีเรื่องน้อยดีกว่ามีเรื่องเยอะ พวกเราปล่อยให้เรื่องนี้จบลงตรงนี้ดีมั้ย? ผลงานใหญ่นับเป็นของเจ้า!”

เมื่อกล่าวนี้ออกมา พวกปู้เหลียนจงก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่ละคนพากันพยักหน้า ข่งเฟยฝานเอ่ยรับ “ใช่! ไม่สู้ให้ผ่านไปตอนนี้ดีกว่า แค่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น น้องหนิว เจ้าคิดว่าอย่างไร? ผลงานใหญ่เป็นของเจ้า!”

“ก็ได้! หนิวก็นี้ก็ไม่อยากทำเรื่องอะไรที่รังแกกันเกินไป!” เหมียวอี้พยักหน้า ทุกคนได้ยินแล้วถอนหายใจ แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ เหมียวอี้จะชี้ทวนไปที่สวี่เต๋อ พลางตวาดเสียงเข้มว่า “แต่จะปล่อยตัวการไปไม่ได้ ข้าเกือบจะตายด้วยน้ำมือเขาแล้ว จะปล่อยเลือดของข้าเสียไปเปล่าๆ ได้อย่างไร!”

“ไอ้แซ่หนิว อย่ากำเริบเสิบสานเกินไปนัก เจ้าคิดว่าพวกเรากลัวเจ้าหรือไง?” สวี่เต๋อกัดฟันถาม

เหมียวอี้ไม่แยแส กล่าวกดดันด้วยเสียงเสียงทุ้มต่ำต่อไป “ถ้าทุกคนอยากให้ข้าเชื่อว่ามีความจริงใจที่จะจบเรื่องนี้แต่โดยดี ก็ต้องแสดงความจริงใจออกมาให้ดูก่อน เพราะเรื่องที่มีคนใช้ทวนแทงข้างหลังมันสะเทือนขวัญจริงๆ ถ้าไม่กำจัดคนต่ำช้าอย่างสวี่เต๋อ ก็เป็นเรื่องยากที่ความแค้นในใจหนิวจะหายไป ถ้าทุกคนอยากให้เรื่องนี้จบแต่เพียงเท่านี้ ก็ร่วมมือกับข้ากำจัดคนต่ำช้าสวี่เต๋อ ไม่อย่างนั้นเรื่องที่ทุกคนไม่สนใจความเป็นความตายของผู้บัญชาการโค่ว พอจบเรื่องแล้วขังผู้บัญชาการโค่วไม่ยอมปล่อยออกมา… ก็อย่าหาว่าปากของข้าไม่ปรานี รายงานขึ้นไปตามความจริง!”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา สวี่เต๋อก็ตกใจมาก รีบมองไปที่คนอื่นๆ แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ทุกคนอย่าตกหลุมพราง มันกำลังเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน!”

พวกสวีถังหรานสบตากันแวบหนึ่ง ในใจลังเลมาก

ได้ยินเหมียวอี้บอกอีกว่า “สวี่เต๋อ คนต่ำทรามไง ถ้าไม่กำจัดคนต่ำทราม หนิวก็ไม่อาจร่วมทางกับทุกคนได้อย่างสงบใจหรอก หนิวไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ทำเรื่องแอบลอบทำร้ายอีก ทุกคนจะฆ่าเขาเพื่อแสดงความจริงใจ หรือจะสู้ตายกับเหมียวก็ตามใจแล้วกัน!”

พวกสวีถังหรานมองประเมินกันและกันอีกครั้ง แววตาแต่ละคนค่อนข้างวูบไหวไม่มั่นคง

สวี่เต๋อเข้าใจคนพวกนี้ดีเกินไป พอเห็นแววตาคนพวกนี้แปลกประหลาดมีเลศนัย ในใจก็รู้สึกหนาว แอบร้องในใจว่าซวยแล้ว ร่างกายค่อยๆ ลอยไปข้างหลังหมายจะหนีไปก่อน

ปรากฏว่าสวีถังหรานเด็ดขาดยิ่งกว่าเขา ถลันตัวมาขวางเขาเอาไว้ “พี่สวี่ เจ้าทำแบบนี้ไม่ถูกแล้ว ยังไม่ทันคุยกันชัดเจนแล้วจะไปได้อย่างไร!”

สวี่เต๋อหันขวับกลับมา ปู้เหลียนจง ข่งเฟยฝาน หลัวว่านกวงก็ถลันตัวเข้ามาเช่นกัน ล้อมเขาไว้ทั้งสี่ด้าน ส่วนลูกน้องที่เหลืออีกห้าคนก็ดักข้างบนกับข้างล่างไว้แล้ว ดักทางไม่ให้กระโดดหนี สวี่เต๋อถามด้วยสีหน้าดุร้าย “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”

หลัวว่านกวงถอนหายใจ “พี่สวี่ เรื่องนี้จะโทษพวกเราไม่ได้นะ ใจเมื่อเจ้าฆ่าน้องหนิวไม่ได้ น้องหนิวไม่เกรงเจ้าก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว ทำไมต้องโมโหด้วย?”

คำพูดนี้ทำให้สวี่เต๋อโมโหจนแทบกระอักเลือด ก่อนหน้านี้คนกลุ่มนี้ร้องเป็นเสียงเดียวกันว่าให้เขาฆ่าหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้กลับกลายเป็นเขาที่ทำไม่ถูกเสียแล้ว จึงโบกทวนชี้ไปรอบวง “ไอ้พวกคนทราม กล้าลอบทำร้ายข้าเหรอ!”

ปู้เหลียนจงกล่าวเหยียดหยามว่า “ต่อให้ข้าต่ำทราม แต่ก็ไม่ทำเรื่องยกดาบแทงข้างหลังพี่น้องตัวเองหรอก พูดตามตรงแล้วกัน อยู่กับคนอย่างเจ้าพวกเราก็ผิดหวังเหมือนกัน ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจจะโดนเจ้าแทงก็ได้ พี่สวี่ เห็นแก่ที่เป็นพี่น้องกันมาหลายปี เรื่องฆ่ากันเองพวกเราทำไม่ลงจริงๆ เจ้าทำให้ตัวเองไปสบายจะดีกว่า”

“ทำไมต้องเปลืองคำพูดกับคนทรามแบบนี้” สวีถังหรานพูดเหยียด พร้อมง้างมีดฟัน “รับความตายซะเถอะ!”

“ย้า!” สวี่เต๋อคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ออกทวนโจมตีกลับอย่างเดือดดาล

เมื่อเริ่มเคลื่อนไหว ทุกคนก็ล้อมวงเข้ามาทันที ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลือนลั่น สวี่เต๋อฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก เข้าไม่ได้วรยุทธ์สูงเหมือนเฮยหวัง และไม่ได้รับมือกับการล้อมโจมตีเก่งเหมือนเหมียวอี้ โดนล้อมไว้จะหนีก็หนีไม่ได้ ขณะกำลังโจมตีโต้ตอบ ก็รู้แล้วว่าตัวเองมีโอกาสตายมากกว่ารอด ตะโกนด่าอย่างโศกเศร้าคับแค้น “ฝูงโจรสุนัข ต่อให้ข้าเป็นผีข้าก็จะไม่ปล่อยพวกเจ้าไป!”

จู่ๆ ก็โยนเชือกมัดเซียนออกมาเส้นเดียว มัดแขนข้างหนึ่งและร่างกายสวี่เต๋อไว้ครึ่งท่อน ทำให้การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้าลง มืออีกข้างย่อมไม่สามารถใช้ทวนได้อย่างอิสระ

“บังอาจ!” สวี่เต๋อคำรามอย่างเศร้าโศก ใช้มือข้างเดียวโบกทวนอย่างบ้าคลั่ง ความคับแค้นสิ้นหวังในแววตายากที่จะอธิบายเป็นคำพูดได้ รู้ว่าหายนะมาถึงตัวแล้ว

แกร๊ง! ปู้เหลียนจงสู้กับเขาอย่างเด็ดเดี่ยว สวีถังหรานฉวยโอกาสโบกดาบจนเกิดแสงสะท้อนวิบวับ

ศีรษะใบใหญ่ขาดกระเด็น เลือดอุ่นพุ่งขึ้นฟ้า สวี่เต๋อที่ตัวกับหัวอยู่คนละที่ตกลงในหินหลอมเหลวเบื้องล่าง จุดเป็นเปลวเพลิงร้อนแรงสองกอง สุดท้ายก็ได้รับผลกรรมตามสนองแล้ว

ทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง แล้วหันหน้าไปมองเหมียวอี้พร้อมกัน สวีถังหรานชูดาบที่มีรอยเลือดขึ้นมา พร้อมบอกว่า “น้องหนิว สมความปรารถนาของเจ้าแล้ว”

“ดีมาก!” เหมียวอี้ผงกศีรษะด้วยสีหน้าเย็นชา แล้วถ่ายทอดเสียงบอกอีกสี่คนว่า “ทุกคนไม่รู้สึกเหรอว่าเรื่องในวันนี้ ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี? ถ้าในภายหลังมีคนนำเรื่องนี้มาเป็นจุดอ่อน ก็จะไม่ใช่เรื่องดีอะไร!”

ทั้งสี่แอบสบตากันแวบหนึ่ง เหมียวอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วหันตัวไปข้างหลังอย่างช้าๆ ทำท่าเนียนๆ เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ “อา!” บนฟ้าข้างหลังกลับมีเสียงกรีดร้องดังขึ้น ตามติดด้วยเสียงต่อสู้อย่างดุเดือด

เหมียวอี้ค่อยๆ หันหลังกลับไปมองแวบหนึ่ง สวีถังหรานและทหารเลวอีกสามคนเปิดฉากสังหารใหญ่แล้ว เป้าหมายที่สังหารก็คือพวกลูกน้องที่เมื่อครู่นี้เพิ่งช่วยเหลือพวกเขาต่อสู้

การลงมืออย่างกะทันหันทำให้ลูกน้องตายไปแล้วคนหนึ่ง อีกสี่คนที่เหลือมีหรือที่จะรอดพ้นเงื้อมมือของพวกสวีถังหรานไปได้ ว่าจะเป็นวรยุทธ์ ความสามารถหรือความเร็วก็ไม่เพียงพอให้หนีเอาชีวิตรอดได้ ไล่ตามแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ผลที่ได้ย่อมเป็นร่างสี่ร่างร่วงลงสู่พื้น

จากนั้นพวกสวีถังหรานก็ถลันตัวกลับมาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า แต่แววตาที่มองเหมียวอี้ดูระแวดระวังขึ้นหลายส่วน

เหมียวอี้บอกว่า “ดูนายท่านผู้บัญชาการว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับผู้บัญชาการ ต่อให้วันนี้จะทำผลงานได้ แต่ถ้าโดนอำนาจที่หนุนหลังผู้บัญชาการสืบสวนขึ้นมา เกรงว่าจะผลงานก็ไม่อาจลบล้างความผิดได้ ยากที่จะหนีพ้นโทษตาย โทษเป็นก็รอดยากเหมือนกัน!”

สวีถังหรานเรียกธงดำออกมามาตรจดูทันที เหมียวอี้กลับค่อยๆ กำทวนไว้ในมือให้กระชับแน่น ขณะกำลังจะฉวยโอกาสลอบจู่โจม เสียงหัวเราะเย็นเยียบก็ดังมาจากผู้เขาด้านข้าง “ช่างเป็นสุนัขที่ใจกล้าจริงๆ!”

ทั้งห้าหันไปมอง เห็นเพียงคนสองคนเหาะออกมาจากกลางภูเขา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นรองผู้บัญชาการหงกับรองผู้บัญชาการซุนนั่นเอง

ทั้งห้าสีหน้าเปลี่ยนทันที ไอ้สองคนนี้มันเห็นท่าไม่ดีเลยหนีไปก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ?

เมื่อครู่นี้ในใจทั้งห้าค่อนข้างหวาดกลัว ทั้งสองจะต้องเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ชัดเจนแน่นอน รองผู้บัญชาการทั้งสองเจ้าเล่ห์ใช้ได้เลย รอให้ทางนี้สู้กันเองในหมู่คณะก่อน รอให้ทางนี้สิ้นเปลืองกำลังไปพอสมควรก่อน แล้วตัวเองค่อยโผล่หัวออกมา

“เมื่อจะทำแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด!” เหมียวอี้รีบถ่ายทอดเสียงบอกทั้งสี่ทันที

“พวกเขาสองคนมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่ พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา” สวีถังหรานกล่าว

เหมียวอี้ “หนิวคนนี้ก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ขอแค่อีกสักครู่พวกเจ้าสี่คนฉวยโอกาสพัวพันพวกเขาสองคนไว้ พวกเขาจะต้องจบชีวิตภายใต้ทวนของหนิวแน่! อย่าลืมเชียวนะ ถ้าหากผู้บัญชาการโค่วได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ ตำแหน่งของเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เขตเมืองตะวันตกต้องว่างแน่นอน ข้าคนเดียวครองสองตำแหน่งไม่ไหวหรอก เจ้าสองคนนี้มาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แล้ว”

เขากลัวว่าทั้งสี่คนนี้จะทรยศ เพราะกลับไปจะยิ่งเข้าหาผู้อิทธิพลได้ง่าย จึงรีบโยนเนื้อออกมา จะได้ทำให้พวกเขารู้ว่าถ้าสองคนนี้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไป พวกเขาก็จะไม่มีส่วนได้ในผลประโยชน์นั้นแล้ว

ใช่แล้ว! พวกสวีถังหรานเกิดความคิดขึ้นในใจ ยังมีตำแหน่งของเซี่ยโห้วหลงเฉิงอีก…

เมื่อคนที่จับตาดูสถานการณ์มาถึง รองผู้บัญชาการหงก็ตะคอกใส่หน้าทันที “พวกเจ้าห้าคนช่างเป็นสุนัขใจกล้าจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะฆ่าพี่น้องตัวเองไปมากมายขนาดนี้”

“ใจกล้าคับฟ้า! ข้าจะคอยดูว่าพวกเจ้าจะแก้ตัวยังไง!” รองผู้บัญชาการซุนกล่าว

“ดีกว่าพวกเจ้าสองคนที่หนีเอาตัวรอดโดยไม่สนใจความเป็นความตายของผู้บัญชาการโค่วหรอกน่า?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ

“บังอาจ!” รองผู้บัญชาการหงโบกทวนชี้มา “ยังจะกล้าเถียงข้างๆ คูๆ!”

เหมียวอี้เถียงว่า “เจ้าเองก็ไม่ต้องมาขู่ข้าหรอก รองผู้บัญชาการทั้งสองเห็นข้าศึกเก่งแล้วหนีคือเรื่องจริง! แต่มาพูดเรื่องนี้ในตอนนี้ก็ไม่มีความหมาย พวกเราห้าคนรู้กำลังตัวเองดีว่าสู้รองผู้บัญชาการทั้งสองไม่ไหว ยินดีจะยกผลงานใหญ่ให้! กลับไปขอเพียงผู้บัญชาการโค่วได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ เซี่ยโห้วหลงเฉิงย่อมรักษาตำแหน่งตัวเองไว้ไม่ได้อยู่แล้ว ตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกและตะวันออกก็จะกลายเป็นของรองผู้บัญชาการทั้งสองพอดี ขอแค่ทั้งสองใจกว้างไม่ถือสาพวกเราสักครั้ง ถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ ทวนในมือของหนิวก็ไม่ใช่เล่นๆ ถึงตอนนั้นต่อให้พวกเราห้าคนหนีรอดไปได้ไม่หมด แต่หนีไปได้สักคนสองคนก็ไม่ใช่ปัญหา ทุกคนก็อย่าคิดจะได้รีบผลดีอะไรเลย!”

คำพูดนี้ตรงกับเจตนาของทั้งสองพอดี แต่รองผู้บัญชาการซุนยังคงแสยะยิ้มถาม “ถ้าปล่อยพวกเจ้าไปตอนนี้ แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าต่อไปพวกเจ้าจะไม่พูดจาเหลวไหล?”

สวีถังหรานตอบว่า “ทุกคนไม่มีใครก้นสะอาด พวกเราพูดไปก็ไม่เกิดผลดีอะไรกับพวกเรา แต่จะว่าไปแล้ว หลังจากรองผู้บัญชาการทั้งสองได้ขึ้นนั่งตำแหน่งสูง พวกตำแหน่งดีๆ ใต้บังคับบัญชา หวังว่าจะพิจารณาพวกเราห้าคนก่อน”

รองผู้บัญชาการทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง รองผู้บัญชาการซุนถ่ายทอดเสียงตอบ “พี่หง การแลกเปลี่ยนนี้ควรจะทำ เดี๋ยวต่อไปตราบใดที่ห้าคนนี้มาอยู่ในมือพวกเรา ย่อมหาทางปิดปากได้อยู่แล้ว”

รองผู้บัญชาการหงได้ยินแล้วพยักหน้าเล็กน้อย กวาดสายตามองทั้งห้าแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “ก็ได้! ไหนๆ ทุกคนก็ออกมาทุ่มเททำงานสุดความสามารถ ฝนย่อมตกทั่วฟ้า ตกลงตามนี้แล้วกัน หลังจากจบเรื่องพวกเราไม่ทำให้พวกเจ้าเสียเปรียบแน่!” ยื่นมือสั่ง “เอาธงดำมา!”

เหมียวอี้หันกลับมาส่งสายตา แล้วยื่นมือออกมารับธงดำจากสวีถังหราน นำทั้งสี่เหาะไปหารองผู้บัญชาการทั้งสอง

ขณะกำลังเข้ามาใกล้ รองผู้บัญชาการซุนเหลือบมองทวนวิเศษผลึกแดงในมือเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนหยุด “หยุดก่อน! โยนเข้ามา!”

เหมียวอี้อึ้งนิดหน่อย แต่ก็ยังแบมือ ปล่อยให้ธงดำลอยเข้าไป

พวกสวีถังหรานที่อยู่ทางซ้ายและขวากลับอดไม่ได้ที่จะมองธงดำที่ลอยออกไป เพราะพบว่าภายใต้ธงดำผืนนั้นมีของเพิ่มเข้ามา ดูเป็นทรงกลม ไม่รู้ว่ามีลูกเล่นอะไร แต่ในใจทุกคนก็รู้ดี มีลับลมคมใน!


978

เกือบโดนรมควันตาย


เมื่อธงดำมาถึง รองผู้บัญชาการหงก็ยื่นมือเข้ามาจับ แต่ใครจะไปคาดคิดว่าในตอนนี้ ปั้ง! ธงดำพลันระเบิดหมอกหนาสีขาวออกมา

ทั้งสองตกใจทันที จิตใต้สำนึกบอกว่ามีกับดัก รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ออกมาเป็นฉากกำบัง ป้องกันร่างกายเอาไว้

แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน เหมียวอี้ก็ถ่ายทอดเสียงอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ลงมือ!”

เขาเองก็ถือทวนพุ่งเข้าไปเช่นกัน สองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวารีบโอบล้อมเข้ามา ขณะที่ทั้งห้าพุ่งเข้ามาในหมอก รองผู้บัญชาการหงก็ถ่ายทอดเสียงมาอย่างเดือดดาล “บังอาจลอบกัด รนหาที่!”

เห็นเพียงหมอกขาวที่ตลบอบอวลโดนพลังอิทธิฤทธิ์ตีกวนจนหมุนขึ้นหมุนลง หมอกกินพื้นที่ในวงกว้าง พลังอิทธิฤทธิ์ไม่สามารถทำลายทิ้งได้ในเวลาสั้นๆ พอผลักไปข้างหน้า ข้างหลังก็มีมาอีก พื้นที่ว่างมีแค่ตรงนี้ ทำได้เพียงกวนให้หมอกเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปต่างๆ นาๆ ข้างนอกมองเห็นไม่ชัดว่าสภาพภายในเป็นอย่างไรกันแน่ ได้ยินเพียงเสียงต่อสู้ที่ดุเดือดสะเทือนเลือนลั่น

ภายใต้สถานการณ์ที่สายตามองไม่เห็น เป็นเวลาที่เหมียวอี้ถนัดที่สุด ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เหล่าไป๋พยายามฝึกสอนอย่างสุดความสามารถ เป็นหนึ่งในต้นทุนที่ทำให้เหมียวอี้ออกมาเผชิญโลกกว้างจนถึงทุกวันนี้!

เสียงกรีดร้องของรองผู้บัญชาการหงกับรองผู้บัญชาการซุนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตกลงจากหมอกหนาบนฟ้าตามๆ กัน โดนทวนแทงทะลุกบาลทั้งคู่ ตกลงในหินหลอมเหลวข้างล่าง ลุกไหม้เป็นเปลวเพลิงสองกอง

ทว่าสิ่งที่ทำให้สวีถังหรานตกใจก็คือ ทำไมมีเสียงกรีดร้องปู้เหลียนจงกับลั่วว่านก่วงด้วยล่ะ!

เสียงต่อสู้ยังคงดังต่อไป สวีถังหรานพบความไม่ชอบมาพากลทันที สังเกตได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาตกใจจนใจสั่น ความคิดแรกที่แวบเข้ามาคือรีบหนีให้เร็วที่สุด หนีออกจากทะเลหมอกอย่างบ้าคลั่ง หนีขึ้นไปบนฟ้าเหนือทะเลหมอก พอหลุดออกจากทะเลหมอกแล้ว เขาก็รักษาะยะห่างที่ปลอดภัย แล้วจ้องลงไปข้างล่างอย่างสงสัยปนตกใจ

“อา…” ขณะเดียวกัน เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นอีก

เมฆหมอกโดนกระตุ้นด้วยไอร้อนข้างล่าง ทำให้ระเหยอย่างรวดเร็ว สวีถังหรานที่อยู่บนฟ้าเห็นรางๆ ว่าหัวทวนของเหมียวอี้กำลังปาดร่างข่งเฟยฝาน หัวทวนแทงทะลุหัวใจของข่งเฟยฝาน เห็นนิ้วสั่นๆ ของข่งเฟยฝานกำลังชี้ไปที่เหมียวอี้ แต่กลับโดนเท้าของเหมียวอี้ถีบจนตกลงไปในหินหลอมเหลวที่แดงฉาน

ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้เงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้า พร้อมพึมพำในใจว่า ไอ้เวรนี่ไหวตัวเร็วจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยให้หนีไปด้วย ทั้งสองวรยุทธ์ต่างกันไม่เท่าไร อีกฝ่ายรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย ถ้าอยากจะตามให้ทันคงเป็นไปไม่ได้ จึงตะโกนขึ้นฟ้าเสียงดังทันทีว่า “พี่สวี ทำไมไปอยู่ไกลขนาดนั้นล่ะ?”

รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว ยังจะถามหาแม่เจ้าเหรอ! สวีถังหรานชี้ลงมาข้าง พร้อมตะโกนอย่างเดือดดาล “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ามันเลวนัก จะฆ่าให้หมดเลยล่ะสิ!”

เหมียวอี้ค่อยๆ ลอยขึ้นไปข้างบน “พี่สวีเข้าใจผิดแล้ว เขตเมืองตะวันออกกับตะวันตกมีแค่สองตำแหน่ง ข้าคิดเผื่อพี่สวีนะเนี่ย กำจัดภัยแฝงทิ้งไปก่อนสามคน ตอนนี้ก็ไม่มีใครมาแย่งตำแหน่งของเราแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครปล่อยข่าวด้วย มีแค่สวรรค์รู้ เจ้ารู้ ข้ารู้ แบบนี้ไม่งดงามหรอกเหรอ!”

งดงามบ้าอะไรเล่า! ถ้าไม่เพราะข้าหนีได้ไว ป่านนี้คงโดนเผากลายเป็นถ่านไปแล้ว! สวีถังหรานชี้ลงมา “หยุดนะ! อย่าเข้ามาใกล้!”

ทั้งสองต่างก็ไม่ใช่คนดีอะไร และไม่ใช่หนุ่มน้อยที่อ่อนต่อโลกด้วย คำพูดนี้หลอกลวงเขาไม่ได้หรอก

เขารีบลอยขึ้นฟ้า พยายามรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยเหมียวอี้เอาไว้ เมื่อเจอกับคนหนังเหนียวที่จิตใจโหดเหี้ยมทั้งยังมากแผนการแบบนี้ เขาก็เริ่มจะกลัวแล้ว เมื่อเห็นเหมียวอี้เข้าใกล้ก็ขนลุกทันที ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องยังไม่จบ เลยกลัวจะอธิบายลำบาก เขาคงจะหนีไปก่อนแล้ว

ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังแล้ว ไปมีเรื่องกับคนประเภทนี้ ทำให้กังวลเรื่องความเป็นความตายได้ตลอดเวลา

เดิมทีคิดว่าคนที่มาใหม่อย่างเหมียวอี้จะรับมือได้ง่าย ยามปกติดูเหมือนเข้ากับคนง่ายมาก เหมือนไม่เข้าใจแม้กระทั่งกฎบางอย่างของตำหนักสวรรค์ ใครจะคิดว่าไม่ใช่พวกอ่อนหัดเลย บทจะเลวก็เลวได้ บทจะโหดก็โหดได้ คุ้นเคยกับการแย่งอำนาจชิงผลประโยชน์มาก ไม่เหมือนคนที่เพิ่งเข้าตำหนักสวรรค์ได้ไม่นาน ไอ้เวรนี่มันเป็นเสือที่คลุมหนังหมูมาตลอด!

“พี่สวีเข้าใจข้าผิดแล้วจริงๆ!” เหมียวอี้ถอนหายใจ เหมือนเห็นอีกฝ่ายมีจิตใจที่ระแวดระวัง ไม่มีทางเข้าใกล้ได้ ทำได้เพียงล้มเลิกแผนการที่จะปะทะตรงๆ เตรียมจะใช้อีกวิธีการทำให้อีกฝ่ายตาย

เพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายสงบใจ เพื่อให้สถานการณ์มั่นคงก่อน ไม่ให้อีกฝ่ายถึงขั้นตกใจหนีไป เหมียวอี้ถลันตัวลงไปที่ภูเขาด้านล่าง ลงไปอยู่ข้างกายเฮยหวังที่กำลังปล่อยควันดำและตัวสั่นเทิ้มอยู่ในความทรมาน

เฮยหวังที่ได้ได้ดูละครเด็ดๆ ไปกล่าวเสียงสั่นว่า “ช่วยข้า… ข้าจะสอนเจ้า… หลอมสร้าง ‘ธงเรียกวิญญาณ’!”

ธงเรียกวิญญาณ? เหมียวอี้ตะลึงงัน พลิกมือคว้าธงดำที่เก็บได้ออกมา ถามว่า “นี่คือธงเรียกวิญญาณเหรอ?”

“ใช่!” เฮยหวังพ่นออกมาคำเดียวอย่างยากลำบาก แล้วถามเสียงสั่นต่อไปว่า “ธงนี้คือความสำเร็จขั้นแรก…หลังจากสำเร็จครั้งแรก…สามารถกำหนดความเป็นความตายของคน… อย่างไม่รู้ตัว… วิชาที่ถ่ายทอดมาจาก ‘เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง’ … สำเร็จครั้งยิ่งใหญ่… อานุภาพไร้ขอบเขต… ช่วยข้า!”

เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง? เคล็ดวิชาที่ปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวฝึก หนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษ? เหมียวอี้ตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าในหกเคล็ดวิชาพิเศษจะแฝงวิชาหลอมสร้างหลอมของวิเศษไว้ด้วย!

พอได้ยินแบบนี้ เขาก็อยากจะเก็บนักพรตผีตนนี้ไว้จริงๆ แต่พอเงยหน้ามองสวีถังหรานที่กำลังมองตนจากบนฟ้าไกลๆ ในใจก็เบื่อหน่าย ถ้ายังกำจัดเจ้าบ้านั่นไม่ได้ แล้วเขาจะปล่อยนักพรตผีตนนี้ไปได้อย่างไร

เขามองไปรอบๆ แล้วถามว่า “เจ้าทำผิดกฎสวรรค์ ไม่ไปซ่อนตัวในที่ที่ไร้คนเอง มีอย่างที่ไหนมาโอ้อวดตัวเองอยู่ที่นี่?”

“ควันแห่งไฟนรก… หลอมของวิเศษ!” เฮยหวังกล่าว

เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็มองไปรอบๆ อีกครั้ง มองดูธงดำในมือ แล้วมองควันดำที่ลอยออกมาจากภูเขาไฟที่อยู่รอบๆ ทำให้เขาเข้าใจในทันที สงสัยนักพรตผีตนนี้จะหลบอยู่ที่นี่เพื่อหลอมของวิเศษ มิน่าล่ะ!

“หนิวโหย่วเต๋อ! ยังไม่รีบปล่อยท่านผู้บัญชาการออกมาอีก!” สวีถังหรานที่อยู่บนฟ้าพลันตะโกนเสียงดัง

เหมียวอี้เงยหน้า พบว่าเจ้าชาติสุนัขนี่วางแผนเก่งจริงๆ ถ้าปล่อยโค่วเหวินหลานออกมา แบบนั้นเหมียวอี้ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้ลงมือกับเขา

“น้องหนิว เจ้าบอกไม่ใช่เหรอว่าไม่ได้มีเจตนาร้ายกับข้า? ถ้าเจ้ามีความจริงใจ ก็รีบปล่อยท่านผู้บัญชาการออกมา!” สวีถังหรานตะโกนอีก

ฝันไปเถอะ! ก่อนหน้านี้ยังรวมหัวกันจะเล่นงานข้าให้ถึงตาย ตอนนี้ยังคิดว่าจะรอดอยู่อีกเหรอ! เหมียวอี้พึมพำในใจ แล้วเหลียวซ้ายแลขวาอีกครั้ง ครุ่นคิดว่ามีวิธีการอะไรที่พอจะกำจัดสวีถังหรานได้

ผ่านไปครู่เดียว ในใจก็เกิดความคิดบางอย่าง เขาหลบให้พ้นหูพ้นตาของสวีถังหรานก่อน แอบปล่อยตั๊กแตนออกมาโอบล้อม ตัดทางหนีทีไล่ สกัดเขาไว้ครู่เดียว ก็จะสามารถฆ่าได้!

เหมียวอี้เพิ่งจะตัดสินใจที่จะทำเรื่องนี้ ตอนที่กำลังจะทำตามแผน ใครจะคิดว่าธงดำบนมือจะร้อนผ่าวขึ้นมากะทันหัน

มันเรื่องอะไรกัน? เหมียวอี้ตกใจไปชั่วขณะ ยังไม่ทันรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ธงดำก็เกิดเสียงวูบ จู่ๆ ก็มีไฟลุกออกจาฝ่ามือเขา ชั่วพริบตาเดียวก็มีแสงสีขาวจ้าตายิงออกมาจากแสงไฟ

สวีถังหรานที่อยู่บนฟ้าจ้องลงมาด้านล่างอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าคืออะไร

บึ้ม! ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้น สะเทือนจนเหมียวอี้แขนชา ธงดำหายไปในชั่วพริบตาเดียว ระเบิดออกเป็นควันดำไม่รู้จักจบสิ้น แล้วลอยขึ้นด้านบน

เหมียวอี้ที่โบกแขนบังตาเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้ง เห็นแสงสีขาวที่แสบตาสี่สายกำลังยิงไปทั่วทุกทิศ โดยมีร่างคนคนหนึ่งเป็นจุดศูนย์กลาง

มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวเหมียวอี้ โค่วเหวินหลานพังของวิเศษออกมาแล้ว!

“แค่กๆ!” เสียงไออย่างหนักหน่วงของคนสองคนดังมา ไอเหมือนปอดจะฉีก

เหมียวอี้รีบร่ายอิทธิฤทธิ์โบกควันดำตรงหน้าออก เห็นเพียงเซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานกลายสภาพเป็นครึ่งผีครึ่งคนแล้ว ถูกรมควันจนดำไปทั้งตัว เซไปเซมาและไออย่างรุนแรง ราวกับปีนออกมาจากปล่องไฟ

เหมียวอี้มองดูตัวเอง พบว่าตัวเองก็โดนควันระเบิดรมจนตัวดำเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าควันผีนี่จะฝ่าทะลุเกราะพลังอิทธิฤทธิ์มาได้ ขนาดร่ายอิทธิฤทธิ์ป้องกันก็ยังเอาไม่อยู่

เมื่อเห็นเหมียวอี้ที่อยู่ข้างๆ โค่วเหวินหลานก็โล่งใจ รัศมีสีขาวสี่สายบนตัวหายไปอย่างรวดเร็ว กระแทกก้นนั่งบนพื้น ไอพลางหอบหายใจเฮือกใหญ่

เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็นั่งลงเช่นกัน ขณะที่ไอก็บ่นว่า “บรรพบุรุษเอ๊ย ในที่สุดก็ได้ออกมาแล้ว แค่กๆ นี่มันของผีอะไร เกือบจะโดนรมควันเป็นเนื้อแห้งแล้ว! ไอ้ตุ้งติ้ง โชคดีนะที่เจ้าก็เข้าไปเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นข้าต้องตายอยู่ข้างในแน่ๆ แค่กๆ…”

โค่วเหวินหลานโบกมือ อยากจะพูดอะไรแต่หอบหายใจไม่ทัน คว้าผ้าเช็ดหน้าออกมา ปิดปากปิดจมูกไออยู่พักหนึ่ง สักประเดี๋ยวพอเห็นว่าผ้าเช็ดหน้าสกปรกแล้ว เขาก็โยนมันทิ้งไป

ควันดำลอยขึ้นฟ้าไม่จบไม่สิ้น สวีถังหรานปรากฎตัวในเวลาที่เหมาะสม ถลันตัวไปตรงหน้าโค่วเหวินหลาน แล้วกุมหมัดคารวะอย่างตื้นตันใจ “ท่านผู้บัญชาการ ในที่สุดท่านก็ออกมาแล้ว ข้าน้อยสองคนกำลังพยายามหาทางช่วยเหลือ นึกไม่ถึงว่าท่านผู้บัญชาการจะหลุดออกมาได้เอง!”

เหมียวอี้เหล่ตาจ้องเขา อยากจะฉวยโอกาสแทงเขาให้ตายจริงๆ!

“เจ้าก็อยู่เหรอ!” โค่วเหวินหลานพยักหน้า หอบหายใจเฮือกใหญ่ แล้วบอกว่า “คนอื่นล่ะ?”

สวีถังหรานตอบด้วยสีหน้าเศร้าโศก “ตอบผู้บัญชาการ เพื่อที่จะช่วยผู้บัญชาการ พวกเขาหลั่งเลือดสู้รบไม่ยอมถอย ตายหมดแล้วขอรับ!”

เหมียวอี้ยืนมองเขาแสดงละครอยู่ข้างๆ

“ตายหมดแล้วเหรอ!” โค่วเหวินหลานตะลึงงัน แล้วก็เริ่มไออีก ถามอีกว่า “เฮยหวังหนีไปไหนแล้ว?”

สวีถังหรานตอบว่า “ไม่ได้หนีขอรับ หลังจากทุกคนร่วมมือกันโจมตีจนเขาสาหัส ข้าน้อยทั้งสองก็เสี่ยงชีวิตไปจับไว้ นายท่านเชิญหันกลับไปมอง!” ขณะที่พูดก็ชี้ไปข้างหลังโค่วเหวินหลาน

โค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงพลันหันกลับไปมอง เห็นเฮยหวังโดนมัดจริงๆ ด้วย

“เป็นข้าที่จับได้!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถลึงตาโพลง กระโจนเข้าไป เจ้าบ้านี่หน้าด้านหน้าทนสุดๆ

แต่จนใจที่อ่อนล้าหมดกำลัง ตอนที่โค่วเหวินหลานตะโกนว่า “ขวางเขาไว้” แล้วไออีกครั้ง สวีถังหรานก็ถลันตัวเข้าไปแล้ว แย่งตัวเฮยหวังมาไว้ในมือ

เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ตัวดำเกรียมนอนอยู่บนพื้นชี้เข้ามา “กล้าแย่งของของปู่เหรอ เจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ รีบส่งมาเดี๋ยวนี้ แล้วปู่จะไว้ชีวิตเจ้า!”

ปรากฏว่าสวีถังหรานถือดาบในแนวนอน ฟันเฮยหวังจนกรีดร้องออกมา ก่อนจะกลายเป็นควันดำสลายหายไป

ยาเจี๋ยตันขั้นสี่หนึ่งเม็ดกับกับเชือกมัดเซียนตกอยู่ในมือสวีถังหรานแล้ว

โค่วเหวินหลานใช้ฝ่ามือตบต้นขา ถลึงตามองสวีถังหรานอย่างเสียดาย “เจ้าฆ่าเขาทำไม ถ้าจับกลับไปสอบสวนอาจจะได้เรื่องอะไรบ้างก็ได้ ท่านแม่ทัพยังอยากจะถามที่อยู่ของปีศาจจิ้งจอกพันหน้าจากปากเขา เฮ้อ!”

“ข้าน้อยบุ่มบ่าม!” สวีถังหรานรีบกุมหมัดคารวะ ทำสีหน้าหวาดกลัวกังวล แต่ดวงตากลับเหลือบมองเหมียวอี้เงียบๆ

เหมียวอี้รู้ดีอยู่แก่ใจ ที่จริงต่อให้สวีถังหรานไม่ลงมือ เขาก็จะลงมือเหมือนกัน เฮยหวังได้เห็นเรื่องที่ไม่ควรเห็นเยอะเกินไป ถ้าปล่อยให้รอดไปจะเป็นการสร้างปัญหาให้ตน

“ช่างเถอะ! มีเม็ดยาหยินนี่ก็นำกลับไปรายงานผลงานได้แล้ว!” โค่วเหวินหลานยื่นมือหยิบมา แล้วเก็บเข้าในกำไลเก็บสมบัติโดยตรง

“ไอ้ตุ้งติ้ง เจ้ากล้าแย่งของของข้าเหรอ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงตะคอกอย่างโมโห แล้วกระโจนเข้ามาหมายจะแย่ง

โค่วเหวินหลานเบี่ยงตัวหลบ แล้วถือโอกาสคว้าแขนสวีถังหราน อาศัยให้สวีถังหรานช่วยพยุง พอโซซัดโซเซยืนขึ้นมาได้ ก็หันกลับไปเตะเซี่ยโห้วหลงเฉิงหนึ่งที จากนั้นชี้ที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงซ้ำๆ

คำว่า ‘ซ้อมมันให้ข้า’ ยังไม่ทันเอ่ยออกจากปาก เหมียวอี้ก็แววตาวูบไหว รีบเหาะออกไปทันที

“หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าจะไปไหน?” โค่วเหวินหลานตะคอกถาม

“ข้าน้อยจะไปเก็บของที่พวกเพื่อนร่วมงานทิ้งไว้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็สู้จนตัวตายเพื่อท่านผู้บัญชาการ!” เหมียวอี้ตอบด้วยสีหน้าเจ็บปวด

พูดจาเหมือนแบกภาระหนักอึ้ง ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าการเก็บสมบัติของคนตายเกี่ยวอะไรกับการที่พวกเขาสู้รบจนตายเพื่อตน สรุปก็คือคิดว่าเป็นสิ่งที่สมควรจริงๆ! โค่วเหวินหลานโบกมือ อนุญาตให้เขาไปได้ แล้วหันกลับมาสั่งสวีถังหราน “ซ้อม! ซ้อมให้ข้าดู! ซ้อมไอ้หมีควายหน้าด้านนี่ให้หนักๆ!”

สวีถังหรานทำสีหน้าขื่นขม แทบจะร้องไห้ออกมา ล้อเล่นอะไรกัน ถ้าตัวเองซ้อมขึ้นมาจริงๆ ก็แปลว่าจะได้ผูกความแค้นอันใหญ่หลวง เดี๋ยวต่อไปเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะไม่คิดหาทางเล่นงานตนจนถึงตายหรอกเหรอ

พอหันกลับไปมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ก็เห็นเหมียวอี้กำลังก้มหน้าค้นหาในหินหลอมเหลวข้างล่าง โยนพวกเกราะรบ กำไลเก็บสมบัติขึ้นมาเป็นระยะ ราวกับใอเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เลย สวีถังหรานด่าในใจ หนีไหวจริงๆ นะ!

“ไอ้ตุ้งติ้ง! เจ้ากล้าเหรอ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงตะคอก แล้วต้องการจะลุกขึ้นมา

โค่วเหวินหลานเตะเขาล้มคว่ำอีกครั้ง แล้วหันมาตะคอก “แม้แต่คำพูดของข้า เจ้าก็ไม่เชื่อฟังแล้วเหรอ?”

979

ร่ำรวยใหญ่แล้ว

เป็นเพราะร่างกายอ่อนแอเกินไป ตอนอยู่ในธงดำแทบจะสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปหมด ตบตีกับใครไม่ไหวแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะลงมือจัดการด้วยตัวเอง ไม่ต้องสั่งให้คนอื่นทำแทนหรอก

เพียงแต่สวีถังหรานที่โดนกดดันเกิดความคิดอยากจะตายแล้ว นึกเสียเสียใจทีหลังว่าตัวเองจะรีบวิ่งออกมาเร็วขนาดนี้ทำไม ดูสิว่าหนิวโหย่วเต๋อเจ้าเล่ห์ขนาดไหน แค่ทิศทางลมผิดปกตินิดหน่อยก็เผ่นแล้ว

เขาเองก็อยากจะหนี แต่โค่วเหวินหลานยังโซซัดโซเซยืนได้ไม่ตรง คงไม่ดีที่เขาจะทิ้งโค่วเหวินหลานแล้วหนีไป ทำได้เพียง… ทำได้เพียงยื่นปลายเท้าไปสะกิดบนตัวเซี่ยโห้วหลงเฉิงเบาๆ

เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานถลึงตาจ้องเขาพร้อมกัน ทั้งคู่ทำสีหน้าเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ!

“ไอ้ชาติหมา เจ้ากล้าทำร้ายข้าเหรอ?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงตะคอกถาม

สวีถังหรานอยากจะถามเขามาก เจ้ามันโง่เหมือนหมู่! เจ้าดูไม่ออกเหรอ? แบบนี้เรียกว่าทำร้ายรึไง?

“สวีถังหราน ผู้บัญชาการคนนี้สั่งให้เจ้าซ้อมมัน ไม่ได้ให้เจ้าเกาให้มันคัน!” โค่วเหวินหลานตวาด

ทำตัวไม่ถูกแล้ว! สวีถังหรานอยากจะร้องไห้จริงๆ ในใจรู้สึกอึดอัดมาก ตุ้บ! เตะออกไปแรงๆ หนึ่งที

“อา…” เซี่ยโห้วหลงเฉิงร้องโอดโอย โดนเตะจนกระเด็นตกกระแทกพื้น

“หึหึ!” โค่วเหวินหลานหัวเราะเยาะ ใช้มือข้างหนึ่งผลักสวีถังหรานออกไป ส่วนตัวเองก็นั่งลงบนพื้น แล้วชี้ไปที่เซี่ยโห้วหลงเฉิง “ซ้อมต่อไป! ข้าจะรับผิดชอบให้เจ้าทุกเรื่อง เจ้าไม่ต้องกลัว ซ้อมให้หนักๆ!” เขาทำท่าชื่นชมมาก

จะตีครั้งเดียวหรือจะตีหลายครั้งก็เป็นการล่วงเกินเหมือนกัน ตอนนี้ทำได้เพียงกอดขาโค่วเหวินหลานไว้แน่นๆ สวีถังหรานตัดสินใจแน่วแน่ พอเดินเข้าไปก็เรียกได้ว่าซ้อมอย่างบ้าคลั่ง ซ้อมจนเซี่ยโห้วหลงเฉิงร้องโอดโอย โวยวายว่าจะเล่นงานสวีถังหรานให้ถึงตาย

ว่ากันตามจริง ในเมื่อซ้อมไปแล้ว สวีถังหรานก็อยากจะซ้อมให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงตายไปเสียเลย แต่โค่วเหวินหลานไม่ได้ออกคำสั่ง เขาเองก็ไม่กล้าซ้อมจนเซี่ยโห้วหลงเฉิงตาย ถึงอย่างไรหากเกิดเรื่องก็ยังต้องให้โค่วเหวินหลานออกหน้ารับผิดชอบให้ ถ้าโค่วเหวินหลานไม่รับผิดชอบให้ หากเขาซ้อมจนเซี่ยโห้วหลงเฉิงตายจริงๆ แบบนั้นเขาก็ต้องตายสถานเดียว อำนาจที่หนุนหลังเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้านทานไหว

เหมียวอี้ที่ค้นหาสมบัติของเพื่อนร่วมงานอยู่ข้างหลังเอบเงยหน้ามองขึ้นมาข้างบน ในใจรู้สึกขำมาก ที่จริงเขาก็อยากจะไปซ้อมเซี่ยโห้วหลงเฉิงสักยก ถึงอย่างไรเขาก็ล่วงเกินเซี่ยโห้วหลงเฉิงไปรุนแรงมากแล้ว ไม่ถือสาที่จะล่วงเกินเพิ่มอีกสักครั้ง

แต่จะว่าไปแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ชัดเจนมาก โค่วเหวินหลานเองก็ไม่กล้าทำเซี่ยโห้วหลงเฉิงเหมือนกัน ในเมื่อทำให้ตายไม่ได้ ถ้าให้เขาเอาแต่ล่วงเกินเซี่ยโห้วหลงเฉิงอยู่คนเดียว จะไม่เป็นการกดดันให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงยอมแลกทุกอย่างมาสู้ตายกับเขาเหรอ ให้สวีถังหรานช่วยแบ่งเบาความแค้นไปสักหน่อยจะดีกว่า การที่สวีถังหรานซ้อมครั้งนี้ กอปรกับสร้างผลงานกำจัดเฮยหวังให้โค่วเหวินหลาน เมื่อกลับไปแล้ว คาดว่าคนแรกที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงคิดถึงคงจะเป็นคือสวีถังหราน บางทีอาจไม่ต้องให้เหมียวอี้มาปิดปาก เซี่ยโห้วหลงเฉิงอาจจะช่วยจัดการให้แทน

พื้นที่เล็กนิดเดียวแค่นี้ ไม่เกินความสามารถในการค้นหาด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ ไม่นานก็เก็บเสร็จแล้ว แต่เขาก็ยังก้มหน้าหาต่อไป ข้างบนยังซ้อมไม่เสร็จ เขาก็จะแกล้งเก็บไม่เสร็จเหมือนกัน

สวีถังหรานเทียบกับเหมียวอี้ไม่ติด เหมียวอี้ยังมีทางหนีทีไล่ อย่างมากก็แค่ไปหลบที่พิภพเล็ก แต่สวีถังหรานไม่มีทางหนีทีไล่อะไร ตอนนี้ล่วงเกินเซี่ยโห้วหลงเฉิงเต็มที่แล้ว เขาทำได้เพียงกอดขาโค่วเหวินหลานเอาไว้ให้แน่น เพื่อที่จะทำให้โค่วเหวินหลานเบิกบานใจ เขาเริ่มลงมือรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ!

เมื่อเห็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงโดนซ้อมจนกระอักเลือดแล้ว โค่วเหวินหลานก็เอามือลูบจมูก แล้วบอกว่า “พอแล้ว! หยุดเถอะ!” เขาเองก็กังวลว่าจะซ้อมเซี่ยโห้วหลงเฉิงจนตาย

สวีถังหรานเชื่อฟังมาก หยุดมือทันที เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เลือดไหลออกมุมปาก หอบหายใจชี้ไปที่เขา พร้อมตะคอกด้วยสีหน้าดุร้าย “ไอ้ชาติหมา เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!”

สวีถังหรานได้ยินแล้วกลุ้มใจมาก  รีบไปวิ่งไปหาโค่วเหวินหลานแล้วประคองให้ลุกขึ้น ตั้งใจกอดขาประจบประแจง

โค่วเหวินหลานหันมองด้านล่าง “หนิวโหย่วเต๋อ เก็บเสร็จรึยัง?”

เหมียวอี้ถลันตัวกลับมาทันที ตอบว่า “ตอนแรกยังหาได้ไม่ครบขอรับ”

“ที่นี่ไม่เหมาะจะอยู่นาน หาไม่ครบก็ไม่ต้องหาแล้ว” โค่วเหวินหลานทนไม่ไหว ต่อสู้เข่นฆ่ากันแล้วมีคนตายถือเป็นเรื่องปกติมาก แสดงน้ำใจนิดหน่อยก็พอแล้ว เขาหันกลับไปแสยะยิ้มใส่เซี่ยโห้วหลงเฉิง “ไอ้หมีควายเน่า เจอกันที่ตลาดสวรรค์นะ!” กวักมือบอกใบ้ว่าจะไปแล้ว

“เฮยหวังเป็นของข้า!” ขณะที่มองดูสวีถังหรานประคองโค่วเหวินหลานเหาะออกไป เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ร้องโวยวาย รู้สึกไม่ยอมสุดๆ

เหมียวอี้ที่เหาะตามขึ้นมาทีหลังฉวยโอกาสตอนที่โค่วเหวินหลานกับสวีถังหรานไม่ได้สนใจ จู่ๆ ก็สะบัดมือโยนของสิ่งหนึ่งให้เซี่ยโห้วหลงเฉิง จากนั้นก็รีบเหาะตามขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว

เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ใช้แขนยันพื้นอึ้งไปชั่วขณะ ค่อยๆ ก้มหน้ามองใต้แขนตัวเอง เป็นสมุนไพรเซียนซิงหัวหนึ่งต้น!

เหมียวอี้แอบโยนสมุนไพรเซียนซิงหัวให้เขาลับหลังโค่วเหวินหลานเหรอ? เซี่ยโห้วหลงเฉิงคิดตามไม่ทันไปชั่วขณะ คิดไปคิดมาก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้เหมียวอี้ไม่ได้ซ้อมเขา…

เหมียวอี้ที่อยู่บนฟ้าก้มหน้ามองแวบหนึ่ง มองไปรอบๆ ภูเขาไฟด้านล่างที่ยังมีควันดำลอยออกมา ในใจรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ธงดำนั่นคือสมบัติล้ำค่านะ น่าเสียดายที่โดนโค่วเหวินหลานทำลายไปแล้ว

เมื่อเหาะมาถึงอวกาศ สวีถังหรานประคองโค่วเหวินหลานเหาะ ส่วนเหมียวอี้ก็ไล่ตามมาเหาะเบิกทางอยู่ข้างหน้า จงใจเผยแผลตรงเอวให้โค่วเหวินหลานเห็นอย่างแนบเนียน

ตั้งใจขนาดนี้ โค่วเหวินหลานย่อมเห็นบาดแผลที่เปื้อนเลือดสดตรงเกราะรบหลังเอวของเขาแล้ว

“แค่กๆ!” หลังจากสวีถังหรานเหลือบไปเห็น ก็ไอดังๆ ทีหนึ่ง พร้อมใช้มือกุมที่หน้าท้อง ดึงดูดความสนใจให้โค่วเหวินหลานหันกลับมามอง เห็นท้องตรงเกราะรบที่มีรอยแยกมีบาดแผลจนแทบจะมีไส้ไหลออกมา

โค่วเหวินหลานย่อมดูออกว่านี่คือบาดแผลที่เกือบทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต จะเห็นได้ว่าตอนหลังต่อสู้กันดุเดือดขนาดไหน ทุ่มเทกำลังสู้สุดชีวิตจริงๆ

เขารู้สึกทอดถอนใจอยู่บ้าง พาคนมาด้วยเยอะขนาดนี้ แต่เหลืออยู่แค่สองคน แถมทั้งคู่ยังบาดเจ็บด้วย นับว่าได้สัมผัส นับว่าได้ประสบการณ์ความยากลำบากของทหารสวรรค์ที่เฝ้ารักษาการณ์พื้นที่ต่างๆ แล้ว จึงถามทั้งสองว่า “หลังจากข้าโดนขัง ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

ทั้งสองย่อมไม่บอกเรื่องที่ฆ่ากันเอง บอกเพียงว่าทุกคนร่วมแรงร่วมใจปะทะเดือดกับเฮยหวัง ถึงได้สยบเฮยหวังได้ ไม่ได้ช่วยพูดอะไรดีๆ ให้คนที่ตายไปแล้วสักเท่าไร ถึงอย่างไรคนที่ตายไปแล้วก็ไม่มีส่วนแบ่งในผลงาน

ตอนที่กลับถึงตลาดสวรรค์ที่ดาวเทียนหยวน ร่างกายของโค่วเหวินหลานก็ฟื้นตัวกลับมาแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้โค่วเหวินหลานสะอิดสะเอียนก็คือ ล้างสีดำที่ติดอยู่บนตัวไม่ออก ต่อให้ร่ายอิทธิฤทธิ์ก็กำจัดไม่ได้ เขาเป็นคนรักสะอาด จึงต้องคลุมหน้าเข้าเมือง

เหมียวอี้ยังดีหน่อย ล้างสีดำบนตัวสะอาดได้อย่างง่ายดาย เขาเดาว่าสาเหตุที่โค่วเหวินหลานดำจนดูไม่ได้แบบนี้ เกี่ยวข้องกับการที่โดนขังอยู่ในธงดำ เขาพบว่าคำว่า ‘เฮยหวัง[1]’ ช่างเป็นจริงตามชื่อ ดำจนโค่วเหวินหลานทนไม่ไหว

เมื่อกลับถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก โค่วเหวินหลานก็ไปรายงานผลงานที่ตำหนักคุ้มเมืองทันที เตรียมจะตักตวงผลงานให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ส่วนทางด้านนี้ โค่วเหวินหลานเพิ่งจะออกไป เหมียวอี้ก็เอ่ยเรียกทันที “พี่สวี!”

สวีถังหรานกลัวเขานิดหน่อย กังวลตลอดว่าเจ้าบ้านี่จะฆ่าปิดปากเขา เมื่อเห็นเหมียวอี้ค่อยๆ เข้ามาประชิด เขาก็ถอยหลังอย่างช้าๆ พร้อมบอกว่า “น้องหนิว ไม่ต้องห่วง เรื่องที่ไม่ควรพูดข้าจะไม่พูดสักคำ ถ้าพูดออกไปก็ไม่เกิดผลดีอะไรกับข้า”

เหมียวอี้เองก็ไม่อ้อมค้อม พูดตรงๆ เลยว่า “ข้าค่อนข้างสนใจเขตเมืองตะวันออก เจ้าไปที่เขตเมืองตะวันตกก็แล้วกัน” เขาต้องอยากหาทางคุ้มครองฝั่งอวิ๋นจือชิวอยู่แล้ว

ที่แท้ก็เรื่องนี้ สวีถังหรานโล่งใจ พยักหน้าบอกว่า “น้องหนิวทำผลงานได้เยอะ ย่อมต้องให้น้องหนิวเลือกก่อน”

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินออกมานอกโถง มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาอารมณ์ดีไม่เบา ถึงแม้การเดินทางครั้งนี้จำประสบอันตราย แต่หลังจากสู้รบกลับได้วางรากฐานที่มั่นคงให้ตัวเองที่ตลาดสวรรค์แล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อีกไม่นานตนก็จะมีอำนาจตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในเขตพื้นที่นี้ พื้นที่หนึ่งในสี่ของตลาดสวรรค์อยู่ในมือตนแล้ว!

สวีถังหรานเดินมาข้างกายเขาแล้วยิ้มสู้ “น้องหนิว เมื่อครู่นี้เจ้าก็ได้ยินที่ผู้บัญชาการโค่วบอกแล้ว ความหมายของผู้บัญชาการโค่วก็คือ จะพิจารณาผลงานของเจ้ากับข้า สมบัติของพี่น้องที่สู้รบจนตาย ให้พวกเราสองคนแบ่งกัน เจ้าว่าพวกเรามาแบ่งกันตอนนี้เลยดีมั้ย?”

เหมียวอี้พยักหน้า “ก็ได้!” พลิกมือนำแหวนเก็บสมบัติออกมาวงหนึ่ง แล้วโยนดีดไปให้เขา

สวีถังหรานกระปรี้กระเปร่าทันที นับของที่อยู่ในแหวนอย่างเฝ้าคอย หลังจากนับเสร็จแล้ว ก็ถามอย่างหน้าดำคร่ำเครียดว่า “น้องหนิว เกรงว่าของของไม่ได้มีเท่านี้หรอกมั้ง?”

เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “พี่สวี ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้นะ ผู้บัญชาการโค่วรีบกลับมารับผลงาน ข้าเลยหาได้ไม่ครบ ตอนนี้ก็หาได้เท่านี้แหละ ถ้าพี่สวีรังเกียจที่มันน้อยไป ก็กลับไปหาที่เขาโอนเอนอีกรอบก็ได้นะ แต่ข้าจะขอแนะนำพี่สวีสักคำว่า รักษาชีวิตไว้ได้ก็ไม่เลวแล้ว เกิดเป็นคนอย่าโลภเกินไปนัก!” ความหมายที่แฝงในคำพูดก็คือ ข้าไม่ฆ่าเจ้าทิ้งก็นับว่าเจ้าดวงชะตาแข็งแล้ว ยังคิดจะมาขอแบ่งจากข้าอีกเหรอ?

มารดาเจ้าเถอะ! สวีถังหรานแทบจะพ่นน้ำลายใส่หน้าเขา ข้างในมีอาวุธสิบกว่าชิ้นและเกราะรบสิบกว่าชิ้น ของอย่างอื่นน่าจะไม่มีแล้ว  มีมูลค่าเพียงไม่เท่าไร แถมเป็นเครื่องมือของตำหนักสวรรค์ นำออกมาขายก็ไม่สะดวก ต่อให้เจ้ายินดีขาย คนอื่นก็ไม่กล้ารับไว้!

ขนาดเขายังนับได้ว่าเหมียวอี้เก็บของไปเท่าไร ปกติในมือของทุกคนก็ไม่ได้มีสมบัติอะไรสักเท่าไร แต่ที่สำคัญคือเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ฉวยโอกาสปล้นมาจากร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียง ทหารเลวทั้งเจ็ดได้ส่วนแบ่งไปคนละประมาณสามแสนล้านผลึกแดง รวมๆ แล้วก็สองล้านล้านกว่า ส่วนที่รองผู้บัญชาการทั้งสองได้ไปก็เท่ากับทั้งหมดที่ทหารเลวทั้งเจ็ดได้ไป ก็คือสองล้านล้านกว่า ทั้งยังมีของลูกน้องวรยุทธ์บงกชทองอีกยี่สิบกว่าคน ได้ส่วนแบ่งไปประมาณหนึ่งล้านล้าน

แค่นับของพวกนี้ก็ได้เกือบหกล้านล้านแล้ว นี่ยังไม่ได้นับรวมสมบัติเดิมของแต่ละคนเข้าไป สมบัติของลูกน้องเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะต้องตกอยู่ในมือเจ้าบ้านั่นเหมือนกัน ทั้งยังมีสมบัติของลูกสมุนเฮยหวังอีก ทวนผลึกแดงก็โดนเจ้าบ้านั่นฮุบไปแล้ว ดังนั้นแล้ว สมบัติที่เจ้าบ้านั่นได้ไปก็มีมูลค่าอย่างน้อยหกล้านล้านผลึกแดง แต่กลับแบ่งให้ตัวเองนิดหน่อย ทำเกินไปจริงๆ!

แต่กับเรื่องแบบนี้ เจ้าก็ไม่มีหลักฐาน ถ้าอีกฝ่ายซ่อนเอาไว้ แล้วยืนกรานว่าเก็บของได้ไม่เยอะ เจ้าจะกัดอีกฝ่ายไม่ปล่อยได้เหรอ? อีกฝ่ายบอกว่าเท่าไรก็ต้องเท่านั้นสิ ทั้งสองดันก้นไม่สะอาดด้วยกันทั้งคู่ เขาเองก็ไม่กล้าไปฟ้องขอความยุติธรรมจากโค่วเหวินหลาน ถ้าสู้กันขึ้นมาอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย

สมบัติที่มีมูลค่าหกล้านล้านผลึกแดงผลึกแดงเชียวนะ! สวีถังหรานรู้สึกเหมือนมีเลือดออกในใจ แต่ก็ทำอะไรเหมียวอี้ ไม่ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายยืนกรานว่าไม่มี แล้วเจ้าจะทำอะไรได้]jt? ต้องโทษที่ตอนนั้นตัวเองโง่เง่า นอกจากจะไม่ไปเก็บสมบัติแล้ว ยังจะไปล่วงเกินเซี่ยโห้วหลงเฉิงแบบเต็มที่อีก

สวีถังหรานโมโหจนอยากกระอักเลือด  เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้ตาย กัดฟันมองดูเหมียวอี้เดินเอามือไขว้หลังลงบันไดไปอย่างช้าๆ!

เหมียวอี้เริงร่าราวกับมีดอกไม้เบ่งบานในใจ ครั้งนี้ร่ำรวยมหาศาลแล้วจริงๆ ส่วนของร้านขายของชำซื่อตรงที่เสียไป นับว่าตักตวงกลับมาได้แล้ว!

เดิมทีคิดจะไปหาอวิ๋นจือชิว แต่คิดไปคิดมาก็ช่างเถอะ กลัวว่าสวีถังหรานจะเล่นไม่ซื่อลับหลัง เขาต้องรอให้โค่วเหวินหลานกลับมาและทำเรื่องนี้ให้เป็นทำให้เป็นรูปธรรมก่อน

เขาจึงหลบคนและนำระฆังดารามาติดต่อกับอวิ๋นจือชิว บอกว่าตัวเองกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว แต่ตอนนี้ยังติดธุระกลับจึงไปไม่ได้

ระหว่างทางตอนที่บอกให้อวิ๋นจือชิวรู้ข่าว นางก็กำชับให้เขาระวังตัว ตอนนี้กลับมาแล้วบอกให้นางรู้ ก็นับว่าทำให้นางหายห่วงแล้ว

980

หมีควายอาละวาด


วันต่อมา เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ตัวดำเมี่ยมก็กลับมาถึงแล้วเช่นกัน บุกตรงมาฟ้องร้องที่ตำหนักคุ้มเมือง!

ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกและตะวันออกที่ตัวดำขลับสองคนกำลังเถียงกันอยู่ในตำหนักคุ้มเมือง

“เขายุยงให้สวีถังหรานลูกน้องตัวเองมาลามปามทำร้ายร่างกายข้าน้อย!”

“ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว อย่าพูดจาเหลวไหลแบบตาไม่กะพริบสิ ต่อให้สวีถังหรานใจกล้ากว่านี้ร้อยเท่าก็ไม่กล้าแตะต้องเจ้า คำใส่ร้ายป้ายสีใครๆ ก็พูดได้ หลักฐาน! เจ้าต้องเอาหลักฐานออกมา!”

ผู้ชายสองคนที่ดำไปทั้งตัวจนเห็นแค่ฟันกับลูกตา ขณะที่มองดูพวกเขากำลังเถียงกันไม่หยุด ปี้เยว่ฮูหยินที่งดงามเย้ายวนกลั้นขำนิดหน่อย ฝืนกลั้นไว้ไม่ให้หัวเราะออกมา พอนางได้ยินแบบนั้น ก็ถามเซี่ยโห้วหลงเฉิงว่า “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว เจ้าบอกว่าผู้บัญชาการโค่วแย่งผลงานเจ้า ทั้งยังยุยงให้คนซ้อมเจ้าด้วยเหรอ มีหลักฐานมั้ย?”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงตอบอย่างคับแค้นใจว่า “ลูกน้องของข้าน้อยตายหมดแล้ว ไม่มีใครมาเป็นพยานให้ เพียงหวังว่าท่านแม่ทัพภาคจะตัดสินอย่างยุติธรรม!”

มีอะไรให้ตัดสินอย่างยุติธรรมอีกล่ะ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำร้ายร่างกาย ปี้เยว่ฮูหยินแสยะยิ้มถามว่า “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว ขนาดเจ้ายังบอกเลยว่าตัวเองเพิ่งต่อสู้เป็นครั้งแรก ลูกน้องตัวเองตายหมดแล้ว ทั้งยังโดนเฮยหวังจับขังก่อนอีก เจ้ายังกล้าบอกอีกเหรอว่าตัวเองเป็นคนจับเฮยหวัง คิดว่าฮูหยินเป็นคนโง่หรือไง?”

“…” เซี่ยโห้วหลงเฉิงอึกอัก ทำสีหน้าไม่ถูก

โค่วเหวินหลานส่ายหน้าอยู่ข้างๆ กุมหมัดกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ฮูหยินช่างมีสายตาเฉียบคมดุจกระจกใส!”

ปี้เยว่ฮูหยินเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง พบว่าบนตัวโค่วเหวินหลานมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย เขาเคารพเกรงใจนางขึ้นเยอะมาก ทำตัวสมกับอยู่ในตำแหน่งใต้บังคับบัญชา ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงมีการเปลี่ยนแปลง แต่อย่างน้อยก็ทำให้นางสบายใจ ในใจนางตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว!

ปรากฏว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงบ่นอีกว่า “ฮูหยิน แต่เรื่องที่เขายุยงลูกน้องคือเรื่องจริงนะ!”

“พอแล้ว! รอให้เจ้าหาหลักฐานเรื่องนี้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ!” ปี้เยว่ฮูหยินยืนขึ้นอย่างช้าๆ สายตาจ้องไปที่โค่วเหวินหลาน “โค่วเหวินหลาน! การลงโทษเฮยหวังครั้งนี้ เจ้าได้สร้างผลงานไว้ใหญ่หลวง! ฮูหยินคนนี้พูดคำไหนคำนั้น ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน ส่งต่องานที่เขตเมืองตะวันออกให้ชัดเจน หลังจากนี้สามวันไปรับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ รักษาการณ์ตลาดสวรรค์!”

โค่วเหวินหลานโค้งกายทันที กุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยน้อมรับบัญชา!”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงยืนเอ๋ออยู่กับที่ เมื่อเห็นว่าปี้เยว่ฮูหยินหันตัวจะเดินออกไป ตัวเองยังอยากก้าวขึ้นไปพูดอะไรอีก แต่กลับถูกผู้การสองขวางไว้ ทำให้อกสั่นขวัญแขวนทันที ในหัวคิดอยู่อย่างเดียวว่า ไอ้ตุ้งติ้งกลายเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าแล้ว!

ปกติผู้บัญชาการใหญ่คุมพวกเขาสองคนไม่ได้เลย ดังนั้นเวลาทั้งสองมีเรื่องอะไรก็จะมาหาปี้เยว่ฮูหยินโดยตรง ตอนนี้จบเห่แล้ว โค่วเหวินหลานเป็นผู้บัญชาการใหญ่แล้ว อีกฝ่ายต้องไม่เกรงใจเขาแน่นอน!

จู่ๆ โค่วเหวินหลานก็พบว่าตัวดำนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ในตอนนี้ เขาเหลือบมองเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่กำลังยืนเอ๋อแวบหนึ่ง แล้วเอามือไขว้หลังหันตัวเดินออกไป สีหน้าเยาะเย้ยยากที่จะปิดบังไว้ได้

เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เดินออกจากตำหนักยังคงอกสั่นขวัญแขวน เดินมาถึงประตูร้านค้าร้านหนึ่งแล้วเงยหน้า ถึงได้พบว่าตัวเองเดินมาถึงร้านค้าสมาคมวีรชนโดยไม่รู้ตัว

“ไปรายงานจวินโหรวหน่อย”

“ใคร?”

“ขนาดข้าเป็นใครเจ้ายังไม่รู้จักเลยเหรอ ข้าเซี่ยโห้วหลงเฉิง!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงแยกเขี้ยวยิงฟันตะคอกใส่คนงานร้านค้าสมาคมวีรชน

คนงานตกใจ ตอนนี้ถึงได้สังเกตเห็นว่าผีดำตัวนี้คือเซี่ยโห้วหลงเฉิงจริงๆ ทำไมกลายสภาพเป็นผีไปแล้วล่ะ? คนงานรีบไปรายงาน ผ่านไปครู่เดียวก็เชิญเขาเข้าไป

พอเห็นเซี่ยโห้วหลงเฉิง หวงฝู่จวินโหรวก็ตกใจเหมือนกัน “เซี่ยโห้ว ได้ยินว่าโค่วเหวินหลานก็ดำแล้วเหมือนกัน พวกเจ้าเป็นอะไรไป?”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงเหมือนจะค่อนข้างฮึกเหิม ใช้มือข้างหนึ่งคว้ามือหวงฝู่จวินโหรว “จวินโหรว ไปกับข้าเถอะ ออกไปจากที่นี่กับข้าเถอะ!”

“เซี่ยโห้วหลงเฉิง โปรดสำรวมด้วย!” หวงฝู่จวินโหรวออกแรงสะบัดมือออก ก้าวถอยหลังไปอยู่หลังโต๊ะหินอีกด้านหนึ่งแล้วขมวดคิ้ว สีหน้าหงุดหงิด

เซี่ยโห้วหลงเฉิงยิ้มเผยฟันขาวสดใส ยิ้มอย่างน่าเวทนาพร้อมบอกว่า “ข้าแพ้แล้ว จวินโหรว ข้าแพ้ไอ้ตุ้งติ้งแล้ว ไอ้ตุ้งติ้งกำลังจะกลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ มันต้องไม่ปล่อยข้าไปแน่นอน ต้องทำให้ข้าอับอายเป็นร้อยๆ อย่างแน่ ข้าอยู่ที่ดาวเทียนหยวนต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าต้องออกไป! จวินโหรว ไปกับข้า แต่งงานกับข้าเถอะ!” เดินอ้อมโต๊ะตามเข้าไป

หวงฝู่จวินโหรวรีบอ้อมหนี อาศัยให้โต๊ะกั้นเขาไว้ตลอด พลางคิดในใจว่า ถ้าข้าสามารถติดตามเจ้าไปได้ตามอำเภอใจ ถ้าสามารถแต่งงานได้ตามอำเภอใจ โอกาสก็คงไม่วนไปถึงเจ้าอยู่ดี!

เมื่อไม่ได้คำตอบที่ตัวเองต้องการ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ผิดหวังมาก และโมโหมากเช่นกัน เดินออกจากร้านค้าสมาคมวีรชนพร้อมสีหน้าเศร้าโศกคับแค้น…

ในห้องด้านหลังของตำหนักพ่อบ้าน สวีถังหรานกำลังเอนกายนอนหลับตางีบอยู่บนเก้าอี้ บนใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มบางๆ เรื่องราวถูกกำหนดแล้ว โค่วเหวินหลานกำลังจะได้คุมทั้งตลาดสวรรค์ เจ้าตัวบอกเขาและเหมียวอี้ไว้ชัดเจนแล้ว เป็นอย่างที่ทั้งสองปรารถนา คนหนึ่งคุมเขตเมืองตะวันตก คนหนึ่งคุมเขตเมืองตะวันออก

เบื้องบนมีคนจ้องอย่างได้ตำแหน่งของสองเขตนี้แล้ว ต้องทราบไว้ว่าสำหรับตลาดสวรรค์สาขาต่างๆ ที่อยู่ในเก้าโลก นอกจากตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดี สถานที่ที่ราชันสวรรค์และประมุขพุทธะคุมย่อมเทียบไม่ติดอยู่แล้ว ในจำนวนนั้นนับว่าตลาดสวรรค์ร่ำรวยที่สุด เศรษฐีแทบทุกคนของแดนฝึกตนล้วนมารวมตัวกันที่ตลาดสวรรค์ ตลาดสวรรค์คือสถานที่ของมหาเศรษฐีอย่างแท้จริง ผู้บัญชาการเขตของตลาดสวรรค์คือตำแหน่งที่ร่ำรวยแน่นอน เป็นตำแหน่งที่คนมากมายอยากจะวางแผนช่วงชิง ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็ไม่มีทางทนแรงกดดันนี้ไหวเลย มีแค่เจ้านายที่มีอำนาจหนุนหลังแข็งแกร่งอย่างโค่วเหวินหลานเท่านั้น ถึงจะทนแรงกดดันแบบนี้ได้ ไม่อย่างนั้นเขากับหนิวโหย่วเต๋อคงไม่มีส่วนกับสองตำแหน่งนี้หรอก

ในใจสวีถังหรานชื่นมื่นมาก! ขนาดนอนหลับฝันก็ยังยิ้มออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้น คนที่ไม่มีทั้งเส้นสายและไม่มีทั้งภูมิหลังอย่างตน ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าวันไหนจะได้ขึ้นนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการเขตของตลาดสวรรค์ ต่อให้ไต่เต้ามาได้จนถึงระดับนี้ แต่ก็ไม่มีทางที่จะได้ขึ้นตำแหน่งที่สามารถตักตวงผลประโยชน์ได้เยอะแบบนี้!

ขอเพียงต่อไปนี้ตามติดโค่วเหวินหลานไว้ หากโค่วเหวินหลานได้เลื่อนตำแหน่งสูงกว่านี้อีก ก็อาจจะมีวันที่ตนได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ก็ได้ เพียงแต่หนิวโหย่วเต๋อเป็นคู่แข่งที่ร้ายกาจมาก!

พอนึกถึงเหมียวอี้ สวีถังหรานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยทั้งๆ ที่กำลังยิ้มอยู่ ตอนนี้ผู้บัญชาการโค่วคงจะกำลังส่งต่องานให้หนิวโหย่วเต๋อกระมัง?

เมื่อนึกถึงเหมียวอี้ ก็นึกถึงสมบัติที่เหมียวอี้ตักตวงมามากมายแต่ไม่แบ่งให้ตนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ในใจรู้สึกเอือมมาก

แต่ไม่นานก็ปลอบใจตัวเองได้ แค่นี้ก็นับว่าเป็นความโชคดีที่อยู่ในความโชคร้ายแล้ว เพราะคนพวกนั้นที่ตายไปก็ไม่ได้อะไรเลย ตัวเองเหยียบศพคนพวกนั้นเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่ง ขอเพียงได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก ขอเพียงได้มีอำนาจ ของที่ควรจะมีก็จะได้มี ลำพังแค่สินบนที่พวกร้านค้านำมาให้ในแต่ละปี แค่คิดก็ทำให้เขาน้ำลายไหลแล้ว

“นายท่าน! ข้างนอกมีคนมาหาท่าน!” ทหารสวรรค์เกราะเงินคนหนึ่งเดินมารายงานข้างกายเขา

ก็ช่วยไม่ได้ นักพรตบงกชทองของเขตเมืองตะวันตกและตะวันออกตายหมดแล้ว คนที่วิ่งเต้นทำงานในตอนนี้ล้วนเป็นทหารสวรรค์เกราะเงินทั้งหมด

“ใครมาหา?” สวีถังหรานลืมตาถาม

ทหารสวรรค์คนนั้นส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ เขาบอกเพียงว่าเป็นสหายเก่าของท่าน ไม่ยอมเปิดเผยที่มาที่ไป”

“สหายเก่า?” สวีถังหรานลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก กำลังครุ่นคิดว่าเป็นใคร

เมื่อมาถึงประตูใหญ่ของผู้บัญชาการ เขาก็มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นเงาใคร อดไม่ได้ที่จะถามทหารยาม “คนล่ะ?”

“ไปแล้วขอรับ!” ทหารยามตอบ

“ไปแล้ว?” สวีถังหรานงุนงง ขณะกำลังยืนเหลียวซ้ายแลขวา จู่ๆ ก็เงยหน้าและเบิกตากว้าง เห็นคนคนหนึ่งพุ่งลงมาจากฟ้า ควงดาบฟันเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราด “ไอ้โจรสุนัข รับความตายซะเถอะ!”

ผู้ที่ลอบโจมตีตัวดำเมี่ยม นอกจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้วจะมีใครอีก!

สวีถังหรานตกใจแทบแย่ ต่อให้หลับฝันก็นึกไม่ถึงว่าหมาบ้าจะกล้าเข้ามาลงมือที่นี่โดยตรง เข้าถลันตัวอยากจะหลบ แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงเตรียมการมาอย่างดี ฉวยโอกาสโจมตีตอนเขาไม่ทันตั้งตัว ด้วยความเร็วอย่างเขา ถ้าอยากจะหลบเซี่ยโห้วหลงเฉิงให้พ้นก็ต้องเคี่ยวเข็ญพอสมควร

ขณะที่ลุกลี้ลุกลนหลบหลีก เขาก็โบกดาบต้านไว้ พร้อมตะโกนร้องว่า “ผู้บัญชาการช่วยข้าด้วย!”

ตอนนี้นักพรตบงกชทองของที่นี่ตายเกือบหมดแล้ว ยังหาคนมาเติมไม่ครบ นอกจากโค่วเหวินหลานก็ไม่มีใครแล้วที่ช่วยเขาได้ และเขาก็ไม่ได้หวังว่าเหมียวอี้จะมาช่วยเขาด้วย

ทหารยามที่อยู่สองฝั่งพุ่งเข้ามาช่วยเหลือ แต่กลับโดนพลังอิทธิฤทธิ์ของเซี่ยโห้วหลงเฉิงจนสะเทือนออกไป นักพรตบงกชม่วงจะต้านทานเขาไหวได้อย่างไร

ในมือของเซี่ยโห้วหลงเฉิงคือดาบผลึกแดงขั้นห้า อาวุธในมือสวีถังหรานจะต้านทานไหวได้อย่างไร

เสียงดังเพล่ง อาวุธโดนฟันจนขาดเป็นสองท่อน สวีถังหรานก็เกือบโดนฟันร่างจนขาดสองท่อนเหมือนกัน โชคดีที่เบี่ยงตัวหลบทันที

“อา!” แต่ก็ยังโดนฟันจนกรีดร้องออกมา แขนข้างหนึ่งรวมทั้งบ่าครึ่งหนึ่งโดนฟันกระเด็นแล้ว เลือดสดสาดพุ่งออกมา คมดาบแทบจะเฉียดผ่านศีรษะของเขาไป

สวีถังหรานตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ กลิ้งหลายตลบและลุกขึ้นหนีเอาชีวิตรอดอย่างบ้าคลั่ง เซี่ยโห้วหลงเฉิงพุ่งเข้าไปในจวนผู้บัญชาการแล้ว ไล่สังหารต่อไป!

โชคดีที่โค่วเหวินหลานได้ข่าวและออกมาดู แทงทวนสกัดเซี่ยโห้วหลงเฉิงอย่างเกรี้ยวกราด ดาบและทวนของทั้งสองกำลังยันกัน โค่วเหวินหลานตะคอกอย่างเดือดดาล “ไอ้หมีควาย เจ้ามันใจกล้านักนะ!”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงโผล่ซ้ายแฉลบขวา โค่วเหวินหลานดึงแขนเขาไว้ข้างหนึ่งไม่ยอมปล่อย พัวพันเขาเอาไว้

เหมียวอี้ที่กำลังรับงานต่อจากโค่วเหวินหลานวิ่งตามออกมาด้วย เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ตกใจมากเช่นกัน

สวีถังหรานรีบหนีมาหลบข้างหลังเขา “น้องหนิวช่วยข้าด้วย!”

ช่วยบ้าอะไรล่ะ! หมีควายตัวนี้เป็นบ้าไปแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีความแค้นต้องชำระ ขนาดข้ายังไม่เลยว่าจะไปหลบที่ไหน! เหมียวอี้เผยทวนออกมาเตรียมป้องกัน

กลางวันแสกๆ ทหารยามของตลาดสวรรค์ก็ไม่ใช่เล่นๆ รู้ว่าฝ่ายตัวเองขาดคนชั่วคราว บนฟ้ามีคนเหาะมากลุ่มหนึ่ง มาพร้อมกับเชือกมัดเซียนหลายเส้น แล้วมัดเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่โดนโค่วเหวินหลานพัวพันอยู่โดยตรง

เซี่ยโห้วหลงเฉิงโดนทหารสวรรค์หลายคนควบคุมและยังคงดิ้นรน เขาถลึงตาจ้องสวีถังหรานพร้อมตะโกนอย่างเดือดดาล “ชาติสุนัข! บังอาจมาซ้อมข้า นับว่าวันนี้เจ้าดวงชะตาแข็ง เจ้าคอยดูเถอะ!”

เขาถูกลากออกไปพร้อมเสียงคำรามที่ดังก้อง

ขณะที่มองเซี่ยโห้วหลงเฉิงถูกลากออกไป โค่วเหวินหลานก็รู้สึกจนใจเหมือนกัน สั่งสอนเซี่ยโห้วหลงเฉิงยังพอทำได้ แต่ถ้าจะให้ฆ่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจริงๆ เขาเองก็ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรเหมือนกัน เช่นเดียวกัน เซี่ยโห้วหลงเฉิงเองก็ไม่กล้าฆ่าเขา

ตามกฎแล้ว พฤติกรรมแบบเซี่ยโห้วหลงเฉิงต้องโดนประหารคาที่ แต่โค่วเหวินหลานยังไม่ได้รับตำแหน่งคุมตลาดสวรรค์ ไม่มีอำนาจลงโทษผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก จึงผลักให้ตำหนักคุ้มเมืองไปลงโทษ

โค่วเหวินหลานหันกลับมา เห็นเหมียวอี้เข้าไปประคองสวีถังหรานแล้ว กำลังถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง

โดนฟันแขนไปข้างหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ตาย แต่ก็ทำให้สวีถังหรานสูญเสียพลังปราณไปมาก ย่อมถูกประคองไปพักฟื้นทันที

เรื่องนี้โค่วเหวินหลานก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน เพราะพูดต่อหน้าทุกคนไปแล้ว แขนข้างที่สวีถังหรานเสียไป เขาจะเป็นคนชดเชยให้ จะทำให้งอกออกมาให้เร็วที่สุด

จากนั้นเหมียวอี้ก็ตามโค่วเหวินหลานออกมา หลังจากเรียกลูกน้องมาถามสถานการณ์จนรู้ชัดแล้ว ในใจเหมียวอี้ก็รู้สึกหนาวนิดหน่อย โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้พุ่งเป้ามาหาเขา โชคดีที่เขาไม่ได้ลงมือตอนอยู่ที่เขาโอนเอน ไม่อย่างนั้นทั้งแค้นใหม่แค้นเก่ารวมกันคงแย่แน่!

พอนึกขึ้นได้ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงล่อสวีถังหรานออกไป ไม่ได้มาหาเหมียวอี้ ในใจเหมียวอี้ก็แอบขำ ความแค้นส่วนใหญ่ย้ายไปที่ตัวสวีถังหรานแล้วจริงๆ ด้วย

เรื่องนี้ชัดเจนมาก เซี่ยโห้วหลงเฉิงรู้ว่าตัวเองเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกต่อไปไม่ได้แล้ว จะซ้ายหรือขวาก็เป็นไม่ได้ ในภายหลังจะไปหาเรื่องอีกฝ่ายไม่ได้อีก ไม่สู้ตอนนี้เป็นฝ่ายรุกเสียเองดีกว่า ถือโอกาสล้างแค้นไปเสียเลย!

“หมีควายตัวนี้มันเจ้าคิดเจ้าแค้น ต่อไปเจ้าก็ระวังตัวหน่อย!” โค่วเหวินหลานหันกลับมาสั่ง

“ขอรับ!” เหมียวอี้กุมหมัดรับคำสั่ง ย่อมไม่พูดเรื่องที่ตัวเองแอบโยนสมุนไพรเซียนซิงหัวให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงอยู่แล้ว

ถึงแม้สมุนไพรเซียนซิงหัวต้นเดียวจะไม่ได้มีค่าอะไรกับเซี่ยโห้วหลงเฉิง แต่ประเด็นสำคัญคือให้ได้ถูกจังหวะเวลา ถ้าไปเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย[1]ก็ไม่มีประโยชน์ ส่งถ่านให้กลางหิมะ[2]ต่างหากถึงจะเป็นเวลาที่ยอดเยี่ยม ถึงจะทำให้คนจดจำได้อย่างลึกซึ้ง ดูจากวันนี้แล้วก็พอจะได้ผลอยู่บ้างนิดหน่อย


---980---

ตอนต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น