หน้าเว็บ

room 772-004

 room 772-004

https://fiction-no-limit1.blogspot.com/p/room-772-004.html

981-1020

981

กระโดดขึ้น 2 ขั้น

เซี่ยโห้วหลงเฉิงวิ่งมาอาละวาด คนแรกที่ต้องการจะทำร้ายไม่ใช่เหมียวอี้ แต่เป็นสวีถังหราน แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เหมียวอี้แอบร่าเริงได้หลายวัน

ไม่ใช่แค่ร่าเริงได้หลายวัน แต่เรื่องดีที่แท้จริงมาถึงแล้ว เมื่ออยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมแล้วพลิกวิกฤตช่วยชีวิตตัวเองไว้ได้ ช่วงเวลาอันงดงามที่แลกมาด้วยชีวิตก็มาถึงเสียที

อาการบาดเจ็บของสวีถังหรานยังไม่หายดี แต่ก็ยังกัดฟันไปที่จวนผู้บัญชาการใหญ่พร้อมกับเหมียวอี้ บ่าข้างหนึ่งไม่สามารถงอกออกมาได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่เวลาที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นเศรษฐีมาถึงแล้ว ต่อให้คลานเขาก็จะต้องคลาน มีหรือที่จะพลาด!

ในจวนผู้บัญชาการใหญ่ โค่วเหวินหลานนั่งอยู่บนบัลลังก์ เกราะรบเปลี่ยนเป็นเกราะทองหกแถบแล้ว ประกอบกับคนที่ตัวดำเมี่ยม กลับทำให้ดูน่าเกรงขามขึ้นหลายส่วน แต่พอเขาสะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมา เหมียวอี้ก็อยากจะอาเจียน รู้สึกสะอิดสะเอียนเกินทน… เดิมทีผู้ชายที่ทำตัวตุ้งติ้งก็น่าสะอิดสะเอียดพอแล้ว มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ชายที่ตัวดำขนาดนี้อีก!

แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร โค่วเหวินหลานก็ได้อยู่ในจุดสูงสุดของทหารเลวแล้ว ถ้าทหารเลวหกแถบก้าวขึ้นไปอีกขั้น ก็จะได้เป็นแม่ทัพหนึ่งแถบแล้ว!

ทางซ้ายและขวามีคนนำเกราะรบชุดหนึ่งมาส่งให้ตรงหน้าเหมียวอี้และสวีถังหราน ทั้งสองรับของมา แล้วเปลี่ยนใส่ตรงนั้น

ทหารยศต่ำทั้งสองกระโดดข้ามตำแหน่งรองผู้บัญชาการไปเป็นผู้บัญชาการโดยตรง เท่ากับกระโดดข้ามสองขั้นในรวดเดียว แบบนี้ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปกติ ยังต้องขอบคุณโค่วเหวินหลาน เป็นเพราะโค่วเหวินหลานพยายามช่วงชิงมาให้ทั้งสอง ประการแรกเป็นเพราะโค่วเหวินหลานรับปากพวกเขาไว้แล้ว ประการต่อมา การที่โค่วเหวินหลานได้เลื่อนขั้นในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะอาศัยให้พวกเขาสองคนเสี่ยงชีวิตจับตัวเฮยหวัง

อย่างน้อยสถานการณ์ที่โค่วเหวินหลานรู้ว่าก็เป็นแบบนี้

นอกจากนี้ คนมากมายที่พาออกไปด้วยก็ตายเกือบหมดแล้ว เหลือคนที่รอดกลับมากับเขาแค่สองคน ไม่ต้องพูดเลยว่าในใจรู้สึกผิดขนาดไหน อย่างน้อยการต่อสู้เข่นฆ่าจนมาถึงขั้นนี้ ถ้าไม่ตบรางวัลหนักๆ ก็กลัวว่าจะทำให้ลูกน้องท้อแท้ผิดหวัง

ยิ่งไปกว่านั้น ทุกบ้านย่อมมีวิธีการดูแลควบคุมเด็กๆ ของบ้านตัวเอง และต้องแสดงให้คนอื่นเห็นด้วย ว่าคนที่ทุ่มเททำงานรับใช้ข้า ข้าจะไม่ปฏิบัติด้วยอย่างขาดความยุติธรรม พวกเจ้าดูพวกเขาสองคนสิ ข้าเลื่อนขั้นให้พวกเขาสองขั้นติดต่อกันเลย!

นี่ก็คือแบบอย่างที่ดี คนอื่นเห็นแล้วย่อมอิจฉาตาร้อน ในภายหลังย่อมทุ่มเททำงานรับใช้เขา!

สำหรับโค่วเหวินหลาน สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือวรยุทธ์ของทั้งสองต่ำไปหน่อย โดยเฉพาะเหมียวอี้ เพิ่งวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง การให้เหมียวอี้เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เขาก็ต้องแบกความกดดันไว้เยอะมากจริงๆ แต่ก็ไม่เป็นไร เขามอบปัจจัยให้ทั้งสองคน ย่อมเป็นทรัพยากรฝึกตน เชื่อว่าทั้งสองต้องวรยุทธ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน

เกราะรบของทหารเลวห้าแถบ สีทองอร่ามงามตากึ่งโปร่งแสง ราวกับหยกสีเหลือง เมื่อสวมไว้บนตัวดูมีสง่าราศีจริงๆ แบบสีทองคำบริสุทธิ์ดูบ้านนอกไปหน่อย

อาวุธก็เปลี่ยนด้วยเหมือนกัน แจกจ่ายทวนยาวและดาบยาวสีอำพันให้ทั้งสอง ทั้งยังเป็นอาวุธขั้นสี่ด้วย ส่วนแบบขั้นห้าแจกให้แม่ทัพเท่านั้น ส่วนขั้นหกก็เป็นของแม่ทัพใหญ่

เล่าหนานซง กงอวี่เฟย  ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ช่วยของโค่วเหวินหลาน และเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่เช่นกัน ผู้ช่วยสองคนของโค่วเหวินหลานไม่ได้ถูกแต่งตั้งโดยโค่วเหวินหลาน เป็นปี้เยว่ฮูหยินที่แต่งตั้งให้เอง ก็เหมือนกับรองผู้บัญชาการหงกับรองผู้บัญชาการซุนก่อนหน้านี้ ไม่ได้ถูกแต่งตั้งโดยผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกเช่นกัน เป็นผู้บัญชาการใหญ่แต่งตั้งให้โดยตรง นับว่าเป็นวิธีการหนึ่งที่เบื้องบนใช้ควบคุมเบื้องล่าง

แต่รองผู้บัญชาการใหญ่สงท่านนี้ก็เป็นผู้ช่วยของอดีตผู้บัญชาการใหญ่เช่นกัน ปี้เยว่ฮูหยินโยกย้ายแค่ผู้บัญชาการใหญ่ออกไป ไม่ได้แตะต้องผู้ช่วยสองคนนี้

มู่หรงซิงหัว หยางไท่ ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง แบ่งเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือและผู้บัญชาการเขตเมืองใต้ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองก็มีอำนาจหนุนหลังเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเป็นผู้บัญชาการเขตของตลาดสวรรค์ได้เลย เพียงแต่คนหนุนหลังไม่ได้ใหญ่เท่าโค่วเหวินหลานแค่นั้นเอง ไม่อย่างนั้นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ก็คงไม่ตกมาถึงโค่วเหวินหลานเหมือนกัน

ทั้งสี่แสดงความยินดีที่เหมียวอี้และสวีถังหรานได้ขึ้นรับตำแหน่ง เหมียวอี้ย่อมกุมหมัดแสดงความขอบคุณ ส่วนสวีถังหรานแขนหายไปข้างหนึ่ง แขวนชุดเกราะไว้ชุดหนึ่ง ทำได้เพียงใช้ฝ่ามือข้างเดียวประทับอกแสดงการขอบคุณ

หลังจากพูดคุยและให้กำลังใจกัน โค่วเหวินหลานก็ยืนขึ้นกล่าวว่า “ทุกคนรู้จักกันแล้ว ไม่ต้องคุยอะไรกันเยอะแล้ว ตามข้าไปเยี่ยมคารวะท่านแม่ทัพภาคในตำหนัก!”

“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยรับคำสั่งและตามเข้าไป

ท่านแม่ทัพที่กล่าวถึงก็คือปี้เยว่ฮูหยิน

ระบบของตำหนักสวรรค์ ราชันสวรรค์และราชินีสวรรค์ใหญ่ที่สุด รองลงมาก็คือสี่อ๋องสวรรค์ สิบสองจอมพล สามสิบหกเทพประจำดาว เจ็ดสิบสองโหว พวกนี้ล้วนเป็นนักพรตที่มีพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ และแน่นอน ตำหนักสวรรค์ไม่ได้มีแค่นักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพพวกนี้ พวกเขาเป็นเพียงขุนนางในตำแหน่งหลักเท่านั้น สมาชิกอิสระระดับเดียวกันยังมีพวกเทพเซียนกับเซียนอาวุโสด้วย แล้วก็มีพวกตำแหน่งรอง แต่ตำแหน่งพวกนี้ค่อนข้างไร้อำนาจ ไม่ได้กุมอำนาจผลประโยชน์เหมือนพวกตำแหน่งหลักเท่านั้นเอง อำนาจที่แท้จริงของตำหนักสวรรค์ก็อยู่ในมือของหนึ่งร้อยยี่สิบหกตำแหน่งนี้

ตำแหน่งที่อยู่ใต้เจ็ดสิบสองโหวลงมามีจำนวนเยอะเกินไป ล้วนถูกแบ่งควบคุมโดยเจ็ดสิบสองโหว การแต่งตั้งเพิ่มหรือถอดออกล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ็ดสิบสองโหว แล้วค่อยรายงานขึ้นไป

ตำแหน่งที่อยู่ใต้เจ็ดสิบสองโหวก็คือหัวหน้าภาค หัวหน้าภาคคนหนึ่งจะคุมหนึ่งน่านฟ้า อย่างเช่นอาณาเขตดาวที่ผ่านประตูดวงดาวมาจนถึงดาวเทียนหยวน และดาวเทียนหยวนเองก็เป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในอาณาเขตดาวผืนนี้เท่านั้น

ใต้หัวหน้าภาคก็คือระดับแม่ทัพภาคอย่างปี้เยว่ฮูหยิน ทำหน้าที่ดูแลรักษาการณ์ทั้งดาวเทียนหยวน ส่วนหัวหน้าของปี้เยว่ฮูหยิน ก็คือหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหว และเป็นหัวหน้าของหัวหน้าของนางเช่นกัน ภูมิหลังของปี้เยว่ฮูหยิน ถ้าเทียบกับนักพรตทั่วไปก็นับว่าทระนงองอาจแล้ว ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะได้นั่งตำแหน่งที่รายได้ดีแบบนี้

แน่นอน ไม่ใช่ว่าดาวเคราะห์ทุกดวงจำเป็นต้องแต่งตั้งแม่ทัพภาค ต้องดูว่าดาวเคราะห์ดวงนั้นสามารถสร้างผลประโยชน์ได้หรือไม่ คุ้มค่าที่จะส่งคนจำนวนมากไปรักษาการณ์หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นผู้ที่คุมดาวไร้ลักษณ์ นั่นคือเทพแห่งภูผาที่อยู่ในระดับผู้บัญชาการ และเป็นเทพแห่งภูผาของเกาะศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย

เป็นเพราะดาวไร้ลักษณ์มีเกาะศักดิ์สิทธิ์ ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นเหมือนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ แม้แต่คนระดับผู้บัญชาการก็ไม่มีเลย แค่แต่งตั้งพวกเทพเจ้าที่ ผีหลักเมืองไว้จำนวนหนึ่งก็พอแล้ว ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ถ้าเป็นดาวเคราะห์ที่ไม่มีความจำเป็นเลย แม้แต่ขุนนางเล็กๆ ของตำหนักสวรรค์ก็ไม่มีเลยสักคน

ตำแหน่งที่อยู่ใต้แม่ทัพภาคก็คือผู้บัญชาการใหญ่ ที่ต่ำกว่านั้นก็คือผู้บัญชาการ ผู้ช่วยผู้บัญชาการ ผู้บังคับการกองร้อย ผู้บังคับการกองห้า ส่วนตำแหน่งรองอื่นๆ ไม่บันทึกรวมอยู่ในนั้น

ตามการจัดระบบที่สมบูรณ์ของตำหนักสวรรค์ ใต้แม่ทัพภาคหนึ่งคนจะมีผู้บัญชาการใหญ่สิบคน ใต้ผู้บัญชาการใหญ่หนึ่งคนก็จะมีผู้บัญชาการอีกสิบคน ใต้ผู้บัญชาการหนึ่งคนก็จะมีผู้ช่วยผู้บัญชาการอีกสิบคน ลดหลั่นกันไปแบบนี้ แต่ที่ดาวเทียนหยวนไม่จำเป็นต้องวางกำลังคนไว้มากมายขนาดนั้นเลย แต่จำเป็นต้องมีคนที่ศักยภาพเท่าเทียมกันมารักษาการณ์ ดังนั้นใต้แม่ทัพภาคอย่างปี้เยว่ฮูหยินจึงมีผู้บัญชาการใหญ่แค่คนเดียว และใต้ผู้บัญชาการใหญ่ก็มีผู้บัญชาการแค่ห้าคน หนึ่งในนั้นมาเฝ้าคุมอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองของปี้เยว่ฮูหยิน เป็นลูกน้องคนสนิทของปี้เยว่ฮูหยิเช่นกัน โค่วเหวินหลานเองก็ไปควบคุมไม่ได้ ส่วนใต้ผู้บัญชาการอีกสี่คนก็มีผู้ช่วยผู้บัญชาการแค่หกคน ใต้ผู้ช่วยผู้บัญชาการแต่ละคนก็จะมีผู้บังคับการกองร้อยสี่คน ใต้ผู้บังคับการกองร้อยก็จะมีผู้บังคับการกองห้าอีกสองคน หนึ่งกองห้าที่รวมผู้บังคับการกองห้าไว้ในนั้นก็มีทั้งหมดสิบคน

ตามกฎแล้ว เดิมทีเหมียวอี้สามารถบัญชาการทหารสวรรค์หนึ่งหมื่นนาย แต่อยู่ที่นี่มีแค่ห้าร้อยนายเท่านั้น นี่คือสิ่งที่จัดตามปัจจัยและความจำเป็น การเลี้ยงคนจำนวนมากคือสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่ผลประโยชน์ที่ได้ก็ไม่น้อยกว่าผู้บัญชาการตามระบบแน่นอน

ที่จริงแล้วตำหนักคุ้มเมืองคือตำหนักของผู้บัญชาการใหญ่แห่งตลาดสวรรค์ แต่จนใจที่ปี้เยว่ฮูหยินอยากจะอยู่ที่นี่ ก็ช่วยไม่ได้ นี่คือแหล่งที่มีปัจจัยการดำรงชีวิตดีที่สุดของดาวเทียนหยวน สามีของนางเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ ใครจะไม่ไว้หน้านางได้ล่ะ

ต่อให้คนหนุนหลังจะใหญ่กว่านี้ก็สู้คนในตำแหน่งไม่ได้ โค่วเหวินหลานคงไล่ปี้เยว่ฮูหยินออกไปไม่ได้เช่นกัน อิงตามกฎข้อบังคับ หนึ่งในสามส่วนของตำหนักคุ้มเมืองข้างหน้าคือที่อยู่ของเขา สองในสามส่วนที่อยู่ข้างหลังคือที่อยู่ของปี้เยว่ฮูหยิน

คนกลุ่มหนึ่งเข้ามาที่ตำหนักหลัง โค่วเหวินหลานนับว่านำกำลังหลักของตัวเองมาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากปี้เยว่ฮูหยินให้โอวาทเสร็จ สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่เหมียวอี้ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “หนิวโหย่วเต๋อ ไม่ได้เจอกันเป็นครั้งแรก ภาพที่เจ้าขายเครื่องประดับให้ข้าในปีนั้น ข้ายังจำได้อยู่เลย นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกแล้ว”

“ล้วนเป็นเพราะผู้บัญชาการใหญ่สนับสนุนช่วยเหลือ ข้าน้อยจะตั้งใจทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดขอรับ” เหมียวอี้ตอบอย่างมีมารยาท

โค่วเหวินหลานยิ้มบางๆ หน้ายังดำเหมือนเดิม

ปี้เยว่ฮูหยินกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “พอพูดถึงเครื่องประดับ เจ้าของเครื่องประดับตัวจริงก็ปรากฏตัวแล้ว ข้าได้ยินว่าเจ้าจีบเถ้าแก่เนี้ย ‘ร้านโฉมเมฆา’ มาโดยตลอด เจ้าตัวเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว เจ้าทำแบบนี้อาจจะไม่เหมาะสมกระมัง? แน่นอน เรื่องส่วนตัวของเจ้า ข้าก็แค่ถามเฉยๆ เท่านั้น แต่ขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อน ข้ากับเถ้าแก่เนี้ยนับว่าไปมาหาสู่กันบ่อย มีความสนิทสนมกันอยู่บ้าง ถ้าเจ้าอยากจะจีบนางข้าก็ไม่ว่าอะไร แต่ตอนนี้เจ้าเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกแล้ว ถ้าใช้อำนาจหน้าที่แสวงหา ผลประโยชน์ส่วนตัว ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”

เหงื่อแตกพลั่ก! ในใจเหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก สงสัยเมียตัวเองจะมีความสัมนพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับปี้เยว่ฮูหยิน ไม่น่าเชื่อว่าจะเคาะหัวข้าต่อหน้าฝูงชนเพื่อนาง!

คำพูดนี้ทำให้กงอวี่เฟยรองผู้บัญชาการ และมู่หรงซิงหัวผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือเหล่ตามองมา ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือมองเหยียด สำหรับผู้ชายที่จีบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว คาดว่าคงมีผู้หญิงไม่กี่คนหรอกที่จะรู้สึกดีด้วย

แม้แต่โค่วเหวินหลานเองก็อดไม่ได้ที่จะเอามือลูบจมูก รู้สึกอับอายนิดหน่อย ถึงอย่างไรตนก็เป็นคนเลื่อนชั้นลูกน้องที่วางตัวไม่ดีแบบนี้เอง

สวีถังหรานยกมุมปากยิ้มเยาะเย้ย นึกไม่ถึงว่าพอหนิวโหย่วเต๋อได้รับตำแหน่ง ก็มีภาพพจน์ที่ไม่ดีต่อหน้าปี้เยว่ฮูหยินทันที นี่คือเรื่องดีสำหรับเขา ในภายหลังหากต้องช่วงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ สิ่งนี้ก็จะมีประโยชน์กับเขา

จากนั้นโค่วเหวินหลานก็ถามเรื่องเซี่ยโห้วหลงเฉิง ปี้เยว่ฮูหยินตอบอย่างไม่ใส่ใจ ส่งต่อให้ตำหนักสวรรค์ลงโทษแล้ว เห็นได้ชัดเจนมาก ว่านางเองก็ไม่สะดวกจะลงมือ จึงผลักไปให้เบื้องบน

ก่อนจะจากกัน ปี้เยว่ฮูหยินก็สั่งโค่วเหวินหลานอีกว่า “ติดประกาศที่ตลาดสวรรค์ ประกาศเรื่องที่ประหารชีวิตเฮยหวังให้ทุกคนรู้ จะได้ไม่มีใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”

“รับทราบ!” โค่วเหวินหลานเอ่ยรับคำสั่ง แล้วนำลูกน้องกล่าวอำลาออกมา

เมื่อออกจากตำหนักหลังมาแล้ว โค่วเหวินหลานก็นำสิ่งที่ปี้เยว่ฮูหยินบอกแจกจ่ายลงไปให้ผู้บัญชาการทั้งสี่จัดการ

เมื่อพวกลูกน้องที่เขตเมืองตะวันออกรู้ข่าว จนกระทั่งเหมียวอี้สวมเกราะทองห้าแถบเหาะลงมาจากฟ้า ลูกน้องหลายร้อยคนที่มารอต้อนรับนานแล้วก็กล่าวคารวะเสียงดังทันที “คารวะท่านผู้บัญชาการ!”

“ไม่ต้องมากพิธี!” เหมียวอี้ผายมือ กวาดสายตามองกลุ่มคน ตอนนี้ในมือเขาขาดรองผู้บัญชาการสองคน ผู้ช่วยผู้บัญชาการหกคน ผู้บังคับการกองร้อยยี่สิบสี่คน รวมแล้วขาดนักพรตบงกชทองสามสิบสองคน จะให้ตัวเองไปหาจากไหนมาเติมภายในเวลาสั้นๆ แบบนี้

โค่วเหวินหลานเรียกได้ว่าใช้งานคนโดยไม่ระแวง มีความใจกว้างตรงไปตรงมาต่อเด็กๆ ในบ้านตัวเอง ให้เหมียวอี้จัดการเองตามเห็นสมควร ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้ไปขอความช่วยเหลือจากเขา ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นโค่วเหวินหลานจะคุ้มครองให้

ประเด็นสำคัญคือจะหานักพรตบงกชทองมาจากไหนมากมายในรวดเดียว คนของตำหนักสวรรค์ตัวเองก็รู้จักไม่เยอะ แต่ถ้าจะให้หาคนที่ฉวยโอกาสแทงข้างหลังเหมือนสวี่เต๋อ ตัวเขาเองก็ไม่วางใจ เขานับว่าได้บทเรียนจากคนของตำหนักสวรรค์แล้ว ที่ปราสาทดำเนินนภาก็พอจะมีคนอยู่บ้าง แต่อีกฝ่ายไม่อยากมาพัวพันกับตำหนักสวรรค์ลึกซึ้งเกินไป ส่วนนักพรตบงกชทองของสำนักลมปราณก็มีไม่พอใช้ นับไปนับมาก็มีแค่พวกทะเลดาวนักษัตรของพิภพเล็กแล้ว เพียงแต่การให้คนสามสิบกว่าคนเข้ามาอยู่ในตำหนักสวรรค์ในรวดเดียว ก็อาจจะยุ่งยากนิดหน่อย แล้วอีกอย่าง ถ้าจะให้ลูกน้องทั้งหมดเป็นปีศาจ อาจจะดูเกินไปหน่อยรึเปล่า?

982

รับของขวัญมือไม้อ่อน

ไม่ใช่ว่าตำหนักสวรรค์ไม่อนุญาตให้รับปีศาจเข้ามาทำงาน ที่จริงแล้วตำหนักสวรรค์มีภูตผีมารปีศาจอยู่เยอะมาก เพียงแต่ถ้าลูกน้องของเหมียวอี้เป็นปีศาจทั้งหมด ก็อาจจะดูสะดุดตาไปหน่อย ถ้านำกำลังพลออกไป ปราณปีศาจอบอวล จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกกลายเป็นรังปีศาจไปแล้ว!

ถ้าพิจารณาให้ลึกกว่านั้น ก็ยังเป็นปัญหาเรื่องความปลอดภัย การนำพวกปีศาจของทะเลดาวนักษัตรมาที่นี่ จะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกันแน่? นี่ต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุด!

จากสายตาของผู้บังคับการกองห้าที่กำลังมองตนตาปริบๆ  เหมียวอี้ก็ดูออกว่าพวกเขากำลังเฝ้ารออย่างแรงกล้า เฝ้ารอให้ตนเลื่อนขั้นให้เป็นกรณีพิเศษ

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดที่จะเลื่อนขั้นคนพวกนี้เป็นกรณีพิเศษ เพียงแต่หลังจากผ่านเรื่องที่ภูเขาโอนเอนมา เขาก็ไม่ค่อยวางใจคนพวกนี้เลย ถ้าดูจากในบางด้าน คนพวกนี้นับว่าเน่าเปื่อยผุผังหมดแล้ว ล้วนเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนอ่างย้อมผ้า

“ผู้บังคับการกองห้าอยู่ก่อน คนอื่นถอยไป!” เหมียวอี้เรียกพวกผู้บังคับการกองห้าเข้ามา แล้วนำสิ่งที่โค่วเหวินหลานบอกถ่ายทอดให้พวกเขาไปจัดการ สั่งให้พวกเขาไปติดประกาศเรื่องเฮยหวัง

พวกผู้บังคับการกองห้าเอ่ยรับคำสั่ง ต่างก็ตบหน้าอกรับประกันว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้ดี แล้วก็รีบส่ายก้นออกไป รีบไปแสดงความสามารถ

เหมียวอี้ที่ยืนลำพังอยูบนบันไดตำหนักใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจจะทดสอบเสียงของโค่วเหวินหลาน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร เขาก็ตัดสินใจจะใช้งานคนของทะเลดาวนักษัตร

อวิ๋นจือชิวบอกเขากลายครั้งแล้ว ประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรมาหาเขาบ่อยๆ ขอเพียงไม่เห็นเขา ประมุขถิ่นสี่ทิศก็เดาออกทันทีว่าเขาไปพิภพใหญ่ แต่ละคนกระเหี้ยนกะหือรือมาก ถ้าไม่ให้คำอธิบายกับพวกเขา เจ้าสี่คนนั้นก็อาจจะจนตรอกกลายเป็นหมากระโดดกำแพง ไม่มีใครหรอกที่มองเห็นความหวังแล้วยังจะยินดีกล้ำกลืนความอัปยศอดสูอยู่ภายใต้หกปราชญ์ต่อไป

ส่วนเรื่องเสี่ยงอันตราย ถ้าลูกน้องมีแต่พวกที่พึ่งพาอะไรไม่ได้ ดีไม่ดีอาจจะอันตรายยิ่งกว่าเดิม ที่ตนเดินมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็เพราะเป็นเพื่อนกับคนอันตรายมาตลอด แต่ต่อให้อันตรายก็ต้องรู้จักเลือกให้เป็น ตราบใดที่ตนยังรักษาช่องทางไปมาระหว่างพิภพเล็ก พิภพเล็กก็ยังเป็นทางหนีทีไล่ให้ตนได้!

เมื่อคิดได้แบบนี้ เหมียวอี้ที่ยังไม่ได้ดูจวนขุนนางของตัวเองอย่างเป็นทางการก็เหาะออกไปแล้ว เหาะไปเหยียบนอกตำหนักคุ้มเมืองโดยตรง ไปขอพบโค่วเหวินหลานอีกครั้ง

เมื่อทั้งสองพบกัน โค่วเหวินหลานก็ถามอย่างแปลกใจว่า “มีเรื่องอะไร?” ถึงอย่างไรก็เพิ่งแยกกันได้ไม่นาน

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อนพร้อมยอกว่า “ข้าน้อยกลับไปดูมาแล้ว เบื้องล่างมีแต่เกราะรบสีขาวกับสีดำ ไม่เห็นเกราะทองสักคน ในเรื่องบุคลากร ข้าน้อยอยากจะฟังความเห็นของผู้บัญชาการใหญ่สักหน่อย”

โค่วเหวินหลานยื่นมือเชิญให้เขานั่งลงคุยกัน พอตัวเองนั่งลงแล้ว ก็ถามว่า “ทำไม? ข้ามอบอำนาจให้เจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับหาคนที่เหมาะสมไม่ได้? ต้องการให้ข้าช่วยเจ้าหาเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบว่า “เรื่องหาคนข้าก็หาได้อยู่ เพียงแต่กำลังคนที่พอจะใช้งานได้ ที่ข้ารู้จักส่วนใหญ่ไม่ใช่คนของตำหนักสวรรค์ ผู้บัญชาการใหญ่เองก็รู้ว่าข้าเพิ่งเข้ามาอยู่ในตำหนักสวรรค์ได้ไม่นาน รู้จักคนของตำหนักสวรรค์ไม่เยอะ เติมนักพรตบงกชทองรวดเดียวสามสิบกว่าคน ทั้งหมดไม่ใช่คนของตำหนักสวรรค์เลย ข้าน้อยเองก็ไม่มีความสามารถที่จะรับพวกเขาเข้ามาทั้งหมดในรวดเดียว”

โค่วเหวินหลานไม่ใช่คนโง่ เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็เข้าใจความหมายแล้ว ที่มาขอคำแนะนำคือเรื่องโกหก หวังให้ตนออกหน้าช่วยต่างหากที่เป็นเรื่องจริง ลูกน้องที่ตนเลื่อนขั้นให้มาขอร้องเป็นเรื่องแรก คงไม่ดีถ้าจะปฏิเสธ แต่เขาก็ยังกล่าวเสียงต่ำว่า “เข้าตำหนักสวรรค์รวดเดียวสามสิบกว่าคน ทั้งยังเป็นนักพรตบงกชทองทั้งหมด เรื่องนี้ค่อนข้างจัดการยาก! ข้าสามารถช่วยเจ้าแก้ปัญหาได้ แต่เจ้าต้องเข้าใจก่อนนะ ว่าคนที่เลือกมาจะต้องเชื่อถือได้ ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมา ข้าไม่เพียงแค่จะไม่รับผิดชอบให้เจ้า หากเกิดเรื่องขึ้นเจ้าจะต้องรับไว้เอง!” เขามีความสามารถและอำนาจหนุนหลังสำหรับการหาแพะรับบาปแน่นอน

“ขอรับ! ข้าน้อยเข้าใจ ถ้าเชื่อถือไม่ได้ ข้าน้อยก็ไม่เอ่ยปากเหมือนกัน” หลังจากเหมียวอี้ตอบ ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกด้วยเสียงอ่อนปวกเปียกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ยังมีอีกปัญหาหนึ่งขอรับ สามสิบกว่าคนนี้เป็นนักพรตปีศาจทั้งหมด!”

“…” โค่วเหวินหลานอ้าปากค้างครู่หนึ่ง มองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า เหมือนกำลังถามว่า อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้จักคนอื่นเลย คบค้าแต่กับปีศาจมาตลอด? หลังจากอ้าปากค้าง ก็บอกว่า “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ห้ามมีครั้งหน้า!”

“รับทราบ!” เหมียวอี้ยืนขึ้นทันที กุมหมัดคารวะด้วยสีหน้าซาบซึ่งใจ “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”

เขาเองก็หมดหนทางแล้วจริงๆ ถึงได้มาหาโค่วเหวินหลาน ถ้าคนนอกจะเข้าตำหนักสวรรค์ ก็จะต้องมีคนระดับผู้บัญชาการใหญ่สามคนแนะนำ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือช่วยรับประกัน หากเกิดเรื่องขึ้น คนที่รับประกันก็จะต้องรับผิดชอบด้วย ทว่าคนระดับผู้บัญชาการใหญ่ที่เขารู้จัก ก็มีแค่โค่วเหวินหลานคนเดียว จะไปหาผู้บัญชาการใหญ่มากขนาดนั้นจากไหนมารับประกัน?

ส่วนที่บอกว่า ‘ห้ามมีครั้งหน้า’  เหมียวอี้ก็ไม่ได้กังวลอะไร ถ้าตัวเองเข้าตำหนักสวรรค์แล้ว ก็ไม่เชื่อหรอกว่าต่อไปจะไม่รู้จักคนระดับผู้บัญชาการใหญ่อีก ถ้าในภายหลังหาคนจากพิภพเล็กมาอีก อย่างมากก็ไปขอให้คนอื่นแนะนำก็ได้

เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ในที่สุดเหมียวอี้ก็กลับไปที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกอย่างหายห่วงเสียที กลับไปที่ลานบ้านของตัวเองโดยตรง เมื่อเดินมาตรงหน้าศาลเจ้าของตำหนักสวรรค์ที่อยู่ในโถงหลัก ร่ายอิทธิฤทธิ์เข้าไปที่ชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของตัวเอง

ข้างในยังคงเป็นลานบ้าน สภาพข้างในถูกโค่วเหวินหลานซึ่งเคยดำรงตำแหน่งมาก่อนตกแต่งไว้ดีมาก เพียงแต่เหมียวอี้ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไร เขาไม่ใช่คนสง่างามมีระดับ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยสนใจของสวยงามเลย จึงเดินตรงไปที่โถงหลัก

ของที่ควรวางแสดงในโถงหลักถูกโค่วเหวินหลานเก็บไปด้วยหมดแล้ว ดูว่างเปล่ากว้างโล่ง ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเหมียวอี้ ต่อให้โค่วเหวินหลานไม่นำไปด้วย เขาก็  ‘ทำใจไม่ลง’ ที่จะใช้ของที่โค่วเหวินหลานทิ้งไว้อยู่ดี

ตรงกึ่งกลางโถงหลักมีจานกลมสีทองที่เหมือนกับแท่นโม่ กินพื้นที่ของห้องโถงไปเกินครึ่ง แบ่งเป็นสามชั้น แต่ละชั้นหมุนเป็นเกลียวลงมาเหมือนก้นหอย เหมือนรองรับให้ของอะไรบางอย่างไหลลงมาเพื่อใช้งานด้านล่าง ด้านบนมีของบางอย่างที่คล้ายๆ เชิงเทียน

ของชิ้นนี้สูงเท่าหน้าอก ทะลุลงใต้ดินโดยตรง เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับชัยภูมิถ้ำสวรรค์ นี่ก็คือเครื่องมือรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถน

เหมียวอี้เดินวนพลางยื่นมือไปลูบไล้ หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู ก็ใช้สองนิ้วแตะบนเครื่องมือ ประทับตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไป

เมื่อประทับตราอิทธิฤทธิลงไป ไม่นาน บน ‘เทียนไข’ ที่เหมือนเชิงเทียนก็มีแสงสีขาวจางๆ กลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นทันที คล้ายๆ กลับจุดเทียน

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ สงสัยทางโค่วเหวินหลานจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงมาก พอประทับตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไป เทียนไขเล่มนี้ก็จุดติดไฟทันที แสดงว่าทางโค่วเหวินหลานนำตราอิทธิฤทธิ์ที่ตัวเองส่งให้ใส่มาที่เครื่องมือทางฝั่งเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นทางฝั่งนี้คงไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้น

หรือพูดได้อีกอย่างว่า พลังปรารถนาที่เขารวบรวม เป็นสิ่งที่ทางโค่วเหวินหลานแจกจ่ายมาให้ สิ่งนี้ทันสมัยกว่าเครื่องมือรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถนาของพิภพเล็ก อย่างน้อยก็ไม่ต้องคุ้มกันส่งส่วยอะไรนั่นอีก เทียวไปเทียวมายุ่งยากเกินไป

ผ่านไปไม่นาน  ‘น้ำตาเทียน’ ก็หยดลงมาหนึ่งหยด พอมันกระโดดในแอ่งเว้าของจานกลม ลูกแก้วพลังปรารถนาขนาดเท่าไข่นกคุ่มลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้น แล้วไหลตามปากหอยลงมาในแอ่งเว้าที่อยู่ล่างสุด

เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูดมาไว้ในมือแล้วใช้นิ้วขยี้ดู เป็นลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงหนึ่งลูก นี่ก็คือรายได้ของผู้บัญชาการอย่างตน

สวัสดิการของเขาคือลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงปีละหนึ่งล้านลูก หรือเท่ากับลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำหนึ่งร้อยล้านลูก ไม่ต่ำกว่ารายรับในแต่ละปีของหกปราชญ์ที่พิภพเล็กเลย แน่นอนว่าหกปราชญ์ยังมีรายนับด้านอื่นๆ อีก แต่เขาก็มีรายรับอย่างอื่นอีกเหมือนกัน นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ ลำพังแค่เงินสินบนจากร้านค้านับหมื่นในเขตเมืองตะวันออกก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แล้ว ไม่ใช่สิ่งที่หกปราชญ์จะเทียบติดเลย นี่ก็คือทรัพยากรฝึกตนของพิภพใหญ่

เสียงหยดติ๋งๆ บนจานกลมดังไม่หยุด ลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงโผล่ออกมาอย่างไม่ขาดสาย เสียงเหมือนน้ำซับฟังแล้วรื่นหูมาก ช่างฝีมือที่ออกแบบหลอมสร้างก็นับว่าใช้ความคิดไปพอสมควร ตรงนี้ไม่ได้มีแค่รายได้ของเขาคนเดียว รายได้ของพวกลูกน้องที่เขตเมืองตะวันออกก็รวบรวมไว้ที่นี่เช่นกัน โดยมีเขาเป็นคนแจกจ่าย

หลังจากดูอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นมือไปร่ายอิทธิฤทธิ์ยกเทียนไขที่อยู่บนจานกลมให้สูงขึ้นหนึ่งชั้น เสียงของลูกแก้วพลังปรารถนาที่ตกลงมาฟังดูรวดเร็วขึ้นเยอะมาก ลูกแก้วพลังปรารถนาระดับกลางไหลตกลงมาลูกแล้วลูกเล่า พอร่ายอิทธิฤทธิ์ยกเทียนไขให้สูงขึ้นอีกชั้น ก็ได้ยินเสียงลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำกลิ้งออกมาทันที เสียงนี้ฟังดูค่อนข้างหนวกหู

จากนั้นก็ย้ายกลับมาอยู่ในสถานะรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูง เสียงหยดคล้ายๆ น้ำซับน่าฟังกว่านิดหนึ่ง…

ตลาดสวรรค์แบ่งเป็นสี่แยกโดยมีตำหนักคุ้มเมืองอยู่ตรงกลาง แบ่งเป็นเขตเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกเปลี่ยนคนแล้ว มีคนมาแสดงความยินดีที่จวนผู้บัญชาการอย่างไม่ขาดสาย ล้วนเป็นผู้จัดการจากร้านค้าใหญ่ๆ ที่มาเยี่ยมคารวะ ย่อมต้องถือของขวัญมาด้วยอยู่แล้ว ทุกคนไปที่จวนผู้บัญชาการใหญ่ก่อนแล้วค่อยมาที่นี่ อันดับหลักและอันดับรองคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ความหนักเบาในการให้ของขวัญย่อมมีการแบ่งแยกอยู่แล้ว

เหมียวอี้ที่รักษาการณ์ที่ผู้จวนบัญชาการ ช่วงนี้ไม่ได้ทำงานอะไรทั้งนั้น เรื่องบุคลากรก็วางไว้ก่อนชั่วคราว เขาแค่ยุ่งอยู่กับการรับแขกที่เป็นผู้จัดการจากร้านค้าใหญ่ๆ ร้านค้านับหมื่นของเขตเมืองตะวันออก ถ้าจะให้รับแขกทุกร้านก็ทำไม่ได้ไหว ทำได้เพียงรับแค่ร้านที่รวยๆ เท่านั้น รับมือกับพ่อค้าที่ค่อนข้างมีอำนาจหนุนหลัง

ความแตกต่างระหว่างการเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการกับผู้บัญชาการปรากฏออกมาแล้ว ปกติพ่อค้ารายใหญ่พวกนั้นจะไม่สนใจใยดีผู้ช่วยผู้บัญชาการเล็กๆ เลย การที่พวกเขาสามารถมีที่ยืนตรงนี้ได้ ก็แสดงว่ามีอำนาจและภูมิหลังในระดับหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องมาเกรงใจผู้ช่วยผู้บัญชาการเล็กๆ แต่สำหรับผู้บัญชาการที่คุมเขตนี้ ทุกอย่างก็ต่างออกไปแล้ว ไม่ว่าในใจจะดูถูกหรือไม่ แต่การพูดจายกยอก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปได้สูงว่าอีกฝ่ายจะกลั่นแกล้งให้ลำบากใจ มิหนำซ้ำ เหมียวอี้ยังมีโค่วเหวินหลานหนุนหลังอยู่ด้วย

คนหนุนหลังระดับโค่วเหวินหลานไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะมีเรื่องด้วยไหว ยกตัวอย่างเช่น หลังจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงก่อเรื่องที่เขตเมืองตะวันออก ทำลายร้านค้าเสียหายไปมากมาย ติดหนี้ไว้แล้วหนีไปแล้ว แต่ใครจะกล้าพูดอะไรล่ะ? ใครจะกล้าไปทวงหนี้กับเซี่ยโห้วหลงเฉิง? ทำได้เพียงยอมรับว่าตัวเองดวงซวยเท่านั้น ที่จริงร้านค้าพวกนั้นก็คือคู่กรณี เรียกได้ว่าเห็นกับตาว่าลูกน้องของโค่วเหวินหลานปล้นของในร้านค้าไป แต่ใครจะกล้าไปพูดจาซี้ซั้วล่ะ! ถ้าทำแบบนั้นก็แสดงว่าไม่อยากทำมาหากินแล้ว อำนาจที่หนุนหลังอีกฝ่ายสามารถทำลายตระกูลเจ้าได้เลย ไม่เห็นหรือว่าขนาดปี้เยว่ฮูหยินยังต้องหลับตาข้างเดียว!

ผู้ที่มาพากันเอ่ยปากเชิญแทนเจ้าของร้านของตัวเอง เชิญให้เหมียวอี้มาเป็นลูกค้าที่ร้านยามมีเวลาว่าง เพียงประเดี๋ยวเดียวก็ขยายเครือข่ายเส้นสายให้เหมียวอี้แล้ว

ท่านขุนนางเหมียวเรียกได้ว่ารับของขวัญจนมือไม้อ่อน รอยยิ้มบนใบหน้าค้างจนกลายเป็นแม่พิมพ์ไปแล้ว มีคนนำของขวัญมาให้ถึงที่ จะไม่มอบใบหน้ายิ้มแย้มให้สักหน่อยก็ไม่ได้หรอกมั้ง? ส่วนเจ้าของร้านส่วนใหญ่ที่ระดับยังไม่สูงพอ เขาก็ไม่แม้แต่จะพบหน้าด้วยซ้ำ คนพวกนั้นก็รู้เช่นกันว่าคนที่มารับตำแหน่งใหม่อย่างเขามาพบไม่ไหวจริงๆ ดูจากผู้ที่คนขวักไขว่ไปมาอย่างไม่ขาดสายที่นอกผู้จวนบัญชาการก็รู้แล้ว ทำได้เพียงทิ้งของขวัญกับนามบัตรไว้ให้แล้วกล่าวอำลา

เข้าสังคมทั้งวันทั้งคืนอย่างต่อเนื่องหลายวัน ที่จริงนักพรตก็ไม่สนใจว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน เพียงรักษาความเคยชินดั้งเดิมตอนเป็นมนุษย์ไว้เท่านั้นเอง เมื่อผ่านไปหลายวัน ตอนที่กระแสผู้คนค่อยๆ เบาบางลง ก็มีลูกน้องยื่นกระดาษชิ้นเล็กมาให้ พอเหมียวอี้เปิดอ่านก็อึ้งทันที หวงฝู่จวินโหรวแห่งร้านค้าสมาคมวีรชนมาแล้ว

ผู้หญิงคนนี้จะถ่อมาประสมโรงทำไม? เจ้าอยู่เขตเมืองตะวันตก จะถ่อมาแสดงความยินดีที่นี่ทำไม? เหมียวอี้ที่กลัวว่าจะหลบไม่ทันปวดประสาทนิดหน่อย เขาค่อนข้างกลัวนาง


983

ใจหายใจคว่ำ

ดวงหน้างามดุจดอกพุดตาน เรือนร่างอรชรปานต้นหลิว เอวบางหน้าอกอิ่ม ผมดำขลับเกล้าม้วนขึ้น ประกอบกับเครื่องประดับศีรษะที่สวยประณีต ทำให้ดูสวยสดใสราวกับหิมะในฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาแวววาวดุจดวงดาว บนใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มที่เย็นสดชื่นราวกับสายลมโชย นี่ก็คือหวงฝู่จวินโหรว ยังคงสวยกินใจ ยังคงทำให้ผู้ชายหัวใจเต้นแรง นางเดินเนิบนาบเข้ามาในห้องโถง

เมื่อเดินเข้าประตูมาก็ยิ้มอย่างสนิทสนม “ผู้บัญชาการหนิวได้เลื่อนขั้น หวงฝู่จวินโหรวจึงมาเองโดยไม่ได้รับเชิญ หวังว่าจะไม่ถือสานะ”

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้าผู้หญิงคนนี้อย่างไรดี นางย่อมจัดอยู่ในประเภทยอดหญิงงามอยู่แล้ว แต่เหมียวอี้ไม่ได้รู้สึกดีกับนางสักเท่าไร แต่ทั้งสองดันเกิดมีความสัมพันธ์กันไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี หลังจากโบกมือให้คนอื่นๆ ออกไป ถึงได้ขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าถ่อมาที่นี่ทำไม?”

หวงฝู่จวินโหรวนั่งลงเองโดยไม่ต้องเชิญ พอแบมือ แหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งก็ลอยจากฝ่ามือเข้ามา “ข้าก็มาแสดงความยินดีที่ผู้บัญชาการหนิวได้เลื่อนขั้นน่ะสิ รีบมามอบของขวัญให้ อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการหนิวไม่ยินดีต้อนรับ?”

เหมียวอี้ไม่เชื่อหรอกว่านางตั้งใจมาแสดงความยินดีกับตน “เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่ มีอะไรก็พูดมา”

“นำของขวัญมามอบให้จริงๆ” หวงฝู่จวินโหรวตอบ

“ไม่มีธุระอย่างอื่นเหรอ?” เหมียวอี้ถามย้ำ

“ไม่มี!” นายส่ายหน้า

เหมียวอี้ทำสีหน้าสงสัย ยื่นมือไปคว้าแหวนเก็บสมบัติที่ลอยเข้ามาแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู ข้างในมีของขวัญเล็กน้อยเพื่อแสดงน้ำใจอยู่จริงๆ เป็นยาเจี๋ยตันขั้นสามจำนวนสิบเม็ดเท่านั้น สำหรับเขาในตอนนนี้ ไม่นับว่าเป็นของขวัญล้ำค่าอะไร เขานำกระดาษที่ได้รับเมื่อครู่นี้ใส่เข้าไป แล้วเก็บแหวนเก็บสมบัติเอาไว้ “ข้ารับของขวัญไว้แล้ว ถ้าไม่มีธุระอย่างอื่นแล้ว…”

“หนิวโหย่วเต๋อ!” หวงฝู่จวินโหรวพูดตัดบท “ข้าขัดหูขัดตาเจ้าขนาดนั้นเชียวเหรอ? เขาว่ากันว่าเป็นสามีภรรยากันคืนเดียวเท่ากับติดนี้บุญคุณกันไปร้อยวัน มิหนำซ้ำพวกเราก็ไม่ได้เป็นสามีภรรยากันแค่คืนเดียวเสียหน่อย ทำไมเจ้าใจแข็งขนาดนี้?”

เหงื่อแตกพลั่ก! ถ้าคำพูดนี้เผยแพร่ออกไปต้องแย่แน่ๆ เหมียวอี้รีบยืนขึ้นแล้วเดินไปดูนอกประตู เมื่อเห็นว่าไม่มีใครถึงได้โล่งอก รีบเดินกลับมายืนตรงหน้านาง ก้มมองลงพร้อมกล่าวเสียงต่ำ “หวงฝู่จวินโหรว ข้าเคยบอกแล้ว เรื่องระหว่างเรามันผ่านไปแล้ว เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่?”

หวงฝู่จวินโหรวที่กำลังนั่งเงยหน้าขึ้น จ้องมองเขาพลางกัดริมฝีปาก จากนั้นก็ยิ้มหวานทันที “ได้! ข้าจะไม่พูดถึงความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ของเราอีก ข้าอุตส่าห์ยอมรับผิดแล้ว เจ้ายังจะแข็งใจตบข้าได้ลงคอเหรอ ข้ามีน้ำใจนำของขวัญมามอบให้ ต่อให้เจ้าจะไม่เชิญข้าดื่มน้ำชา แต่คงไม่ถึงขั้นต้องรีบไล่ข้าออกไปหรอกมั้ง?”

เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง “เจ้าคิดว่าระหว่างเรามีอะไรดีๆ ให้คุยกันเหรอ?”

หวงฝู่จวินโหรวแค้นจนกัดฟันกรอด ไม่รู้ว่ามีผู้ชายตั้งมากมายเท่าไรที่ใฝ่ฝันถึงนาง แต่เจ้าบ้านี่กลับอยากจะหนี นางจึงยืนขึ้นอย่างช้าๆ แล้วเผชิญหน้าด้วยรอยยิ้ม “เดินดูที่พักของเจ้าสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง?”

“ตามสะดวก!” เหมียวอี้เบี่ยงตัวหลีกทางให้นาง หลบออกจากลมหายใจหอมที่นางพ่นรดหน้า แต่ก็พูดเสริมอีกว่า “ทางที่ดีเจ้ารีบๆ หน่อยเถอะ อยู่ที่นี่นานจะทำให้คนสงสัย”

หวงฝู่จวินโหรวหมุนตัว มองไปรอบๆ ห้องโถงแวบหนึ่ง แล้วพูดเรื่อยเปื่อยว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด ข้าเคยกัดเจ้าที่นี่!”

เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที นั่นเป็นตอนที่โค่วเหวินหลานเป็นผู้บัญชาการ ขณะกำลังจะกล่าวเตือน นางก็เดินไปที่โถงด้านหลังแล้ว

กลัวนางจะวางกับดักอะไร เหมียวอี้เดินตามหลังนางไป ตามไปถึงลานบ้านด้านหลัง

เมื่อเดินมาถึงโถงหลักด้านหลัง หวงฝู่จวินโหรวก็ชี้ไปที่ศาลเจ้าของตำหนักสวรรค์ “ยังไม่เคยเห็นชัยภูมิถ้ำสวรรค์ชั้นหนึ่งของของผู้บัญชาการเลยว่าข้างในเป็นอย่างไร ถ้าไม่ถือสาข้าขอเข้าไปดูหน่อยสิ?”

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “ทางที่ดีเจ้าอย่าเล่นไม่ซื่อนะ” เขาโบกมือร่ายพลังอิทธิฤทธิ์ เปิดประตูมายาทางเข้าให้

“ในสายตาเจ้า ข้าจิตใจอำมหิตขนาดนั้นเชียวเหรอ?”

“เจ้าไม่ได้ทำร้ายข้าแค่ครั้งสองครั้งใช่มั้ยล่ะ?”

“เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าเรื่องของเรามันผ่านไปแล้ว ทำไมเอาแต่จดจำไว้ล่ะ?” หวงฝู่จวินโหรวถามกลั้วหัวเราะ แล้วก้าวเข้าไปในประตูมายา

ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ นางกำลังเดินเอ้อระเหยลอยชาย เหมียวอี้จ้องทุกการกระทำของนางอย่างระมัดระวัง กลัวว่านางจะเล่นไม่ซื่อ

หลังจากเดินวนดูทั่วแล้ว เขาก็ถามว่า “สิ่งที่ควรเห็นก็ได้เห็นแล้ว ถ้าอยู่นานกว่านี้ จะไม่ให้คนอื่นคิดมากก็คงยาก” เขากล่าวส่งแขกอีกครั้ง

แต่ใครจะไปคาดคิด หวงฝู่จวินโหรวที่หันหลังให้เขายกมือถอดปิ่นปักผมออก พอสะบัดผมเบาๆ ผมยาวดำขลับก็สยายลงมาคลุมบ่าราวกับน้ำตก แล้วเดินตรงไปที่ห้องนอน “ข้าไม่ไปไหนแล้ว ข้าจะอยู่ที่นี่” พูดจบก็ผลักประตูเข้าไป

“…” เหมียวอี้ตาค้างนิดหน่อย ป้องกันเป็นหมื่นเป็นพันอย่าง แต่ก็ป้องกันอุบายนี้ไม่ได้ ผู้จัดการร้านสมาคมวีรชนผู้สง่าผ่าเผยมาพักอยู่ที่นี่ ล้อเล่นอะไรกัน? เขารีบเดินตามเข้าไป แล้วดึงแขนนาง อยากจะดึงนางออกมา

หวงฝู่จวินโหรวถือโอกาสหันตัวมา กางแขนสองข้างคล้องคอ ยื่นริมฝีปากแดงสวยเข้ามาอุดปากไว้ ท่านขุนนางเหมียวออกแรงผลักทันที ทว่าวรยุทธ์ไม่สูงเท่าอีกฝ่าย กลับโดนนางหมุนตัวพาล้มลงบนเตียงด้วยกันทั้งคู่ นางอยู่บนเขาอยู่ล่าง ตอนนี้ริมฝีปากทั้งคู่ถึงได้แยกออกจากกัน ดวงตาทั้งสี่ดวงสบประสาน ผมงามดุจผ้าม่านของนางย้อยลงมาบนใบหน้าของเขา

กลิ่นกายหอมของนางโชยเข้าจมูก รู้สึกได้ว่าเรือนร่างงามที่นุ่มเด้งจนน่าทึ่งของนางกำลังกดทับอยู่บนร่างตน เหมียวอี้จินตนาการได้เลยว่าภาพยามนางถอดเสื้อผ้าออกหมดเป็นอย่างไร ท่วงท่าที่งดงามแพรวพราวแบบนั้น เขาไม่ได้ลิ้มลองบนตัวนางแค่ครั้งเดียว มันอัศจรรย์มาก พอนึกเชื่อมโยงไปถึงฉากแบบนั้นอีกครั้ง เหมียวอี้ก็รู้สึกร้อนผ่าวตรงท้องน้อยทันที

ผู้ชายทนความเย้าย้วนประเภทนี้ไม่ไหว เกิดความรู้สึกแล้วแท้ๆ แต่กลับยังปากแข็ง “ข้าไม่ชอบเจ้าตรงนี้แหละ!”

หวงฝู่จวินโหรวจูบเบาๆ บนริมฝีปากเขา แล้วถามอีก “เจ้าไม่คิดถึงข้าสักนิดเชียวเหรอ?”

“ไม่คิดถึง!” ปากเหมียวอี้ก็พูดแบบนี้ แต่มือกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร อย่างเช่นผลักอีกฝ่ายออกไป

หวงฝู่รู้สึกได้ว่าเขาปากไม่ตรงกับใจ เพราะสัมผัสได้ว่าร่างกายท่อนล่างของเขาไม่ปกติแล้ว นางกัดริมฝีปากแดงเบาๆ ความปรารถนาวูบไหวอยู่ในดวงตางาม “ตอนนี้ล่ะ? ตอนนี้ไม่คิดถึงเหรอ?”

“ไม่คิด!” เหมียวอี้ยังคงปากแข็ง

หวงฝู่ลุกขึ้นแล้วหันหลังให้ ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกเบาๆ เหมียวอี้ที่ลุกขึ้นนั่งจึงได้เห็นภาพที่ทำให้เลือดลมสูบฉีด เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงมองดูเงียบๆ

ผ่านไปไม่นาน ชุดกระโปรงก็ตกลงพื้น เรือนร่างอ่อนช้อยขาวหมดที่อยู่ใต้ม่านผมงามเปิดเผยออกมา ผิวเนียนสวยกลี้ยงเกลา โดยเฉพาะบั้นท้ายขาวที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของนาง และเป็นจุดที่ดึงดูดเหมียวอี้มากที่สุดเช่นกัน ทั้งใหญ่ทั้งขาว ทำให้เหมียวอี้หายใจถี่กระชั้นเล็กน้อย

หวงฝู่ที่กำลังกัดริมฝีปากเหมือนจะตัวสั่นเล็กน้อย นางหันตัวมาอย่างช้าๆ เผยให้เห็นด้านหน้าที่เย้ายวนหัวใจ เดินเข้ามาช้าๆ พร้อมถามเสียงสั่น “ตอนนี้คิดถึงหรือยัง?”

สุดท้ายสติสัมปชัญชะก็พังทลาย เอาชนะความปรารถนาไม่ได้ เหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ใช้มือข้างหนึ่งดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แล้วโถมทับลงบนเตียง…

หลังจากพายุฝนพรั่งพรู  ร่างเปลือยสองร่างก็นอนกอดกัน หวงฝู่จวินโหรวที่ผมเผ้ายุ่งสยายพึมพำเบาๆ ว่า “ข้ารู้ว่าทำแบบนี้ไม่ถูก แต่ข้าไม่มีทางถอนตัวได้…”

เหมียวอี้ไม่รู้จะตอบอย่างไร ขณะที่ใช้มือลูบไล้เรือนร่างของนาง ก็กล่าวเตือนเสียงต่ำว่า “นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ!”

หวงฝู่จวินโหรวตอบเสียงต่ำเช่นกัน “อืม” ซุกศีรษะเข้าไปอ้อมอกเขา…

นอกจวนผู้บัญชาการ อวิ๋นจือชิวนำพ่อครัวมาถึงแล้ว นางยื่นนามบัตรให้ มาแสดงความยินดีที่เหมียวอี้ได้เลื่อนขั้นเช่นเดียวกัน ถึงแม้ระหว่างทั้งสองจะไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ แต่ภายนอกก็ยังต้องทำให้ดูสักหน่อย ในเมื่อแสดงละครและก็ต้องแสดงให้สมจริง

เมื่อเห็นว่าเป็นท่านนี้ ทหารยามก็ยิ้มต้อนรับทันที ตอนนี้ไม่ใครบ้างที่ไม่รู้ ว่าผู้บัญชาการหนิวถูกใจผู้หญิงที่มีสามีแล้วคนนี้ ตามจีบท่านนี้มาตลอด ถ้าผู้บัญชาการเห็นนางมาจะต้องดีใจมากแน่นอน

นอกจากจะไม่กล้าขัดใจแล้ว ยังเชิญให้เข้ามาในลานบ้านของจวนผู้บัญชาการโดยตรง เชิญให้นางรอสักครู่ แล้วก็รีบวิ่งเข้าไปรายงาน

“เถ้าแก่เนี้ย ดูที่ใต้ร่มไม้นั่นสิ” จู่ๆ พ่อครัวก็เตือนอวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างๆ

อวิ๋นจือชิวหันหน้ามองตาม เห็นเกี้ยวหลังหนึ่งจอดอยู่ นางไม่ได้เห็นเกี้ยวหลังนี้เป็นครั้งแรก เป็นเกี้ยวของหวงฝู่จวินโหรวไงล่ะ นางแสยะยิ้มทันที “อีเห็นมาอวยพรปีใหม่ให้ไก่ ไม่ได้หวังดีหรอก คอยดูเถอะ สักวันข้าจะต้องสั่งสอนนาง บังอาจมาคิดไม่ซื่อกับผู้ชายของข้า !”

ที่นางบอกว่าคิดไม่ซื่อ ย่อมไม่ได้หมายความว่าหวงฝู่จวินโหรวชอบเหมียวอี้อยู่แล้ว แต่หมายถึงหวงฝู่จวินโหรวคิดจะวางแผนทำร้ายเหมียวอี้ นางแน่ใจว่าหวงฝู่จวินโหรวมามาที่ดีโดยไม่ได้หวังดี

พ่อครัวพยักหน้าเบาๆ เช่นกัน ในดวงตาฉายแววดุร้าย เขารู้ว่าเหมียวอี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของทุกคน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ ก็ไม่เป็นผลดีกับทุกคนเลย ตอนนี้ทุกคนไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรฝึกตน ถ้าเทียบความเร็วในการฝึกตนกับเมื่อก่อน ก็เรียกได้ว่ารุดหน้าไปหลายพันลี้ ดังนั้นจะปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ไม่ได้ แต่ก็รู้ว่าถ้าอาศัยกำลังความสามารถของพวกเขาในตอนนี้ ยังไม่มีทางแตะต้องหวงฝู่จวินโหรวได้ ทำได้เพียงอดทนไว้ก่อน

ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ ร่างสองร่างยังคงพัวพันกันอยู่บนเตียง แต่ด้านนอกกลับมีเสียงดัง “ผู้บัญชาการ เถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆามาแสดงความยินดีขอรับ!”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เหมียวอี้ตกใจจนแทบขวัญหนีดีฝ่อ ประเดี๋ยวเดียวก็ผุดลุกออกจากเตียง ตอบเสียงดังว่า “ข้ากำลังมีแขกอยู่ เชิญให้นางรอก่อน!” ขณะที่พูดก็รีบเก็บเสื้อผ้าออกมาใส่

อานุภาพยามเมียหลวงมาเยือนนั้นรุนแรงเกินไป สำหรับเขาในตอนนี้ นางน่ากลัวยิ่งกว่านักพรตระดับบงกชรุ้งเสียอีก

หวงฝู่จวินโหรวเองก็ตกใจจนฉุกละหุกลุกขึ้นนั่งเช่นกัน ตกใจจนหน้าถอดสี ใจหายใจคว่ำ!

นางเองก็ได้แต่กล้าลักลอบทำเรื่องแบบนี้กับเหมียวอี้ แต่ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางแก้ตัวกับสมาคมวีรชนได้เลย

สุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นี้เรียกได้ว่าลุกลี้ลุกลน ก่อนหน้านี้ลืมสิ้นเสียทุกอย่าง ตอนนี้มานึกสียใจทีหลังแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ในเวลานี้

“รีบช่วยข้าจัดแต่งทรงผมหน่อย!” เหมียวอี้นั่งตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ขณะที่เขากำลังใส่เสื้อผ้า หวงฝู่ที่ยังโป๊เปลือยก็รีบเข้ามาช่วยทำผมให้เขา

หลังจากแต่งตัวทำผมเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็รีบลุกขึ้นพร้อมบอกว่า “เจ้ารีบจัดการตัวเองสักหน่อย หลังจากออกไปแล้วห้ามเดินไปที่โถงหลัก ให้ออกทางประตูด้านข้าง”

หวงฝู่จวินโหรวรีบพยักหน้ารีบปาก ใช้คำว่ากินปูนร้อนท้องมาบรรยายจะเหมาะที่สุด

เหมียวอี้รีบเร่งฝีเท้าเดินออกไป หลังจากออกไปแล้ว ตอนอยู่ในลานบ้านก็พบว่าบนร่างกายตัวเองมีกลิ่นของหวงฝู่จวินโหรว ขนาดตัวเองยังได้กลิ่นเลย ชัดเจนเกินไปแล้วมั้ง เขาจึงรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ รอบกายขยับเองโดยไร้ลม กำจัดกลิ่นที่ติดอยู่บนร่างกายออก

หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีกลิ่น เขาถึงได้ตบหน้าหน้าอก ปรับสีหน้าอารมณ์ให้มั่นคงแล้วออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์

ส่วนหวงฝู่จวินโหรวที่ลุกลี้ลุกลนอยู่ในห้องนอน ไม่นานก็พบว่าตัวเองลืมสวมใส่อะไรบางอย่าง นางมองซ้ายมองขวา แล้วหยิบเสื้อชั้นในจากใต้เตียง คิดจะยัดเก็บเข้าในกำไลเก็บสมบัติ แต่ไม่นานก็ชะงัก ในนี้คือชัยภูมิถ้ำสวรรค์ที่อยู่ในจวนขุนนางของหนิวโหย่วเต๋อ คนนอกเข้ามาไม่ได้ เถ้าแก่เนี้ยของร้านโฉมเมฆาก็ยิ่งไม่มีทางเข้ามาในที่ลับตาคนแบบนี้ แล้วจะมีอะไรให้นางกลัวล่ะ? จะตื่นตระหนกขนาดนี้ไปทำไมกัน?

พอคิดได้แบบนี้ แล้วนึกถึงภาพลุกลี้ลุกลนเมื่อครู่ จู่ๆ นางก็หลุดหัวเราะ ขนาดตัวเองยังรู้สึกบันเทิงมาก

พอกลับมามองดูเสื้อชั้นในตู้โตว[1]ในมือตัวเอง นางก็กัดริมฝีปาก ตัดสินใจจะทิ้งของที่ระลึกไว้ให้ผู้ชายน่ารังเกียจคนนี้ ไหนๆ ก็ได้ครอบครองความบริสุทธิ์ของนางไปแล้ว นอนก็นอนด้วยกันแล้ว บทจะลืมก็ลืมกันง่ายๆ งั้นเหรอ ไม่มีทาง!

นางก็เลยสะบัดมือ โยนเสื้อชั้นในไว้บนเตียงของเหมียวอี้เสียเลย ส่วนตัวเองก็นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างสบายใจ จัดแต่งทรงผมตัวเองอย่างเนิบนาบเอาใจใส่ หลังจากออกไปแล้วคนจะได้มองไม่เห็นพิรุธ

นางนั่งหวีผมงามอยู่หน้ากระจกอย่างสุขกายสบายใจ ปากพึมพำร้องเพลงเบาๆ แต่พอนึกถึงภาพที่ตัวเองหลงระเริงเป็นฝ่ายรุกยั่วยวนเมื่อครู่นี้ นางก็แก้มแดงเหมือนแสงแดดยามสายัณห์ทันที


984

กินปูนร้อนท้อง

อวิ๋นจือชิวที่สวยสง่าเย้ายวนยืนเงียบๆ อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ กระโปรงปลิวเบาๆ อยู่ท่ามกลางสายลม บางครั้งก็ใช้นิ้วงามเกลี่ยไรผมที่ปลิวตามลมไปทัดไว้ที่หลังหู เงยหน้าเล็กน้อยมองไปทางตำหนักคุ้มเมืองที่อยู่ไกลๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร

นางคือดอกไม้สดที่กำลังเจิดจ้าสว่างไสว กำลังเบ่งบานรับแสงแดดที่ส่องลงมา ทั้งนุ่มนวลทั้งสุขุม เสน่ห์อันดิบเถื่อนเหมือนสุราหอมที่เคยมี ในตอนนี้นางต้องสำรวมท่าทีเอาไว้ก่อน เปลี่ยนเป็นรอคอยด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น

ภาพนี้ฝังลึกอยู่ในหัวของเหมียวอี้ตลอดไป เหมียวอี้ที่ออกมาแล้วเห็นฉากนี้ยืนนิ่งทันที เพียงมองดูนางเงียบๆ แววตาพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน

เดิมทีทั้งสองเป็นสามีภรรยากันอย่างสง่าผ่าเผย ตอนนี้กลับต้องทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ เหมียวอี้รู้ว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากทำแบบนี้ และรู้ด้วยว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากให้ผู้ชายของตัวเองแต่งงานรับอนุภรรยาหลายคน ทุกสิ่งที่นางทำล้วนคำนึงถึงผลประโยชน์ของเขา

บางครั้งทั้งสองก็เถียงกัน หาเรื่องกัน ถึงขั้นด่าทอและลงไม้ลงมือ แต่เรื่องบางอย่างเหมียวอี้ก็รู้ชัดอยู่แก่ใจ ผู้หญิงคนนี้คิดกับเขาอย่างไร ในใจเข้ารู้อยู่แจ่มแจ้ง ก็เพราะอย่างนี้ เขาถึงได้รู้สึกผิดมากขึ้นเรื่อยๆ

ที่จริงแล้ว บางครั้งเวลาที่อวิ๋นจือชิวระเบิดอารมณ์ใส่ เหมียวอี้ก็ไม่ได้กลัวนางหรอก เขาแค่ยอมให้เท่านั้น เขาแค่ไม่อยากทำให้นางเสียใจ เขาอยากให้ผู้หญิงคนนี้เข้าใจ ว่าในปีนั้นตอนที่ทั้งสองมีฐานะแต่งต่างกันลิบลับ แต่นางกลับยินดีเลือกเขา เขาก็ได้บอกนางไว้แล้ว ว่าจะไม่มีทางทำให้นางผิดหวัง จะรับผิดชอบกับการเลือกของนางไปทั้งชีวิต  แต่เรื่องระหว่างเขากับหวงฝู่จวินโหรวเมื่อครู่นี้เรียกว่าอะไรล่ะ เขาไม่ได้กลัวนางหรอก เพียงแต่รู้สึกผิดอยู่ในใจ เพียงแค่ในใจเขามีนางอยู่จริงๆ

ก็เหมือนกับคำสัญญาที่ให้ไว้กับนางในปีนั้น เขาอยากจะอยู่กับนางอย่างมีความสุขไปทั้งชีวิตจากใจจริง

ทว่าความรู้สึกระหว่างชายหญิง บางครั้งก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เขารู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองไม่ได้อยากทำแบบนั้นกับหวงฝู่จวินโหรว ก่อนเกิดเรื่องเขาไม่ได้อยากจะทำอย่างนั้น หลังเกิดเรื่องเขาก็ไม่อยากเหมือนกัน แต่ดันทำเรื่องแบบนั้นกับหวงฝู่จวินโหรวซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“เถ้าแก่เนี้ย!” พ่อครัวถ่ายทอดเสียงเตือน

อวิ๋นจือชิวหันกลับมามอง เป็นเหมียวอี้กำลังยืนมองตนอยู่บนบันได สายตาแบบนั้นทำให้ในใจนางรู้สึกอบอุ่น นางจึงพยักหน้าพลางยิ้มบางๆ

พอเหมียวอี้ได้สติกลับมา ก็ทำท่าทางเหมือนดีใจเหนือความคาดหมาย แสดงละครให้คนนอกเห็นทันที พอเดินลงบันไดมาก็กุมหมัดคารวะต้อนรับตั้งแต่อยู่ไกลๆ “เถ้าแก่เนี้ยให้เกียรติมาเยือน ขออภัยที่ต้อนรับไม่ดี ขออภัยที่ต้อนรับไม่ดี!”

คนที่มองเห็นภาพนี้อยู่ไกลๆ กลั้นขำ เมื่อครู่นี้มองจนเหม่อแล้ว คิดในใจว่าท่านผู้บัญชาการคงจะสนใจผู้หญิงคนนี้จริงๆ ตอนผู้จัดการจากร้านค้าใหญ่ๆ มาหา ก็ยังไม่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองแบบนี้เลย มีแค่ผู้หญิงคนนี้คนเดียวเท่านั้น สงสัยต่อไปจะต้องประจบผู้หญิงคนนี้สักหน่อยแล้ว ส่วนการที่นายท่านไปชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้วแบบนี้ จะมีคุณธรรมหรือไร้คุณธรรม นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะต้องพิจารณาแล้ว… เอ! ทำไมไม่เห็นผู้จัดการหวงฝู่นั่นออกมาเสียที?

ไม่มีใครคิดไปถึงเรื่องอย่างว่า เรื่องเกิดมาจนป่านนี้แล้ว บนโลกนี้หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง ความแค้นระหว่างท่านผู้บัญชาการกับผู้จัดการหวงฝู่ พวกเขาก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน เหมือนนายท่านจะโดนผู้จัดการหวงฝู่นั่นบีบจนต้องหนีมาที่เขตเมืองตะวันออก แทบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ไม่เห็นหรือว่าเมื่อครู่นี้ไม่มีการเชิญให้ดื่มน้ำชาเลย

แต่พอลองคิดดูอีกที ก็รู้สึกว่าผู้จัดการหวงฝู่ยังอยู่ในห้อง ใครจะไปคิดว่าตอนลับหลังศัตรูคู่นี้จะทำเรื่องที่พวกเขาจินตนาการไม่ถึง

“รบกวนให้ผู้บัญชาการออกมารับด้วยตัวเองแล้ว!” อวิ๋นจือชิวคำนับด้วยท่าทางที่งดงาม พ่อครัวกุมหมัดคารวะตามด้วยท่าทางจริงจัง

“ไม่ต้องมากพิธี!” เหมียวอี้ยิ้มพลางผายมือ ปรากฏว่าสังเกตเห็นว่าอวิ๋นจือชิวกำลังมองตนด้วยสายตาแปลกๆ มองสำรวจศีรษะจดเท้า ทั้งยังขมวดคิ้วด้วย

ชั่วพริบตาเดียว ในใจเหมียวอี้ก็เต้นตึกตัก รู้สึกขาดความมั่นใจถึงขีดสุด หรือว่าตัวเองเก็บกวาดไม่เรียบร้อย โดนผู้หญิงคนนี้สังเกตเห็นอะไรบางอย่างเข้าแล้ว? ตอนนี้จะทำยังไงดีล่ะ ถ้าผู้หญิงคนนี้ปรี๊ดแตกขึ้นมาคงแย่แน่!

เมื่อเห็นว่าอวิ๋นจือชิวไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากมาย เขาก็ฝืนตั้งสมาธิให้มั่นคง แล้วหันตัวยื่นมือเชิญ “เชิญด้านใน!”

อวิ๋นจือชิวรักษาระยะห่างกับเขา สำรวมท่าทีให้คนนอกเห็น พยักหน้าเบาๆ แสดงคำขอบคุณ แล้วตามเหมียวอี้เข้าไปในโถงหลัก ส่วนพ่อครัวที่เดินตามหลังไปก็ยืนเฝ้าอยู่ข้างประตู ทำท่าเหมือนเทพเฝ้าประตู

ย่อมมีคนรีบเข้ามารินน้ำชาให้ เพียงแต่เมื่อเทียบกับแขกคนอื่นๆ คนรินน้ำชายิ้มให้อวิ๋นจือชิวมากเป็นพิเศษ เชิญให้ดื่มน้ำชาอย่างเคารพนอบน้อม

ส่วนเหมียวอี้ก็โบกมือเรียกคนรินน้ำชาเข้ามา แล้วถ่ายทอดเสียงถาม “ผู้จัดการหวงฝู่ของร้านสมาคมวีรชนบอกว่าจะเดินเล่นอยู่ในจวนผู้บัญชาการ เจ้าไปเฝ้าข้างนอกไว้ ถ้าเห็นนางออกไปแล้ว ก็เข้ามารายงานทันที”

“ขอรับ!” คนคนนั้นเอ่ยรับ

เหมียวอี้บอกอีกว่า “บอกด้านนอกด้วย ว่าถ้าข้าไม่อนุญาต ก็ห้ามให้ใครเข้าใกล้ที่นี่”

คนคนนั้นรีบแอบมองเถ้าแก่เนี้ยเงียบๆ แวบหนึ่ง คิดว่านายท่านผู้บัญชาการคงจะอยากอยู่กับท่านนี้ตามลำพัง จึงพยักหน้าอย่างรู้อยู่แก่ใจ แล้วรีบออกไปปฏิบัติตาม

ในห้องไม่มีคนนอกแล้ว ตรงประตูก็มีพ่อครัวเฝ้า เหมียวอี้เลิกวางมาดผู้บัญชาการ ลุกขึ้นเดินไปนั่งที่โต๊ะน้ำชาข้างๆ อวิ๋นจือชิว แล้วถามพร้อมรอยยิ้ม “เข้ามาได้ยังไง?”

อวิ๋นจือชิวเหลือบมองแวบหนึ่ง แต่เหมียวอี้สังเกตเห็นทันทีว่าในแววตานางแฝงความหมายลึกซึ้ง ในใจเริ่มกังวลขึ้นมาอีกแล้ว

ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ อวิ๋นจือชิวยืนขึ้นแล้ว นางเดินวนไปรอบๆ ห้องโถง เหลียวซ้ายแลขวา เหมือนกำลังขมวดคิ้วหาอะไรบางอย่าง

เหมียวอี้ตระหนกจนใจสั่น ยืนขึ้นเช่นกัน ยิ้มแห้งๆ พลางถามว่า “เจ้ามองหาอะไรเหรอ?”

“หวงฝู่จวินโหรวล่ะ?” อวิ๋นจือชิวถามกลับ

ท่านขุนนางเหมียวตกตะลึงพรึงเพริด แต่พยายามทำท่าเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางมาที่นี่?”

“เหลวไหล!” อวิ๋นจือชิวกลอกตาใส่เขาอย่างหยาดเยิ้ม “เกี้ยวของนางจอดอยู่ข้างนอก เจ้าเห็นข้าเป็นคนตาบอดรึไง?”

“…” อย่างนี้นี่เอง เหมียวอี้รู้สึกเหมือนตัวเองพลาดก้าวเท้าตกหน้าผาสูงหมื่นจั้ง แต่ใช้มือคว้าขอบหน้าผาปีนขึ้นมาได้ทันเวลา เหมือนยกภูเขาออกจากอก จึงพูดโกหกออกมาส่งเดชว่า “ข้ากับนางไม่มีอะไรดีๆ ต้องคุยกันหรอก คุยกันไม่กี่คำนางก็ออกไปแล้ว บอกว่าจะเดินเล่นในจวนผู้บัญชาการสักหน่อย เจ้าเองก็รู้ว่านางมีคนหนุนหลัง ข้าไม่สะดวกจะขัดใจนางมากเกินไป เลยตามใจ”

อวิ๋นจือชิวจ้องเขาครู่หนึ่ง จ้องจนเหมียวอี้ขนลุก พอหันหน้าไป นางก็มุ่งตรงไปที่โถงด้านหลังแล้ว

เหมียวอี้ตระหนกทันที รีบดึงแขนนางไว้ “เจ้าทำอะไร?” เขาเองก็ไม่รู้ว่าหวงฝู่จวินโหรวออกไปหรือยัง ถ้าโดนกักไว้ด้านหลังคงแย่แน่!

อวิ๋นจือชิวตีมือเขา แล้วขมวดคิ้วมุ่นจ้องสำรวจเขาศีรษะจดเท้า

ยังคงไม่สบายใจอยู่เหมือนเดิม เหมียวอี้แทบจะเสียสติเพราะปฏิกิริยาของนาง อดไม่ได้ที่จะถามอย่างกินปูนร้อนท้อง “วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป เอาแต่มองข้าแบบนี้ทำไม?”

อวิ๋นจือชิวใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าผากของเขา แล้วก็จิ้มที่จอนผมข้างขวา “ผมเจ้านี่หวียังไง ข้างนี้หวีสั้นไปอย่างเห็นได้ชัด เจ้าไม่รู้เหรอว่าอีกข้างหนึ่งสูงอีกข้างหนึ่งต่ำ? เจ้าออกมารับแขกในสภาพแบบนี้เนี่ยนะ? น่าขายหน้ามั้ย? ข้าว่าเจ้าข้างกายเจ้าขาดผู้หญิงดูแลไม่ได้หรอก น่าเสียดายที่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ไปสะดวกมาหาเจ้าที่นี่”

เหมียวอี้ราวกับได้ยกหินก้อนใหญ่ออกจากใจ ก็ยังนึกอยู่ว่าทำไมนางเอาแต่มองเขาแบบนี้ ที่แท้ก็เป็นเพราะจอนผมนี่เอง!

เขาเอามือลูบผมตัวเองนิดหน่อย รู้ดีอยู่แก่ใจ เมื่อครู่นี้ตระหนกตกใจเกินไปจริงๆ หวงฝู่จวินโหรวคงฉุกละหุกจนไม่ได้สังเกตเห็นแน่นอน ตกใจแทบตาย!

อวิ๋นจือชิวหันตัวเดินไปที่โถงด้านหลัง เหมียวอี้รีบไปคว้าแขนนางไว้อีก “ทำอะไรของเจ้า?”

“เจ้าเอาแต่ดึงแขนข้าทำไม? ไม่กลัวคนอื่นมาเห็นเหรอ?”

“ไม่ใช่ ข้าถามว่าเจ้าจะเดินไปข้างหลังทำไม?”

อวิ๋นจือชิวตอบอย่างหงุดหงิดว่า “ข้างหลังไม่ใช่สถานที่ลับของเจ้านี่นา? คนอื่นเข้าไปไม่ได้ อย่าบอกนะว่าข้าก็เข้าไปไม่ได้เหมือนกัน? ทรงผมเจ้าเป็นแบบนี้แล้วจะออกไปเจอคนได้อย่างไร ไปข้างหลังสิ ข้าจะช่วยหวีผมให้เจ้าใหม่” ขณะที่พูดก็ดึงแขนเหมียวอี้

เหมียวอี้จะกล้าพานางไปข้างหลังได้อย่างไร ถ้าเจอหวงฝู่จวินโหรวขึ้นมา ก็ไม่มีทางพูดกลบเกลื่อนได้แล้ว จึงพยายามดึงนางไว้ทันที

“เจ้าเป็นอะไรไป ข้างหลังไม่ได้ซ่อนผู้หญิงไว้ใช่มั้ย?” อวิ๋นจือชิวฉงนใจ

ไม่ต้องพูดถึงเลย เดาถูกแล้วล่ะ! แต่ท่านขุนนางเหมียวไม่ยอมรับแน่นอน กลับตอบด้วยท่าทีจริงจังว่า “ไม่สะดวก โค่วเหวินหลานอยู่ข้างหลัง”

การที่เขาอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะไม่ได้อ่อนหัด ความสามารถในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม ตราบใดที่กระดาษหน้าต่างไม่ถูกเจาะ เขาย่อมมีวิธีตลบตะแลงอยู่แล้ว

“เอ…” อวิ๋นจือชิวชะงัก แล้วอดไม่ได้ที่จะถามเสียงต่ำอย่างสงสัย “ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าส่งต่องานให้กันไปแล้วเหรอ? เขาจะมาที่นี่อีกทำไม?”

เหมียวอี้กดเสียงตอบว่า “เขามาเก็บของ ข้างหลังยังมีของของเขาอยู่นิดหน่อย เขาจะนำไปไว้ที่ตำหนักคุ้มเมือง”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! อวิ๋นจือชิวพยักหน้า ไม่สะดวกจะให้โค่วเหวินหลานรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจริงๆ ทำได้เพียงล้มเลิก

ขณะเดียวกันนี้เอง พ่อครัวที่เฝ้าอยู่ตรงประตูก็ถ่ายทอดเสียงเตือนทั้งสอง “มีคนมาแล้ว”

ทั้งสองไม่สะดวกจะฉุดกระชากลากยื้อกันอีก รีบถลันตัวออกจากกัน กลับไปนั่งอย่างสง่าผ่าเผยที่ตำแหน่งของตัวเอง

เป็นลูกน้องคนที่ออกไปก่อนหน้านี้ หลังจากเข้ามาคำนับแล้ว ก็ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “นายท่าน ผู้จัดการหวงฝู่ไปแล้วขอรับ”

“อืม! รู้แล้ว” เหมียวอี้พยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง ในใจเหมือนยกหินก้อนใหญ่ออกจากอก แล้วเตือนอีกว่า “ถ้าข้าไม่อนุญาต ก็ห้ามใครเข้ามาทั้งนั้น รวมทั้งเจ้าด้วย!”

หลังจากลูกน้องออกไปแล้ว ท่านขุนนางเหมียวก็เรียกได้ว่ายิ้มออกมาจากใจจริง ยืนขึ้นแล้วกวักมือบอกอวิ๋นจือชิว “ไป ข้าจะพาเจ้าไปดูข้างหลัง”

อวิ๋นจือชิวไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนความคิด นางมองไปทางห้องโถงข้างหลัง แล้วถามอย่างแปลกใจ “ข้าเข้าไปจะเหมาะเหรอ?” นางจะสื่อว่าโค่วเหวินหลานอยู่ข้างหลัง

“ลูกน้องเพิ่งมารายงาน บอกว่าโค่วเหวินหลานไปแล้ว” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม

พอเขาพูดแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็หายกังวลแล้ว ก้าวขึ้นไปควงแขนเขา แล้วพูดคุยยิ้มแย้มเดินเข้าไปที่โถงด้านหลังด้วยกัน “ช่วงนี้เจ้าไม่ได้ไปหาข้าเลย ข้าอยากจะถามมาตลอดว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ได้ยินว่าคนที่ไปสู้กับเฮยหวังนั่น ที่เขตเมืองตะวันตกมีเซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับมาคนเดียวเหรอ ส่วนเขตเมืองตะวันออกของเจ้าก็มีคนรอดกลับมาสามคน นักพรตบงกชทองหกสิบกว่าคน สู้รบจนตายหมดเลยจริงๆ เหรอ?”

“ช่วงนี้ไม่สะดวกจะไปหา ตอนที่ยังไม่ได้ตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกอย่างเป็นทางการ ข้าก็ไม่สะดวกจะเพ่นพ่านไปทั่ว กลัวว่าจะมีคนเล่นไม่ซื่อลับหลัง ส่วนคนพวกนั้น ก็ตายแล้วจริงๆ ของวิเศษในมือเฮยหวังร้ายกาจมาก จะว่าไปแล้วก็เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางของปราชญ์ผีซือถูเซี่ยว…” เหมียวอี้เล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นให้ฟังคร่าวๆ

อวิ๋นจือชิวได้ฟังแล้วอกสั่นขวัญแขวน นับว่าเข้าใจแล้ว ว่าตำแหน่งผู้บัญชาการนี้ได้มาเพราะผู้ชายของตนเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นนางก็คงจะเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว ภายใต้สถานการณ์วิกฤต ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายของตนจะพลิกอันตรายให้กลายเป็นความปลอดภัยได้

เรื่องบางเรื่องนางเก็บไว้ในใจไม่กล้าพูดออกมา เหมียวอี้เอาชีวิตไปเล่นครั้งแล้วครั้งเล่า นางกลัวจริงๆ ว่าสักวันเหมียวอี้จะพลาดแล้วกลับมาไม่ได้อีก นี่ไม่ใช่เรื่องที่คิดมากไปเอง แต่เป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้สูง ไม่มีใครที่จะโชคดีรอดชีวิตกลับมาทุกครั้งหรอก ทว่าเมื่อเดินบนเส้นทางนี้แล้ว ก็มีเรื่องมากมายที่ทำตามใจตัวเองไม่ได้…

เหมียวอี้คุ้นชินกับเรื่องแบบนี้จนกลายเป็นปกติแล้ว ไม่รู้สึกว่าเป็นอะไร เขาไม่คิดว่าการรอดชีวิตมาได้เพราะดวงดีอย่างเดียว เรื่องบางเรื่องก็ขึ้นอยู่กับการรับมือยามหน้าสิ่วหน้าขวาน เรื่องราวคล้ายๆ กัน เขาผ่านประสบการณ์มาหลายครั้งแล้วก็ย่อมเข้าใจดี

ทว่าหลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็หันตัวมากอดเขา หมอบศีรษะบนบ่า ปล่อยให้เหมียวอี้ถาม นางเอาแต่ส่ายหน้า ไม่อยากพูดอะไรมาก กอดเข้าไว้แนบแน่น ดวงตาแดงก่ำ แต่กลับไม่ให้เหมียวอี้เห็น ไม่อยากให้เขาเป็นห่วงเกินความจำเป็น ถ้าลดความคิดฟุ้งซ่านลงสักเรื่อง ก็อาจจะช่วยให้เขารอดชีวิตยามที่เขาเผชิญอันตรายก็ได้

985

เสื้อชั้นในมาจากไหน

ความรู้สึกบางอย่างสามารถติดต่อกันได้ เหมียวอี้สัมผัสได้ถึงความคิดของนางแล้ว เขาตบหลังนางเบาๆ “ยังอยู่ในลานบ้านนะ ระวังจะมีคนเหาะผ่านแล้วมองเห็น”

อวิ๋นจือชิวเก็บสำรวมอารมณ์ แล้วดึงมือเขาเข้าไปในห้อง “ชัยภูมิถ้ำสวรรค์ล่ะ? ข้ายังไม่เคยเห็นชัยภูมิถ้ำสวรรค์ชั้นหนึ่งของผู้บัญชาการตำหนักสวรรค์เลยนะ”

ทำไมคำพูดนี้ฟังดูคุ้นหูนักล่ะ พอลองนึกย้อนกลับไป ก็พบว่าหวงฝู่จวินโหรวเคยพูดประมาณนี้เหมือนกัน ใช้ข้ออ้างนี้ดึงเขาเข้าไปทำเรื่องอย่างนั้นในชัยภูมิถ้ำสวรรค์

พอนึกถึงเรื่องนี้ก็อกสั่นขวัญแขวนนิดหน่อย แต่พอนึกได้ว่าหวงฝู่จวินโหรวไปแล้ว เขาก็พาอวิ๋นจือชิวเข้าไปในศาลเจ้านั้นเสียเลย

ท่าทีที่มีต่ออวิ๋นจือชิวกับท่าทีที่มีต่อหวงฝู่จวินโหรวย่อมต่างกัน เหมียวอี้เป็นฝ่ายพานางไปดูเครื่องมือรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถนาที่อยู่ในนี้

หลังจากแสดงความมหัศจรรย์ของเครื่องมือรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถนาของที่นี่ให้ดู อวิ๋นจือชิวกลับมีความคิดเห็นต่างออกไป นางบอกว่า “เครื่องมือรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถนาแบบนี้ ที่พิภพเล็กก็ทำได้เหมือนกัน เพียงแต่พวกเราต้องเสริมการควบคุมกำลังพลเบื้องล่าง ถึงได้มีการส่งส่วยประจำปีเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นพิภพเล็กที่ไม่มีระฆังดาราไว้ติดต่อกัน เวลากำลังพลเบื้องล่างไปที่ไหนมาบ้างเราก็ไม่รู้เลย”

“อย่างนี้เองเหรอ!” เหมียวอี้เข้าใจกระจ่างในทันที

“ข้าอยู่ที่นี่นานไม่ได้ จะรีบช่วยเจ้าจัดแต่งทรงผมใหม่สักหน่อย” อวิ๋นจือชิวดึงเขาเข้าไปที่ห้องนอน

ท่านขุนนางเหมียวรู้สึกกดดันทางอารมณ์ ในห้องนอนก่อนหน้านี้… พอผลักประตูเข้ามาในห้องนอน เหมียวอี้ก็เอ๋อแดกนิดหน่อย!

บนเตียงยังคงยับยู่ยี่ ไม่น่าเชื่อว่าหวงฝู่จวินโหรวจะไม่ช่วยเก็บที่นอนให้เขาสักหน่อยเลย และที่ทำเกินไปที่สุดก็คือ เสื้อชั้นในมาจากไหน?

จะมาจากไหนได้ล่ะ เหมียวอี้แทบจะประสาทกิน โยนเสื้อชั้นในไว้บนเตียงส่งเดช มันสะดุดตาเกินไปแล้วมั้ง!

ความรู้สึกของเหมียวอี้ยุ่งเหยิงยิ่งกว่าสิ่งที่อยู่บนเตียง ในใจด่าหวงฝู่จวินโหรวอย่างบ้าคลั่ง นารีเป็นเหตุ บ้าไปแล้วกระมัง!

อวิ๋นจือชิวตัวนิ่งทื่อแล้ว ก้าวเท้าลำบากมาก สายตาหยุดจ้องอยู่บนเตียง จ้องเสื้อชั้นในตัวนั้นที่อยู่บนเตียง จากนั้นก็ค่อยๆ เลิกคิ้วสูง แล้วหันช้าๆ กลับมาจ้องเหมียวอี้ แววตาค่อนข้างเย็นเยียบ

เหมียวอี้อยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้ตาย แต่ภายนอกยังคงสงบนิ่ง ทั้งยังขมวดคิ้วถามด้วยว่า “โค่วเหวินหลานเล่นบ้าอะไรเนี่ย เจ้าตุ้งติ้งนี่คงไม่ได้เอาเสื้อชั้นในผู้หญิงมาใส่หรอกใช่มั้ย? หรือว่าเขาซ่อนผู้หญิงเอาไว้ที่นี่?”

“เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใครล่ะ?” อวิ๋นจือชิวถามเสียงเรียบ แต่แววตากลับเหมือนเหลือบมองผมที่หวีสูงขึ้นมาข้างหนึ่งของเหมียวอี้ จากนั้นก็ปล่อยมือเหมียวอี้ แล้วหันตัวเดินไปข้างเตียง มองดูภาพระเกะระกะบนเตียงคร่าวๆ แล้วถามว่า “นี่คือผลงานชิ้นเอกของโค่วเหวินหลานเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “นอกจากเขาแล้วจะมีใครอีกล่ะ หลังจากข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการ ช่วงไม่กี่วันมานี้ข้าก็ไม่ทันได้มาที่นี่ คอยต้อนรับพวกผู้จัดการร้านใหญ่ๆ ตลอด”

“จะอธิบายมากขนาดนั้นทำไม ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของเจ้า” อวิ๋นจือชิวพูดเหน็บแหนม แล้วโน้มตัวยื่นนิ้วเกี่ยวเสื้อชั้นในตัวนั้นขึ้นมาดู ทั้งยังเอามาดมใกล้ๆ ด้วย กลิ่นกายหอมที่อยู่บนนั้นทำให้นางเลิกคิ้วอีกครั้ง สุดท้ายนางก็สะบัดมือ โยนเสื้อชั้นในกลับไปไว้บนเตียง “โค่วเหวินหลานนี่ก็จริงๆ เลย ไม่รู้จักเก็บกวาดให้เรียบร้อย”

นางหันตัวเดินไปตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วชี้บอก “นั่งลง ข้าจะช่วยจัดแต่งทรงผมให้เจ้าใหม่”

“ในนี้ระเกะระกะ ออกไปข้างนอกกันดีกว่า” เหมียวอี้กล่าวอย่างค่อนข้างอึดอัด

“ข้าให้เจ้านั่ง เจ้าก็นั่งสิ ส่องกระจกจะได้จัดทรงผมได้ง่ายๆ” อวิ๋นจือชิวชี้ไปที่กระจก กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ

เหมียวอี้ทำได้เพียงเดินเข้าไปนั่งลง อวิ๋นจือชิวที่เดินมาข้างหลังช่วยถอดปิ่นปักผมออกให้เขา เส้นผมสยายออก ตอนที่สายตาทั้งสี่สบประสานผ่านกระจก จู่ๆ นางก็หมอบที่บ่าของเขา ใช้มือคล้องคอ แล้วคลอเคลียข้างหู “ท่านสามี เราไม่ได้จู๋จี๋กันมานานแล้ว ไม่เคยสะดวกเลย วันนี้กำลังดีเลย เจ้าต้องการข้าหรือเปล่า?”

เหมียวอี้แอบปาดเหงื่อในใจ ก่อนหน้านี้รีบร้อนเกินไป บนร่างกายยังมีรอยกัดอยู่เลย ถ้าถอดเสื้อผ้าออกหมดก็กลัวจะเผยพิรุธ มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้ก็เพิ่งทำเรื่องอย่างว่ากับหวงฝู่จวินโหรว ถ้าตอนนี้จะมาทำกับฮูหยินของตัวเองอีก มันก็จะเกินไปหน่อยแล้ว! จึงจับมือเรียวงามของนาง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “ข้าต้องการอยู่แล้วล่ะ แต่วันนี้ไม่เหมาะ อีกประเดี๋ยวจะต้องมีผู้จัดการจากร้านอื่นมาเยี่ยมอีกแน่ๆ เดี๋ยววันหลังข้าจะไปหาเจ้า”

“เอาอย่างนี้เหรอ!” อวิ๋นจือชิวมองเขาผ่านกระจกด้วยแววตาล้ำลึก แล้วก็ล้มเลิกความคิดทันที ช่วยจัดแต่งทรงผมให้เขา แล้วเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ได้ยินว่าคนที่มาแสดงความยินดีกับเจ้าต้องต่อแถวกัน ไม่กี่วันนี้รับของขวัญจนมือไม้อ่อนเลยล่ะสิ?”

พอพูดถึงเรื่องนี้ เหมียวอี้ก็หัวเราะเบาๆ พลิกฝ่ามือนำกำไลเก็บสมบัติยื่นไปข้างหลัง “ก็ค่อนข้างเยอะนะ ข้าเองก็ยังเจียดเวลาไม่ได้ ที่นี่ไม่มีลูกน้องที่ไว้ใจได้ ไม่สะดวกจะเอามานับ ของอยู่ในนี้แล้ว เจ้านำกลับไปให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์จัดการแล้วกัน ดูว่ามีใครให้อะไรมาบ้าง”

อวิ๋นจือชิวนำกำไลเก็บสมบัติมาดู อดไม่ได้ที่จะยิ้มเช่นกัน “สงสัยท่านสามีจะได้เลื่อนขั้นร่ำรวยแล้วจริงๆ ได้ เดี๋ยวกลับไปข้าจะรีบช่วยเจ้านับ แล้วอีกสองสามวันจะค่อยไปเอาที่ข้า”

เหมียวอี้ “เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน ข้าไม่มีเวลาจัดการของพวกนี้หรอก เดี๋ยวเขียนรายการให้ข้าดูก็พอ ข้าจะได้รู้ว่าคนพวกนั้นให้อะไรมาบ้าง”

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “เจ้าเพิ่งขึ้นรับตำแหน่ง ต้องแสดงน้ำใจต่อเบื้องบนสักหน่อย เอาอย่างนี้แล้วกัน เหลือไว้ครึ่งหนึ่งให้พวกเราจัดการเอง เดี๋ยวเจ้านำอีกครึ่งหนึ่งไปให้โค่วเหวินหลานกับปี้เยว่ฮูหยิน ข้าจะแบ่งเอาไว้ให้เจ้า เจ้าเจียดเวลามาเอาไปมอบให้พวกเขาก็พอแล้ว”

เหมียวอี้พยักหน้า “อืม” แล้วก็นำกำไลเก็บสมบัติอีกวงยื่นไปข้างหลัง “อันนี้ไม่ต้องให้ใครแล้ว เป็นของพวกเราทั้งนั้น”

หลังจากอวิ๋นจือชิวรับมาดู ก็รู้สึกตกใจนิดหน่อย ตกใจเพราะของที่กองเป็นภูเขาอยู่ข้างใน ถามอย่างตกตะลึงว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้านำสมบัติมาจากไหนมากมายขนาดนี้? ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกคงไม่ได้มีผลประโยชน์มากขนาดนี้หรอกมั้ง? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ จะได้หุ้นของร้านขายของชำซื่อตรงหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว”

เหมียวอี้จ้องผู้หญิงที่กำลังตกตะลึงผ่านกระจก พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ผลประโยชน์เสียที่ไหนกัน ถ้ามีผลประโยชน์ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเยอะขนาดนี้ ถ้าเยอะขนาดนี้จริงๆ ตำแหน่งผู้บัญชาการคงไม่วนมาถึงข้าหรอก นี่เป็นของตอนที่ร้านค้ารอบๆ  โดนพังก่อนหน้านี้ เป็นของที่คนของจวนผู้บัญชาการปล้นมา ตอนอยู่ที่ภูเขาโอนเอนคนพวกนั้นรบตายแล้ว ของก็ย่อมปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ ข้าเลยถือโอกาสเก็บมาหมด สมบัติของคนเขตเมืองตะวันตกที่รบตาย ทั้งยังมีของลูกสมุนเฮยหวังอีก ข้ากวาดมาหมดเลย ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยรวมไว้ด้วยกัน คาดว่ามูลค่าคงเกือบแปดล้านล้านผลึกแดงได้! ถึงอย่างไรธุระในบ้านก็ยกให้เจ้าจัดการแล้ว ข้าขี้เกียจสนใจ เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน”

“แปดล้านล้าน!” อวิ๋นจือชิวตกตะลึงถึงขีดสุด หลังจากได้สติกลับมา ก็ถามว่า “เจ้าฮุบของพวกนี้ไว้คนเดียวเหรอ? โค่วเหวินหลานไม่ว่าอะไรเหรอ?”

“จะว่าอะไรได้ เขารวยตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว ความคิดไม่ได้อยู่กับของพวกนี้เลย เขาสนใจอำนาจมากกว่า บอกอย่างสบายใจว่าให้ข้ากับสวีถังหรานแบ่งกันคนละครึ่ง มองออกเลยว่าเขาไม่มั่นใจกับจำนวนของพวกนี้ ถ้ามั่นใจคงไม่พูดแบบนี้ออกมาหรอก สวีถังหรานกลับรู้อยู่แก่ใจ อยากจะขอแบ่งครึ่งหนึ่ง แต่ก็ต้องดูว่าเขามีความสามารถนั้นหรือเปล่า แล้วอีกอย่าง ก็มีแค่ข้าคนเดียวที่รู้ว่าเก็บของมาได้จำนวนเท่าไร ไม่มีทางมาตรวจสอบจำนวนได้หรอก ข้าบอกว่าเท่าไรก็แปลว่าเท่านั้น ให้ของเขาไปส่งเดชนิดหน่อยก็ไล่เขาไปได้แล้ว” เหมียวอี้กล่าว

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าเดาะลิ้น แต่พอนึกได้ว่าของพวกนี้ล้วนแลกมาด้วยชีวิตของเหมียวอี้ ก็ไม่ถือว่าดีใจเท่าไรนัก แค่เพ่งมองเหมียวอี้ผ่านกระจกด้วยแววตาล้ำลึกพักหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำมถึงถอนหายใจเบาๆ

เหมียวอี้หันกลับมาบอกว่า “เป็นอะไรไป? ร่ำรวยแล้วเจ้าไม่ดีใจเหรอ? เมื่อมีของพวกนี้แล้ว ก็จะทำให้เจ้าบรรลุวรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้งได้เร็วๆ”

อวิ๋นจือชิวบอกเขาว่า “ของก็มีไม่น้อย แต่ถ้าอยากให้ถึงระดับบงกชรุ้งก็ยังห่างไกล แล้วอีกอย่าง ได้บรรลุถึงระดับบงกชรุ้งคนเดียวจะมีประโยชน์อะไร? ต่อให้วรยุทธ์สูงก็ยังมีคนที่สูงกว่า รุดหน้าไปคนเดียวก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าพวกลูกน้องตามไม่ทัน โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ ถ้าต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย คงจัดการเรื่องอะไรด้วยตัวคนเดียวไม่ไหว ต้องมีกลุ่มลูกน้องคอยจัดการธุระให้ แบบนั้นถึงจะเป็นวิธีการที่ยั่งยืนถาวร ก็เหมือนกับหกปราชญ์ เลี้ยงคนไว้คุมอาณาเขตให้ เพื่อส่งผลประโยชน์ไปให้พวกเขาในระยะยาว ราชันสวรรค์กับประมุขพุทธะที่พิภพใหญ่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน”

เหมียวอี้ถอนหายใจอีก “ใช่แล้ว! แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าไม่มีคนที่พอจะใช้งานได้เลย”

อวิ๋นจือชิวอธิบายว่า “ตอนนี้พวกเรายืนที่พิภพใหญ่ได้อย่างมั่นคงแล้ว มีของมากมายขนาดนี้ สามารถเพิ่มวรยุทธ์ให้พวกลูกน้องคนสนิทของเจ้าได้ ทำให้วรยุทธ์ของพวกเขาสูงถึงระดับบงกชทอง หลังจากนี้อีกไม่กี่ปี พิภพเล็กก็จะเป็นของเจ้าแล้ว บางสิ่งที่ทุ่มเทไปตอนนี้ ก็เพื่อแลกกับกลุ่มคนที่จะคุมพิภพเล็กเพื่อเจ้าในระยะยาว และนำผลประโยชน์ของพิภพเล็กมาส่งให้เจ้าในระยะยาว เมื่อเวลาผ่านไปเจ้าจะไม่เสียเปรียบแน่นอน ความหมายของข้าก็คือ ข้าวางใจเวยเวยกับหยางชิ่งได้แล้ว กลับไปก็นำยาแก่นเซียนไปให้พวกเขา เพิ่มวรยุทธ์ให้พวกเขาก่อน ส่วนหลางหลางกับหวนหวน ไม่ใช่ว่าข้ามีอคติกับพวกนางนะ แต่ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าภูมิหลังพวกนางเป็นอย่างไร ตอนนี้ข้ายังไม่ค่อยวางใจ ถ้านำยาแก่นเซียนให้พวกนางแล้วข่าวหลุดถึงหูมู่ฝานจวิน มู่ฝานจวินคไม่ปรานีแน่นอน!”

เหมียวอี้พยักหน้า “เจ้าเป็นภรรยาเอก เป็นเจ้านายของบ้าน เจ้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องในบ้าน เจ้าพูดอะไรพวกนางก็ไม่กล้าขัดคำสั่งหรอก เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน”

“เอ๋!” อวิ๋นจือชิวถามหยอก “ไม่กลัวข้าลำเอียงใจแคบแล้วปฏิบัติต่อพวกอนุภรรยาของเจ้าอย่างไม่เป็นธรรมเหรอ?”

“ถ้าเจ้าใจแคบขนาดนั้น ก็คงไม่ให้ข้าแต่งงานกับพวกนางหรอก” เหมียวอี้ยิ้มตอบ

“หลงตัวเอง ได้เปรียบแล้วยังจะแกล้งทำตัวน่าสงสารอีก!” พอจิ้มหลังศีรษะของเขาแรงๆ ทีหนึ่ง อวิ๋นจือชิวก็ถอนหายใจแล้วบอกอีกว่า “แต่จะว่าไปแล้ว เจ้าก็เจียดเวลากลับไปสักครั้งเถอะ อย่าแต่งงานกับพวกนางแล้วทิ้งไว้อย่างนั้นโดยไม่สนใจ แบบนั้นพวกนางจะนินทาข้าลับหลังว่าเป็นผู้หญิงขี้อิจฉา จะนึกว่าภรรยาเอกอย่างข้าขัดขวางไม่ให้เจ้าไปจู๋จี๋กับพวกนาง แบบนั้นก็ผิดพลาดใหญ่หลวง ถึงตอนนั้นพวกเวยเวยต้องเกลียดข้าแย่แน่ เจ้าใส่ใจหน่อยเถอะ ได้แต่งงานกับสาวงามก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว อย่าทำให้กลายเป็นเรื่องแย่”

“เพิ่งห่างกันไม่กี่ปีเอง ไม่ร้ายแรงขนาดนั้นหรอก นึกถึงตอนแรกที่ข้ากับเจ้าไม่เจอกันสามปี เจ้าก็ยังสบายดีไม่ใช่เหรอ”

“หลงตัวเอง! พูดเรื่องจริงจังอยู่นะ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นฮูหยินตำหนักหลัก กุมอำนาจมากมายไว้ในมือ ทะเลาะกับเจ้าก็ไม่เป็นไร แต่พวกเวยเวยไม่เหมือนกัน เจ้าต้องเห็นอกเห็นใจผู้หญิง โดยเฉพาะหลางหลางกับหวนหวน ตอนเจ้าไม่อยู่พวกนางก็ต้องวางตัวอย่างระมัดระวัง ขนาดเวลาเจอผู้ชายคนอื่นก็ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ กลัวว่าจะมีข่าวลือไม่ดีแพร่ออกไป วันๆ เอาแต่อยู่ในลานบ้านไม่กล้าออกไปไหน แถมไม่มีอะไรทำด้วย กอปรกับอันหรูอวี้และสามีกำลังโดนลงโทษ ในใจพวกนางขื่นขมนะ อย่าให้พวกนางคับแค้นใจ ครอบครัวปรองดอง ทุกเรื่องก็ราบรื่น เวลาแต่งงานมาแล้ว ผู้หญิงไม่ได้มีหน้าที่ถอดเสื้อผ้านอนกับเจ้าอย่างเดียว เจ้าต้องพูดหวานๆ เอาใจด้วยสิ ใส่ใจหน่อย!” ขณะที่พูดก็จิ้มหลังศีรษะเหมียวอี้อีกที

986

ไม่มีเท่าไหร

“เจ้านี่ไม่รู้จักจบสักทีนะ!” เหมียวอี้เอามือลูกหลังศีรษะ เพราะโดนจิ้มจนเจ็บ ทั้งยังโดนจิ้มที่เดิมด้วย

อวิ๋นจือชิวหัวเราะคิกคัก พูดไม่หยุด ยิ่งพูดยิ่งฮึกเหิม แล้วจิ้มเขาอีกหลายครั้งติดต่อกัน “ได้ยินแล้วหรือยัง?”

เหมียวอี้ทำอะไรนางไม่ได้ “พอแล้วๆ ข้ารู้แล้ว ข้ากำลังจะกลับไปที่ทะเลดาวนักษัตรพอดี”

“ไปทะเลดาวนักษัตรทำไม?” อวิ๋นจือชิวแปลกใจ

เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ที่ตัวเองเผชิญให้นางฟัง บอกว่าตัวเองได้รับอนุญาตจากโค่วเหวินหลานแล้ว เตรียมจะดึงคนจากทะเลดาวนักษัตรมาเป็นผู้ช่วย

“แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ? ไม่กลัวพวกเขาจะทรยศหรือไง?” อวิ๋นจือชิวถาม

เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว พวกเขากับเขาเคยปล้นเกาะศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน นี่คือโทษตายนะ ถ้าไม่กลัวตายก็ลองหาเรื่องข้าดูสิ ข้าคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ตราบใดที่ช่องทางการไปกลับพิภพเล็กยังอยู่ในมือเรา ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ยุ่งยาก ก่อนหน้านี้ยังโกหกตบตาพวกเขาได้ แต่ถ้าตอนนี้ยังปิดบังเส้นทางไปกลับต่อไป ก็กลัวว่าพวกเขาจะวิจารณ์ในใจ ถึงอย่างไรทะเลดาวนักษัตรก็ยังมีลูกน้องของพวกเขาอีก”

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว “พวกเขาตามเจ้าไปปล้นเกาะศักดิ์สิทธิ์ ถ้ามาที่นี่แล้วจะไม่โดนคนจำได้เหรอ?”

“จะจำได้ง่ายๆ ขนาดนั้นได้ยังไง ตอนนั้นก็ปลอมตัวแล้ว ถ้าจำได้ข้าจะได้มานั่งอยู่ตรงนี้เหรอ คงจะโดนจำได้ไปนานแล้ว จักรวาลใหญ่ขนาดนี้ ใช่ว่าตำหนักสวรรค์จะทำได้ทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นพิภพเล็กคงถูกตำหนักสวรรค์ใส่ไว้ในอาณาเขตตั้งนานแล้วล่ะ” เหมียวอี้ตอบ

อวิ๋นจือชิวใช้สองมือประคองบ่าเขา “งั้นตอนนี้เจ้าก็ยังไม่ต้องกลับไปหรอก ถึงยังไงเจ้ากับประมุขถิ่นสี่ทิศก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน เรื่องที่ไม่อยากให้พวกเขารู้เส้นทางไปกลับ ถ้าเจ้าเอ่ยปากบอกเองคงไม่ดี สัจจะที่ควรจะมีก็ยังต้องมี”

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “ข้าเองก็ไม่มีหนทางแล้วเหมือนกัน รู้จักคนที่ตำหนักสวรรค์ไม่เยอะ ในมือก็ไม่มีคนที่สามารถใช้งานได้เลย! ผู้บัญชาการอย่างข้าคงจะพาคนไปเฝ้าประตูเมืองไม่ได้หรอกมั้ง? คิดไปคิดมาก็มีแต่พวกเขาแล้ว”

“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ในเมื่อเจ้ารู้สึกว่าใช้งานพวกเขาได้ งั้นเจ้าก็ใช้งานไปสิ เพียงแต่เรื่องนี้คงไม่สะดวกให้เจ้าออกหน้าเอง ก็อย่างที่ข้าบอก พวกเจ้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ต้องรักษาชื่อเสียงด้านสัจจะไว้ให้มั่นคง…เดี๋ยวข้าจะเป็นคนร้ายๆ แทนเจ้าเอง ถึงอย่างไรตอนอยู่ที่พิภพเล็ก ฉายา ‘รองเท้าขาด’ ของข้าก็แพร่ไปข้างนอกแล้ว จะทำทำตัวปลิ้นปล้อนหรือน่าไม่อายก็ยังพอฟังขึ้น เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะช่วยพาคนมาให้เจ้าแน่นอน และต่อไปจะไม่ให้พวกเขาเอ่ยปากถามเรื่องเส้นทางกับเจ้าอีก” อวิ๋นจือชิวกล่าว

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วยกมือจับมือของนางที่วางอยู่บนบ่า “ทำไมพูดเรื่องรองเท้าขาดอีกแล้วล่ะ ขนาดข้ายังไม่สนใจเรื่องเฟิงเสวียนเลย เจ้ายังเก็บมาใส่ใจอยู่อีกเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวบุ้ยปาก “ปากก็พูดดีแบบนี้ แต่ลับหลังข้าอาจจะหาไว้อีกคนแล้วก็ได้ ถึงตอนนั้นรองเท้าขาดอย่างข้าน่ะ ยังเดินไปไม่ถึงไหนก็คงโดนเจ้าถีบส่งไปไกล แล้วมั้ง!” ขณะที่พูดก็เหล่ตามองปฏิกิริยาของเหมียวอี้

เหงื่อแตก! พอได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็รู้สึกผิดสุดๆ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินตอนอยู่ในห้องนี้ อับอาย รู้สึกผิด! จึงไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “พูดเหลวไหลอะไร เจ้าคือภรรยาเอกของเหมียวอี้ โลกนี้ไม่มีใครแทนที่เจ้าได้แล้ว ถ้าข้าผิดคำสาบาน ขอให้ฟ้าดินลงโทษ!”

อวิ๋นจือชิวพ่นเสียงทางจมูกๆ แล้วบิดหูเขา “หนิวเอ้อร์ นี่เจ้าพูดเองนะ ข้าจดจำเอาไว้แล้ว ถึงตอนนั้นไม่ต้องให้ฟ้าดินลงโทษหรอก เพราะข้าจะตอนเจ้าก่อน ถ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู วันนี้ข้าจะบอกเอาไว้ตรงนี้เลย เจ้าเป็นคนรับปากเองนะ ข้ามีอำนาจตัดสินใจในบ้าน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหน้าไหน ถ้าข้าไม่อนุญาต ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้ก้าวเข้าประตูมา นอกเสียจากเจ้าจะฆ่าข้าทิ้ง ไม่อย่างนั้นข้าก็รับรองได้เลย ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะมีอิสระ ถ้าข้ายอมแลกทุกอย่างโดยไม่สนใจอะไร รับรองว่าเจ้าจะได้บทเรียนจากผลที่ตามมาแน่!”

เหมียวอี้แทบจะไม่คิดอะไรเลย พยักหน้าทันที แสดงออกว่าเห็นด้วยอย่างจริงจัง “ก็เป็นแบบนี้มาตลอด  พวกเวยเวยข้าก็ได้รับอนุญาตจากเจ้าก่อนถึงได้แต่ง ข้ารับรอง ตราบใดที่เจ้าไม่ยินยอม ข้าก็จะไม่แต่งใครเข้าบ้านอีกเด็ดขาด!”

“แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย!” อวิ๋นจือชิวทำเสียงฮึดฮัดแล้วจิ้มเขาอีกทีหนึ่ง “เอาตามนี้แล้วกัน ทางพิภพเล็กเจ้าอย่าเพิ่งกลับไป เดิมทีเจ้าก็ไม่มีกำลังคนที่มีความสามารถอยู่แล้ว ถ้าเจ้าออกไปอีกก็จะไม่เหมาะ เรื่องที่ทะเลดาวนักษัตรข้าจะช่วยจัดการให้เจ้า ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องส่งส่วยประจำปีพอดี จะถือโอกาสจัดการให้เจ้าด้วย”

“ได้!” ผู้บัญชาการเหมียวผู้น่าเกรงขามที่เผชิญหน้ากับผู้จัดการร้านมากมาย ในตอนนี้กลับเอ่ยรับอย่างว่าง่ายราวเด็กน้อย แม้แต่ความเห็นเพิ่มเติมก็ไม่กล้าเสนอ เป็นเพราะกลัวว่าจะเผยพิรุธอะไร ในเวลานี้ในสถานที่นี้ เป็นวัวสันหลังหวะจริงๆ!

“ยังมีอีกเรื่อง” อวิ๋นจือชิวพูดอีก

“เจ้าพูดมาสิ ข้าฟังอยู่” เหมียวอี้ขานรับทันที

“ข้าลองคิดดูแล้วนะ ครั้งนี้ข้าเตรียมจะกลับไปรับหลางหลางกับหวนหวนมาที่นี่ด้วยเหมือนกัน”

เหมียวอี้หันขวับ ถามอย่างตกตะลึงว่า “ไม่ใช่แล้วมั้ง? เจ้าจะพาพวกนางมาด้วยเหรอ? ทำแบบนี้เหมาะสมเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวตอบว่า “ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม พอเจ้าพูดเรื่องทะเลดาวนักษัตร ก็ถือเป็นการเตือนข้าเหมือนกัน ตราบใดที่เส้นทางไปกลับพิภพเล็กยังอยู่ในมือเราก็พอ แล้วอีกอย่าง ตอนนี้เจ้าก็ได้เลื่อนขั้นร่ำรวยแล้ว ที่แดนฝึกตนมีผู้หญิงร่านที่จ้องจับคนมีเงินเพื่อหาทรัพยากรฝึกตนเยอะเกินไป ข้ากลัวว่าเจ้าจะกระดกหางซี้ซั้ว ทนความยั่วยวนของนางผู้หญิงใจแตกไม่ไหว พาผู้หญิงในบ้านมาให้เจ้าเปลี่ยนรสชาติสักสองคนดีกว่า จะได้ทำให้เจ้าสำรวมตัวเองหน่อย เจ้าจะได้ไม่เบื่อหน่ายเพราะเจอแต่หญิงแก่หน้าเหลืองอย่างข้าคนเดียว ถ้ามีกำลังวังชาก็เลี้ยงคนในบ้านให้อิ่มก่อน คนในบ้านจะได้ปรองดองกัน ดีกว่าไปเจอพวกผู้หญิงมีเจตนาร้ายแอบแฝงที่มาวางแผนทำร้ายเจ้า ใช่มั้ยล่ะ? หนิวเอ้อร์ ผู้หญิงในบ้านตัวเองต่างหากที่น่าไว้วางใจ!” คำพูดของนางค่อนข้างลึกซึ้งและจริงใจ

เหมียวอี้กลับใจสั่นด้วยความกลัว รู้สึกว่าคำพูดนางมีความหมายแฝง สงสัยว่านางจะดูอะไรออกแล้วหรือเปล่า แต่ดูจากท่าทางของนาง ก็ไม่เหมือนว่านางดูออก ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยโหดเหี้ยมของผู้หญิงคนนี้ คงจะลงไม้ลงมือกับเขาไปนานแล้ว

ยิ่งรู้สึกผิดก็ยิ่งไม่กล้าสู้ แต่ยังคงกล่าวอย่างหวาดระแวง “จะพายกโขยงมาทั้งบ้านก็คงไม่ดีมั้ง ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาก็จะหนีไม่รอดสักคนเลยน่ะสิ”

“ดังนั้น! เจ้าต้องหาร้านค้ามาอีกร้านหนึ่ง ตอนนี้เจ้าเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกแล้ว คิดหาทางหามาให้สักร้านคงไม่ยากหรอกมั้ง? จะเล็กจะใหญ่ก็ไม่เป็นไร จะให้พวกนางมาค้าขายอะไรสักอย่าง ให้มีงานทำสักหน่อย ทั้งยังได้อยู่ข้างกายเจ้าด้วย พวกนางจะได้ไม่คิดอะไรฟุ้งซ่าน”

“ไม่ใช่แล้วมั้ง! ตอนนี้ข้าจีบผู้หญิงมีสามีแล้วอย่างเจ้าคนเดียวก็ชื่อเสียงแย่พอแล้ว ครั้งก่อนยังโดนปี้เยว่ฮูหยินตำหนิด้วย ถ้าให้ข้าวิ่งไปที่ร้านพวกนางอีก  แล้วข้าจะหาเหตุผลอะไรได้อีกล่ะ?”

“เจ้าโง่รึเปล่า! ก็แกล้งทำเป็นไม่เกี่ยวข้องกับพวกนางสิ คบหาเป็นสหายกับพวกนางก็สิ้นเรื่องแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็มาที่ร้านของข้าบ่อยๆ พวกเจ้ามาเจอกันที่ร้านข้าก็ได้ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องจัดการก่อน?”

“เรื่องอะไร?”

“หญิงรับใช้สี่คนของหลางหลางกับหวนหวน จะต้องพามาด้วยกันแน่นอน เจ้าต้องทำตัวกระปรี้กระเปร่าเจ้าชู้ใส่พวกนางสักหน่อย ถ้าพามาแล้วเจ้าต้องรีบนอนกับสาวใช้สี่คนนั้น ถ้าไม่ทำให้กลายเป็นคนของตัวเอง ถ้าพามาแล้วข้าก็ไม่วางใจเลยจริงๆ ถ้าวันไหนบังเอิญไปเจอคนที่รักใคร่กันขึ้นมา ผู้หญิงก็จะควักหัวใจให้ง่ายๆ ถ้าโดนคนอื่นล่อลวงไปแล้ว อดีตที่น่ารังเกียจอะไรก็คงเอาไปบอกคนนอกหมด เจ้าเองก็คงรู้ผลที่ตามมานะ”

“เจอกับฮูหยินแบบเจ้า ข้าช่างโชคดีจริงๆ!” เหมียวอี้ยิ้มทื่อๆ “เจ้าคงไม่ได้เห็นข้าเป็นหมูพ่อพันธุ์หรอกใช่มั้ย?”

“อย่ามาพูดจาคลุมเครือแปลกๆ! ในใจชอบเลยล่ะสิ? ข้าเห็นพวกพี่ชายน้องชายของข้าแล้ว แต่งเมียเข้าบ้านมาเป็นฝูง อย่านึกว่าข้าไม่รู้สันดานผู้ชายอย่างพวกเจ้านะ ข้าขอเตือนไว้ก่อน ในบ้านก็มีผู้หญิงไม่น้อยแล้ว อย่าไปหาเด็ดอกไม้ริมทางนอกบ้าน ถ้าข้าจับได้ขึ้นมา เจ้าคอยดูแล้วกันว่าข้าจะจับเจ้าตอนได้หรือเปล่า!”

พอพูดคำว่าเด็ดอกไม้ริมทาง เหมียวอี้ก็หายใจลำบากเป็นพิเศษ หดหัวไม่พูดอะไรแล้ว นับว่ายอมตอบตกลงแล้ว

อวิ๋นจือชิวกลับลงมืออย่างโหดเหี้ยม ใช้มือดึงผมเขาไว้ ยกหัวที่หดของเขาขึ้นมา ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังระบายอารมณ์กับเขา เขาเจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟันร้องโอดโอย แล้วก็โดนนางเตะอย่างแรงอีกหนึ่งครั้ง ทำให้หุบปากทันที!

หวีผมให้เสร็จแล้ว ทั้งสองออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์ อวิ๋นจือชิวเองก็ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน ก่อนจะออกไปนางก็เตือนอีกว่า “เป็นผู้บัญชาการแล้วก็อย่าหลงระเริงจนลืมตัวนะ อย่าลืมรากเหง้าของตัวเอง เรื่องฝึกตนก็ขยันๆ หน่อย ถ้าไม่มีความสามารถ เจ้าก็ไม่มีทางยืนอยู่ที่นี่ได้นานหรอก”

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องบอกหรอก ในใจข้ารู้ดี ที่จริงช่วงนี้ข้าก็ครุ่นคิดเรื่องฝึกตนอยู่ตลอด ตอนที่ประมือกับปีศาจโลหิตครั้งก่อน ข้าเหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ บางทีอาจจะเพิ่มกำลังความสามารถให้ตัวเองได้ตัวเองได้เยอะ เพียงแต่ช่วงนี้งานล้นมือตลอด รอให้ผ่านช่วงที่งานยุ่งนี้ไปก่อน ข้าเตรียมจะหาสถานที่ที่มีปัจจัยเหมาะสมสักแห่งเอาไว้ฝึกตน”

“ยังต้องหาที่อื่นอีกเหรอ? ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ไม่ได้เหรอ?”

“ไม่ได้ ข้าตระหนักอะไรบางอย่างได้จากวิชาทวน ข้าอยากจะใช้วิชาทวนของข้าให้ถึงระดับสูงสุด ไม่อย่างนั้นเวลาใช้กระบวนท่าสังหารไปแค่ครั้งเดียว ร่างกายตัวเองก็จะเสื่อมโทรม ไม่มีทางใช้งานเกิดประสิทธิภาพได้เลย แล้วข้าก็อยากทดสอบด้วย ดูว่าจะสามารถนำสิ่งที่ตระหนักได้จากการใช้วิชาทวนมาใช้ประโยชน์บนร่างกายได้หรือเปล่า ข้าก็เลยอยากจะหาสถานที่ที่มีปัจจัยเหมาะสมเพื่อฝึกร่างกาย ช่างเถอะ ใช้เวลาสั้นๆ อธิบายให้เจ้าเข้าใจไม่ได้หรอก”

“อืม! ในเมื่อเจ้ามีแผนในใจแล้ว ข้าก็จะไม่พูดอะไรมาก ถ้าต้องการอะไรก็บอกข้า ข้าจะหาทางช่วยรวบรวมมาให้เจ้า”

“ตอนนี้ข้ายังไม่ต้องการอะไรหรอก ยาเม็ดปีศาจของปีศาจโลหิตยังเพียงพอให้ข้าใช้ได้นาน เจ้าเอาใจใส่เรื่องวรยุทธ์ของตัวเองให้มากๆ เถอะ ของที่อยู่ในมือเจ้าคงจะเพียงพอให้เจ้าฝึกตนได้เป็นเวลานาน เออใช่ ถ้าเป็นไปได้ เจ้าดูหน่อยว่าสามารถทำภาพพิกัดของพวกดาวหลักได้ไหม เรื่องหาสมบัติที่ข้าคุยกับเจ้าครั้งก่อน ถ้ามีโอกาสข้าจะพยายามช่วงชิงมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินมาไว้ในมือด้วยเหมือนกัน”

“รู้แล้ว ข้าจะไปถามทางปี้เยว่ฮูหยินให้ จะไปถามหวงฝู่จวินโหรวด้วยเหมือนกัน นางตั้งใจจะมาตีสนิทกับข้าพอดี ร้านค้าสมาคมวีรชนมีอำนาจอิทธิพลมาก เข้าถึงอย่างกว้างขวาง ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยพวกเราแก้ปัญหาได้ ข้าตีสนิทกับพวกสตีสูงศักดิ์ไว้บ้างแล้ว ค่อยๆ สืบข่าวเอาก็ได้ เจ้าไม่ต้องใจร้อนกับเรื่องนี้หรอก ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า ถ้าใจร้อนเกินไปจะทำให้คนสงสัยได้”

พอพูดถึงหวงฝู่จวินโหรว เหมียวอี้ก็ค่อนข้าง…จึงเตือนว่า “หวงฝู่จวินโหรว ผู้หญิงคนนั้นเจตนาไม่ดี เจ้ารักษาระยะห่างกับนางไว้ดีกว่า” เขากลัวที่สุดว่าทั้งสองจะสนิทกันเกินไป กลัวว่าจะเปิดโปงเรื่องอะไรออกมา

อวิ๋นจือชิวเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าบอกเป็นนัยว่ารู้แล้ว และไม่ได้พูดอะไรอีก

ตอนที่เหมียวอี้เดินออกจากโถงหลักมาส่ง อวิ๋นจือชิวก็เหลือบมองพ่อครัวที่ยืนเฝ้าประตูแวบหนึ่ง แล้วสายตากวาดมองไปยังใต้ร่มไม้ที่อยู่ไม่ไกล เกี้ยวที่เคยจอดอยู่ตรงนั้นหายไปแล้ว

หลังจากออกจากจวนผู้บัญชาการ พอออกประตูมา อวิ๋นจือชิวก็ถ่ายทอดเสียงถามพ่อครัวทันที “หวงฝู่จวินโหรวออกไปเมื่อไร?”

พ่อครัวไม่รู้ว่านางถามแบบนี้ทำไม จึงตอบว่า “ก็ก่อนที่พวกท่านจะเข้าไปที่โถงด้านหลัง เถ้าแก่เนี้ย มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

“ไม่มีอะไร กลับกันเถอะ!” อวิ๋นจือชิวตอบส่งๆ แต่บนใบหน้ากลับเรียบเฉยไร้อารมณ์ ในดวงตางามฉายแววเย็นเยียบอำมหิต!

987

ชตาดอกท้อเป็นภัย

เมื่อส่งฮูหยินกลับไปแล้ว เหมียวอี้ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก รู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าโชคดี ทำไมตอนแรกเขานึกไม่ถึงว่าหวงฝู่จวินโหรวจะทิ้งเสื้อชั้นในไว้ในห้องนอน โชคดีที่ตอนแรกตัวเองอ้างชื่อโค่วเหวินหลานมาเป็นโล่ป้องกันแล้ว ตอนหลังเลยผลักเรื่องนี้ให้โค่วเหวินหลานไป ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางอธิบายได้เลยจริงๆ ในที่สุดก็รับมือจนผ่านไปได้แล้ว

พอนึกถึงเสื้อชั้นในตัวนั้น เหมียวอี้ก็เดือดดาลมาก เกิดความคิดชั่ววูบอยากจะไปเอาผิดกับหวงฝู่จวินโหรว อยากจะถามว่านางจงใจหรือว่าอะไรกันแน่

แต่พอลองคิดดูอีกมุมหนึ่ง จะไปเอาผิดอะไรนางล่ะ? เจ้าตัวไม่รู้ถึงความสัมพันธ์จะหว่างเขากับอวิ๋นจือชิวเสียหน่อย และไม่รู้ด้วยว่าอวิ๋นจือชิวจะเข้าไปในสถานที่ส่วนตัวของเขา จำเป็นต้องจงใจด้วยเหรอ? ดูจากเหตุการณ์ที่ฉุกละหุกตอนนั้น ก็เป็นไปได้สูงว่าทำตกหล่นโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วอีกอย่าง เรื่องแบบนี้เจ้าจะไปเอาผิดได้อย่างไร?

ถึงแม้จะล้มเลิกความคิดที่จะไปเอาผิด แต่เรื่องแบบนี้ก็กลายเป็นบทเรียนของเหมียวอี้แล้ว รู้สึกว่าตัวเองจะไปมีเรื่องกับหวงฝู่จวินโหรวอีกไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นสักวันต้องเกิดเรื่องแน่ โชคดีที่ก่อนหน้านี้ตนได้พูดไว้ชัดแล้ว ว่าครั้งนี้คือครั้งสุดท้าย!

แต่จนใจที่แม้แต่เขาเองก็ยังไม่กล้าแน่ใจกับคำว่า ‘ครั้งสุดท้าย’  เพราะเขามีประสบการณ์มาแล้วว่าหวงฝู่จวินโหรวเกาะแกะขนาดไหน ถ้าเจ้าตัวเกาะแกะต่อไปไม่ยอมปล่อย เขาจะทำอย่างไรดีล่ะ?

ความรู้สึกของเหมียวอี้เรียกได้ว่ายุ่งเหยิงไร้ระเบียบ นึกย้อนไปตอนปีนั้นที่ตัวเองเชือดหมูอยู่ที่ตลาด ขนาดถือของขวัญไปสู่ขอแต่งงานถึงประตูบ้านยังโดนไล่ตะเพิดออกมา ตอนนี้ได้เผชิญหน้ากับยอดหญิงงาม แต่กลับรำคาญจนทนไม่ไหว เขาเองก็คิดไม่ตกเหมือนกัน ว่าตัวเองเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ได้อย่างไร แม้แต่ตัวเองก็ยังรำคาญตัวเอง

ขณะที่ความคิดกำลังยุ่งเหยิง เบื้องล่างก็มีคนยื่นนามบัตรมาให้ พอพลิกอ่านดู ก็พบว่าคนของร้านขายของชำซื่อตรงมาแสดงความยินดี จึงพยักหน้าทันที “เชิญเข้ามา!”

ผู้ที่มาคืออวี้หลิงเจินเหริน เจ้าสำนักลมปราณ มาแสดงความยินดีด้วยตัวเอง ผู้ที่มาด้วยกันยังมีเป่าเหลียนอีกคน

เพื่อที่จะแสดงความใกล้ชิดสนิทสนม เหมียวอี้ตั้งใจต้อนรับทั้งสองคนในศาลาที่สวนด้านหลัง แล้วนำน้ำชามาวางให้ด้วยตัวเอง

เหมียวอี้กับอวี้หลิงเจินเหรินนั่งตรงข้ามกัน พูดคุยหัวเราะกันอย่างชื่นมื่น เหมียวอี้อยากจะรักษาความสัมพันธ์อันดีกับสำนักลมปราณมาก เป่าเหลียนยืนอยู่ข้างหลังอวี้หลิงเจินเหริน

“ประเดี๋ยวเดียวก็ผ่านไปหลายปี นึกย้อนไปถึงตอนที่ฆราวาสยังเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์ ถึงไม่ถึงว่าผ่านไปชั่วพริบตาเดียว ฆราวาสจะได้กลายเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกเร็วกว่านี้ ผู้ที่มีความสามารถ ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนตรงนั้นก็เป็นฮวงจุ้ยที่ร่ำรวยทั้งนั้น!” อวี้หลิงเจินเหรินเรียกได้ว่าทอดถอนใจไม่หยุด ตอนแรกเดิมทีคิดจะรับอีกฝ่ายไว้เป็นศิษย์ มีความสามารถระดับนี้ ในอนาคตจะส่งต่อตำแหน่งเจ้าสำนักให้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะส่งเสริมให้สำนักลมปราณเจริญรุ่งเรืองก็ได้

เหมียวอี้ส่ายหน้า “เจ้าสำนักกล่าวชมเกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่หนิวคนนี้ตั้งใจ เดินมาจนถึงทุกวันนี้โดยไม่รู้ตัวภายใต้ความจำได้ เพราะโดนกดดันจึงทำได้เพียงมาหลบภัยที่เขตเมืองตะวันออก ตอนแรกข้าเคยคิดเสียที่ไหนว่าจะมีวันนี้ได้! ถ้าไม่ใช่เพราะความจำใจ หนิวคนนี้ยินดีจะฝึกตนอย่างสงบเงียบอยู่ที่เรือนไม้ไผ่น้อยในสำนักลมปราณ ไม่อยากจะก่อให้เกิดความขัดแย้งเลยจริงๆ”

อวี้หลิงเจินเหรินพยักหน้า “พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ สำนักลมปราณก็ณู้สึกผิดต่อฆราวาส! แต่ที่อวี้หลิงมาครั้งนี้ กลับมีเรื่องจะขอร้อง ไม่รู้เหมือนกันว่าควรเอ่ยปากหรือเปล่า”

เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ “เจ้าสำนักว่ามาได้เลย ขอเพียงหนิวคนนี้สามารถทำได้ ก็จะไม่ปฏิเสธแน่นอน!”

อวี้หลิงเจินเหรินหันกลับไปมองเป่าเหลียนแวบหนึ่ง “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเป่าเหลียน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไร เจ้าเด็กนี่เซ้าซี้ข้ามานานมาก ว่าก็ว่าแล้ว ด่าก็ด่าแล้ว แต่นางไม่ยอมฟัง ดึงดันอยากจะเข้าตำหนักสวรรค์ด้วยเหมือนกัน เดิมทีข้าอยากจะไปให้ชีอู๋เจินเหรินของสำนักเราช่วย ทว่าเป่าเหลียนไม่อยากรบกวนปรมาจารย์ แล้วก็อยากอยู่ใกล้กับสำนักลมปราณสักหน่อย ดังนั้น…ไม่ทราบว่าฆราวาสจะเห็นสมควนหรือไม่?”

“…” เหมียวอี้เข้าใจความหมายแล้ว เขาเงยหน้ามองเป่าเหลียน นางจึงก้มหน้าเล็กน้อย

“หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็เตือนว่า “”เจ้าสำนักเองก็รู้ ว่าเดิมทีหนิวคนนี้เป็นคนรักอิสระเสรี ชั่วพริบตาเดียวกลับตกอยู่ในอ่างย้อมผ้าอย่างตำหนักสวรรค์ การแก่งแย่งผลประโยชน์ การใช้เล่ห์เหลี่ยมใส่กัน เกรงว่าถ้าเข้ามาแล้วจะกลับตัวได้ยาก ไม่สอดคล้องกับคำสอนของสำนักลมปราณ สถานที่อันตรายน่าหวาดกลัวขนาดนี้ เจ้าสำนักปล่อยปละละเลยได้อย่างไร?””

อวี้หลิงเจินเหรินหันกลับไปหาหลานสาว “เป่าเหลียน เจ้าเองก็ได้ยินสิ่งที่ฆราวาสบอกแล้ว ตำหนักสวรรค์เป็นสถานที่แห่งปัญหาและความขัดแย้ง เจ้าต้องคิดดูให้ดีนะ”

เป่าเหลียนจึงกุมหมัดกล่าวว่า “ท่านปู่ ต่อให้อยู่ที่สำนักลมปราณแล้วอย่างไรล่ะ ฝึกตนไปจนถึงตอนสุดท้ายก็ไม่ใช่เพื่อจะเป็นแบบปรมาจารย์หรอกเหรอ สุดท้ายก็ต้องเข้าไปทำงานรับใช้ตำหนักสวรรค์ ไม่ช้าก็เร็วท่านปู่ก็ต้องมีวันนั้นเหมือนกัน ไม่สู้ทำแบบนี้ไปเลยล่ะคะ เป่าเหลียนไม่สู้ก้าวเข้าไปก่อนดีกว่า ไปสำรวจเส้นทางให้ท่านปู่ไง!” จากนั้นก็หันไปกุมหมัดคารวะเหมียวอี้ “หวังว่าฆราวาสจะช่วยให้สมปรารถนา!”

อวี้หลิงเจินเหรินหัวเราะเจื่อนแล้วบอกว่า “นางตัดสินใจแล้ว ไม่ทราบว่าฆราวาสคิดว่าอย่างไร ถ้าไม่สะดวก ก็บอกมาตรงๆ ได้ อวี้หลิงจะได้คิดหาทางอื่น”

เหมียวอี้จ้องเป่าเหลียน แล้วขมวดคิ้วบอกว่า “ในเมื่อเป่าเหลียนแน่วแน่แบบนี้ ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะพูด เจ้ากลับไปรอก่อนสักระยะ เดี๋ยวข้ายังต้องเติมกำลังคนอีกชุดหนึ่ง ถึงตอนนั้นจะรายงานชื่อเจ้าไปพร้อมกันเลย คาดว่าคงไม่มีปัญหาใหญ่อะไร ต่อไปก็ทำงานใต้บังคับบัญชาข้าแล้วกัน”

“ขอบคุณฆราวาส!” เป่าเหลียนกุมหมัดขอบคุณอย่างตื่นเต้นดีใจ โค้งตัวกล่าวขอบคุณ!

“อวี้หลิงเจินเหรินหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวฝากฝัง “”เรื่องบางอย่างข้าก็รู้ ที่จริงศิษย์ของสำนักลมปราณไม่เหมาะจะทำงานเป็นขุนนาง ต่อไปหวังว่าฆราวาสจะดูแลเป่าเหลียนมากๆ หน่อย””

เหมียวอี้โบกมือ “เจ้าสำนักเกรงใจเกินไปแล้ว คนกันเองทั้งนั้น ถ้าดูแลได้ก็ย่อมไม่รีรออยู่แล้ว”

หลังจากพูดคุยพอเป็นพิธี ปู่และลหานสาวก็กล่าวอำลาและออกไป

เมื่อกลับมาถึงร้านขายของชำซื่อตรง อวี้หลิงเจินเหรินก็ให้เป่าเหลียนไปทำงาน ส่วนตัวเองก็เข้าไปในห้องของอวี้ซวีเจินเหรินผู้เป็นศิษย์น้อง

เมื่อพบหน้ากัน อวี้ซวีเจินเหรินก็ถามทันที “ศิษย์พี่ หนิวโหย่วเต๋อตอบรับแล้วเหรอ?”

“ไม่ได้ปฏิเสธ ตอบรับแล้ว พอผ่านช่วงไม่กี่วันนี้ไป เป่าเหลียนก็น่าจะต้องไปที่เขตเมืองตะวันออกแล้ว” อวี้หลิงเจินเหรินตอบพร้อมรอยยิ้ม

“เฮ้อ!” อวี้ซวีเจินเหรินส่ายหน้าทอดถอนใจ “นางหนูนี่เป็นอะไรไปแล้ว อยู่ดีๆ จะไปที่ตำหนักสวรรค์ทำไม ศิษย์พี่ ขออภัยที่ข้าพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดนะ เป่าเหลียนเป็นสาวเป็นนาง ให้ไปทำงานรวมกับพวกผู้ชาย ท่านอนุญาตได้อย่างไร นี่ไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดเลย!”

“ศิษย์น้องเอ๊ย! ตอนอยู่ต่อหน้าเจ้า ข้าเองก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังเหมือนกัน” อวี้หลิงเจินเหรินตีข้อมือเขาเบาๆ “เป่าเหลียนนางเด็กนั่นถูกใจหนิวโหย่วเต๋อ นางมีความรักแล้ว ห้ามไม่อยู่หรอก!”

“…” อวี้ซวีเจินเหรินตกตะลึงอ้าปากค้าง “ศิษย์พี่พูดจริงเหรอ?”

อวี้หลิงเจินเหรินยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “โกหกเสียที่ไหนล่ะ! หลานสาวของข้าข้าจะไม่รู้จักดีได้อย่างไร เห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต พอนางเอ่ยปากถึงแม้จะตั้งใจปิดบัง แต่ข้าก็ไม่ถึงขั้นเป็นตาแก่ตาฝ้าฟาง เรื่องบางเรื่องข้ารู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่ข้าไม่ได้เปิดเผยก็เท่านั้นเอง”

“เอ่อ…” อวี้ซวีเจินเหรินอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะถามอย่างแปลกใจ “อย่าบอกนะว่าศิษย์พี่ตั้งใจจะช่วยให้พวกเขาสองคนสมปรารถนา?”

อวี้หลิงเจินเหรินเอามือลูบเครา แล้วพยักหน้ายิ้มบางๆ “ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นข้าก็จะพิจารณาดูอีกที ทั้งเจ้าทั้งข้าก็รู้ๆ กันอยู่ว่าความนิสัยของหนิวโหย่วเต๋อเป็นอย่างไร ทำงานอะไรไม่ค่อยพิถีพิถัน มีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงมากมาย แต่ก้นบึ้งของจิตใจนั้นซื่อตรง ไม่ต้องพูดถึงคุณสมบัติประจำตัวเลย คนแบบนี้สามารถรับผิดชอยเรื่องต่างๆ ได้ เป็นคนที่กำบังลมฝนให้เป่าเหลียนได้เป็นอย่างดี ตอนแรกข้าอยากจะรับเขาเป็นศิษย์ แต่น่าเสียดายที่ทำไม่สำเร็จ ตอนนี้พอลองมาคิดๆ ดูแล้ว เขาคือตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะรับเป็นหลานเขย”

อวี้ซวีเจินเหรินกลับกล่าวอย่างกังวล “กลัวแต่เป่าเหลียนจะสนใจอยู่ฝ่ายเดียวน่ะสิ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้คิดอะไรกับเป่าเหลียนเลย ถึงตอนนั้นจะให้เป่าเหลียนรู้สึกอย่างไร?”

อวี้หลิงเจินเหรินโบกมือ “ไม่เป็นไร! ถึงอย่างไรหนิวโหย่วเต๋อก็ยังไม่ได้แต่งงาน ผู้ชายยังไม่แต่งงาน ผู้หญิงก็ยังไม่แต่งงาน เหมาะสมกันพอดี ให้พวกเขาลองใกล้ชิดกันสักหน่อยก็ไม่เป็นไร นางหนูนั่นมีความรักแล้ว ห้ามไม่อยู่ ถ้าไม่สำเร็จก็ให้นางโดนปฏิเสธไป แบบนั้นก็ไม่มีอะไรเสียหาย จะได้ทำให้นางตัดใจ สำนักลมปราณเดินมาจนถึงวันนี้ได้ หาเส้นสายได้ไม่อยากหรอก ถ้าเป่าเหลียนไม่สมปรารถนาจริงๆ อย่างมากก็แค่ให้นางออกจากตำหนักสวรรค์ก็พอแล้ว”

“ที่แท้ศิษย์พี่ก็มีแผนในใจแล้วนี่เอง” อวี้ซวีเจินเหรินพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากอีก

เรื่องนี้เหมียวอี้ไม่รู้ ถ้ารู้แล้วก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร เกรงว่าคงจะหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ขนาดเขายังไม่คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติดีสักเท่าไรเลย ในปีนั้นพยายามเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นคนดีอยู่ที่สำนักลมปราณ ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งที่จะมาเป็นหลานเขยของเจ้าสำนักอวี้หลิง

ตอนนี้เขาโดนดอกท้อพัวพันรัดตัวแล้ว ทั้งยังมีดอกท้อมหาภัยเพิ่มมาดอกหนึ่งด้วย ในปีนั้นที่เป็นคนเชือดหมูขายหมูอยู่ในตลาด เขาเป็นคนไร้ตัวตนไร้คนสนใจอยู่หลายปี แต่ตอนนี้ชะตาดอกท้อ[1]มาถึงแล้วจริงๆ ทั้งยังมาแบบดุเดือดรุนแรง จะต้านก็ต้านไม่อยู่!

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทางอวิ๋นจือชิวก็ตรวจนับของขวัญเสร็จแล้ว ร้านค้าใหญ่ๆ มอบของขวัญมาไม่น้อย หลังจากนำใบแสดงรายการสิ่งของให้เหมียวอี้ เหมียวอี้ก็ถือของขวัญที่อวิ๋นจือชิวแบ่งไว้ให้แล้วไปมอบแสดงน้ำใจที่ตำหนักคุ้มเมือง

ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ซื้อของที่ตลาดสวรรค์พักหนึ่ง จากนั้นก็ปลอมตัวออกจากตลาดสวรรค์เพียงลำพัง เหาะไปยังจุดลึกของท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล กลับไปยังพิภพเล็ก

ณ ดาวแมกไม้ ในป่าภูเขาซึ่งเป็นที่อยู่ของเผ่าปีศาจ ในสระมรกตในน้ำตกแห่งหนึ่ง ศีลแปดที่สวมชุดสีขาวนั่งขัดสมาธิอยู่บนโหดหินกลางน้ำ ปล่อยให้เรือยร่างเปลือยแหวกว่ายยั่วยวนอยู่ในน้ำ ส่วนเขาก็นั่งตระหง่านไม่สะทกสะท้าน

เปลือยกายตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัวใคร? ปีศาจโลหิตที่แหวกว่ายอยู่ในสระมรกตหันกลับมาโดยไม่ได้ตั้งใจ จู่ๆ ก็ตกตะลึงทันที เท้าเปลือยเหยียบอยู่บนหินที่ก้นสระ เหม่อมองศีลแปดที่กำลังนั่งขัดสมาธิ เรียกได้ว่ามองเหม่ออย่างแท้จริง

ภายใต้ละอองน้ำที่สาดซัดออกมาจากม่านน้ำตก เสื้อของศีลแปดเปียกน้ำจนแนบเนื้อแล้ว บางครั้งหยดน้ำบนศีรษะล้านก็ไหลลงมาเป็นทาง ไหลจากคางและปลายจมูก แต่อากัปกิริยากลับยังสงบนิ่งเยือกเย็น ราวกับหญิงสาวบริสุทธิ์ ที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือ ภายใต้แสงแดดที่ส่องเฉียงลงมา บนตัวศีลแปดเปล่งประกายระยิบระยับ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสายรุ้งเล็กๆ สายหนึ่งแผ่คลุมอยู่เหนือยอดศีรษะของศีลแปด

ประกอบกับเคร่งขรึมศักดิ์สิทธิ์ของศีลแปด ทำให้ในดวงตาปีศาจโลหิตฉายแววตกตะลึง ฝึกตนมาหลายปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นและรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์โดยเนื้อแท้ นึกไม่ถึงว่าแม้แต่นิมิตมงคลแบบนี้ก็ยังปรากฏอยู่บนตัวศีลแปด นางแน่ใจได้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากการร่ายพลังอิทธิฤทธิ์ของศีลแปด เพราะบนตัวศีลแปดไม่มีการเคลื่อนไหวของพลังอิทธิฤทธิ์ แต่ทุกอย่างเป็นความบังเอิญจริงๆ

ภูเขาเขียวหมื่นชาติ พระพุทธเจ้าในสระมรกต!

พระพุทธเจ้า! นี่คือคำแรกที่แวบเข้ามาในหัวของปีศาจโลหิต นางรู้สึกว่าตัวเองได้พบพระพุทธเจ้าตัวจริงแล้ว ไม่ใช่พวกพระที่วางมาดสง่าภูมิฐาน แต่เป็นพระพุทธเจ้าที่มีหัวใจเป็นพุทธอย่างแท้จริง ไม่แปดเปื้อนสิ่งเร้าภายนอก หญิงงามอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่เกิดความคิดใฝ่ฝันจินตนาการ สิ่งเหล่านี้นางล้วนใช้ร่างกายสัมผัสประสบการณ์เอง

ยิ่งเป็นแบบนี้ นางก็ยิ่งปรารถนาอยากได้เขา เพราะเขาไม่ธรรมดา และก็เพราะว่าเขาไม่ธรรมดา จึงทำให้นางยิ่งกลัดกลุ้ม เพราะเป็นเรื่องที่ยากที่จะไขว่คว้าเขามาได้ ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของเขาทำให้นางรู้สึกต่ำต้อยน้อยใจ

ในหัวใจทรมานอย่างบอกไม่ถูก นางดำลงไปในน้ำ แต่น้ำใสในสระก็ยากที่จะชำระล้างความกลัดกลุ้มของนางได้ นางโผล่ขึ้นมาข้างโขดหินกลางสระ ใช้แขนสองข้างกอดศีลแปดเอาไว้ ใช้ร่างกายอ้อนแอ้นคลอเคลีย ปากก็ครางเบาๆ จูบศีรษะโล้น ใบหน้า ติ่งหูของเขาอย่างเร่าร้อน ตอนนี้นางเหมือนปีศาจร้ายที่ทำทุกอย่างเผื่อยั่วยวนเขา

ถ้ายั่วยวนสำเร็จ ต่อให้ตัวเองจะกลายเป็นนางปีศาจมารร้ายที่เลวทรามที่สุด นางก็ไม่สนใจ!

ศีลแปดไม่สะทกสะท้าน บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มบางๆ ในหัวกลับเกิดภาพอีกภาพหนึ่งแทน

สาเหตุที่เขามาถึงที่นี่ ก็เพราะตอนแรกปีศาจโลหิตพุ่งเป้ามาหาพี่ใหญ่ของเขา ปรากฏว่าพอมาถึงพี่ใหญ่ก็ไปแล้ว ทว่าในป่าภูเขาผืนนี้ ภายใต้แสงจันทร์ เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอาบน้ำ นั่งอาบน้ำอยู่บนโขดหินที่เขานั่งอยู่ นั่นคือผู้หญิงที่สวยเหมือนปีศาจ ที่แท้นางก็เป็นปีศาจจริงๆ บนโลกมีปีศาจแบบนี้อยู่จริงๆ เป็นปีศาจผู้หญิงที่ขาวบริสุทธิ์เหมือนแผ่นกระดาย มองบ่อยๆ แล้วร่างกายกับจิตใจได้ชำระบาป

พอเขาเดินมาข้างสระน้ำ ผู้หญิงคนนั้นก็ตกใจรีบเอามือปิดหน้าอก แล้วมุดลงไปในน้ำ ตอนที่นางหลบอยู่หลังโขดหิน เขาก็ยืนถามอยู่ภายใต้แสงจันทร์ว่า “โยมสีการู้หรือเปล่า ว่าสิ่งที่เรียกว่าชะตาดอกท้อเป็นภัยคืออะไร?”

ภาพนั้นช่างงดงาม! ทำให้ตอนนี้เขานึกถึงแล้วยิ้มบางๆ มองข้ามปีศาจโลหิตที่กำลังเกาะแกะพัวพันราวกับไม่มีตัวตน

988

จุดประสงค์ของศีลแปด

ละอองน้ำที่เย็นสดชื่นไม่มีทางดับความร้อนรุ่มในใจปีศาจโลหิตได้ เรือนร่างอ่อนช้อยซุกเข้ามาในอกเขา ใช้สองมือประคองใบหน้าเขา แล้วจูบริมฝีปากเขาอย่างดูดดื่มหิวกระหาย ทั้งวาบหวามทั้งเร่าร้อน ถึงแม้จะไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากศีลแปด แต่สำหรับปีศาจโลหิต นี่ก็คือวิธีการได้เขาอย่างหนึ่งเหมือนกัน เป็นวิธีการครอบครองอย่างหนึ่ง

ท่ามกลางความหลงใหล ขณะกำลังเคลิบเคลิ้ม มือก็ลื่นไหลเข้าไปในเสื้อผ้าของเขา เลื้อยเข้าไปในหน้าอก เริ่มตั้งแต่บนลงล่าง จนกระทั่งถึงตรงหว่างข้า หลังจากนางในจับก้อนปรารถนาของเขา ก็พบว่ามันยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย สิ่งนี้ทำให้นางได้สติกลับมาหลายส่วน ดวงตาที่หรี่ปรือพลันเบิกกว้าง จ้องมองเขาทันที

เมื่อเห็นรอยยิ้มบางๆ ของศีลแปด รอยยิ้มยังคงสะอาดบริสุทธิ์ เกิดข้อเปรียบเทียบชัดเจนกับภาพลักษณ์ที่ล่องลอยเหลวไหลของนาง ปีศาจโลหิตโมโหทันที เพราะรู้สึกได้ถึงความอัปยศอดสู จู่ๆ นางก็บีบคอศีลแปดอย่างแรง อยากจะบีบคอเขาให้ขาด ตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด บีบคอเขาเขย่าอย่างไม่รู้ว่าจะไประบายความโมโหที่ไหน “ลืมตาขึ้นมา มองข้า!”

ศีลแปดโดนบีบคอจนหน้าแดง ได้สติตื่นขึ้นจากความฝันอันงดงามในหัว เขาลืมตามองนาง ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงปรี๊ดแตกอีกแล้ว ส่วนร่างเปลือยที่อยู่ตรงหน้าเขาน่ะเหรอ? ก็เป็นแค่ร่างกาย เขาเห็นจนชินเหมือนเป็นเรื่องปกติแล้ว ต่อให้เย้ายวนกว่านี้ก็สู้ภาพโครงกระดูกดูดเลือดที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำไม่ได้

ในสายตาของเขา ปีศาจโลหิตคือโครงกระดูกที่งดงามอย่างแท้จริงๆ

ขระที่นางบีบคอเขา เขาก็มองหน้านาง ทั้งสองนิ่งเงียบ เงาสองเงาสะท้อนกลับหัวอยู่ในสระมรกต น้ำตกที่อยู่ด้านบนยังคงส่งเสียงดัง

มือนางค่อยๆ ออกแรงเพิ่ม บีบคอจนกระทั่งศีลแปดทำสีหน้าขื่นขม สุดท้ายนางก็ตัดใจลงมืออีกไม่ไหว ปล่อยมือออกแล้ว แต่กลับชักดาบนกเป็ดน้ำสีเลือดออกมาแทน จ่อดาบไว้บนคอศีลแปด “ทำไมไม่ชอบจ้า? หรือว่าข้าไม่สวย?”

ศีลแปดกวักมือเบาๆ ดอกกล้วยไม้ดอกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากสระน้ำลอยเข้ามา เด็ดบุปผาประดับรอยยิ้ม ถามกลับว่า “ดอกไม้ดอกนี้สวยหรือไม่?”

เมื่อเห็นเขาทำท่าเหมือนจะแสดงธรรมเทศนาอีก ปีศาจโลหิตรู้สึกขนลุกนิดหน่อย กัดฟันตอบว่า “สวย!”

“เจ้าชอบรึเปล่า?” ศีลแปดถาม

“ชอบ!” ปีศาจโลหิตตอบ

ศีลแปดจึงยื่นมือเข้าไป นำดอกกล้วยไม้ทัดไว้บนหูนาง แล้วพยักหน้าถามว่า “เจ้าสวยมาก ข้าเองก็ชอบ ก็เหมือนที่เจ้าชอบดอกกล้วยไม้ดอกนี้ แต่พอเด็ดมาแล้ว ผลสุดท้ายก็จะเหี่ยวเฉา ความรักระหว่างชายหญิง ความชอบก็ดี ความสวยก็ดี หากทำเลยเถิดไปคงไม่ดี เมื่อมีระยะห่าง ถึงจะมีการชื่นชม การเด็ดลงมาไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดี เจ้าเข้าใจมั้ย?”

ปีศาจโลหิตรู้สึกเหมือนจะสติแตก ดอกไม้ดอกหนึ่งทัดบนหูนาง เอียงหน้ามองเงากลับหัวที่อยู่ในน้ำ ช่างงดงามจริงๆ แล้จะให้นางตัดใจทำลายทิ้งได้อย่างไร?

“อ๊า…” ดาบถูกเก็บไปแล้ว มือสองข้างกุมศีรษะ ปีศาจโลหิตครวญครางอย่างเจ็บปวด ทิ้งร่างให้ไหลจมลงในน้ำ ดอกกล้วยไม้ดอกนั้นลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ แล้วลอยไปตามกระแสน้ำ บุปผาร่วงหล่นที่มีใจ แต่สายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก[1]

นางกำลังทรมาน ศีลแปดที่อยู่ตรงนี้กลับกำลังดื่มด่ำกับความสุข เขาหลับตาลงอีกครั้ง เสียงน้ำไหล เสียงน้ำตก สภาพแวดล้อมของสระน้ำนี้ ยังขาดเพียงแสงจันทร์ แค่หลับตาก็มองเห็นแล้ว นึกย้อนกลับไปถึงภาพงดงามใต้แสงจันทร์ของคืนนั้น

ปีศาจโลหิตที่ระบายความโกรธในน้ำเสร็จแล้วลอยขึ้นมา ร่างกายท่อนบนหมอบอยู่บนขาของศีลแปด ร่างกายท่อนล่างแช่อยู่ในน้ำ นางสงบลงแล้วเช่นกัน ถามอย่างนิ่งสงบว่า “ศีลแปด เจ้าตัดความรู้สึกระหว่างชายหญิงได้แล้วจริงๆ เหรอ? มารปีศาจยังมีความรู้สึก แต่พระกลับหัวใจไร้ความรู้สึกอย่างนั้นเหรอ?”

ศีลแปดกำลังตกอยู่ในภวังค์ใต้แสงจันทร์ นึกภาพตอนเดินไปริมสระน้ำ แล้วเอ่ยถามใต้แสงจันทร์ “โยมสีการู้หรือเปล่า ว่าสิ่งที่เรียกว่าชะตาดอกท้อเป็นภัยคืออะไร?” เขามองลืมตาก้มมองนาง ถามคำถามเดี๋ยวกันกับปีศาจโลหิต

ปีศาจโลหิตที่หมอบอยู่บนขาเงยหน้า แล้มถามว่า “ข้าคือดอกท้อนำภัยของเจ้าเหรอ?”

“อาจารย์ของข้าบอกไว้ว่า เพราะว่ามี ถึงได้อยู่” ศีลแปดกล่าว

ปีศาจโลหิตรออยู่ครู่หนึ่ง พอไม่ได้ยินประโยคถัดไป นางก็ฟังไม่เข้าใจความหมาย จึงถามว่า “มีแค่นี้เหรอ?”

“นี่ก็คือภัย” ศีลแปดพยักหน้า

ปีศาจโลหิตรำคาญที่เขาใช้วิธีการพูดที่สื่อความหมายไม่ชัดเจนแบบนี้ “ที่เจ้าพูดหาปีศาจพวกนั้นทุกวัน ไม่ยอมจากไป สิ่งนั้นมาจากไหนกัน?”

“ในใจมีความคิดยึดติด เหมือนที่เจ้ามีต่อข้า ถ้ายังไม่ได้ แล้วจะจากไปได้อย่างไร ถ้าปล่อยวางได้ก็ย่อมจากไปได้” ศีลแปดตอบ

ปีศาจโลหิต:”อยู่ที่นี่ข้าไม่สะดวกจะฝึกตน ไปกันเถอะ! ไม่อย่างนั้นอย่าโทษว่าข้าเอาชีวิตของปีศาจพวกนั้นมาฝึกตนนะ”

“นี่คือสถานที่ที่สะอาดบริสุทธิ์ อย่าดูหมิ่นที่นี่ให้บาปตัวเองเพิ่มเลย ผู้อาวุโสของที่นี่ไม่ใช่คนที่เจ้าจะมีเรื่องด้วยไหว” ศีลแปดกล่าว

ปีศาจโลหิตคว้าเสื้อผ้าของเขาแล้วดึง “เจ้าไปกับข้าสิ”

“ข้าจะอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหนแล้ว ถ้าเจ้าอยากจะมาหาข้าก็กลับมาที่นี่ เจ้าจะยังเห็นข้าเสมอ” ศีลแปดตอบ

ปีศาจโลหิตลังเลครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “จริงเหรอ?”

ศีลแปดประนมมือตอบ “อาตมาไม่โกหก”

ปีศาจโลหิตเชื่อคำพูดนี้ ในสายตานาง ศีลแปดไม่หลอกลวงใคร เขาเป็นคนที่มีธรรมะในใจอย่างงแท้จริง ไม่เหมือนพระรูปอื่นที่แสร้งวางมาดสง่าภูมิฐาน

แต่ช่วงนี้นางรับความทรมานมาเต็มที่แล้ว อยากจะออกห่างจากเขาไปคิดทบทวนดูเหมือนกัน ดูว่าตัวเองจะแยกจากเขาได้ไหม ถ้าแยกจากเขาได้ ทั้งชีวิตนี้นางก็ไม่อยากมาพบเขาอีก นางจึงผลึกแขนให้ทั้งร่างตกลงในน้ำ แล้วหมุนวนอยู่ในสระมรกต หมุนผ้ามุ้งสีแดงออกมาหลายเส้น และไม่นานก็สวมใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย

ศีลแปดมองนางพร้อมถามว่า “ยังอยากจะไปคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต๋ออีกเหรอ?”

ปีศาจโลหิตตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่มีโอกาส เขาได้เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกของตลาดสวรรค์ที่ดาวเทียนหยวนแล้ว ข้าไม่สะดวกจะแตะต้องเขาอย่างโจ่งแจ้ง ไม่อย่างนั้นจะเท่ากับเป็นศัตรูกับตำหนักสวรรค์อย่างเปิดเผย ข้ารับผลที่ตามมาไม่ไหว ทำได้เพียงรอเวลา รอให้โอกาสดีๆ มาถึง”

“ทำไมไม่ปล่อยวาง? ทะเลทุกข์ไร้ที่สิ้นสุด หันกลับมาก็คือฝั่ง ถอยหนึ่งก้าว พบท้องทะเลกว้างและท้องนภาอันไพศาล!”

ปีศาจโลหิตดึงผ้ามุ้งสีแดงลอยกระเพื่อมในน้ำ หมอบอยู่บนขาของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็พุ่งขึ้นฟ้าทันที ร่างที่ลอยอยู่บนฟ้าระเบิดเป็นหมอกเลือดกลุ่มหนึ่ง ร่างกายแห้งแล้ว หลุดออกจากละอองน้ำ พุ่งสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ด้วยความเร็วสูง ไปแล้ว!

ศีลแปดเงยหน้ามอง หลังจากผ่านไปนานมากถึงได้ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะเขาสู้ไม่ชนะปีศาจโลหิต ถ้าสู้ชนะนางได้ เขาคงไม่ต้องขยับปากตลบตะแลง คงจะลงมือจัดการนางไปแล้ว

เขารู้สึกซวยมากที่ได้พบปีศาจโลหิต ตอนอยู่พิภพเล็กเสแสร้งเป็นพระที่สูงส่ง อยู่ที่พิภพใหญ่ก็ยังต้องเล่นละครอีก แต่พอปีศาจโลหิตไปแล้วก็ยังต้องเล่นละครต่อไป ก็ช่วยไม่ได้ เส้นทางนี้ต้องขายหน้าตา

เขาลอยขึ้นไปเหยียบลงริมสระ ร่ายอิทธิฤทธิ์ตากเสื้อผ้าให้แห้ง แล้วลอยเข้าไปในจุดลึกของป่าไม้โบราณ

ผ่านไปไม่นาน เขาก็มาที่เผ่าปีศาจอีกแล้ว ตอนนี้เขาได้เป็นแขกของที่นี่ คนที่นี่ไม่ชอบใช้กำลัง ขอเพียงพิสูจน์ได้ว่าเจ้าไร้พิษภัย ก็จะไม่มีใครเห็นเจ้าเป็นแขก

พอมาถึงใต้ต้นไม้ที่เคยนั่งบ่อยๆ เขาก็นั่งขัดสมาธิ ประนมมือสองข้าง ปากก็สวดมนต์อย่างไม่รีบร้อน คนที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วยากที่จะทำความเข้าใจ

แต่ภาพลักษณ์ของศีลแปดเป็นมิตรน่าเข้าใกล้ ประกอบกับจังหวะและท่วงทำนองที่ไพเราะเหมือนบทกวี จึงฟังดูไพเราะมาก เข้ากับบรรยากาศในป่า ราวกับว่าเมื่อได้ยินเสียงนี้แล้ว แม้แต่ต้นไม้ก็จะเติบโตแข็งแรง ดังนั้นจึงเป็นเหมือนที่ผ่านมา เริ่มมีคนเข้ามานั่งฟังเขาสวดมนต์อยู่ข้างๆ แล้ว

มู่หลินหลางเดินมาเตือนข้างๆ “ไต้ซือ เผ่าของพวกเราไม่ได้นับถือพุทธ” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ ไม่ต้องทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์แล้ว แต่เมื่อเห็นศีลแปดไม่ได้รับผลกระทบอะไร นางจึงนั่งฟังเขา ‘ร้องเพลง’ อยู่ข้างๆ เช่นกัน ถึงอย่างไรทุกคนก็ชอบเรื่องที่ดีงามอยู่แล้ว

จนกระทั่งคนมาค่อนข้างเยอะ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ หลังจากรอให้ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าปรากฏตัวและนั่งลงฟังกับคนอื่นๆ เสียงสวดมนต์ของศีลแปดถึงได้หยุดลง แล้วเริ่มแสดงธรรมเทศนากับกลุ่มปีศาจ นำสิ่งที่ไต้ซือศีลเจ็ดบอกมาพูดซ้ำที่นี่รอบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอยู่เป็นระยะ ทุกครั้งเขาจะถามธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่า พยายามใช้ความคิดเพื่อลดระยะห่างระหว่างตัวเองกับธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่า

เขารู้ว่าเรื่องแบบนี้รีบร้อนไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงมีความอดทนมาก ถึงแม้ทุกครั้งมู่หลินหลางจะโผล่มาบอกว่าไม่มีประโยชน์ แต่ศีลแปดก็เข้าใจจุดประสงค์ของตัวเองดี และมองเห็นผลลัพธ์แล้วเช่นกัน ตอนแรกธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าเพียงยืนมองพระที่เคยดูนางอาบน้ำอยู่ไกลๆ จากนั้นก็เดินเข้ามาในกลุ่มคน แล้วก็เข้ามานั่ง จนทุกวันนี้นางคุยกับเขาแล้ว เขารู้สึกว่านี่คือความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่มาก อนาคตงดงามแน่นอน…

หลังจากส่งส่วยประจำปีกลับมาจากแดนโพ้นสวรรค์ ช่างไม้กับช่างหินวางเกี้ยวลง อวิ๋นจือชิวมุดออกมาจากเกี้ยว ยังคงเป็นมารดาแห่งใต้หล้าที่สวมเครื่องแต่งกายสุดหรูหรา ดวงตางามฉายแววเปล่งประกาย มีบารมีน่าเกรงขาม เหยียนซิวกับหยางเจาชิงเข้ามาต้อนรับและทำความเคารพ

อวิ๋นจือชิวที่เดินอย่างไม่ช้าไม่เร็วหันกลับมาสั่งว่า “เรียกฮูหยินตำหนักอินทนิลกับผู้การหยางมาพบข้า!”

ฮูหยินตำหนักอินทนิลก็คือฉินเวยเวยที่อยู่ตำหนักอินทนิล ถึงแม้จะเป็นอนุภรรยา แต่กลับรับหน้าที่แทนท่านทูตอยู่เสมอ เพื่อเป็นการให้เกียรติ ทุกคนต่างเรียกขานอย่างเคารพว่าฮูหยินตำหนักอินทนิล

“ขอรับ!” เหยียนซิวกับหยางเจาชิงเอ่ยรับและไปปฏิบัติตาม ทั้งสองแยกกันไปรายงาน

ผ่านไปไม่นาน ฉินเวยเวยกับหยางชิ่งก็มาเข้าพบที่ปราสาททอง

บนตึกปราสาททอง หลังจากอวิ๋นจือชิวบอกให้คนอื่นๆ ออกไปแล้ว นางก็เลิกวางมาดน่าเกรงขาม บนใบหน้าเผยรอยยิ้ม เข้ามาคล้องแขนฉินเวยเวยพร้อมบอกว่า “น้องสาว มานั่งด้วยกันสิ!”

ฉินเวยเวยไม่กล้านั่งเทียบเสมอกับนาง จึงรีบปฏิเสธแล้ว

อวิ๋นจือชิวเองก็ไม่บังคับ นำแหวนเก็บสมบัติออกมาสองวง แบ่งให้ทั้งสองคน “น้องสาว นี่คือของขวัญที่ท่านสามีของเราสั่งให้ข้านำมามอบให้พวกเจ้า กำชับว่าต้องมอบให้พวกเจ้าให้ได้ บอกว่าถ้าขาดไปแม้แต่เม็ดเดียว เขาจะมาขอคำอธิบายจากข้า พวกเจ้าต้องนับต่อหน้าให้ชัดเจนนะ ไม่อย่างนั้นถ้าข้ากลับไปแล้วเขาถาม ข้าก็จะไม่มีทางอธิบายได้”

ที่จริงเหมียวอี้ไม่คเยพูดอะไรแบบนี้เลย เรื่องในบ้านทางนี้ส่งให้นางจัดการทั้งหมด

หลังจากหยางชิ่งกับฉินเวยเวยเห็นของที่อยู่ข้างใน ทั้งสองก็ตกตะลึงมาก ต่อให้ไม่เคยกินเนื้อหมูแต่ก็รู้ว่าหมูหน้าตาเป็นอย่างไร หยางชิ่งพลันเงยหน้า “ท่านทูต นี่…หรือว่านี่จะเป็น…” เขารู้สึกเหลือเชื่อนิดหน่อย

อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเบาๆ “เป้นสิ่งนั้นแหละ คนละสิบล้านเม็ด เพียงพอให้พวกเจ้าสองคนเพิ่มวรยุทธ์ให้ถึงระดับบงกชทองไวๆ  พวกเจ้านับดูสิ ดูว่ามีเท่าไร”

ไม่ต้องนับเลย ดูจากจำนวนแล้ว ต่อให้ขาดไปบ้างก็ไม่ต่างกันเท่าไร หยางชิ่งยังคงตกตะลึงมาก กุมหมัดถามว่า “ท่านทูต ข้าน้อยจำเป็นต้องถาม นายท่านเหมียวนำของสิ่งนี้มาจากไหนมากมายขนาดนี้?”

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวม พูดมากไปจะไม่เป็นผลดี เมื่อเห็นของสิ่งนี้แล้ว พวกเจ้าก็คงเข้าใจว่านายท่านจะไม่ออกมาพบใครไปอีกนาน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เขากำลังหายเข้ากลีบเมฆเพื่ออนาคตของครอบครัวเรา แม้แต่หลางหลางกับหวนหวนก็ไม่เคยได้ของสิ่งนี้เลยสักเม็ด เป็นเพราะภูมิหลังของพวกนาง ถ้ามีข่าวหลุดว่าพวกเราหาของพวกนี้มาได้ ผู้การหยางก็คงจะรู้ว่าผลที่ตามมาคืออะไร แบบนั้นครอบครัวเราก็จะจบเห่แล้วเหมือนกัน”

ขณะที่พูดก็จับมือฉินเวยเวย “น้องสาว ที่นายท่านไม่ได้มาเจอเจ้านาน ไม่ใช่ว่านายท่านจงใจเย็นชากับเจ้านะ แต่เรื่องนี้สำคัญมาก ไม่สามารถแบ่งสมาธิได้ ข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นชมดอกไม้ชมพระจันทร์กับนายท่านเหมือนกัน แต่กำลังช่วยนายท่านจัดการธุระ ที่ให้เจ้าคุมยอดเขาหยกนครหลวง ก็เพราะว่าเชื่อใจเจ้ามากจริงๆ เจ้าต้องช่วยนายท่านคุมสนามนี้ให้ได้ ไม่จำเป็นต้องแสดงฝีมือมากเกินไป ขอเพียงคุมได้ก็พอ ขอแค่คุมได้หลายร้อยปี รอให้ความสามารถของนายท่านสูงขึ้นก่อน แล้วครอบครัวเราก็จะมีอำนาจทั้งพิภพเล็ก แม้แต่หกปราชญ์ก็ยังต้องยืนชิดซ้าย”

989

ผู้หญิงมากสร้างความยุ่งยาก

คำพูดนี้ทำให้คนฟังหวาดผวาจริงๆ แม้แต่หกปราชญ์ยังต้องยืนชิดซ้าย!

เมื่อก่อนพูดคำนี้ หยางชิ่งและลูกสาวก็อาจจะไม่เชื่อ แต่ในมือมียาแก่นเซียนจำนวนมากเป็นเครื่องพิสูจน์ ยาแก่นเซียนมากมายขนาดนี้ เกรงว่าต่อให้หกปราชญ์รวมกันก็หามาไม่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ แน่

ในใจหยางชิ่งกำลังเต็มไปด้วยคำถาม สงสัยว่าเหมียวอี้หายาแก่นเซียนมากมายขนาดนี้มาจากไหนกันแน่ แต่กลับเห็นอวิ๋นจือชิวมองมาด้วยรอยยิ้มสนิทสนม “ผู้การหยาง ได้ยินว่าท่านกับเทพธิดาหงเฉินสนิทกันมากเหรอ?”

หยางชิ่งหัวใจกระตุกวูบ รู้ว่าพฤติกรรมของตัวเองปิดบังสายตานางไม่ได้ โดนอีกฝ่ายมองออกแล้ว เขาตอบอย่างค่อนข้างอับอาย “เคยคุยกันไม่กี่ครั้งขอรับ”

“แค่คุยกันเองเหรอ?” อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้ว แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “ใครๆ ก็ชอบของสิ่งสวยงามกันทั้งนั้น เทพธิดาหงเฉินเป็นยอดหญิงงามที่หาได้ยากในใต้หล้า ถ้าผู้การหยางถูกใจ นั่นก็เป็นความรู้สึกปกติของมนุษย์เรา แต่ผู้การหยางเป็นคนฉลาด เทพธิดาหงเฉินเป็นลูกศิษย์ของมู่ฝานจวิน ห้ามเอายาแก่นเซียนในมือไปเอาใจเทพธิดาหงเฉินเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะเป็นการนำชีวิตของข้ากับเวยเวยไปเล่นสนุกนะ! ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ยั่วให้มู่ฝานจวินกำจัดพวกเราทิ้งหมด เกรงว่ามู่ฝานจวินก็คงไม่ยอมให้ท่านกับเทพธิดาหงเฉินอยู่ด้วยกันหรอก หวังว่าผู้การหยางจะไตร่ตรองก่อนทำ”

ฉินเวยเวยกำลังรู้สึกกดดันหนักเพราะคุมยอดเขาหยกนครหลวง เพิ่งจะมารู้ตัวทีหลัง เมื่อได้ยินแล้วก็มองหยางชิ่งด้วยสีหน้าฉงน นางรู้สึกแปลกประหลาดใจ ที่แท้พ่อบุญธรรมก็ชอบเทพธิดาหงเฉินแล้วนี่เอง รสนิยมสูงจริงๆ เจ้าตัวทั้งสวยทั้งฐานะสูงส่ง เพียงแต่คำพูดของพี่สาวใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล พ่อบุญธรรมทำแบบนี้ไม่เหมาะสม จะนำมาปัญหามาสู่สามีของตัวเอง สิ่งนี้ทำให้นางกังวลมาก!

โดนคนเปิดโปงความลับแบบต่อหน้า ทำเอาใบหน้าชราของหยางชิ่งแดงเรื่อ กุมหมัดตอบอย่างอับอายว่า “ท่านทูตไม่ต้องห่วง หยางชิ่งเพียงชื่นชมความงามของเทพธิดา แต่กลับรู้จักแยกแยะความสำคัญ ไม่ให้ความรักของชายหญิงมาทำให้เสียเรื่องเด็ดขาด”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ข้าเองก็เชื่อว่าผู้การสามารถแยะแยะความสำคัญได้ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่พูดเปิดโปงต่อหน้าผู้การหรอก เพียงอยากจะเตือนผู้การไว้สักคำ ขอเพียงสามีของของข้ากับน้องเวยเวยสามารถกลายเป็นจ้าวของพิภพเล็กได้ อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างผู้การกับน้องสาว นายท่านย่อมไม่ปฏิบัติต่อท่านอย่างไม่ยุติธรรมแน่ ถึงตอนนั้นอาศัยตำแหน่งขุนนางสูงสุดของผู้การ เทพธิดาหงเฉินหนีไม่พ้นเงื้อมมือผู้การแน่ ผู้การสามารถได้หญิงงามล่มเมืองมาครองอย่างง่ายดาย ถ้าใครกล้ามาแย่งกับผู้การ ข้ากับน้องเวยเวยจะเป็นคนแรกที่ไม่อนุญาต!” นางตบหลังมือฉินเวยเวยเบาๆ “น้องสาว เจ้าว่าพี่สาวพูดถูกรึเปล่า?”

พูดประเด็นนี้ต่อหน้าลูกสาวตัวเอง หยางชิ่งเรียกได้ว่าเคอะเขินทำตัวไม่ถูก

เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ของหยางชิ่ง ฉินเวยเวยก็กลั้นขำเช่นกัน พยักหน้าบอกว่า “เมื่อถึงตอนนั้นก็ต้องให้ท่านพ่อตัดสินใจเองอยู่แล้ว!”

“คำพูดของท่านทูต หยางชิ่งจดจำไว้แล้ว หวังว่าท่านทูตจะพูดจาปรานีบ้าง ไม่อย่างนั้นหยางชิ่งคงอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!” หยางชิ่งเบี่ยงหน้าหนีพลางกุมหมัดคารวะ ไม่กล้ามองหน้าตรงๆ ตอนนี้อับอายสุดๆ

อวิ๋นจือชิวยิ้มพร้อมกล่าวว่า “กลองดีตีเบาๆ ก็ดัง ผู้การหยางเป็นคนฉลาด ควรจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร น้องเวยเวยยังอายุน้อย ประสบการณ์คุมยอดเขาหยกนครหลวงยังมีไม่พอ ท่านเป็นบิดาบุญธรรมไม่อาจนิ่งดูดายได้ ต้องพยายามช่วยอย่างต็มที่”

“ท่านทูตมีบุญคุณอันใหญ่หลวง หยางชิ่งน้อมรับคำสั่ง!” หยางชิ่งเอ่ยรับ

วางเรื่องนี้เอาไว้ก่อน อวิ๋นจือชิวถามอีกว่า “ข้ากลับมาครั้งนี้ทำไมได้ยินว่าหลันโฮ่วกับจางเทียนเซี่ยวของปราสาทดำเนินจันทร์สู้กันอีกแล้วล่ะ?”

หยางชิ่งรายงานว่า “เรื่องนี้ข้าน้อยไปตรวจสอบมาแล้ว ทั้งสองไม่ได้สู้กันแค่ครั้งสองครั้ง เพราะทั้งสองมีทั้งแค้นเก่าแค้นใหม่ จะว่าไปแล้ว เดิมทีทั้งสองเป็นสามีภรรยากันขอรับ”

“เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่” อวิ๋นจือชิวแปลกใจ

หยางชิ่งส่ายหน้าถอนหายใจ “เรื่องนี้ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่คนรุ่นก่อน ตระกูลจางกับตระกูลหลันมีความแค้นกันมาตั้งนานแล้ว ตอนหลังตระกูลจางฆ่าล้างเลือดตระกูลหลัน หลันโฮ่วเป็นคนเดียวของตระกูลที่หนีรอดมาได้ ตอนหลังหลันโฮ่วทำทุกทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการล้างแค้น หลันโฮ่วทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการ เขาใช้วิธีการปิดบังชื่อแซ่แล้วไปจีบลูกสาวของตระกูลจาง ซึ่งก็คือจางเทียนเซี่ยวนั่นเอง และในคืนวันแต่งงาน หลันโฮ่วฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนของตระกูลจางไม่ได้ระวังตัวเพื่อสังหารอย่างโหดเหี้ยม ฆ่าล้างเลือดตระกูลจาง แต่ก็ไม่ได้ทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาด ปล่อยจางเทียนเซี่ยวที่เป็นเจ้าสาวไป ตอนหลังหลันโฮ่วเข้ามาทำงานให้ทางการ จางเทียนเซี่ยวก็ตามเข้ามาทำด้วยเหมือนกัน ที่มาที่ไปของความแค้นระหว่างทั้งสองก็เป็นแบบนี้ ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ สงสัยจะเป็นศัตรูคู่แค้นกัน!” อวิ๋นจือชิวได้ฟังแล้วค่อนข้างทอดถอนใจ แล้วหันกลับมาบอกว่า “เรื่องนี้ให้ท่านจัดการแล้วกัน อย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก”

“ขอรับ!” หยางชิ่งเอ่ยรับคำสั่ง หลังจากถามแล้วว่าไม่มีธุระอย่างอื่น ก็กล่าวขอตัวลา

ในห้องเหลืออยู่แค่สองคน จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็ยื่นนิ้วไปช้อนคางขาวเนียนละเอียดอ่อนฉินเวยเวย แล้วเดาะลิ้นพูดหยอกว่า “ท่านสามีช่างใจร้ายจริงๆ ทำไมปล่อยให้หญิงงามขนาดนี้หนุนหมอนนอนเดียวดายได้”

ฉินเวยเวยเพิ่งผ่านเรื่องระหว่างชายหญิงมาได้ไม่นาน จะทนการหยอกล้อแบบนี้ได้อย่างไรกัน ทำสีหน้าอับอายมาก แก้มแดงราวกับพระอาทิตย์ยามเย็น “ข้าไม่เป็นไรค่ะ งานของนายท่านสำคัญกว่า”

อวิ๋นจือชิวกลับไม่ยอมปล่อยนาง เป่าลมอยู่ข้างหูนาง “ไม่เป็นไรจริงเหรอ? ของบางอย่างถ้ายังไม่เคยลิ้มลองก็ยังดีหน่อย แต่ถ้าเคยลิ้มลองก็รู้รสชาติแล้ว ตอนหนุนหมอนนอนเดียวดายเคยคิดถึงท่านสามีบ้างหรือเปล่า? ตอนนี้ใช้แผนเล่นหมากล้อมก็ไม่ได้ผลแล้วนะ”

“พี่สาว!” ฉินเวยเวยกระทืบเท้า อยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว แก้มแดงเหมือนก้นลิง วิ่งหนีไปโดยไม่ได้บอกลาสักคำ

อวิ๋นจือชิวหัวเราะจนไหล่สั่น พอเดินมาที่หน้าต่างแล้วเห็นฉินเวยเวยหนีออกไปแล้ว ใบหน้ายิ้มของนางก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ นางยืนพิงหน้าต่าง ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ไอ้เวรเอ๊ย ตอนที่เจ้ากำลังย่ำยีดอกไม้อยู่นอกบ้าน ข้ายังต้องช่วยเจ้าจัดการเรื่องในบ้านให้เรียบร้อย เพื่อให้เจ้าได้ทำตัวเจ้าชู้ข้างนอกอย่างสบายใจ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน น่าโมโหนัก…”

พอนางกลอกตา สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ตำหนักคู่แฝด นางจึงเหาะออกทางหน้าต่าง ไปเหยียบลงนอกตำหนักคู่แฝดโดยตรง

เมื่อนางมาถึง ก็ทำให้โอวหยางหลางกับโอวหยางหวนตกใจจนรีบนำคนเดินออกมาคำนับ “คำนับฮูหยิน!”

“เป็นพี่น้องบ้านเดียวกันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องมองข้าเป็นคนนอกหรอก ไม่ต้องมากพิธี!” อวิ๋นจือชิวยื่นมือบอกใบ้ให้ทั้งสองยืนตรง แล้วกวาดตามองสองพี่น้อง พบว่าพวกนางผอมแห้งลงไม่น้อย นางแอบทอดถอนใจ ผู้หญิงสองคนนี้ช่างน่าสงสาร อยู่ในบ้านทั้งวันไม่ก้าวออกประตูไปไหน

สองพี่น้องฝาแฝดเดินนำ อวิ๋นจือชิวที่เดินตามไปตำหนักหลักถามว่า “ทำไมข้าได้ยินว่าพวกเจ้าสองพี่น้องไม่ก้าวออกจากประตูไปไหนเลยล่ะ มีคนไม่เคารพพวกเจ้าสองคนเหรอ?”

“ไม่มีค่ะ ไม่มี!” ทั้งสองรีบปฏิเสธ

เมื่อเข้ามาในโถงหลัก อวิ๋นจือชิวนั่งลงที่หัวโต๊ะ สองพี่น้องฝาแฝดยืนอยู่ข้างๆ หญิงรับใช้รีบนำน้ำชามาวาง

หลังจากดื่มน้ำชาไปคำหนึ่ง อวิ๋นจือชิวก็ถามว่า “ไม่มีจริงเหรอ? แล้วทำไมไม่ก้าวออกจากประตูบ้านเลยล่ะ? ข้างล่างของภูเขาเป็นสังคมมนุษย์ที่เจริญรุ่งเรือง  ทำไมไม่ไปดูหน่อยล่ะ? หรือว่าตอนที่ข้าไม่อยู่ ทางตำหนักอินทนิลไม่ให้เกียรติพวกเจ้าเหรอ? มีอะไรไม่ยุติธรรมก็พูดมาได้เลย ข้าจะตัดสินให้พวกเจ้า!”

“ไม่มีจริงๆ ค่ะ เราสองพี่น้องสงบจิตสงบใจฝึกตนมาโดยตลอด” โอวหยางหลางรีบตอบ

จือฉิน จือฉี จือซู จือฮว่า หญิงรับใช้ทั้งสี่แอบสบตากันเงียบๆ แวบหนึ่ง ในใจมีคำพูดบางอย่าง พวกนางคิดว่าฝ่ายนี้กำลังถูกตำหนักอินทนิลรังแก หงเหมียนกับลู่หลิ่วไม่ค่อยเกรงใจพวกนางสักเท่าไร ถึงแม้จะไม่กล้าทำอะไรหรูฮูหยินทั้งสอง แต่กลับหยิ่งยโสใส่หญิงรับใช้อย่างพวกนางสี่คน ถึงขนาดเรียกใช้งานพวกนางด้วยซ้ำ เหตุผลก็ไม่ใช่เพราะอะไร เนื่องจากฮูหยินตำหนักอินทนิลรับหน้าที่แทนท่านทูต แถมพ่อบุญธรรมของฮูหยินตำหนักอินทนิลก็เป็นผู้การใหญ่ของยอดเขาหยกนครหลวง จัดการธุระต่างๆ ของสายมะโรง ทางนั้นมีอำนาจและตำแหน่งสูงกว่า แต่พ่อแม่ของเจ้านายทั้งสองของพวกนางกลับกำลังต้องโทษ จะเงยหน้าอ้าปากได้อย่างไร ย่อมต้องโอนอ่อนผ่อนตามอยู่แล้ว

ทว่าคำพูดเหล่านี้ พวกนางย่อมไม่กล้าพูดออกมาอยู่แล้ว เจ้านายทั้งสองก็ไม่ยอมให้พูดด้วย ถ้าไม่ทำให้ฮูหยินตำหนักอินทนิลไม่พอใจขึ้นมา จะต้องมีคนมากลั่นแกล้งพวกนางแน่ เกรงว่าจุดจบของฝ่ายนี้จะไม่ดี

ยอดเขาหยกนครหลวงมีสายข่าวของอวิ๋นจือชิวอยู่ทั่วทุกที่ จะมีเรื่องอะไรปิดบังสายตาของนางได้ล่ะ? นางกวาดมองปฏิกิริยาของหญิงรับใช้ทั้งสี่ พฤติกรรมบางอย่างที่หงเหมียน ลู่หลิ่วทำเพื่อเพิ่มบารมีให้เจ้านายตัวเอง อวิ๋นจือชิวก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน ที่นางบอกว่าจะตัดสินความยุติธรรมให้ ปากนางก็พูดไปอย่างนั้นเอง แต่ไหนแต่ไรมา ถ้าบ้านไหนมีผู้หญิงอยู่เยอะ บ้านนั้นก็สงบสุขไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นตราบใดที่ไม่เปิดโปงเรื่องนี้ออกมา นางก็จะไม่หักหน้าฉินเวยเวย ถ้าจะพูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ ถึงอย่างไรตอนนี้ฝ่ายฉินเวยเวยก็ดูน่าไว้ใจมากกว่า

แต่จากที่นี่อวิ๋นจือชิวเห็น หงเหมียน ลู่หลิ่วก็ทำเกินไปจริงๆ หญิงรับใช้ฝ่ายนั้นรังแกหญิงรับใช้ฝ่ายนี้ก็พอแล้ว บางครั้งเวลาเจอสองพี่น้องโอวหยางก็ไม่ก้มหน้าเคารพเลย พูดจาก็ไม่ค่อยเกรงใจเท่าไร การที่สองพี่น้องฝาแฝดไม่กล้าออกจากตำหนัก หงเหมียนกับลู่หลิ่วคือตัวการใหญ่ของเรื่องนี้

นางไม่เชื่อว่าทางด้านหยางชิ่งจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ แต่หยางชิ่งกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย เหมือนจะจงใจให้ท้ายหญิงรับใช้

อวิ๋นจือชิวเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อ ไม่อยากให้ลูกสาวตัวเองได้รับความไม่เป็นธรรม อยากจะให้ลูกสาวอยู่ในฐานะที่เป็นรองเพียงหนึ่งแต่อยู่เหนือคนอื่น

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นจือชิวอยากจะเห็น หยางชิ่งมีจุดยืนของหยางชิ่ง ภรรยาเอกอย่างนางก็มีจุดยืนของภรรยาเอกเหมือนกัน ถึงแม้สองพี่น้องโอวหยางจะเป็นอนุภรรยา แต่ก็ถือว่าเป็นเจ้านายเหมือนกัน หญิงรับใช้สองคนถึงขนาดอาศัยอำนาจมารังแกเจ้านายแล้ว แบบนี้จะไม่แย่หรอกเหรอ? ตอนนี้นางเป็นท่านทูต ยังพอควบคุมได้อยู่ แต่เมื่อใดที่คลี่คลายสถานการณ์ที่พิภพใหญ่ได้แล้ว ท่านทูตอย่างนางก็จะอันตรธานกลายเป็นเมฆหมอก เมื่อสาวใช้ทั้งสองมีเงื่อนไขที่ได้เปรียบมากขึ้น แล้วจะมารังแกนางด้วยหรือเปล่า? หยางชิ่งจะยุยงให้ฉินเวยเวยเกิดความคิดที่จะมาแทนที่ตำแหน่งของนางหรือเปล่า? ใช่ว่าเรื่องนี้จะเป็นไปไม่ได้!

ดังนั้นอวิ๋นจือชิวจึงอยากจะตำหนิสักหน่อย เพียงแต่เรื่องนี้นางไม่สะดวกจะออกหน้าเองโดยตรง ถ้านางออกหน้าเองก็จะเท่ากับเป็นศัตรูกับฉินเวยเวย จะทำให้ในบ้านไม่สงบ จะทำให้เหมียวอี้ลำบากใจ เรื่องนี้ต้องตกเป็นหน้าที่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ให้พวกนางสองคนออกหน้าจะเหมาะที่สุด ฉินเวยเวยกับหยางชิ่งเห็นพวกนางแล้วยังต้องถอยให้สามก้าว

อวิ๋นจือชิวตัดสินใจได้ในชั่วพริบตาเดียว เดี๋ยวถ้ามีโอกาสจะต้องให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สั่งสอนหงเหมียนกับลู่หลิ่วสักยก ให้สาวใช้สองคนนั้นได้รับบทเรียนยาวๆ รับรองว่าฝ่ายหยางชิ่งไม่กล้าพูดอะไรแน่ ที่ตำหนักหลัง นอกจากนางก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์แล้ว ถ้าคนอื่นกล้าแตะต้องเชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์ก็ลองดู รับรองว่าเหมียวอี้เดือดเป็นฟืนเป็นไฟแน่!

เมื่อหาตัวคนสองคนที่จะมาทำหน้าที่ลงโทษคนในบ้านได้แล้ว อวิ๋นจือชิวจึงวางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว

แต่จะว่าไปแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องโชคดีของนางเหมือนกัน ไม่เหมือนพวกฉินเวยเวยที่มีหญิงรับใช้เป็นของตัวเอง ข้างกายนางไม่มีหญิงรับใช้ที่แต่งงานเข้ามาพร้อมกัน ดังนั้นจึงให้เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์รับช่วงต่อมาตลอด ไม่อย่างนั้นถ้าข้างกายนางมีหญิงรับใช้ เกรงว่าหญิงรับใช้ของนางจะต้องเป็นศัตรูกับเชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์แน่ ตอนนี้นับว่าลดความยุ่งยากไปได้ไม่น้อย

“ข้าไปส่งส่วยประจำปีที่แดนโพ้นสวรรค์มาครั้งนี้ ข้าได้เจอกับพ่อแม่ของพวกเจ้าแล้ว ข้าทักทายแทนพวกเจ้าแล้วด้วย ตอนนี้พ่อแม่ของพวกเจ้าแค่ขาดอิสระชั่วคราว ส่วนอย่างอื่นก็ยังนับว่าสุขสบายดี ไม่ได้ลำบากอะไร พวกเขาฝากให้ข้านำจดหมายมาให้พวกเจ้าด้วย” อวิ๋นจือชิวนำแผ่นหยกสองแผ่นมาร่ายอิทธิฤทธิ์ส่งให้ตรงหน้าทั้งสอง


990

ดึงคนจากทะเลดาว

ในจดหมายของอันหรูอวี้กับโอวหยางกวง นอกจากบอกลูกสาวทั้งสองว่าให้เลิกเป็นห่วง พ่อกับแม่สบายดี ก็บอกอีกว่าให้ลูกสาวทั้งสองตั้งใจใช้ชีวิตให้ดี เน้นย้ำว่าให้เชื่อฟังสามีกับอวิ๋นจือชิว

เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เน้นย้ำไม่ได้ออกมาจากใจตัวเอง จดหมายนี้อวิ๋นจือชิวเป็นคนถือว่า เกรงว่าคงเขียนแบบนี้ให้อวิ๋นจือชิวเห็น

สองพี่น้องอ่านจนน้ำตาคลอ ในปีก่อนๆ ตอนที่พ่อแม่ยังมีตำแหน่งสูง ก็เรียกได้ว่าไม่มีอะไรต้องกังวล ที่แดนเซียนจะมีสักกี่คนที่กล้าไม่เกรงใจพวกนาง? แต่ตอนนี้กลับโดนแม้กระทั่งหญิงรับใช้ของคนอื่นชักสีหน้าใส่ แต่ก็จำต้องข่มความโกรธเอาไว้ เป็นอนุภรรยาก็ว่าแย่แล้ว สามีที่แต่งงานด้วยดันหายไปไม่เห็นเงา ไม่รู้เหมือนกันว่าดูถูกดูแคลนพวกนางสองพี่น้องหรือเปล่า

ทั้งสองค่อนข้างคิดมาก สถานการณ์ของพ่อแม่บวกกับสิ่งที่สองพี่น้องกำลังเผชิญตอนนี้ เรียกได้ว่าความเศร้าโศกออกมาจากหัวใจ

เมื่อเห็นทั้งสองเหมือนจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ อวิ๋นจือชิวก็เคาะโต๊ะเบาๆ เบี่ยงเบนความสนใจของทั้งสองคน “วางเรื่องที่ทำให้ร้องห่มร้องไห้เอาไว้ก่อน ตอนนี้พวกเรากำลังจะเผชิญหายนะแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเจ้าสองพี่น้องได้ร้องไห้แน่”

คำพูดนี้ฟังดูค่อนข้างร้ายแรง ทำให้สองพี่น้องและหญิงรับใช้ทั้งสี่มองนางอย่างตกตะลึง ในใจรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรที่ฟังดูร้ายแรงขนาดนั้น

“ฮูหยิน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” โอวหยางหลางลองถามหยั่งเชิง

อวิ๋นจือชิวจ้องด้านนอกลพางพ่นเสียงทางจมูก “ผู้ชายของพวกเราใกล้จะโดนนางจิ้งจอกนอกบ้านหลอกล่อไปแล้ว บ้านนี้ใกล้จะแตกแล้ว พวกเราคิดว่าเรื่องอะไรล่ะ?”

พวกนางมองหน้ากันเลิกลั่ก สองพี่น้องฝาแฝดร้องให้ไม่ออก โอวหยางหวนถามหยั่งเชิงว่า “ฮูหยินหมายความว่า นายท่านมีผู้หญิงอื่นนอกบ้านหรือคะ?”

“เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?” อวิ๋นจือชิวทำหน้าเครียดขรึม ชี้พวกนางสองคนพร้อมตำหนิ “ข้าว่าพวกเจ้าสองพี่น้องนี่ยังไงกัน? ให้นายท่านแต่งงานรับพวกเจ้ามาทำอะไร? เป็นสองพี่น้องฝาแฝดได้เปรียบขนาดไหน แต่กลับกุมหัวใจนายท่านไว้ไม่อยู่ ข้าว่าก่อนหน้านี้พวกเจ้าสองคนปรนนิบัตินายท่านไม่ดีใช่มั้ย?”

พออวิ๋นจือชิวตำหนิแบบนี้ สองพี่น้องก็ยังอับอายทั้งคับแค้นใจ ในใจรู้สึกไม่ยุติธรรมขนาดไหน นายท่านเพิ่งจะแตะต้องพวกเราได้ไม่กี่ครั้งเอง อยู่กับพวกเราน้อยจนนับครั้งได้ พวกเราจะมีทางทำอะไรได้ล่ะ

“พวกเจ้าสี่คนก็เหมือนกัน!” อวิ๋นจือชิวชี้ไปที่ ‘ฉินฉีซูฮว่า’ ถามว่า “พวกเจ้าตอบข้ามาเสียดีๆ นายรับรับพวกเจ้าเข้าห้องหรือยัง?”

หญิงรับใช้ททั้งสี่หน้าแดง ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมพูดจา ในใจพึมพำว่า ขนาดหรูฮูหยินนายท่านยังไม่มีเวลาเลย จะเอาเวลาจากไหนมาแตะต้องพวกเราล่ะ

ที่จริงในใจของพวกนางก็คับแค้นมากเช่นกัน เพียงแต่คำพูดบางคำไม่สามารถเอ่ยออกมาได้

“เงยหน้าขึ้นมา!” อวิ๋นจือชิวตบโต๊ะ “แต่งงานเข้ามาด้วยกันหมดแล้ว ยังจะเขินอายอะไรอีก ข้าถามพวกเจ้าอยู่นะ ไม่ได้ยินเหรอ?”

หญิงรับใช้ทั้งสี่รีบเงยหน้า แต่ละคนตอบเสียงเบาเหมือนแมลงวัน “ยังเจ้าค่ะ!”

อวิ๋นจือชิวถามสองพี่น้องโอวหยางทันที “พวกนางสี่คนไม่ใช่สาวใช้ร่วมห้องของเจ้านายหรอกเหรอ?”

โอวหยางหลางพยักหน้า “เป็นสาวใช้ร่วมห้องเจ้าค่ะ แต่…แต่นายท่านมาที่นี่ไม่บ่อย”

“นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าไร้ประโยชน์เอง อย่าผลักความผิดไปให้นายท่าน” อวิ๋นจือชิวตบโต๊ะยืนขึ้น แล้วกล่าวอย่างชอกช้ำใจ “ขายหน้านัก! พวกเจ้าสองพี่น้องกับสาวใช้ร่วมห้องสี่คน แต่กลับกุมหัวใจนายท่านไม่อยู่ ผู้หญิงในบ้านเป็นโขยงยังเอาชนะนางจิ้งจอกนอกบ้านคนเดียวไม่ได้ เจ้าคิดว่าพวกเจ้าแต่งงานเข้ามาเพื่อทำประโยชน์อะไร? เป็นเพราะไม่พอใจที่ในบ้านมีผู้หญิงน้อย เลยอยากเพิ่มพวกเจ้าสองพี่น้องมาเพิ่มงั้นเหรอ?”

พวกนางเอาแต่ก้มหน้า  เงยหน้าไม่ไหว ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแก้ตัวอย่างไรดี

อวิ๋นจือชิวบอกอีกว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว ว่าจะพาพวกเจ้าสองพี่น้องไปอยู่ข้างกายนายท่าน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าผู้หญิงเป็นโขยงจะเอาชนะนางจิ้งจอกตัวเดียวไม่ได้! ใช่แล้ว ข้าเองก็ไม่ได้บังคับพวกเจ้านะ พวกเจ้าเต็มใจจะไปกับข้าหรือเปล่า?”

สองพี่น้องโอวหยางย่อมปรารถนาจะไปอยู่ข้างกายเหมียวอี้อยู่แล้ว อยู่ที่นี่สุดแสนจะขมขื่นใจ ทั้งยังต้องเกรงใจสายตาคนอื่นอีก จึงรีบพยักหน้าทันที

“อย่าเอาแต่พยักหน้าอย่างนั้น ข้ามองไม่เข้าใจ เต็มใจไปหรือไม่ก็บอกมาให้ชัดเจน” อวิ๋นจือชิวกลับไม่อ้อมค้อม

“ยินดีติดตามฮูหยินไปเจ้าค่ะ!” สองพี่น้องรีบเอ่ยรับ

“งั้นก็ไม่ต้องชักช้าแล้ว เก็บข้าวข้องที่ควรจะนำไปด้วยแล้วไปกับข้า! มาพบข้าที่ปราสาททองภายในเวลาครึ่งชั่วยามนี้!” อวิ๋นจือชิวพูดจบแล้วลุกขึ้นเดินออกไปทันที

พวกนางรีบเดินตามหลังไปส่ง หลังจากมองคล้อยหลังอวิ๋นจือชิวเหาะขึ้นฟ้าไป หญิงรับใช้ทั้งสองก็ตื่นเต้นดีใจมาก จือฉินบอกว่า “คุณหนู ไปอยู่ข้างกายนายท่านก็ดีเหมือนกันนะเข้าคะ ไม่ต้องคอยเกรงใจตำหนักอินทนิลแล้ว”

“พวกเรารีบเก็บของเถอะ นำของใช้ในชีวิตประจำวันไปด้วยให้หมด” จือซูกล่าว

พวกนางวิ่งวุ่นกันอยู่พักหนึ่ง หลังจากเก็บของได้พอสมควรแล้ว ก็ไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย ตามสองพี่น้องฝาแฝดไปพบอวิ๋นจือชิวที่ปราสาททอง

ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวที่ออกมาจากปราสาททองก็มุดเข้าไปในเกี้ยว ช่างไม้กับช่างหินหามเกี้ยวเหาะขึ้นไป โดยมีผู้หญิงหลายคนเหาะตามอยู่ข้างหลัง แฉลบผ่านฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

พวกเขาไม่ได้ไปที่พิภพใหญ่โดยตรง แต่ไปที่ตำหนักดาวบูรพาของทะเลดาวนักษัตรก่อน สงเวยประมุขถิ่นทิศตะวันออกได้ยินข่าวแล้วออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง พอเห็นหน้าก็กุมหมัดคารวะทักทายอย่างร่าเริง “น้องสะใภ้ให้เกียรติมาเยือน ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับใกล้ๆ! เอ๋! น้องห้าไม่ได้มาเหรอ?” เขายื่นศีรษะมองหาในขบวน ปรากฏว่าเห็นสองพี่น้องโอวหยางร่วมเดินทางมาด้วย ทำให้งงนิดหน่อย จากนั้นก็กุมหมัดทักทายทันที “น้องสะใภ้หลางกับน้องสะใภ้หวนก็มาด้วยเหรอ เป็นโอกาสที่หาพบได้ยาก”

สองพี่น้องโอวหยางคำนับทันที “คำนับพี่ใหญ่!” ทั้งสองย่อมเรียกตามเหมียวอี้

ทีแรกทั้งสองก็นึกว่าเหมียวอี้อยู่ที่นี่ แต่พอได้ยินคำพูดของสงเวย พวกนางก็รู้ว่าเหมียวอี้ไม่อยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าอวิ๋นจือชิวพาพวกนางมาที่นี่หมายความว่าอย่างไร

อวิ๋นจือชิวออกจากเกี้ยวมาคำนับทักทาย แล้วบอกว่า “พี่ใหญ่สง ข้าจะไม่พูดจามากพิธีรีตองแล้ว รบกวนเชิญพี่รอง พี่สาม พี่สี่มาด้วยกันเลย น้องสาวมีเรื่องจะปรึกษากับพี่ๆ ทั้งสี่ท่าน” จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “เรื่องเกี่ยวกับพิภพใหญ่!”

สงเวยฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่าทันที หันซ้ายหันขวาทั้งท่านทูตทั้งสองทันที “จินกวง หยินกวง พวกเจ้ารีบออกไปสักเที่ยว เชิญพี่รอง พี่สาม พี่สี่มาที่นี่ บอกว่าน้องสะใภ้มาแล้ว ให้พวกเขารีบมาไวๆ”

“ขอรับ!” จินกวง หยินกวงเหาะขึ้นฟ้าไปทันที

“น้องสะใภ้ เชิญข้างใน!” สงเวยยื่นมือเชิญ

อวิ๋นจือชิวโบกมือ “มีญาติผู้หญิงมาเป็นกลุ่ม ไม่ค่อยสะดวกเท่าไร หาที่พักก่อนเถอะค่ะ รอให้พี่รอง พี่สาม พี่สี่มาถึงก่อน แล้วเราค่อยๆ คุยกันก็ยังไม่สาย”

“ก็ดีเหมือนกัน!” สงเวยพยักหน้า แล้วหันกลับมาเรียก “เด็กๆ!”

เขารีบเรียกลูกน้องมา จัดเตรียมเรือนพักที่ดีที่สุดให้แขกกลุ่มนี้

ในคืนนั้น ฝูชิง อิงอู๋ตี๋และหงเทียนรีบร้อนมาที่นี่ พวกเขารอข่าวเรื่องพิภพใหญ่มานานแล้ว เรียกได้ว่าพอได้ข่าวก็มาทันทีโดยไม่ชักช้า

เพื่อไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัย ในตอนดึกของคืนนั้น ผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างอวิ๋นจือชิวไม่สะดวกจะอยู่ห้องเดียวกับกลุ่มผู้ชาย จึงเลือกศาลาในลานบ้านของที่พัก จุดโคมไฟ วางน้ำชา แล้วถ่ายทอดเสียงคุยกัน

อวิ๋นจือชิวพูดเข้าประเด็นโดยตรง “หนิวเอ้อร์ปักหลักที่พิภพใหญ่ได้แล้ว เสี่ยงชีวิตจนไต่เต้าขึ้นตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกของดาวเทียนหยวนที่พิภพใหญ่”

ประมุขถิ่นสี่ทิศได้ยินแล้วสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็ทำสีหน้าตื่นเต้นดีใจ ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถพูดเรื่องนี้ออกมาได้ นั่นก็แสดงว่าเรื่องของพวกเขาเริ่มมีความหวังแล้ว

“น้องสะใภ้ ไม่ทราบว่าเจ้าห้ามีเจตนาอะไร?” ฝูชิงถาม

อวิ๋นจือชิวตอบว่า “เพื่อที่จะช่วงชิงตำแหน่งนี้ ก่อนหน้านี้หนิวเอ้อร์บาดเจ็บสาหัส เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว เขตเมืองตะวันออกกำลังเขตเมืองตะวันตกของตลาดสวรรค์ส่งนักพรตบงกชทองหกสิบกว่าคนไปปฏิบัติภารกิจ สุดท้ายตายหมด เหลือกลับมาสี่คน หนิวเอ้อร์โชคดีที่รอดมาได้ เก็บชีวิตรอดกลับมาจากเงื้อมมือของนักพรตบงกชทองขั้นหกได้ ถึงได้เป็นผู้บัญชาการของเขตเมืองตะวันออก เรื่องพวกนี้ ถ้าพี่ๆ ได้ไปอยู่ที่นั่นก็จะได้ยินเรื่องนี้เอง”

ประมุขถิ่นสี่ทิศสูดหายใจอย่างตกตะลึง นักพรตบงกชทองหกสิบกว่าคน แต่เหลือรอดกลับมาเพียงสี่คน เจอกับนักพรตบงกชทองขั้นหก เรียกได้ว่าเก็บชีวิตกลับมาได้จริงๆ

“เจ้าห้าลำบากแล้ว!” สงเวยถอนหายใจ

อวิ๋นจือชิวตอบว่า “เพราะนักพรตบงกชทองของเขตเมืองตะวันออกตายหมดแล้ว เดิมทีตำหนักสวรรค์ต้องการจัดกำลังพลมาเติม แต่หนิวเอ้อร์นึกถึงพวกพี่ๆ จ่ายค่าตอบแทนไปมากมาย ถึงได้รับอนุญาตจากเบื้องบนให้เลือกกำลังพลมาเติมด้วยตัวเอง ตอนนี้เขตเมืองตะวันออกขาดรองผู้บัญชาการสองตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการหกตำแหน่ง ผู้บังคับการกองร้อยยี่สิบสี่ตำแหน่ง ตำแหน่งของนักพรตบงกชทองสามสิบสองคน หนิวเอ้อร์ฝืนแบกรับความกดดัน ไม่ยอมให้คนนอกมายึดตำแหน่งพวกนี้เลยสักตำแหน่ง เขาเก็บตำแหน่งทั้งหมดไว้ให้พวกพี่ๆ และก็ด้วยเหตุนี้ เขาถึงมาที่นี่เองไม่ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าเขาออกมา ไม่แน่ว่าเบื้องบนอาจจะยัดคนลงมาก็ได้ เขาก็เลยให้น้องสาวมาด้วยตัวเอง ถามความเห็นของพวกพี่ใหญ่ ว่าเต็มใจจะไปช่วยเหลือเขาอีกแรงหรือไม่ หากยินดีจะไปก็เลือกคนมาสามสิบสองคน หากไม่เต็มใจไป ก็คิดเสียว่าข้าไม่เคยพูด”

“เจ้าห้าลำบากลำบนมากขนาดนี้ มีเจตนาดีให้พวกเรา พวกเราจะไม่รับน้ำใจได้อย่างไร ย่อมเต็มใจไปอยู่แล้ว!” อิงอู๋ตี๋กล่าว

ฝูชิงกลับขมวดคิ้ว “สามสิบสองคน! อย่าบอกนะว่าพวกเราต้องทิ้งทะเลดาวนักษัตรไว้แล้วไม่สนใจคนอื่น?”

“เอ่อ อันนี้…” สงเวยและคนอื่นๆ ไตร่ตรองพักหนึ่ง รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า ถ้าพวกเขาไปแล้ว ก็จะเฝ้าคุมที่ทะเลดาวนักษัตรไม่ได้แล้วน่ะสิ ถ้าพาไปด้วยกันหมด ก็จะเป็นการเคลื่อนไหวที่ใหญ่เกินไปแน่ๆ แถมคนเยอะก็หลายปาก ยังไม่ต้องพูดถึงว่าไปพิภพใหญ่แล้วจะมีคนปากมากหรือเปล่า ก่อนอื่นเลยก็คือความเคลื่อนไหวของที่นี่ปิดบังหกปราชญ์ไม่ได้แน่ๆ

อวิ๋นจือชิววางถ้วยน้ำชาลง กวาเสายตามองทุกคน แล้วบอกว่า “น้องสาวมีความคิดบางอย่าง ไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือเปล่า!”

สงเวยพยักหน้า “ยินดีรับฟังความคิดเห็นอันสูงส่งของน้องสะใภ้” อีกสามคนที่เหลือพยักหน้า

อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า “ทางพิภพเล็กพวกเราจะทิ้งไปไม่ได้ สถานการณ์ที่พิภพใหญ่ยากจะคาดเดา พวกเราต้องเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้สองทาง หากพวกเราอยู่ที่พิภพใหญ่ต่อไปไม่ได้ จะได้กลับมาทางนี้ได้สะดวก ดังนั้นพวกเราต้องกอดทะเลดาวนักษัตรเอาไว้ ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่คิดว่าสิ่งที่น้องสาวพูดมีเหตุผลหรือเปล่า?”

พวกเขาพยักหน้าช้าๆ ฝูชิงบอกว่า “พูดไม่ผิดหรอก เพราะเหตุผลนี้แหละ น้องสะใภ้พูดต่อเถอะ”

“ดังนั้นในบรรดาพี่ใหญ่ทั้งสี่ต้องเหลือคนไว้คุมทะเลดาวนักษัตรเพื่อตบตาคนอื่น ทางนั้นขาดรองผู้บัญชาการสองคน ในบรรดาพี่ใหญ่ทั้งสี่ ไปแค่สองคนก็พอแล้ว ส่วนผู้ช่วยผู้บัญชาการหกตำแหน่ง พี่ใหญ่ทั้งสี่ก็เลือกมาหกคนจากทูตซ้ายและทูตขวาทั้งแปด ส่วนผู้บังคับการกองร้อยยี่สิบสี่คนที่เหลือ ก็เลือกราชาปีศาจอีกยี่สิบสี่คน แต่ต้องระทัดระวังนะ ต้องเลือกคนที่ไว้ใจได้ หากมีข่าวหลุดขึ้นมา แล้วให้ตำหนักสวรรค์รู้ว่ามีพิภพเล็กอยู่ แบบนั้นพวกเราก็หมดทางหนีทีไล่แล้วจริงๆ พาคนไปก่อนกลุ่มหนึ่ง รอให้บุกเบิกสถานการณ์ได้แล้ว ก็ย่อมมีตำแหน่งอื่นรออยู่ ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยๆ ย้ายคนไปที่พิภพใหญ่ก็ได้” อวิ๋นจือชิวกล่าว

หลังจากได้ยินแบบนี้ พวกเขาก็ไตร่ตรองเงียบๆ หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ฝูชิงก็พยักหน้าบอกว่า “ข้าว่าแบบนี้ก็ได้นะ”

พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง หลังจากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแล้ว ก็ตกลงกันตามนี้ เมื่อเจรจากันไปได้สักพัก สงเวยก็บอกว่า “ในเมื่อต้องเหลือคนไว้เฝ้าที่นี่ พี่ใหญ่อย่างข้าไปก็ไม่เหมาะสม จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย เจ้ารอง เจ้าสาม พวกเจ้าสองคนสมองไว พวกเจ้าสองคนไปแล้วกัน ข้ากับเจ้าสี่ตะอยู่ที่นี่”

ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ปฏิเสธ แต่สุดท้ายสงเวยก็ตัดสินใจแบบนี้แล้ว ส่วนผู้ช่วยผู้บัญชาการที่เหลืออีกหกตำแหน่ง หลังจากสี่พี่น้องปรึกษาหารือกัน ก็ตัดสินใจว่าจะให้คนที่ไม่ได้ไปส่งคนไปเยอะๆ หน่อย ทูตซ้ายทูตขวาของสงเวยกับหงเทียนไปด้วย ส่วนฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ หากไปแล้วไม่เหลือลูกน้องไว้เฝ้าก็จะไม่เหมาะสม จึงต่างคนต่างเหลือทูตซ้ายและทูตขวาไว้คนหนึ่ง ตัวเลือกสำหรับตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทั้งหกก็ตกตลงกันตามนี้ ส่วนผู้บังคับการกองร้อยที่เหลืออีกยี่สิบสี่ตำแหน่ง ก็จะเลือกราชาปีศาจไปฝั่งละหกคน แต่เรื่องนี้ตัดสินใจยาก ประมุขถิ่นสี่ทิศขอเวลาพิจารณาหนึ่งคืน เพราะต้องเลือกคนมีความสามารถที่ไว้ใจได้จริงๆ ก้าวแรกที่เข้าไปพิภพใหญ่เกี่ยวข้องกับกาบุกเบิกช่องทาง จะเกิดความผิดพลาดไม่ได้

991

น้องสาวไม่รู้ความ

อวิ๋นจือชิวไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องเลือกคน นางไม่ได้รู้จักลูกน้องของประมุขถิ่นสี่ทิศดีด้วย ต่อให้อยากจะก้าวก่ายก็ก้าวก่ายไม่ได้ อย่างไรเสียถ้าเข้าไปแทรกแซงทุกเรื่องก็ไม่ดีเหมือนกัน ถ้าแทรกแซงเยอะ ตอนหลังก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรแล้ว

เรื่องราวก็ตกลงกันตามนี้แล้ว แต่ก่อนจะแยกย้ายกัน อวิ๋นจือชิวก็โยนประเด็นหนึ่งออกมาอีก “พี่ใหญ่ทั้งสี่ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่น้องสาวยากจะเอ่ยปาก ไม่รู้เหมือนกันว่าควระพูดหรือเปล่า น้องสาวเป็นคนปากตรงกับใจ ถ้าไม่พูดก็เก็บกดแย่ แต่ถ้าพูดออกมา ก็กลัวว่าจะทำให้พี่ใหญ่ทั้งสี่ไม่พอใจ”

ประมุขถิ่นสี่ทิศเพิ่งจะยืนขึ้น พอได้ยินแล้วก็มองอวิ๋นจือชิวที่ยังนั่งอย่างมั่นคง พวกเขาสบตากับแวบหนึ่ง แล้วก็นั่งลงช้าๆ อีกรอบ สงเวยบอกว่า “เป็นคนกันเองทั้งนั้น มีอะไรที่พูดไม่ได้ล่ะ? น้องสะใภ้พูดมาได้เลย”

“พี่ใหญ่สงพูดถูก เป็นคนกันเองทั้งนั้น ก็เพราะเป็นคนกันเองนี่แหละ ข้าถึงไม่สะดวกที่จะพูดคำบางคำออกมา ถ้าไม่ใช่คนกันเอง ข้าก็คงไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้น ข้าเป็นคนปากไม่มีหูรูด แล้วก็ไม่ชอบอ้อมค้อมด้วย เกรงว่าจะต้องพูดออกมาตรงๆ ตั้งแต่แรก” อวิ๋นจือชิวยื่นมือไปรอบวง “พี่ชายทั้งสี่ควรจะรู้ เรื่องที่พิภพใหญ่ นอกจากหนิวเอ้อร์จะเคยพาข้าไปแล้ว เขาก็เคยพาพี่ใหญ่ทั้งสี่ไปด้วย คนอื่นๆ ต่อให้เป็นลูกน้องคนสนิทหรืออนุภรรยา แต่ก็ไม่เคยเปิดเผยให้รู้เลย ขอบังอาจถามพี่ใหญ่ทั้งสี่ ว่าหนิวเอ้อร์มองพวกท่านเป็นคนนอกหรือเปล่า?”

ทั้งสี่ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงพูดแบบนี้ คำพูดพวกนี้หมายความว่าอะไร สงเวยจึงถามว่า “น้องสะใภ้กลัวว่าพวกเราไปแล้วจะไม่ตั้งใจช่วยเหลือเจ้าห้าเต็มที่เหรอ? ถ้าเป็นเรื่องนี้ น้องสะใภ้ไม่ต้องคิดมากเลย พี่น้องของตัวเอง ย่อมช่วยโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอยู่แล้ว”

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น…ข้าจะพูดให้ชัดเจนแล้วกัน ที่ช่วยพวกพี่ๆ ช่วงชิงที่ยืนในพิภพใหญ่ครั้งนี้ เพราะตอนนั้นคนที่เป็นพวกเดียวกันฉวยโอกาสใช้ทวนแทงข้างหลังตอนหนิวเอ้อร์ไม่ทันระวังตัว ถ้าไม่ใช่เพราะหนิวเอ้อร์ไหวตัวได้เร็ว เกรงว่าคงเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว ผู้หญิงอย่างข้าไม่มีความคาดหวังอย่างอื่นหรอก หวังเพียงให้ผู้ชายของตัวเองกลับมาอย่างปลอดภัยเท่านั้น ถึงแม้หนิวเอ้อร์จะทำเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ข้ากลับใจห่อเหี่ยว หลังจากข้าได้ฟังเขาเล่า ข้าก็ตกใจจนแข้งขาอ่อน พวกพี่ๆ ลองพูดมาหน่อย ว่าถ้าหนิวเอ้อร์ตายแล้ว ข้าจะทำอย่างไร?”

ทั้งสี่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ไม่รู้ว่านางคิดอยากจะพูดอะไรกันแน่ ฝูชิงจึงบอกว่า “น้องสะใภ้พูดมาตรงๆ ได้เลย ข้าจะล้างหูรอฟัง”

อวิ๋นจือชิวตอบว่า “ไม่ซับซ้อนเลย เรื่องที่หนิวเอ้อร์มองว่าไม่สำคัญ แต่ฮูหยินอย่างข้ากลับมองว่าไม่สำคัญไม่ได้ เขาไม่สนใจใยดีจนชินแล้ว พวกท่านก็รู้ว่าเขานิสัยเป็นอย่างไร เรื่องเสี่ยงอันตรายอะไรก็ทำมาหมดแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่แย่งตัวข้ามาจากทะเลทรายม่านเมฆา นั่นก็แปลไม่รักชีวิตแล้ว! เขาไม่รักชีวิต แต่ข้ากลับไม่สามารถเห็นเขาไม่รักชีวิตได้ หวังว่าพี่ใหญ่ทุกท่านจะเข้าใจความรู้สึกที่ข้าอยากให้เขากลับมาอย่างปลอดภัย ครั้งนี้ถ้าเปลี่ยนเป็นหนิวเอ้อร์มา เขาก็จะต้องทำเหมือนครั้งก่อนแน่นอน พาพี่ใหญ่ทุกท่านเหาะข้ามท้องฟ้าไปโดยตรง ระหว่างพวกท่านห้าพี่น้องอาจจะรู้สึกว่าไม่เป็นอะไร ถึงแม้หนิวเอ้อร์จะไม่ว่าอะไร แต่จากที่ข้าดูแล้ว ทำแบบนั้นไม่เหมาะสมเลยจริงๆ ครั้งนี้ในเมื่อข้ามาจัดการเรื่องนี้ ข้าก็ขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้เสียก่อน ข้าไม่อยากทำให้เรื่องวุ่นวายจนทุกคนรู้เส้นทางไปกลับพิภพใหญ่กันหมด เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทางหนีทีไล่สุดท้ายของหนิวเอ้อร์ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา ข้าไม่อาจนิ่งดูดายไม่สนใจ ถ้าพี่ๆ อยากจะพาคนไปกับข้าด้วย ข้าก็รู้สึกว่าพี่ๆ อยู่ในกระเป๋าสัตว์จะเหมาะสมกว่า แบบนั้นข้าจะสงบใจหน่อย”

“…” ทั้งสี่คนสบตากันอย่างพูดไม่ออก ที่ยินดีเหลือคนไว้ส่วนหนึ่งแล้วพาคนไปส่วนหนึ่ง ก็เพราะอยากจะรู้เส้นทางให้ชัดเจนก่อนไม่ใช่เหรอ แล้วอีกอย่าง การนำกำลังพลที่ส่วนที่เข้มแข็งที่สุดของทะเลดาวนักษัตรใส่เข้าไปในกระเป๋าสัตว์ของเจ้า หากเจ้าคิดไม่ซื่อฟันกระเป๋าสัตว์ขาดขึ้นมา คนในกระเป๋าสัตว์ก็ไม่มีความสามารถที่จะป้องกันได้ แบบนั้นจะไม่จบเห่กันหมดเหรอ?

“น้องสะใภ้ เจ้าคิดมากไปหรือเปล่า? นี่คือความประสงค์ของเจ้าห้าเหรอ?” หงเทียนขมวดคิ้ว

อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ถ้าเป็นความประสงค์ของเจ้าห้า ข้าก็คงไม่ต้องมารับหน้าที่เป็นคนร้ายๆ แบบนี้หรอก แล้วไม่ต้องมาใส่ใจเรื่องนี้ด้วย ใช่ว่าพวกท่านจะไม่รู้จักเจ้าห้าของพวกท่าน ถึงแม้จะไม่นับว่าเป็นคนดี พวกเราพูดไม่ได้ว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษ แต่กลับเป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตร เขาเป็นคนที่สามารถยอมทำทุกวิถีทางเพื่อพี่น้อง ในปีนั้นตอนที่เขายังเป็นคนตำแหน่งเล็กๆ ตอนยังเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์ เขาก็สู้ตายเพื่อสหายที่ถ้ำล่องนิภา สู้ตายไม่ยอมแพ้ ตอนเข้าร่วมการปราบจลาจลที่ทะเลดาวนักษัตร เพื่อที่จะให้สหายได้หนีไปไกลๆ เขาเสี่ยงชีวิตล่อศัตรูบุกเข้าไปที่เขาเพลิงนภาของเลี่ยหวนเพียงลำพัง ตัดขาตัวเองข้างหนึ่งแล้วกระโดดลงตำหนักบรมอัคคี ของที่ได้จากการปราบจลาจลก็แบ่งกับสหายอย่างยุติธรรม แล้วก็เพราะการตายของผู้หญิงคนหนึ่ง หลังจากกลับมาเขาก็เต็มใจสละอาณาเขตที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ดันทุรังไปอยู่ที่ปราสาทดำเนินธารา ต่อให้โดนลงโทษจนอนาคตตัวเองพัง แต่ก็ต้องล้างแค้นเพื่อผู้หญิงคนนั้นให้ได้ ตอนหลังก็ทำเพื่อเพื่อน สามารปลีกตัวไปได้แต่ก็ไม่ปลีกตัวไป ดันทุรังเข้าร่วมสงครามใหญ่ของสามปราสาท เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว แล้วก็ยังมีเยียนเป่ยหงนั่นอีก พวกเจ้าอาจจะยังไม่รู้ เขาถ่อไปก่อเรื่องใหญ่โตที่นภาจอมมารเพื่อเยียนเป่ยหง ทั้งยังโดนทำร้ายจนสาหัส ถ้าไม่ใช่เพราะข้าไปขอร้องให้ เขาคงจบชีวิตไปแล้ว เรื่องแบบนี้ยังมีอีกนับไม่ถ้วน เขามักจะเอาชีวิตไปล้อเล่นเพื่อเพื่อนแบบนี้เสมอ เขาไม่มองว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ข้ากลัว! ถ้าเจ้าห้าของพวกท่านอยู่ที่นี่ ก็ไม่ต้องพูดถึงเลย ในเมื่อเขาสามารถใจกว้างพาพวกท่านไปไปได้ครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่ครั้งที่สองจะพาไปแบบปิดบัง เขาเป็นผู้ชายใจใหญ่ แต่ข้าเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ความรู้สึกของข้าใครจะเข้าใจได้ล่ะ? พี่ชายทั้งสี่ท่านคะ ข้าไม่อยากเป็นหม้ายหรอกนะ! เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ใหญ่ทั้งสี่ข้าก็จะไม่พูดโกหก หากยินดีจะตอบรับเงื่อนไขของน้องสาว พวกเราก็ไปด้วยกัน  หากพวกท่านไม่ยินดีตอบรับ ต่อให้ข้าต้องแปรพักตร์กับเจ้าห้าข้าก็ไม่ยอมตอบตกลงเด็ดขาด!”!”

คำพูดนี้ทำให้ทั้งสี่เงียบกริบเถียงอะไรไม่ออก ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ พอได้ยินแบบนี้ทั้งสี่ก็ค่อนข้างทอดถอนใจ เมื่อฟังๆ ดูแล้ว ก็พบว่าเจ้าห้าเป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตรจริงๆ เรื่องบางเรื่องพวกเขาก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน และแน่นอนว่ามีบางเรื่องที่ไม่เคยได้ยิน อย่างเช่นโดนซ้อมปางตายที่นภาจอมมาร

ทว่าในใจของทั้งสี่ก็ยังมีสิ่งที่ค้างคาอยู่บ้าง เหมียวอี้เคยพาพวกเขาไปพิภพใหญ่ครั้งหนึ่งคือเรื่องจริง แต่ภายใต้การตบตาของเหมียวอี้ ทำให้พวกเขาไม่รู้เส้นทางชัดเจนเลย เจ้าห้ามันเจ้าเล่ห์มาก

แต่จะว่าไปแล้ว ตอนนั้นก็ชัดเจนมากว่าทุกคนใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ไม่นับเป็นสหายด้วยซ้ำ ตอนนั้นยังไม่ได้สาบานเป็นพี่น้องกันด้วย เจ้าเองก็จะขอให้เจ้าห้าไม่เห็นแก่ตัวไม่ได้

ตอนนี้โดนอวิ๋นจือชิวใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ใช้ฐานะของน้องสะใภ้มาร่ำร้องว่าไม่อยากเป็นแม่หม้าย แม้แต่คำพูดโต้ตอบพวกเขาก็พูดไม่ออก ไม่อย่างนั้นจะตกเป็นที่ต้องสงสัยว่ารังแกเมียของพี่น้องร่วมสาบาน

ทั้งสี่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา อวิ๋นจือชิวอธิบายเหตุผลที่เชื่อถือได้ แล้วก็เสนอเงื่อนไขที่โหดหิน ถ้าไม่ตอบรับก็จะไม่พาพวกเขาไปด้วย อาศัยที่นางมาโวยวายขอร้องอยู่ที่นี่ สรุปก็คือนางพูดจามีเหตุผล หรือจะให้ทั้งสี่จับเมียของพี่น้องร่วมสาบานมาซ้อมยกหนึ่ง แล้วบีบบังคับให้นางนำทางไปเหรอ?

หลังจากแอบปรึกษากันเงียบๆ พักหนึ่ง คาดว่าอวิ๋นจือชิวก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำร้ายพวกเขาเหมือนกัน สงเวยกล่าวอย่างหัวเราะมได้ร้องให้ไม่ออก “ก็ได้! จัดการตามความประสงค์ของน้องสะใภ้ก็แล้วกัน”

อวิ๋นจือชิวยืนขึ้นทันที หลังจากถอยหลังช้าๆ ก็คำนับประมุขถิ่นทั้งสี่ด้วยท่าทางจริงจัง “น้องสาวของขอบคุณที่พี่ใหญ่ทั้งสี่เห็นอกเห็นใจ เพียงแต่น้องสาวยังมีคำขอที่ไร้สาระอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ พี่ๆ ทั้งสี่อย่าบอกหนิวเอ้อร์นะ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยอย่างหนิวเอ้อร์ เขาจะต้องเห็นข้าเป็นศัตรูแน่ๆ เขาอาจจะทิ้งข้าด้วยซ้ำ น้องสาวไม่อยากเป็นแม่หม้ายสามีตาย แล้วก็ไม่อยากเป็นแม่หม้ายสามีทิ้งด้วย”

คำพูดนี้…ถ้าให้เหมียวอี้ได้ยินเข้า คงจะต้องอยากเอาหัวโขกกำแพงตายแน่ มีความเป็นไปได้ต่ำมากที่ท่านขุนนางเหมียวจะทิ้งนาง

ทั้งสี่ยังจะพูดอะไรได้อีก สงเวยถอนหายใจแล้วบอกว่า “น้องสะใภ้กล่าวเกินไปแล้ว พวกเราไม่ใช่คนปากมากพูดซี้ซั้ว ย่อมหวังให้เจ้ากับเจ้าห้ารักใคร่ปรองดองกันอยู่แล้ว”

“น้องสาวไม่รู้ความ ไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร ถ้ามีตรงไหนที่ล่วงเกินทำให้ไม่พอใจ ก็หวังว่าพี่ชายทั้งสี่จะไม่เก็บมาใส่ใจ น้องสาวจะเอาศีรษะโขกพื้นเพื่อขอโทษต่อพี่ชายทั้งสี่ก่อน!” อวิ๋นจือชิวยกกระโปรง ทำท่าจะคุกเข่าลงตรงนั้น

ปาดเหงื่อ! คำขอโทษนี้แสดงออกใหญ่โตเกินไปหน่อยหรือเปล่า ทั้งสี่ไม่สะดวกจะเข้าไปแตะต้องนางด้วย ถึงอย่างไรหญิงชายก็มีความแตกต่างกัน ทั้งยังเป็นผู้หญิงของน้องชายร่วมสาบานด้วย ทำเอาทั้งสี่ทำอะไรไม่ถูก รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ขัดขวางนางเอาไว้ จะยอมให้นางคุกเข่าเอาศีรษะโบกพื้นได้อย่างไร

ในเมื่อคุกเข่าไม่ได้แล้วจริงๆ อวิ๋นจือชิวก็ไม่คุกเข่าแล้ว อย่างไรเสีย ไม่ว่าจะเป็นด้านเหตุผลหรือความรู้สึกนางก็ทำเต็มที่แล้ว

เรื่องราวกำหนดไว้ตามนี้ หลังจากทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกันแล้ว ประมุขถิ่นสี่ทิศก็เดินไปบนลานกว้างของตำหนักดาวบูรพา แต่ละคนเงียบงันพูดไม่ออก

จู่ๆ อิงอู๋ตี๋ก็บอกว่า “พวกเจ้าคิดว่า นี่เป็นความประสงค์ของเจ้าห้าหรือเปล่า?”

“ไหนๆ ก็ตอบตกลงไปแล้ว มาพูดตอนนี้มีความหมายเหรอ?” สงเวยตอบ

ฝูชิงถอนหายใจ “มิน่าล่ะผู้หญิงคนนี้ถึงประคับประคองโรงเตี๊ยมเมฆาวายุที่ทะเลทรายม่านเมฆได้ด้วยตัวคนเดียว เจ้าห้าได้เมียดีจริงๆ!”

หลังจากทั้งสี่ปรึกษากันที่ตำหนักดาวบูรพาเป้นเวลาหนึ่งคืน รายชื่อของคนที่จะไปพิภพใหญ่ก็ถูกำหนดออกมาแล้ว

ในบรรดาประมุขถิ่นทั้งสี่ ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ถูกเลือกให้ไป ในบรรดาทูตซ้ายทูตขวาทั้งแปด จินกวงกับหยินกวงลูกน้องของสงเวย เปินเหลยกับฮั่นเทียนลูกน้องของหงเทียน ชิงเฟิงลูกน้องของฝูชิง โพ่คงลูกน้องของอิงอู๋ตี๋ สรุปว่าทั้งสี่ตำหนักล้วนเหลือคนไว้เฝ้าคุ้ม ส่วนอีกยี่สิบสี่คนก็เลือกราชาปีศาจมาฝั่งละหกคน

เมื่อรายชื่อทั้งสามสิบสองรายชื่อถูกกำหนดแล้ว ก็ส่งคนไปเรียกตัวมาทันที

ตอนพลบค่ำของวันถัดมา สมาชิกก็มากันครบแล้ว มารวมกันในตำหนักดาวบูรพา อวิ๋นจือชิวก็ถูกเชิญมาเช่นกัน ตอนนี้ยืนอยู่ข้างกายประมุขถิ่นทั้งสี่แล้ว

กลุ่มปีศาจไม่รู้ว่ามารวมตัวกันที่นี่ทำไม สงเวยเผชิญหน้ากับทุกคนแล้วถามว่า “ให้พวกเจ้าตัดขาดงานที่อยู่ในมือแล้ว จัดการเรียบร้อยหรือยัง? ไม่ได้มีข่าวเล็ดลอดออกไปใช่มั้ย?”

“ตัดขาดเรียบร้อยแล้วค่ะ! กำลังรักษาความลับ!” หูเฟย ฮูหยินของเลี่ยหวน และเป็นราชินีจิ้งจอกหนึ่งในเก้าราชาปีศาจใต้บังคับบัญชาของฝูชิงเช่นกัน นางถามว่า “นายท่าน เรียกพวกเรามาด้วยธุระอะไรหรือคะ!”

“ไปถึงที่แล้วเดี๋ยวก็รู้เอง รับรองว่าพวกเจ้าต้องดีใจมากแน่” สงเวยตอบ แล้วหันมาพยักหน้าให้อวิ๋นจือชิว “น้องสะใภ้ งั้นก็ออกเดินทางกันเถอะ!”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า แล้วนำกระเป๋าสัตว์ออกมาสองใบ ชูขึ้นพร้อมบอกว่า “ผู้ชายเข้ามาทางซ้าย ผู้หญิงเข้ามาทางขวา”

“ทำอะไรน่ะ?” กลุ่มราชาปีศาจตกใจ แบบนี้ไม่ใช่การเอาชีวิตไปไว้ในมือคนอื่นหรอกเหรอ แค่เอาดาบฟันทีเดียวก็หาที่หลบไม่ได้แล้ว

“จะเปลืองคำพูดมากมายขนาดนั้นทำไม?” อิงอู๋ตี๋หัวเราะเยาะด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ ทำให้เสียงของลูกน้องเงียบลงทันที

ส่วนเขาก็หันตัวมา ถลันตัวเข้าไปในปากกระเป๋าทางซ้ายเป็นคนแรก แล้วฝูชิงก็ตามเข้าไปเป็นคนที่สอง

ประมุขถิ่นทั้งสองกับทูตซ้ายและทูตขวาหกคนเข้าไปหมดแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้วเหมือนกัน ทำได้เพียงทยอยกันตามเข้าไป

“ท่านสามี! ข้าไปกับท่านดีกว่า” หูเฟยเป็นฝ่ายเข้ามาอยู่ข้างกายราชาปีศาจเลี่ยหวน เลี่ยหวนพยักหน้าตอบรับ ภายใต้สถานการณ์ที่แปลกประหลาดแบบนี้ อยู่กันสองสามีภรรยาจะเหมาะสมกว่า อย่างน้อยก็มีคนดูแลกัน

ทว่าเมื่อทั้งสองเข้าไปได้ครู่เดียว หูเฟยก็ร้องโวยวายอยู่ในกระเป๋าสัตว์ “ใครลูบไล้ข้า…ใครลูบข้า…” นางอายที่จะบอกว่ามีคนลูบไล้ก้นนาง

“ไอ้เวรตัวไหนมันทำ?” เลี่ยหวนตะโกนถามอย่างโมโห

ข้างในมีเสียงหัวเราะทันที แต่กลับไม่มีใครยอมรับ

ผ่านไปไม่นาน หูเฟยก็โผล่ออกจากกระเป๋าสัตว์ด้านซ้าย ออกไปอยู่ที่กระเป๋าสัตว์อีกใบอย่างสะบักสะบอม

992

กลุ่มปีศาจรายงานตัว

สายตาอวิ๋นจือชิวฉายแววระแวดระวัง ถึขั้นทำท่ารังเกียจนิดหน่อยด้วย

สงเวยไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “น้องสะใภ้อย่าถือสา เจ้าพวกนี้มุดหัวอยู่ที่ทะเลดาวนักษัตรนานเลยขาดความบันเทิง แกล้งแหย่กันเล่นจนชินแล้ว”

ภายนอกอวิ๋นจือชิวเพียงยิ้มบางๆ แต่ในใจกลับแอบระแวดระวัง ปีศาจพวกนี้สามารถล้อเล่นกันแบบนี้ได้ ลูบไล้เมียคนอื่นซี้ซั้วได้ แต่นางกลับล้อเล่นแบบนี้ไม่ไหว และเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ผู้ชายคนอื่นมาลูบไล้ซี้ซั้ว นางแต่งงานแล้ว เดิมทีก็มีชื่อเสียงว่าเป็นผู้หญิงมือสองอยู่แล้ว ถ้าให้เหมียวอี้เข้าใจผิดอีก นางก็ไม่รู้จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรแล้ว

โลกเราก็เป็นแบบนี้ ผู้ชายมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องปกติมาก แต่ความบริสุทธิ์ของผู้หญิงกลับเป็นเรื่องราวใหญ่โตเท่าฟ้า

ถึงแม้ในปีนั้นนางจะแต่งตัววับๆ แวมๆ แต่ลึกๆ กลับเป็นคนหัวโบราณ ไม่อย่างนั้นเรื่องเสียตัวคงไม่ตกมาถึงมือเหมียวอี้หรอก คงจะเสร็จเฟิงเสวียนไปนานแล้ว ถึงแม้นางจะพูดต่อหน้าเหมียวอี้บ่อยๆ ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงมือสองเหมือนรองเท้าขาด แต่ก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ที่จริงนางสนใจปฏิกิริยาของเหมียวอี้อยู่เสมอ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ นางกำลังทดสอบปฏิกิริยาของเหมียวอี้ ที่จริงแล้วสภาพจิตใจของนางค่อนข้างอ่อนแอ

เรื่องระหว่างนางกับเฟิงเสวียน ภายนอกนางดูไม่คิดเล็กคิดน้อย ภายนอกดูเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ที่จริงแล้วในใจกำลังรู้สึกต้อยต่ำ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้แต่งงานกับเหมียวอี้อย่างสะอาดบริสุทธิ์ขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ คนนิสัยแข็งกร้าวอย่างอย่างนางอาจจะไม่ยอมให้เหมียวอี้มีอนุภรรยาก็ได้ จิตใต้สำนึกของนางคิดว่านี่คือการชดเชยให้เขาอย่างหนึ่ง เพียงแต่นางไม่รู้ตัวก็เท่านั้นเอง

“ระหว่างทางยังต้องใช้เวลาอีก สามสิบสองตำแหน่งใต้บังคับบัญชาของหนิวเอ้อร์ที่ยังว่างอยู่ เกรงว่าถ้าถ่วงเวลาไว้นานแล้วจะอธิบายกับเบื้องบนไม่ได้ น้องสาวต้องนำไปก่อนแล้ว!” อวิ๋นจือชิวกล่าวพลางโค้งกาย

“เชิญ!” สงเวยกับหงเทียนยื่นมือเชิญพร้อมกัน

อวิ๋นจือชิวหันตัวเดินออกไป แต่พอเดินมาถึงประตูนางก็หยุด แล้วก็เรียกฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ออกมาอีก

ประมุขถิ่นทั้งสี่ไม่รู้ว่านางหมายความว่าอย่างไร อวิ๋นจือชิวกลับนำระฆังดาราออกมาสี่อัน แล้วแบ่งส่งให้ทั้งสี่ สอนให้พวกเขาลงตราอิทธิฤทธิ์ของกันและกันเอาไว้ ส่วนจะใช้จังหวะเสียงของระฆังแบบไหนติดต่อกัน นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขาเองแล้ว

ทั้งสี่ดีใจมาก อวิ๋นจือชิวกุมช่องทางไปกลับระหว่างพิภพเล็กกับพิภพใหญ่เอาไว้แน่น ทั้งสี่กำลังกังวลว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นพวกเขาคงไม่รู้แม้แต่สถานการณ์ เมื่อมีระฆังดารานี้ก็จัดการง่ายแล้ว อย่างน้อยถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็ยังแจ้งข่าวได้บ้าง

เพื่อที่จะสร้างวิธีการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ทั้งสี่ทำให้อวิ๋นจือชิวเสียเวลาเดินทางไปแล้วเกือบหนึ่งชั่วยาม

หลังจากจัดการเรียบร้อย ทั้งสี่ก็กล่าวขออภัยอวิ๋นจือชิว ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ถือโอกาสขอร้องพวกเขาว่า “พี่ใหญ่ พี่สี่ หากเกิดปัญหาอะไรที่แดนเซียนสายมะโรง รบกวนช่วยรับมือให้หน่อยนะคะ นั่นคือทางหนีทีไล่ของหนิวเอ้อร์ที่แดนเซียน”

“ได้อยู่แล้ว มีเรื่องอะไรแค่เรียกพวกเราก็พอก็พอ” สงเวยตอบรับ

อวิ๋นจือชิวกล่าวขอบคุณ แล้วฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็เข้าไปในกระเป๋าสัตว์อีก

“พี่ใหญ่ พี่สี่ไม่ต้องไปส่งหรอกค่ะ จะได้ไม่โดดเด่นในสายตาคนอื่น” อวิ๋นจือชิวขอให้ทั้งสองไม่ต้องไปส่ง จากนั้นก็กลับไปยังที่พักคนเดียว เมื่อสั่งให้ช่างไม้กับช่างหินกลับยอดเขาหยกนครหลวงแล้ว นางก็เก็บสองพี่น้องโอวหยางกับหญิงรับใช้ของพวกนางใส่ในกระเป๋าสัตว์ใบหนึ่ง ตอนนี้ถึงได้เหาะขึ้นฟ้าไป หายไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่

สงเวยกับหงเทียนที่ยืนหน้าประตูตำหนักเงยหน้ามองตาม…

อวิ๋นจือชิวที่เหาะเพียงลำพังมุ่งตรงเข้ามาในเขตท้องฟ้าของพิภพใหญ่ ถึงเหยียบลงบนดาวเคราะห์ที่เปล่าเปลี่ยวดวงหนึ่ง แล้วปล่อยกลุ่มปีศาจออกมา แต่ไม่ได้เปิดเผยตัวสองพี่น้องโอวหยางและหญิงรับใช้ของพวกนาง

เมื่อมาถึงที่นี่ ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ถึงได้บอกทุกคนถึงจุดประสงค์ที่มา

“พิภพใหญ่!” ฝูงปีศาจร้องอุทานตกใจ เรียกได้ว่าตกตะลึงมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะมาถึงพิภพใหญ่ในตำนานแล้ว!

แต่ละคนมองไปรอบๆ อยากจะเห็นว่าพิภพใหญ่กับพิภพเล็กมีอะไรต่างกัน แต่เหมือนจะเป็นดาวเคราะห์แบบเดียวกัน มองไม่ออกว่าต่างกันตรงไหน

“ทุกคนกรุณาฟังข้า พิภพใหญ่อันตรายกว่าพิภพเล็ก…” อวิ๋นจือชิวเริ่มอธิบายเรื่องที่ต้องระวังเมื่อมาพิภพใหญ่ ส่วนฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็คอยพูดสนับสนุนอยู่ข้างๆ เป็นระยะ เตือนพวกปีศาจว่าอย่าทำเสียเรื่อง

เมื่อรู้ว่าคุณชายห้าเหมียวอี้บุกเบิกสถานการณ์ที่พิภพใหญ่ ได้เป็นผู้บัญชาการของตำหนักสวรรค์แล้ว เลี่ยหวนก็ถามเสียงดังว่า “ฮูหยินคุณชายห้า ผู้บัญชาการคือคำแหน่งขุนนางแบบไหนเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวตอบพร้อมรอยยิ้ม “เรื่องนี้อธิบายยาก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เดี๋ยวพวกเจ้าไปถึงก็จะรู้เอง ภายใต้สถานการณ์ปกติ จะสามารถคุมดาวเคราะห์ได้หนึ่งดวงเหมือนพิภพเล็ก”

“ทุกคนจำไว้นะ เมื่ออยู่ในที่สาธารณะห้ามเรียกว่าคุณชายห้า ต้องเรียกว่าผู้บัญชาการ หนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการหนิว” ฝูชิงกล่าว

“หนิวโหย่วเต๋อ?” หูเฟยพึมพำอย่างปละหลาดใจ “ทำไมชื่อนี้ฟังดูคุ้นๆ ล่ะ? ประมุขถิ่น คดีนองเลือดค่ายฆ้องเหล็กในปีนั้น เหมือนจะเป็นฝีมือคนที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อนะ?”

“ต้องให้เจ้าเตือนด้วยเหรอ?” ฝูชิงหลอกตามองบน

“อย่าบอกนะว่าฝีมือคุณชายห้า?” หูเฟยแอบหัวเราะ

เรื่องเกิดมาจนป่านนี้แล้ว สืบสาวต่อไปก็ไม่มีความหมายแล้ว ฝูชิงเชิญให้อวิ๋นจือชิวที่ยิ้มโดยไม่พูดอะไรพูดต่อไป

เมื่อเห็นปีศาจพวกนี้ทำท่าตัวอิสระไม่เชื่อฟัง อวิ๋นจือชิวถึงได้เตือนเกี่ยวกับอันตรายของพิภพใหญ่รวมทั้งกฎของตำหนักสวรรค์ บรรยายถึงนักพรตระดับบงกชรุ้งและนักพรตที่มีพลังอิทธิฤทธิ์ระดับอนันตภาพในตำนาน พวกปีศาจฟังจนสูดหายใจอย่างตกตะลึง ตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่าเมื่อตัวเองอยู่ที่พิภพใหญ่ ก็ไม่ค่อยต่างอะไรกับนักพรตบงกชขาวที่พิภพเล็ก คนที่สามารถบีบคอให้ตนตายได้อย่างง่ายดายมีเยอะเป็นกอง เริ่มรู้สึกตึงเครียดในใจแล้ว

แต่รอจนกระทั่งเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง คนพวกนี้ก็เริ่มโห่ร้องโหวกเหวก ตื่นเต้นดีใจสุดๆ!

ตอนที่มาถึงดาวเทียนหยวน อวิ๋นจือชิวก็แยกกับพวกเขาแล้ว ถ้าปรากฏตัวที่ดาวเทียนหยวนพร้อมกันจะไม่เหมาะสม นางใช้ระฆังดาราแจ้งให้เหมียวอี้รู้ล่วงหน้า กลุ่มปีศาจเฒ่ามาถึงแล้ว เมื่อพากลุ่มปีศาจเฒ่ามาถึงที่นี่ ก็ไม่มีธุระอะไรของนางแล้ว ที่เหลือก็ส่งต่อให้เหมียวอี้

ตอนที่กลุ่มปีศาจมาถึงประตูเมืองตะวันออก ก็ย่อมมีทหารสวรรค์ที่เฝ้าประตูมารับและนำทาง จำได้ง่ายมาก เมื่อกลุ่มปีศาจรวมตัวกัน ปราณปีศาจก็อบอวล

เมื่อเห็นกลุ่มปีศาจถูกพาเข้าเมืองไปแล้ว อวิ๋นจือชิวที่ปลอมตัวเสร็จถึงได้โผล่หน้าออกมา แล้วเข้าไปในประตูเมืองตะวันออกเพียงลำพัง

นางไม่ได้กลับร้านโฉมเมฆา แต่ไปที่ร้านค้าเล็กๆ ตรงหัวมุมที่อยู่เยื้องตรงข้ามกับร้านโฉมเมฆา

จะว่าไปก็บังเอิญเหมือนกัน ขณะที่เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดเรื่องหาร้านค้า จู่ๆ ทางตำหนักสวรรค์ก็มีคนทำผิดกฎ บอกว่ามีสมคบคิดก่อกบฏอะไรสักอย่าง พอเริ่มลงโทษ ก็มีการรายงานเบื้องบน จึงร่วมกันค้นร้านและยึดทรัพย์ ตลาดสวรรค์เพิ่งสั่งปิดร้านหลายร้าน ฝั่งเขตเมืองตะวันออกมีร้านว่างสองร้านพอดี

เหมียวอี้ย่อมพลาดไม่ได้อยู่แล้ว แต่ด้วยความสามารถของเขา ถ้าอยากจะฮุบไว้เฉยๆ ก็เป็นไปไม่ได้ ยังต้องจ่ายเงินซื้อ แต่จ่ายเงินซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้ เหมียวอี้ก็เลยหน้าด้านไปหาโค่วเหวินหลาน ขอให้โค่วเหวินหลานช่วย โดยให้เหตุผลว่าเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆาอยากจะช่วยหาร้านค้าให้สหายของตัวเอง

โค่วเหวินหลานยอมเขาแล้ว ถามเขาว่า : อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ครั้งก่อนปี้เยว่ฮูหยินก็เคยตำหนิเจ้า เจ้ายังไม่ยอมวางมืออีกเหรอ?

เหมียวอี้ตอบว่า : เดิมทีนางจะไปขอให้ปี้เยว่ฮูหยินช่วย แต่ข้าแย่งช่วยเอง ผู้บัญชาการใหญ่ ท่านจะไม่สนใจใยดีควาสุขชั่วชีวิตของข้าน้อยไม่ได้นะ!

“ผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ความสุขชั่วชีวิตบ้าอะไรล่ะ!” ถึงแม้โค่วเหวินหลานจะพูดเหน็บแนม แต่เก็ยังช่วยเหลือเขาอยู่ดี

ร้านใหญ่เหมียวอี้ไม่ต้องไปคิดถึงแล้ว เหตุผลแรกเป็นเพราะเหมียวอี้ซื่อไม่ไหว อีกเหตุผลก็คือมีคนจ้องไว้แล้ว จึงขายร้านเล็กๆ ให้เหมียวอี้ในราคาถูก ลดลงเกือบครึ่งราคา แต่ก็ยังต้องจ่ายสามล้านล้านผลึกแดงอยู่ดี

เป็นร้านค้าที่กินพื้นที่ไม่เกินสองหมู่[1] ปกติถ้าไม่มีห้าล้านล้านผลึกแดงก็ไม่มีทางได้มา ของแบบนี้ต่อให้มีเงินก็ครอบครองไม่ได้ บังเอิญจริงๆ ที่โค่วเหวินหลานออกหน้าพูดให้ ไม่ใช่แค่ได้ร้านค้ามาเท่านั้น อีกฝ่ายยังลดราคาให้สองล้านล้านผลึกแดงเพราะเห็นแก่หน้าโค่วเหวินหลานด้วย ทั้งยังไม่ต้องรีบจ่ายเงิน

ถึงแม้จะแพง แต่ถ้าให้ซื้อก็ยังพอซื้อไว้ พอเปลี่ยนมือก็ทำกำไรได้ เหมียวอี้ย่อมต้องซื้อไว้อยู่แล้ว ถึงอย่างไรที่ตั้งของร้านค้าก็อยู่ห่างกับร้านของอวิ๋นจือชิวแค่ถนนสายเดียว

หลังจากเข้ามาถึงร้านค้าที่ระเกะระกะและแน่ใจแล้วว่าข้างในไม่มีคน อวิ๋นจือชิวก็เลิกปลอมตัว แล้วเรียกสองพี่น้องโอวหยางกับหญิงรับใช้ของพวกนางออกมา แล้วอธิบายสถานการณ์ให้ฟัง

เมื่อรู้ว่าได้มาถึงพิภพใหญ่แล้ว สองพี่น้องโอวหยางก็ตกตะลึงไม่หาย

“เรื่องสถานการณ์ของที่นี่ เดี๋ยวค่อยให้เชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์มาอธิบายให้พวกเจ้าฟังอย่างละเอียด แล้วก็พวกเจ้าสี่คน ฟังข้าให้ดีนะ ที่นี่เกี่ยวข้องความเป็นความตายของทุกคน ห้ามรับคนนอกเข้ามาเด็ดขาด ถ้าภายในหนึ่งเดือนทำให้นายท่านรับพวกเจ้าเข้าห้องไม่ได้ พวกเจ้าก็ไตร่ตรองผลลัพธ์เอาเองแล้วกัน ถึงตอนนั้นอย่าโทษว่าฮูหยินอย่างข้าไร้น้ำใจ ข้าไม่เอาชีวิตของทั้งครอบครัวมาล้อเล่นแน่!” อวิ๋นจือชิวเตือนพร้อมกวาดมองฉินฉีซูฮว่าด้วยสายตาเย็นเยียบ

หญิงรับใช้ทั้งสี่ตกใจจนตัวสั่น ทั้งหวาดกลัวทั้งอับอาย ภายในหนึ่งเดือนนี้ก็จะได้กลายเป็นผู้หญิงของนายท่านแล้ว นี่คือเรื่องที่พวกนางทั้งตื่นเต้นทั้งตั้งตารอ พวกนางแอบมองนายหญิงทั้งสองอย่างเงียบๆ

โอวหยางหลางจึงรีบบอกว่า “ฮูหยินโปรดระงับโทสะ รอให้พวกเราสองพี่น้องเจอนายท่านก่อน แล้วพวกเราจะจัดเตรียมให้ค่ะ!”

อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า “เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว การหาร้านค้าในตลาดสวรรค์ไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าจะไปหานายท่านที่จวนผู้บัญชาการเพื่อลงทะเบียนก่อน ทำเรื่องนี้ให้เป็นรูปเป็นร่างก่อน พวกเจ้าสี่คนรออยู่ที่นี่ ยังไม่คุ้ยเคยกับชีวิตข้างนอก อย่าเพ่นพ่านไปทั่ว เดี๋ยวข้าให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์พาคนมาช่วยพวกเจ้าเก็บกวาดที่นี่”

“เจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้ทั้งสี่เอ่ยรับอย่างว่าง่าย เมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยินที่เป็นภรรยาเอก พวกนางไม่กล้าขัดคำสั่งอะไรทั้งนั้น

จากนั้นอวิ๋นจือชิวก็นำสองพี่น้องโอวหยางออกไป

ในตำหนักใหญ่ของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เหมียวอี้นั่งอยู่เบื้องบน กลุ่มปีศาจเฒ่าที่เข้ามาเห็นเขาต่างก็ตาเป็นประกาย

หลังจากเหมียวอี้โบกมือบอกให้พวกลูกน้องออกไป ถึงได้ดินลงบันไดมากุมหมัดคารวะ “พี่รอง พี่สาม คิดถึงน้องชายล่ะสิ!”

“เจ้าห้า! ลำบากแล้ว!” ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋เข้ามาประคองแขนเขา

ส่วนกลุ่มราชาปีศาจก็คำนับพร้อมกัน “คำนับคุณชายห้า!”

“มากันแล้วเหรอ!” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เวลาไม่มีคนนอกก็เรียกขานกันแบบนี้ได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกยังต้องเรียกข้าว่าผู้บัญชาการนะ”

“รับทราบ!” กลุ่มปีศาจเอ่ยรับ

“ไป! ไปยืนยันตัวตนให้เป็นรูปธรรมก่อน ตามข้าไปตำหนักคุ้มเมือง ถ้ามีอะไรเดี๋ยวค่อยคุยกันทีหลัง” หลังจากเหมียวอี้พาทุกคนเดินก้าวยาวออกจากตำหนักใหญ่ ก็มีคนไปเชิญเป่าเหลียนที่ร้านขายของชำซื่อตรงทันที

พอออกจากจวนผู้บัญชาการ ถนนที่เจริญรุ่งเรืองด้านนอกและประเพณีที่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้กลุ่มปีศาจรู้สึกอัศจรรย์ใจมาก โดยเฉพาะหูเฟยและผู้หญิงคนอื่นๆ เรียกได้ว่าเห็นแล้วตาลุกวาว พวกนางกำลังคิดว่าวันหลังต้องมาเดินเล่นสักหน่อยแล้ว

พอมาถึงตำหนักคุ้มเมืองและเห็นโค่วเหวินหลาน กลุ่มปีศาจก็พึมพำในใจ ว่าผู้บัญชาการใหญ่ดำจริงๆ มีแค่ฟันกับตาที่ขาว รอจนกระทั่งโค่วเหวินหลานสะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมาเหมือนผู้หญิง พวกเขาก็ตกใจมาก ยื่นงงอยู่อย่างนั้น

โค่วเหวินหลานเห็นกลุ่มปีศาจแล้วก็กลัดกลุ้มเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะพวกเขาทั้งหมดเป็นปีศาจ แต่เป็นเพราะเกินครึ่งดูมีอายุมากเกินไป อย่างเช่นฝูชิง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ทรัพยากรฝึกตนที่พิภพเล็กมีไม่พอ ไปเทียบกับนักพรตบงกชทองของพิภพใหญ่ที่ดูอ่อนเยาว์มากไม่ได้

“วรยุทธ์เท่าไรกันแล้ว?” โค่วเหวินหลานอดไม่ได้ที่จะถาม อย่าเอานักพรตบงกชรุ้งกับนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพมาขู่ข้าเชียวนะ

993

ภารกิจเสร็จสิ้น

พอเหมียวอี้พยักหน้าให้สัญญาณกับทุกคน กลุ่มปีศาจเฒ่าก็เผยวรยุทธ์บงกชทองตรงหว่างคิ้วทันที

เมื่อเห็นว่าทั้งหมดมีวรยุทธ์ระดับบงกชทองขั้นหนึ่ง สอง สาม โค่วเหวินหลานถึงได้วางใจ ขอเพียงเป็นเรื่องที่รับปากไว้แล้ว เขาก็จะจัดการอย่างรวดเร็วมาก มีมาดของลูกชายจากตระกูลใหญ่ ลงทะเบียนสร้างรายชื่อทันที บันทึกตราอิทธิฤทธิ์ไว้สำหรับตรวจสอบ รวบรวมใส่เข้าไปในทะเบียนของตำหนักสวรรค์ ส่วนเรื่องของเป่าเหลียนก็ย่อมถือโอกาสดำเนินการไปด้วยเลย

หลังจากทำตามระเบียบข้อบังคับเสร็จแล้ว ก็ร่างรายการอาวุธและเกราะรบที่ทุกคนต้องใช้ออกมา แล้วสั่งให้คนไปนำมาแจกจ่าย

หลังจากชายหญิงทุกคนสวมเกราะรบแล้ว ก็ดูสง่าผ่าเผยเหมือนกัน

โค่วเหวินหลานย่อมไม่อยู่กินดื่มคุยเล่นกับทุกคนอยู่แล้ว โบกมือให้เหมียวอี้รีบจัดการเรื่องกำลังคนให้เข้าที่

อวิ๋นจือชิวที่อยู่อีกด้านก็พาสองพี่น้องโอวหยางไปที่ร้านโฉมเมฆาก่อน ให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์นำคนงานสองสามคนไปเก็บกวาดที่พักให้สองพี่น้องโอวหยาง จากนั้นค่อยพาพวกนางไปที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก

ตอนที่มาถึงจึงได้รู้ว่าเหมียวอี้ไม่อยู่ เพราะไปที่ตำหนักคุ้มเมืองแล้ว แต่เถ้าแก่เนี้ยก็หน้าใหญ่มากทีเดียว เมื่อพวกลูกน้องรู้ว่านายท่านผู้บัญชาการกำลังจีบนาง ก็เชิญเข้าไปนั่งข้างในก่อนทันที ไม่กล้าให้รอที่ประตู

เหมียวอี้นำกลุ่มปีศาจเหาะลงมาจากฟ้า พอเหยียบลงพื้น พอนักพรตบงกชทองสวมเกราะทองหลายสิบคนก็ปรากฏตัว เหล่าทหารสวรรค์มากมายในจวนผู้บัญชาการก็ร่ำร้องในใจ หัวใจตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ไม่มีโอกาสเลื่อนขั้นเป็นกรณีพิเศษแล้ว

เบื้องล่างย่อมมีคนมารายงานให้ทราบว่าเถ้าแก่เนี้ยมาแล้ว

เหมียวอี้กำชับให้ลูกน้องพากลุ่มปีศาจเฒ่าไปพักผ่อนก่อน แล้วก็สั่งให้คนให้เชิญเถ้าแก่เนี้ยมาที่จวนขุนนางของตน

เมื่อได้เจอเหมียวอี้อีกครั้ง โอวหยางหลางกับโอวหยางหวนก็ตื่นเต้นหวั่นไหวมาก แทบจะโผเข้าไปกอดเขา แต่กังวลที่อวิ๋นจือชิวอยู่ด้วย ทั้งยังมีลูกน้องของเหมียวอี้มาวางน้ำชาให้ พวกนางจึงข่มใจเอาไว้

เหมียวอี้สั่งให้ลูกน้องออกไปก่อน เมื่อเห็นสองพี่น้องโอวหยางผอมลงไม่น้อย และไม่หยิ่งยโสเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรกที่ทะเลทรายม่านเมฆา เขาก็มองพวกนางด้วยแววตาสับสน นึกอยากโอ้อวดฝีมือแต่กลับกลายเป็นปล่อยไก่ ถึงไม่ถึงว่าจะเป็นการกำหนดชีวิตการแต่งงานของตัวเอง ถึงจะบอกว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับพวกนาง แต่ตอนนี้ในใจก็นึกเป็นห่วงขึ้นมาในบางครั้ง คำกล่าวที่ว่า ‘เป็นสามีภรรยากันคืนเดียวเท่ากับติดนี้บุญคุณกันไปร้อยวัน’ ไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ เพราะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทิ้งทั้งสองไว้ที่พิภพเล็กตลอดโดยไม่สนใจถามไถ่ ในใจเขาก็รู้สึกผิดอยู่บ้างเหมือนกัน

อวิ๋นจือชิวมองดูปฏิกิริยาของทั้งสองฝั่ง แล้วถามหยอกล้อว่า “ต้องให้ข้าหลบไปก่อนรึเปล่า?”

เหมียวอี้ไอแห้งๆ ทีหนึ่ง แล้วพูดกับทั้งสองว่า “หลางหลาง หวนหวน คืนนี้ข้าจะไปหาพวกเจ้า”

ไปหาพวกนางเพื่อทำอะไร ก็ย่อมไม่ต้องบอกแล้ว ทั้งสองเอ่ยรับอย่างเขินอาย “ค่ะ!” ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าแล้ว

“ไปที่ร้านข้าแล้วกัน พวกเจ้าไปมาหาสู่กันแบบเปิดเผยไม่สะดวก” อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วบอก

เหมียวอี้ปฏิเสธว่า “เดี๋ยวข้าปลอมตัวไปก็แล้วกัน” รู้สึกแปลกจริงๆ ที่ต้องทำเรื่องแบบนั้นอยู่ใต้หนังตาอวิ๋นจือชิว

“งั้นเจ้าก็ระวังหน่อยแล้วกัน ด้วยฐานะของเจ้าในตอนนี้ โผล่ไปไหนทีก็ดึงดูดความสนใจได้ง่าย เดี๋ยวข้าให้ผีจวินจื่อขุดหลุมให้” อวิ๋นจือชิวเอ่ยอย่าไม่ใส่ใจ แล้วก็เปลี่ยนหัวข้อไปคุยเรื่องสำคัญ “รีบดำเนินการเรื่องร้านค้าให้เป็นรูปธรรมเถอะ ค่ำคืนยาวนานกลัวความฝันจะเปลี่ยน!”

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วตะโกนเรียกเสียงดัง “ทหาร!”

มีคนวิ่งเข้ามาจากด้านนอกทันที หลังจากได้รับคำสั่งก็วิ่งไปเรียกคนที่รับหน้าที่ดำเนินการด้านนี้มา อีกฝ่ายไม่กล้าบ่นอะไรต่อหน้าเหมียวอี้ ดำเนินการให้ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว แต่เงินก็ยังต้องจ่าย อวิ๋นจือชิวจ่ายเงินครบในรวดเดียว เหมียวอี้เป็นตัวแทนของทางการเพื่อลงนามกับสองพี่น้องโอวหยาง จากนั้นเหมียวอี้ก็สั่งให้คนเชิญอิงอู๋ตี๋มาหา ให้อิงอู๋ตี๋นำกำลังคนคุ้มกันส่งเงินไปให้ตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้ไม่ได้ควบคุมเงินส่วนนี้

หลังจากจัดการธุระเรียบร้อย อวิ๋นจือชิวก็พาสองสาวออกไป นางคิดว่าเหมียวอี้ไม่อยากไปพบกับสองสาวเป็นการส่วนตัวที่ร้านของนาง จึงซื้อชัยภูมิถ้ำสวรรค์หนึ่งหลังกับค่ายกลป้องกันตัวขนาดเล็กให้พวกนาง เสร็จแล้วถึงได้กลับไปหาพวกนาง ส่วนเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็กำลังนำคนไปเก็บกวาดพอดี

หลังจากอวิ๋นจือชิวตรวจดูอย่างละเอียด ก็รู้สึกว่ายังต้องซ่อมแซมตกแต่งใหม่สักหน่อย ต่อไปก็ต้องย้ายผลึกสกัดที่มีความบริสุทธิ์สูงของร้านโฉมเมฆามาที่นี่ ในเมื่อสองพี่น้องโอวหยางมาที่นี่แล้ว นางก็ต้องหางานให้ทั้งสองทำ ไม่อย่างนั้นถ้าเบื่อเซ็งเกินไปจะเกิดปัญหาได้ง่าย

พอนางกลับไปที่ร้านโฉมเมฆา ก็กำชับให้คนงานไปจัดการเรื่องนี้ทันที พร้อมทั้งไปหาผีจวินจื่อ ให้ผีจวินจื่อวางแผนขุดทางใต้ดิน สิ่งที่ต้องการเป็นอันดับแรกคือความปลอดภัย ผีจวินจื่อรับประกันอย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะเขาถนัดเรื่องนี้ที่สุด จึงไปเลือกสถานที่เพื่อสำรวจลักษณะพื้นภูมิทันที

ส่วนเหมียวอี้ก็เรียกพวกฝูชิงให้มาหา พอคุยกันถึงเรื่องบางอย่าง ถึงได้รู้ว่าอวิ๋นจือชิวได้พูดสิ่งที่ควรจะพูดกับพวกเขาไปแล้ว ทำให้เขาหมดเรื่องกังวลใจไปหลายเรื่อง จากนั้นก็จัดแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบของรองผู้บัญชาการ ผู้ช่วยผู้บัญชาการและผู้บังคับการกองร้อยลงไป ให้พวกเขาต่างคนต่างพาลูกน้องไปทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์

ในบรรดาพวกเขายังเหลืออยู่หนึ่งคน นั่นก็คือเป่าเหลียน บนตัวนางสวมเกราะรบสีดำ ทหารสวรรค์หญิงที่ระดับยังไม่ถึงล้วนสวมเกราะดำ เป็นทหารสวรรค์สี่แถบ ชั่วคราว ยังไม่มีภาระหน้าที่อะไร

เหมียวอี้เองก็ไม่รู้ว่าควรจัดภาระหน้ที่อะไรให้นาง ถ้าให้นางไปรวมอยู่ในกลุ่มผู้ชายเขาก็ไม่วางใจ จึงถามหยั่งเชิงว่า “เป่าเหลียน เจ้าคอยฟังคำสั่งอยู่ข้างกายข้าดีไหม รับหน้าที่คอยถ่ายทอดคำสั่งชั่วคราว รอให้วรยุทธ์เจ้าสูงขึ้นก่อน แล้วข้าค่อยหมอบหมายงานอย่างอื่นให้ เจ้าว่าดีมั้ย?”

นี่คือสิ่งที่ตรงกับใจนางพอดี จึงพยักหน้าเอ่บรับทันที “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”

เมื่อเห็นว่านางไม่มีความเห็นอะไร เหมียวอี้ก็กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “งั้นเจ้าก็เลือกห้องพักในนี้ได้ตามสบายเลยนะ”

“รับทราย!” เป่าเหลียนเอ่ยรับ ยังคงไม่คัดค้าน กลับเป็นคนที่คุยง่ายคนหนึ่ง

หลังจากท้องฟ้ามืดลง ในร้านค้าของสองพี่น้องโอวหยางก็มีแขกสวมชุดดำคนหนึ่งมาหา นอกจากเหมียวอี้ก็ไม่มีใครแล้ว จือฉินกับจือซูที่ได้รับแจ้งล่วงหน้าออกมาเฝ้าอยู่ที่ประตูตลอด หลังจากแน่ใจแล้วว่าผู้ที่มาคือเหมียวอี้ จือฉินก็รีบวิ่งขึ้นไปรายงานชั้นบน ส่วนจือซูก็นำเหมียวอี้ขึ้นไปชั้นบนด้วยความระมัดระวังและเคารพ

เหมียวอี้ถอดเครื่องปลอมตัวขณะกำลังเดินขึ้นไปชั้นบน สองพี่น้องหลางหลางและหวนหวนกำลังชะเง้อหน้าคอยอยู่ชั้นบน พอเห็นหน้าเขาก็เผยแววตาดีใจ แล้วย่อเข่าคำนับพร้อมกัน “นายท่าน!”

เหมียวอี้ยื่นมือไปประคองให้ทั้งสองยืนตรง เมื่อได้กลิ่นกายหอมกรุนจากตัวทั้งสอง ก็รู้ว่าอาบน้ำรอล่วงหน้าแล้ว จึงทักทายพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ปล่อยให้รอนานแล้ว!”

ความดีอกดีใจที่ฉายอยู่ในดวงตาสองพี่น้องยากจะปิดบังได้ โอวหยางหลางกำชับลงไปทันที “รีบไปเตรียมสุราอาหาร!”

หญิงรับใช้ทั้งสี่เริ่มวิ่งเต้นทำงานทันที และไม่นานก็ยกอาหารมาวางบนโต๊ะ เห็นได้ชัดว่าเตรียมไว้นานแล้ว

นานๆ ทีจะได้อยู่ด้วยกัน เหมียวอี้หันไปสั่งว่า “พวกเจ้าสี่คนออกไปก่อน”

โอวหยางหวนโบกมือให้ทั้งสี่ออกไปทันที แล้วยกกาน้ำชารินให้ด้วยตัวเอง ทั้งสามชนถ้วยน้ำชาดื่มร่วมกัน สองสาวอารมณ์ชื่นมื่นเบิกบาน ปรนนิบัติอย่างสุดจิตสุดใจ ในเมื่อฮูหยินบอกมาแล้ว ว่าข้างนอกอาจจะกำลังมีนางจิ้งจอกมาล่อหลอกนายท่าน แบบนี้ก็แย่น่ะสิ สองสาวเรียกได้ว่าตัวฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า วางความอับอายที่ทำให้สำรวมท่าทีเอาไว้ก่อน ประจบเอาใจอย่างฉลาดน่ารักมาก

ตอนกำลังรับประทานอาหาร เหมียวอี้ไม่แคล้วต้องถามว่าทั้งสองเป็นอย่างไรบ้างตออยู่พิภพเล็ก ทั้งสองไม่กล้สพูดอะไรมาก กลัวจะโดนสงสัยว่าเสี้ยมให้แตกคอกัน บอกเพียงว่าสบายดี

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “ข้าได้ยินฮูหยินบอกว่า ตอนอยู่ที่ยอดเขาหยกนครหลวง พวกเจ้าแทบจะไม่ก้าวขาออกจากตำหนักเลย เป็นเพราะมีใครกลั่นแกล้งหรือเปล่า?”

“ไม่มีค่ะ พวกเราตั้งอกตั้งใจฝึกตนมาโดยตลอด” โอวหยางหลางตอบด้วยเสียงต่ำเบา

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ที่จริงอวิ๋นจือชิวก็เคยเอ่ยให้เข้าได้ยินมาก่อน บอกว่าหงเหมียน ลู่หลิ่วทำกับตำหนักคู่แฝดเกินไป เพียงแต่อวิ๋นจือชิวก็ไม่อยากให้เหมียวอี้รู้สึกว่านางกำลังเสี้ยมให้แตกคอกัน จึงไม่ได้พูดอะไรมาก ทว่าเหมียวอี้มีพื้นเพมาจากตลาด ได้ยินเรื่องแบบนี้มาไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าเป็นตระกูลใหญ่ที่มีภรรยาเยอะ ก็ไม่มีบ้านไหนที่ไม่เกิดการหึงหวงกัน มีหยิงมารวมตัวอยู่ด้วยกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่อย่างสงบ หัวใจของคนเรานี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดาหรือคนในแดนฝึกตน ที่จริงแล้วไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย เขาใช้สมองคิดนิดเดียวก็พอจะเข้าใจเหตุการณ์คร่าวๆ แล้ว

คืนนี้บรรยากาศดี สองสาวเพิ่งมาเป็นครั้งแรก อารมณ์ดีไม่เบา เหมียวอี้เองก็ไม่อยากทำลายอารมณ์อันสุนทรีย์ของทั้งสอง ดังนั้นจึงไม่พูดเรื่องนี้เยอะ เพียงบอกว่า “ถ้าได้รับความไม่ยุติธรรมอะไรก็บอกฮูหยิน ฮูหยินน่ะเป็นคนปากร้าย แต่มีอำนาจตัดสินใจภายในบ้าน ข้าเองก็ให้เกียรตินาง ถ้าในบ้านมีเรื่องอะไรที่ไม่สะดวกจะเอ่ยปากบอกข้า พวกเจ้าก็สามารถบอกฮูหยินได้เลย ฮูหยินจะจัดการให้อย่างเหมาะสมแน่นอน”

“ค่ะ!” ทั้งสองเอ่ยรับ

“เอาล่ะ คืนนี้ไม่พูดเรื่องอื่นแล้ว พวกเราคุยเรื่องเบาๆ กันก็พอ! มา แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ไม่เคยได้อยู่กับพวกเจ้าดีๆ เลย ข้าจะทำโทษตัวเองเพื่อภรรยา จะดื่มสุราให้พวกเจ้าสามจอกเพื่อขอโทษ”

สองสาวรีบบอกว่าไม่ต้องทำอย่างนั้น แต่กลับห้ามไว้ไม่อยู่ เหมียวอี้รินดื่มเองเสียเลย ทำโทษตัวเองสามจอกแล้วจริงๆ

ตอนหลังก็นับว่าทำตามคำสั่งของอวิ๋นจือชิวแล้ว บนปากราวกับป้ายน้ำผึ้งหวานเอาไว้ พยายามใช้คำพูดที่น่าฟังพูดเอาอกเอาใจให้ทั้งสองชื่นมื่น ชมว่าพวกนางยิ่งนับวันยิ่งสวยขึ้น ทั้งยังนำของสวยงามที่รวบรวมได้ในพิภพใหญ่มามอบให้ทั้งสองเป็นของขวัญ ปะเหลาะให้สองสาวหน้าชื่นตาบานได้จริงๆ พวกนางเลิกสำรวมท่าทีแล้ว ดื่มเป็นเพื่อนเขาหลายจอกด้วยอารมณ์อันนุ่มนวลหวานชื่น

หลังจากสุราอาหารบนโต๊ะเย็นลง บรรยากาศกำลังดี เหมียวอี้ก็ถามพร้อมรอยยิ้มว่า “หรูฮูหยินทั้งสอง คืนนี้ใครจะปรนนิบัติให้ข้าดีล่ะ?”

“น้องสาวแล้วกันค่ะ!” โอวหยางหลางตอบอย่างขวยเขิน

“พี่สาวค่ะ!” โอวหยางหวนรีบปฏิเสธ

เหมียวอี้จึงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ไม่สู้ปรนนิบัติด้วยกันเลยเป็นไง?” เมื่อเห็นทั้งสองกัดริมฝีปากไม่พูดอะไร หน้าแดงเรื่อด้วยความเขินอาย ก็พูดเสริมอีกว่า “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของพวกเราเสียหน่อย นึกถึงปีนั้นตอนที่อยู่ที่ทะเลทรายม่านเมฆา พวกเจ้าสองคนก็ไม่ได้เกรงใจข้านี่นา!”

คำพูดนี้ยิ่งทำให้ทั้งสองอับอายจนทำอะไรไม่ถูก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่อวิ๋นจือชิวสั่งไว้ก่อนหน้านี้เกิดผลแล้วหรือเปล่า สุดท้ายโอวหยางหลางก็ตอบอย่างขวยเขินว่า “ทุกอย่างตามใจนายท่านค่ะ”

เช่นนั้นเหมียวอี้ก็ไม่เกรงใจแล้ว เป็นฝ่ายจูงมือทั้งสองเดินออกไปด้วยกันเองเลย…

ว่ากันว่าอิจฉาเพียงนกยวนยางที่ได้เคียงคู่ ไม่อิจฉาเทพเซียนผู้โดดเดี่ยว ความสุขของการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาย่อมยอดเยี่ยมอยู่แล้ว หลังจากพายุฝนสงบ ขณะกำลังนอนกอดซ้ายกอดขวาขบคิดถึงรสชาติ โอวหยางหลางก็ไม่ลืมที่จะเตือน นางถามหยั่งเชิงว่า “นายท่าน ฉีฉินซูฮว่าติดตามรับใช้พวกเรามาหลายปีแล้วมีไตรีจิตต่อพวกเราสองพี่น้อง แต่งงานติดตามมาด้วย แต่นายท่านกลับไม่รับพวกนางเข้าห้องเสียที ไม่ทราบว่านายท่านจะไปเชยชมพวกนางเมื่อไรเจ้าคะ?”

พอพูดถึงเรื่องนี้ ก็นับว่ายังเป็นเรื่องสำคัญ คำสั่งของอวิ๋นจือชิวใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เหมียวอี้ตอบอย่างอึดอัดเก้อเขินนิดหน่อยว่า “พวกนางเป็นคนของพวกเจ้า เรื่องนี้ให้พวกเจ้าเตรียมการให้แล้วกัน”

พวกเขาย่อมเหมือนปลาที่ได้น้ำทั้งคืน กลิ้งเกลือกอยู่ในกระแสคลื่นหลายรอบ…

เป็นอย่างที่อวิ๋นจือชิวบอก เหมียวอี้ไม่สะดวกจะวิ่งมาที่นี่บ่อยจริงๆ สักวันหนึ่งอาจจะโดนคนจับตามองได้

โชดีที่ผีจวินจื่อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ใช้เวลาเพียงสามวัน ทางอุโมงค์ใต้ดินที่คดเคี้ยวก็ถูกขุดสร้างเสร็จแล้ว เริ่มจากบ่อน้ำในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก บ่อน้ำของร้านโฉมเมฆา บ่อน้ำของร้านผลึกสกัด สามจุดถูกเชื่อมต่อเป็นส้นทางเดียวกันแล้ว ที่จริงถ้าอิงตามกฎของตลาดสวรรค์ ข้างล่างห้ามขุดช่องทางใต้ดิน แต่นี่เป็นอาณาเขตของเหมียวอี้ เขาไม่มีอะไรให้กลัว

ปากทางล้วนอยู่ในบ่อน้ำ ทั้งยังอยู่บนข้างกำแพงในบ่อน้ำด้วย ตอนที่ขุดสามจุดนี้ ก็ถือโอกาสปิดค่ายกลป้องกันของร้านโฉมเมฆากับร้านผลึกสกัดร่วมด้วย

เหมียวอี้กระโดดลงช่องทางลับในบ่อน้ำ เดินขึ้นไปบนเนิน พอเริ่มเดินลงเนินอีกครั้งถึงได้พบว่า เพื่อที่จะสร้างฉากกำบัง ไม่น่าเชื่อว่าผีจวินจื่อจะขุดลึกลงไปใต้ดินหนึ่งพันเมตร ไม่น่าเชื่อว่าจะหลีกเลี่ยงเส้นทางน้ำใต้ดินได้อย่างแม่นยำ อาศัยทางน้ำใต้ดินช่วยกำบัง ก็ยังทำให้คนสังเกตพบช่องทางใต้ดินได้ยาก ฝีมือช่างน่าทึ่งจริงๆ สมกับเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านการขุดรูโดยธรรมชาติ พิถีพิถันในหลักการจริงๆ

เพียงแต่ถ้าเป็นแบบนี้ การอ้อมไปอ้อมมาก็ยังทำให้อ้อมหลายเส้นทาง

ขระที่เดินอยู่ในทางใต้ดิน จู่ๆ ก็พบว่าในทางใต้ดินมีแสงสว่าง พอเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าผีจวินจื่อขุดห้องใต้ดินเอาไว้ห้องหนึ่ง

“เจ้าหลบทำอะไรอยู่ข้างใน?” เหมียวอี้แปลกใจ

ผีจวินจื่อหัวเราะแห้งๆ แล้วตอบว่า “เถ้าแก่เนี้ยสั่งเสีย ว่าถ้าข้าไม่มีธุระอะไรก็ให้ฝึกตนอยู่ในนี้ ถ้าพบว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล ก็ให้ข้าทำลายทางใต้ดินนี้ซะ จะได้ไม่โดนคนพบเบาะแสอะไร”

ทำแบบนี้ก็เหมาะสม เหมียวอี้รู้สึกว่าอวิ๋นจือชิวคิดได้ละเอียดถี่ถ้วน จึงไม่ได้พูดอะไรมากอีก

เมื่อมีทางใต้ดินก็ไปมาหาสู่กันได้สะดวกแล้ว ภายใต้การไปมาหาสู่กันในเส้นทางใต้ดิน ฉีฉินซูฮว่าหญิงรับใช้ทั้งสี่ก็เป็นบุปผาบานสะพรั่งที่ถูกเหมียวอี้เด็ดให้เหี่ยวเฉาแล้วเช่นกัน ทุกๆ สองวันจะอยู่กับหนึ่งคน สุดท้ายก็ทำให้สี่สาวกลายเป็นผู้หญิงของตัวเองอย่างแท้จริงเสียที เหมียวอี้นับว่าได้เสพสุขกับวาสนา แต่ในใจก็ยิ้มเจื่อนเหมือนกัน นี่ไม่ใช่ความรักที่เขาใฝ่ฝันเหมือนเมื่อก่อน ทว่าเมื่อเดินมาจนถึงระดับหนึ่ง ความรักระหว่างชายหญิงก็ยังต้องหลีกทางให้กับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ จะว่าเขาไม่จริงใจก็ได้ จะว่าเขาดัดจริตก็ได้ เขามองว่าสิ่งนี้คือการทำภารกิจให้เสร็จสิ้นอย่างแท้จริง ตอนที่อยู่ด้วยกันยังต้องปฏิบัติตัวอย่างอ่อนโยนด้วย ทำให้ฉีฉินซูฮว่าจจำความดีของเขาเอาไว้ ส่วนต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะได้แตะต้องพวกนางอีกครั้ง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

994

การโต้กลับของเซี่ยโง้ว

ผู้บัญชาการเขตเมืองคนหนึ่งของตลาดสวรรค์ วันๆ แทบจะไม่ต้องทำงานอะไร ยามปกติมีปัญหาเกิดขึ้นน้อยมาก นอกจากคนบ้าอย่างโค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิง โดยทั่วไปก็ไม่มีใครกล้าก่อเรื่องที่ในสถานที่แบบตลาดสวรรค์แล้ว ดังนั้นสถานการณ์จึงสงบมั่นคง พวกงานเบ็ดเตล็ดหยุมหยิมย่อมมีลูกน้องระดับล่างไปจัดการ ส่วนใหญ่เหมียวอี้จะอยู่ในสภาวะฝึกตนอย่างสงบใจ

“สุรานี้รสชาติใช้ได้เลยนะ เป็นสุราอะไร?” อิงอู๋ตี๋ถาม

เวลาไม่มีธุระงานการอะไร ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็จะมาดื่มสุรากับเหมียวอี้ ก็เหมือนในตอนนี้ เก้าอี้นอนสามตัวถูกจัดวางเป็นสามมุม ตรงกลางวางโต๊ะไว้ตัวหนึ่ง ทั้งสามคนนอนเอนกาย ดื่มสุราดูดาวกันอย่างเกียจคร้าน รู้สึกเบื่อหน่ายมากทีเดียว

ว่ากันตามจริง นี่ไม่ใช่ชีวิตในพิภพใหญ่แบบที่ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋จินตนาการไว้ เพราะสุขสบายจนไร้เหตุผล เทียบไม่ติดกับความตื่นเต้นเร้าใจยามปล้นเกาะศักดิ์สิทธิ์ เทียบไม่ติดกับความระมัดระวังตัวตอนอยู่ทะเลดาวนักษัตร อยู่ที่นี่แทบจะไม่มีภัยคุกคามอะไรเลย

“ภัตตาคารที่อยู่ทางฝั่งเหนือส่งมาให้ ถ้ารู้สึกว่าอร่อยเดี๋ยวข้าจะให้คนสั่งมาให้พวกท่านเยอะๆ” เหมียวอี้ตอบอย่างเกียจคร้าน

“ช่างเถอะ!” อิงอู๋ตี๋บ่นพึมพำ ใช้มือข้างหนึ่งยันหนุนศีรษะ พร้อมจิบสุราเบาๆ

“เป่าเหลียน ตรงนี้ไม่ต้องรับใช้หรอก เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” เหมียวอี้หันไปมองเป่าเหลียนที่ช่วยรินสุราให้

“ไม่เป็นไรค่ะ!” เป่าเหลียนเอ่ยรับเบาๆ แต่พอเห็นเหมียวอี้โบกมือ ก็ยังต้องถอยออกไป

จากนั้นเหมียวอี้ก็โยนแหวนเก็บสมบัติสองวงให้ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ “เอาไปใช้ก่อนแล้วกัน”

เขามอบยาแก่นเซียนให้คนละหนึ่งล้านเม็ด

หลังจากแยกย้ายกันตอนเที่ยงคืน อาศัยอารมณ์อันสนุกสนานที่เกิดจากฤทธิ์สุรา เหมียวอี้แอบดำเข้าไปในบ่อน้ำอย่างเงียบๆ ออกไปจากจวนผ่านทางใต้ดิน

เมื่อมีทางใต้ดินแล้ว เขาก็ไปที่ร้านโฉมเมฆาได้สะดวกเช่นเดียวกัน พอไปถึงทางแยก ก็ใช้ระฆังดาราติดต่อกับอวิ๋นจือชิว หลังจากปิดค่ายกลป้องกันของร้านโฉมเมฆาชั่วคราวแล้ว เขาถึงได้ล่วงล้ำเข้าไป พอเขาผ่านเข้าไป ค่ายกลป้องกันก็ถูกเปิดใช้งานทันที

เมื่อปีนออกจากบ่อน้ำของร้านโฉมเมฆา ก็เจอพ่อครัวที่กำลังนั่งสมาธิเฝ้าอยู่ในตึกด้านหลังและหรี่ตามองเขาแวบหนึ่ง จึงยิ้มให้อีกฝ่ายแล้วขึ้นไปบนตึกโดยตรง เขาไม่เกรงใจเลยสักนิด ร่ายอิทธิฤทธิ์เปิดประตูห้องของอวิ๋นจือชิวโดยตรง

ประตูมายาของชัยภูมิถ้ำสวรรค์กำลังเปิดรอเขาแล้ว เขาจึงบุกเข้าไปโดยตรง เจอกับอวิ๋นจือชิวที่กำลังรอเขาอยู่ในลานบ้าน

เมื่อพบหน้ากัน อวิ๋นจือชิวก็ขมวดคิ้วถาม “ทำไมไม่สงบจิตสงบใจฝึกตน จะวิ่งมาที่นี่ซี้ซั้วทำไม?”

“มาหาฮูหยินของตัวเองที่นี่ นับว่าวิ่งมาซี้ซั้วได้เหรอ?” เหมียวอี้ก้าวเข้ามาแล้วไม่พูดพร่ำทำเพลง อุ้มนางเดินก้าวยาวเข้าไปในห้องนอนใหญ่ทันที

อวิ๋นจือชิวที่ถูกเขาอุ้มกลอกตามองบน “กลิ่นสุราเต็มตัว นี่เจ้ารู้จักอายบ้างรึเปล่า มีคนมองอยู่นะ?”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ กลั้นขำ เหมียวอี้จึงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “กลัวอะไร ไม่ใช่คนนอกเสียหน่อย”

พอเข้ามาในห้องนอน เหมียวอี้ที่อาศัยฤทธิ์สุราก็อดใจรอไม่ไหว ซุกศีรษะเข้าไปในหน้าอกขาวอวบอิ่มของอวิ๋นจือชิว…

หลังจากทั้งสองได้ผ่อนคลาย ก็นอนกอดกันอยู่บนเตียง เหมียวอี้ง่วงนอนอยากจะหลับ อวิ๋นจือชิวกลับผลักเขาแล้วถามว่า “เป่าเหลียนที่พักอยู่ในเรือนของเจ้านี่ยังไงกันปน่? พวกเจ้าสองคนคงไม่ได้นอนด้วยกันหรอกใช่มั้ย?”

เหมียวอี้พึมพำตอบว่า “พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า เจ้าสำนักอวี้หลิงฝากฝังให้ข้าดูแล ถ้าปล่อยนางไว้ในฝูงผู้ชายจะไม่เหมาะสมไง”

อวิ๋นจือชิวพ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “เอาไว้ข้างกายหมาป่าอย่างเจ้าจะเหมาะเหรอ? สักวันก็ต้องโดนเจ้าเขมือบ!”

“อย่ามาใส่ร้ายกันสิ นอนเถอะ!” เหมียวอี้กอดเนื้อขาวๆ ของนาง แล้วเริ่มนอนกรนเบาๆ ดูท่าทางจะสงบใจไร้ที่เปรียบ

ที่จริงแล้วร้านที่เขามาบ่อยที่สุดก็คือที่นี่ ถึงแม้ร้านของสองพี่น้องโอวหยางจะมีคนสวยเยอะและมีเสน่ห์หลากหลาย แต่ที่มานอนกอดบ่อยที่สุดก็ยังเป็นที่นี่ มาทุกๆ สามวันห้าวัน บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไร ผู้หญิงคนอื่นต่อให้เย้ายวนใจและสวยแค่ไหน แต่สถานที่พักผ่อนที่แท้จริงของเขาก็ยังเป็นที่นี่ ตอนที่ได้กอดเรือนร่างหอมและอ่อนโยนของอวิ๋นจือชิว ดมกลิ่นหายหอมที่คุ้นเคยของนาง ก็ให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน ทำให้เวลาพักผ่อนรู้สึกสบายใจและสงบใจเป็นพิเศษ

อวิ๋นจือชิวก็รู้สึกได้ถึงความคิดของเขาเช่นกัน นางมองเขาด้วยสีหน้าเอ็นดูทะนุถนอม ยื่นมือไปลูบผมเขาเบาๆ จูบบนหน้าผากของเขาอย่างอ่อนโยน แล้วก็มุดศีรษะไปในอ้อมอกของเขา ก่อนจะหลับตาลงอย่างหวานชื่น…

คนที่คุมตำหนักพ่อบ้านของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกในตอนนี้ก็คือชิงเฟิง ลูกน้องที่ทำธุระประจำวันให้ก็คือหูเฟย ผู้หญิงคนนี้เป็นนางจิ้งจอกช่างยั่วโดยธรรมชาติอย่างแท้จริง เวลาพูดจาก็ออเซาะ ไม่ว่าจะเดินไปไหน หน้าอกขาวอวบอิ่มก็โผล่ออกมาครึ่งหนึ่งเพื่อดึงดูดสายตาผู้ชายเสมอ ดังนั้นพวกเพื่อนๆ ของเลี่ยหวนจึงชอบลวนลามนางเป็นพิเศษ เลี่ยหวนไม่ไว้วางใจสุดๆ จึงขอร้องให้จัดหูเฟยให้เข้าไปอยู่ในตำหนักพ่อบ้าน ให้อยู่แยกกับผู้ชายพวกนั้น

เวลาหูเฟยไม่มีกิจธุระต้องทำ นางก็จะนั่งอยู่หลังโต๊ะยาวหน้าตำหนักพ่อบ้าน วางเท้าเปลือยสองข้างพาดบนโต๊ะ ปากก็พึมพำร้องเพลงเบาๆ ในมือถือตะไบอันเล็กถูเล็บที่นิ้วมือ ทำเอาทหารสวรรค์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกแอบมองมาบ่อยๆ

หลังจากตะไบเล็บเสร็จแล้ว ถ้ายังไม่มีเรื่องอะไรมาให้จัดการอีก หูเฟยก็จะไม่ทำงานของทางการแล้ว จะสั่งลูกน้องลงไปว่า มีธุระอะไรพรุ่งนี้เช้าค่อยมาหาใหม่ ส่วนนางก็จะแต่งตัวสวยออกไปเดินเล่นที่ตลาด พอเดินเล่นเสร็จกลับมา ถึงได้สงบจิตสงบใจฝึกตน

นี่คือชีวิตอันเอ้อระเหยลอยชายหลังจากได้มาที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก แต่หูเฟยก็ชอบชีวิตแบบนี้ นางรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าชีวิต น่าสนใจกว่าอยู่ที่ป่าเขารกร้างอย่างทะเลดาวนักษัตรตั้งเยอะ

ผู้ชายอยู่ห่างจากผู้หญิงไม่ได้ กลุ่มปีศาจเฒ่าแทบจะไม่ได้พาคนในครอบครัวมาด้วยเลย ส่วนใหญ่ยังไม่มีครอบครัว คู่สามีภรรยาแบบเลี่ยหวนหาพบได้น้อยมาก แต่ตอนอยู่ที่พิภพเล็ก พวกเขาก็ไม่ได้ขาดผู้หญิงเช่นกัน แต่หลังจากมาที่พิภพใหญ่ จวนผู้บัญชาการก็ห้ามไม่ให้ไปนอนค้างอ้างแรมซี้ซั้ว ตอนหลังมีทหารสวรรค์คนอื่นๆ แนะนำ กลุ่มปีศาจเฒ่าจึงกลายเป็นแขกประจำของหอโคมเขียว นี่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเช่นกัน แม้แต่ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็ไปเป็นแขกในบางครั้ง รวมทั้งพวกบัณฑิตกับพ่อครัวของร้านโฉมเมฆาด้วย อวิ๋นจือชิวก็ทำเป็นปิดตาข้างเดียวเหมือนเดิม ตอนอยู่ที่ทะเลทรายม่านเมฆาก็เป็นแบบนี้ ผู้ชายในโลกนี้เข้าออกหอโคมเขียวกันเป็นเรื่องปกติมาก ไม่มีใครรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง

ถึงแม้จะใจกว้างกับผู้ชายคนอื่น แต่ไม่ได้แปลว่าจะใจกว้างกับผู้ชายของตัวเอง อวิ๋นจือชิวเรียกได้ว่าเตือนเหมียวอี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอย่าเอาเยี่ยงอย่าง ถ้ากล้าไปแตะต้องผู้หญิงสกปรกที่ใช้งานได้สาธารณะที่หอโคมเขียวล่ะก็ ต่อไปก็อย่าได้มาแตะต้องนางอีกเลยตลอดชีวิต แถมนางยังจะสู้ตายกับเหมียวอี้ด้วย ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าในบ้านจะไม่มีผู้หญิง แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ไม่เคยห้ามเวลาที่เจ้าไปหาสองพี่น้องโอวหยาง สรุปก็คือไม่อนุญาตให้เหมียวอี้ไปที่หอโคมเขียว ขีดเส้นตายไว้ให้เหมียวอี้ชัดเจน

ที่จริงนับว่าเหมียวอี้ควบคุมตัวเองได้ดีกับเรื่องพวกนี้ แต่ก็เกิดเรื่องกับบางคนแล้ว เกิดเรื่องกับเลี่ยหวนแล้ว!

ถึงแม้หูเฟยจะเป็นคนสวยเย้ายวนใจ แต่เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ ก็เบื่อเหมือนกัน ทั้งยังไม่ขาดผู้หยิงเท่าตอนอยู่หุบเขาเพลิงนภาด้วย เลี่ยหวนจึงทนการชักชวนของพวกเพื่อนๆ ทหารไม่ไหว คุยว่าดานเด่นร้านไหนเป็นยังไง คุยจนเลี่ยหวนเกือบน้ำลายไหล จึงออกไปมั่วกับเขาด้วยเหมือนกัน

เขาเองก็เจ้าเล่ห์เหมือนกัน เป็นกระต่ายที่ไม่กินหญ้าในรัง วิ่งไปที่หอโคมเขียวเขตเมืองตะวันตก เขตเมืองเหนือ เขตเมืองใต้โดยเฉพาะ คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะหลบพ้นสายตาคนรู้จัก จะได้ไม่ให้ฮูหยินของตัวเองจับได้ แต่ผลปรากฏว่าไม่รู้ใครทำเสียเรื่อง ข่าวหลุดไปถึงหูหูเฟย โดนหูเฟยจับได้คาหนังคาเขาที่เขตเมืองเหนือ เกิดเรื่องราวใหญ่โตทันที!

หูเฟยประสาทเสียแล้ว! นอกจากฆ่าผู้หญิงที่กำลังร่วมรักกับเลี่ยหวนตายคาที่ นางกับต่อสู้กับเลี่ยหวนอีกด้วย ทำให้หอโคมเขียวของคนอื่นพัง

แบบนี้ก็แย่น่ะสิ คนของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือก็ไม่ใช่เล่นๆ จับตัวสองสามีภรรยาไปทันที หลังจากยืนยันตัวตนแล้ว ก็ให้คนของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกไปรับตัวเอง เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องตลกไปแล้ว เหมียวอี้ไม่สะดวกจะออกหน้า แบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ? เขาให้ฝูชิงไปรับตัวลูกน้องเอง

ทว่าให้ฝูชิงไปกลับไม่มีประโยชน์ อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย จะให้เหมียวอี้ไปรับด้วยตัวเองให้ได้

“ผู้บัญชาการมู่หรง เป็นคนกันเองทั้งนั้น เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องให้ผู้บัญชาการใหญ่โค่วออกหน้าด้วยตัวเองหรอกมั้ง?”

หลังจากมาถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือ และได้พบกับผู้บัญชาการมู่หรงซิงหัวแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าหน้าด้านขอร้อง อีกฝ่ายต้องการจะจัดการตามกฏระเบียบ การฆ่ากันตายในตลาดสวรรค์ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ในฐานะที่เขาเป็นคุณชายห้าของทะเลดาวนักษัตร เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สนใจ! มิหนำซ้ำเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ คนที่สามารถเปิดหอโคมเขียวตลาดสวรรค์ได้ แสดงว่าอำนาจที่หนุนหลังไม่ใช่น้อยๆ ถ้าเขาไม่ออกหน้าเองก็จัดการเรื่องนี้ไม่ได้

เมื่อเห็นเขาอ้างชื่อโค่วเหวินหลาน มู่หรงซิงหัวก็แสยะยิ้มแล้วบอกว่า “เจ้าวัดไม่ดี หลวงชีสกปรก!”

เหมียวอี้พูดไม่ออก รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังว่าเรื่องที่ตนไปชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว แต่ก็นับว่ายังไว้หน้าโค่วเหวินหลาน มู่หรงซิงหัวรับปากว่าจะปล่อยคน แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ยังต้องชดใช้ แถมทางหอโคมเขียวก็ต้องการให้เขาไปจัดการด้วยตัวเอง ขอเพียงหอโคมเขียวไม่เอาเรื่อง นางถึงจะปล่อยผ่านไปได้

ดังนั้นเหมียวอี้จึงต้องไปหาแม่เล้าของหอโคมเขียวด้วยตัวเอง ว่ากันตามจริง ดูจากอำนาจที่หนุนหลังอีกฝ่ายแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเหมียวอี้เหมือนกัน แถมนี่ก็ไม่ใช่อาณาเขตของเหมียวอี้ เหมียวอี้ควบคุมไม่ได้ อีกฝ่ายมีอะไรให้กลัวล่ะ สุดท้ายก็ยังพิจารณาว่าเหมียวอี้มีโค่วเหวินหลานคุ้มกะลาหัวอยู่ นับว่าเห็นแก่หน้าโค่วเหวินหลาน ให้ชดใช้เงินเพื่อจบเรื่อว

หลังจากรับตัวเลี่ยหวนกับหูเฟยกลับมาแล้ว เหมียวอี้ก็ตะคอกด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ข้าเสียหน้าหมดแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าต้องไปขอโทษที่หอโคมเขียว วันหลังเรื่องนี้ต้องแพร่ไปทั้งตลาดสวรรค์แน่นอน พี่รอง คนของท่าน ท่านจัดการเอาเองเถอะ!”

ฝูชิงก็โมโหเหมือนกัน ไม่นานก็สืบได้ว่าคนที่ชี้นำให้หูเฟยไปหาเลี่ยหวนคือใคร เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ หูเฟยก็ไม่กล้าปิดบังเช่นกัน : ราชากระดูกขาว!

ราชากระดูกขาวกับเลี่ยหวนมีความสัมพันธ์ต่อกันค่อนข้างดี นี่เป็นการหาความบันเทิงเพราะเบื่อหน่ายแท้ๆ แต่ใครจะคิดว่าหูเฟยจะทำให้เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ ผลก็เลยแย่มาก!

ชิงเฟิงลงโทษตามคำพิพากษาด้วยสีหน้าเย็นเยียบ ซ้อมทั้งสามจนสาหัสปางตาย ทั้งหมดโดนซ้อมจนมือเท้าหัก ห้ามไม่ให้ทั้งสามติดต่อกันเลยภายในหนึ่งเดือน ต้องให้ทั้งสามได้รับความเจ็บปวดทรมานเป็นเวลาหนึ่งเดือน ลดเงินเดือนเพื่อลงโทษทั้งสามก็ยิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลังจากจบเรื่องนี้ หูเฟยก็ยิ่งเปิดกว้างขึ้น พูดจาออเซาะยิ่งกว่าเดิม ถึงขั้นโอบไหล่กับผู้ชายคนอื่นอย่างโจ่งแจ้ง เลี่ยหวนรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที ขอร้องไปก็ไร้ประโยชน์ ทำได้เพียงเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด กลัวตัวเองจะโดนสวมเขา

นี่คือเรื่องน่ารำคาญใจที่เกิดขึ้นเพราะว่างเกินไป แต่สำหรับการฝึกตน สภาพแวดล้อมแบบนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว แต่ความยุ่งยากที่ควรจะมาก็ยังต้องมา

ในจวนผู้บัญชาการใหญ่ ผู้บัญชาการทั้งสี่รวมตัวกันรออยู่ พวกเขากระซิบกระซาบคุยกัน ไม่รู้ว่าจู่ๆ ผู้บัญชาการใหญ่เรียกพบด้วยเรื่องอะไร

เมื่อเห็นโค่วเหวินหลานออกมา ทุกคนก็ทำสีหน้าจริงจังทันที แล้วคำนับพร้อมกัน “คำนับผู้บัญชาการใหญ่!”

ไม่กี่ปีมานี้ ใบหน้าของโค่วเหวินหลานค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขาวขึ้นแล้ว แต่ในตอนนี้เหมือนจะสีหน้าค่อนข้างจริงจังหนักแน่น  กวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “คาดว่าพวกเจ้าคงจะรู้แล้ว ปีหน้าตำหนักสวรรค์จะสุ่มทดสอบครั้งแรกในรอบพันปี ข้ารู้สถานการณ์มาล่วงหน้าจากแหล่งข่าว ระดับที่จะต้องสุ่มทดสอบครั้งนี้คือระดับผู้บัญชาการอย่างพวกเจ้า จะสุ่มผู้บัญชาการหนึ่งพันคนจากที่ต่างๆ มาทำการทดสอบ ดูว่าสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือเปล่า!”

ทั้งสี่ตะลึงงัน การสุ่มทดสอบแบบนี้ สุ่มเฉพาะระดับผู้บัญชาการใหญ่ขึ้นไปไม่ใช่เหรอ ผู้บัญชาการเล็กๆ อย่างพวกเรามีอะไรน่าทดสอบ? มู่หรงซิงหัวผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือกุมหมัดถามว่า “ฟังจากที่ผู้บัญชาการใหญ่กล่าว หรือว่าหนึ่งในพวกเราสี่คนจะมีคนโดนสุ่มแล้ว?”

“ในบรรดาพวกเจ้าสี่คน โดนเลือกกันทั้งหมด!” โค่วเหวินหลานตอบอย่างชัดถ่อยชัดคำ

ทั้งสี่พูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง เรื่องนี้ผิดปกติเกินไปแล้ว

“ผู้บัญชาการจากที่ต่างๆ มีเยอะจนนับไม่ถ้วน สุ่มเลือกจากหนึ่งพันคน ทำไมบังเอิญสุ่มได้พวกเราสี่คนพอดีเลยล่ะขอรับ?” หยางไท่ผู้บัญชาการเขตเมืองใต้ถาม

โค่วเหวินหลานตอบด้วยเสียงทุ่มต่ำว่า “เรื่องนี้ข้าสืบมาชัดเจนแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงเล่นไม่ซื่ออยู่เบื้องหลัง หลังจากเขาถูกคุมตัวไปรับโทษที่ตำหนักสวรรค์เสร็จ ก็เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาในการสุ่มทดสอบครั้งนี้ ครั้งนี้เลยสุ่มระดับผู้บัญชาการ เจ้าบ้านี่มันสร้างผลงานอยู่เบื้องหลังไม่น้อยเลย!”


995

ภูมิหลังสูงทะลุฟ้า

เซี่ยโห้วหลงเฉิง? ที่แท้ก็เป็นเจ้าบ้านี่เองเหรอ! เหมียวอี้กับสวีถังหรานร่ำร้องในใจพร้อมกัน ทำไมไอ้หมีควายนั่นไม่ไปตายซะ ช่างเป็นผีที่วิญญาณไม่สูญสลาย!

ทุกคนเข้าใจในชั่วพริบตาเดียว ไม่ต้องพูดแล้ว ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นแค่ที่ปรึกษาที่ทำงานแทนคนอื่น แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่มีอำนาจหนุนหลังแข็งแกร่ง! ทำให้เกิดการสุ่มทดสอบระดับผู้บัญชาการได้ ก็ชัดเจนแล้วว่าพุ่งเป้ามาทางนี้ ครั้งก่อนโดนโค่วเหวินหลานกดดันให้ออกไป ครั้งนี้อีกฝ่ายกลับมาโต้ตอบแล้ว ถ้าไม่ได้ชำระแค้นก็ไม่ยอมเลิกรา!

พอได้ยินชื่อเซี่ยโห้วหลงเฉิง มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่ก็มองไปทางเหมียวอี้กับสวีถังหรานแทบจะพร้อมกัน หลังจากเหมียวอี้เห็นสายตาของทั้งสอง ตัวเองก็ไม่อยากเป็นตัวการเพียงคนเดียวในสายตาทุกคน จึงหันไปมองสวีถังหราน ราวกับกำลังบอกว่าไม่เกี่ยวกับข้านะ ทั้งหมดเป็นเพราะสวีถังหราน

ที่จริงเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะมาคิดบัญชีกับเหมียวอี้หรือไม่ เขาเองก็ไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด ทำได้เพียงร่ำร้องในใจ เจ้าหมีควายเซี่ยโห้วหลงเฉิงนั่นเรียนรู้จนฉลาดแล้ว เมื่อก่อนใช้กำลังปะทะตรงๆ แล้วเสียเปรียบบ่อย ตอนนี้รู้จักเล่นสกปรกลับหลังแล้ว อาศัยภูมิหลังของเจ้าบ้านั่น ถ้าเล่นสกปรกขึ้นมา ก็จะเล่นถึงขั้นมีคนตายแน่นอน

เหมียวอี้สงสัยว่าเรื่องนี้มีใครออกความคิดให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ไม่อย่างนั้นอาศัยสมองอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิง ก็ไม่มีทางอดทนรอเวลาอย่างช้าๆ เพื่อล้างแค้นแบบนี้ได้เลย

ถึงแม้แขนของสวีถังหรานจะงอกออกมาแล้ว แต่ในใจกลับเป็นทุกข์มาก เขายังจดจำดาบนั้นของเซี่ยโห้วหลงเฉิงได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้น มันแทบจะฟันเขาขาดครึ่งท่อนแล้ว

ที่จริงเขารับตำแหน่งผู้บัญชาการนี้ได้อย่างน่าสงสารมากทีเดียว เมื่อเซี่ยโห้วหลงเฉิงบุกมาคราวนั้น ประกอบกับคำเตือนตอนที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงโดนจับไป หลังจากเขาได้นั่งรักษาการณ์ที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก ยามปกติก็แทบจะไม่กล้าออกจากประตูจวนเลย กลัวว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะโผล่มาเอาดาบฟันอีก คนบ้าอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่สนใจเหตุผลอะไรทั้งนั้น เป็นไปได้สูงว่าจะเกิดเหตุขึ้นซ้ำอีกครั้ง สิ่งนี้แทบจะกลายเป็นอาการป่วยจิตของเขา ตอนนี้พอได้รู้ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเล่นแบบนี้ ก็ขนหัวลุกจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความคิดแรกก็คือพุ่งเป้ามาที่เขา ดีไม่ดีถ้าไม่เล่นงานเขาจนถึงตาย อีกฝ่ายก็อาจจะไม่เลิกรา!

หลังจากสบตากับหยางไท่แวบหนึ่ง ในที่สุดมู่หรงซิงหัวก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ข้าน้อยกับหยางไท่ไม่มีความแค้นกับเซี่ยโห้วหลงเฉิง เขาจะนับพวกเราสองคนไปด้วยทำไม?”

โค่วเหวินหลานตอบว่า “คิดบัญชีหนิวโหย่วเต๋อกับสวีถังหรานเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ที่นับพวกเจ้าสองคนไปด้วยก็ย่อมเป็นเพราะพุ่งเป้ามาที่ข้า ลองคิดดูสิ ถ้าใต้สังกัดข้าไม่มีผู้บัญชาการที่เหมาะสมกับตำแหน่งเลยสักคน นั่นก็แปลว่าผู้บัญชาการใหญ่อย่างข้าก็ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเหมือนกัน ไม่เข้าใจว่าจะเป็นผู้บัญชาการที่ดีได้ยังไง จะได้ฉวยโอกาสดึงข้าลงจากตำแหน่งเพื่อล้างความอัปยศ!”

มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่สบตากันแวบหนึ่ง ได้แอบทอดถอนใจ พวกเราไปมีเรื่องกับใครเสียที่ไหนล่ะ อยู่ดีๆ ก็ลำบากไปด้วยแบบนี้ ไม่ได้รับความเป็นธรรม!

“ในเมื่อผู้บัญชาการใหญ่รู้ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงพุ่งเป้ามาที่ท่าน เหตุใดท่านจึงไม่ห้ามล่ะ?” หยางไท่ถาม

โค่วเหวินหลานตอบว่า “แต่ไหนแต่ไรมา ถ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีความแค้นก็จะล้างแค้นทันที พอเรื่องนี้เปิดเผยออกมา ก็ดูไม่เหมือนนิสัยของเซี่ยโห้วหลงเฉิงเลย ตอนแรกข้ายังไม่สังเกต แต่หลังจากรอจนแน่ใจเรื่องนี้แล้ว รอจนชื่อของพวกเจ้าถูกรายงานขึ้นไปรวมกับหนึ่งพันรายชื่อ จนได้รับการอนุมัติจากราชันสวรรค์แล้ว คำสั่งของราชันสวรรค์จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ต่อให้มีคนสามารถโน้มน้าวราชันสวรรค์ให้ยกเลิกคำสั่งได้ แต่คงไม่เอ่ยปากเพื่อคนต่ำต้อยไร้ความสำคัญอย่างพวกเราหรอก ดังนั้นเรื่องนี้จึงหลีกเลี่ยงได้ยากแล้ว!”

พวกลูกน้องพูดไม่ออก โดยเฉพาะสวีถังหราน สีหน้าซีดเผือดไปแล้ว กำลังหวาดกลัวว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะใช้วิธีการอะไรทำให้เขาตาย

จู่ๆ โค่วเหวินหลานก็ยืนขึ้น “ข้ารู้ว่าทุกคนเดาประวัติภูมิหลังของข้าออก วันนี้ผู้บัญชาการคนนี้จะบอกความจริงให้ทุกคนรู้ อ๋องสวรรค์โค่ว หนึ่งในอ๋องสวรรค์ของตำหนักสวรรค์คือปู่ของข้าเอง!”

ทุกคนอึ้งทันที แต่กลับไม่แปลกใจ ที่จริงทุกคนเดาออกตั้งนานแล้วว่าเขามาจากตระกูลโค่ว คนที่มีอำนาจหนุนหลังใหญ่ขนาดนั้นที่ตำหนักสวรรค์ ทั้งยังแซ่โค่ว ก็คงจะมีแค่ท่านนั้นแล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าโค่วเหวินหลานจะเป็นหลานชายของอ๋องสวรรค์โค่ว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในบรรดาหลานของอ๋องสวรรค์โค่ว เขามีฐานะเป็นอย่างไร

“ภูมิหลังของเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้า อาหญิงของเขาเป็นราชินีสวรรค์ เป็นมารดาแห่งใต้หล้า ไม่ได้อยู่ในลำดับอาวุโส แต่เป็นอาแท้ๆ!” โค่วเหวินหลานกล่าวเสริมอย่างช้าๆ

เรื่องนี้ทุกคนก็เดาได้แล้วเหมือนกัน ราชินีสวรรค์คนปัจจุบันแซ่เซี่ยโห้ว ทุกคนสงสัยนานแล้วว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาจากตระกูลเซี่ยโห้ว เพียงแต่เดาไม่ถูกว่ามีความสัมพันธ์อย่างไร และนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะเป็นหลานชายแท้ๆ ของราชินีสวรรค์ ภูมิหลังแบบนี้น่าตกใจเกินไปแล้ว นี่เป็นภูมิหลังที่อยู่ระดับสูงสุดแล้ว สวีถังหรานตกใจจนแทบเข่าอ่อน

แต่สิ่งที่ทั้งสี่สงสัยก็คือ ถ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีคนหนุนหลังใหญ่ขนาดนั้น ทำไมโค่วเหวินหลานถึงกล้าสู้กับเซี่ยโห้วหลงเฉิงล่ะ?

สุดท้ายก็ยังเป็นโค่วเหวินหลานที่เปิดเผยเบื้องลึกของตัวเอง “ข้ารู้ว่าทุกคนกำลังคิดอะไร ที่จริงเรื่องราวไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ทุกคนคิด ราชินีสวรรค์ก็คือราชินีสวรรค์ ตระกูลเซี่ยโห้วก็คือตระกูลเซี่ยโห้ว ถึงอย่างไรเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่ได้รับความเอ็นดูจากตระกูลเซี่ยโห้วสักเท่าไร เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนเลย ทุกคนก็รู้จักนิสัยเซี่ยโห้วหลงเฉิงดี เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลเซี่ยโห้วจะใช้ให้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญ ดังนั้นทุกคนจึงไม่ต้องกลัว ถึงแม้เรื่องสุ่มทดสอบครั้งนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว แต่ข้าก็หาคนไปเข้าร่วมด้วยเหมือนกัน ไม่ให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงทำอะไรพวกเจ้าอย่างโจ่งแจ้งแน่ แต่พวกเจ้าต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ผ่านการทดสอบครั้งนี้…ข้าจะพูดให้ชัดเจนกว่านี้อีกหน่อยแล้วกัน การทดสอบของพวกเจ้าครั้งนี้สำคัญกับข้ามาก ถ้าถ่วงขาให้ข้าถอยหลัง ในภายหลังถ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะทำอะไรกับพวกเจ้า นั่นก็ไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว แต่ถ้าใครสามารถทดสอบได้อันดับดีๆ ไม่ช้าก็เร็วที่ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของข้าจะเป็นของเขา แล้วข้าจะบรรจุเขาให้เป็นข้ารับใช้ของตระกูลโค่วด้วย ในภายหลังถ้าพบปัญหาความยุ่งยากอะไร ตระกูลโค่วของข้าจะไม่นิ่งดูดายแน่!”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็ทั้งตกใจทั้งดีใจ! เหมียวอี้พึมพำในใจ สงสัยว่าระหว่างโค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นอย่างไรกันแน่ ดูจากที่พวกเขาสองคนสู้กัน เหมือนจะไม่ใช่เพราะหวงฝู่จวินโหรวอย่างเดียว เมื่อใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานๆ เขาก็มองออก ว่าที่จริงโค่วเหวินหลานไม่ได้สนใจหวงฝู่จวินโหรวสักเท่าไรเลย เป็นเพราะรู้ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงชอบหวงฝู่จวินโหรว เขาถึงได้มาแย่งชิง แต่พอเซี่ยโห้วหลงเฉิงไปแล้ว ก็ไม่เห็นว่าโค่วเหวินหลานจะไปมาหาสู่กับหวงฝู่จวินโหรวอีก ในนั้นมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรกันแน่?

“ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ทราบว่าจะทดสอบอะไรขอรับ?” เหมียวอี้กุมหมัดถาม แล้วบอกว่า “ถ้ารู้แต่เนิ่นๆ พวกเราจะได้เตรียมตัวล่วงหน้า”

โค่วเหวินหลานตอบว่า “ที่บอกให้พวกเจ้ารู้ล่วงหน้าตอนนี้ ก็เพราะอยากให้พวกเจ้าเตรียมตัวได้อย่างเต็มที่ ส่วนจะทดสอบหัวข้ออะไร ตอนนี้ยังไม่มีหัวข้อออกมา หลักๆ เป็นเพราะป้องกันไม่ให้มีคนโกง หัวข้อทดสอบเป็นเรื่องสำคัญ เกรงว่าคงรอให้ใกล้ถึงเวลาค่อยตัดสินใจ ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งปีก่อนทดสอบ พวกเจ้าเตรียมใจไว้ก่อนเถอะ ข้าจะคอยช่วยเฝ้าสืบข่าวให้พวกเจ้าตลอดเวลา จะช่วยพวกเจ้าเตรียมตัวจากอีกด้านหนึ่ง ไม่ให้พวกเจ้าแพ้ตั้งแต่เริ่มต้น”

“ขอบคุณผู้บัญชาการใหญ่!” ทุกคนทำได้เพียงกล่าวขอบคุณแบบปากไม่ตรงกับใจ จากนั้นก็แยกย้ายกันไป

แต่เหมียวอี้กลับยังไม่รีบไป

โค่วเหวินหลานเหมือนดูออกว่าเขามีอย่างอื่นจะพูด จึงถามว่า “ยังมีคำถามอะไรอีก?”

เหมียวอี้ตอบอย่างลังเลว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ เพื่อที่จะรับมือกับการทดสอบ ข้าอยากจะหาที่ที่เหมาะสมเพื่อเก็บตัวฝึกฝนทักษะการต่อสู้ อาจจะต้องจากที่นี่ไปสักระยะหนึ่ง อยากจะลาหยุดก่อนขอรับ”

“ฝึกฝนทักษะการต่อสู้เหรอ?” โค่วเหวินหลานสะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมาลูบหน้าอย่างสงสัยครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบทันที “วรยุทธ์ของเจ้าต่ำไปหน่อย การทดสอบครั้งนี้ทำให้เจ้าลำบากจริงๆ ถ้าอยากจะบรรลุวรยุทธ์ภายในเวลาสั้นๆ ก็เป็นไปไม่ได้ เพิ่มพูนทักษะการต่อสู้ก็เป็นวิธีที่ดีเหมือนกัน เพียงแต่เวลาหนึ่งปีจะได้ผลเหรอ?”

“พอจะหาต้นสายปลายเหตุได้บ้างแล้ว อาจจะต้องใช้สภาพแวดล้อมภายนอกเพื่อช่วยกระตุ้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองดูก่อนขอรับ” เหมียวอี้ตอบ

“ไปเถอะ! ก่อนไปอย่าลืมจัดการงานของเขตเมืองตะวันออกให้เรียบร้อย” โค่วเหวินหลานตอบรับอย่างสบายใจแล้ว

“ขอบคุณที่ผู้บัญชาการใหญ่ช่วยให้สมปรารถนา!” เหมียวอี้กล่าวขอบคุณแล้วขอตัวออกมา

หลังจากออกจากตำหนักคุ้มเมือง กลับพบว่าสวีถังหรานยังไม่กลับไป เหมียวอี้ยังนึกว่าเขามีธุระกับผู้บัญชาการใหญ่ แต่ตอนที่กุมหมัดอำลากลับโดนสวีถังหรานดึงแขนไว้ “ผู้บัญชาการหนิว คืนนี้ว่างมั้ย?”

“ไม่ว่าง!” เหมียวอี้ไม่สนใจว่าเขาจะมีธุระอะไร ปฏิเสธไปอย่างนั้นเสียเลย แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยเกรงใจสวีถังหรานอยู่แล้ว ตอนแรกไม่ได้ฆ่าเจ้าเวรนี่ทิ้ง โรงภัยแฝงที่จะกำเริบตอนหลังยังคงอยู่

“เฮ้อ! น้องชาย…น้องชาย…” สวีถังหรานรีบดึงแขนเขาไว้ แล้วยิ้มสู้ “ไว้หน้าสักครั้งเถอะ คืนนี้ในจวนของข้าจัดงานเลี้ยง แถมยังเชิญผู้บัญชาการหรงมู่กับผู้บัญชาการหยาง พวกเขาตอบตกลงที่จะไปร่วมงานเลี้ยงแล้ว จะขาดเจ้าไปสักคนได้อย่างไร สามขาดหนึ่งจะดูไม่ดีใช่มั้ยล่ะ? เดี๋ยวข้าเชิญเสวี่ยหลิงหลงจากหอกลิ่นสวรรค์มาช่วยเพิ่มความบันเทิง เป็นอย่างไร?”

“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?” เหมียวอี้สงสัย

“ย่อมเกี่ยวข้องกับเรื่องการทดสอบครั้งนี้ของพวกเราอยู่แล้ว”

“การทดสอบ?” เหมียวอี้พึมพำ มองเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “ก็ได้ ถ้าถึงเวลาแล้วว่างข้าจะไป” พูดจบก็สะบัดมือเขาออกแล้วเดินก้าวยาวออกไป

“ถึงตอนนั้นข้าจะส่งคนไปเชิญน้องชายนะ!” สวีถังหรานรีบตะโกนเสริมอย่างร่าเริง

เมื่อกลับมาที่เขตเมืองตะวันออก เหมียวอี้ก็ยังไม่กลับจวนผู้บัญชาการ ขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็เดินมาถึงร้านโฉมเมฆาโดยไม่รู้ตัว

ขณะกำลังจะเดินเข้าไป เขาหันกลับมาแล้วพบว่าเป่าเหลียนที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดคำสั่งอยู่ข้างกายเขายังคงติดตามเขาอยู่ จึงยิ้มพร้อมบอกว่า “ที่ข้าไม่มีธุระอะไรแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”

“ค่ะ!” เป่าเหลียนเอ่ยรับ ขณะมองร่างเขาเดินเข้าร้านโฉมเมฆาไป ในดวงตาก็ฉายแววสับสน เรื่องที่เหมียวอี้กำลังตามจีบเถ้าแก่เนี้ยร้านนี้ นางเองย่อมได้ยินข่าวมาแล้วเหมือนกัน

พอเข้ามาข้างในแล้วถามบัณฑิตที่อยู่หลังโต๊ะคิดเงินว่าเถ้าแก่เนี้ยอยู่หรือไม่ ถึงได้รู้ว่าหวงฝู่จวินโหรวก็อยู่เหมือนกัน เหมียวอี้หันเลี้ยวเตรียมจะหนี แต่ก็หยุดฝีเท้ากะทันหัน คิดไปคิดมาก็ตัดสินใจว่าเข้าไปด้านหลังดีกว่า

ในศาลาของลานบ้านด้านหลังที่มีภูเขาปลอมเป็นฉากกั้น อวิ๋นจือชิวกำลังพูดคุยยิ้มแย้มกับหวงฝู่จวินโหรว

เหมียวอี้เดินอ้อมภูเขาปลอมเข้ามา แล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เถ้าแก่เนี้ย…ผู้จัดการร้านหวงฝู่ก็อยู่ด้วยเหรอ?”

หลังจากสองสาวยืนขึ้นแล้ว อวิ๋นจือชิวก็แสร้งคำนับอย่างสงบเสงี่ยม “คำนับผู้บัญชาการหนิวค่ะ”

“ผู้บัญชาการหนิว!” หวงฝู่จวินโหรวยิ้มหยอกเย้า ทำให้เหมียวอี้ค่อนข้างอึดอัด

อวิ๋นจือชิวที่หางตากำลังสังเกตปฏิกิริยาของทั้งสองเลิกคิ้วเล็กน้อย จาดนั้นก็เชิญให้นั่ง แล้วสั่งให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์นำน้ำชามาวาง

“สาวสวยสองคนกำลังคุยอะไรกันอยู่ที่นี่ ดูท่าทางเบิกบานใจเชียว?” เหมียวอี้นั่งลงพร้อมกล่าวกลั้วหัวเราะ

หวงฝู่จวินโหรวยิ้มอย่างสนิทสนมพร้อมตอบว่า “กำลังถามว่าสามีของพี่อวิ๋นจะมาเมื่อไร อยากจะชื่นชมความสง่างามสักครั้ง”

อวิ๋นจือชิวหัวเราะแล้วพูดต่อว่า “น้องหวงฝู่สนใจสามีของข้าขนาดนี้ ข้าไม่กล้าพาเขามาแล้วล่ะ ถ้าน้องหวงฝู่ถูกใจเขาขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ?”

คำพูดนี้…เหมียวอี้กำหมัดแล้วไอแห้งๆ แต่ใครจะคิดว่าหวงฝู่จวินโหรวกลับพูดเสริมอีกว่า “ข้าร้อนใจแทนผู้บัญชาการหนิว ใครๆ ก็รู้ถึงความจริงใจที่ผู้บัญชาการหนิวมีให้พี่อวิ๋น”

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “น้องสาวเล่นมุขแล้ว ข้าเป็นคนที่มีสามีแล้ว ไม่มีความคิดจะแต่งงานอีกรอบหรอก”

“แบบนี้จะไม่ทำให้ผู้บัญชาการหนิวหดหู่ใจหรอกเหรอ” หวงฝู่จวินโหรวเอามือป้องปากหัวเราะ แต่ใต้โต๊ะกลับใช้ปลายเท้าสะกิดเหมียวอี้เบาๆ ราวกับกำลังบอกว่า ได้ยินหรือยัง ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายหรือยัง อีกฝ่ายไม่มีทางยอมรับที่โดนเจ้าจีบ รีบถือโอกาสตัดใจซะเถอะ!

996

กำลังพลร่วมฝึก

การสะกิดเท้าเบาๆ นี้ทำให้เหมียวอี้ตกใจ เขารีบมองไปทางเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ หลังจากแน่ใจว่าจากมุมของพวกนางมองไม่เห็น เขาถึงได้แอบโล่งใจ แต่กลับเอนตัวเล็กน้อย ย้ายสองเท้าหลีกเลี่ยงปัญหาความยุ่งยาก แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ ข้ามีธุระจะคุยกับเถ้าแก่เนี้ยตามลำพังนิดหน่อย”

ไอ้เวรนี่บังอาจมาไล่ข้า! หวงฝู่จวินโหรวแค้นจนกัดฟันกรอด แต่ก็ยังยืนขึ้นด้วยรอยยิ้มสดใส “พี่อวิ๋น งั้นข้าไม่รบกวนเวลาของพวกท่านสองคนแล้ว”

ดังนั้นอวิ๋นจือชิวจึงลุกเดินไปส่ง พอส่งนางออกจากร้านไปแล้วถึงได้กลับมา พอเดินเข้ามาในศาลา นางก็ตบบ่าเหมียวอี้พลางถามหยอกล้อ “ผู้หญิงคนนี้สวยไม่แพ้เทพธิดาหงเฉินเลยนะ? จะให้ข้าช่วยเป็นแม่สื่อให้มั้ย แต่งเข้ามาเป็นอนุภรรยาของเจ้า?”

“อย่าพูดเหลวไหล” เหมียวอี้แกล้งโมโห “นางมาหาเจ้าทำไม?”

อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองเขา รอยยิ้มค่อนข้างแข็งทื่อ นางเข้ามานั่งข้างเขา แล้วพลิกมือเรียกกล่องใบหนึ่งออกมา หลังจากเปิดกล่อง แผ่นหยกกล่องหนึ่งก็เผยออกมา  นางผลักไปตรงหน้าเขา ตบกล่องพร้อมบอกว่า “สมาคมวีรชนยอดเยี่ยมจริงๆ นี่คือแผนที่ดาวหลักที่เจ้าต้องการ หลังจากข้าขอให้นางช่วยเหลือ นางก็ตกปากรับคำทันที ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเดือนก็รวบรวมอาณาเขตของพิภพใหญ่คร่าวๆ ได้แล้ว”

“ไม่ได้ทำให้นางสงสัยอะไรใช่มั้ย?” เหมียวอี้ขมวดคิ้ว

อวิ๋นจือชิวปิดกล่อง แล้วบอกว่า “เปล่า ครั้งก่อนคุยเล่นกันแล้วบังเอิญพูดถึงเรื่องนี้ ข้าเลยแกล้งทำเป็นสนใจอยากจะศึกษา ถือโอกาสไหว้วานนาง แล้วนางก็ตอบตกลง ใครจะไปรู้ล่ะว่าพวกเรากำลังคิดจะทำอะไร”

“ถ้าเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มีเวลาว่าง เจ้าก็ให้พวกนางช่วยหาหน่อย ยืนยันทิศทางคร่าวๆ ให้ได้ก่อน” เหมียวอี้นำก้อนโลหะกลมสีดำออกมาแล้วผลักไปตรงหน้านาง

เมื่อเห็นเขาทำท่าเหมือนไม่ค่อยสนใจเรื่องหาสมบัติ ทั้งสองเป็นสามีภรรยากันมาหลายปี อวิ๋นจือชิวมองออกทันทีว่าในใจเขามีเรื่องบางอย่าง “เป็นอะไรไปล่ะ ทำท่าเหมือนไม่ค่อยสนใจเลย?”

“ข้าเตรียมจะหาสถานที่เก็บตัวฝึกตน ไม่มีเวลามาทำเรื่องนี้” เหมียวอี้หาข้ออ้าง ยังไม่ได้บอกนางเรื่องการทดสอบ นางแบบนี้นางช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ไม่อยากให้นางอกสั่นขวัญแขวนไปทั้งปี

เรื่องนี้เหมียวอี้บอกนางไว้ตั้งนานแล้ว อวิ๋นจือชิวรู้อยู่แก่ใจ จึงถามว่า “ไปที่ไหน? จะไปเมื่อไร? จะกลับเมื่อไร?”

“หาทะเลลึกๆ สักแห่งก็พอ ข้าไม่ได้คิดจะไปไกลหรอก อยู่ที่ดาวเทียนหยวนนี่แล้วกัน พรุ่งนี้จะออกเดินทางแล้ว จะกลับมาภายในหนึ่งปีนี้” พออธิบายให้นาง เหมียวอี้ก็ถามอีกว่า “ของที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้ ทำไมยังไม่เสร็จอีกล่ะ?”

อวิ๋นจือชิวตอบว่า “เรื่องนี้ก็โทษเขาไม่ได้ ข้ากำชับให้เขาเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ อาศัยที่ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอะไร ไม่สู้ทำเกราะรบดีๆ ให้เจ้าสักชุดดีกว่า กอปรกับผลึกแดงบริสุทธิ์สูงไม่เหมือนผลึกอย่างอื่น เวลาจะหลอมให้ละลายก็เปลืองแรงเปลืองเวลามาก เขาทุ่มกำลังความคิดกับเรื่องนี้อยู่ แต่เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก คำนวณจากความคืบหน้าแล้ว สิ้นปีนี้ก็น่าจะเสร็จแล้ว”

สิ้นปีก็ดี ถ้าทำเสร็จก่อนการทดสอบปีหน้าก็ไม่มีปัญหาอะไร! เหมียวอี้วางใจ แล้วลุกขึ้นบอกว่า “ได้! งั้นข้ากลับก่อนนะ ที่จวนผู้บัญชาการยังมีงานต้องเตรียมนิดหน่อย ตอนกลางคืนค่อยมาอยู่กับเจ้า”

อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นยืนตามเขา ถือโอกาสช่วยเขาจัดเสื้อผ้าที่ยับตอนนั่งให้เรียบร้อย “พรุ่งนี้ก็จะไปแล้ว คืนนี้ไปค้างกับสองพี่น้องโอวหยางเถอะ เจ้ามาหาข้าบ่อยแล้ว ได้ยินว่าเจ้าไม่ได้ไปทางนั้นมาหลายเดือนแล้วนี่ แม้แต่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ยังได้อยู่กับเจ้าเยอะกว่าพวกนางสองพี่น้องอีก ทำเกินไปหน่อยมั้ง คนก็มาอยู่ข้างกายแล้ว ถ้าเจ้าไม่ไปหาบ่อยๆ ก็คงจะฟังไม่ขึ้น ครั้งนี้เจ้าออกไปข้างนอกเกือบหนึ่งปี หัวใจคนเรามีเลือดมีเนื้อนะ เป็นผู้หญิงน่ะไม่ง่ายเลย ไม่ได้เสพสุขเหมือนผู้ชายอย่างพวกเจ้าที่ได้มีเมียหลายคนหรอก”

“รู้แล้วๆ ข้าจะไปคืนนี้แหละ!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วกอดจูบนางอย่างอ่อนโยนครู่หนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้หันไปยิ้มให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ “ดูแลฮูหยินให้ดีนะ เรื่องที่ควรทำให้ชำนาญก็ต้องทำ อย่าให้ฮูหยินต้องกังวลทุกเรื่อง!”

“เจ้าค่ะ!” สาวใช้ทั้งสองโค้งกายส่งเขา

อวิ๋นจือชิวคล้องแขนเขาเดินไปส่งตรงข้างภูเขาปลอม แล้วก็ไม่ได้ตามออกไปอีก เพียงบอกว่า “รีบไปรีบกลับนะ ถ้าหายตัวไปอย่างไร้ข่าวคราวอีก กลับมาก็อย่าโทษว่าข้าแปรพักตร์ก็แล้วกัน”

เหมียวอี้ยื่นมือไปลูบใบหน้างามของนางครู่หนึ่ง แล้วหันตัวจากไป

พอออกจากร้านโฉมเมฆ ก็พบว่าข้างหลังมีคนเดินตาม พอหันไปมองก็เห็นเป่าเหลียนเดินตามหลังมาอีกแล้ว จึงถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้ายังไม่กลับอีกเหรอ?”

“ข้าเดินเล่นอยู่แถวๆ นี้พอดี นึกไม่ถึงว่านายท่านจะออกมาเร็วขนาดนี้” เป่าเหลียนตอบ

เหมียวอี้พูดไม่ออก อีกฝ่ายจงรักภักดีต่อหน้าที่ เขาเองก็ว่าอะไรไม่ได้เหมือนกัน ขี้คร้านจะพูดแล้ว จึงกวักมือเรียกให้กลับพร้อมกัน

พอมาถึงประตูจวนผู้บัญชาการ เหมียวอี้ก็ขนหัวลุกอีกครั้ง เกี้ยวงามที่คุ้นตาหลังหนึ่งมาจอดอยู่ข้างประตูอีกแล้ว ถ้าไม่ใช่เกี้ยวของหวงฝู่จวินโหรวแล้วจะเป็นของใครไปได้

เมื่อเห็นม่านเกี้ยวขยับเล็กน้อย เหมียวอี้ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ถลันตัวเข้าจวนผู้บัญชาการทันที แล้วถ่ายทอดเสียงบอกทหารยามว่า “ผู้บัญชาการคนนี้มีธุระสำคัญ วันนี้ไม่พบใครทั้งนั้น!”

จะมาโทษว่าเขาเด็ดขาดไม่ได้ เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ทะเลาะเบาะแว้งอะไรกับผู้หญิงคนนี้อีก ไม่อย่างนั้นถ้าให้โอกาสนางอีก เขาก็จะปลีกตัวไม่พ้นแล้ว

พอหวงฝู่จวินโหรวโผล่ออกมาจากเกี้ยวแล้วไม่เห็นอะไร ในใจก็เหมือนจะเป็นบ้า สั่งให้ทหารยามไปรายงานทันที ทหารยามย่อมบอกสิ่งที่เหมียวอี้สั่งไว้ ทำเอานางโมโหจนกำหมัดแน่น กลับเข้าไปในเกี้ยวพร้อมใบหน้างามที่แฝงความเย็นเยียบ แล้วสั่งเสียงเย็นว่า “กลับ!”

เหมียวอี้ที่กลับถึงจวนผู้บัญชาการเตรียมงานไว้สำหรับตอนที่ตัวเองไม่อยู่ทันที เขาเรียกฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋มาพบก่อน

ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เหมียวอี้ถามว่า “พี่รอง ในบรรดากลุ่มคนที่พาตัวมาจากทะเลดาวนักษัตร ใครที่โจมตีได้รวดเร็วที่สุด?”

ฝูชิงชี้ไปทางอิงอู๋ตี๋ “ย่อมต้องเป็นเจ้าสามอยู่แล้ว”

เหมียวอี้ยิ้มแห้งๆ แล้วบอกว่า “พี่สามข้าย่อมรู้อยู่แล้ว ข้าหมายถึงนอกจากพี่สามแล้ว ยังมีใครอีกมั้ยที่โจมตีได้รวดเร็ว?”

“โพ่คงทูตขวาของเจ้าสาม” ฝูชิงตอบ

อิงอู๋ตี๋ส่ายหน้าและพูดต่อว่า “ถ้าพูดถึงเรื่องความเร็วอย่างเดียว ชิงเฟิงทูตขวาของพี่รองคงจะเร็วกว่าข้าหนึ่งระดับ”

“ความเร็วของทูตขวาชิงเหนือกว่าพี่สามอีกเหรอ?” เหมียวอี้ตกใจ

อิงอู๋ตี๋ตอบกลั้วหัวเราะว่า “ทะเลดาวนักษัตรก็นับว่าเป็นสถานที่ที่ซ่อนมังกรเสือหมอบไว้ บางคนแค่ไม่ได้มีประสบการณ์และวรยุทธ์สูงเท่าพวกเราเฉยๆ หรอก ถ้าพูดถึงความสามารถอาจจะไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเราเลย ไม่อย่างนั้นเมื่อก่อนพวกเราจะต่อต้านหกปราชญ์ได้อย่างไร อาศัยแค่พวกเราสี่คนคงเป็นไปไม่ได้ เกรงว่าชิงเฟิงคงจะเป็นคนที่ทำให้ลูกน้องหกปราชญ์กลัวจนตัวสั่นที่สุด ยอดฝีมือที่ได้เจอกับเขา ส่วนใหญ่จะตายภายในหนึ่งท่าสังหาร คนที่ได้สู้กับเขาถอยหลบได้ไม่เกินสามฉื่อหรอก!”

“ตายภายในหนึ่งท่าสังหาร?” เหมียวอี้ทำสีหน้าเหลือเชื่อ นึกไม่ถึงว่าทูตขวาชิงที่โหดเหี้ยมเย็นชาจะมีความสามารถแบบนี้

ในปีนั้นตอนที่เขาอยู่ที่การปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร ก็ไม่เห็นว่าเลี่ยหวนออกมาตามตัวคิดบัญชีกับคนที่ทำตำหนักบรมอัคคีพัง ตอนนั้นชิงเฟิงก็ลงมือกับไต้ซือศีลเจ็ดแล้ว ถ้าการโจมตีครั้งนั้นเขาหยุดมือไม่ทัน ไต้ซือศีลเจ็ดอาจจะหลบไม่พ้นเลยก็ได้

ฝูชิงโบกมือ “จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ ตายภายในหนึ่งท่าสังหารของชิงเฟิงร้ายกาจจริงๆ แต่ปัญหามันอยู่ที่ ‘หนึ่งท่า’ นี่แหละ สิ่งที่ชิงเฟิงต้องการคืออานุภาพการของหนึ่งท่า มันเฉพาะทางเกินไป ก่อนจะลงมือต้องรวบรวมพลัง ถ้าโจมตีท่านี้แล้วไม่โดนคู่ต่อสู้ ก็ต้องรวบรวมพลังอีกครั้ง ถ้าไปเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่สามารถปลิดชีพได้ในครั้งเดียวก็ลำบากแล้ว ดังนั้นจึงเทียบกับความเร็วที่เปลี่ยนท่าได้หลากหลายและต่อเนื่องของเจ้าสามไม่ได้ ถ้าชิงเฟิงสู้กับเจ้าสามจะต้องเสียเปรียบแน่นอน!”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ ในใจเขาตัดสินใจได้แล้ว ถึงได้บอกเรื่องเข้าร่วมการทดสอบปีหน้าให้ทั้งสองได้รู้ เรื่องฝึกฝนทักษะการต่อสู้ย่อมต้องบอกให้ชัดเจน เพราะต้องให้พวกอิงอู๋ตี๋ช่วยเขาอีกแรง

สำหรับปัญหาความยุ่งยากที่กำลังจะมาถึงนี้ ทั้งสองต่างก็ทำสีหน้าจริงจังและหนักแน่น ย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว

ดังนั้นจึงส่งต่อจวนของผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกให้ฝูชิงคุมชั่วคราว ส่วนอิงอู๋ตี๋ ชิงเฟิง โพ่คง ราชาปีศาจทะเลครามและเลี่ยหวนล้วนถูกเหมียวอี้เลือกตัว เรื่องการฝึกฝนครั้งนี้เขาครุ่นคิดเงียบๆ มาหลายปีแล้ว ถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรก็ต้องพูดให้ชัดเจน

สุดท้ายก็เรียกทั้งสี่ออกมาด้วยกัน ให้ทั้งสี่เตรียมตัว พรุ่งนี้ต้องติดตามเหมียวอี้ออกเดินทาง ชิงเฟิง โพ่คงและราชาปีศาจทะเลครามไม่มีความคิดเห็นแย้งอะไร แต่เลี่ยหวนกลับทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ “คุณชายห้า ข้าไม่อยากไป ท่านเปลี่ยนให้คนอื่นไปได้มั้ย?”

“เลี่ยหวน นับวันเจ้าชักจะกล้าขึ้นทุกวันแล้วนะ!” ฝูชิงสีหน้าเครียดขรึม

ชิงเฟิงหันกลับมาจ้องเลี่ยหวนอย่างเย็นเยียบ เลี่ยหวนโดนเขาซ้อมจนหวาดกลัว จึงหัดคอตอบว่า “ประมุขถิ่น ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อฟังคำสั่งนะ แต่คนในครอบครัวข้าออกเที่ยวหาความสำราญอยู่ข้างนอกทุกวัน ถ้าข้าไม่เฝ้าดูนางไว้ ถ้ากลับมาก็ยังไม่รู้เลยว่าจะโดนนางสวมเขากี่เขา”

หลังจากเกิดคดีหอโคมเขียว เลี่ยหวนก็โดนหูเฟยทำให้กลัวแล้วจริงๆ หูเฟยไม่ได้กลัวเขาเลย นางเองก็เป็นหนึ่งในราชาปีศาจเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตโดนอาศัยเลี่ยหวน ถ้าผู้หญิงสามารถพึ่งพาตัวเองได้ขึ้นมา ระหว่างสามีภรรยาก็จะเกิดการแข่งขันกันได้ง่ายมาก นางยื่นคำขาดมาแล้วว่า : เลี่ยหวน เจ้ากล้าทำเรื่องผิดต่อข้า ข้าก็กล้าทำเรื่องผิดต่อเจ้า!

“เรื่องนี้จะโทษใครได้ล่ะ? ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ทิ้งไปสิ ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง เจ้าเป็นชายชาตรีจะกลัวอะไร!” อิงอู๋ตี๋พูดเหน็บแนม

“คุณชายสาม จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้นะ เป็นสามีภรรยากันคืนเดียวเท่ากับติดนี้บุญคุณกันไปร้อยวัน นี่เราเป็นสามีภรรยากันมาหลายแสนปีแล้วนะ บทจะเลิกก็เลิกได้ยังไง” เลี่ยหวนตอบด้วยสีหน้าขื่นขม

เหมียวอี้รู้สึกบันเทิงทันที “ข้าว่านะเลี่ยหวน ควากล้าหาญตอนอยู่ในเจดีย์งามวิจิตรปีนั้นหายไปไหนแล้วล่ะ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกลัวเมีย!”

เลี่ยหวนก้มหน้าก้มตาตอบ “คุณชายห้า ฮูหยินของท่านก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

“…” คำพูดนี้ทำให้เหมียวอี้สำลัก ทุกคนก็แย่พอๆ กัน ไม่ต้องหัวเราะเยาะใครทั้งนั้น พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกเชื่อมโยงไป ถ้าโดนอวิ๋นจือชิวจับได้เรื่องเขากับหวงฝู่จวินโหรวขึ้นมา ต่อไปอวิ๋นจือชิวจะล้างแค้นแบบหูเฟยหรือเปล่า จะออกเที่ยวหาความสำราญไปทั่วหรือเปล่า?

พอคิดเรื่องนี้แล้วก็กลัวจนตัวสั่นขึ้นมาทันที ในใจยิ่งมีความแน่วแน่ ว่าจะไม่ให้อวิ๋นจือชิวจับได้เรื่องตัวเองกับหวงฝู่จวินโหรวเด็ดขาด!

ในฐานะที่เปป็นพี่ใหญ่ ฝูชิงก็ไม่อาจละเลยปัญหาที่เป็นกรณีพิเศษของลูกน้อง เลี่ยหวนกับภรรยาติดตามรับใช้เขามาหลายปีแล้ว ทนมองทั้งสองเลิกกันง่ายๆ ไม่ได้จริงๆ เดิมทีหูเฟยก็ไม่ได้รักษาคุณธรรมของสตรีอยู่แล้ว เป็นอีกาสองตัว ไม่ต้องชี้ด่าว่าใครดำ ถ้าไม่ใช่เพราะมีเขาคอยควบคุม สองคนนี้ก็คงจะเลิกกันไปนานแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าห้า เจ้าต้องการให้เลี่ยหวนไปทำอะไร?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ในปีนั้นตอนที่ข้าบุกเข้าตำหนักบรมอัคคี ข้าชอบค่ายกลเพลิงที่เขาวางไว้ คาดว่าคงมีประโยชน์กับการฝึกตนครั้งนี้”

ฝูชิงหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “งั้นก็จัดการสะดวกแล้ว ที่จริงหูเฟยคือวิญญาณจิ้งจอกไฟ นางฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟเหมือนกัน ถ้านางกับเลี่ยหวนร่วมมือกัน อานุภาพจะเพิ่มขึ้นเยอะมาก ในปีนั้นปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวยังสะบักสะบอมด้วยน้ำมือสองสามีภรรยาคู่นี้ เจ้าพาไปด้วยกันก็สิ้นเรื่องแล้ว”

และนี่ก็คือเหตุผลที่เขาควบคุมสองสามีภรรยาคู่นี้ไม่ให้เลิกกันมาโดยตลอด สองคนนี้เป็นคู่หูที่ดีโดยกำเนิด ถ้าแยกกันจะทำให้กำลังรบของตำหนักดาวประจิมเสียหาย!

เลี่ยหวนพยักหน้าซ้ำๆ ทันที “คุณชายห้า พาไปด้วยกันเลยเถอะ ไม่มีธุระอะไรก็เรียกให้นางซักผ้าทำกับข้าวได้ เรียกใช้ได้เลย ไม่ต้องเกรงใจข้า” ขณะที่พูดเขาก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเล็กน้อย เหมือนอยากจะยืมมือเหมียวอี้มาระบายความโมโหในช่วงนี้

เพิ่มมาอีกคนก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ถึงอย่างไรก็ยังมีข้อดี เหมียวอี้พยักหน้าตกลงทันที เรื่องราวก็ถูกกำหนดอย่างนี้แล้ว


997

รอขายตอนราคาดี

ถ้าสามารถพาหูเฟยไปด้วยกันได้ เลี่ยหวนย่อมดีใจมากอยู่แล้ว

ส่วนเหมียวอี้ก็เขียนคำสั่งให้ฝูชิงฉบับบหนึ่ง มอบอำนาจของผู้บัญชาการให้เขาชั่วคราว ที่จริงต่อให้ตอนที่ตัวเขาอยู่ที่นี่ งานเบื้องล่างก็ส่งต่อให้ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋จัดการอยู่ดี แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เคยชินกับการโยนงานให้คนอื่นทำอยู่แล้ว ถ้าให้สนใจเรื่องทุกอย่างไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ นั่นไม่ใช่นิสัยการทำงานของเขา เมื่อมอบอำนาจตัดสินใจให้ทั้งสองแล้ว เขตเมืองตะวันออกก็ย่อมตกอยู่ในความดูแลของพวกเขาสองคน

การทำแบบนี้ก็มีข้อดีเหมือนกัน อย่างน้อยในสายตาฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ น้องชายคนนี้ก็ไม่ได้มองพวกเขาสองคนเป็นลูกน้อง แต่เชื่อใจพวกเขาอย่างเต็มเปี่ยม สงสัยน้องสะใภ้จะพูดไว้ไม่ผิด ว่าเจ้าห้าคนนี้เป็นคนมีคุณธรรมน้ำมิตรจริงๆ ก็เพราะอย่างนี้ เมื่อมาใช้เวลาอยู่ด้วยกันที่นี่ ทั้งสองฝ่ายจึงมีความสบายใจต่อกันมาก

เมื่อพวกเขาออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์ พวกฝูชิงก็ออกไปข้างนอก ส่วนเหมียวอี้ก็ไปหาเป่าเหลียนแล้วบอกว่า “ข้าจะต้องออกไปข้างนอกสักระยะ เจ้าจะฝึกตนอยู่ที่นี่หรือจะกลับไปที่สำนักลมปราณก็ได้”

เป่าเหลียนอึ้งนิดหน่อย ก่อนจะกุมหมัดตอบว่า “ข้าน้อยยินดีติดตามรับใช้นายท่าน จะไปกับนายท่านด้วย”

“ข้าจะไปหาที่เก็บตัวฝึกฝน เจ้าไปด้วยไม่เหมาะหรอก พวกเราก็เป็นคนกันเอง เจ้าไม่ต้องเกรงใจเลย เจียดเวลากลับสำนักลมปราณไปเยี่ยมปู่ของเจ้าเถอะ!” เหมียวอี้โบกมือ ตัดสินใจแบบนี้แล้ว เข้าไม่สะดวกจะพาเป่าเหลียนไปด้วยจริงๆ ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพวกฝูชิงอาจจะเปิดเผยได้

ผ่านไปไม่นาน ด้านนอกก็มีคนมารายงานอีกแล้ว ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกส่งคนมาเชิญเหมียวอี้ไปร่วมงานเลี้ยง

ถ้าไม่พูดถึงเรื่องนี้ เหมียวอี้ก็แทบจะลืมไปแล้ว เขายังเตรียมจะไปสัมผัสความอ่อนโยนละมุนละไมของสองพี่น้องโอวหยางสักคืนอยู่เลย

เหมียวอี้เองก็อยากจะดูว่าสวีถังหรานต้องการจะทำอะไรกันแน่ ถึงได้ไปร่วมงานเลี้ยง

โคมไฟประดับสวยงาม หลังจากมาถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก พอเข้ามาในสวนดอกไม้ของสวีถังหราน เหมียวอี้ก็เกิดความคิดอยากจะเลี้ยวหนีกลับทันที เหตุผลไม่ใช่เพราะอะไรหรอก ถึงแม้มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่จะมาถึงแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนเห็นผีก็คือ หวงฝู่จวินโหรวก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน กำลังเหล่ตามองเขาด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

“น้องหนิว!” เมื่อเห็นเขากำลังจะเลี้ยวหนี สวีถังหรานก็รีบดึงแขนเขาเอาไว้

เหมียวอี้จึงถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เจ้าไม่เคยได้ยินเหรอว่าข้ากับหวงฝู่จวินโหรวมีความแค้นต่อกัน? รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าข้ากับนางไม่ถูกกัน เจ้ายังจะเชิญนางมาทำไมอีก?”

สวีถังหรานยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “ข้าก็ไม่ได้เชิญนางเหมือนกัน แต่นางมาเองโดยไม่ได้รับเชิญ นางมากับเสวี่ยหลิงหลงของหอกลิ่นสวรรค์ คาดว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้าบอกหอกลิ่นสวรรค์ไว้ ว่าจะเชิญนางมาทำการแสดงในงานรวมตัวของผู้บัญชาการทั้งสี่ ทางหอกลิ่นสวรรค์คงปล่อยข่าวให้หวงฝู่จวินโหรวรู้ ในเมื่ออีกฝ่ายมาแล้วข้าก็ไม่สะดวกจะไล่ไป ถึงอย่างไรข้าก็เคยไหว้วานให้นางไกล่เกลี่ยกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงให้ ถ้าไปทำให้ผู้หญิงคนนี้ไม่พอใจ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็จะยิ่งอาละวาด น้องชาย ไว้หน้าข้าเถอะ อดทนไว้เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว”

เจ้ามีหน้าให้ข้าไว้ด้วยเหรอ! เหมียวอี้พูดดูถูกในใจ แต่จะหนีไปก็คงไม่ดี เพราะมู่หรงซิงหัวกับหยางไท่เห็นเขาแล้ว จึงเดินเข้าไปกุมหมัดคารวะทักทายด้วยรอยยิ้ม “มู่หรง หยางไท่ ผู้จัดการร้านหวงฝู่ก็มาด้วยเหรอ?”

หยางไท่ยิ้มพลางกุมหมัด ส่วนมู่หรงซิงหัวก็ตอบ “อืม” ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้เหมียวอี้เห็นเลย

เหมียวอี้เองก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าผู้หญิงคนนี้ดูถูกเหยียดหยามคนเลวที่ไปชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว เขาพอจะเข้าใจได้

หลังจากทักทายกันตามมารยาท สุราอาหารถูกนำมาวางขึ้นโต๊ะ สวีถังหรานก็เชิญทุกคนให้นั่งประจำที่ หวงฝู่จวินโหรวเหมือนจงใจผ่อนฝีเท้าเดินช้าๆ หลังจากเดินเคียงคู่กับเหมียวอี้ นางก็ถ่ายทอดเสียงถามเงียบๆ “หนิวโหย่วเต๋อ พอเห็นข้าเจ้าก็วิ่งหนี เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก แล้วตอบว่า “ครั้งก่อนเจ้าโยนเสื้อชั้นในไว้บนเตียงข้า ข้ายังอยากจะถามเจ้าอยู่เลยว่าหมายความว่าอย่างไร!”

หวงฝู่จวินโหรวอึ้งทันที รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เจ้าบ้ารึเปล่า ตอนนั้นฉุกละหุก ก็แค่ลืมหยิบไปเท่านั้นเอง ร่างกายข้าเจ้าก็เห็นหมดแล้ว ผลประโยชน์อะไรเจ้าก็ฉวยไปหมดแล้ว แค่เสื้อชั้นในตัวเดียวมีค่าพอที่จะทำให้เจ้าหลบหน้าข้าเลยเหรอ?”

“…” เหมียวอี้ลำบากที่จะพูดออกไป ไม่สามารถบอกนางถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับอวิ๋นจือชิวได้ ทำได้เพียงตอบอย่างขอไปที “ไม่ใช่เรื่องเสื้อชั้นใน ข้าบอกแล้วไง ว่านั่นคือครั้งสุดท้าย เจ้าเองก็รับปากแล้ว! พวกเรารักษาระยะห่างกันหน่อยเถอะ แบบนี้จะดีทั้งกับเจ้าและกับข้า”

“รักษาระยะห่างเหรอ? ข้าว่าเจ้ากลัวข้าจะเป็นอุปสรรคในการจีบเถ้าแก่เนี้ยมากกว่ามั้ง?” หวงฝู่จวินโหรวพูดเหน็บแนม “เจ้าก็อย่ายกยอตัวเองมากเกินไปหน่อยเลย ข้าก็ไม่ได้คิดจะอยู่กับเจ้าแบบนี้ไปตลอดหรอก ด้วยฐานะอย่างข้า จะหาผู้ชายที่มีปัจจัยพร้อมกว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้เชียวเหรอ?”

“งั้นก็ดี! ขอให้เจ้าเจอกับสามีในอุดมคติในเร็ววัน!” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วรีบเดินไปข้างหน้า ปลีกตัวออกจากนาง ทำตามที่สวีถังหรานบอก รีบเข้าไปนั่งประจำที่

“เลือดเย็นไร้หัวใจ!” หวงฝู่จวินโหรวพ่นคำพูดออกมาจากซอกฟัน

คนตรงนี้เพิ่งนั่งลง การร้องระบำของหอกลิ่นสวรรค์ก็เริ่มต้นแล้ว แสดให้คนดูเพียงโต๊ะเดียว แต่สมาธิของคนโต๊ะนี้ดันไม่ได้อยู่กับการร้องระบำ พวกเขากำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกัน สำหรับคนที่กำลังทุ่มเทร้องระบำอยู่บนเวที สิ่งนี้ทำให้พวกเขาปวดใจมาก สิ่งที่ตัวเองพยายามฝึกซ้อมอย่างยากลำบาก ในสายตาของคนข้างล่างเป็นเพียงสิ่งที่ช่วยเสริมให้เด่น แต่ก็ช่วยไม่ได้ คนเราแบ่งระดับชั้นอาชีพไว้หลากหลาย พวกเขาเป็นแค่คนเต้นกินรำกิน

ที่โต๊ะนี้กำลังคุยกันเรื่องการทดสอบ และไม่ได้หลบเลี่ยงหวงฝู่จวินโหรวด้วย

ตอนนี้หวงฝู่จวินโหรวถึงได้รู้จุดประสงค์ที่พวกเขามารวมตัวกัน และเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของเซี่ยโห้วหลงเฉิง นางกับมู่หรงซิงหัวนั่งอยู่ด้วยกัน ทั้งสองคุยกันเยอะหน่อย ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งคู่

พอสวีถังหรานพูดเปิดเผยชัดเจน พวกเหมียวอี้ก็เข้าใจจุดประสงค์ที่สวีถังหรานเชิญมาเป็นแขกแล้ว สงสัยจะกลัวตาย เขากำลังโน้มน้าวทุกคนว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะต้องสามัคคีกันไว้ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ กำลังอยากจะหาผู้ช่วยตอนทำการทดสอบ เขาคนเดียวกำลังอ่อนด้อย แบบนั้นน่าหวาดกลัว!

จู่ๆ หยางไท่ก็บอกว่า “สวีถังหราน ยังไม่รู้เลยว่าต้องทดสอบเดี่ยวทีละคน หรือว่าต้องทดสอบเป็นกลุ่ม มาพูดแบบนี้ตอนนี้ไม่เร็วไปหน่อยเหรอ?”

เหมือนโดนน้ำเย็นสาดหน้า สวีถังหรานเอ๋อนิดหน่อย ใช่แล้ว! ถ้าให้ทดสอบเดี่ยวทีละคนขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ? ตอนนี้จิตใจของเขาเหี่ยวเฉาไปแล้วครึ่งหนึ่ง

บนเวที รอจนกระทั่งเสียงของเสวี่ยหลิงหลงดังบนเวที หวงฝู่จวินโหรวก็นำทุกคนปรบมือ ทุกคนสรรเสริญเยินยอตามนาง ในที่สุดความสนใจก็ไปรวมอยู่บนเวทีแล้ว

จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ การได้ดูเสวี่ยหลิงหลงร้องระบำถือเป็นการเสพสุขอย่างหนึ่งจริงๆ แม้แต่สวีถังหรานก็ยังโยนความห่อเหี่ยวใจเอาไว้ชั่วคราวแล้ว

ระหว่างที่พักและเปลี่ยนคนขึ้นแสดงบนเวที ท่านแม่สวีก็นำเสวี่ยหลิงหลงเดินเข้ามาดื่มฉลองกับพวกเขา ในสถานการณ์ทั่วไปเสวี่ยหลิงหลงจะไม่ออกมาดื่มเป็นเพื่อน ทว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนไม่ใช่คนทั่วไป หอกลิ่นสวรรค์อยู่บนอาณาเขตผืนนี้ เลี่ยงไม่ได้ที่จะฝากเนื้อฝากตัวกับท่านผู้บัญชาการ

หยางไท่ชูจอกสุราพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราดูแลอะไรไม่ได้หรอก คนที่ดูแลได้จริงๆ คือผู้จัดการร้านหวงฝู่ต่างหาก”

เรื่องนี้ทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ คนที่ดูแลได้จริงๆ ก็คือหวงฝู่จวินโหรว ถ้าไม่ใช่เพราะหวงฝู่จวินโหรว คนสวยระดับเสวี่ยหลิงหลงคงโดนคนจับขึ้นเตียงไปนานแล้ว จะได้เสนอหน้ามาขายศิลปะเหรออยู่ที่นี่เหรอ

หลังจากพูดคุยตามมารยาทไปครู่เดียว ท่านแม่สวีก็พาเสวี่ยหลิงหลงถอยออกไป เตรียมทำการแสดงเพลงต่อไป

หยางไท่ถามหวงฝู่จวินโหรวว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ เสวี่ยหลิงหลงคนนี้ เจ้าคงจะปกป้องนางไปทั้งชีวิตไม่ได้หรอกมั้ง เวลาในแดนฝึกตนยาวนานเชื่องช้า เป็นไปไม่ได้ที่นางจะขายศิลปะไปทั้งชีวิต คนที่หน้าตางามล่มเมืองอย่างนาง คงจะมีสักวันที่ได้เจอกับคนที่ผู้จัดการร้านหวงฝู่ไม่มีทางขัดขวางไหว”

สวีถังหรานส่ายหน้าบอกว่า “ผู้หญิงที่หน้าตาสวยเกินไป บางครั้งก็เป็นการสร้างความยุ่งยากให้ตัวเอง”

“ก็เพราะผู้ชายอย่างพวกเจ้าไม่น่าไว้วางใจไม่ใช่หรอกเหรอ!” มู่หรงซิงหัวพูดเหยียดหยาม

หวงฝู่จวินโหรวยิ้มพร้อมตอบว่า “เป็นเพื่อนกัน ถ้าขัดขวางได้อีกสักวันก็ขัดขวางไป ถ้าเจอคนที่ข้าขัดขวางไม่ไหวจริงๆ ก็แสดงว่าฐานะต้องไม่แย่แน่นอน อย่างน้อยชีวิตนี้นางก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรฝึกตนแล้ว”

“รอให้ราคาดีแล้วค่อยขายนี่นา! แต่คนที่ผู้จัดการร้านหวงฝู่ขัดขวางไม่ไหวจะต้องมียศฐาบรรดาศักดิ์แน่ เสวี่ยหลิงหลงทำอาชีพเปื้อนฝุ่น เกรงว่าคงยากที่จะมีโอกาสได้เป็นภรรยาเอกของตระกูลใหญ่ๆ” หยางไท่กล่าวกลั้วหัวเราะ

เหมียวอี้พูดหยอกว่า “พี่หยางยังไม่แต่งงาน ถ้ายินดีรับเสวี่ยหลิงหลงเป็นภรรยาเอก ไม่แน่ว่าผู้จัดการร้านหวงฝู่อาจจะช่วยให้สมหวังก็ได้นะ!”

หยางไท่ยิ้มแห้ง “ข้าไม่ฝันกลางวันแบบนั้นแล้ว เมื่ออยู่ในตำแหน่งแบบเจ้ากับข้า เรื่องผู้หญิงก็มีมาไม่ขาดหรอก สาวงามที่ยินดีกระโดดเข้าอ้อมกอดมีตั้งมากมาย ไม่ต้องแต่งงานกันเสมอไป แบบนี้จะได้ประหยัดทรัพยากรฝึกตน” เมื่อกล่าวแบบนี้ออกมา เหมียวอี้กับสวีถังหรานก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่กลับทำให้ผู้หญิงที่นั่งร่วมโต๊ะไม่พอใจแล้ว จึงพูดเสริมทันทีว่า “นี่ไม่ใช่ความคิดของข้าคนเดียวนะ คนในแดนฝึกตนส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น ขนาดน้องหนิวยังไม่ถือสาผู้หญิงที่มีสามีแล้วเลย คาดว่าคงไม่ถือสาคนทำอาชีพเปื้อนฝุ่นอย่างเสวี่ยหลิงหลงเหมือนกัน ไปขอให้ผู้จัดการร้านหวงฝู่ช่วยให้สมปรารถนาได้นะ”

หวงฝู่จวินโหรวพูดเหน็บทันที “เขาหลงใหลเถ้าแก่เนี้ยท่านนั้นจนโงหัวไม่ขึ้นไปแล้ว ถ้าเขากลับตัวได้ ข้าก็จะเป็นคนกลางช่วยให้เขาสมหวังกับเสวี่ยหลิงหลง!”

หยางไท่ลูบไม้ลูกมือหัวเราะทันที แล้วถามต่อว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ พูดจริงหรือเปล่า?”

หวงฝู่จวินโหรวเหล่ตามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง หยิบจอกสุราขึ้นมา แล้วหันตัวสาดสุราลงพื้น “คำพูดที่พูดออกไปแล้ว ก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป!”

หยางไท่ตบบ่าเหมียวอี้อย่างแรงทันที “น้องหนิว พลาดโอกาสไม่ได้นะ หญิงงามล่มเมืองขนาดนี้จะพลาดได้อย่างไร!”

เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก ในบ้านเขามีคนสวยน้อยไปหรือไงล่ะ? บนโต๊ะนี้ก็มีหญิงงามล่มเมืองอยู่คนหนึ่งเหมือนกัน มีอะไรกันแล้วเหมือนกัน แต่แล้วยังไงล่ะ?

จะสวยหรือจะไม่สวย สำหรับเขานั้นไม่มีความหมายอะไรแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขาว่าอยากหรือไม่อยาก! แต่แน่นอนว่าจะพูดออกมาแบบนั้นไม่ได้ เพียงยิ้มตอบให้เรื่องผ่านไป “จะกวางตุ้งหรือผักกาดเขียว ต่างก็มีคนชอบทั้งนั้น ลางเนื้อชอบลางยา!”

หยางไท่กับสวีถังหรานถอนหายใจอย่างเสียดายทันที

แต่การปฏิเสธอย่างเด็ดขาดแบบนี้ทำให้มู่หรงซิงหัวประหลาดใจอยู่บ้าง จะเห็นได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่คนไร้ยางอายบ้าผู้หญิงเสียทีเดียว ขนาดคนสวยระดับเสวี่ยหลิงหลงยังไม่อยากได้ จะเห็นได้ว่าเขาชอบเถ้าแก่เนี้ยท่านนั้นจากใจจริง

แต่สำหรับหวงฝู่จวินโหรว ในใจเรียกได้ว่ารู้สึกซับซ้อนสับสน ด้วยปัจจัยนางที่นางมี ไม่น่าเชื่อว่าจะเทียบกับผู้หญิงที่มีสามีแล้วไม่ติด!

เหมียวอี้ยังมีธุระ ก่อนหน้านี้บอกสองพี่น้องโอวหยางไว้แล้วว่าจะไปค้างคืนด้วย คงไม่ดีถ้าจะให้รอนาน และเขาก็ไม่ใช่คนมีอารมณ์สุทรีย์อะไร ไม่ค่อยสนใจการร้องรำทำเพลงสักเท่าไร มานั่งเสียเวลากับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ เมื่อเห็นว่าตรงนี้ไม่เลิกพูดเรื่องไร้สาระเสียที ถึงได้ขอตัวกลับก่อน

เมื่อกลับถึงจวนผู้บัญชาการ เขาก็เดินทางไปจนถึงร้านขายผลึกสกัดโดยใช้เส้นทางใต้ดิน

เหมียวอี้เองก็ไม่อยากทำเรื่องแบบนั้นกับสองพี่น้องทุกครั้งที่มาที่นี่ จึงเสนอให้ไปเดินเล่นด้วยกัน

สองพี่น้องย่อมดีใจมากอยู่แล้ว จะว่าไปก็น่าสงสาร เพราะพวกนางไม่เคยออกไปเที่ยวเล่นกับเหมียวอี้มาก่อน ทั้งสามจึงปลอมตัวแล้วออกไปเที่ยวด้วยกัน ไม่ได้พาคนอื่นไปด้วย

เอ้อระเหยลอยชายอยู่ที่ตลาดสวรรค์ภายใต้ทิวทัศน์ยามราตรี เหมียวอี้ตามใจทั้งสองสุดๆ บางครั้งก็กล่าวคำหวานไพเราะ ทำให้ทั้งสองร่าเริงเบิกบานใจ หลังจากกลับมาแล้วก็ปรนนิบัติเขาอย่างสุดจิตสุดใจ เป็นฝ่ายรุกก่อน…

วันต่อมาตอนพระอาทิตย์ส่องสว่าง เหมียวอี้ก็ลุกออกจากแขนของสองพี่น้องที่กอดพัวพันตัวเองอยู่

หลังจากกลับมาที่จวนผู้บัญชาการ ก็เรียกพวกอิงอู๋ตี๋ที่มารออยู่ก่อนแล้วให้ออกเดินทางไปด้วยกัน พอออกจากเมืองก็เหาะไปทางทิศใต้ตลอดทางด้วยความเร็วสูง

998

หนึ่งท่าสังหาร

ทะเล! ทะเลที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา!

กลุ่มคนเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงบนเกาะแห่งหนึ่ง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ มาเหยียบลงบนภูเขาไฟบนเกาะ เกาะแห่งนี้มีขนาดไม่เล็ก

กลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงปากภูเขาไฟก้มมองลงไปที่ท้องภูเขาไฟ เห็นได้ชัดว่าเลี่ยหวนกับหูเฟยรู้สึกคุ้ยเคยกับลักษณะพื้นภูมิแบบนี้มาก เหมียวอี้จึงถามว่า “ที่นี่เหมาะจะให้พวกเจ้าวางค่ายกลเพลิงอัคคีหรือเปล่า?”

สองสามีภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วกระโดดลงไปสำรวจโดยตรง

หลังจากขึ้นมาแล้ว เลี่ยหวนก็ส่ายหน้าบอกว่า “ปัจจัยสู้เขาเพลิงนภาไม่ได้ แต่ถ้าให้วางค่ายกลอย่างเดียว ก็ยังพอถูๆ ไถๆ ไปได้อยู่”

“ได้ งั้นพวกเราก็พักกันที่นี่แหละ พวกเจ้าวางค่ายกลได้เลย”

เหมียวอี้เพิ่งจะออกคำสั่งตรงนี้ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงตะโดนดังมาจากที่ไกลๆ “ใครมันบุกเข้ามาในอาณาเขตของตาแก่คนนี้วะ?”

ทุกคนเอียงหน้ามองตามเสียง เห็นเงาคนสามคนเหาะมาจากใต้หน้าผาตรงจุดไกลๆ ตอนนี้กำลังลอยอยู่บนฟ้า ผู้ที่นำหน้ามาคือชายชราผมเขียวคนหนึ่ง ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นสอง ทางซ้ายและขวาคือ ข้างซ้ายและข้างขวาคือสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดเขียวสองคน หน้าตาเหมือนฝาแฝด ให้ความรู้สึกเดียวกับสองพี่น้องโอวหยาง บนกายทั้งสามมีปราณปีศาจเหมือนกัน กำลังจ้องทุกคนที่อยู่บนปากภูเขาไฟเบื้องล่างด้วยสายตาเกรี้ยวโกรธ

เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าไม่สนหรอกว่าเกาะนี้จะเป็นของใคร ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะยึดเกาะนี้ไว้ใช้งาน ปีหน้าพวกเจ้าค่อยกลับมาก็แล้วกัน”

ชายชราชุดเขียวตะคอกถามอย่างดุดัน “เป็นใครกันมาพูดจาอวดดี เจ้าบอกว่าจะยึดก็แปลว่าจะยึดได้เหรอ?”

เหมียวอี้ส่งสัญญาณให้ทางซ้ายทางขวาเล็กน้อย บนตัวของทุกคนมีหมอกสีทองลอยขึ้นมา ชั่วพริบตาเดียวเกราะรบสีทองของตำหนักสวรรค์ก็คลุมร่างกายแล้ว สีทองระยิบระยับจ้าตาอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกราะรบบนตัวเหมียวอี้สะดุดตาที่สุด เกราะรบห้าแถบสีทองอร่ามกึ่งโปร่งแสง ทำให้นักพรตปีศาจทั้งสามตกตะลึงอ้าปากค้าง

เหมียวอี้ตะคอกว่า “พวกเราได้รับบัญชาสวรรค์ให้มาทำงาน ใครกล้ามาขัดอำนาจสวรรค์ ฆ่าไม่ละเว้น! ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”

ชายชราชุดเขียวหัวหด ใบหน้าฉายแววหวาดกลัว รีบกุมหมัดคารวะซ้ำๆ แล้วรีบอุ้มสตรีวัยกลางคนสองคนที่ตกใจจนหน้าถอดสีหนีไป หายไปยังท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ ไม่กล้าพูดมากเลยสักคำ

เลี่ยหวนหัวเราะเบาๆ พลางตบเกราะทองบนร่างกายตัวเอง “สงสัยหนังเสือบนตัวจะมีอานุภาพน่าหวาดกลัวมากจริงๆ”

เหมียวอี้หันซ้ายหันว่า “พวกเจ้าห้าคนค้นหาให้ทั่วเกาะ ไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปให้หมด ใครขัดคำสั่ง ฆ่า!”

“รับทราบ!” ชิงเฟิง โพ่คง ราชาปีศาจทะเลคราม เลี่ยหวนและหูเฟยกุมหมัดน้อมรับคำสั่ง จากนั้นก็แยกกันค้นหาไปทั่วทั้งสี่ทิศโดยใช้ปากภูเขาไฟเป็นจุดศูนย์กลาง

มีเพียงอิงอู๋ตี๋ที่ยังยืนเอามือไขว้หลังอยู่ข้างเหมียวอี้ ถามว่า “สถานที่นี้มีประโยชน์ต่อการฝึกตนของเจ้าเหรอ? ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษนะ!”

เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่กี่ปีมานี้ข้าคอยสืบข่าวมาตลอด สถานที่ที่เหมาะสมกว่านี้ก็มีเหมือนกัน เพียงแต่อยู่ห่างจากดาวเทียนหยวนมากเกินไป นอกจากจะไปกลับลำบากแล้ว ดีไม่ดีอาจจะโดนศัตรูจับจ้องได้ ยังเป็นที่นี่ที่พอถูไถไปได้”

ที่จริงเขาต้องการหาบริเวณที่น้ำทะเลลึกเพื่อฝีกตน แต่จนใจที่อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ทะเลลึกทั่วไปใช้ไม่ได้ผลสักเท่าไร แต่เมื่อมีกลุ่มปีศาจเฒ่าของทะเลดาวนักษัตรมาด้วย ก็ยังพอถูไถฝึกตนที่นี่ได้ เขาสืบข้อมูลมาแล้ว ว่าจุดที่ห่างจากตรงนี้ไม่ไกลมากคือน่านน้ำที่ลึกที่สุดของดาวเทียนหยวน ดังนั้นถึงได้พาคนมาที่นี่ เจ้าของเดิมของเกาะนี้โชคร้ายไปหน่อยก็เท่านั้นเอง

“ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งปี จะฝึกอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเหรอ?” อิงอู๋ตี๋ถาม

“ลองดูก่อนแล้วกัน ข้าก็เลยเชิญพี่สามมาช่วยเป็นเพื่อนตอนฝึกนี่ไง” เหมียวอี้ตอบ

“ถ้าต้องการความร่วมมืออะไร เจ้าก็บอกมาได้เลย” อิงอู๋ตี๋พยักหน้า

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม พวกชิงเฟิงก็ทยอยกันกลับมา กลับมารายงานว่าไม่พบคนอื่นบนเกาะแล้ว

จกานั้นพวกเขาก็ขุดห้องถ้ำหลายห้องบนหน้าผารอบๆ ปากภูเขาไฟ เอาไว้หลบแดดหลบฝน

พวกเขาไม่รีบฝึกตนในวันนั้น เหมียวอี้ต้องการสำรวมจิตใจก่อน เก็บสำรวมร่างกายและจิตใจออกมาจากความสับสนอลหม่านของโลกภายนอก ที่เหล่าไป๋เคยชี้แนะว่าให้เขาอยู่ในสภาพตัดขาดจากโลกภายนอกยามฝึกตน เขายังคงจำได้ ทุกๆ วันในตอนนั้นในใจของเขามีแต่เรื่องการฝึกตนเท่านั้น เรียกได้ว่าจิตใจไม่วอกแวก

และสิ่งที่เขาอยากจะเรียนรู้ให้บรรลุก็มีสองอย่าง

อย่างแรก หนึ่งทวนสิบสังหารของตัวเองสามารถแยกออกจากันได้หรือไม่? ไม่อย่างนั้นถึงแม้มันจะมีอานุภาพเยอะมาก แต่พอลงมือครั้งเดียวตัวเองก็หมดแรง ไม่มีกำลังไว้ใช้ตอนหลังอีก กระบวนท่านี้ไม่เหมาะจะนำมาใช้ต่อสู้เลย เหมาะจะเอาไว้ใช้ตอนต้องสู้สุดกำลังเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการรนหาที่ตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากได้ประมือกับปีศาจโลหิตครั้งก่อน เขาก็พบว่าอานุภาพของหนึ่งทวนสิบสังหารเพิ่มขึ้นหลายเท่า ทั้งยังมีตัวแปรใหม่ปรากฏขึ้นมา ยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากจะใช้กระบวนท่าหนึ่งทวนสิบสังหารได้อย่างอิสระยิ่งขึ้น หลายปีมานี้เขาครุ่นคิดและเตรียมตัวมาตลอด

อย่างที่สอง เขาอยากจะรู้ว่าจุดสีดำบนหัวทวนที่เกิดขึ้นตอนใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารครั้งก่อนคืออะไรกันแน่ เหตุใดจึงทำให้อานุภาพยามออกทวนเพิ่มขึ้นหลายเท่า ในเมื่อในโผล่อยู่บนหัวทวนได้ แล้วจะควบคุมให้มันอยู่บนหมัดของตัวเองได้หรือเปล่า? ถ้าหากทำอย่างนั้นได้ อาศัยการตอบสนองที่รวดเร็วของเขาบวกกับอานุภาพนี้ ก็สามารถจินตนาการถึงลัพธ์ได้เลย

สำหรับเขา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยพบมาก่อน เหล่าไป๋ไม่เคยชี้แนะเรื่องนี้ เขาจึงอยากจะบุกเบิกมันสักหน่อย

“คุณชายสาม คุณชายห้า รีบมาดูสิ พวกเราเจอสถานที่ดีๆ แล้ว” หูเฟยพลันโฉบผ่านท้องฟ้าเข้ามา แล้วตะโกนโหวกเหวกอย่างตื่นเต้นดีใจอยู่ตรงนั้น

คนอื่นๆ ไม่รู้ว่านางค้นพบอะไร พอวิ่งตามนางไปดู ทุกคนก็พูดไม่ออกทันที ที่แท้ก็เป็นหาดทรายผืนหนึ่ง

แต่หาดทรายผืนนี้งดงามมาก ทรายเหมือนกับหยกขาวที่โดนบดให้ละเอียด สะอาดบริสุทธิ์ คลื่นสีเขียวครามที่ขึ้นๆ ลงๆ ซัดฟองคลื่นสีขาวบริสุทธ์ ให้ไหลขึ้นและไหลลง ต้นมะพร้าวที่อยู่หลังฝั่งราวกับภาพวาด ทิวทัศน์สวยงามมากจริงๆ

“ประสบการณ์น้อยเลยเห็นเป็นเรื่องแปลก!” ราชาปีศาจทะเลครามพูดจาดูถูก เขาบุกตะลุยไปทั่วมหาสมุทรมาทั้งชีวิต แค่หาดทรายผืนเดียวไม่นับว่าแปลกใหม่อะไร

หูเฟยกลับเตะรองเท้าปักลายออก เดินเท้าเปล่าพร้อมยกกระโปรงขึ้น โห่ร้องอย่างตื่นเต้นเบิกบานใจ เหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่ง ทิ้งรอยเท้าสองข้างไว้บนหาดทรายสีขาวบริสุทธิ์ เพียงแต่ตอนที่วิ่งกลับมา หน้าอกของนางก็เรียกได้ว่าโดนคลื่นลูกใหญ่ซัด ทำให้คนกังวลว่าเนื้อกลมๆ สองก้อนที่โผล่ออกมาครึ่งหนึ่งของนางจะกระโดดเด้งออกมา

เห็นเพียงนางพุ่งตัวไปทางทะเลสีเขียวคราม กระโดดโลดเต้นอย่างเริงร่าแล้วกระโจนลงไปในฟองคลื่น

เหมียวอี้และคนอื่นๆ ส่ายหน้าพูดไม่ออก เป็นปีศาจที่มีชีวิตอยู่มาตั้งกี่ปีแล้ว ยังมีนิสัยประหลาดแบบนี้อีกเหรอ

ก็แค่หาดทรายผืนเดียวเอง! เลี่ยหวนอับอายนิดหน่อย กังวลว่าเหมียวอี้และคนอื่นๆ จะเข้าใจผิดสงสัยว่าเมียตัวเองกำลังตบตาทุกคนอยู่ จึงอธิบายว่า “คุณชายสาม คุณชายห้า ผู้หญิงคนนี้ก็แค่คึกคะนอง พวกท่านเป็นผู้ใหญ่อย่าถือสาผู้น้อยเลย อย่าไปถือสาคนอ่อนด้อยประสบการณ์อย่างนาง”

ใครจะไปไปถือสาคนอ่อนด้อยประสบการณ์อย่างนางล่ะ! เหมียวอี้หันกลับมาถามว่า “ชิงเฟิง ได้ยินว่าหนึ่งท่าสังหารของเจ้ามีอานุภาพไม่ธรรมดา ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อยได้มั้ย ไม่แน่ว่าอาจจะมีประโยชน์กับการฝึกตนในครั้งนี้ของข้า”

“คุณชายห้าอยากจะเปิดหูเปิดตาอย่างไรล่ะ?” ชิงเฟิงถาม

เหมียวอี้ยืนตรงหน้าเขา แล้วจู่ๆ ก็ขยับร่างเสียงดังพรึ่บ เท้าสองข้างไถลถอยหลังแนบหาดทรายออกไปไกลหลายจั้ง “เจ้าโจมตี ข้าตั้งรับ ดูว่าข้าจะต้านทานได้หรือไม่!”

เมื่อชิงเฟิงได้ยินดังนั้น ก็ดูลังเลนิดหน่อย

อิงอู๋ตี๋รู้ถึงความลำบากใจของเขา จึงเตือนว่า “น้องชาย ข้ารู้ว่าการตอบสนองของเจ้าก็รวดเร็วเหมือนกัน แต่หนึ่งท่าสังหารของชิงเฟิงมีอานุภาพไม่ธรรมดา ถ้าหากหลบไม่ทันขึ้นมา ต่อให้เป็นปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนก็ต้านทานไม่ไหว! ระยะห่างของพวกเจ้าสองคนใกล้กันเกินไปแล้ว!”

ชิงเฟิงบอกเช่นกันว่า “คุณชายห้า ถ้าข้าลงมือด้วยกำลังทั้งหมดที่มี พอได้เริ่มลงมือ ยังไม่ทันรอให้ใช้พลังจนหมด ตัวข้าเองก็ควบคุมไม่ได้แล้ว ถ้าหากข้ายั้งมือปลดปล่อยไม่เต็มที่ ก็จะแสดงอานุภาพออกมาไม่ได้”

เมื่อกล่าวมาแบบนี้ เหมียวอี้ก็ตาเป็นประกาย ราวกับค้นพบความรู้สึกร่วมเวลาป่วยโรคเดียวกัน

เลี่ยหวนกับราชาปีศาจทะเลครามก็พยักหน้าเช่นกัน “คุณชายห้า หนึ่งท่าสังหารของทูตขวาชิงไม่ใช่เล่นๆ นะ จะทดสอบซี้ซั้วไม่ได้ หาอย่างอื่นมาทดสอบเถอะ!”

เหมียวอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วชี้ที่ข้างหัวไหล่ บอกใบ้ว่าอย่าโจมตีโดนตัวเขา ให้โจมตีมาข้างๆ เขา “ดูว่าข้าจะหยุดยั้งได้หรือเปล่า!”

ทุกคนพยักหน้า แบบนี้ก็พอได้

ชิงเฟิงก็พยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ในชั่วพริบตาเดียวก็ยืนนิ่งสงบ ท่าทางเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบดุร้าย อากาศที่อยู่รอบข้างราวกับแข็งตัวในชั่วอึดใจเดียว ยังไม่ทันได้ลงมือ ลักษณะพลังที่แสดงออกมาก็ทำให้คนสะเทือนใจแล้ว นี่คือสิ่งที่สะท้อนออกมายามรวบรวมจิงชี่เสิน[1]ให้อยู่ในจุดสูงสุด

เหมียวอี้รู้สึกฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า เอียงหน้าเล็กน้อย หลับตาลงช้าๆ รวบรวมจิงชี่เสินของตัวเองให้อยู่ในจุดสูงสุดเช่นกัน

ทุกคนประหลาดใจ เมื่อเผชิญกับหนึ่งท่าสังหารของชิงเฟิง ไม่น่าเชื่อว่าคุณชายห้ายังจะกล้าหลับตา แบบนี้ประมาทไปหน่อยหรือเปล่า

แต่มีเพียงคนมีทักษะที่เข้าใจเรื่องนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าใจอะไรบางอย่างได้ ตอนนี้ในดวงตาชิงเฟิงฉายแววเย็นเยียบแล้ว

คนที่ยืนอยู่ทั้งสองฝั่งพลันรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดกลุ่มหนึ่ง ราวกับต้องการจะดูดตัวเองเข้าหาชิงเฟิง ทางฝั่งชิงเฟิงเหมือนกับมีหลุมดำของอากาศหลุมหนึ่ง แล้วก็เหมือนมีพลังที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งที่ทำให้ทุกคนนิ่งชะงัก พวกเขายังไม่ทันรู้ตัวว่ามันคืออะไร ชิงเฟิงก็หายไปจากฉากที่กำหนดไว้แล้ว เงาสีเขียวพร้อมกับกลิ่นอายสังหารที่ทำให้คนต้องกลั้นหายใจมาปรากฏอยู่ตรงข้างกายเหมียวอี้ในชั่วพริบตาเดียว

ทุกคนอ้าปากค้าง เรียกได้ว่าตกตะลึงมาก จับได้แล้ว! ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร แทบจะไร้ซึ่งสุ้มเสียง ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะคว้าแขนของชิงเฟิงไว้ได้!

ถึงแม้เหมียวอี้จะคว้าแขนของชิงเฟิงเอาไว้ได้ แต่กลับโดนแรงโจมตีมหาศาลกลุ่มหนึ่งพาให้ไถลไปข้างหลังพร้อมกัน

ไถลออกไปไกลสิบกว่าจั้ง ตอนนี้เงาร่างของชิงเฟิงถึงได้ปรากฏขึ้นจากภาพลวงตา เงาร่างทั้งสองที่ไถลออกมาหยุดนิ่งพร้อมกัน

เหมียวอี้กลับเบิกตากว้าง เขาหันไปมองชิงเฟิงและปลายนิ้วสองนิ้วที่ชี้ออกมา พบว่าปลายนิ้วอีกฝ่ายมีแสงกระบี่ที่มีพลังน่าเกรงขามปรากฏออกมา และตรงยอดของแสงกระบี่ก็มีจุดสีดำเล็กๆ จุดหนึ่งกำลังหมุนวน สภาพเหมือนตอนที่เขาใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหาร

ตามที่จุดสีดำเล็กๆ นั่นค่อยๆ หายไป ลมพายุที่หมุนวนก็กำลังเริงระบำอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน

ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงสิ่งที่อิงอู๋ตี๋บอกแล้ว ต่อให้ปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนให้กำลังปะทะกับชิงเฟิง แต่ก็ต้านทานท่านี้ของชิงเฟิงไม่ไหวอยู่ดี เพราะเป็นแบบนั้นจริงๆ ตอนนั้นนักพรตบงกชทองขั้นเจ็ดอย่างจงหลีค่วยก็รับมือกับจุดดำนี้ไม่ไหวเหมือนกัน

สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้หัวใจเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง แบบนี้ก็หมายความว่า ตัวเองอาจจะสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาได้เหมือนกัน สามารถควบคุมจุดสีดำนี้ไว้บนหมัดเท้าของตัวเองได้

ส่วนชิงเฟิงก็มองเหมียวอี้ด้วยสีหน้าตื่นตะลึง เหมือนไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง!

“ว้าว! ไม่น่าเชื่อว่าคุณชายห้าจะต้านทานหนึ่งท่าสังหารของทูตขวาชิงได้!” จู่ๆ ก็มีเสียงร้องอุทานที่ชัดใสดังมาจากริมทะเล

ทุกคนหันไปมอง เห็นหูเฟยวิ่งออกมาจากฟองคลื่น แล้วถลันตัวมาอยู่ข้างกายทุกคน เพียงแต่ร่างกายที่เปียกน้ำได้เผยความสะโอดสะองและส่วนเว้าส่วนโค้งออกมาจนหมด เสื้อผ้าโปร่งแสงมาก เห็นส่วนเว้าส่วนนูนข้างในอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ทำให้คนที่เห็นเลือดกำเดาไหล เรือนร่างของปีศาจจิ้งจอกคนนี้เร่าร้อนเย้ายวนเกินไปแล้ว สมกับป็นนางปีศาจอย่างแท้จริง!

เลี่ยหวนหน้าบึ้งทันที ตบฝ่ามือไปหนึ่งที ลมที่ร้อนจี๋กลุ่มหนึ่งทำให้มีไอสีขาวลอยขึ้นจากตัวหูเฟย เสื้อผ้าที่แนบเนื้อนางคลายออกทันที ปิดบังเรือนร่างอันสุดยอดของหูเฟยเอาไว้แล้ว

แต่ในเวลานี้ทุกคนไม่มีอารมณ์มาชื่นชมความงามของหูเฟย แต่รีบถลันตัวเข้ามา มองดูเหมียวอี้คลายมือออกจากแขนของชิงเฟิงอย่างช้าๆ

อิงอู๋ตี๋ตกตะลึงที่สุด “เจ้าห้า ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะตอบสนองเร็วขนาดนี้!” เห็นได้ชัดว่าทำให้ให้เชื่อได้ยาก

ในดวงตาชิงเฟิงฉายแววปรารถนาการต่อสู้อย่างชัดเจน กล่าวด้วยแววตาคมกริบว่า “คุณชายห้า ลองอีกสักครั้งมั้ยล่ะ!”

เหมียวอี้โบกมือ “ไม่ต้องลองแล้ว ข้าต้านไม่ไหว”

“ทำไมล่ะ?” หูเฟยแปลกใจ “ข้าเห็นอยู่ชัดๆ ว่าท่านต้านทานไหว!”

เหมียวอี้ยิ้มขื่นขม “ข้าอยากจะจับข้อมือของเขา แต่กลับจับได้แขนของเขาแทน ถ้าโจมตีเข้ามาข้างหน้าตรงๆ ระยะห่างเท่านี้ก็สามารถทำอันตรายข้าถึงชีวิตได้ ถ้าทั้งสองฝ่ายประมือกันในระยะไกลอีกสักสิบจั้ง ข้าก็อาจจะต้านทานไหว หนึ่งท่าสังหารของทูตขวาชิงยอดเยี่ยมตามชื่อเสียง ไม่น่าเชื่อว่าอาศัยแค่กายเนื้อโจมตีก็ยังสามารถแสดงอานุภาพออกมาได้ขนาดนี้!”

…………………………

[1] จิงชี่เสิน 精气神 ในทางเต๋าจัดว่าเป็นหัวใจหลักของมนุษย์ จิง คือสารสำคัญในร่างกาย เช่นฮอร์โมน สารอาหาร เชื้ออสุจิ ชี่ คือพลังปราณ เสิน คือ จิตวิญญาณ หรือจิตสำนึก ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างนี้ไป ก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นมนุษย์ได้

999

พลังอิทธิฤทธิ์ย้อนทำร้าย

ทุกคนเข้าใจในทันที ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่การตอบสนองที่รวดเร็วแบบนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนตกใจแล้ว พวกเขาไม่เคยเห็นใครสามารถจับชิงเฟิงได้มาก่อน

แต่กลับเห็นชิงเฟิงส่ายหน้าบอกว่า “คุณชายห้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าทำแบบนี้กลับแสดงอานุภาพได้เต็มที่ ถ้าใช้อาวุธกลับจะเป็นตัวถ่วง อาวุธคือของใช้เสริมสำหรับข้า ท่านต่างหากล่ะคุณชายห้า วรยุทธ์ของท่านต่ำกว่าข้าขั้นเดียว แต่ยังตอบสนองได้รวดเร็วขนาดนี้เลย ถ้าวรยุทธ์อยู่ในระดับเดียวกับข้า ท่านต้องต้านทานได้แน่นอน!”

เหมียวอี้โบกมือ “เรื่องนี้ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ในการเข่นฆ่าที่แท้จริงไม่มีคำว่า ‘ถ้าหาก’ หรอก”

เมื่อพูดถึงการเข่นฆ่าที่แท้จริง อิงอู๋ตี๋ก็ถามว่า “พวกเราอยู่ที่นี่ไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจ เจ้าห้า เจ้าคิดว่าหนึ่งท่าสังหารของชิงเฟิงเป็นอย่างไรบ้างเมื่ออยู่ที่นี่?”

สายตาของทุกคนไปรวมอยู่บนตัวเหมียวอี้ทันที ต่างก็อยากอาศัยสิ่งนี้ประเมินศักยภาพของตัวเองสักหน่อย

หลังจากเหมียวอี้ลังเลงอยู่ครู่หนึ่ง ก็บอกว่า “ข้าก็สร้างท่าไม้ตายของตัวเองมาแล้วเหมือนกัน ข้าจะแสดงฝีมืออันต่ำต้อยให้ทุกคนได้ดูสักหน่อยก็ได้”

“งั้นก็ต้องเปิดหูเปิดตาสักหน่อยแล้ว ดูความสามารถที่คุณชายห้าใช้ลงหลักปักฐานที่นี่สักหน่อย” หูเฟยร้องดีใจ ตบหน้าอกที่ขาวจั๊วของเอง พร้อมกล่าวอาสา “ข้าขอคำชี้แนะสักหน่อย!”

เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ “เกรงว่าเจ้าจะต้านทานไม่ไหว นักพรตที่วรยุทธ์ระดับเดียวกับข้าไม่มีใครต้านไหวหรอก”

“อ้อเหรอ!” อิงอู๋ตี๋กล่าวอย่างนึกสนุก “งั้นให้ข้าลองก็ได้นะ”

เหมียวอี้ตอบอย่างอึ้งๆ ว่า “ถ้าพี่สามมั่นใจว่าตัวเองต้านทานหนึ่งท่าสังหารของชิงเฟิงยามโจมตีพร้อมกันสิบครั้งไหว งั้นลองดูก็ได้”

“…” อิงอู๋ตี๋พูดไม่ออก โจมตีพร้อมกันสิบครั้งเหรอ? ล้อเล่นอะไรกัน แบบนี้ใครจะไปต้านไหวล่ะ?

ทุกคนตกตะลึงมาก ชิงเฟิงขมวดคิ้ว เหมือนไม่ค่อยเชื่อคำพูดนี้ เพราะเขารู้ถึงอัตราความเป็นไปได้ที่อยู่ในนั้น แต่ก็รู้สึกว่าเหมียวอี้ไม่น่าจะเอาเรื่องแบบนี้มาพูดขี้โม้โอ้อวด

ดังนั้น เขาจึงถลันตัวไปยืนแยกอยู่คนเดียว ยืนหันหลังให้ทะเลกว้าง แล้วชี้ที่ข้างหัวไหล่ตัวเอง เหมือนกับที่เหมียวอี้บอกใบ้ก่อนหน้านี้ บอกให้ลงมือข้างๆ ตัวเองดูสักหน่อย เขาต้องการจะรับคำนี้แนะด้วยตัวเองแบบต่อหน้า ดูว่าจะเป็นอย่างที่พูดจริงหรือไม่

เหมียวอี้พลิกฝ่ามือ คว้าทวนขั้นสี่ออกมาด้ามหนึ่ง แล้วก้าวช้าๆ อยู่ตรงข้ามกับชิงเฟิง ไม่ได้อยู่ไกลเท่าตอนที่ลงมือกับชิงเฟิงก่อนหน้านี้แล้ว

ทั้งสองยืนอยู่ตรงข้ามกัน เหมียวอี้ค่อยๆ ถือทวนเฉียงลง ชั่วพริบตาเดียวทั้งตัวก็เปลี่ยนอยู่ในสภาพดุร้าย จิงชี่เสินเพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุดแล้ว

ชิงเฟิงที่อยู่ตรงข้ามพลันหรี่ตา รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว

ทันใดนั้น ก็เกิดเงามายาในมือของเหมียวอี้ ทุกคนยังไม่ทันรู้ตัวว่ามันคืออะไร แสงเย็นที่แวววาวสิบดอกก็เฉียดผ่านข้างกายชิงเฟิงไปแล้ว ถึงขั้นทำให้คนมองไม่ชัดว่าแสงเย็นสิบสายนั่นโผล่มาได้อย่างไร มันกะพริบอยู่ทางซ้ายและขวาของชิงเฟิงแล้วหายไปเร็วมาก

แต่ชิงเฟิงที่อยู่ตรงข้ามกลับมองเห็นบางสิ่งที่ทำให้เขาต้องหดรูม่านตาจนเล็กเท่าเข็ม บนหัวทวนของเหมียวอี้มีจุดสีดำที่เล็กเท่าเม็ดถั่วเหลืองเช่นเดียวกัน สิบทวนที่แทงออกมาเป็นแบบนี้เหมือนกันหมด

ทวนที่แทงออกมาครั้งสุดท้ายหยุดอยู่ข้างหัวไหล่ของชิงเฟิง ชิงเฟิงเอียงหน้ามองเหมียวอี้ที่กำลังเก็บทวนกลับไปอย่างช้าๆ บนหน้าผากมีเหงื่อกาฬซึมออกมาแล้ว เขาเข้าใจดี ถ้าหากเมื่อครู่นี้เหมียวอี้ลงมือสังหารเขาจริงๆ เขาก็ไม่มีทางหลบพ้นเลย!

ขณะเดียวกันก็เข้าใจว่าสิ่งที่เหมียวอี้พูดไม่ได้หลอกลวง หนึ่งท่าสังหารของเขา สามารถใช้พร้อมกันสิบครั้งได้จริงๆ!

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกตะลึงไปตามๆ กัน พวกเขามองเหมียวอี้ด้วยสายตาแปลกๆ วรยุทธ์ของทุกคนไม่ได้ต่ำ ย่อมเข้าใจว่าการออกทวนเมื่อครู่นี้ของเหมียวอี้น่ากลัวขนาดไหน เมื่อลองถามตัวเอง ก็พบว่าไม่มีใครสามารถหลบพ้นได้สักคน แม้แต่อิงอู๋ตี๋ก็ยังถอนหายไปออกมาอย่างช้าๆ ถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ เมื่อครู่นี้เขาก็จะหลบเหมียวอี้ได้เพียงสามท่าเท่านั้น ขีดจำกัดสูงสุดคือหลบได้ไม่เกินสี่ท่า หรือพูดได้อีกอย่างว่า เขาเองก็ไม่สามารถหลบท่าไม้ตายของเหมียวอี้ได้เช่นกัน!

ทุกคนรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ นึกไม่ถึงว่าศักยภาพของคุณชายห้าจะน่ากลัวขนาดนี้ นี่เพิ่งวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งเองนะ!

เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ยังควบคุมพลังได้ไม่ดีเท่าชิงเฟิง หนึ่งท่าที่ชิงเฟิงใช้ก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตเท่าใดนัก แต่ในตอนนี้ผิวทะเลกลับมีคลื่นใหญ่ซัดสาดแล้ว คลื่นยักษ์สูงร้อยจั้งโผเข้ามา

“ราชาปีศาจทะเลครามถลันตัวขึ้นกลางอากาศ พอกางแขนสองข้าง ก็ดึงคลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้าให้สูงขึ้นอีก แต่กลับทำให้พลังงานจลน์

ของคลื่นยักษ์หมดไป จากนั้นคลื่นก็จมลงอย่างช้าๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมหาสมุทร เมื่อทำให้คลื่นคลั่งในทะเลสงบลงแล้ว ราชาปีศาจทะเลครามถึงได้เหาะกลับมา”

แต่ร่างของเหมียวอี้กลับโซเซ ต้องใช้ทวนค้ำยันไว้บนหาดทราย ถึงจะรักษาสมดุลให้ร่างกายได้

เมื่อเป็นแบบนี้ ทุกคนก็สังเกตเห็นทันทีว่าอาการของเขาไม่ปกติ สีหน้าซีดขาว ดวงตาสองข้างไร้แวว ทำสีหน้าเหมือนคนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

ทุกคนตกใจ อิงอู๋ตี๋รีบถลันตัวเข้ามา ใช้มือข้างหนึ่งประคองแขนเขาเอาไว้ “เจ้าห้า เจ้าเป็นอะไรไป?”

เหมียวอี้ยิ้มอย่างขื่นขม “ถึงแม้ท่าไม้ตายนี้จะร้ายกาจ แต่พอได้ลงมือครั้งเดียว กลับสิ้นเปลืองจิงชี่เสินกับพลังอิทธิฤทธิ์ของข้ามาก ตอนนี้อาการของข้าเหมือนคนแก่ใกล้ตาย ต่อให้เป็นนักพรตบงกชขาวขั้นหนึ่งก็ทำให้ข้าตายได้”

ทุกคนตกใจมาก นี่มันเรื่องอะไรกัน?

มีแค่ชิงเฟิงที่เข้าใจ เขาบอกว่า “คุณชายห้า ที่จริงท่านไม่ต้องใช้ท่านี้สิบครั้งติดต่อกันก็ได้ ต่อให้ท่านใช้ห้าครั้งข้าก็หลบไม่ทันอยู่ดี รักษาพลังไว้ที่ห้าท่า แบบนั้นท่านคงจะไม่เป็นอะไร”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะออมมือนะ แต่มันถูกกำหนดตายตัวไว้ตั้งแต่ท่าแรกแล้ว พอได้ลงมือครั้งหนึ่ง แม้แต่ข้าเองก็ควบคุมไม่อยู่ ถ้าไม่ใช้พลังที่ปะทุออกมาให้หมด ข้าก็ไม่มีทางหยุดได้เลย นี่ก็คือจุดประสงค์ที่ข้ามาฝึกตนครั้งนี้ ข้าอยากจะลองดูว่าจะสามารถแบ่งแยกกระบวนท่าหนึ่งทวนสิบสังหารนี้ได้มั้ย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางนำท่านี้ออกมาใช้ได้เลย ทำได้เพียงเก็บไว้ใช้สู้ตายยามหน้าสิ่วหน้าขวานเท่านั้น!”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ทุกคนเข้าใจกระจ่างแจ้งในทันที

“เมื่อครู่พี่สามถามข้าว่าหนึ่งท่าสังหารของชิงเฟิงเป็นอย่างไรที่พิภพใหญ่!” เหมียวอี้มองไปทางชิงเฟิง แล้วตอบพร้อมยิ้มอย่างหมดแรง “ตอนแรกข้าสู้กับผู้หญิงที่ชื่อว่า ‘ปีศาจโลหิต’  นางมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ด ข้าสู้สุดชีวิตโดยใช้ท่าเมื่อครู่นี้ ปรากฏว่านางต้านทานข้าได้สองทวน ดังนั้น หนึ่งท่าสังหารของชิงเฟิง ถ้าจะสู้กับนักพรตที่วรยุทธ์บงกชทองขั้นห้าขึ้นไป ก็เกรงว่าจะต้องระวังตัวไว้สักหน่อย!”

ทุกคนหวาดผวาในใจ วิชาทวนที่ร้ายกาจขนาดนั้น มีคนสามารถต้านทานได้สองท่าเลยเหรอ? ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ ถ้าเหมียวอี้สู้กับคนที่พิภพเล็ก ก็ไม่มีนักพรตบงกชทองขั้นเจ็ดคนไหนสามารถรอดชีวิตไปได้เลย!

วันนี้พวกเขาได้รับรู้ถึงศักยภาพของคุณชายห้าท่านนี้แล้ว!

“คุณชายห้า หลังจากปีศาจโลหิตนั่นต้านทานท่านได้สองทวน แล้วแปดมวนหลังจากนั้นนางเป็นอย่างไรบ้าง?” ชิงเฟิงถาม

“ข้าใช้ไปทั้งหมดสิบทวน ถึงแม้จะทำให้นางบาดเจ็บ แต่กลับปล่อยให้นางหนีรอดไปได้!” เหมียวอี้ตอบ

พอพูดถึงเรื่องนี้เขาก็กลุ้มใจนิดหน่อย ตอนสู้กับปีศาจโลหิตครั้งนั้นเขาใช้เปลวเพลิงไร้รูปร่าง เดิมทีนึกว่าปีศาจโลหิตจะรอดชีวิตได้ยาก แต่เปลวเพลิงไร้รูปร่างที่ไม่เคยทำพลาดมาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าจะพลาดท่าให้ปีศาจโลหิต ตอนหลังที่ได้ติดต่อกับศีลแปด เขาถึงได้รู้ว่าปีศาจโลหิตยังไม่ตาย!

ทุกคนนิ่งเงียบ เมื่อได้เห็นความน่ากลัวของกระบวนท่าหนึ่งทวนสิบสังหารที่เหมียวอี้ใช้ ถึงได้รู้จักความน่ากลัวของนักพรตบงกชทองขั้นเจ็ด นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต้านทานไหวเลย

“เจ้าห้า เจ้าสูญเสียจิงชี่เสินกับพลังอิทธิฤทธิ์ไปเกือบหมด ไม่ต้องพูดมากแล้ว ไปพักผ่อนก่อนเถอะ” อิงอู๋ตี๋หันกลับมาบอกใบ้ให้เลี่ยหวนกับภรรยาประคองแขนเหมียวอี้คนละข้าง แล้วเหาะไปยังห้องถ้ำที่ขุดไว้ข้างๆ ปากภูเขาไฟ

เหมียวอี้แทบจะหลับทันทีที่หัวถึงพื้น อิงอู๋ตี๋จัดคนมาล้อมเฝ้าเอาไว้รอบๆ แล้ว

การหลับครั้งนี้ ใช้เวลาไปสิบวันเต็มๆ กว่าจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ตอนตื่นได้ยินเสียงคนพึมพำเถียงกัน

“เจ้าจะเข้ามาอีกทำไม?” เป็นเสียงของเลี่ยหวน

เสียงของหูเฟยดังขึ้นตามมา “ทำไมข้าจะเข้ามาไม่ได้? ข้าจะมาดูแลคุณชายห้าบ้างไม่ได้เหรอ?”

“อย่ามาอ่อยผู้ชายที่นี่ อนุภรรยาของคุณชายห้ามีแต่สวยใสบริสุทธิ์ เขาจะชอบนางจิ้งจอกช่างยั่วอย่างเจ้าเหรอ?” เลี่ยหวนถาม

หูเฟยหัวเราะคิกคัก “ก็ไม่แน่หรอกนะ ในปีนั้นที่ตำหนักบรมอัคคี คุณชายห้าก็เคยใช้อ่างอาบน้ำของข้ามาแล้ว ทั้งยังฉีกกระโปรงของข้าด้วย เขาอาจจะชอบคนแบบข้าก็ได้ ถึงตอนนั้นถ้าคุณชายห้าไปเอ่ยปากขอกับประมุขถิ่น ข้าก็ยินดีจะแต่งงานเป็นอนุภรรยาของคุณชายห้า ไม่มาคอยปรนนิบัติคนหน้าไม่อายที่เข้าหอโคมเขียวอย่างเจ้าหรอก!”

ตอนที่พูดออกไปแบบนี้ ที่จริงนางกำลังนั่งอยู่ข้างกายเหมียวอี้ สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ผิดปกติของเหมียวอี้ รู้ว่าเหมียวอี้ตื่นแล้ว จึงได้จงใจพูดแบบนี้ออกมา

เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็เหงื่อแตกนิดหน่อย สงสัยอีกฝ่ายจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาทำอะไรไว้ที่ตำหนักบรมอัคคี เพียงแต่ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรมากจริงๆ

พอเป็นแบบนี้ เขากลับไม่กล้าตื่นขึ้นมา ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจนได้เลย

หลังจากรอให้สองสามีภรรยาเถียงกันเสร็จและออกไปแล้ว เหมียวอี้ถึงได้ลืมตาขึ้นอย่างเงียบๆ แล้วลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ กำยาเม็ดโลหิตฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ให้ตัวเอง ตอนนี้จิงชี่เสินฟื้นตัวกลับมาแล้ว เพียงแต่ตอนหลับลึกไม่เคยได้ฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์เลย

ตอนที่ออกมาจากถ้ำอีกครั้ง เมื่อเจอหูเฟย ก็ไม่เห็นว่าหูเฟยจะทำตัวซี้ซั้วอะไร สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้โล่งใจ

แต่จะว่าไปแล้ว หูเฟยก็กล้ายั่วยวนผู้ชายคนอื่น แต่กลับไม่กล้ามาทำให้เหมียวอี้เสื่อเสียชื่อเสียง ถ้าทำแบบนั้นจริงๆ ถึงตอนนั้นถ้าฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ไม่ลงโทษนางก็คงแปลกแล้ว และแน่นอน ถ้าเหมียวอี้เป็นฝ่ายสนใจนางก่อน นางก็ไม่มีอะไรต้องกังวลเลยจริงๆ

“ถ้าควบคุมไม่ได้ ให้ฝืนทดลองอีกรอบก็คงจะอันตราย!”

ยังคงเป็นที่หาดทรายผืนเดิม เหมียวอี้ถือทวนไว้ในมือ แต่ครั้งนี้กลับถือทวนเงินธรรมดา ทุกคนกำลังยืนอยู่ข้างหลัง ชิงเฟิงเป็นคนที่กล่าวเตือนเขา

“ข้าเองก็รู้ แต่ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าปัญหาอยู่ตรงไหน?” เหมียวอี้ตอบ แล้วหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวต้นหนึ่งออกมา อ้าปากกัดกลืนลงท้องไปแล้ว

ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก นี่คือการเตรียมตัวก่อนได้รับบาดเจ็บ!

แสงสีเงินพลันกะพริบวับวาบ ราวกับมีฝนดาวตกสายหนึ่งยิงออกมาจากมือเหมียวอี้ แต่กลับหยุดชะงักกะทันหัน

ครั้งนี้กลับไม่ปรากฏจุดสีดำบนหัวทวน วรยุทธ์ของเขายังไม่สูงพอ ต้องอาศัยอาวุธขั้นสูงถึงจะแสดงมันออกมาได้

หนึ่งทวนสิบสังหาร เหมียวอี้แทงออกมาได้ทวนเดียว ก็หักดิบหยุดไว้กลางคันแล้ว

บึ้ม! เสียงระเบิดดังขึ้น! เนื่องจากไม่อยากให้เกิดอานุภาพมากเกินไปยามลงมือ เขาถึงได้เลือกใช้อาวุธระดับต่ำ ผลก็คือมันระเบิดกลายเป็นผุยผงภายในชั่วพริบตาเดียว

แรงระเบิดกระจายไปทั่วทิศ ทุกคนร่วมมือกันร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับไว้

“พลั่ก!” เหมียวอี้กลับเงยหน้ากระอักเลือดสดออกมาอย่างบ้าคลั่ง ภาพตรงหน้าพลันกลายเป็นสีดำ ชั่วพริบตาเดียวก็ไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว หงายหลังล้มลงไปขณะเผชิญหน้ากับทะเลกว้าง เลือดทะลักออกปากออกจมูก!

อิงอู๋ตี๋และคนอื่นรีบถลันตัวเข้ามา พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอาการ พวกเขาก็สีหน้าเปลี่ยนทันที เหมียวอี้ที่โดนพลังอิทธิฤทธิ์ย้อนทำร้ายจนชีพจรขาด อวัยวะภายในเสียหาย!

ถึงแม้เหมียวอี้จะกินสมุนไพรเซียนซิงหัวเตรียมไว้ก่อนแล้ว แต่อิงอู๋ตี๋ก็ยังรีบนำสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาอีกต้น รีบเป่าหมอกดาวเข้าในร่างกายเหมียวอี้ พร้อมทั้งร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับอาการบาดเจ็บในร่างกายเขา

อาการบาดเจ็บสาหัสมาก! บาดเจ็บสาหัส!

แต่ภายใต้การเยียวยาของโอสถเทวดา อาการบาดเจ็บก็บรรเทาเร็วมาก ใช้เวลาไม่กี่วันก็ฟื้นตัวแล้ว หายเร็วกว่าจิงชี่เสินที่เสียไป สมุนไพรเซียนซิงหัวไม่ค่อยได้ผลอะไรกับจิงชี่เสินที่เสียหาย

หลังจากนั้นหลายวัน เหมียวอี้ก็ก็ยืนถือทวนอยู่บนหาดทรายอีกครั้ง เขาหันหน้าเข้าหาทะเลกว้าง ต้องการตามหาความรู้สึกบางอย่างต่อไป!

ทุกคนพูดไม่ออก วิธีการฝึกตนแบบบนี้ช่างเสี่ยงชีวิตจริงๆ เพราะไม่มีการชี้แนะใดๆ จากคนรุ่นก่อน นักพรตโดยทั่วไปล้วนใช้ประโยชน์จากเคล็ดวิชาที่ฝึกจนสุกงอม ถึงได้ไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้น ถึงได้ฝึกตนได้อย่างสงบใจ การฝึกแบบเหมียวอี้ หากพลาดทำเกินไปก็จะทำให้ตัวเองเกิดอันตรายถึงชีวิตได้

แต่เกลี้ยมกล่อมอย่างไรก็ไม่ฟัง! ถ้าคุณชายห้าท่านนี้จะโหดขึ้นมา แม้แต่กับตัวเองก็ไม่เว้น!

ชิงเฟิงก็ดันติดปัญหาอยู่ที่ด่านนี้เหมือนกัน พอได้ใช้ท่านี้แล้วหยุดไม่ได้ จึงไม่มีประสบการณ์ที่มีประโยชน์อะไร เขาโจมตีได้ครั้งละท่าเท่านั้น ไม่อาจใช้ท่านี้อีกจนพลังตัวเองหมด!

เลี่ยหวนถามอย่างสงสัยว่า “คุณชายห้า กดวรยุทธ์ให้ต่ำแล้วค่อยใช้ท่านี้ไม่ได้เหรอ? แบบนี้พลังอิทธิฤทธิ์ที่ย้อนทำร้ายจะได้ลดอานุภาพลงหน่อย”

ชิงเฟิงส่ายหน้า “ไม่ได้! ถ้าควบคุมไว้ก่อนล่วงหน้า ก็ไม่สามารถใช้กระบวนท่านี้ได้!”

เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอบว่า “ชิงเฟิงเข้าใจดีที่สุด!”


1000

เคล็ดวิชาเพลิงใจ

ผลปรากฏว่า จบลงด้วยการที่เขากระอักเลือดออกมา บาดเจ็บสาหัสอีกแล้ว!

กลุ่มปีศาจรีบพุ่งตัวเข้ามาอีกครั้ง เพราะสำหรับทุกคนแล้ว เจ้าหนุ่มนี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญ จะตายไม่ได้!

รอจนกระทั่งเหมียวอี้หายจากอาการบาดเจ็บ แล้วออกมาอีกครั้ง ทุกคนก็เรียกได้ว่าเกลี้ยกล่อมอย่างยากลำบาก ไม่ต้องเล่นแล้ว ใครเขาฝึกตนกันแบบนี้บ้าง อย่างน้อยเจ้าก็ต้องจับต้นชนปลายได้บ้างสิ ขนาดจับต้นชนปลายไม่ถูกก็ยังจะเล่นแบบนี้อีก แบบนี้ไม่ใช่การเอาชีวิตมาล้อเล่นหรอกเหรอ!

เขาดื้อดึงที่จะทดลอง ห้ามไม่อยู่ คนที่เหลือทำได้เพียงตามเขามาที่หาดทราย มายืนอยู่ข้างหลังเขาเพื่อคอยเตรียมตัวกับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด

เมื่อเห็นเขากำลังรวบรวมจิงชี่เสิน จู่ๆ ชิงเฟิงก็บอกว่า “คุณชายห้า ท่านไม่ลองเปลี่ยนวิธีการดูหน่อยล่ะ เก็บพลังในรวดเดียวกะทันหันเกินไป ท่านทนรับไม่ไหว ไม่ลองเก็บพลังให้น้อยลงล่ะ ปล่อยออกมาเก้าทวนก่อน แล้วเก็บพลังทวนสุดท้ายเอาไว้ พลังอิทธิฤทธิ์ที่ย้อนทำร้ายจะได้ไม่รุนแรงขนาดนั้น”

เหมียวอี้ตะลึงงัน นี่คือวิธีที่ดี จากนั้นก็รวบรวมจิงชี่เสินอีกครั้ง

ชั่วพริบตาเดียวที่เคลื่อนไหว แสงเย็นที่ดุร้ายไร้ที่เปรียบเก้าสายถูกยิงออกมา สายสุดท้ายถูกบังคับหยุดเอาไว้ได้

บึ้ม! ทวนในมือระเบิดกลายเป็นผุยผงอีกครั้ง “พลั่ก!” ไม่ใช่แค่กระอักเลือดสดออกมา แต่เหมียวอี้ก็กระเด็นถอยหลังกลับมาเช่นกัน แม้แต่เสื้อผ้าบนตัวก็ระเบิดกลายเป็นฝุ่นผงเช่นกัน เขาตกกระแทกลงบนหาดทราย สลบเหมือนตายอีกครั้ง!

ทุกคนพุ่งเข้ามาตรวจดูอาการทันที ผลก็คือพบว่าครั้งนี้บาดเจ็บสาหัสยิ่งกว่าเดิม แม้แต่กระดูกในร่างกายก็หักหลายจุด

นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมอานุภาพลดลงแล้ว แต่กลับบาดเจ็บสาหัสยิ่งกว่าเดิมล่ะ?

อิงอู๋ตี๋รีบร่ายอิทธิฤทธิ์รักษา ส่วนชิงเฟิงก็ขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร เหมือนกำลังครุ่นคิดว่าปัญหาอยู่ตรงไหน

ส่วนหูเฟยก็เอามือปิดปาก ดวงตาฉายแววแปลกพิลึก มองดูท่อนล่างที่เปลือยเปล่าของเหมียวอี้หลายครั้ง ตอนแรกคนอื่นยังไม่สนใจ แต่เลี่ยหวนกลับสังเกตเห็นแล้ว ตอนนี้เขาอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้มาก รีบเอาตัวเข้ามาขวางทันที ปิดบังสายตาของหูเฟยเอาไว้ ทำให้หูเฟยกลอกตามองบน

ครั้งนี้เลี่ยหวนเริ่มปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างเตียงคุณชายห้าเหมียวทั้งวันทั้งคืน ไม่ออกห่างแม้แต่ก้าวเดียว! บางครั้งก็ออกจากถ้ำมาดูข้างนอกบ้าง ไม่น่าเชื่อว่าจะเห็นหูเฟยกับราชาปีศาจทะเลครามกำลังเล่นน้ำตัวเปียกอยู่ริมทะเลด้วยกัน เขาคำรามอย่างเดือดดาลทันที ตะคอกถามราชาปีศาจทะเลครามว่า “ไอ้สัตว์เดรัจฉาน เจ้ากำลังเอามือลูบไล้อะไรอยู่!”

นึกถึงเมื่อก่อน ถึงอย่างไรเขาก็คือราชาปีศาจเลี่ยหวนผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของพิภพเล็ก อำนาจบารมีแผ่ไปทั่วทิศ เมื่ออยู่ในบ้านก็พูดจามีน้ำหนักน่าเชื่อถือ แต่เพราะเรื่องที่หอโคมเขียวครั้งนั้น การล้างแค้นของหูเฟยทำให้เขาทรมานจนแทบจะเป็นบ้าแล้วจริงๆ คาดว่าคงใกล้ถึงเวลาที่จะได้คุกเข่าขอร้องแล้ว!

หลังจากเหมียวอี้ฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง ทุกคนถึงได้เข้าใจว่าปัญหาอยู่ตรงไหน

เมื่อหยุดออกทวนหนึ่งครั้ง อานุภาพของพลังที่ย้อนทำร้ายก็ลดลงแล้ว แต่ประเด็นสำคัญก็คือเก้าทวนก่อนหน้าได้ทำให้เขาสูญเสียจิงชี่เสินไปเกือบหมด การที่จิงชี่เสินเซื่องซึมแบบนี้ ทำให้เขาไม่สามารถรวบรวมสมาธิเพื่อร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทานได้ทันเวลา ถึงแม้อานุภาพจะลดลง แต่เป็นครั้งที่กายเนื้อต้องทนรับกับพลังย้อนทำร้ายเข้าอย่างจัง

อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ถ้าประมาทเพียงนิดเดียว ก็สามารถทำให้กายเนื้อฉีกขาดได้เลย เคราะห์ดีที่ยังมีการป้องกันไว้บ้างนิดหน่อย ไม่อย่างนั้นครั้งนี้คงอันตรายถึงชีวิตแล้ว

หลังจากได้ยินคำอธิบายนี้ ทุกคนที่กำลังล้อมอยู่ข้างเตียงก็มองชิงเฟิงด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนกำลังบอกว่า ดูความคิดโง่ๆ ที่เจ้าเสนอขึ้นมาสิ

ชิงเฟิงเงยหน้ามองอย่างพูดไม่ออก ใครจะไปรู้วะ!

แต่เหมียวอี้กลับตื่นเต้นดีใจมาก คิดว่าสามารถจับต้นชนปลายได้บ้างแล้ว ในเมื่อหนึ่งทวนไม่สำเร็จ เก้าทวนไม่สำเร็จ เช่นนั้นก็แบ่งที่ตรงกลางแล้วกัน คาดว่าห้าทวนคงจะเหมาะสมที่สุด

เหมือนที่เขาเดาไว้ไม่มีผิด พอได้ทดลอง เขาก็กระอักเลือดเซถอยหลังอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้สลบเป็นตาย เพียงแค่ยืนโซเซอยู่อย่างนั้น อาการบาดเจ็บก็ไม่ได้รุนแรงเท่าก่อนหน้านี้แล้ว

ทุกคนต่างก็รู้สึกดีใจแทนเขา คิดว่าในที่สุดเขาก็จับต้นชนปลายได้แล้ว อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะเสียชีวิต

ดังนั้นเขาจึงบาดเจ็บอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งปีก็พบว่าตัวเองเริ่มทนไม่ไหว ไม่มีสมุนไพรเซียนซิงหัวมาให้เขาผลาญเล่นมากมายขนาดนั้น แต่ถ้าไม่ใช้สมุนไพรเซียนซิงหัว การฟื้นตัวก็จะเชื่องช้า เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งปี จะเอาเวลาว่างจากไหนมากมายเยียวยาให้เขา

ยังมีอีกปัญหาหนึ่งก็คือ ต่อให้ควบคุมกระบวนท่าหนึ่งทวนสิบสังหารให้กลายเป็นหนึ่งทวนห้าสังหารก็ไม่มีความหมาย ทำให้ตัวเองบาดเจ็บจนเดินโซเซ จะต่างอะไรกับการสิ้นเปลืองจิงชี่เสินล่ะ? ยามสู้กับศัตรูจะมีอะไรแตกต่างกันเหรอ?

อิงอู๋ตี๋เองก็มองเบาะแสออกเหมือนกัน รอจนกระทั่งเหมียวอี้ฟื้นตัวและออกจากถ้ำอีกครั้ง เขาก็มารออยู่ที่ปากถ้ำแล้ว “เจ้าห้า เจ้าทำแบบนี้ซ้ำๆ แล้วสังเกตเห็นอะไรบางหรือยัง?”

ตรงจุดไกลๆ คือคลื่นสีครามหมื่นลี้ ลมทะเลพัดเข้ามาปะทะหน้า เหมียวอี้ยิ้มเจื่อนขณะทอดสายตามองไปไกลๆ ได้แต่ส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น

อิงอู๋ตี๋ “เรื่องแบบนี้ไม่ได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากหรอก ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เคยมีใครประสบมาก่อน ถ้าอยากจะบุกเบิกช่องทางใหม่ก็ไม่ง่าย จำเป็นต้องมีจังหวะดีๆ เมื่อน้ำมาคลองเกิด ความสำเร็จก็ย่อมมาถึงเอง ถ้าหลับหูหลับตาพุ่งชน โอกาสสมหวังก็มีน้อยมาก มิหนำซ้ำเวลายังสั้นเกินไป สำหรับคนในแดนฝึกตน เวลาหนึ่งปีนับว่าสั้นเกินไปจริงๆ”

เหมียวอี้ที่ดื้อหัวชนฝาครั้งแล้วครั้งเล่าได้รับคำชี้แนะจากเข ไม่รับคำชี้แนะก็คงไม่ได้แล้ว สมุนไพรเซียนซิงหัวเหลือไม่เยอะ ทุกคนนำสมุนไพรซิงหัวที่อยู่ในมือตัวเองมาให้เขาใช้อย่างสิ้นเปลือง

เขาจึงหยุดวิธีการฝึกแบบนี้เอาไว้ชั่วคราว แล้วพาราชาปีศาจทะเลครามออกทะเลไปไกลร้อยลี้

ท้องทะเลกว้างใหญ่ไพศาล หลังจากทั้งสองหยุดเหยียบบนคลื่น เหมียวอี้ก็กำหมัดสองข้าง เสื้อผ้าบนตัวฉีกขาด เปลือยร่างกายโดยใส่กางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว แล้วกระโดดดำลงไปในทะเลลึกก่อน จากนั้นราชาปีศาจทะเลครามก็ตามลงไปทันที

เมื่อจมลึกลงไปที่ก้นทะเลหนึ่งหมื่นจั้ง อาศัยแรงดันมหาศาลของทะเลลึก บวกกับการร่ายอิทธิฤทธิ์ของราชาปีศาจทะเลคราม ความน่ากลัวของแรงดันมหาศาลก้นทะเลทำให้เหมียวอี้ก้าวเท้าลำบากมาก

“เริ่มเลยเถอะ!” เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอก

ภายใต้ร่ายอิทธิฤทธิ์ของราชาปีศาจทะเลคราม ที่ก้นทะเลมีคลื่นแฝงกลุ่มหนึ่งซัดขึ้นมาทันที กลายเป็นธนูน้ำยิงโจมตีไปทางเหมียวอี้

เหมียวอี้ที่กำลังหลับตาออกแรงชกโจมตีหนึ่งหมัด ทำให้ธนูน้ำพลังทลาย

ตอนที่เหล่าไป๋ชี้แนะเขาในปีนั้น สิ่งที่เขาใช้คืออาวุธ แต่ตอนนี้กลับชกมือเปล่า สาเหตุที่ใช้หมัดเปล่า วิธีคิดของเขาก็เรียบง่ายมาก ในเมื่อใช้ทวนแล้วเกิดจุดสีดำ เช่นนั้นถ้าหลังจากหมัดของเขามีอานุภาพเพียงพอแล้ว ก็จะสามารถเพิ่มอานุภาพแบบนี้ให้หมัดและเท้าได้เหมือนกัน?

ความจริงที่เกิดขึ้นบนดรรชนีกระบี่ของชิงเฟิง ได้มอบความมั่นใจให้เขาสูงมาก!

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ราชาปีศาจทะเลครามพบว่าเหมียวอี้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของแรงดันในทะเล จนทำให้ร่างกายตัวเองปรับตัวได้ไว เรียกได้ว่าก้าวหน้ารวดเร็วมาก สิ่งนี้ทำให้เขาตกตะลึง จุดที่สำคัญก็คือ เขาพบว่าความสามารถในการแยกแยะของเหมียวอี้ยามอยู่ในความมืดน่าทึ่งมาก เพราะเหมียวอี้หลับตาเสียเป็นส่วนใหญ่

เริ่มจากการโจมตีด้วยธนูน้ำจำนวนประปราย จนกระทั่งเพิ่มเป็นสิบเป็นร้อย การออกหมัดโจมตีของเหมียวอี้ภายใต้แรงดันก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ

ทุกครั้งที่มีความก้าวหน้าเกิดขึ้น เหมียวอี้ก็จะเข้าไปในภูเขาไฟ เข้าไปในค่ายกลเพลิงอัคคีที่เลี่ยหวนกับหูเฟยวางไว้

เขายังคงเปลือยร่างและสวมกางเกงขาสั้นตัวเดียว ส่วนท่าทางประหลาดของหูเฟย เขามองข้ามมันไปตั้งนานแล้ว เขากำลังอยู่ในสภาวะฝึกตน จิตใจไม่วอกแวก ในสายตาเขาตอนนี้ คนที่อยู่รอบกายไม่มีการแบ่งแยกชายหญิง เขาถึงขั้นบอกพวกอวิ๋นจือชิวไว้แล้วด้วย ว่าถ้าไม่มีเรื่องสำคัญก็ห้ามรบกวนเขา

ในค่ายกลเพลิงอัคคี ดาบเพลิงนับไม่ถ้วนล้อมโจมตีเขาด้วยความเร็วสูง จำนวนเริ่มจากน้อยไปมาก เหมียวอี้ที่อยู่ข้างในออกหมัดออกเท้าโจมตีอย่างรวดเร็ว

ตอนที่ดาบเพลิงสามารถโจมตีฝ่าการป้องกันของเขาได้ เขาก็จะหยุดมือ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองลงมือได้ไม่เร็วพอ ก็จะลงไปฝึกฝนอย่างหนักโดยอาศัยแรงดันจากก้นทะเลต่อ

“แรงดันยังไม่พอ! ขอแรงดันที่แรงที่สุด!” เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงอยู่ที่ก้นทะเล

ดังนั้น ทุกครั้งที่เหมียวอี้เหนื่อยจนหมดแรงและโผล่ขึ้นมาที่ผิวทะเล ราชาปีศาจทะเลครามก็เหนื่อยปางตายเหมือนกัน พยายามใช้พลังอิทธิฤทธิ์ควบคุมไม่หยุด เมื่อเวลานานไปเขาก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน

หลังจากเริ่มมีความก้าวหน้า การโจมตีของค่ายกลเพลิงอัคคีกับการโจมตีของธนูน้ำก็ทำให้เหมียวอี้พอใจไม่ได้

ไม่ใช่ว่าเหมียวอี้สามารถรับทุกการโจมตีไหว สาเหตุที่รับไม่ไหว ก็เพราะการโจมตีของดาบเพลิงและธนูน้ำมีความหนาแน่นมากเกินไป แบบนั้นต่อให้ตอบสนองได้เร็วกว่านี้ก็ยากที่จะรับมือได้ ถ้าตัดปัจจัยเรื่องความหนาแน่นในการโจมตีออก การโจมตีที่พุ่งเป้ามาหาเขาจริงๆ กลับไม่ได้รวดเร็ว

วิธีการฝึกความเร็วหมัดสองแบบนี้ยังคงดำเนินต่อไป แต่เหมียวอี้ไม่พอใจ จึงจ้องอิงอู๋ตี๋อีกครั้ง

ราชาปีศาจทะเลครามสร้าง ‘พายุหมุน’ ที่ผิวทะเล ใช้น้ำทะเลก่อพายุหมุนขึ้นมา

อิงอู๋ตี๋และเหมียวอี้เข้าไปในพายุหมุนพร้อมกัน เหมียวอี้หลับตาตอนอยู่ข้างใน เสียงลมพัดรุนแรงเคล้ากับเสียงคลื่น ดังเซ็งแซ่ไร้ที่เปรียบ อิงอู๋ตี๋กลายร่างเป็นเงามายาร้อยร่างและล้อมโจมตีเหมียวอี้อย่างบ้าคลั่งและรวดเร็ว

เหมียวอี้ที่กำลังหลับตารีบลงมือโต้ตอบ เสียงของหมัด กรงเล็บ นิ้ว ฝ่ามือที่ปะทะกันดังราวกับเสียงรัวตีกลอง

เมื่อหยุดพักสนามแรก ‘พายุหมุน’ ก็พังตกลงในน้ำทะเล เหมียวอี้ที่อยู่กลางอากาศก็หอบหายใจพลางตะโกนบอกว่า “พี่สาม ข้าโดนท่านโจมตีหกร้อยยี่สิบสามนิ้ว!”

บนร่างเปลือยท่อนบนและขาสองข้างของเขา ทุกที่มีแต่รอยนิ้วมือของอิงอู๋ตี๋

อิงอู๋ตี๋กลับทั้งตกตะลึงทั้งประหลาดใจ เขาโจมตีต่อเนื่องกันไม่หยุด ลงมือไปอย่างน้อยเป็นหมื่นครั้ง แต่กลับโดนเหมียวอี้แค่หกร้อยกว่าครั้ง

และแน่นอน เขาไม่ได้อาศัยความได้เปรียบของพลังอิทธิฤทธิ์มาควบคุม ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้จะโดนแค่หกร้อยกว่าครั้งได้อย่างไร แค่โดนครั้งเดียวก็คงแพ้แล้ว

แต่เหมียวอี้หลับตาประมือกับเขาตั้งแต่ต้นจนจบ ภายใต้สถานการณ์ที่ตามองไม่เห็น แถมสภาพแวดล้อมยังเสียงดังวุ่นวายขนาดนั้น รวมทั้งผลกระทบจากลมแรง ภายใต้เงื่อนไขที่ซับซ้อนขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถหลับตารับกระบวนท่าได้เยอะมาก ยากจะบรรยายความตกตะลึงในใจอิงอู๋ตี๋ได้

ดังนั้น อิงอู๋ตี๋จึงหน้าบึ้งเล็กน้อย “เจ้าห้า หรือว่าเจ้าดูถูกข้า ไม่อย่างนั้นเจ้าจะหลับตาตอนประมือกับข้าทำไม?”

เหมียวอี้ตอบพร้อมยิ้มขื่นขม “พี่สาม ถ้าข้าลืมตาสู้ ข้าคงไม่ได้โดนแค่หกร้อยนิ้วหรอก เกรงว่าหกพันนิ้วยังน้อยไปด้วยซ้ำ”

“ทำไมล่ะ?” อิงอู๋ตี๋สงสัย

เหมียวอี้เอามือกดที่หัวใจ แล้วตอบว่า “ข้ากำลังใจหัวใจตระหนักรู้ การโจมตีของพี่สามเร็วขนาดนั้น สายตาทำให้ตัดสินพลาดได้ง่าย”

“แบบนี้…” อิงอู๋ตี๋พึมพำ ทำท่าทางครุ่นคิด

หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันฝึกฝนสามวิธีอย่างหนัก เงื่อนไขการฝึกที่ดีขนาดนี้ เป็นสิ่งที่เหมียวอี้ไม่เคยกล้าใฝ่ฝันถึงมาก่อน ตอนนี้เรียกได้ว่าหมกมุ่นกับมันอย่างหิวกระหาย

ตอนที่จำนวนครั้งที่อิงอู๋ตี๋โจมตีโดนเหมียวอี้ลดลงต่ำกว่าหกร้อย ตอนที่ทุกคนรู้สึกถึงความก้าวหน้าขอเหมียวอี้ได้อย่างชัดเจน แต่ละคนก็แอบตกตะลึงในใจ หรือว่าวิธีการฝึกแบบนี้จะได้ผลตามคาดจริงๆ? ดูแล้วเหมือนจะเป็นวิธีการที่ดีมาก…

วิธีการที่ดีขนาดนี้ ย่อมไม่มีใครอยากพลาดอยู่แล้ว ดังนั้นตอนที่เหมียวอี้ไปฝึกโดยใช้วิธีการอื่นหรือตอนพักผ่อนฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ คนอื่นๆ ก็ถือโอกาสฝึกตามด้วยเหมือนกัน

ที่ก้นทะเลฝั่งนี้ เลี่ยหวนถูกธนูน้ำโจมตีจนตาเหลือกและพ่นฟองอากาศออกมา

อีกสักประเดี๋ยวเดียว ราชาปีศาจทะเลครามก็ร้องโวยวายอยู่ท่ามกลางค่ายกลเพลิงอัคคี

สำหรับเรื่องนี้ เหมียวอี้ไม่เก็บมาใส่ใจ และไม่กลัวว่าจะมีคนลอกเลียนแบบด้วย ยิ่งวรยุทธ์สูงขึ้น เขาก็ยิ่งตระหนักอะไรบางอย่างได้ วิธีการแบบเดียวกันใช่ว่าจะได้ผลกับทุกคน กุญแจสำคัญอยู่ที่จิตใจ ในจุดนี้ต้องยกความดีความชอบให้เคล็ดวิชาอัคนีดารา

เมื่อการรุมล้อมโจมตีมาถึง ในใจเจ้ารู้หรือไม่ว่ามีวัตถุจำนวนเท่าไรกำลังรุกโจมตีเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกมันมาจากทิศทางไหน การตัดสินให้ถูกต้องแม่นยำคือสิ่งที่สำคัญมาก นี่คือเงื่อนไขสำคัญในการโจมตีโต้ตอบของเจ้า เจ้าต้องรู้ก่อน ถึงจะไล่ตามได้อย่างรวดเร็ว จิตใจต่างหากที่สามารถนำทางให้เจ้าตอบสนองได้รวดเร็ว ถ้าเจ้าไม่รู้แม้แต่สิ่งเหล่านี้ ต่อให้หลับหูหลับตาฝึกไปมั่วๆ ก็ไม่มีประโยชน์

ถ้าพูดจากในบางมุม เหมียวอี้รู้สึกว่า ‘เคล็ดวิชาอัคนีดารา’ นี้ ถ้าเรียกว่า ‘เคล็ดวิชาเพลิงใจ’ จะเหมาะสมกว่า ไม่อย่างนั้นมันจะเผาทำลายเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาได้เหรอ? นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมวิธีการฝึกแบบนี้จึงสามารถทำให้เขาสงบใจท่ามกลางความวุ่นวายและตอบสนองออกมาได้

ตอนที่จำนวนครั้งที่อิงอู๋ตี๋โจมตีโดนเหมียวอี้ลดลงเหลือห้าร้อยครั้ง ก็ครบกำหนดเวลาหนึ่งปีพอดี

ถึงแม้ความก้าวหน้าจะไม่มาก แต่ก็เป็นเพราะมีเวลาสั้นเกินไป แค่นี้ก็นับว่ามีพัฒนาการรวดเร็วมากแล้วในสายตาคนอื่น

“คุณชายสาม ท่านกำลังดูแลข้าเป็นพิเศษอยู่หรือเปล่า? คุณชายห้าต้านทานได้นานขนาดนั้น แต่ข้าต้านทานการโจมตีของท่านไม่ได้เลยสักรอบ? ท่านแน่ใจนะว่าความเร็วในการลงมือกับพวกเราสองคนเท่ากัน?”

ตอนที่เลี่ยหวนร้องโอดครวญและเหาะออกมาจากพายุหมุน เหมียวอี้ก็ถลันตัวเหาะเข้ามา แล้วประกาศอยู่บนท้องฟ้าว่า “กลับกันเถอะ โค่วเหวินหลานส่งข้อความมาบอกข้า การทดสอบของข้ากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!”



1001

จับกุมนักโทษหลบหนี

น้ำทะเลที่หมุนขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูงตกลง กระทบกับผิวทะเลจนเกิดคลื่นโหมซัดสาด อิงอู๋ตี๋กับเลี่ยหวนลอยขึ้นฟ้า หูเฟย ชิงเฟิง โพ่คงยืนอยู่เหนือยอดคลื่น ราชาปีศาจทะเลครามโผล่ขึ้นมาจากก้นทะเล ขึ้นมาหาเหมียวอี้พร้อมคนอื่นๆ

เหมียวอี้เปลี่ยนใส่ชุดคลุมยาวแล้ว พอสะบัดแขนเสื้อ ก็พุ่งตัวเหาะนำขึ้นฟ้าไปไกล

พอกลับถึงตำหนักสวรรค์ อิงอู๋ตี๋ก็นำคนกลับเขตเมืองตะวันออก ส่วนเหมียวอี้มุ่งตรงไปที่ตำหนักคุ้มเมือง ไปรวมตัวกับพวกสวีถังหรานเพื่อรอเรียกเข้าพบ

ตอนที่ผู้บัญชาการทั้งสี่ทักทายปราศรัยกัน เหมียวอี้ก็ค้นพบอย่างตกตะลึงว่ามู่หรงซิงหัวยินดีเป็นฝ่ายมาทักทายเขาก่อน ไม่ทำท่าทางไม่แยแสเหมือนเขาติดหนี้นางอีก เขาคิดว่าคงเป็นเพราะต้องเขาร่วมการทดสอบแล้ว มู่หรงซิงหัวคงอยากสร้างความสามัคคีเหมือนกัน

ถึงแม้เมื่อก่อนผู้หญิงคนนี้จะเอาแต่ทำท่าทางเหมือนสุนัขไม่กินอุจจาระ แต่เหมียวอี้ก็ไม่อยากจะทำให้นางขุ่นเคืองใจเลยจริงๆ ก็อย่างที่เคยบอก คนที่สามารถเป็นผู้บัญชาการเขตของตำหนักสวรรค์ได้ อย่างน้อยก็ต้องคนหนุนหลังอยู่บ้าง อย่างเช่นเหมียวอี้กับสวีถังหรานที่มีโค่วเหวินหลานหนุนหลัง เหมียวอี้เองก็เคยได้ยินข่าวลือมาเหมือนกัน ว่ามู่หรงซิงหัวเป็นหญิงชู้ของหัวหน้าภาคคนหนึ่ง ส่วนหยางไท่ก็เหมือนจะเป็นลูกบุญธรรมของใครบางคน

ไม่รู้ว่าข่าวลือเป็นเรื่องจริงหรือปลอม ถ้าเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นเหมียวอี้ก็ต้องหยามเหยียดมู่หรงซิงหัวแล้ว เป็นโสเภณีแท้ๆ แต่ยังยกยอตัวเองว่าเป็นหญิงพรหมจรรย์ มีสิทธิ์ออะไรมาดูถูกคนที่ชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้วอย่างเขาล่ะ?

ขณะที่กำลังคุยเล่นกันเรื่อยเปื่อย เล่าหนานซงซึ่งเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่ก็เดินออกมาจากตำหนัก แล้วบอกกับทุกคนว่า “ผู้บัญชาการใหญ่มีคำสั่ง ว่าให้ผู้บัญชาการทั้งสี่ไปเจอกันในภูเขานอกเมืองทางทิศเหนือ”

เจอกันในภูเขานอกเมือง? หมายความว่ายังไง? ทั้งสี่มองหน้ากันเลิกลั่ก มู่หรงซิงหัวกุมหมัดถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เล่า เหตุใดผู้บัญชาการใหญ่จึงต้องเรียกพอในภูเขาขอรับ?”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน นี่คือสิ่งที่ผู้บัญชาการใหญ่บอกเอาไว้ พวกเจ้าไปแล้วก็จะรู้เอง” เล่าหนานซงตอบอย่างใจเย็น

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสี่ก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่ง กล่าวอำลาแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว

ออกจากประตูเมืองทิศเหนือ เหาะไปถึงบนฟ้าเหนือป่าภูเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้ ทุกคนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ค้นหา ไม่นานก็เห็นคนคนหนึ่งเหาะออกมาจากป่าภูเขาแล้วกวักมือเรียกพวกเขา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นรองผู้บัญชาการใหญ่กงอวี่เฟย ทุกคนมุกเข้าไป จากนั้นก็ไปเหยียบลงในหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง

ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้ทั้งสี่ตะลึงงัน โค่วเหวินหลานย่อมอยู่ในหุบเขาลึกนั่นด้วยอยู่แล้ว เพียงแต่ตรงหน้าโค่วเหวินหลานมีสัตว์ดุร้ายสี่ตัวนอนหมอบอยู่ แล้วเหมียวอี้ก็รู้จักมันด้วย

สัตว์ดุร้ายทั้งสี่ตัวดูเหมือนกิเลน ปากเหมือมังกร หัวเป็นสิงโต มีเกล็ดเหมือนปลา มีหางเป็นวัว มีกรงเล็บเป็นเสือ มีเขาเป็นกวาง ทั้งตัวเป็นสีแดงก่ำ หน้าตาเหมือนสัตว์พาหนะที่ไป๋จื่อเหลียงใช้ตอนการปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตรในปีนั้นไม่มีผิด เพียงแต่ขนาดตัวใหญ่กว่าหลายเท่า ทำให้ดูมีพลังอำนาจและดุร้ายยิ่งกว่าเดิม

ถ้าเหมียวอี้จำไม่ผิด สัตว์ประหลาดสี่ตัวนี้คงจะเป็นสัตว์พาหนะของปราชญ์ปีศาจจีฮวนที่ร่ำลือกัน เดรัจฉานสับปลับ!

สัตว์ปะหลาดสี่ตัวกำลังหมอบหลับลึกอยู่บนพื้น แต่ก็อาจจะไม่ได้กำลังหลับอยู่ก็ได้ สายตาของเหมียวอี้และผู้บัญชาการอีกสามคนไปหยุดอยู่ตรงหลังหัวของสัตว์ประหลาด ตรงนั้นเสียบวัตถุบางอย่างที่คล้ายกับตะปูเหล็กเอาไว้

โค่วเหวินหลานที่กำลังคีบผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกหันมาทักทายด้วยรอยยิ้ม “มากันหมแล้วเหรอ”

“คำนับผู้บัญชาการใหญ่!” ทั้งสี่ทำความเคารพ

“เก็บตัวฝึกตนได้ผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง?” โค่วเหวินหลานมองเหมียวอี้พร้อมเอ่ยถาม

คนอื่นๆ หันมามองพร้อมกัน เหมียวอี้ยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “ไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจเท่าไรขอรับ”

โค่วเหวินหลานยิ้มบางๆ นี่ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย ถ้าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีแล้วสามารถฝึกจนมีความก้าวหน้ามาก เช่นนั้นคนอื่นๆ ก็ไม่ต้องทำงานทำการแล้ว เขากวาดสายตามองทุกคนพร้อมบอกว่า “เรื่องการทดสอบกำหนดให้จัดขึ้นหลังจากนี้สองเดือน ภายในสิบต้นฟ้า พวกเจ้าจะต้องไปรวมตัวกันที่จวนหัวหน้าภาคของน่านฟ้าชวดอี่ ถึงตอนนั้นจวนหัวหน้าภาคจะส่งพวกเจ้าไปยังสถานที่ที่กำหนดไว้”

ที่เรียกว่าน่านฟ้าชวดอี่ ก็หมายถึงน่านฟ้าของท้องฟ้าผืนนี้

น่านฟ้าของตำหนักสวรรค์แบ่งเป็นสิบต้นฟ้าและสิบสองกิ่งดิน

สิบต้นฟ้า : เจี่ย อี่ ปิ่ง ติง อู้ จี่ เกิง ซิน เหริน กุ่ย

สิบสองกิ่งดิน : ฉลู ขาล มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุน ชวด เถาะ

ทุกๆ ท้องฟ้าจะตั้งชื่อโดยการนำคำจากต้นฟ้ากิ่งดินมารวมกัน บางน่านฟ้าก็ใช้คำเดียว บางน่านฟ้าก็ใช้สองคำ บางน่านฟ้าก็ใช้สามคำหรือสี่คำก็มี ส่วนน่านฟ้าที่ตั้งของดาวเทียนหยวนก็ชื่อว่า ‘น่านฟ้าชวดอี่’ มีหัวหน้าภาคหนึ่งคนเป็นผู้ปกครอง

“ผู้บัญชาการใหญ่ ได้หัวข้อการทดสอบหรือยังขอรับ?” หยางไท่ถาม

เมื่อรู้ว่าพวกเขาสนใจเรื่องนี้มาก โค่วเหวินหลานจึงพยักหน้าตอบว่า “ได้หัวข้อแล้ว! เบื้องบนร่างชื่อนักโทษหลบหนีที่ทำผิดกฎสวรรค์จำนวนหนึ่งร้อยคน การทดสอบครั้งนี้ก็คือ ให้ผู้บัญชาการหนึ่งพันคนที่โดนสุ่มทดสอบไปจับกุมนักโทษหลบหนีพวกนี้มาลงโทษ จะได้ไม่มีคนเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งร้อยปี ใช้จำนวนการจับกุมหรือประหารนักโทษหลบหนีมากำหนดคะแนนการทดสอบ!”

ทุกคนค่อนข้างพูดไม่ออก คนที่กล้าฝ่าฝืนกฎสวรรค์ ล้วนเป็นคนประเภทไหนล่ะ? ส่วนใหญ่ต้องเป็นพวกเลวทรามต่ำช้าแน่นอน ถ้ามมีความสามารถ ใครจะกล้าทำผิดกฎสวรรค์ล่ะ? ให้พวกเขาไปจับกุมคนเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นการส่งพวกเขาให้ไปตายหรอกเหรอ? ไอ้เวรเซี่ยโห้วหลงเฉิงทำไมไม่รีบตายๆ ไปซะ!

“ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ทราบว่านักโทษหลบหนีพวกนั้นมีวรยุทธ์เป็นอย่างไร?” มู่หรงซิงหัวถาม

โค่วเหวินหลานตอบว่า “ข้ารู้ถึงความกังวลของพวกเจ้า พวกเจ้าวางใจได้ ตำหนักสวรรค์ไม่ออกหัวข้อทดสอบที่ทำให้พวกเจ้าหมดหนทางผ่านหรอก นักโทษหลบหนีหนึ่งร้อยคนนี้ล้วนถูกเลือกมาแล้ว วรยุทธ์ต่ำกว่าบงกชรุ้งทั้งหมด”

หรือพูดได้อีกอย่างว่า ส่วนใหญ่เป็นบงกชทองขั้นห้าหกเจ็ดแปดเก้า อาศัยวรยุทธ์ของคนที่อยู่ตรงนี้ จะสามารถจับได้หรือเปล่า?

มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้า ทั้งสองยังพอพูดง่ายหน่อย สวีถังหรานมีแค่บงกชทองขั้นสาม ส่วนเหมียวอี้น่าสงสารยิ่งกว่า มีแค่บงกชทองขั้นหนึ่ง สำหรับสองคนแรกที่วรยุทธ์บงกชทองขั้นห้า ถ้าไม่เรียกการรวมกลุ่มแบบนี้ว่าตัวถ่วง แล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก?

เมื่อเห็นทุกคนเงียบไป โค่วเหวินหลานก็โบกมือ แหวนเก็บสมบัติสี่วงลอยมาอยู่ตรงหน้าทั้งสี่คน “ผู้บัญชาการคนนี้ย่อมไม่ให้พวกเจ้าเอาชีวิตไปทิ้งอยู่แล้ว เตรียมตัวให้พวกเจ้าล่วงหน้าแล้ว ลองดูเกราะรบข้างในสิ ดูว่าเหมาะหรือเปล่า!”

พอทั้งสี่หยิบแหวนเก็บสมบัติมาดู ก็ตาเป็นประกายทันที เรียกได้ว่ามีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเยอะมาก ในแหวนเก็บสมบัติแต่ละวงมีเกราะรบผลึกแดงขั้นห้าหนึ่งชุด พร้อมอาวุธผลึกแดงขั้นห้าหนึ่งชิ้น นอกจากนี้ยังมียาแก่นเซียนหนึ่งแสนเม็ด แล้วก็มีสมุนไพรเซียนซิงหัวสามต้นที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว

หมอกแดงสี่กลุ่มลอยออกมา ชั่วพริบตาเดียวทั้งสี่ก็สวมเกราะสีแดงสดสะดุดตาแล้ว ในมือเหมียวอี้ถือทวนสีแดงเข้มหนึ่งด้าม พอทั้งสี่ร่ายอิทธิฤทธิ์เล็กน้อย ทั้งตัวก็มีแสงสีทองเปล่งออกมาหนึ่งชั้น ทำให้ทั้งสี่แอบเดาะลิ้นด้วยความทึ่งไม่หยุด ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่มูลค่าของยาเจี๋ยตันขั้นห้าที่อยู่ในของพวกนี้ก็แพงลิ่วแล้ว โค่วเหวินหลานมอบของพวกนี้ให้พวกเขาสี่ชุดในรวดเดียว เรียกได้ว่าเป็นเงินก้อนใหญ่มากจริงๆ อีกฝ่ายยอมควักเนื้อโดยไม่เสียดาย แล้วทั้งสี่ยังมีอะไรจะพูดอีก?

ยังไม่หมดแค่นั้น โค่วเหวินหลานหันตัวมาชี้สัตว์ดุร้ายสี่ตัวที่อยู่ข้างหลัง “สัตว์เทพสี่ตัวนี้ชื่อว่า ‘เดรัจฉานสับปลับ’ สามารถกลืนเมฆพ่นหมอก ย่ำเมฆขี่หมอก ทั้งยังสามารถบินทะยานในที่สูงเพื่อทำสงคราม สามารถพ่นไฟเพื่อช่วยพวกเจ้าอีกแรง พลังไม่นับว่าแข็งแกร่ง แต่อาวุธทั่วไปทำให้บาดเจ็บได้ยาก ข้ามอบให้พวกเจ้าสี่คนเพื่อเป็นพาหนะ…” เขาอธิบายวิธีการควบคุมให้ทั้งสองฟัง

หลังจากทั้งสี่เข้าใจวิธีการแล้ว ก็ก้าวขึ้นมาเลือกไปคนละตัว อิงตามวิธีการที่โค่วเหวินหลานถ่ายทอดให้ พวกเขาร่ายอิทธิฤทธิ์กดบนเครื่องมือที่อยู่ตรงหลังหัวของสัตว์เทพ รอจนมีแสงสีแดงกะพริบบนนั้น ทั้งสี่ก็ดึงเครื่องมือที่เสียบอยู่ที่หลังหัวของสัตว์เทพออก

พอดึงเครื่องมือออก บนตัวของสัตว์เทพทั้งสี่ก็พรั่งพรูลมหายใจที่ดุร้ายออกมาทันที ชะล้างฝุ่นดินของต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ เกล็ดแต่ละอันกางออกเล็กน้อย มีลมพรั่งพรูออกจากเกล็ดอย่างช้าๆ กลืนเข้าคายออก

ดวงตาโตสีทองของสัตว์เทพทั้งสี่เบิกกว้าง ทั้งสี่รีบมาอยู่ตรงข้ามแล้วสบตากับมัน บังคับให้มันรับเป็นเจ้าของ ในตอนนี้คนที่มันเห็นเป็นครั้งแรกเมื่อลืมตาก็จะกลายเป็นเจ้าของของมันแล้ว

แววตาดุร้ายของเดรัจฉานสับปลับทั้งสี่ตัวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ใช้หัวดันที่หน้าอกของทั้งสี่เบาๆ ดมกลิ่นบนตัวของทั้งสี่ แสดงความสนิทสนม

ทั้งสี่คนยื่นมือไปลูบตัวเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้สึกกัน กงอวี่เฟยที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วอิจฉาไม่หาย

โค่วเหวินหลานบอกอีกว่า “ในการทดสอบครั้งนี้ ถ้าใครสามารถสร้างผลงานได้ ข้าก็จะมอบของพวกนี้ให้เขา แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะเรียกคืน! ให้เวลาพวกเจ้าสามวัน พยายามจบงานทุกอย่างที่อยู่ในมือ อีกสามวันมารายงานตัวที่นี่แต่เช้า ข้าจะส่งพวกเจ้าไปที่จวนหัวหน้าภาคด้วยตัวเอง”

“รับทราบ!” ทั้งสี่เอ่ยรับ

“พวกเจ้าทำความคุ้นเคยกับสัตว์เทพสี่ตัวนี้ไปแล้วกัน!” โค่วเหวินหลานพูดทิ้งท้าย แล้วพากงอวี่เฟยเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากทั้งสี่สบตากันแวบหนึ่ง ก็ขึ้นไปนั่งบนตัวเดรัจฉานสับปลับอย่างอดใจไม่ไหวทันที พวกเขาขี่มันพุ่งไปทางภูเขาลึกด้วยความเร็วสูง เรียกได้ว่าข้ามภูเขาเหยียบแม่น้ำราวกับเป็นพื้นราบ เร็วจนได้ยินเสียงลมปะทะจอนผม หลังจากวิ่งอย่างถึงอกถึงใจพักหนึ่ง สัตว์เทพทั้งสี่ตัวก็ทยอยกันทะยานขึ้นฟ้า แบกพวกเขาไล่ตามกันอยู่บนท้องฟ้า ความเร็วในการเหาะเหินไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาสี่คนเลย

สุดท้ายสัตว์พาหนะทั้งสี่ก็ฝ่าชั้นบรรยากาศออกไป พาพวกเขาทะยานขึ้นท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ บินขึ้นบินลงอย่างว่องไวสุดขีด

สุดท้ายทั้งสี่ก็เหยียบลงบนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง พอสัตว์เทพอ้าปาก หมอกแดงที่ร้อนผ่าวพัดม้วนออกมา ทำให้เกราะทองที่เหมียวอี้โยนออกมาหลอมละลายเปลี่ยนรูปร่างทันที นี่ถ้าพ่นใส่ตัวคนจะไม่แย่หรอกเหรอ? อานุภาพน่าหวาดกลัวจริงๆ

“เด็กดี! มีผู้บัญชาการใหญ่ส่งของพวกนี้ให้ การทดสอบครั้งนี้ต้องไม่มีอะไรน่ากังวลแน่นอน!” สวีถังหรานหัวเราะลั่น จิตใจที่เป็นกังวลมาตลอดผ่อนคลายลง

อีกสามคนที่เหลือสบตากันแล้วหัวเราะ ครั้งนี้โค่วเหวินหลานช่วยพวกเขาโกงการทดสอบแล้วจริงๆ อยู่กับลูกชายของตระกูลใหญ่มันก็ดีอย่างนี้แหละ!

หลังจากกลับถึงตลาดสวรรค์ ทั้งสี่ก็เก็บสัตว์เทพไว้ในกระเป๋าสัตว์ ถอดเกราะรบบนตัวออกแล้วเช่นกัน ในเมื่อมีความมั่นใจแล้ว ก็ย่อมอารมณ์สดชื่นกระปรี้กระเปร่า

หลังจากกลับเข้าเมือง พวกเขาก็ต่างคนต่างกลับจวนตัวเอง พอเหมียวอี้กลับถึงประตูจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ก็ถูกเด็กหนุ่มคนหนึ่งขวางไว้

เป็นคนงานของร้านค้าสมาคมวีรชน “ผู้บัญชาการหนิว ผู้จัดการร้านหวงฝู่ของพวกเราเรียนเชิญขอรับ”

เหมียวอี้เคยเจอเขาที่ร้านค้าสมาคมวีรชน ตนกำลังกลัวว่าจะหลบหลีกหวงฝู่จวินโหรวไม่พ้น จะยอมไปหาถึงที่ได้อย่างไรกันล่ะ จึงเอามือไขว้หลังข้างหนึ่งพร้อมเดินเข้าประตู “พวกผู้จัดการร้านของพวกเจ้าด้วย ว่าผู้บัญชาการคนนี้ยังมีงานต้องจัดการ ขออภัยที่ไปหาไม่ได้!”

ใครจะไปคิด จู่ๆ ก็ได้ยินหวงฝู่จวินโหรวถ่ายทอดเสียงบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ถ้าไม่มาก็อย่าเสียใจทีหลังแล้วกัน! จากที่ข้าได้ข่าวมา การทดสอบครั้งนี้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เจ้าอย่านึกนะว่ามีโค่วเหวินหลานหนุนหลังแล้วจะผ่านด่านได้ ระวังจะตายแบบไม่เหลือซาก! ขาก็หวังดีจะมาบอกเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าไม่รับน้ำใจ งั้นก็ช่างเถอะ!”

เหมียวอี้รีบหันกลับมา พอกวาดสายตามอง ก็เห็นเกี้ยวของหวงฝู่จวินโหรวซ่อนอยู่ในซอยเล็กๆ ตรงข้าม ส่วนเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ก็กุมหมัดคารวะไปทางนั้น

ตอนนี้เหมียวอี้ยืนอยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการ จะเข้าก็ไม่เข้า จะออกก็ไม่ออก นับว่าโดนคำพูดของหวงฝู่จวินโหรวยั่วให้อยากรู้แล้ว จะไปหานางหรือจะไม่ไปหานางดี? เขาไม่อยากจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับผู้หญิงคนนั้นอีก แต่ถ้าสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดเป็นความจริงขึ้นมา ก็แสดงว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของตน ทำเอาเหมียวอี้สับสนแทบตาย


1002

ความจริงเช่นนี้


เขาหันตัวมา คิดจะกลับจวนผู้บัญชาการ

แต่พอก้าวเท้าไปก้าวเดียวก็หยุดชะงัก พอหันตัวกลับมา เขาก็เหลียวซ้ายแลขวาครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ก้าวเดินออกไป

ประนีประนอมกันไว้หน่อยดีกว่า ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคนเรากลัวตายหรือไม่กลัวตาย บนโลกนี้มีใครที่ใช้ชีวิตอยู่ดีๆ แล้วอยากไปตายบ้าง ถึงอย่างไรบนโลกนี้ก็มีคนที่เขาไม่อยากทิ้ง บางทีอวิ๋นจือชิวแยกจากเขาแล้วก็อาจจะใช้ชีวิตได้สุขสบายเหมือนเดิม แต่สุดท้ายก็กังวลว่านางจะเป็นห่วงตนมากเกินไป ไหนจะมีคนอื่นๆ อีก

เขาเดินไปฝั่งตรงข้ามร้านค้าสมาคมวีรชนเงียบๆ เดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบ ถึงได้เดินข้ามถนนไปที่ประตู กำลังคิดจะให้คนไปรายงานนาง แต่คาดไม่ถึงว่าคนงานที่รออยู่ตรงประตูจะเดินมาบอกด้วยรอยยิ้ม “ผู้บัญชาการหนิว ผู้จัดการร้านบอกไว้ ว่าถ้าท่านมาแล้ว ให้ท่านไปหานางที่ลานบ้านด้านหลังได้เลยขอรับ”

พูดไม่ออก! เหมียวอี้กลุ้มใจนิดหน่อย แต่ภายนอกยังคงเงยหน้ายืดอกเดินเข้าไป

เมื่อมาถึงลานบ้านด้านหลังแล้วไม่เห็นเงาหวงฝู่จวินโหรว เขาก็มองไปบนตึกแวบหนึ่ง จากนั้นเดินเข้าไปในศาลา พอเพิ่งจะนั่งลง หวงฝู่จวินโหรวกลับถ่ายทอดเสียงลงมาจากตึก “ไม่ได้ปิดประตู!”

“ผู้จัดการร้านหวงฝู่ มีอะไรก็ลงมาคุยกันให้ชัดเจน” เหมียวอี้ตอบกลับเสียงดัง เขาไม่อยากขึ้นไปบนตึกนั้นเลยจริงๆ

ทว่าบนตึกกลับไม่มีเสียงตอบกลับมา เหมียวอี้รออยู่ครู่หนึ่งแล้วไม่ได้ยินเสียง สุดท้ายจึงเตือนว่า “ถ้ายังไม่ลงมาข้าจะกลับแล้วนะ”

ยังคงไม่สนใจใยดี! เหมียวอี้แค้นจนกัดฟันกรอด หันหลังเดินออกไปทันที แต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หันกลับมาแล้วเดินก้าวยาวไปที่ตึก โดนยั่วให้อยากรู้แล้วจริงๆ

เมื่อผลักประตูเข้ามา เขาก็เดินขึ้นไปบนตึกโดยตรง แล้วก็ผลักประตูเข้าไปในห้องนอนของหญิงสาว

ฉากแรกที่ปรากฏสู่สายตานั้นแสนงดงาม เรือนร่างงามดุจหยกกำลังเอยกายอยู่บนเตียง ใส่แค่พวกเสื้อชั้นในเท่านั้น แผ่นหลังขาวดุจหิมะ ขาเรียวขาวดุจหยกเผยออกมาจนหมด สัดส่วนโค้งเว้า บั้นท้ายงอนอวบอิ่มกลมกลึง ถึงแม้จะกำลังหันหลังให้ แต่กลับยังทำให้คนที่เห็นเลือดลมสูบฉีดอยู่ดี

นี่มันเรื่องอะไรกัน? เหมียวอี้พบว่ายิ่งนับวันผู้หญิงคนนี้จะยิ่งบ้าบิ่นขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นทำตัวหน้าไม่อายแล้วด้วยว้ำ เขายอมรับว่าตัวเองใจเต้นแรงอยู่บ้าง เพราะบั้นท้ายของผู้หญิงคนนี้ดึงดูดเขามาก อารมณ์บางอย่างเริ่มปะทุนิดหน่อย ตราบใดที่สันดานของมนุษย์เรายังไม่ถูกทำลายไป อารมณ์ชั่ววูบในด้านนี้ของผู้ชายก็ยังเป็นสิ่งที่สติสัมปชัญญะควบคุมไม่ได้ เขารีบหันตัวกลับมาทันที หันหลังพูดกับนางเช่นกัน “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ?”

หวงฝู่จวินโหรวที่นอนตะแคงหันหลังอยู่บนเตียงกำลังกัดริมฝีปาก นางเองก็ตื่นเต้นกังวลเหมือนกัน กำลังดูถูกที่ตัวเองทำเรื่องน่าไม่อายแบบนี้ออกมาได้

ทว่าหลังจากหันกลับมามอง ไฟโกรธของนางก็ลุกโชนทันที ตอนนี้ไม่รู้สึกแล้วว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่เหมาะสม สิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ ไอ้เวรนี่ก็เคยทำกับนางหมดแล้ว ตอนนี้กลับมาหันหลังให้นาง ไม่ยอมมองนาง เห็นนางเป็นอะไรไปแล้วล่ะ?

พอนางโบกมือ ประตูก็ปิดสนิทแล้ว “อยากจะรู้ข่าว แต่เจ้ามีท่าทีแบบนี้น่ะเหรอ?”

เหมียวอี้เงียบไปครู่เดียว ก่อนจะบอกว่า “หวงฝู่ ถ้าทำแบบนี้ต่อไป จะไม่เป็นผลดีกับพวกเราสองคนเลย ตั้งแต่วันนี้ไปเรามาเป็นเพื่อนกันเฉยๆ ดีมั้ย?”

หวงฝู่จวินโหรวบิดตัวลงจากเตียง เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะกัดเขาให้ตาย ทั้งสองคนเคยทำแบบนั้นกันแล้ว ยังจะเป็นเพื่อนกันเฉยๆ ได้อีกเหรอ?

อ่างอาบน้ำถูกลากออกมา น้ำใสถูกเทลงไป นางถอดเสื้อผ้าออก ไม่ใส่อะไรสักตัว ลงไปแช่ในน้ำเย็นด้วยร่างเปลือยเปล่า “เจ้าไปเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ เกรงว่าจะเคราะห์ร้ายมากกว่าโชคดี”

เหมียวอี้ที่กำลังหันหลังให้ พอได้ยินเสียงก็รู้ทันทีว่านางกำลังทำอะไร เขาย่อมไม่หันกลับมาอยู่แล้ว ถามเพียงว่า “หมายความว่ายังไง?”

หวงฝู่จวินโหรวเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ โค่วเหวินหลานต้องมอบของวิเศษไว้ให้พวกเจ้าปกป้องชีวิตแน่ๆ แต่นั่นก็ไม่มีประโยชน์หรอก เขาให้ได้ คนอื่นก็ให้ได้เหมือนกัน”

“คนอื่นก็ให้เหมือนกันเหรอ?” เหมียวอี้เอียงหน้าเล็กน้อย แล้วถามอย่างแปลกใจ “หรือว่ายังมีคนอื่นมาเข้าร่วมอีก?”

“อยากรู้เหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวแสยะยิ้ม “เข้ามาถูหลังให้ข้าก่อนสิ!”

เหมียวอี้กลอกตามองบนแล้วถอนหายใจ “หวงฝู่จวินโหรว ข้าไม่ได้อยากทำผิดต่อเจ้านะ แต่เจ้าต้องเข้าใจสิ เจ้าไม่สามารถแต่งงานได้เหมือนคนปกติ แล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะแต่งงานเข้าตระกูลเจ้าให้บรรพบุรุษอับอาย เจ้าจำเป็นต้องพัวพันไม่เลิกแบบนี้ด้วยเหรอ?”

หวงฝู่จวินโหรวตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าคิดมากไปแล้วหรือเปล่า? ตราบใดที่เจ้าบริสุทธิ์ใจ ยังหวังจะให้ข้ากระโจนเข้าไปกอดเจ้าเชียวเหรอ? จะถูหรือไม่ถู? ถ้าไม่ถูก็เชิญกลับไป! ถ้าอยากจะรู้ก็ตั้งใจปรนนิบัติให้ข้าดีๆ สักรอบ!” พูดจบก็ปล่อยให้เหมียวอี้พูดต่อ นางไม่พูดอะไรแล้ว สนใจแต่เล่นน้ำในอ่างของตัวเองต่อไป

ขณะที่ควบคุมมารร้ายครึ่งหนึ่งในจิตใจเอาไว้ เหมียวอี้ก็ปลอบใจตัวเองว่า…ข้าไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย…กัดฟันทำสักรอบแล้วกัน จากนั้นก็เดินเข้าไปช้าๆ ปรากฏว่าพอเห็นเรือนร่างอ่อนช้อยอรชรในน้ำ เขาก็เริ่มร้อนรุ่มหัวใจ

หวงฝู่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วพลิกตัวมานั่งคุกเข่า เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นที่ทำท่าพลิกไปพลิกมาอยู่ในน้ำทำให้คนใจหายใจคว่ำจริงๆ นางมานอนหมอบอยู่ที่ริมอ่าง เผยแผ่นหลังที่ขาวเนียนดุจหิมะให้เขาเห็น แล้วยื่นผ้าขนหนูสีขาวที่เปียกน้ำให้เขาผืนหนึ่ง

เหมียวอี้รับมาไว้ในมือแล้วนั่งคุกเข่านอกอ่าง จากนั้นแช่ผ้าขนหนูลงไปในน้ำเพื่อขัดหลังให้นาง เขารับไม่ไหวกับท่าทางของนาง จึงพยายามหันหน้าหนีไม่ยอมมอง

แต่ใครจะคิดว่ามือข้างหนึ่งจะยื่นเข้ามา ดึงใบหน้าเขาหมุนกลับเข้ามาเหมือนเดิม ทำให้ดวงตาทั้งสี่จ้องประสานกัน

ขณะที่มองเรือนร่างของนางบิดไปบิดมาช้าๆ มองหน้าอกขาวอวบอิ่มที่อยู่ตรงหน้า เขาก็คิดในใจว่า ถูหลังบ้านแม่เจ้าสิ เจ้ากำลังยั่วยวนข้าชัดๆ คิดว่าข้ากลัวเจ้ารึไง!

เหมียวอี้โยนผ้าขนหนูในมือ คว้าแขนข้างหนึ่งของนาง ดึงนางขึ้นมาจากอ่างแล้วอุ้มไว้ในอ้อมกอด แล้วโยนลงบนเตียงทั้งๆ ที่ยังตัวเปียก ก่อนจะกระโจนเข้าใส่ราวกับหมาป่าหิวกระหาย

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” หวงฝู่จวินโหรวที่หายใจถี่กระชั้นผลักเขาออก แต่แววตากลับหยาดเยิ้มราวกับจะมีน้ำหยดออกมา

“ข้าจะเตือนเจ้าอีกครั้งนะ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ!” เหมียวอี้กัดฟันพูด

“อุบ!” หวงฝู่จวินโหรวหลุดขำ “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าพูดว่าครั้งสุดท้ายมากี่รอบแล้วล่ะ? ถึงอย่างไรข้าก็จำไม่ได้แล้ว” พูดจบก็ใช้แขนโอบเขาไว้แน่น

เป็นการครอบครองอย่างอดใจรอไม่ไหว เรียกได้ว่าพลิกแม่น้ำคว่ำทะเล…

“ครั้งก่อนที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก ที่พวกเจ้าคุยกันว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเล่นไม่ซื่ออยู่เบื้องหลัง ข้าว่าพวกเจ้าประเมินเขาสูงเกินไปแล้ว เขายังไม่มีความสามารถที่จะไปควบคุมการตัดสินใจของตำหนักสวรรค์ได้หรอก” หลังจากได้รับความพึงพอใจ ร่างที่ชุ่มเหงื่อของหวงฝู่จวินโหรวก็นอนหมอบพักอยู่บนตัวของเขา นางกำลังกระซิบคลอเคลียอยู่ข้างหู

เหมียวอี้ที่กำลังลูบไล้เล่นบนร่างกายนางขมวดคิ้วถามว่า “ไม่ใช่เซี่ยโห้วหลงเฉิงเหรอ? หรือว่าโค่วเหวินหลานได้ข่าวมาผิด?”

“ข่าวของเขาย่อมไม่ผิดอยู่แล้ว แค่มีเรื่องบางเรื่องที่บอกพวกเจ้าไม่ได้ก็เท่านั้นเอง เซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นคนเริ่มเรื่องนี้จริงๆ แต่กลับมีคนทำตามความประสงค์จองตำหนักสวรรค์ ยุงยงให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงไปทำแบบนี้ จากนั้นเบื้องบนก็ย่อมเล่นไปตามน้ำ” หวงฝู่ตอบ

“เกี่ยวอะไรกับที่เจ้าบอกว่าข้ามีโอกาสรอดน้อยในการทดสอบครั้งนี้ล่ะ?” เหมียวอี้แปลกใจ

หวงฝู่ตอบว่า “ความขัดแย้งระหว่างโค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิง อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดว่ามีข้าเป็นสาเหตุเพียงอย่างเดียว? ข้าจะบอกเจ้าอย่างนี้แล้วกัน ที่ตำหนักสวรรค์น่ะ ยิ่งขึ้นไปสูงก็ยิ่งมีตำแหน่งน้อย แต่หลายปีมานี้ลูกหลานตระกูลขุนนางมีมากขึ้นเรื่อยๆ การแข่งขันก็ยิ่งดุเดือดเช่นกัน ถ้าอยากจะนั่งในตำแหน่งสูงก็ทำได้ เบื้องบนไม่ได้ขัดขวาง แต่เจ้าต้องพิสูจน์ความสามารถของเจ้า การแข่งขันระหว่างลูกหลานตระกูลขุนนางในแต่ละรุ่นจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในตระกูลเซี่ยโห้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงนับเป็นประเภทคนไม่เอาไหน  ลูกหลานตระกูลขุนนางคนอื่นๆ ไม่มองว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันเลย แต่บังเอิญว่าตระกูลโค่วก็มีตัวประหลาดเหมือนกัน เป็นไอ้ตุ้งติ้งที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงเรียกนั่นแหละ คนหนึ่งไม่เอาไหน คนหนึ่งเป็นไอ้ตุ้งติ้ง ทั้งสองก็เลยกลายเป็นคู่ต่อสู้กันไปโดยปริยาย มีแต่ต้องเหยียบฝ่ายตรงข้ามเอาไว้เท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ไปสู้กับคนระดับสูงกว่า มีเพียงการกลายเป็นวีรบุรุษของตระกูลตัวเองเท่านั้น หากมีตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว อำนาจของตระกูลถึงจะผลักดันเจ้าขึ้นไป ไม่อย่างนั้นตระกูลของเซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานจะวางคนแบบนี้ไว้ในตำแหน่งสำคัญได้ยังไงล่ะ พวกเขาไม่ยอมเสียหน้าหรอก!”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” เหมียวอี้ทำท่าครุ่นคิด แต่มือกลับลูบไล้ขึ้นไปบนจุดที่งอนที่สุดของก้นนาง แล้วบีบแรงๆ หนึ่งที “เหมือนจะไม่แน่หรอกมั้ง? ข้าเห็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงจริงใจต่อเจ้านะ!”

หวงฝู่ที่เจ็บก้นครางเบาๆ แล้วจูบบนริมฝีปากเขาอย่างหนักน่วง ลิ้นงามเลื้อยลึกเข้าไปทำกำเริบเสิบสานอยู่พักหนึ่ง จากนั้นถึงได้กอดเขาแล้วบอกว่า “เซี่ยโห้วหลงเฉิงอาจจะจริงใจกับข้าจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าเขากับโค่วเหวินหลานมีฐานะในตระกูลจริงๆ อาศัยอำนาจที่หนุนหลังตระกูลทั้งสอง ถ้าอยากจะรับผู้หญิงสักคนเข้าบ้านก็ขอแค่เอ่ยคำเดียว ข้าจะขัดขืนไหวเหรอ? ข้าก็ยังถวายตัวเข้าไปแต่โดยดี ประเด็นสำคัญคือสองตระกูลนั้นไม่มีทางมารบกวนผู้หญิงที่มีภูมิหลังอย่างข้าเพื่อลูกหลานที่ไม่ได้เรื่องสองคนนั่นหรอก แล้วอีกอย่าง…”

จะโยงมาถึงเรื่องนี้ทำไม นี่ไม่ใช่สิ่งที่เหมียวอี้สนใจ จึงเปลี่ยนหัวข้อทันที “ข้ายังไม่ได้ยินเลยว่าทำไมการทดสอบครั้งนี้ข้าถึงมีเคราะห์มากกว่ามีโชค”

นางใช้ปลายนิ้วดึงจมูกเขา แล้วบอกว่า “เจ้าโง่เหรอ! ยังฟังไม่เข้าใจอีกหรือไง? เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานเป็นแค่หนึ่งคู่ที่อยู่ในการต่อสู้นั้น ลูกหลานตระกูลขุนนางในระดับเดียวกับพวกเขาที่กำลังต่อสู้กันก็ยังมีอีกไม่น้อย เซี่ยโห้วหลงเฉิงพุ่งเป้ามาที่โค่วเหวินหลานอย่างเดียว แต่เบื้องบนมีคนจงใจฉวยโอกาสดึงลูกหลานตระกูลขุนนางระดับนี้มาเข้าร่วมด้วยทั้งหมด เจ้าคิดว่ามีแค่ผู้บัญชาการสี่คนของโค่วเหวินหลานที่โดนสุ่มเลือกไปด้วยกันเหรอ? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ คนที่โดนสุ่มเลือกไปเป็นกลุ่มมีเยอะมาก ตัวประกอบที่โชคร้ายจริงๆ มีแค่ส่วนเดียว ที่เหลืออีกเก้าส่วนก็มีสถานการณ์แบบพวกเจ้านี่แหละ”

เหมียวอี้นิ่งเงียบ เป็นเก้าส่วนท่ามกลางผู้บัญชาการหนึ่งพันคน! ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมหวงฝู่จวินโหรวถึงงบอกว่าไม่ได้มีแค่โค่วเหวินหลานที่มอบของวิเศษให้พวกเขา

พอไม่ระวังตัว ก็โดนหวงฝู่จวินโหรวเปิดช่องปาก ลิ้นหอมกำลังพลิกไปพลิกมาอยู่ในปาก เหมียวอี้ที่ได้สติกลับมาดันหัวนางออก แล้วถามว่า “หรือว่าเบื้องบนอยากจะกวาดล้างลูกหลานตระกูลขุนนางไปพร้อมกันเลย?”

หวงฝู่พูดดูถูกว่า “กวาดล้างปลาเล็กปลาน้อยอย่างพวกเจ้าจะมีความหมายอะไรล่ะ? ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด แต่อำนาจฝ่ายต่างๆ ในตำหนักสวรรค์สลับซับซ้อนมาก คนมากมายอยู่แบบมองข้ามการแสวงหาความก้าวหน้า ย่อมต้องรักษาตัวให้อยู่รอดปลอดภัย ถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าสบายดี ข้าสบายดี ทุกคนก็สบายดี เมื่อเกิดเรื่องขึ้นก็ผลักความรับผิดชอบให้กัน ใครจะไปสู้ตายเหมือนตอนต่อสู้บุกเบิกอาณาจักรล่ะ ไม่สู้เสพสุขกับเกียรติยศความร่ำรวยดีกว่าเหรอ เมื่อเวลาล่วงเลยนานไป เรื่องราวมากมายก็ทำแบบผักชีโรยหน้า มีคนชั่วทำผิดกฎสวรรค์ไม่หยุด แต่คนส่วนใหญ่ที่ส่งไปจัดการก็ไม่ทุ่มเททำงาน ทั้งข้างบนข้างล่างเป็นแบบนี้หมด จนกระทั่งมีคดีหนึ่งเกิดขึ้น ถึงได้ทำให้ราชันสวรรค์เดือดดาลถึงขีดสุด เจ้าเองก็รู้เรื่องคดีนี้”

“ข้ารู้เหรอ? ข้าจะไปรู้เรื่องที่ทำให้ราชันสวรรค์เดือดดาลได้ยังไง?” เหมียวอี้แปลกใจ

หวงฝู่จิ้มหน้าผากเขา แล้วอธิบายว่า “หนึ่งในสวนผลไม้ที่ต้องส่งของบรรณาการให้ตำหนักสวรรค์โดนปล้น เรื่องที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ของดาวไร้ลักษณ์โดนปล้นนั่นไง เจ้าไม่เคยได้ยินเหรอ? หลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้น เบื้องล่างก็มีขุนนางปลายแถวมากมายโดนผลักออกมาให้รับผิดชอบ ส่วนโจรตัวจริงน่ะ อย่าว่าแต่จับไม่ได้เลย ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครทำ เมื่อก่อนเวลาเกิดเรื่องขึ้น อย่างมากก็เป็นเพราะท้องฟ้ากว้างใหญ่ เวลาคนร้ายหลบหนีขึ้นมาก็จับตัวไม่ได้ แต่พวกเขาจัดการเรื่องสวนผลไม้โดนปล้นอย่างชุ่ยๆ แบบนี้ ราชันสวรรค์ย่อมเดือดดาลมากอยู่แล้ว! แต่ราชันสวรรค์โมโหไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าจะเอาจริงขึ้นมา ตั้งแต่ข้างล่างถึงข้างบนก็พัวพันกับคนเยอะมาก ต่อให้ฆ่าตายหมดก็แก้ปัญหาของตำหนักสวรรค์ในตอนนี้ไม่ได้ ถึงอย่างไรท้องฟ้าก็กว้างใหญ่ไพศาล ต่อให้ราชันสวรรค์มีพลังอิทธิฤทธิ์สูงส่งล้ำลึกกว่านี้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตามแก้ปัญหาทุกเรื่องในจักรวาลด้วยตัวคนเดียว สุดท้ายก็ยังต้องอาศัยพวกลูกน้องไปดูแล สาเหตุที่เลือกนักโทษหลบหนีร้อยคนในการทดสอบครั้งนี้ ก็เพราะจะยืมมือตระกูลขุนนางเพื่อเริ่มลงมือกวาดล้างคนที่บังอาจฝ่าฝืนอำนาจสวรรค์  ไม่อย่างนั้นถ้าเอาแต่จับไม่ได้ต่อไป ผ่านไปหลายปีก็มีคนหนีรอดกฎหมายไปนับไม่ถ้วนแล้ว เจ้าเชื่อมั้ยล่ะ? นักโทษหลบหนีจำนวนหนึ่งร้อยคนนี้ เมื่อก่อนไม่เคยจับได้เลย แต่ครั้งนี้จะต้องตายอย่างแน่นอน! ถ้าตระกูลขุนนางได้ต่อสู้กันเพื่อผลประโยชน์ขึ้นมาจริงๆ คนที่ตำหนักสวรรค์เคยหาตัวไม่เจอ ครั้งนี้จะต้องโดนจับทั้งหมดแน่นอน และนี่ก็เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ถ้าได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ การกวาดล้างที่ดุเดือดกว่าเดิมจะต้องตามมาอีกแน่นอน!”

1003

บรรยากาศครอบครัวเล็กๆ

ความจริงแบบนี้ทำให้เหมียวอี้พูดไม่ออก ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกว่าตัวเองโชคร้าย สงสัยการทดสอบครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกาะศักดิ์สิทธิ์โดนปล้น ที่แท้ก็เป็นเขาที่ก็ยกหินทุ่มใส่เท้าตัวเอง

“ในเมื่อคิดจะกำจัด แล้วทำไมไม่ให้โค่วเหวินหลานกับลูกหลานตระกูลขุนนางพวกนั้นไปลงสนามเองล่ะ แบบนั้นจะได้ใช้กำลังความสามารถเยอะกว่าไม่ใช่เหรอ?” เหมียวอี้ถาม

หวงฝู่ส่ายหน้า “แบบนั้นจะทำให้หลายตระกูลได้รับผลกระทบ แถมไม่ได้แย่งชิงของสำคัญอะไรกันด้วย ใครจะอยากให้ลูกหลานตัวเองเอาชีวิตไปทิ้งล่ะ? มีคนห้ามเยอะเกินไป ไม่ผ่านการอนุมัติหรอก ถ้าราชันสวรรค์จัดการโดยไม่สนใจความคิดใคร ถึงตอนนั้นถ้าพวกโค่วเหวินหลานรวมตัวเป็นพวกเดียวกันขึ้นมา ราชันสวรรค์ก็จะไม่ได้อะไรเลย เหมือนเป็นการตบหน้าตัวเอง ราชันสวรรค์สามารถกำจัดตระกูลขุนนางทั้งหมดทิ้งได้เหรอ? ถ้ากำลังคนมากมายขนาดนั้นไปก่อกบฏกันหมด ราชันสวรรค์ก็คงจะได้กลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบแล้วจริงๆ มีคนอยู่เต็มดาราจักร ราชันสวรรค์คนเดียวจะฆ่าได้สักกี่คนเชียว? ถึงตอนนั้นใต้หล้าวุ่นวาย กิจการพื้นฐานของราชันสวรรค์ก็จะต้องหายไปเหมือนกัน แล้วยังจะมีใครส่งมอบผลประโยชน์ให้เขาอีก ราชันสวรรค์จะไปแย่งชิงด้วยมือเปล่างั้นเหรอ?”

เหมียวอี้ได้ยินแล้วทอดถอนใจไม่หาย ดูเหมือนการเป็นราชันสวรรค์ก็ลำบากเหมือนกัน

แต่ก็ดูออกแล้วจริงๆ ว่าหน่วยงานภายในของตำหนักสวรรค์มีปัญหา ขนาดเทพแห่งผืนดินและคนเฝ้าประตูในเกาะศักดิ์สิทธิ์ยังกล้าพลิกแพลงวิธีการขโมยของบรรณาการเลย แบบนี้เรียกว่าเจ้าวัดไม่ดี หลวงชีสกปรก ถ้าไม่ใช่เพราะมีที่พึ่งคอยให้ท้ายจนกลายเป็นความเคยชิน จะมีลูกน้องที่ไหนกล้าทำเรื่องแบบนี้ แสดงว่าเบื้องบนก็ทำเรื่องพรรค์นี้ไว้ไม่น้อยเหมือนกัน แล้วเวลาแต่งตั้งให้ใครรับตำแหน่ง ทุกที่ก็จะมีแต่คนของคนนั้น หรือไม่ก็คนของคนนี้ แม่ทัพภาคปี้เยว่ฮูหยินก็คือเมียของท่านโหวบางคน ผู้บัญชาการโค่วเหวินหลานก็คือหลานของคนใหญ่คนโตบางคน ผู้บัญชาการมู่หรงซิงหัวก็เป็นหญิงชู้ของใครบางคน หยางไท่ก็เป็นลูกบุญธรรมของใครบางคน เหมียวอี้กับสวีถังหรานบยังนับว่าดีหน่อย แต่ตามกฎแล้วก็ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเป็นผู้บัญชาการ แต่ก็เพราะเห็นแก่หน้าโค่วเหวินหลาน จึงไม่สนใจเลยว่าเจ้าจะทำงานได้เหมาะสมกับตำแหน่งหรือเปล่า ดูแค่ดาวเทียนหยวนที่เดียวก็เห็นทุกอย่างแล้ว จะรู้ได้ว่าทั้งตำหนักสวรรค์เป็นอย่างไร

เพี้ยะ! เหมียวอี้ตบก้นหวงฝู่ที่กำลังคลอเคลียไปทั่วร่างกายตนอย่างแรงหนึ่งฉาด ให้นางหยุดพักก่อน แล้วลองถามถึงสิ่งที่ตัวเองคาดเดียว “ที่เจ้าบอกว่าอันตราย ก็คือการต่อสู้แก่งแย่งกันระหว่างลูกหลานตระกูลขุนนางเหรอ?”

หวงฝู่ตอบว่า “ใช่ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับอนาคตตัวเอง ไม่ว่าใครก็ไม่อยากโดนคนอื่นเบียดตกทั้งนั้น จะต้องทุ่มทรัพยากรติดอาวุธให้ลูกน้องของตัวเอง เดาว่าโค่วเหวินหลานก็คงให้ของบางอย่างพวกเจ้ามาเหมือนกัน แต่เจ้าต้องรู้ไว้อย่างหนึ่งนะ ก็เหมือนกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงนั่นแหละ โค่วเหวินหลานไม่ได้สำคัญกับตระกูลโค่วสักเท่าไรเหมือนกัน อยู่อันดับโหล่เลย ทรัพยากรที่ใช้ก็สู้ลูกหลานคนอื่นของตระกูลโค่วไม่ได้แน่นอน แล้วก็อาจจะไม่ได้ใช้ทรัพยากรดีเท่าคนอื่นเหมือนกัน วรยุทธ์เจ้าไม่ได้สูงเท่าไรเลย ถ้าของวิเศษด้อยกว่าคนอื่น เมื่อครบกำหนดเวลา เพื่อที่จะได้อันดับดีๆ เกรงว่าผู้บัญชาการหนึ่งพันคนจะต้องยื้อแย่งกันเอง เจ้าสามารถรับมือได้สักกี่คนล่ะ? เจ้าคิดว่าครั้งนี้เจ้าจะตายหรือเปล่าล่ะ?”

เหมียวอี้สีหน้าตึงเครียด เขาพลิกตัวทันที จับนางนอนข้างล่าง ขบเม้มย่ำยียอดเขาสองลูกของนางพักหนึ่ง หลังจากรังแกจนนางหอบหายใจ ถึงได้เงยหน้าบอกว่า “ในเมื่อเจ้าหลอกล่อข้ามาแล้ว เดาว่าเจ้าคงจะมีวิธีช่วยข้าสินะ”

ขณะที่ใช้สองมือประคองหน้าเขา หวงฝู่จวินโหรวก็ส่งสายตาหวานพร้อมบอกว่า “เรื่องของตำหนักสวรรค์น่ะ ข้าไม่กล้าเข้าไปก้าวก่ายสักเท่าไรหรอก นี่คือเรื่องต้องห้ามที่ร้ายแรง แต่ข้าก็มีอีกวิธีการที่จะช่วยเจ้าได้จริงๆ ขอเพียงเจ้ายอมแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่ แต่งงานกับข้า ก็ย่อมมีคนรายงานขึ้นไปถึงหูเบื้องบนแล้วลบรายชื่อเจ้าออกอยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง พอแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่แล้ว เจ้าก็จะถูกลบออกจากทะเบียนขุนนางของตำหนักสวรรค์ ต่อให้คนที่หนุนหลังโค่วเหวินหลานจะใหญ่แค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรตระกูลหวงฝู่อยู่ดี ถึงตอนนั้นก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าแล้ว”

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว พลิกตัวลุกออกจากนางทันที เปลี่ยนมานอนอยู่ข้างๆ นางแทน ล้อเล่นอะไรกัน แต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่เหรอ แบบนั้นจะให้อวิ๋นจือชิวทนความรู้สึกได้อย่างไร?

หวงฝู่บิดตัวขึ้นมานอนบนร่างเขา “เป็นยังไง? เรื่องราวจวนตัวแล้ว วันนี้คือโอกาสเดียวของเจ้านะ?”

เหมียวอี้จ้องนางพร้อมถามว่า “เจ้าคาดการณ์ไว้แล้วว่าข้าจนตรอก กำลังฉวยโอกาสบีบข้าใช่มั้ย?”

หวงฝู่กอดเขาไว้แน่น “เจ้าพูดแบบนี้ได้ยังไง ข้าก้ทำเพื่อช่วยชีวิตเจ้าเหมือนกันนะ”

เหมียวอี้ผลักนางออก แล้วลุกออกจากเตียง ไม่รู้ว่าเขาเก็บเสื้อผ้าจากพื้นที่นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ขณะที่ใส่เสื้อผ้าก็บอกว่า “ข้าจะพูดอย่างจริงจังสักครั้งนะ ต่อให้ข้าจะไร้ความสามารถ แต่ก็ยอมตายดีกว่าแต่งงานเข้าตระกูลผู้หญิง! ข้าไม่เชื่อแนวคิดบ้าๆ นี่หรอก ข้าไม่เชื่อหรอกว่าถ้าไม่ขายตัวให้ตระกูลหวงฝู่ แล้วจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ ข้าเป็นชายชาตรี จะให้มาถอดเสื้อผ้าขึ้นเตียงกับเจ้าเพื่อรักษาชีวิตได้ยังไง ช่างน่าขำ!”

การเจรจาล้มเหลว หลังจากทำตัวเจ้าชู้เสเพล ท่านขุนนางเหมียวก็เดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ทิ้งให้หวงฝู่จวินโหรวดึงผ้าห่มมาคลุมร่างตัวเอง นั่งกอดเข่าพิงหัวเตียง ผมเผ้ายุ่งสยาย เหม่อลอยงงงัน!

ระหว่างทางกลับจวนผู้บัญชาการ เหมียวอี้ได้รับข้อความจากอวิ๋นจือชิว นางได้ยินว่าเขากลับมาแล้ว ทั้งยังรู้เรื่องที่เขาจะเข้าร่วมการทดสอบด้วย จึงบอกให้เขาไปที่ร้านของสองพี่น้องโอวหยางในคืนนี้ นางจะเข้าครัวทำกับข้าวด้วยตัวเอง ให้คนในครอบครัวได้กินข้าวด้วยกันดีๆ สักมื้อ

มีเรื่องเสื้อชั้นในครั้งก่อนเป็นบทเรียนแล้ว พอกลับถึงจวนผู้บัญชาการ เหมียวอี้ก็อาบน้ำทำลายหลักฐานทันที

จากนั้นก็เรียกฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋เข้ามา แล้วบอกความจริงเรื่องการทดสอบครั้งนี้ หลังจากได้รู้ว่าการทดสอบครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเรื่องปล้นเกาะศักดิ์สิทธิ์ในปีนั้น ทั้งสองก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ฝูชิงถามว่า “เจ้าได้ข่าวมาจากนั้น?”

เหมียวอี้ย่อมบอกไม่ได้ว่าเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้ได้ข่าวนี้มา “นอกจากโค่วเหวินหลานแล้ว ยังจะเอาข่าวมาจากไหนได้อีกล่ะ?”

“โค่วเหวินหลานสามารถนำเรื่องการต่อสู้ช่วงชิงระหว่างตระกูลขุนนางของพวกเขามาบอกเจ้าด้วยเหรอ? นี่ไม่ใช่กำลังบอกให้เจ้ารู้เหรอ ว่าให้เจ้าไปตายแทนเขา?” อิงอู๋ตี๋สงสัย

“ข้าจะไปรู้เหรอว่าคิดยังไง” เหมียวอี้พูดกลบเกลื่อนคำโกหกของตัวเองไม่ได้ จึงแต่อ้างว่าไม่รู้ ให้ทั้งสองไปปวดหัวเดาเจตนาของโค่วเหวินหลานเอาเอง

ตอนพลบค่ำ พระอาทิตย์ยามเย็นกำลังสวย เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ในลานบ้าน ใส่ชุดคลุมยาวพอดีตัว องอาจผึ่งผาย กำลังมองที่ขอบฟ้า ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง!

เป่าเหลียนเดินตามมาข้างหลัง “นายท่านกลับมาจากเดินทางไกล ข้าน้อยเตรียมอาหารไว้รับรองท่าน ให้ท่านกับรองผู้บัญชาการทั้งสองได้กินดื่มดีๆ สักมื้อค่ะ”

เหมียวอี้เกือบจะพยักหน้าตกลง แต่พอได้สติกลับมาก็นึกขึ้นได้ว่ามีธุระ “ไม่ต้องแล้ว ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย อย่าให้คนมารบกวนข้านะ!”

นี่ย่อมเป็นคำปฏิเสธ หลังจากรอให้เป่าเหลียนออกไปแล้ว เวลาก็ล่วงเลยมาพอสมควร เขาดำน้ำลงมาในทางใต้ดินอีก

พอมาถึงร้านผลึกสกัด สองพี่น้องโอวหยางที่ได้ยินข่าวก็เข้ามาต้อนรับอย่างร่าเริง เหมียวอี้บอกพวกนางว่าไม่ต้องมากพิธี จากนั้นมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “ฮูหยินยังไม่มาเหรอ?”

“ฮูหยินกำลังทำอาหารอยู่ในครัวค่ะ!” สองพี่น้องโอวหยางตอบอย่างรู้สึกผิดนิดหน่อย เดิมทีพวกนางอยากจะทำแทน แต่อวิ๋นจือชิวปฎิเสธโดยอ้างว่าพวกนางไม่รู้รสนิยมของเหมียวอี้ จึงทำได้เพียงช่วยงานเบ็ดเตล็ดอยู่ข้างๆ

จากนั้นเหมียวอี้ก็เดินเข้าไปดูในครัว เห็นเพียงอวิ๋นจือชิวที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวครามสุภาพเรียบร้อยกำลังผัดอาหารอยู่ข้างเตาไฟ สำหรับผู้ชายที่ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายเป็นประจำ เกรงว่าภาพนี้คงจะปลอบโยนจิตใจได้ดีที่สุดในโลกแล้ว เพียงแต่พอนึกเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่เพิ่งทำที่ร้านค้าสมาคมวีรชน ก็พูดไม่ออกเลยว่าในใจรู้สึกผิดขนาดไหน แอบด่าตัวเองว่าไอ้สัตว์เดรัจฉาน!

เมื่อเห็นเขามา อวิ๋นจือชิวก็แค่หันมายิ้มพร้อมบอกว่า “ในนี้มีควันเยอะ กลิ่นไม่ค่อยดี ไม่ใช่สถานที่ที่ผู้ชายอย่างเจ้าควรจะมานะ หลางหลาง หวนหวน ไปอยู่เป็นเพื่อนหนิวเอ้อร์ในห้องก่อน ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ”

“ไม่เป็นไร! เดี๋ยวข้าจะเป็นลูกมือให้ฮูหยินเอง” เหมียวอี้โบกมือปฏิเสธคำเชิญของสองพี่น้องฝาแฝด เดินไปหาจือฉีที่กำลังคุมไฟอยู่ข้างเตา แล้วนั่งลงข้างๆ หยิบไม้ฟื้นโยนเข้าเตาด้วยตัวเอง

ทั้งสองให้ความร่วมมือกันค่อนข้างดี เหมียวอี้ใช้ไม้ฟืนคุมไฟได้ไม่เลวเลย เขาไม่ได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ช่วยด้วย

“ดูไม่ออกเลยนะ แม้แต่งานในเตาไฟเจ้าก็ทำเป็นเหรอ” อวิ๋นจือชิวที่กำลังทำอาหารกล่าวอย่างรู้สึกคาดไม่ถึง

“ถ้าข้าทำไม่เป็นแม้แต่เรื่องแบบนี้ ก็คงอยู่ไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้หรอก คงหิวตายไปตั้งแต่เด็กแล้ว เจ้าต่างหากล่ะคุณหนูอวิ๋น ขนาดยอดหญิงแห่งแห่งนภาจอมมารยังทำงานแบบนี้ได้เหมือนเป็นเรื่องง่าย ข้าล่ะนับถือจริงๆ สงสัยพวกเราจะเป็นคู่แท้กันจริงๆ! ถ้าเจ้าไม่แต่งงานกับข้า สวรรค์คงทนไม่ได้แน่ๆ!” เหมียวอี้พูดหยอกอยู่อย่างนั้น ทำเอาอวิ๋นจือชิวหัวเราะคิกคัก

ฉากนี้ทำให้สองพี่น้องโอวหยางเห็นแล้วอิจฉา ถึงแม้จะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่กลับดูออกเลยว่าตัวเองกับอวิ๋นจือชิวต่างกันตรงไหน เป็นอย่างที่เหมียวอี้บอก ในปีนั้นอวิ๋นจือชิวคือยอดหญิงที่น่าภาคภูมิใจของนภาจอมมาร ฐานะชาติกำเนิดต้อยต่ำกว่าพวกนางสองคนตรงไหน? แต่พวกนางกลับทำงานพวกนี้ได้ไม่คล่องเลย ขนาดอยากจะช่วยยังทำให้ยุ่งยิ่งกว่าเดิม

ถึงแม้เรื่องอาหารการกินจะไม่สำคัญกับคนในแดนฝึกตน พลังจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในอาหารทั่วไปก็มีน้อยนิด แต่ในเมื่อเกิดมาเป็นคนแล้ว ความต้องการของปากท้องคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก คนที่ทำอาหารไม่เป็นก็จะขาดเสน่ห์ไปนิดหน่อย

หลังจากเสร็จงานในห้องครัว พวกจือฉินก็ยกน้ำมาให้อวิ๋นจือชิวอาบทันที เหมียวอี้เป็นฝ่ายเสนอตัวก้าวเข้าไปก่อน จูงมือที่เรียวงามของอวิ๋นจือชิวลงไปอาบน้ำในอ่าง ทั้งยังนำผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าให้นางด้วย

อวิ๋นจือชิวทั้งรู้สึกหวานชื่นในใจทั้งรู้สึกเกรงใจ สองพี่น้องโอวหยางกำลังมองด้วยความอิจฉาอยู่นะ นางไม่ให้เหมียวอี้ทำแบบนี้ แต่เหมียวอี้กลับดึงดันจะปรนนิบัตินางอย่างสุดตัว ไม่รู้เลยว่าเหมียวอี้รูสึกผิดในใจ ยากจะทำอะไรเพื่อเป็นการชดเชยสักหน่อย…

หลังจากนำสุราอาหารขึ้นตั้งตะ เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวก็นั่งข้างกัน หลังจากสองพี่น้องโอวหยางแยกกันนั่งข้างซ้ายและขวา อวิ๋นจือชิวก็พูดกับฉินฉีซูฮว่าที่ยืนรอรับใช้อยู่ด้านข้าง “ข้าถึงขนาดลงครัวเองแล้ว วันนี้ไม่แบ่งแยกนายบ่าว นั่งด้วยกัน คนในครอบครัวกินอาหารด้วยกันดีๆ สักมื้อ”

ระหว่างที่กินอาหาร อวิ๋นจือชิวก็คุยทั่วถึงทุกคน ทุกคนพูดคุยหัวเราะกันสนุกสนาน บรรยากาศไม่เลวเลยจริงๆ ให้ความรู้สึกของครอบครัว

หลังจากกินเสร็จ อวิ๋นจือชิวก็ให้เหมียวอี้อยู่ค้างที่นี่ แต่เหมียวอี้บอกว่าพรุ่งนี้ค่อยมา วันนี้ยังคงจูงมือนางกลับไปด้วยกันผ่านทางใต้ดินอย่างแน่วแน่

เมื่อกลับมาถึงชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของร้านโฉมเมฆา เหมียวอี้ก็เตรียมน้ำออกมาอีก ช่วยอวิ๋นจือชิวถอดเครื่องปลอมตัว ทั้งยังช่วยนางถอดเครื่องแต่งกาย แล้วสุดท้ายก็ช่วยถูหลังให้นาง ไม่เหมือนกับที่ทำให้หวงฝู่จวินโหรว เพราะตอนนี้เขาปรนนิบัติให้นางอย่างเอาใจใส่ราวกับเป็นทาสรับใช้

อวิ๋นจือชิวที่กำลังเอนกายเสพสุขกลับค่อนข้างเงียบงัน หลังจากปรนนิบัติให้นางเสร็จแล้วเปลี่ยนใส่ชุดอยู่บ้าน ตอนที่ทั้งสองก็นั่งดื่มน้ำชาในลานบ้านด้วยกัน อวิ๋นจือชิวถึงได้เอ่ยปากถามว่า “วันนี้เจ้าดูไม่ค่อยปกตินะ เพราะเรื่องการทดสอบอันตรายมากใช่มั้ย? ถ้าไปแล้วกลัวว่า…จะกลับมาไม่ได้เหรอ?”

เหมียวอี้กลับไม่กังวลเรื่องนี้ แต่ความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะลบออกไปได้ เขาโอบกอดนาง แล้วเอนกายบนเก้าอี้ด้วยกัน “ถ้าบอกว่าไม่กังวลเรื่องการทดสอบเลยก็คงจะโกหก แต่หลายปีมานี้ ข้าผ่านศึกเล็กศึกใหญ่มาจนตัวเองยังนับไม่ถ้วนเลย เคยชินจนมองเป็นเรื่องปกติแล้ว ข้าไม่กลัวเลยจริงๆ แต่ว่าไปตั้งร้อยปี ไม่ได้เจอเจ้าตั้งร้อยปี ที่พิภพใหญ่ ที่พิภพเล็ก เรื่องในครอบครัวตกอยู่ที่ตัวเจ้าคนเดียว ข้ารู้สึกผิดต่อเจ้านิดหน่อย!” คำพูดนี้จริงครึ่งไม่จริงครึ่ง แต่กลับพูดออกมาจากความรู้สึก

อวิ๋นจือชิวหดเรือนร่างอรชร อิงแอบอยู่ในอ้อมอกของเขา พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “เจ้าออกไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายข้างนอก ก็ไม่ใช่เพื่อข้าหรอกเหรอ ที่ข้ามีวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะเจ้าเสี่ยงชีวิตหามาทั้งนั้น เพียงแต่เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน จะล่มก็ล่มด้วยกัน จะรุ่งก็รุ่งด้วยกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันทั้งชีวิต จำเป็นต้องพูดอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ เรารู้ชัดอยู่ในใจก็พอแล้ว ข้ารู้เพียงแค่ว่า การได้แต่งงานกับเจ้าในชาตินี้ทำให้ใจข้ารู้สึกงดงาม ในเมื่อเผชิญปัญหา ในเมื่อหลบเลี่ยงไม่ได้ งั้นก็เผชิญหน้าด้วยกันก็แล้วกัน!”

ทั้งสองนอนอิงแอบบนเก้าอี้และพึมพำคุยกันทั้งคืน ไม่ได้ทำเรื่องสนุกระหว่างชายหญิง เหมียวอี้เองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม เมื่อได้กอดและได้ดมกลิ่นกายหอมที่คุ้นเคยของนาง ในใจเขาก็รู้สึกอิ่มเอม สงบ ผ่อนคลาย ไม่ต้องเสแสร้ง ไม่ต้องระวังตัว



1004

เกราะรบแบบใหม่

ทว่าเวลาผู้หญิงคนนี้อ่อนโยน นางก็อ่อนโยนดุจสายน้ำ แต่ถ้าปรี๊ดแตกขึ้นมาก็เอาจริงเหมือนกัน

เช้าตรู่วันต่อมา เหมียวอี้ที่นอนหลับอย่างสงบใจก็พลันพลิกตัวตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พลิกตกลงพื้นทั้งคนทั้งเก้าอี้

มารดาเจ้าเถอะ! ขนาดอยู่ที่นี่ยังกล้าลอบโจมตีอีกเหรอ? เหมียวอี้ที่ตอบสนองด้วยความตกใจพลันกระโดดลุก ถือทวนอยู่ในมือแล้ว แต่ปรากฏว่าเห็นอวิ๋นจือชิวกำลังหัวเราะเยาะอยู่ตรงหน้าตัวเอง

แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว ผู้หญิงคนนี้ประสาทเสียเตะเก้าอี้ล้ม เขาเก็บทวนแล้วขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าเป็นบ้าเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวก้าวเข้ามา ใช้นิ้วชี้จิ้มตรงหน้าอกเขา “ไม่เจอกันหนึ่งปี ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมาได้ ตอนที่โอบกอดกัน ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะอดใจไม่ทำอะไรข้าไหว นี่ไม่เหมือนเจ้าเลยนะ! หนิวเอ้อร์ มาตอบมาอย่างซื่อสัตย์นะ ไปแอบกินนอกบ้านมาแล้วใช่มั้ย?”

นี่มันหลักการอะไรกัน? เหมียวอี้ร่ำร้องในใจ หรือว่าตอนที่ข้าอยู่กับพวกเจ้า นอกจากทำเรื่องแบบนั้นแล้วจะหยุดพักบ้างไม่ได้ ถ้าไม่ทำก็ไม่ปกติแล้วเหรอ? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ให้ข้าทำแบบนั้นกับพวกเจ้าทีละคน ข้าจะทำไหวเหรอ?

แต่ความจริงคือโดนพูดแทงใจดำแล้ว กินปูนร้อนท้อง แต่กลับถลึงตาตอบอย่างไม่ยอมแพ้ “อยู่กับผู้หญิงบ้าอย่างเจ้า ไม่มีอะไรที่คุยกันด้วยเหตุผลได้เลย พอกลับมาข้าก็ไปตำหนักคุ้มเมือง แล้วก็กลับมาคุยกับพวกฝูงชิงอีก แล้วก็ไปร้านผลึกสกัดต่อ จะให้ไปแอบกินที่ไหนล่ะ?”

“งั้นข้าก็ไม่มีแรงดึงดูดต่อเจ้าแล้วน่ะสิ เจ้าไม่สนใจข้าแล้ว ไม่อยากทำอะไรข้า อยากจะเปลี่ยนคนที่สดใหม่กว่าใช่มั้ย?” อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้วถาม

“เจ้านี่ไม่รู้จักจบจักสิ้นจริงๆ ใช่มั้ย? ขี้เกียจเถียงกับเจ้าแล้ว!”เหมียวอี้สะบัดแขนเสื้อแล้วหันหลังเดินหนีไป พูดเยอะกลั้วจะเผยพิรุธ

“หยุดนะ! พูดให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยไป!” อวิ๋นจือชิวไล่ตามไปดึงไป แต่ช่วยไม่ได้ วรยุทธ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้สูสีกับนางแล้ว ถ้าอยากจะควบคุมกันง่ายๆ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว

ทั้งสองเถียงกันจนกระทั่งออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์ถึงได้หยุด ไม่อยากทะเลาะกันให้ข้างนอกเห็น

เถียงก็ส่วนเถียง ทะเลาะก็ส่วนทะเลาะ งานหลักที่ควรทำก็จะขาดไม่ได้ ทั้งสองไปที่ชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของเยารั่วเซียนด้วยกัน พอเข้ามาก็ได้ยินเสียงนอนกรนที่คุ้นเคยออกเฮยทั่น

พอเหมียวอี้เดินเข้ามาในศาลา ก็เตะเฮยทั่นสองที ระบายความไม่พอใจที่มีต่ออวิ๋นจือชิว “กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน ไม่เห็นมีการเปลี่ยนแปลงอะไรสักนิด เห็นแล้วรำคาญ”

อวิ๋นจือชิวเหล่ตาจ้อง “ตีวัวกระทบคราดเหรอ? รำคาญข้าก็บอกมาตรงๆ ไปหาคนที่ไม่รำคาญไป”

เยารั่วเซียนเดินออกมาจากห้องเพราะได้ยินเสียง แล้วคำนับอวิ๋นจือชิว “ฮูหยิน!”

ปล่อยเจ้าคนไร้มโนธรรมไปชั่วคราว อวิ๋นจือชิวถามว่า “เขาจะต้องออกไปทำงานข้างนอกแล้ว เจ้าหลอมสร้างของวิเศษให้เข้าเสร็จแล้วใช่มั้ย”

เยารั่วเซียนเอ่ยรับ แล้วดีดแหวนเก็บสมบัติออกมาวงหนึ่ง เหมียวอี้รับมาไว้ในมือ แล้วเรียกทวนออกมาด้ามหนึ่ง

ยังเป็นทวนเกล็ดย้อนเหมือนเดิม ตะขอคมสามแฉกอยู่ตรงหัวทวน มีเกล็ดย้อนหลายชั้น แต่ทั้งตัวทวนกลับเป็นสีทับทิมกึ่งโปร่งแสง

เมื่อทวนอยู่ในมือ เหมียวอี้ก็กระปรี้กระเปร่าทันที พอลองโบกมือไปเรื่อยเปื่อย  เสียงมังกรคำรามที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นสามครั้ง

เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยจริงๆ! เหมียวอี้ที่กำลังพิจารณาทวนในมือยิ้มแล้ว เขาคุ้นเคยกับการใช้อาวุธแบบนี้มากกว่า ที่สำคัญคือบนทวนด้ามนี้มีศิลปะเฉพาะตัวและกำลังสมองของเยารั่วเซียน ทวนที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างขึ้นมา เวลาใช้งานจะต้องมีอานุภาพเพิ่มแน่นอน ถ้าแทงโดนหนึ่งครั้งโดยไม่มีการจำกัดของพลังอิทธิฤทธิ์ ก็จะก่อให้เกิดระเบิดขึ้น

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ทวนที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างขึ้นมา เหมาะที่สุดที่จะใช้สู้กับคนที่มีวรยุทธ์สูงกว่าเขา ตอนที่ประมือกับศัตรู โครงสร้างเกล็ดย้อนหลายชั้นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมัน คือสื่อนำที่ทำให้พลังโจมตีของศัตรูอ่อนลง แต่ละชั้นช่วยสลายพลัง จากหัวทวนถึงหางทวน คาดว่าสามารถคลายพลังลงได้ครึ่งหนึ่ง เพียงแต่ตอนที่ใช้งานมัน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะจับหางทวนรับมือการต่อสู้อยู่ลอด แต่ภายใต้สถานการณ์ปกติ มันสามารถคลายพลังโจมตีได้สองส่วนอย่างไม่มีปัญหา

เมื่อก่อนเขาเคยสู้กับคนที่วรยุทธ์เหนือกว่าตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดก็อยู่บนนี้นี่เอง

หลังจากใส่ต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองแล้ว เหมียวอี้ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จึงถามอย่างแปลกใจว่า “ตาแก่เยา ข้างในเหมือนจะแตกต่างจากอันเดิมนะ!”

สองมือของเยารั่วเซียนประสานอยู่ในแขนเสื้อที่ใหญ่หลวมง มือกุมอยู่ตรงหน้าท้อง พร้อมกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “หัวมังกรตรงแกนหางอ้าปากได้ ข้างในสร้างช่องว่างไว้ห้าชั้น สามารถแบ่งใส่ของได้ห้าอย่าง ไม่ใช่แค่สามารถใส่ผลึกบรมอัคคีนะ แต่สามารถใส่ยอดผลึกห้าธาตุ น้ำไฟทองไม้ดินเข้าไปได้ด้วย สามารถกระตุ้นเพิ่มประสิทธิภาพของของห้าอย่างนี้ และแน่นอน ถ้าเจ้ามีของที่ดีกว่านี้ จะไม่ใส่ยอดผลึกห้าธาตุเข้าไปก็ได้ เจ้าเลือกใส่ได้ตามใจชอบเลย”

เหมียวอี้เดาะลิ้นทันที สงสัยทวนเกล็ดย้อนนี้จะเพิ่มประสิทธิภาพแล้วด้วย

เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูสภาพภายในและเรียนรู้วิธีการใช้แล้ว เขาก็ใส่น้ำไฟทองไม้ดินซึ่งเป็นยอดผลึกห้าธาตุเข้าไปในทวนพร้อมกันเลย

จากนั้นพอเขย่าทวนในมือหนึ่งครั้ง ในกล็ดย้อนหลายชั้นก็มีเปลวเพลิงร้อนแรงพรั่งพรูออกมา ครอบทั้งตัวเขาเอาไว้ในเปลวเพลิง

พอเปลวเพลิงหายไป ในเกล็ดย้อนหลายชั้นก็มีหมอกที่เย็นเยียบกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมา เป็นหมอกสีดำที่เย็นยะเยือก พอเหมียวอี้โบกทวนชี้ หมอกสีดำก็พ่นออกมาราวกับต้นเสา ต้นไม้ใหญ่ในลานบ้านโดนน้ำค้างขาวเกาะเต็มกิ่งทันที

เยารั่วเซียนกลอกตามองบน ต้นไม้นี้ตายแน่แล้ว เขาอยากจะด่าเหมียวอี้สักสองประโยค แต่พอเห็นอวิ๋นจือชิวหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ เขาก็ต้องกลืนคำหยาบในปากลงไป

พอหมอกสีดำหายไป เหมียวอี้ก็เขย่าทวนชี้อีก ไอสีเขียวสายหนึ่งพ่นออกมา กรอกใส่เข้าไปในต้นไม้ใหญ่ที่โดนแช่แข็งอย่างไม่ขาดสาย น้ำแข็งที่เกาะต้นไม้แตกร่วงลงทันที งอกกิ่งก้านใหม่ออกมาและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วจนสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า

จากนั้นก็เห็นเหมียวอี้โบกทวนชี้ดินชี้ฟ้า ทำให้หมอกสีขาวกับหมอกสีเหลืองปลิวว่อนอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์

“อีกประเดี๋ยวเจ้าช่วยเก็บกวาดให้ข้าให้สะอาดด้วยนะ!” ในที่สุดเยารั่วเซียนก็อดไม่ได้ที่จะคำรามออกมา

“ท่านอย่ากังวลไป อีกประเดี๋ยวข้าจะจัดคนมาทำความสะอาดให้ท่าน” อวิ๋นจือชิวพูดปลอบใจคำเดียว เยารั่วเซียนยังคับแค้นใจ แต่ก็ยังต้องหุบปาก

“เป็นทวนที่ดี!” เหมียวอี้ลูบทวนพลางกล่าวชม แต่ไม่นานก็ทำสีหน้าเสียดายอีก

หลังจากอวิ๋นจือชิวสังเกตเห็น ก็ถามว่า “เป็นอะไรไป? มีปัญหาเหรอ?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “แค่รู้สึกเสียดายนิดหน่อย ในบรรดายอดผลึกห้าธาตุ ข้าสำแดงอานุภาพของผลึกบรมอัคคีได้อย่างเดียว น้ำทองไม้ดินไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับข้า แต่มีความคมของทวนวิเศษผลึกแดงบริสุทธ์ขั้นห้าคอยช่วย ก็เหมือนเสือติดปีกจริงๆ ข้าอยากจะเห็นนัก ว่านักพรตที่ระดับต่ำกว่าบงกชรุ้งคนไหนจะต้านทานข้าได้บ้าง!”

“พูดโอ้อวดอย่างไม่อาย!” เยารั่วเซียนพูดเหน็บแนม

แต่อวิ๋นจือชิวกลับได้ยินแล้วดีใจ เพราะมันแฝงความหมายว่าผู้ชายของนางมีหลักประกันในการปกป้องชีวิตเพิ่มขึ้นสำหรับการไปครั้งนี้ นางย่อมดีใจอยู่แล้ว จึงรีบบอกว่า “หนิวเอ้อร์ ลองเกราะรบชุดใหม่ที่เขาหลอมสร้างให้สิว่าพอดีตัวมั้ย!”

พอเหมียวอี้พลิกฝ่ามือ เกราะรบชุดหนึ่งก็มาวางอยู่บนฝ่ามือ หลังจากกรอกต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองเข้าไป ก็รู้สึกได้ว่าเกราะรบชุดนี้ต่างกับเกราะรบที่ตัวเองเคยใส่ หลังจากถามว่าควบคุมมันอย่างไร เขาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ ทำให้เกราะรบพันรอบฝ่ามือและคดเคี้ยวยาวเหยียดขึ้นมา ไม่นานก็แผ่คลุมทั่วทั้งตัวเขาครบทั้งชุด

หัวมังกรอยู่บนเกราะหัวจนถึงบ่า เสือนั่งอยู่บนบ่าสองข้าง งูเหลือมดุร้ายพันรอบเอว เรียกได้ว่ามังกรหมอบเสือนั่งจริงๆ ข้างล่างมีสรรพสัตว์หมอบกราบ เป็นเกราะเกล็ดตั้งแต่บนลงล่าง หนาแน่นหลายชั้น ประณีตงดงามงามน่าประทับใจ ทั้งยังดูมีพลังอำนาจ มองเห็นเงาฝืมือของตงกัวหลี่แห่งสำนักงามประณีรางๆ สวยงาม!

เดิมทีเหมียวอี้ก็มีสง่าราศีองอาจห้าวหาญอยู่แล้ว เมื่อประกอบกับทวนที่ถืออยู่ในมือ ก็ทำให้อวิ๋นจือชิวมองจนตาเป็นประกายจริงๆ หันไปชมเยารั่วเซียนว่า “ฝีมือของท่านช่างประณีตยิ่งกว่าเนรมิต!”

เยารั่วเซียนกุมหมัดขอบคุณทันที แต่ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะขมวดคิ้วอีก “แต่ทำเกราะรบสวยงามขนาดนี้ จะสะดุดตาเกินไปหรือเปล่า? ถ้ากลายเป็นจุดสนใจเวลาต่อสู้เข่นฆ่ากัน เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร”

เยารั่วเซียนพลันสีหน้าเปลี่ยน อวิ๋นจือชิวรีบเปลี่ยนคำพูดทันทีที่สังเกตเห็น “แน่นอน ตราบใดที่ใช้งานจริงได้ก็พอแล้ว เดี๋ยวรบกวนให้ท่านหลอมสร้างให้ข้าสักชุดนะ ต้องสวยกว่าของหนิวเอ้อร์นะ!”

เยารั่วเซียนร่าเริงทันที พยักหน้าตอบซ้ำๆ “แน่นอนขอรับ ของฮูหยินย่อมต้องสวยกว่าของเขาอยู่แล้ว”

“ขนสั้นๆ นี่หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้เอ่ยถามขณะเอามือลูบเกราะรบบนร่างกาย เขาพบว่าส่วนหางของเกล็ดทุกแผ่นล้วนแซมหนวดสั้นๆ ไว้ ราวกับมีขนงอกออกมาทั้งตัว

อวิ๋นจือชิวก็ทำสีหน้าไม่เข้าใจเช่นกัน เยารั่วเซียนจึงยื่นมือเชิญทันที “ฮูหยินเชิญทดลองฟาดเขาสักฉาดขอรับ!”

“อ๋อ!” อวิ๋นจือชิวนึกสนุกทันที อีกฝ่ายพูดแบบนี้แล้ว แสดงว่าต้องมีจุดประสงค์แน่ นางจึงเดินมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วเดินวนอ้อมเหมียวอี้

ก่อนหน้านี้เพิ่งจะทะเลาะกันมา เหมียวอี้กลัวว่านางจะฉวญโอกาส จึงรีบเตือนทันที “เบาๆ นะ!”

แกร๊ง! อวิ๋นจือชิวพลันร่ายอิทธิฤทธิ์ฟาดไปหนึ่งฝ่ามือ ฟาดไปที่แผ่นหลังเหมียวอี้

เหมียวอี้ถอยหลังหนึ่งก้าว แต่สองสามีภรรยาก็สังเกตเห็นความผิดปกติทันที พอฟาดฝ่ามือที่แผ่นหลังของเหมียวอี้ เกราะเกล็ดบนตัวเหมียวอี้ก็เหมือนกับขยับลอยลงตามแรง ไม่น่าเชื่อว่าเกล็ดทุกแผ่นจะเคลื่อนไหว ส่วนคนสวมเกราะก็รู้สึกได้อย่างลึกซึ้งถึงการเปลี่ยนแปลงของแรงที่เกราะรบได้รับ พบว่าหลังจากเกราะรบโดนโจมตี เกราะเกล็ดจะขยับแรงขึ้นเป็นพิเศษที่ส่วนหางเกล็ด เหมียวอี้รู้สึกว่าได้ว่าลูกเล่นพวกนี้กำลังช่วยคลายพลังโจมตีของฝ่ายตรงข้าม

“เกราะรบนี้ช่วยลดพลังโจมตีที่ได้ฝ่ายตรงข้ามใช้เหรอ?” เหมียวอี้ประหลาดใจ

เยารั่วเซียนพยักหน้า “เป็นความคิดที่บังเอิญเกิดขึ้นหลอมสร้างทวนเกล็ดย้อน ก็เลยทดลองนำมาใช้ประโยชน์บนเกราะรบ เพียงแต่เวลาสวมเกราะรบไว้บนร่างกาย ก็สู้มีอาวุธอยู่ในมือไม่ได้ เมื่อโดนโจมตีขึ้นมา ร่างกายคนก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะรับแรงโดยตรง ดังนั้นภายใต้การทดลองหลายครั้ง วิธีการสลายพลังของเกล็ดย้อนบนทวนเกล็ดย้อนจึงถูกแก้ไขเป็นการกระจายพลังตามเกล็ด ตอนโดนโจมตีพลังจะได้ไม่มารวมกันเยอะเกินไป ส่วนหนวดสั้นที่เพิ่มไว้บนหางของเกล็ด ก็เพื่อช่วยให้เกล็ดทุกแผ่นกระจายพลังได้รวดเร็ว พอเป็นแบบนี้ เวลาเกราะรบชุดนี้โดนโจมตี ก็น่าจะช่วยลดพลังที่โจมตีเข้ามาโดยตรงให้เจ้าได้สองส่วน ขณะเดียวกันก็สามารถร่ายอิทธิฤทธิ์ให้เกล็ดบนเกราะตั้งขึ้น เวลาที่จำเป็นขึ้นมา เกล็ดบนเกราะทุกแผ่นก็จะกลายเป็นคมมีดได้ และหนวดสั้นบนเกล็ดก็จะกลายเป็นหนามแหลม ทำให้เจ้าติดอาวุธได้เหมือนเม่น!”

“สามารถลดพลังโจมตีได้สองส่วน!” เหมียวอี้ได้ยินแล้วดีใจมาก ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะเป็นเม่นหรือไม่เป็นเม่น แค่ลดพลังโจมตีลงสองส่วนก็ดูถูกไม่ได้แล้ว ยามหน้าสิ่วหน้าขวานอาจจะช่วยชีวิตเขาก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นพลังโจมตีสิบส่วนที่ทำให้ถึงตาย แต่ถ้าลดลงสองส่วน ก็แปลว่ายังรักษาชีวิตไว้ได้บ้าง เมื่อความสามารถในการต้านทานแข็งแกร่งแบบนี้ ก็หมายความว่าเขาจะสามารถแสดงศักยภาพตัวเองได้มากขึ้น เขาพยักหน้าซ้ำๆ ทันที “ของดี ของเด็ด!”

อวิ๋นจือชิวได้ยินแล้วก็ดีใจเช่นกัน ย่อมเข้าใจว่าการลดพลังโจมตีได้สองส่วนหมายความว่าอย่างไร

เยารั่วเซียนบอกอีกว่า “ปากเสือที่อยู่บนบ่าซ้ายขวาก็ขยับได้เช่นกัน ข้าเพิ่มประสิทธิภาพแบบใหม่ของทวนเกล็ดย้อนเข้าไปในนี้ด้วย ข้างในใส่ยอดผลึกห้าธาตุได้ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะได้ใช้งานมัน”

เหมียวอี้ได้ยินแล้วหัวเราะเสียงดัง เล่นทวนที่อยู่ในมือ ลูบเกราะรบที่อยู่บนตัว พร้อมชมว่า “ตาแก่เยา ทุ่มกำลังความคิดไปเยอะเลยนะ!”

เยารั่วเซียนทำเสียงฮึดฮัด “เพื่อของวิเศษชุดนี้ของเจ้า ต้องใช้ยาเจี๋ยตันขั้นห้าไปสิบกว่าเม็ด สิ้นเปลืองสติปัญญาและกำลังของข้าไปหลายปี ถ้าเจ้าตั้งใจจะขอบคุณข้าจริงๆ ที่พิภพใหญ่ก็มีของประหลาดมหัศจรรย์ไม่น้อย หามาให้ข้าทดสอบความเร้นลับหลายๆ ชิ้นหน่อย”

“ท่านช่างมีฝีมือ!” ไม่รอให้เหมียวอี้เอ่ยปาก อวิ๋นจือชิวกุมหมัดขอบคุณอย่างถ่อมตนมีมารยาทแล้ว และกล่าวรับประกันด้วยว่า “ท่านไม่ต้องห่วง ตราบใดที่เป็นของวิเศษที่พิภพใหญ่มี ตราบใดที่พวกเราสองสามีภรรยาซื้อไหว หรือนำมาครอบครองได้ ขอเพียงท่านต้องการ อวิ๋นจือชิวจะหามาให้ท่านศึกษาค้นคว้าแน่นอน”



1005

คนดวงซวย

รู้จักกันมาหลายปีขนาดนี้ นางเองก็รู้ว่าเยารั่วเซียนไม่มีงานอดิเรกอย่างอื่น ชอบแค่ขายของกับศึกษาค้นคว้าพวกของวิเศษ และนางก็รู้ด้วยว่าสำหรับคนที่หลอมของวิเศษอย่างพวกเขา สิ่งนี้มีประโยชน์ต่อการเพิ่มพูนความรู้ ขอเพียงเป็นสิ่งที่เพิ่มฝีมือการหลอมของวิเศษให้เยารั่วเซียนได้ นางก็ยินดีทุ่มทุนอยู่แล้ว

เยารั่วเซียนได้ยินแล้วรู้สึกเกรงใจนิดหน่อย จึงโค้งกายกุมหมัดคารวะ “ทำให้ฮูหยินคิดหนักแล้ว!”

“เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จะเกรงใจทำไม” อวิ๋นจือชิวกล่าวกลั้วหัวเราะ แล้วพูดเสริมอีกว่า “ท่านต้องใส่ใจเรื่องเพิ่มวรยุทธ์ตัวเองให้มากๆ นะ ท่านเป็นพ่อบุญธรรมของเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ข้ามองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เป็นเหมือนพี่น้องแท้ๆ มาตลอด ดังนั้นหากท่านต้องการยาแก่นเซียน ก็เอ่ยปากบอกตรงๆ ได้เลย ข้าจะจัดหาให้อย่างเพียงพอแน่นอน ต่อให้คนอื่นจะขาดทรัพยากรฝึกตน แต่ท่านไม่ขาดแน่นอน ท่านสามารถฝึกตนได้อย่างสงบใจ อย่ามองเห็นตัวเองเป็นคนนอกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะทำให้อวิ๋นจือชิวไม่สงบใจ”

เยารั่วเซียนตอบอย่างเกรงใจทันที “สิ่งที่ฮูหยินกำชับ ตาแก่คนนี้จะจดจำเอาไว้”

เหมียวอี้ที่เหล่ตามองอยู่ข้างๆ ทั้งโมโหทั้งอยากขำ เขามอบผลประโยชน์ให้ตาแก่คนนี้ไปไม่รู้ตั้งเท่าไร ตาแก่คนนี้ก็ปีนเกลียวกับเขามาตลอด แต่ตอนอยู่ต่อหน้าอวิ๋นจือชิวกลับถ่อมตัวมีมารยาท

ตอนที่จะออกไป เหมียวอี้ก็ได้อาศัยบารมีของอวิ๋นจือชิวอีก เยารั่วเซียนมาส่งที่ประตูอย่างเคารพนบนอบ ทำให้เขาพูดไม่ออกมาก

“ข้าว่าตาแก่เยาคงตกหลุมรักเจ้าแล้วมั้ง?” หลังจากออกมาแล้ว เหมียวอี้ก็บ่นให้นางฟัง

เมื่อพูดแบบนี้ออกมา เหมียวอี้ก็รู้ตัวทันทีว่าพูดผิดไป พอเห็นอวิ๋นจือชิวหยุดฝีเท้าแล้วทำสายตาเหมือนมีดคม เขาก็ตกใจจนขนที่หลังลุกชัน

แต่เรื่องที่จินตนาการไว้ไม่ได้เกิดขึ้น จู่ๆ บนใบหน้าอวิ๋นจือชิวก็ปรากฏรอยยิ้มอ่อนหวานน่ารัก นางกระดกนิ้วเรียกเขาพร้อมบอกว่า “มานี่สิ! ข้าจะบอกความลับให้เจ้าฟัง”

“ความลับอะไร?” เหมียวอี้เข้าไปใกล้ พร้อมด่าในใจว่า ข้าคงไม่ได้พูดถูกจริงๆ หรอกใช่มั้ย?

แต่ใครจะไปคาดคิด อวิ๋นจือชิวดึงหูเขาไว้ทันที นางเองก็รู้ตัวว่าตอบสนองได้ไม่เร็วเท่าเขา ตอนนี้วรยุทธ์ห่างกันไม่มากแล้ว ถ้าตรงไปตรงมาเกินไปก็จะทำให้เขาหนีไปได้ง่ายๆ หลังจากบีบหูและควบคุมเขาได้แล้ว นางถึงได้เริ่มแปรพักตร์อย่างจริงจัง ใช้หมัดชกที่หน้าเหมียวอี้ทีหนึ่ง ตามติดด้วยการโจมตีจากหมัดและเท้าอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างนั้นก็ด่าไปด้วยว่า “ไอ้เวรนี่! บังอาจมาใส่ร้ายในความบริสุทธิ์ของข้า…”

เรื่องนี้นางต้องแยกแยะให้ชัดเจน เพราะข้างกายมีผู้ชายทำงานรับใช้นางมากมาย วันๆ ต้องอยู่กับผู้ชายเป็นโขยง ถ้าไม่ทำเรื่องนี้ให้ชัดเจน ต่อให้กระโดดลงแม่น้ำก็ชำระล้างชื่อเสียงให้สะอาดเหมือนเดิมไม่ได้ ถ้าระหว่างสามีภรรยามีปมในใจแบบนี้ต่อกัน ก็ไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้แล้ว โดยเฉพาะในสังคมที่มีค่านิยมแบบนี้ ผู้หญิงไม่สามารถไปเทียบกับผู้ชายได้ นางรับไม่ไหวจริงๆ ถ้าไม่ตีเจ้าเวรนี่จนได้สติ นางก็จะไม่ยอมหยุด!

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์วิ่งเข้ามา แต่ห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่ไหว จึงได้เห็นฮูหยินปรี๊ดแตกซ้อมนายท่านอย่างบ้าระห่ำอีกแล้ว เนื่องจากตอนนี้วรยุทธ์ใกล้เคียงกัน ฮูหยินจึงเริ่มใช้ปากกัด ขาดก็แค่เอามีดมาแทง เรียกได้ว่าดุดันไร้เหตุผล ทั้งสองเห็นแล้วใจหายใจคว่ำ เบิกตากว้างอ้าปากค้าง!

เหมียวอี้ที่หนีหัวซุกหัวซุนกระโดดลงทางใต้ดินพร้อมกับใบหน้าฟกช้ำเขียวปูด ขณะที่เดินอยู่ในทางใต้ดินก็รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ลดอาการบวม ไม่อย่างนั้นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกผู้สง่าผ่าเผยคงไม่มีทางออกไปเจอหน้าใครได้

เมื่อเจอหน้ากันในเวลานี้ เขารู้สึกทันทีว่าอวิ๋นจือชิวหน้าตาอัปลักษณ์ จึงเลี้ยววิ่งไปหาสองพี่น้องโอวหยางเพื่อเสพความอ่อนโยนอันไร้ที่สิ้นสุดของพวกนาง ไปตามหาศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย!

ในที่สุดเวลาออกเดินทางก็มาถึงแล้ว เขาฝากฝังงานของเขตเมืองตะวันออกให้ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋อีกครั้ง

“เจ้าห้า รักษาตัวด้วยนะ!” ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋สั่งย้ำ พวกเขาเป็นกังวลที่สุด เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว ตอนนี้จะเกิดเรื่องอะไรกับเหมียวอี้ไม่ได้ทั้งนั้น

เป่าเหลียนตามทั้งสองคนมาส่งอย่างเงียบๆ ตามมาส่งจนถึงตำหนักคุ้มเมืองแล้วถึงได้กลับไป

หลังจากเจอสวีถังหรานและผู้บัญชาการอีกสองคนที่ตำหนักคุ้มเมือง ก็เห็นทั้งสามมีท่าทางมั่นอกมั่นใจไร้กังวลเพราะโค่วเหวินหลานมอบของวิเศษให้ ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกเลยสักนิด เหมียวอี้แอบทอดถอนใจ ครั้งก่อนที่ไปจับเฮยหวังก็ตายกันเกือบหมด ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะเหลือรอดกลับมากี่คน

พอโค่วเหวินหลานโผล่หน้ามา ก็ถามประมาณว่า ‘เตรียมตัวดีแล้วหรือยัง’ จากนั้นก็กล่าวให้กำลังใจ แต่ไม่ได้เปิดเผยความจริงเบื้องลึกเลยสักนิด เขาพาทั้งสี่ออกจากตลาดสวรรค์ ฝ่าชั้นบรรยากาศออกไปและเหาะอยู่ในดาราจักรโดยตรง

เขตน่านฟ้าชวดอี่ จวนหัวหน้าภาค!

เหมียวอี้มาที่นี่เป็นครั้งแรก เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ไม่ขนาดไม่ใหญ่โต มีมนุษย์ธรรมดาเยอะมาก จวนหัวหน้าภาคสร้างอยู่บนภูเขาหิมะ แต่ที่แปลกก็คือตรงไหล่เขามีวัดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งด้วย ตอนที่เหยียบลงบนภูเขา จะสามารถมองเห็นมนุษย์ธรรมดาต่อแถวยาวเหยียดเพื่อไปจุดธูปในวัด

บนยอดเขาหิมะไม่ได้หนาวเหน็บเหมือนอย่างที่เห็นจากข้างล่าง ไม่รู้ว่าใช้ค่ายกลอะไร ที่จริงในหุบเขาบนยอดเขาหิมะมีสภาพเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ทุกที่มีดอกท้อเบ่งบานอวดโฉมแข่งกัน ว่ากันว่าฮูหยินของหัวหน้าภาคเฉาว่านเสียงโปรดปรานดอกท้อ จึงปลูกต้นท้อไว้ทั่วบริเวณนี้

หลังจากพาทั้งสี่มาถึงเรือนพักแยกของที่นี่ โค่วเหวินหลานก็ไปเยี่ยมคารวะหัวหน้าภาคแล้ว

ในเรือนพักแยกมีคนคนหนึ่งมาถึงก่อนแล้ว เป็นชายรูปร่างกำยำล่ำสัน ชื่อว่าเจิ้งหรูหลง เป็นผู้บัญชาการเหมือนกัน ถึงแม้ตำแหน่งของเขาจะไม่ได้รับทรัพย์เยอะเท่าพวกเหมียวอี้ แต่กลับได้ควบคุมดาวเคราะห์หนึ่งดวงอย่างเป็นทางการ วรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นเจ็ดแล้ว

หลังจากทักทายทำความรู้จักกัน เหมียวอี้ก็พึมพำในใจว่า ท่านนี้ช่างเป็นคนโชคร้าย เพราะถูกเลือกมาเป็นตัวประกอบแบบจริงจัง เป็นประเภทคนดวงซวย ในใต้หล้ามีผู้บัญชาการตั้งมากมาย แต่เจิ้งหรูหลงคนนี้กลับโดนสุ่มเลือกเสียได้ ถ้าไม่เรียกว่าดวงซวยแล้วจะเรียกว่าอะไร?

ตอนที่โค่วเหวินหลานกลับมาอีกครั้ง การที่เขาพาคนมาส่งก็นับว่ารายงานผลงานได้แล้ว ตรงนี้หมดธุระของเขา จึงเตรียมจะเดินทางกลับ ก่อนจะกลับเขาสั่งทั้งสี่ไว้ว่า “การเดินทางที่เหลือข้าไม่สะดวกจะไปด้วย พรุ่งนี้หัวหน้าภาคจะพาพวกเจ้าส่งไปยังจุดรวมตัว ไปครั้งนี้ไม่ต้องกังวล ข้าเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ปูทางให้พวกเจ้าไว้อย่างดีแล้ว ถึงตอนนั้นย่อมมีคนดูแลพวกเจ้า”

“ผู้บัญชาการใหญ่เดินทางปลอดภัย!” พวกเหมียวอี้กุมหมัดน้อมส่ง

โค่วเหวินหลานพยักหน้าแล้วเดินทางจากไป

อยู่ในเรือนพักแยกแล้วรู้สึกเบื่อหน่าย เดิมทีเหมียวอี้คิดจะเดินเล่นสักหน่อย แต่กลับโดนทหารยามข้างนอกขวางไว้ ไม่ให้เขาเดินเพ่นพ่าน จึงทำได้เพียงกลับมา

ทว่าพอกลับมาได้ไม่นาน ใครจะคิดว่าหยางไท่จะออกจากเรือนพักแยกแล้ว ไม่ได้โดนทหารยามขัดขวางด้วย

ตอนพลบค่ำ หยางไท่ยังไม่ทันกลับมา ก็มีทหารยามนำอาหารมาส่งให้พวกเขา ตอนที่วางอาหารให้ ทหารคนนั้นกระแอมไออย่างจงใจ

เมื่อผ่านไปครู่เดียว มู่หรงซิงหัวก็ออกไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน

เหมียวอี้กับสวีถังหรานนั่งดื่มสุราอยู่ตรงข้ามกัน ทั้งสองสบตาแล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน สวีถังหรานถอนหายใจแล้วบอกว่า “ขนาดเจ้ากับข้ายังออกไปไม่ได้เลย สงสัยข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง!”

เหมียวอี้รู้ว่าเขากำลังพูดถึงข่าวลืออะไร ว่ากันว่ามู่หรงซิงหัวก็คือหญิงชู้ของหัวหน้าภาคเฉา ส่วนหยางไท่ก็คือลูกบุญธรรมของฮูหยินหัวหน้าภาคเฉา เมื่อก่อนอย่างมากก็คิดว่าเป็นแค่ข่าวลือ แต่พอได้เห็นเหตุการณ์ของวันนี้ ก็คิดว่าเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่องจริง

“ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา ดื่มสุราเถอะ!” เหมียวอี้ยกจอกสุรา

สวีถังหรานถลึงตา “จะไม่เกี่ยวกับพวกเราได้ยังไง อาศัยให้ผู้บัญชาการใหญ่หนุนหลัง พวกเราคงอยู่ที่ตลาดสวรรค์เล็กๆ นี่ได้ไม่นานแน่ มิหนำซ้ำเดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของตระกูลโค่วอยู่แล้ว ที่จริงเซี่ยโห้วหลงเฉิงไล่ตามหวงฝู่จวินโหรวมา ส่วนผู้บัญชาการใหญ่ก็ตามหลังเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาอีกที ถึงได้มาที่ดาวเทียนหยวนได้ ดังนั้นไม่ช้าก็เร็วที่ผู้บัญชาการใหญ่จะย้ายออกไป ถึงตอนนั้นต่อให้ผู้บัญชาการใหญ่จะมีเจตนาดูแล แต่ก็สู้คนที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงไม่ได้! หญิงชายที่อาศัยการเล่นพรรคเล่นพวก จะต้องเหยียบหัวเจ้ากับข้าแน่นอน”

เหมียวอี้ที่ยกจอกสุราจ่อปากเหล่ตามองเขา “ตอนนี้เจ้ากังวลเรื่องนี้เร็วไปหน่อยรึเปล่า?”

สวีถังหรานกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าหมายความว่า วันหลังถ้ามีโอกาส เจ้ากับข้าควรจะพูดกรอกหูผู้บัญชาการใหญ่มากๆ หน่อย ให้ผู้บัญชาการใหญ่พาพวกเราสองคนไปด้วยตอนที่ย้าย คนเดียวเอ่ยปากไม่มีน้ำหนักหรอก ดังนั้นน้องชายอย่าลืมนะ”

เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะพูดกับเขาอย่างไรดี ถ้าเจ้าบ้านี่รู้ว่าผู้เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้มีภูมิหลังเป็นอย่างไร เกรงว่าคงไม่มีกะจิตกะใจมากังวลเรื่องนี้แล้ว

จากนั้น หยางไท่ก็กลับมาตอนเที่ยงคืน ตอนที่กลับมาสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่กลับเข้าห้องอื่นไปเชิญเหมียวอี้ สวีถังหรานและเจิ้งหรูหลงให้ออกมาด้วยกัน เชิญให้ทั้งสามนั่งลง แล้วรินน้ำชาให้ด้วยตัวเอง

“ทำไมผู้บัญชาการหยางเกรงใจขนาดนี้?” สวีถังหรานถาม

หยางไท่นั่งลงแล้วถอนหายใจ “ทุกคน การทดสอบครั้งนี้เกรงว่าจะท่าไม่ดีแล้ว”

“ท่าไม่ดียังไง อย่างมากก็แค่ทดสอบไม่ผ่าน” เจิ้งหรูหลงกล่าวเสียงเรียบ

หยางไท่ตอบว่า “ถ้ามีแค่นี้จริงๆ ข้าก็คงไม่พูดอะไรเหมือนกัน สอบไม่ผ่านเป็นเรื่องเล็ก ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นก็คือ ครั้งนี้พวกเราอาจจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ ข้าไปสืบข่าวมาแล้ว สถานการณ์ไม่ดีเลย!”

“หมายความว่าอย่างไร?” สวีถังหรานงุนงง

จะหมายความว่าอย่างไรล่ะ เหมียวอี้รู้ดีอยู่แก่ใจ หลังจากหยางไท่เล่าสถานการณ์ให้ฟัง สวีถังหรานกับเจิ้งหรูหลงก็หน้าเขียวแล้ว ตอนนี้เจิ้งหรูหลงถึงได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนดวงซวย

หยางไท่ถอนหายใจ “ทุกคน ดังนั้นครั้งนี้พวกเราต้องร่วมใจสามัคคีกันไว้นะ!”

“ทุกคนวรยุทธ์เท่าไรกันบ้าง?” เจิ้งหรูหลงถามทันที

พอพวกหยางไท่เผยวรยุทธ์ออกมา เจิ้งหรูหลงถึงได้รู้ว่าตัวเองวรยุทธ์สูงสุด เขาเหล่ตามองเหมียวอี้ แล้วถามอย่างดูถูกว่า “สามัคคีบ้าอะไรล่ะ วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งจะมาประสมโรงด้วยทำไม ข้าว่าไม่ใช่การสามัคคีหรอก เป็นตัวถ่วงมากกว่าล่ะมั้ง?”

“เจ้าว่าใครเป็นตัวถ่วง?” เหมียวอี้ถามพร้อมมองเหยียด

“ใครที่ระดับไม่ถึง ก็คนนั้นนั่นแหละที่เป็นตัวถ่วง!” เจิ้งหรูหลงตบโต๊ะ

เมื่อเห็นทั้งสองกำลังจะตีกัน หยางไท่กับสวีถังหรานก็ห้ามไว้ทันที หยางไท่ดึงเจิ้งหรูหลงพร้อมบอกว่า “พี่เจิ้ง อย่าไปดูถูกน้องหนิวเชียวนะ ผู้บัญชาการใหญ่ให้ของวิเศษพวกเรามา ถ้าต้องสู้กันจริงๆ ท่านอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของน้องหนิวก็ได้”

หลังจากเกลี้ยกล่อมได้แล้ว ทั้งสองที่เบ่งใส่กันก็ต่างฝ่ายต่างเหล่ตามอง หยิ่งยโสใส่กัน แต่ผ่านไปไม่นานเจิ้งหรูหลงก็ดึงหยางไท่กับสวีถังหรานออกไปคุยเป็นการส่วนตัว ตอนที่กลับเข้ามาอีกครั้ง เจิ้งหรูหลงก็ยิ้มสู้ ยกจอกสุราดื่มขอโทษ

ท่าทีเปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้ เหมียวอี้ไม่รู้ว่าลับหลังทั้งสามคุยอะไรกัน แต่ในการเดินทางครั้งนี้ เดิมทีเหมียวอี้ก็คิดจะสามัคคีกับคนให้มากๆ อยู่แล้ว จึงไม่ได้ถือสาอะไรอีก ปล่อยผ่านเรื่องไม่น่าพอใจก่อนหน้านี้ไป อย่างน้อยภายนอกก็ไม่พูดจาอ้อมค้อมอีก

มู่หรงซิงหัวกลับมาตอนฟ้าใกล้จะสว่าง ตอนกลับมาแก้มยังแดงไม่หาย ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่กลับมาค้างที่บ้าน ขอแค่เป็นคนที่ตามองเห็นชัด แค่เห็นสีหน้าของนางก็รู้แล้วว่าไปทำอะไรมา เมื่อเห็นทั้งสี่กำลังรอนางอยู่ มู่หรงซิงหัวก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกจริงๆ กระอักกระอ่วนมาก

ทั้งสี่ย่อมรอนางเพื่อจะเล่าสถานการณ์ให้ฟัง หวังจะให้ทุกคนสามัคคีกัน มู่หรงซิงหัวตอบตกลงด้วยความยินดี

หลังจากฟ้าสว่าง เดิมทีทั้งสี่ก็รอให้หัวหน้าภาคเฉาเรียกพบ แต่รอจนตะวันขึ้นสูงก็ยังไม่เห็นมีใครมาเรียก สุดท้ายเฉาว่านเสียงก็เป็นฝ่ายมาหาเอง ทั้งยังมาคนเดียวด้วย แม้แต่ผู้ติดตามก็ไม่มีมาสักคน


1006

คนคิดบัญชีมาแล้ว

ชายอ้วนหน้าขาวร่างเตี้ยที่สวมชุดผ้าแพรเดินบุกเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ เหมียวอี้ สวีถังหรานกับเจิ้งหรูหลงไม่เคยเห็นว่าหัวหน้าภาคหน้าตาเป็นอย่างไร ปกติไม่มีโอกาสได้พบกัน เป็นมู่หรงซิงหัวกับหยางไท่ที่คำนับก่อน จากนั้นพวกเหมียวอี้ถึงได้รีบคำนับตาม “คำนับหัวหน้าภาค!”

“อืม! ไม่ต้องมากพิธี!” เฉาว่านเสียงโบกมือ ถึงแม้จะเป็นหัวหน้าภาคผู้สง่าผ่าเผย ทั้งยังเป็นนักพรตระดับบงกชรุ้ง แต่ดูแล้วเป็นคนง่ายๆ สบายๆ เขาเดินผ่านกลุ่มคนไปนั่งตรงตำแหน่งหลัก จากนั้นกวาดสายตามองพวกเขาแวบหนึ่ง

สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงอ้าปากค้างก็คือ เขากลับหรี่ตายิ้มพลางกวักมือเรียกมู่หรงซิงหัว แล้วตบที่ต้นขาตัวเอง “ซิงหัว มานั่งนี่!”

มู่หรงซิงหัวเหมือนจะคาดไม่ถึงว่าเขาจะทำแบบนี้ ขณะที่กำลังอึ้ง ใบหน้าก็แดงก่ำในชั่วพริบตาเดียว ทว่าก็ยังก้าวเข้าไปช้าๆ ภายใต้ความอับอาย สุดท้ายเฉาว่านเสียงก็ยื่นมือออกมา ดึงให้นางมานั่งบนตักตัวเอง ส่วนมืออีกข้างก็โอบเอวบางของนางโดยตรง กึ่งโอบกึ่งอุ้ม ทำตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัวอะไร

เป็นการเปิดโปงความสัมพันธ์ของทั้งสองอย่างหมดเปลือกจริงๆ เจิ้งหรูหลงอ้าปากค้าง ทำท่าเหมือนตกตะลึงมาก ส่วนเหมียวอี้และคนอื่นๆ ก็มองหน้ากันเลิกลั่ก

มู่หรงซิงหัวกลืนไม่เข้าคายไม่ออกสุดๆ ไม่มีหน้าจะหันไปมองพวกเหมียวอี้เลย กลับเป็นเฉาว่านเสียงที่กอดนางพลางพูดเปิดอกตรงๆ “ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับซิงหัว พวกเจ้าเองก็เห็นแล้ว ข้าจะไม่เปลืองคำพูดแล้วกัน ในการทดสอบครั้งนี้ข้าแค่อยากให้ซิงหัวกลับมาอย่างปลอดภัย ถ้าซิงหัวกลับมาอย่างงปลอดภัยไม่ได้ ข้ารับรองว่าต่อให้พวกเจ้าสี่คนรอดกลับมาได้ แต่ก็ต้องตายสถานเดียว! ดังนั้นครั้งนี้พวกเจ้าต้องให้ความสำคัญกับซิงหัวก่อน ต้องพยายามรักษาความปลอดภัยให้นางอย่างเต็มที่”

คำพูดนี้เอาแต่ใจเกินไปแล้ว ทุกคนแอบด่าในใจว่า จะมาวางมาดกับทหารชั้นผู้น้อยอย่างพวกเราทำไม ถ้าเก่งนักก็ให้เบื้องบนลบรายชื่อมู่หรงซิงหัวออกไปสิ แต่แน่นอนว่าภายนอกยังต้องกุมหมัดคารวะ “น้อมรับคำสั่ง!”

เฉาว่านเสียงพยักหน้าอย่างพอใจ “การไปครั้งนี้ข้าไม่ขอให้พวกเจ้าสร้างผลงานใหญ่อะไรหรอก จำไว้อย่างเดียวก็พอ ขอเพียงปกป้องให้ซิงหัวกลับมาอย่างปลอดภัยได้ หัวหน้าภาคคนนี้ย่อมไม่ดูแลให้เสียเปรียบแน่ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ว่างๆ ในน่านฟ้าชวดอี่ ข้าก็สามารถจัดหาให้ได้อย่างไม่มีปัญหา ถ้าใครที่อาศัยว่าตัวเองมีคนหนุนหลังนิดหน่อย แล้วคิดว่าตัวเองจะทำตามอำเภอใจได้ หึหึ! อย่าลืมนะว่าน่านฟ้าชวดอี่เป็นอาณาเขตของใคร ต่อให้คนหนุนหลังจะใหญ่โตกว่านี้ แต่ก็สู้คนที่รับผิดชอบโดยตรงไม่ได้หรอก ถ้าข้าไม่ยอมปล่อย เกรงว่าพวกเจ้าก็คงหนีไปไหนไม่พ้น!”

เหมียวอี้กับสวีถังหรานส่งสายตาให้กัน เพราะอีกฝ่ายกำลังใช้คำพูดนี้เตือนพวกเขาสองคน เห็นได้ชัดว่าแอบบอกเป็นนัยว่า อย่านึกนะว่ามีโค่วเหวินหลานหนุนหลังแล้วคนอื่นจะทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้

แต่เมื่อพูดมาแบบนี้ ก็แสดงว่ามีโอกาสเลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่แล้ว พวกเจิ้งหรูหลงฮึกหิมทันที กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “รับทราบ!”

“ตามนั้น!” เฉาว่านเสียงตบบั้นท้ายของมู่หรงซิงหัวที่นั่งอยู่บนตักของตัวเอง พร้อมถามด้วยรอยยิ้มว่า “หัวหน้าภาคคนนี้ดูแลเจ้าไม่ขาดตกบกพร่องใช่มั้ย?”

“ขอบคุณท่านหัวหน้าภาค!” โดนทำแบบนี้ต่อหน้าธารกำนัล มู่หรงซิงหัวอับอายมากจริงๆ นางยังต้องการมีหน้าตาศักดิ์ศรีอยู่บ้าง อยากจะฉวยโอกาสลุกขึ้น

ใครจะคิดว่าเฉาว่านเสียงกลับโอบนางไว้อีก แล้วเอียงหน้าเข้ามาใกล้นาง มู่หรงซิงหัวที่กำลังกัดริมฝีปากทำได้เพียงหอมแก้มเขาหนึ่งทีตามกลางสายตาของทุกคน

จากนั้นเฉาว่านเสียงกดอบกอดพลางดูดหอมบนใบหน้างามของนางพักหนึ่ง คนที่ยืนอยู่เบื้องล่างพากันก้มหน้าหรือไม่ก็เบี่ยงหน้าหนี ทำเป็นมองไม่เห็น

เหมียวอี้พึมพำในใจว่า ยามปกติผู้หญิงคนนี้ทำตัวบริสุทธิ์สูงส่งมาก ทั้งยังรังเกียจที่ข้าชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ข้าแค่แสดงละครเฉยๆ หรอก แต่เจ้ากลับอยู่กับผู้ชายที่มีภรรยาแล้วแบบจริงจัง

เฉาว่านเสียงที่ตักตวงประโยชน์จนพอใจปล่อยมู่หรงซิงหัวที่กำลังทำสีหน้าอับอาย แล้วพูดทิ้งท้ายก้อนเดินออกไป “อีกครึ่งชั่วยามหลังจากนี้ จะมีคนมาเรียกให้พวกเจ้าให้ออกเดินทางพร้อมข้า!”

“รับทราบ!” ทุกคนน้อมส่งอยู่ข้างหลัง

รอจนกระทั่งเฉาว่านเสียงเดินไปแล้ว มู่หรงซิงหัวก็ก้มหน้าเดินหลบไปทันที แต่ละคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ในดวงตาแฝงความรู้สึกเยาะเย้ย

เจิ้งหรูหลงพลันถ่ายทอดเสียงบอกทุกคนว่า “เกิดเป็นผู้หญิงสวยนี่ดีจริงๆ! แม่งเอ๊ย แค่ถอดกระโปรงครั้งเดียว ก็เท่ากับที่ข้าต้องฝ่าฟันต่อสู้หนึ่งหมื่นปี!”

ทุกคนได้ฟังแล้วส่ายหน้ากลั้นหัวเราะ สวีถังหรานโบกมือบอกว่า “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้เยอะ จะได้ไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัว!”

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ก็มีคนมาเรียกพวกเขาให้ไปรอนอกจวนของหัวหน้าภาค ตอนที่เจอหน้าเฉาว่านเสียงอีกครั้ง เขากลับทำเหมือนไม่รู้จักมู่หรงซิงหัว แม้แต่มองหน้าตรงๆ ก็ไม่มอง เพียงนำผู้ติดตามมาไม่กี่คน เอ่ยสั่งคำเดียว แล้วพาพวกเหมียวอี้เหาะออกจากประตูค่ายกลใหญ่ เหาะผ่านท้องฟ้าไปโดยตรง…

เมื่อเดินทางอย่างช้าๆ อยู่บนท้องฟ้าเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน เฉาว่านเสียงกลับสุขสบาย มีคนใช้เกี้ยวหามชัยภูมิถ้ำสวรรค์หลังหนึ่ง เฉาว่านเสียงพักอยู่ในนั้น มู่หรงซิงหัวก็เข้าไปปรนนิบัติรับใช้ข้างในเช่นกัน ส่วนจะปรนนิบัติอย่างไร ทุกคนก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ไปคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้ก็ไม่มีความหมาย

น่านฟ้าฉลูมะแม!

จุดรวมตัวของการทดสอบครั้งนี้ ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เมื่อมาถึงที่นี่ มู่หรงซิงหัวก็ออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์แล้ว มารวมตัวอยู่กับคนอื่นต่อไป ในขณะที่เฉาว่านเสียงกวาดสายตามอง พวกเหมียวอี้ก็เป็นฝ่ายมายืนอยู่ข้างหลังมู่หรงซิงหัว ให้มู่หรงซิงหัวเป็นหัวหน้ากลุ่มอย่างเป็นทางการ

จะไม่ให้มู่หรงซิงหัวเป็นหัวหน้าก็ไม่ได้ ถ้าปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับมู่หรงซิงหัวจริงๆ เฉาว่านเสียงก็บอกไว้ชัดเจนแล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

สถานที่ที่พวกเขามาถึงก็คือจวนหัวหน้าภาคของน่านฟ้าฉลูมะแม ที่นี่มีผู้คนไปมาหาสู่อยู่เสมอ ดูแล้วคึกคักมาก คนที่สวมแกราะรบสีม่วงก็มีไม่น้อย

เป็นเพราะจักรวาลกว้างใหญ่เกินไปจริงๆ ถึงแม้เฉาว่านเสียงจะอยู่ในระดับหัวหน้าภาคเหมือนกัน แต่เขากับหัวหน้าภาคของที่นี่ก็ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน ระหว่างทางหลังจากดึงคนมาถามทางแล้ว ก็นำทุกคนไปยังฝ่ายบุคลากร จากนั้นคนของฝ่ายบุคลากรตรวจสอบตราอิทธิฤทธิ์ของพวกเหมียวอี้ หลังจากยืนยันตัวตนของพวกเหมียวอี้แล้ว ก็มีคนมาพาทั้งห้าออกไปจากเฉาว่านเสียงทันที หนึ่งร้อยปีหลังจากนี้ ทั้งห้าคนจะไม่ได้เจอเฉาว่านเสียงอีก

ยามปกติพวกเขานับว่าเป็นผู้บัญชาการที่มีฐานะ แต่ตอนนี้กลับดูไร้ค่าอย่างเห็นได้ชัด ถูกส่งตัวเข้าไปในสวนขนาดใหญ่ที่มีค่ายกลคุ้มกัน สถานที่นี้เข้าได้แต่ออกไม่ได้ชั่วคราว

ในสวนมีทั้งผู้ชายทั้งผู้หญิง มีคนยืนคุยกันใต้ต้นไม้ มีคนเดินไปเดินมา คนส่วนใหญ่กำลังนั่งอยู่บนพื้น ฟังจากบทสนทนาก็พบว่าทั้งหมดเป็นผู้บัญชาการที่มาเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้

สวีถังหรานก้าวเข้าไปข้างหน้า แล้วดึงคนคนหนึ่งมาถาม “ถามหน่อยสหาย ที่พักของที่นี่อยู่ตรงไหนเหรอ?”

คนคนนั้นตอบกลั้วหัวเราะว่า “ที่พักน่ะเหรอ? มี! เจ้าดูเอาสิ ทุกคนกำลังพักอยู่นั่นไง เพียงแต่หาเรือนพักไม่เจอก็เท่านั้นเอง” เขาโบกมือชี้ไปทางคนที่กำลังนั่งและยืนอยู่รอบๆ

คำพูดนี้ทำให้คนที่อยู่รอบๆ พากันหัวเราะลั่น มีบางคนตะโกนเสียงดังว่า “จะหาเรือนพักใหญ่ขนาดไหนมาให้คนอยู่รวมกันเป็นพันคน แค่แบ่งสวนมาให้พวกเราพักเหมือนเป็นคอกหมูก็นับว่าเกรงใจแล้ว ถึงยังไงอีกฝ่ายก็ไม่ได้สนิทสนมกับพวกเรา และไม่กลัวที่จะล่วงเกินพวกเราด้วย เจ้ามาใหม่ หาที่นั่งแก้ขัดไปก่อนแล้วกัน!”

มีบางคนถอนหายใจยาว “พอมาไวกว่าคนอื่น ถึงได้รู้ว่าคนที่มาไวโง่เง่า ดันถ่อมาทรมานตัวเองล่วงหน้า คนที่มีวันสุดทายต่างหากที่ฉลาด!”

พวกเหมียวอี้มองไปรอบๆ มิน่าล่ะคนมากมายขนาดนี้ถึงตากแดดอยู่ข้างนอก ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง

“หาที่ว่างพักก่อนแล้วกัน” พอมู่หรงซิงหัวสั่ง ทุกคนก็พยักหน้า ทำได้เพียงถูไถแก้ขัดไปก่อน ไม่มีคุณสมบัติจะได้สิทธิพิเศษ ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเจ้า

สุดท้ายก็มาช้าไปหน่อย สถานที่ดีๆ ที่มีร่มไม้โดนคนอื่นยึดครองไปแล้ว แม้แต่ต้นไม้ใหญ่สักต้นก็ไม่มี ทำได้เพียงนั่งล้อมแปลงอกไม้ ทั้งห้าสบตากันแล้วส่ายหน้า คาดว่าต้องอยู่ตรงนี้ไปอีกหลายวัน

จากนั้นพวกเขาก็เริ่มสังเกตคนมากหน้าหลายตาที่อยู่ข้างนอก ไม่แน่ว่าบรรดาคนที่อยู่ตรงหน้าอาจจะได้กลายเป็นศัตรูที่ต้องสู้ตายกันในภายหลังก็ได้

ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ใครจะคิดว่าจู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น ตามด้วยเสียงตะโกนที่ดังก้องดุจเสียงฆ้อง “สวีถังหรานอยู่ที่ไหน?”

พวกเหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนทันที นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘หายนะที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง’ สิ่งที่ควรจะมา สุดท้ายก็ยังต้องมา!

มีเพียงเจิ้งหรูหลงที่ไม่รู้สถานการณ์ เหมือนกับคนอื่นที่อยู่รอบๆ เหลียวซ้ายแลขวาไปทั่ว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว

ส่วนพวกเหมียวอี้กลับคุ้นเคยกับเสียงนี้ดีที่สุด เซี่ยโห้วหลงเฉิง!

แทบจะในชั่วพริบตาเดียว สวีถังหรานหน้าซีดเผือกแล้ว เริ่มลนลานทำอะไรไม่ถูก

มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่หันกลับมา มองไปทางเหมียวอี้กับสวีถังหรานด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจนิดหน่อย ไม่รู้ว่าทั้งสองจะมีจุดจบอย่างไร!

“สวีถังหราน โผล่หัวออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้ ข้าเห็นรายชื่อของเจ้าแล้ว รู้ว่าเจ้ามาถึงแล้ว! ที่ปรึกษาคนนี้มาสังเกตการณ์ ข้าเรียกชื่อเจ้าแล้ว เจ้ากล้าหลบหน้าไม่ยอมมาพบ มองข้ามกฎของตำหนักสวรรค์ เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วใช่มั้ย!” เสียงโวยวายไร้ความเกรงกลัวของเซี่ยโห้วหลงเฉิงค่อยๆ ดังเข้ามาในสวน เห็นได้ชัดว่ากำลังตามหา

เหมียวอี้แอบด่าในใจ ที่ปรึกษาบ้าบออะไรล่ะ ระดับของเจ้าก็เห็นๆ กันอยู่ หลังจากทำผิดกฏแล้วโดนลดขั้นจากเกราะทองห้าแถบเป็นสี่แถบ ที่จริงกำลังกอดขาคนอื่นอยู่ มีอะไรให้ส่งเสียงเอะอะโวยวาย

พอได้ยนแบบนี้ เจิ้งหรูหลงก็ฟังออกแล้วว่าผู้ที่มามีเจตนาไม่ดี เขาเหลือบมองสวีถังหรานที่หน้าซีด แล้วถามอย่างสงสัยว่า “พี่สวี เจ้าเคยล่วงเกินที่ปรึกษาท่านนี้เหรอ?”

สวีถังหรานไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร และไม่รู้ว่าควรจะขานรับเซี่ยโห้วหลงเฉิงหรือไม่

ขณะกำลังลังเล เสียงของเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ดังขึ้นอีก “มู่หรงซิงหัว หยางไท่ หนิวโหย่วเต๋อ ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามาถึงแล้วเหมือนกัน โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นจะโดนพิจารณาโทษร่วมกัน!”

หยางไท่หันไปถามมู่หรงซิงหัวทนัที “มู่หรง ท่านนี้มีชื่อเสียงเรื่องไร้เหตุผล ตอนนี้อาศัยแอบอ้างเบื้องบน เราจะทำยังไงกันดี?”

มู่หรงซิงหัวก็ลังเลเช่นกัน ถ้าให้ขานรับ อีกประเดี๋ยวสวีถังหรานกับหนิวโหย่วเต๋อจะต้องโชคร้ายแน่ แต่ถ้าไม่ขานรับ ดีไม่ดีตัวเองอาจจะโชคร้ายไปด้วย

“หลบเหรอ? ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะไปหลบที่ไหนได้!” เสียงหัวเราะเจ้าเล่ห์ของเซี่ยโห้วหลงเฉิงดังมาจากบนฟ้า

ทุกคนเงยหน้ามอง เห็นเพียงเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่อยู่บนฟ้ากำลังกวาดตามองไปทั่ว ลอยอยู่บนฟ้าเพียงไม่กี่สิบเมตร ถ้าขึ้นสูงกว่านี้ก็โดนค่ายกลขวางไว้ ไม่สามารถเหาะขึ้นสูงกว่านี้ได้อีก แต่ก็ยังค้นหาคนในสวนได้สะดวกมาก พวกเขาสบตากับเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้ว

เสียงลมพัดดังวูบ เซี่ยโห้วหลงเฉิงถลันตัวเข้ามา ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ดึงดูดให้สายตาของคนรอบข้างมองมาทางนี้

มู่หรงซิงหัวไม่อยากคุยกับคนพาลประเภทนี้ แต่ตอนนี้นางเป็นหัวหน้ากลุ่ม ถ้าไม่ออกหน้าก็จะฟังไม่ขึ้น นางยิ้มอย่างฝืนใจ พร้อมก้าวเข้าไปกุมหมัดคารวะแทนคนในกลุ่ม “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว ไม่เจอกันนาน สบายดีหรือไม่?”

“ผู้บัญชาการบ้าอะไร ข้าโดนลดตำแหน่งแล้วโว้ย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า หลีกไป” เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือ บอกให้นางหลีกไป

มู่หรงซิงหัวกล่าวอย่างจนใจมากว่า “พี่เซี่ยโห้ว ท่านเป็นผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อย มีเรื่องอะไรไว้คุยกันทีหลังก็ได้”

ฉวยโอกาสระบายความแค้นตอนนี้เสียเลย ไว้รอคุยกันทีหลังคงตายกันหมดแล้ว! เซี่ยโห้วหลงเฉิงเริ่มโมโห ถลึงตาโตเหมือนระฆังทองแดง ชี้มู่หรงซิงหัวพร้อมตะคอกว่า “เจ้าจะหลีกหรือไม่หลีก?”


1007

คนดียวที่ไม่เป็นอะไร

“พี่เซี่ยโห้ว ทุกคนเคยเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ท่านฟังข้าพูด…”

“พูดบ้าอะไรเล่า! พี่เพ่ออะไร? เจ้าคู่ควรเหรอ? นางแพศยาที่ถอดกระโปรงให้เฉาว่านเสียงเพื่อแลกตำแหน่งขุนนาง ยามปกติเสแสร้งทำตัวบริสุทธิ์สูงส่งต่อหน้าคนอื่นก็ว่าแย่แล้ว จะมาเสแสร้งต่อหน้าข้าทำบ้าอะไร ไสหัวไป!” พอเซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกท่อนแขนใหญ่ๆ ก็ดันจนมู่หรงซิงหัวที่กำลังหน้าซีดโซเซไปด้านข้าง

ความปากไวใจถึงของเซี่ยโห้วหลงเฉิงทำให้คนรอบข้างหลุดขำออกมา แต่ละคนมองสำรวจมู่หรงซิงตั้งแต่ศีรษะจดเท้าด้วยแววตาแปลกๆ

ในตอนนี้เอง สายตาที่มู่หรงซิงหัวมองเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็เรียกได้ว่าอาฆาตแค้น

“นี่! หยางไท่ เจ้าก็กล้ามาขวางข้าเหมือนกันเหรอ? เรื่องสกปรกโสมมของเจ้ากับเมียของเฉาว่านเสียงที่เป็นแม่บุญธรรมของเจ้าน่ะ อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ อยากจะให้ข้าเปิดโปงมั้ยล่ะ?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงหัวเราะเสียงประหลาด

จะถามทำไมว่าอยากให้เปิดโปงมั้ย แบบนี้ต่างอะไรกับการเปิดโปงออกมาแล้ว เป็นเพราะเจ้าไม่ได้ทำงานที่ดาวเทียนหยวนแล้ว ก็เลยกล้าพูดทุกอย่างออกมา ไม่ได้เกรงกลัวอะไรเลยสักนิด

หยางไท่ก็หน้าซีดแล้วเหมือนกัน เขาไม่อยากจะขัดขวางเซี่ยโห้วหลงเฉิงเลย แต่บังเอิญโชคร้ายยืนอยู่ข้างหลังมู่หรงซิง พอมู่หรงซิงหัวโดนผลักออกไป เขาจึงได้รับหน้าพอดี ยังไม่ทันได้หลีกทางให้ ก็โดนปากที่ไม่มีหูรูดของเซี่ยโห้วหลงเฉิงเล่นงาน ในใจเกิดความอาฆาต อยากจะใช้ดาวฟันเซี่ยโห้วหลงเฉิงให้ตาย!

เจิ้งหรูหลงอ้าปากค้างมองหยางไท่ นึกไม่ถึงว่าหยางไท่จะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน จากนั้นก็หันไปมองเหมียวอี้กับสวีถังหรานอีก เจ้าสองคนนี้คงไม่เป็นแบบนั้นเหมือนกันหรอกใช่มั้ย? ในใจแอบตื่นตระหนก มารดาเจ้าเถอะ นี่ข้ากำลังมารวมตัวอยู่กับคนประเภทไหนกันเนี่ย!

เขาไม่ลองคิดดูบ้างล่ะ ว่าตลาดสวรรค์เป็นสถานที่ที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ถ้าไม่ได้มีเส้นสายพิเศษ จะมีสักกี่คนที่ได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการ

คนรอบข้างแอบชำเลืองมองมาทางนี้อยากรู้สึกขำขันพักหนึ่ง และแปลกใจเช่นกันว่าคนไร้ระเบียบพวกนี้มารวมตัวกันได้อย่างไร?

แน่นอน ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงเป็นสิ่งที่ยุ่งเหยิงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนที่อยู่รอบข้างอาจจะไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน การที่ไต่เต้ามาจนถึงตำแหน่งผู้บัญชาการได้ คนที่เป็นแบบมู่หรงซิงหัวก็มีไม่น้อยเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นเหมียวอี้ เจ้าตัวก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหวงฝู่จวินโหรวก็พูดยาก คนแบบเหมียวอี้ไม่มีสิทธิ์ไปหัวเราะเยาะคนอื่น แน่นอนอยู่แล้ว ทุกคนแค่แปลกใจว่าทำไมคนแบบนี้จึงมารวมตัวกันได้

คนที่ไม่รู้จักเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ยิ่งสงสัยว่าเจ้าบ้านี่เป็นใคร ทำไมพอมาถึงก็ล่วงเกินในจุดที่อ่อนไหวทันที เปิดโปงความลับแบบนี้ต่อหน้าฝูงชน เป็นการผูกเงื่อนตายให้ความแค้นชัดๆ! ไม่เห็นเหรอว่าสองคนที๋โดนเปิดโปงกำลังมองเขาด้วยสายตาอย่างไร เหมือนอยากจะกรีดเนื้อทั้งเป็นๆ!

เหมียวอี้แอบปาดเหงื่อในใจ ไอ้หมีควายนี่บ้าบิ่นจริงๆ! ช่างเป็นเรื่องแปลกที่สามารถรอดชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้ โชคดีที่มีคนใหญ่คนโตหนุนหลัง ไม่อย่างนั้นคงโดนคนอื่นเอาดาบเฉือนร่างไปตั้งนานแล้ว!

หยางไท่เม้มฝีปากพลางหลีกทางให้ นี่คือความอัปยศอันใหญ่หลวงจริงๆ!

เจิ้งหรูหลงก็รีบหลีกทางให้เช่นกัน อย่าไปยั่วโมโหหมาบ้าจะดีกว่า ยังไม่แน่ใจว่าระหว่างคนพวกนี้มีบุญคุณความแค้นอะไรต่อกัน ไม่จำเป็นต้องเข้าไปร่วมวงโดยไร้เหตุผล

เหมียวอี้สำนึกได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดเร่ง เขาเองก็อยากจะหลีกทางให้อยู่แล้ว แต่ใครจะคิดว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับคว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้

ทั้งสองเผชิญหน้ากัน ดวงตาทั้งสี่สบประสาน เหมียวอี้มองเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจเกิดเจตนาสังหารแล้ว!

เขาไม่ใช่พวกมู่หรงซิงหัวที่ไต่เต้าขึ้นมาได้ด้วยวิธีการของตำหนักสวรรค์ ที่เขามีวันนี้ได้เพราะเอาชีวิตแลกมาแทบจะทุกครั้ง ถ้าทนได้ก็ทน แต่ถ้าทนไม่ได้ก็ต้องตายกันไปข้าง!

เขากำลังโคจรเคล็ดวิชาอัคนีดารา เปลวเพลิงไร้รูปร่างเตรียมจะปล่อยออกจากฝ่ามือ ถ้าซี่ยโห้วหลงเฉิงกล้าแตะต้องเขา เขาก็ไม่ถือสาที่จะทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงตาย ไม่ถือสาที่จะทำเรื่องราวให้ใหญ่โต! อยู่ใกล้กันขนาดนี้ ถ้าเขาลงมือขึ้นมา เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ยากที่จะรอด!

ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวเขา เขาตัดสินใจแล้วอย่างรวดเร็ว!

เรื่องราวชัดเจนมากแล้ว หวงฝู่จวินโหรวบอกข้อมูลเขามากกว่าสิ่งที่พวกมู่หรงซิงหัวรู้ ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีอำนาจตัดสินใจเมื่ออยู่ที่นี่ มีคนจากหลายตระกูลมาเข้าร่วม คนมากมายขนาดนี้กำลังมองอยู่ เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีใครเป็นพยานเลยว่าเขาทำไปเพื่อป้องกันตัว

“เฮอะ!” แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่สบตากับเขาพักหนึ่งได้แค่พ่นเสียงทางจมูก แล้วผลักให้เขาหลีกไปด้านข้าง จากนั้นก็ยิ้มอย่างชั่วร้ายให้สวีถังหรานที่กำลังหน้าซีดแต่พยายามฝืนยิ้ม สวีถังหรานหลบไปอยู่ข้างหลังกลุ่มคนโดยสัญชาตญาณ

พบหลบมาถึงข้างกายเหมียวอี้ เขาก็แปลกใจนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะไม่กลั่นแกล้งให้เหมียวอี้ลำบาก แถมยังไม่พ่นคำพูดร้ายๆ ใส่สักคำ

เหมียวอี้หยุดโคจรเคล็ดวิชาอัคนีดาราเงียบๆ หรือพูดได้อีกอย่างว่า การที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงอดทนไม่ถือสา เท่ากับเป็นการช่วยชีวิตตัวเองเหมือนกัน แม้แต่เหมียวอี้ก็ยังแอบคิดว่าเจ้าคนประหลาดนี่ช่างดวงแข็ง!

แน่นอน เหมียวอี้เองก็โล่งใจเหมือนกัน ถ้าต้องฆ่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจริงๆ เขาเองก็จะลำบากไปด้วย ระหว่างเขากับเซี่ยโห้วหลงเฉิง บอกได้เพียงว่าต่างคนต่างรอดหายนะด้วยกันทั้งคู่!

“สวีถังหราน เจ้าจะหลบไปไหน!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงยิ้มเจ้าเล่ห์ชั่วร้าย

สำหรับสวีถังหรานแล้ว รอยยิ้มแบบนั้นของเขาช่างน่ากลัวจริงๆ อ้าปากแล้วดูดุร้ายเหมือนฉลาม เขากลืนน้ำลายแล้วบอกว่า “พี่เซี่ยโห้ว เรื่องในปีนั้นข้าไม่ได้เต็มใจ ยากจะขัดคำสั่งเบื้องบนได้!”

“ขัดคำสั่งแม่เจ้าสิ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกแขนตบบ้องหูอย่างแรง เสียงตบดังสนั่นหวั่นไว ตบจนสวีถังหรานเบือดพุ่งออกจมูก ทั้งฟันทั้งเลือดกระเด็นออกมาพร้อมกัน ทำให้เจ้าตัวล้มคาที่

สวีถังหรานที่ล้มอยู่บนพื้นโดนตบจนมึนศีรษะตาลาย เขาพยายามออกแรงส่ายหน้า แต่ขณะกำลังโซเซลุกขึ้นมา ก็โดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็เตะเข้าไปอีกทีจนล้มคะมำ เขาโดนเท้าข้างหนึ่งเหยียบติดตรึงกับพื้น ปลายเท้าข้างนั้นออกแรงบิดตรงหน้าอกของเขา พลางแสยะยิ้มไม่หยุด “ชาติสุนัข ใจกล้าไม่เบา บังอาจมาลงมือกับข้า วันนี้ข้าจะทำให้เขานึกเสียใจที่ลงมาเกิดผิดที่!”

ถ้าใช้พลังอิทธิฤทธิ์ปะทะกัน สวีถังหรานไม่มีทางสู้เขาได้เลย เรียกได้ว่าเหยียบจนกระดิกกระเดี้ยลำบาก ที่ปากมีเลือดสกทะลักออกมาไม่หยุด

“หยุดนะ!” จู่ๆ ก็มีเสียงตวาดแหลมเล็กดังขึ้น เงาคนคนหนึ่งถลันเข้ามา ใช้ข้อศอกกระแทกใต้ชายโครงของเซี่ยโห้วหลงเฉิง กระแทกจนเซี่ยโห้วหลงเฉิงโซเซไปหลายก้าว

พอยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดว่า “โค่วเหวินชิง เจ้ากล้าลงมือกับข้าเหรอ?”

ผู้ที่มาเป็นสตรี รูปร่างสูงสะโอดสะอง บุคลิกงดงามมีเสน่ห์ สวมชุดกระโปรงสีเขียวครามเหมือนกับชื่อของนาง

สายตาของพวกเหมียวอี้ไปรวมอยู่ที่ตัวของผู้หญิงคนนี้อย่างรวดเร็ว แค่ได้ยินชื่อก็พอจะเดาได้ว่าโค่วเหวินชิงกับโค่วเหวินหลานมีความเกี่ยวข้องอะไรกัน โค่วเหวินหลานติดที่บุคลิกตุ้งติ้งไปหน่อย แต่หน้าตายังนับว่าไม่เลว ผู้หญิงคนนี้กับโค่วเหวินหลานหน้าตาคล้ายกันหลายส่วน ยิ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง

“เซี่ยโห้วหลงเฉิง คนที่นี่ล้วนผ่านการอนุมัติจากราชันสวรรค์จึงมาที่นี่ เจ้ากำลังใช้อำนาจส่วนรวมล้างแค้นเรื่องส่วนตัว หรือว่ากำลังดูหมิ่นราชันสวรรค์?” โค่วเหวินชิงถาม

“…” เมื่ออ้างอำนาจใหญ่โตขนาดนี้มาขู่ ก็ทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงกดดันจนอ้าปากค้าง ในดวงตาถึงขนาดฉายแววหวาดกลัว คาดว่าคงนึกออกถึงผลลัพธ์ของการดูหมิ่นราชันสวรรค์ต่อหน้าฝูงชน หลังจากทำเสียงฮึดฮัดนิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะสะบัดแขนเสื้อเลี้ยวเดินออกไป ไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานอีก

ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้รีบก้าวเข้ามาประคองสวีถังหรานที่กำลังทำสีหน้าเศร้าสลด

ส่วนโค่วเหวินชิงก็กวาดสายตามองคนที่อยู่ในเหตุการณ์ พร้อมถามเสียงเรียบ “สวีถังหราน หนิวโหย่วเต๋อ หยางไท่กับมู่หรงซิงหัว คือพวกเจ้าใช่มั้ย?”

เมื่อกล่าวถามแบบนี้ พวกเหมียวอี้ก็เข้าใจแล้ว นี่คือคนที่โค่วเหวินหลานส่งมาดูแลพวกเขา

“สวีถังหรานขอบคุณที่ท่านขุนนางช่วยชีวิตไว้!” สวีถังหรานกุมหมัดขอบคุณในขณะที่เลือดไหลออกจากมุมปาก ใบหน้าสื่อแววเศร้าสลด แต่กลับขอบคุณจากใจจริง ถ้าอีกฝ่ายมาช้ากว่านี้นิดเดียว เกรงว่าเขาคงจะไม่รอดชีวิตแล้ว

ส่วนเหมียวอี้และคนที่เหลือก็กุมหมัดคารวะพร้อมรายงานชื่อแซ่ แสดงตัวให้รู้ว่าเป็นพวกเขา! ยกเว้นแค่เจิ้งหรูหลงที่อยู่ข้างๆ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้อยู่ในขอบเขตการดูแลของโค่วเหวินชิง

โค่วเหวินชิงจดจำพวกเขาเอาไว้ ท่าทีไม่ห่างเกินแต่ก็ไม่สนิท นางเปลี่ยนเป็นใช้การถ่ายทอดเสียงคุยกับพวกเขา “เหลือเวลาอีกหลายวันกว่าจะออกเดินทางอย่างเป็นทางการ ถ้าเกิดเรื่องอะไรอีกก็ใช้ระฆังดาราติดต่อกับโค่วเหวินหลานทันที โค่วเหวินหลานจะติดต่อข้า ข้าย่อมมาได้ทันเวลา”

“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยรับ

ไม่ได้พูดอะไรมากอีก โค่วเหวินชิงหันตัวจากไปแล้ว

บรรดาคนรอบข้างที่มามุงดูเอาสนุก ส่วนใหญ่กำลังหัวเราะเยาะ สายตาย้ายไปย้ายมาระหว่างมู่หรงซิงหัวกับหยางไท่ ทำเอาทั้งสองที่โดนเปิดโปงเรื่องน่าอับอายรู้สึกอึดอัดมาก

“ไป!” มู่หรงซิงหัวถ่ายทอดเสียงสั่งเงียบๆ นำทุกคนเดินออกไปท่ามกลางสายตาเยาะเย้ยของกลุ่มคน ไม่ไปไม่ได้จริงๆ ต่อให้หน้าหนาขนาดไหนก็ไม่มีทางอยู่ท่ามกลางสายตาเยาะเย้ยต่อไปได้

พวกเขาแทบจะเดินตัดทะลุทั้งสวนขนาดใหญ่ จากฝั่งนี้ไปถึงฝั่งนั้น นั่งพักที่ข้างมุมกำแพงอีกฝั่งของสวน ทั้งหมดของข้างเงียบงัน

หลังจากเยียวยารักษาตัวเองเสร็จ สวีถังหรานก็เอามือเช็ดรอยเลือดที่มุมปากจนสะอาด จากนั้นมองเหมียวอี้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ “น้องหนิว ทำไมไอ้หมีควายนั่นปล่อยเจ้าไป แล้วกลับพุ่งเป้ามาที่ข้าคนเดียว?” เขายังคิดจะหลบหลังเหมียวอี้เพื่อให้เหมียวอี้เจอเคราะห์ร้ายก่อน

เรื่องนี้มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่ก็แปลกใจเช่นกัน สี่คนที่มาจากตลาดสวรรค์ ทั้งสามเรียกได้ว่าโดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงทำให้อับอายกันถ้วนหน้า มีเพียงเหมียวอี้ที่ยังอยู่ดีปลอดภัย แบบนี้ไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไร ทุกคนต่างก็รู้ถึงความแค้นระหว่างเหมียวอี้กับเซี่ยโห้วหลงเฉิง ไม่น่าเชื่อว่าคนเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบนั้นจะปล่อยเขาไปได้ แปลกประหลาดจริงๆ!

เหมียวอี้ตอบเอาตัวรอดว่า “ตอนอยู่ที่ยอดเขาโอนเอน ใครใช้ให้เจ้าซ้ำเติมเขาล่ะ แค่เจ้าซ้อมเขาก็ว่าแย่แล้ว ทั้งยังซ้อมหนักปางตายอีกด้วย แต่ข้าไม่ได้แตะต้องเขาแม้แต่ปลายนิ้ว ถ้าเขาไม่พุ่งเป้าไปที่เจ้า แล้วจะให้พุ่งเป้าไปที่ใคร?” เหมียวอี้ย่อมไม่พูดเรื่องที่ตัวเองโยนสมุนไพรเซียนให้เซี่ยโห้วหลงเฉิง ตอนนี้นับว่าเข้าใจท่าทีของเซี่ยโห้วหลงเฉิงอย่างถ่องแท้ ก่อนหน้านี้ตีสนิทไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าบ้านั่นนับเป็นประเภทคนระยำต่ำช้า ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้น ในทางกลับกัน พอแอบโยนสมุนไพรเซียนซิงหัวให้ต้นเดียวยามหน้าสิ่วหน้าขวาน กลับได้ผลย่างน่าอัศจรรย์ ตอนนี้เขาแอบรู้สึกโชคดีที่ตอนนั้นตัวเองทำแบบนั้น

พอพูดถึงเรื่องนี้ สวีถังหรานก็โมโหจนอยากกระอักเลือด ตอนนั้นหนิวโหย่วเต๋อเจ้าเล่ห์เกินไป เขาไม่ได้อยากซ้อมเซี่ยโห้วหลงเฉิงเสียหน่อย! แต่กว่าเขาจะรู้ตัว หนิวโหย่วเต๋อก็หนีไปแล้ว ทั้งยังหาเหตุผลที่ฟังดูดีเพื่อปลีกตัวเองออกไปด้วย ทิ้งเขาไว้ฟังคำสั่งอยู่ข้างๆ โค่วเหวินหลาน ภายใต้การบีบบังคับของโค่วเหวินหลาน เขาจะไม่ซ้อมก็ไม่ได้!

มู่หรงซิงหัวได้ยินแล้วถามว่า “สวีถังหราน เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้ใส่ร้ายเจ้า แต่เจ้าซ้อมเขาจริงๆ เหรอ?”

หยางไท่ก็มองมาอย่างงุนงงเช่นกัน เหมือนรู้สึกเหลือเชื่อนิดหน่อย

“เจ้าคิดว่าข้าอยากซ้อมเขาหรือไง? ผู้บัญชาการใหญ่ออกคำสั่ง ข้าไม่กล้าจัดคำสั่งหรอก! ไอ้หมีควายนั่นคงเพ่งเล็งข้าไปทั้งชีวิตแล้ว!” สวีถังหรานกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าวังเวง

“เซี่ยโห้วหลงเฉิงนี่เป็นใครกันแน่ ทำไมกล้ากำเริบเสิบสานขนาดนี้?” เจิ้งหรูหลงสงสัย

สวีถังหรานตอบว่า “คนของตระกูลเซี่ยโห้ว ราชินีสวรรค์คืออาหญิงแท้ๆ ของเขา!” เขาต้องพิสูจน์ว่าการที่ตัวเองไม่กล้าโต้ตอบไม่ใช่เพราะตัวเองไร้ความความสามารถ แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายมีคนหนุนหลังใหญ่เกินไป

เจิ้งหรูหลงได้ยินแล้วสูดหายใจอย่างตกตะลึง สำหรับเขาแล้ว นี่คือภูมิหลังที่สูงเกินจินตนาการ นี่มันสูงส่งทะลุฟ้าแล้ว เขากล่าวอย่างตกตะลึงทันที “พี่สวี เจ้าไม่ได้โดนซ้อมอย่างไร้ความยุติธรรมหรอก เจ้ากล้าลงมือแม้กระทั่งหลานชายแท้ๆ ของราชินีสวรรค์ ต่อให้อีกฝ่ายซ้อมเจ้าจนตาย เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์โมโห!”

สวีถังหรานเพียงถอนหายใจ

1008

ทำตัวลับๆล่อๆ

ระหว่างที่พวกเขาคุยกัน ก็หลบเลี่ยงเรื่องฉาวโฉ่ที่มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่โดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเปิดโปง ทำเหมือนไม่เคยได้ยินมาก่อน

วันต่อมา เหมียวอี้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้มุมกำแพงก็พบความผิดปกติ พบว่าคนในกลุ่มตัวเองทยอยกันออกปทีละคน ตรงนี้เหลือเขาอยู่แค่คนเดียว คนอื่นไม่รู้ไปไหนแล้ว คาดว่าคงออกจากสวนนี้ไปไม่ได้ ถึงได้ลุกขึ้นเดินตามหา

ข้างๆ ภูเขาจำลองที่มีสระน้ำแห่งหนึ่ง เจิ้งหรูหลง มู่หรงซิงหัว หยางไท่และสวีถังหรานกำลังถ่ายทอดเสียงคุยกัน

หลังจากได้ฟังทั้งสามพูด มู่หรงซิงหัวก็ลังเลมาก ถามว่า “มีคนเยอะก็ยิ่งมีกำลังเยอะ ฆ่าเขาทิ้งจะเหมาะสมเหรอ?”

เจิ้งหรูหลงบอกทันทีว่า “น้องมู่หรง เจ้าคิดดูให้ดีๆ นะ เขามีแค่วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งเอง พาเขาไปด้วยก็จะเป็นภาระ ถึงแม้บนตัวเขาจะมีของวิเศษที่ผู้บัญชาการใหญ่ของพวกเจ้ามอบให้ แต่คนอื่นก็คงไม่ต่างกันเท่าไรหรอก ด้วยวรยุทธ์ของเขา เป็นไปได้สูงมากว่าจะตายด้วยน้ำมือคนอื่น ดังนั้นถ้าให้ของไปตกอยู่ในมือของคนอื่น ไม่สู้เอามาให้ข้าดีกว่าเหรอ!  เจ้าลองคิดดูสิ อาศัยวรยุทธ์ของข้า ถ้ามีของวิเศษชุดนั้นแล้ว ข้าจะกลายเป็นเสือติดปีกแน่นอน โอกาสที่กลุ่มของพวกเราจะรอดชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นแน่ๆ ถ้าข้าไม่มีของวิเศษชุดนั้น แล้วคนอื่นมีแต่ของดีๆ ต่อให้ข้าจะวรยุทธ์สูง แต่ก็ยากที่จะต้านทานคนอื่นได้ ถ้าข้าตายแล้ว กลุ่มนี้ก็จะไม่มีคนวรยุทธ์สูงไว้คอยปกป้อง เจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะมีหวังรอดชีวิตจนถึงตอนสุดท้ายหรือเปล่าล่ะ?”

มู่หรงซิงหัวก็ไม่ได้โง่ แค่ได้ยินก็เข้าใจแล้ว ที่จริงไม่จำเป็นต้องฆ่าหนิวโหย่วเต๋อเลย มีผู้ช่วยเพิ่มอีกคนไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่ประเด็นคือถ้าไม่ฆ่าทิ้ง หนิวโหย่วเต๋อคงไม่ยอมนำของวิเศษที่ใช้ปกป้องชีวิตออกมาให้เขาแน่ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เจิ้งหรูหลงชอบของวิเศษที่โค่วเหวินหลานมอบให้หนิวโหย่วเต๋อ แต่นางก็ยอมรับว่าที่เจิ้งหรูหลงพูดมีเหตุผล เมื่อของวิเศษชุดนั้นอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อ ก็จะใช้ประโยชน์ได้ไม่ดีเท่าอยู่ในมือเจิ้งหรูหลง เป็นเพราะหนิวโหย่วเต๋อวรยุทธ์ต่ำเกินไปหน่อย

เป็นอย่างที่นางคิด เจิ้งหรูหลงชอบของวิเศษของเหมียวอี้แล้วจริงๆ วันนั้นตอนที่เกือบแตกคอกับเหมียวอี้ที่จวนหัวหน้าภาคของน่านฟ้าชวดอี่ ถ้าไม่ใช่เพราะได้ยินหยางไท่บอกว่าในมือเหมียวอี้มีของดี เขาคงลงมือสั่งสอนเหมียวอี้ไปแล้ว ตอนหลังพอดึงตัวหยางไท่กับสวีถังหรานมาถามให้ชัดเจนว่าเป็นของวิเศษอะไร เขาก็ยิ่งใจสั่นหวั่นไหวอยากได้แล้ว

ไม่ให้ใจสั่นคงไม่ได้หรอก ถ้าอยากจะปกป้องชีวิตตัวเองก็ต้องเอามาครอบครองให้ได้ ตอนนั้นหลังจากได้รู้สถานการณ์ของการทดสอบครั้งนี้ชัดเจน ก็พบว่าคนส่วนใหญ่ที่มาล้วนมีตระกูลใหญ่หนุนหลัง ถ้าในมือตัวเองไม่มีอาวุธดีๆ แล้วบังเอิญเจอกับคู่ต่อสู้คนอื่นที่มีของเด็ด แค่คิดก็รู้แล้วว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร

ที่จริงตอนนั้นเขาก็โน้มน้าวหยางไท่กับสวีถังหรานแล้ว ตอนหลังถึงได้เกิดภาพที่เขายกจอกสุราดื่มขอโทษเหมียวอี้ อยากจะทำให้เหมียวอี้สงบลงก่อน พวกเขาไม่มีทางเลือก เพราะไม่สามารถลงมือแย่งชิงได้ที่จวนผู้บัญชาการน่านฟ้าชวดอี่ ถ้ายังไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบอย่างเป็นทางการ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะลงมือในขณะที่มีคนควบคุมอยู่ ทำได้เพียงปลอบโยนเหมียวอี้ให้เหมียวอี้ลดความระมัดระวังตัว ในอนาคตจะได้ลงมือได้สะดวก

มาโน้มน้าวมู่หรงซิงหัวตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้ามู่หรงซิงหัวไม่เห็นด้วย พวกเขาก็ไม่สามารถลงมือได้ เฉาว่านเสียงพูดไว้ชัดเจนแล้ว ว่าถ้ามู่หรงซิงหัวไม่สามารถรอดชีวิตกลับไปได้ ต่อให้พวกเขากลับไปก็ตายอยู่ดี ไม่สามารถหลบเลี่ยงมู่หรงซิงหัวได้

มู่หรงซิงหัวลังเลครู่หนึ่ง นางมองไปที่หยางไท่กับสวีถังหราน แล้วถามว่า “พวกเจ้าสองคนแน่ใจนะว่าจะทำแบบนี้?”

หยางไท่ทำท่าเหมือนโดนบีบบังคับ ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “พวกเราย่อมไม่อยากทำแบบนี้อยู่แล้ว แต่ที่พี่เจิ้งพูดก็มีเหตุผล ภายใต้สถานการณ์ที่คู่ต่อสู้คนอื่นมีของวิเศษดีๆ เหมือนกัน วรยุทธ์ของหนิวโหย่วเต๋อต่ำไปจริงๆ ปล่อยให้ของอยู่ในมือเขาก็ไม่มีประโยชน์ หัวหน้าภาคเฉาบอกเอาไว้แล้ว พวกเราเองก็ทำไปเพราะอยากมีหวังในการส่งเจ้ากลับไปอย่างปลอดภัยนะ!”

สวีถังหรานได้ยินแล้วพยักหน้า แสดงออกว่าเห็นด้วยเหมือนกัน

ที่จริงเขาเป็นคนที่ไม่มั่นใจที่สุด เพราะเขาเคยสัมผัสถึงฝึมือของเหมียวอี้มาแล้ว แต่สถานการณ์ก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าเขาบอกว่าเหมียวอี้เก่งกว่าเขา ก็เป็นไปได้สูงว่าเจ้าพวกนี้จะปล่อยเหมียวอี้ไปแล้วมาแพ่งเล็งเขาแทน จะต้องเปลี่ยนเป้าหมายในการแย่งของวิเศษมาเป็นเขาแน่นอน ถึงตอนนั้นคนที่จะโดนฆ่าคงไม่ใช่เหมียวอี้ แต่เปลี่ยนเป็นเขาแทน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงผลักเพื่อนไปตายแทน

ที่จริงมู่หรงซิงหัวก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ แต่ในใจนางเหมือนมีหนามตำอยู่ เพราะนางเคยแสร้งทำตัวบริสุทธิ์สูงส่งและดูถูกที่เหมียวอี้ชอบผู้หญิงที่มีสามี ตอนนี้เรื่องฉาวโฉ่ของตัวเองร้ายแรงยิ่งกว่า พอเห็นเหมียวอี้ก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวแล้ว ต่อให้เป็นตอนที่เหมียวอี้เผลอมองนางอย่างไม่ตั้งใจ นางก็ยังรู้สึกว่าเหมียวอี้กำลังแขวะนาง

ดังนั้น นางเองก็ไม่อยากให้เหมียวอี้มีชีวิตอยู่เหมือนกัน อยากจะให้เหมียวอี้ตายตั้งนานแล้ว!

ทว่าพอคิดดูอีกมุมหนึ่ง นางก็ยังต้องยอมแพ้ให้กับความจริง ถ้าไม่ใช่เพราะต้องยอมแพ้ให้กับความจริง นางคงไม่ต้องไปปรนนิบัติอยู่ใต้หว่างขาของเฉาว่านเสียงหรอกนางไม่เหมือนสวีถังหราย แล้วก็ไม่ได้ล่วงเกินเซี่ยโห้วหลงเฉิงด้วย นางจะต้องกอดขาโค่วเหวินหลานเอาไว้ให้แน่น สิ่งที่โค่วเหวินหลานกำชับไว้ จะทำสำเร็จหรือไม่ก็ย่อมไม่สำคัญอยู่แล้ว เป้าหมายหลักคือต้องเอาชีวิตรอดกลับไป ถ้าไม่มีแม้แต่ชีวิตรอดกลับไป อย่างอื่นยังจะมีอะไรให้คุยอีก?

ผู้บัญชาการหนึ่งพันคนที่มาวันนี้ ทุกคนแทบจะมีพรรคพวกของตัวเองหมด รวมทั้งพวกที่โชคร้ายอย่างเจิ้งหรูหลงด้วย ทุกคนล้วนต้องกลับไปยังที่ที่ตัวเองอยู่ ไม่มีทางดึงมาเป็นพวกได้ ถ้ามีคนเพิ่มก็เท่ากับมีผู้ช่วยเพิ่ม มิหนำซ้ำโอกาสที่เหมียวอี้จะรอดชีวิตกลับไปในครั้งนี้ก็มีไม่มากอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องสู้กันเอง ต่อให้เหมียวอี้รอดชีวิตกลับไปได้ เหมียวอี้ก็ยังทำงานอยู่ใต้สังกัดของเฉาว่านเสียง ถ้ามีนางกระซิบอยู่ข้างหมอนของเฉาว่านเสียง ยังจะกลัวอีกเหรอว่าเหมียวอี้จะไม่ตาย? โอกาสน่ะมีอยู่แล้ว!

หลังจากไตร่ตรองแล้ว มู่หรงซิงหัวก็บอกว่า “ที่จริงก็ไม่ต้องรีบลงมือก็ได้ ทุกคนลองคิดดูสิ ผู้บัญชาการตั้งหนึ่งพันคน เป็นไปไม่ได้ที่จะเริ่มเข่นฆ่ากันเองตั้งแต่เริ่มต้น จะต้องช่วงชิงกันในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายแน่นอน ไม่มีใครอยากทำให้กำลังคนฝ่ายตัวเองเสียหายหรอก ดังนั้นรอก่อนเถอะ ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าสามารถแย่งของดีจากมือคนอื่นมาให้พี่เจิ้งได้ การปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อรอดก็มีประโยชน์ต่อพวกเราเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็มีผู้ช่วยเพิ่มอีกคน ทุกคนคิดว่ายังไงบ้าง?”

หยางไท่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ก็มีเหตุผลเหมือนกัน”

ส่วนสวีถังหรานก็พยักหน้าขานรับ “อืม” ไม่ได้แสดงท่าทีให้ชัดเจนเต็มที เขาลอยไปตามลมอย่างเดียว ลมพัดไปทางไหน เขาก็ลอยไปทางนั้น การปกป้องชีวิตตัวเองสำคัญที่สุด ในบรรดาพวกเขา นอกจากเหมียวอี้ก็มีเขาที่วรยุทธ์ต่ำสุด ไม่มีสิทธิ์พูดตัดสินใจ

เจิ้งหรูหลงขมวดคิ้ว หลังจากเข้าสู่การทดสอบแล้ว ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เพื่อวางแผนให้ชีวิตน้อยๆ ของตัวเอง ย่อมต้องหาของวิเศษดีๆ สักชุดมาไว้ในมือเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เป็นเพราะคนวรยุทธ์สูงอย่างเขาไม่มีอำนาจตัดสินใจ แต่เป็นมู่หรงซิงหัวที่มีอำนาจตัดสินใจ มิหนำซ้ำอีกสองคนที่เหลือก็พยักหน้าแล้วด้วย

เป็นแค่โสเภณีที่ขายตัว จะมาแสร้งทำตัวเป็นคนดีทำไม ทำข้าเสียเรื่องหมด! เจิ้งหรูหลงแอบด่าในใจ แต่ภายนอกยังคงพยักหน้ายิ้ม “ได้ งั้นก็เชื่อฟังผู้บัญชาการมู่หรงแล้วกัน”

แต่ที่จริงในใจเขามีความคิดอีกอย่างหนึ่ง ตราบใดที่มีโอกาสเหมาะสม เขาก็ไม่ถือสาที่จะลงมือกับเหมียวอี้เองด้วยตัวคนเดียว ถ้าฆ่าเหมียวอี้แล้วได้ของมาไว้ในมือแล้ว เมื่อไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว คนพวกนี้ก็คงพูดอะไรอีกไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ยังต้องอาศัยศักยภาพของเขา

ในขณะนี้เอง จู่ๆ ก็มีคนอุทานถามอย่างตกใจ “พวกเจ้ามาหลบทำอะไรอยู่ที่นี่?”

พวกเขาหันไปมอง เห็นเหมียวอี้ตามหาที่นี่พบแล้ว กำลังยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามสระน้ำและมองมาที่พวกเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ

กระทั่งเหมียวอี้กระโจนตัวเข้ามา มู่หรงซิงหัวจึงตอบเสียงเรียบว่า “ไม่มีอะไร แค่อยากจะดูสักหน่อยว่าจะหาพันธมิตรเพิ่มได้หรือเปล่า มีเพิ่มอีกคนก็ได้แรงอีกแรง”

เหมียวอี้รีบกวาดสายตามองดูปฏิกิริยาของคนอื่นๆ แล้วถามกลั้วหัวเราะว่า “ทำไมไม่เรียกข้ามาด้วยล่ะ?”

เจิ้งหรูหลงตอบว่า “ตอนนี้คนยิ่งมามากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าทุกคนออกมาจากตรงนั้นหมด อีกประเดี๋ยวที่พักของพวกเราคงโดนคนอื่นแย่ง ต้องเหลือคนไว้เฝ้าด้วยสิ”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอีกว่า “เกรงว่าคงหาไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้นหรอกมั้ง ถ้าเปลี่ยนรางได้ตามใจชอบจริงๆ เกรงว่าพี่เจิ้งคงจะออกจากกลุ่มพวกเราไปแล้ว”

หยางไท่ถอนหายใจ “ใช่แล้ว! เจ้าพูดถูก หาไม่เจอแล้วจริงๆ ช่างเถอะ กลับกันได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเดี่ยวจะโดนคนอื่นแย่งที่แล้วจริงๆ”

ตอนนี้พวกเขาถึงได้หันตัวกลับมา เหมียวอี้ที่เดินตามช้าๆ อยู่ข้างหลังกลับสังเกตสภาพพื้นที่ที่พวกเขาเพิ่งยืนคุยกันเมื่อครู่นี้อีกครั้ง เป็นริมสระน้ำที่มีภูเขาจำลองบัง ชัดเจนว่าเป็นที่ลับตาคน แน่นอนว่าการหาสถานที่คุยกันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่ในใจเหมียวอี้เริ่มมีความเคลือบแคลงราวกับโดนเมฆหมอกปกคลุม ในดวงตาฉายแววเย็นเยียบดุร้ายแล้ว!

ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทั้งสี่หลบไปทำตัวลับๆ ล่อๆ คุยอะไรกัน แต่เขาก็สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว ครั้งแรกเป็นที่จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดอี่ เจิ้งหรูหลง หยางไท่ สวีถังหรานเคยหลบเขาไปแล้วรอบหนึ่ง ครั้งนี้ก็ทำแบบนี้อีก มีเรื่องอะไรที่จะต้องหลบเลี่ยงเขาด้วยล่ะ?

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร สรุปว่าเหมียวอี้ก็แน่ใจว่าต้องเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้ตนรู้แน่นอน!

ในฐานะที่วนเวียนอยู่กับคาบเกี่ยวความเป็นความตายของการต่อสู้เข่นฆ่า เมื่อเจอเรื่องแบบนี้ ในหัวเหมียวอี้ก็มีความฉลาดในเรื่องนี้แล้ว!

หลายวันหลังจากนั้น เวลาทดสอบอย่างเป็นทางการก็มาถึง ผู้บัญชาการที่อยู่บนรายชื่อมากันเกือบครบ สาเหตุที่มากันเกือบครบ เพราะเกิดเหตุไม่คาดคิดกับบางคนระหว่างทาง ผลของการมาไม่ถึงตามกำหนดเวลาร้ายแรงมาก คนที่มาถึงแล้วไม่ต้องกังวลเรื่องนี้

ประตูค่ายกลที่ล้อมสวนเปิดออก ผู้บัญชาการทุกคนทยอยกันออกมาราวกับปลาว่ายน้ำ ตรงประตูมีคนกำลังถือแผ่นหยก ทุกคนที่ออกไปล้วนลงตราอิทธิฤทธิ์ไว้บนแผ่นหยกนั้น ทำแบบนี้เพื่อตรวจสอบจำนวนคนอีกครั้ง จะได้ป้องกันไม่ให้มีคนเล่นสกปรก

ผู้บัญชาการที่ยามปกติได้เสพสุขกับลาภยศความร่ำรวยเต็มที่ ตอนนี้โดนทำให้รู้สึกเหมือนเป็นนักโทษ พอออกจากสวนก็มารวมตัวอยู่ภายใต้การเฝ้าคลุมของกลุ่มคน

เมื่อชายหน้าขาวสีหน้าเย็นเยียบที่สวมหมวกดำชุดดำปรากฏตัว สมาชิกที่อยู่ทางว้ายและขวาก็นิ่งเงียบ แม้แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินชิงก็ยืนอย่างซื่อสัตย์ไม่กล้าขยับตัวซี้ซั้ว

หลังจากตรวจสอบสมาชิกทุกคนเสร็จแล้ว พ่อบ้านที่รับหน้าที่ดำเนินการก็รายงานกับชายใบหน้าเย็นเยียบคนนั้นว่า “นายท่านผู้คุม นอกจากสมาชิกหกคนนั้นที่เกิดเหตุไม่คาดคิดระหว่างทาง คนอื่นๆ ก็มาครบหมดแล้ว หกคนนั้นกำลังเร่งตามมา ส่งข่าวมาว่าจะถึงภายในครึ่งวันนี้”

ชายใบหน้าเย็นเยียบกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “ในเมื่อรู้ว่าอาจจะเกิดเหตุไม่คาดคิด ทำไมไม่ออกเดินทางล่วงหน้าเพื่อเหลือทางกลับตัวให้ตัวเอง? เห็นบัญชาสวรรค์เป็นของเด็กเล่น! ไม่ต้องรอแล้ว หกคนนั้นรวมทั้งผู้คุมส่ง แล้วก็ผู้บัญชาการใหญ่กับหัวหน้าภาคของพวกเขา ไม่ว่าจะมีภูมิหลังเป็นอย่างไร เดี๋ยวกลับไปตัดหัวของพวกเขาส่งมาให้ข้าพร้อมกัน!” จากนั้นก็กวาดสายตาเย็นเยียบมองทุกคน “ออกเดินทาง!”

“ขอรับ!” พ่อบ้านเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหันมาตะโกนบอกทุกคน “ออกเดินทาง!”

1009

การทดสอบเริ่มแล้ว

ตามเสียงคำสั่ง คนหนึ่งพันกว่าคนพุ่งขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว พุ่งขึ้นบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่พร้อมกัน เป็นภาพที่อลังการงานสร้างมาก

เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ได้เห็นนักพรตบงกชทองมากมายขนาดนี้เหาะพร้อมกัน ถ้าดึงกำลังคนพวกนี้ไปที่พิภพเล็ก ก็คงจะกวาดล้างพิภพเล็กได้โดยไม่เปลืองแรง ต่อให้เป็นหกปราชญ์ก็ต้านทานไม่ไหว!

ภายใต้การคุมส่งตัวจากบนล่างซ้ายขวาหน้าหลัง กลุ่มผู้บัญชาการใช้เวลาเหาะหนึ่งวันเต็มๆ กว่าจะมาเหยียบลงบนดาวเคราะห์ที่รกร้างแห่งหนึ่ง เหล่าผู้บัญชาการที่ไม่เข้าใจอะไรพากันมองไปรอบๆ พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ทอดมองไปไกลๆ ก็เห็นประตูดวงดาวบานหนึ่ง

พอพ่อบ้านที่รับหน้าที่ดำเนินการออกคำสั่ง ที่ปรึกษาก็เคลื่อนไหวไปรอบๆ ต่างคนต่างถือแผ่นหยกไปแจกจ่ายให้พวกผู้บัญชาการ เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินชิงก็รวมอยู่ในนั้นด้วย

โค่วเหวินชิงจงใจเข้าใกล้พวกเหมียวอี้อย่างเห็นได้ชัด ตอนที่นำแผ่นหยกส่งถึงมือพวกเหมียวอี้ นางก็ถ่ายทอดเสียงบอกทั้งสี่ว่า “หลังจากไปถึง ‘สถานที่ไร้ชีวิต’ แล้ว ก็ไปที่ตลาดมืด ของ ‘ดาววิงวอนชีพ’ ไปหาเถ้าแก่เนี้ยฮวาหูเตี๋ยของ ‘โรงจำนำผีเสื้อ’ นางเก็บรวบรวมที่อยู่ของนักโทษหลบหนีบนรายชื่อเอาไว้ นางจะบอกให้พวกเจ้ารู้ พวกเจ้าจะได้ดำเนินการตามกฎได้สะดวก!” การถ่ายทอดเสียงนี้ไม่นับรวมเจิ้งหรูหลง นางไม่รู้ว่าเจิ้งหรูหลงเป็นใคร

ขณะที่พูดก็ซ่อนแหวนวงหนึ่งไว้ใต้แผ่นหยก จะได้ยัดให้สวีถังหรานได้สะดวก ขณะเดียวกันก็จงใจเผยให้เหมียวอี้เห็นแวบหนึ่ง อาศัยแผ่นหยกบังสายตาพวกมู่หรงซิงหัว เห็นได้ชักว่านางรู้ว่าใครคือคนของโค่วเหวินหลาน

เหมียวอี้เหลือบมองไปที่แหวน เป็นหยกดำสีดำขลับ บนแหวนมีผีเสื้อสีดำตัวหนึ่งที่สมจริงเสมือนมีชีวิต ช่วยพริบตาเดียวก็โดนสวีถังหรานเก็บไว้อย่างรู้สถานการณ์แล้ว

เหมียวอี้แอบทอดถอนใจ นี่ไม่ใช่การโกงเหรอ? แล้วอีกอย่าง นี่มันเรื่องอะไรกัน คนทำผิดกฎสวรรค์ที่ตำหนักสวรรค์ตามจับไม่ได้ แต่ตะกูลโค่วกลับมีข้อมูลที่อยู่ของนักโทษหลบหนีพวกนี้ไว้ในมือแล้ว มิน่าล่ะตำหนักสวรรค์ถึงต้องจัดการทดสอบครั้งนี้ขึ้นมา

เมื่อร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูแผ่นหยกในมือ ก็พบว่าเป็นรายชื่อฉบับหนึ่งจริงๆ ชื่ออะไร วรยุทธ์เท่าไร ทำความผิดอะไร เรียกได้ว่าเขียนไว้บนนั้นหมดแล้ว

เมื่อดูตั้งแต่ต้นจนจบรอบหนึ่ง ถึงได้พบว่าตัวเองคิดมากเกินไป เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะคดีปล้นเกาะศักดิ์สิทธิ์ เขากังวลว่าตัวเองจะอยู่ในรายชื่อนักโทษ ตอนนี้พอมาดูแล้ว ก็พบว่าไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ เพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนทำ ตัวเองจะถูกเขียนไว้ในรายชื่อได้อย่างไร?

หลังจากแจกแผ่นหยกเสร็จแล้ว พ่อบ้านที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็กล่าวเสียงดังว่า “นี่คือภารกิจในการทดสอบครั้งนี้ของพวกเจ้า รายชื่อในแผ่นหยกคือนักโทษหนึ่งร้อยคนที่ทำผิดกฎสวรรค์ พวกเขาหลบหนีมาตลอด ยังจับตัวไม่ได้ พวกเจ้าต้องไปสำเร็จโทษพวกเขา! ผลการทดสอบจะดีหรือไม่ ก็จะพิจารณาจากจำนวนนักโทษที่พวกเจ้าจับกุม การให้รางวัลและการลงโทษจะอิงตามฝีมือนี้”

ตอนนี้เพิ่งจะประกาศหัวข้อทดสอบ มีคนไม่น้อยแอบขำในใจ เกรงว่าคนส่วนใหญ่คงรู้ตั้งนานแล้ว

พ่อบ้านคนนั้นโบกมือชี้ไปยังประตูดวงดาวที่อยู่ไกลๆ “เมื่อข้ามประตูดวงดาวบานนั้นไปก็จะเป็น ‘สถานที่ไร้ชีวิต’ นักโทษที่อยู่บนรายชื่อล้วนถูกคัดลือกมาหลังจากได้รับข้อมูล ได้รับการยืนยันแล้วว่านักโทษพวกนั้นซ่อนตัวอยู่ที่ ‘สถานที่ไร้ชีวิต’ หลังจากพวกเจ้าเข้าไปในสถานที่ไร้ชีวิตแล้ว ตำหนักสวรรค์จะปิดผนึกทางเข้าออกทั้งหมดของน่านฟ้าผืนนั้น พวกเจ้าจะได้จับตัวนักโทษได้สะดวก ระยะเวลาการทดสอบคือหนึ่งปี! หลังจากครบกำหนดเวลา ก็สามารถรายงานผลภารกิจตรงทางออกที่กำหนดไว้บนแผ่นหยก ถ้ามีใครหลบหนีไปโดยพลการ ประหาร! ทุกคนเข้าใจแล้วใช่มั้ย?”

“เข้าใจแล้ว!” ทุกคนเอ่ยรับอย่างพร้อมเพรียง

พ่อบ้านหันซ้ายหันขวาแล้วสั่งทันทีว่า “ตรวจสอบตัวตนให้ดี ออกเดินทาง!”

ดังนั้น เหล่าผู้บัญชาการจึงเริ่มเรียงแถวลงตราอิทธิฤทธิ์เพื่อเทียบตรวจอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้ประทับตราอิทธิฤทธิ์ลงบนแผ่นหยกแล้ว แต่ประทับลงในเครื่องมือชิ้นหนึ่ง ทุกครั้งที่ประทับตราอิทธิฤทธิ์ เครื่องมือรูปทรงกลมชิ้นนั้นก็จะกะพริบแสงสายหนึ่ง

คนที่ตรวจผ่านแล้วแบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มละเก้าคน จะมีที่ปรึกษาหนึ่งคนคอยนำกลุ่มเหาะไปยังประตูดวงดาวบานนั้น

พวกเหมียวอี้เดินตามกลุ่มไปอย่างช้าๆ เพราะทางข้างหน้ายากจะคาดเดา คนในกลุ่มแต่ละคนเงียบงันไม่พูดอะไร

ที่เรียกว่า ‘สถานที่ไร้ชีวิต’ อะไรนั่น เหมียวอี้ก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน เหมือนจะเป็นสถานที่ที่ถูกยึดครองโดยพวกคนเลวทรามป่าเถื่อน สาเหตุที่เรียกว่าสถานที่ไร้ชีวิต ก็เพราะจะสื่อความหมายว่า ‘มีแต่ตาย ไม่มีรอด’ ดังนั้นน่านฟ้าผืนนี้จึงมีปัจจัยแวดล้อมที่เลวร้ายมาก ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย บนดาวเคราะห์ทุกดวงที่อยู่ในน่านฟ้านั้นไม่มีมนุษย์ธรรมดาอาศัยอยู่เลย นี่คือที่มาของชื่อ ‘สถานที่ไร้ชีวิต’

และที่นั่นก็ไม่มีขุนนางของตำหนักสวรรค์เฝ้ารักษาการณ์ด้วย ส่วนสาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะคนส่วนใหญ่ของที่นั่นเป็นคนไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าเคยทำความผิดอะไรมา เพราะไม่อยากคบค้ากับตำหนักสวรรค์ ถึงได้มาหลบอยู่ที่ซอกหลืบแบบนี้ ถ้าตำหนักสวรรค์ส่งคนมานั่งรักษาการณ์ คนพวกนั้นก็จะเปลี่ยนสถานที่รวมตัวกันทันที ขอเพียงเจ้ายินดีส่งคนมา พวกเขาก็ยินดีที่จะเปลี่ยนสถานที่ ขอถามหน่อยว่าสถานที่ที่ไม่มีสมบัติอะไรเลย ตำหนักสวรรค์จะส่งคนไปนั่งรักษาการณ์ทำไม?

เห็นได้ชัดว่าโค่วเหวินชิงจงใจรอพวกเหมียวอี้ รอจนพวกเหมียวอี้ผ่านการตรวจสอบแล้ว นางก็ก้าวเข้ามารับตัว หลังจากรวมกลุ่มได้ครบเก้าคน นางก็พาพวกเขาเหาะขึ้นฟ้าไป เมื่อเข้าใกล้ประตูดวงดาว ขณะที่โดนแรงดึงดูดมหาศาลของประตูดวงดาวดึงเข้าไป โค่วเหวินชิงก็ปล่อยกระสวยทองออกมา ลำแสงสายหนึ่งหมุนวนด้วยความเร็วสูง ครอบคนสิบคนให้ข้ามผ่านประตูดวงดาวไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อปรากฏท้องฟ้าอีกผืนหนึ่ง โค่วเหวินชิงก็บอกทุกคนด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “ที่นี่ก็คือสถานที่ไร้ชีวิต และเป็นสนามทดสอบของพวกเจ้า หนึ่งร้อยปีต่อไปนี้พวกเจ้าต้องแสดงความสามารถด้วยตัวเอง!” พูดจบก็ไม่สนใจพวกเหมียวอี้แล้ว นางจากไปพร้อมกับที่ปรึกษาอีกคนที่พาคนเข้ามาด้วยกัน ตรงนี้ไม่มีทางเดิมให้กลับ ต้องออกไปโดยใช้ทางออกอีกที่หนึ่ง แต่หลังจากที่พวกเขาออกไปแล้ว ประตูดวงดาวทั้งบานของสถานที่ไร้ชีวิตก็จะถูกปิดผนึกทันที

“พวกเราก็ไปกันเถอะ!” สวีถังหรานกล่าวอย่างร้อนใจ

คนในกลุ่มรู้ว่าเขากำลังกังวลอะไร เพราะเซี่ยโห้วหลงเฉิงยังไม่ได้เข้ามา เขากังวลว่าจะเจอเซี่ยโห้วหลงเฉิงอีก เมื่ออยู่ที่นี่เซี่ยโห้วหลงเฉิงคงจะไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น

มู่หรงซิงหัวก็ไม่อยากเจอเซี่ยโห้วหลงเฉิงเหมือนกัน แค่คิดก็รังเกียจแล้ว แม้แต่ชื่อก็ไม่อยากได้ยิน จึงโบกมือสั่งอย่างแน่วแน่ว่า “ไป!”

เมื่อหยิบแผนที่ดาวออกมาแล้ว ก็นำทุกคนเหาะออกไปด้วยความเร็วสูง เจิ้งหรูหลงที่ไม่ค่อยรู้สถานการณ์ชัดเจนรีบถามว่า “พวกเราจะไปที่ไหนกัน?” โค่วเหวินชิงถ่ายทอดเสียงโดยกันเขาเอาไว้

“ดาววิงวอนชีพ ตลาดมืด!” มู่หรงซิงหัวตอบ

“ดาววิงวอนชีพ ตลาดมืด…” ขณะที่เจิ้งหรูหลงกำลังพึมพำ ก็หันไปมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ปรากฏว่าเห็นเหมียวอี้กำลังกวาดตามองพวกเขาอยู่เหมือนกัน ทั้งสองจึงสบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ

เจิ้งหรูหลงยิ้มให้ทันที เหมียวอี้ก็ยิ้มตอบเช่นกัน จากนั้นทั้งสองก็หยิบแผนที่ดาวออกมาดู

แต่ไม่รู้ว่าเป็นการจงใจหรือไม่ เหมียวอี้กลับปรับเปลี่ยนตำแหน่งการเหาะยามอยู่ในกลุ่ม เขาเหาะมาอยู่ข้างกายสวีถังหราน ดึงสวีถังหรานพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าวรยุทธ์ไม่สูง รบกวนพี่สวีพาข้าไปด้วยนะ”

สวีถังหรานพูดไม่ออก เจ้าวรยุทธ์ไม่สูงพอ ก็ควรจะไปหาเกาะคนที่วรยุทธ์สูงกว่าเจ้าสิ ให้ข้าพาเจ้าไปด้วยเนี่ยนะ?

แต่เขาก็แค่หัวเราะแห้งๆ ปล่อยแขนข้างหนึ่งให้เหมียวอี้เกาะไว้

ถ้ามองจากมุมของเหมียวอี้ นี่คือการอาศัยร่างกายของสวีถังหรานเพื่อกันคนอื่นๆ ออกจากเขา รักษาระยะห่างไว้สักหน่อย ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก แค่เพราะสวีถังหรานมีวรยุทธ์ต่ำ สามารถรับมือได้สะดวก ทั้งยังทำเป็นสิ่งกีดขวางได้ด้วย เวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา จะได้มีเวลารับมือมากขึ้นหน่อย!

คนนอกเห็นแค่ตอนที่เหมียวอี้เสพสุขกับเกียรติยศความร่ำรวย มีสาวงามให้กอดซ้ายกอดขวา วาสนาเรื่องผู้หญิงมีไม่ขาด แต่กลับไม่รู้ว่าเขาใช้ชีวิตผ่านมาอย่างไรหลังจากก้าวเข้าแดนฝึกตน

มือใหม่ไร้ประสบการณ์เข้าถ้ำล่องนิภา ปรากฏว่าโดนหยวนเจิ้งคุนประมุขถ้ำล่องนิภาทรยศ โดนให้เป็นตัวตายตัวแทนสกัดข้าศึกเพื่อถ่วงเวลา ต้องสู้รบจนเกือบตาย หลังจากยอมแพ้ให้หยางชิ่งแล้ว ก็โดนคนลอบฆ่าที่วัดเมี่ยวฝ่า เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอดอีกครั้ง เป็นเพราะแค้นเก่าของหญิงรับใช้ของสงเซียว ทำให้ถูกสงเซียววางแผนลอบสังหาร ชีวิตตกอยู่ในวิกฤตครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนหลังโดนพี่ชายร่วมสาบานของตัวเองวางแผนทำร้ายทางอ้อม ทำให้ต้องไปเสี่ยงชีวิตที่ทะเลดาวนักษัตร

การเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายที่ตามมาตอนหลังก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ถ้าให้คิดทีละบัญชีก็คงไม่หมด แต่หลังจากที่เขาเผชิญความเป็นความตายมาหลายครั้ง ตัวเขาเองก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเช่นกัน ค่อยๆ เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มเลือดร้อนในปีนั้นเป็นคนปลิ้นปล้อนเจ้าแผนการ นี่คือราคาที่ต้องจ่ายเมื่อเติบโตขึ้น คือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อความอยู่รอด!

และในตอนนี้เขาก็รู้สึกตื่นตัวอีกครั้ง คนที่มองเห็นเพียงด้านที่สวยงามของเขา จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาต้องทุกข์ทรมานหรือจ่ายอะไรบ้างเพื่อความอยู่รอด ต้องอยู่ระหว่างคาบเกี่ยวความเป็นความตายกี่ครั้ง ต้องเผชิญอันตรายกี่ครั้ง ต้องปรับตัวรับมือวิกฤตกี่ครั้ง ผ่านไปแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะมาถึงเมื่อไร ทำได้เพียงเตรียมตัวตั้งรับทุกอยู่ตอลดเวลา เพียงแต่ไม่บอกคนนอกก็เท่านั้นเอง…

ณ สถานที่ไร้ชีวิต ถึงแม้ชื่อของมันจะทำให้คนฟังสิ้นฟัง แต่เป็นท้องฟ้าที่สวยงามที่สุดเท่าที่เหมียวอี้เคยเห็นมา ก้อนเมฆที่สีสันสดใสแพรวพราวนั่นช่างอลังการจนเหลือเชื่อ เป็นหมู่ดาวหลากสีสัน ราวกับภาพฝันมายา ทำให้คนจินตนาการไม่ออกเลยว่า ต้องมีพลังแข็งแกร่งขนาดไหนถึงทำให้ท้องฟ้าผืนนี้เปลี่ยนเป็นยิ่งใหญ่เกรียงไกรขนาดนี้ได้!

หลังจากมาถึงดาววิงวอนชีพ เหมียวอี้ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมมนุษย์ธรรมดาถึงอาศัยอยู่ที่นี่ไม่ได้

ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ดาววิงวอนชีพหันหน้าไปยังทิศทางเดียวอยู่ตลอด ด้านหนึ่งโดนแสงอาทิตย์ส่องอยู่ตลอด ส่วนอีกด้านอยู่ในความมืดมิดตลอด เป็นดาวเคราะห์ที่ครึ่งหนึ่งเป็นสีน้ำตาลอมเหลือง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ในความมืดถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ อีกด้านหนึ่งร้อนจี๋ไร้ที่เปรียบ ส่วนอีกด้านก็เหน็บหนาวเข้ากระดูก ไม่เหมาะจะให้มนุษย์ธรรมดาดำรงชีวิตเลยจริงๆ

แต่ตรงจุดที่ความมืดกับแสงสว่างตัดสลับกัน กลับเป็นสีที่ต่างออกไป สีเขียว!

มีเพียงสถานที่แบบนี้ที่เหมาะแก่การดำรงชีวิต ตอนที่ลอยสำรวจอยู่บนฟ้า ก็มีคนหลายกลุ่มเหาะไปยังพื้นที่สีเขียวที่อยู่ตรงกลางนั่นแล้ว พวกเขาคือผู้บัญชาการที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้เช่นกัน ก่อนหน้านี้เคยเจอหน้ากันมาแล้ว

แต่ละคนมองหน้ากันเลิกลั่ก นึกไม่ถึงว่าจะมีคนอื่นมุ่งตรงมาที่นี่ด้วย พวกเขายังไม่เคยมาที่นี่เลย หลังจากปรึกษาหารือกันครู่เดียว ก็เหาะไปทางกลุ่มคนเหล่านั้น

ตรงจุดที่ห่างจากภูเขาหิมะสูงหลายสิบลี้ ป่าทึบเขียวชอุ่มเผืนหนึ่งที่แผ่ขายออกไปราวกับแถบผ้า ข้างหน้ามองไม่เห็นหัว ข้างหลังมองไม่เห็นหาง พืชพรรณในป่าผืนนี้แปลกประหลาดมหัศจรรย์ ทิ้งภาพลักษณ์เพียงอย่างเดียวให้กับผู้ที่มาใหม่ ปีศาจ!

ทว่าในป่าทึบที่ดูแปลกประหลาดมากผืนนี้ ทุกที่มีสิ่งปลูกสร้างหลากหลายแบบกระจายอยู่หร็อมแหรม ไร้ระเบียบ ไร้แบบแผน และดูออกว่าไม่มีใครควบคุม อยากจะก่อสร้างอย่างไรก็ก่อสร้างอย่างนั้น เห็นคนผ่านไปผ่านมาในป่าเป็นระยะ เพียงแต่ที่นี่ไม่มีถนนที่ตั้งใจสร้าง ล้วนเป็นทางเล็กๆ ในป่าที่เกิดจากคนเดินเหยียบ

พวกเหมียวอี้เหยียบลงในป่า พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง คาดว่าคงมาไม่ผิดที่

บังเอิญมีชายชราคนหนึ่งเดินเอามือไขว้หลังเข้ามา มู่หรงซิงหัวจึงก้าวเข้าไปกุมหมัดคารวะ “ขออนุญาตถาม โรงจำนำผีเสื้อไปอย่างไร?”

“ถามทางเหรอ!” ชายชราหยุดฝีเท้าและมองสำรวจพวกเขาแวบหนึ่ง แล้วยื่นมือไปหามู่หรงซิงหัวพร้อมกล่าวกลั้วหวัเราะ “เอามาหนึ่งร้อยล้านผลึกแดง แล้วข้าจะบอกเจ้า ไม่อย่างนั้นก็ไปถามคนอื่น แต่อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้านะ ไปหาคนอื่นอาจจะแพงกว่านี้!”

มู่หรงซิงหัวจึงยิ้มพร้อมถามว่า “ท่านผู้เฒ่า แค่ถามทางก็ต้องจ่ายหนึ่งร้อยล้านผลึกแดง แพงไปหน่อยหรือเปล่าคะ?”

ชายชราหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “ไม่ชอบที่เยอะเกินไปเหรอ งั้นพวกเจ้าก็ไปถามคนอื่นแล้วกัน ข้าไม่เอาเงินนี้ก็ได้!”

“หยุดก่อน!” เหมียวอี้พลันสั่งด้วยเสียงเย็นเยียบ หมอกสีทองกลุ่มหนึ่งลอยออกมา ชั่วพริบตาเดียวก็สวมเกราะรบสีทองไว้บนตัวแล้ว

ชายชราหันกลับมามอง ตะลึงงัน!

เหมียวอี้โบกทวนชี้ “ตำหนักสวรรค์กำลังปฏิบัติภารกิจ ผู้ที่ไม่ให้ความร่มมือ โดนลงโทษฐานฝ่าฝืนกฎ!” ฉวยโอกาสตอนที่ชายชรางุนงง โยนเชือกมัดเซียนเส้นหนึ่งออกมา แล้วมัดอีกฝ่ายเอาไว้โดยตรง

เจ้าบ้านี่ทำอะไรของมัน? พวกมู่หรงซิงหัวหน้าเครียดทันที กลัวคนอื่นจะไม่รู้หรือไงว่าพวกเราเป็นคนของตำหนักสวรรค์? ยังไม่ทันปิดบังตัวตน แต่ดูเจ้าทำสิ เป็นฝ่ายเปิดโปงตัวตนเองแล้ว!

1010

เป้าหมายแรก

แต่ไหนๆ ก็ทำไปแล้ว สมาชิกที่เหลือทำได้เพียงข่มไฟโกรธไว้ในใจ

ชายชราที่โดนมัดทำสีหน้าไม่ถูก เขามองดูเชือกมัดเซียนที่มัดตัวเองไว้แน่น แล้วก็เงยหน้ามองเหมียวอี้ ก่อนจะกล่าวอย่างจนใจว่า “ขุนนางสวรรค์ เจ้าไม่ต้องเอะอะก็จับมัดก็ได้มั้ง ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะไม่ให้ความร่วมมือ! ในเมื่อเป็นขุนนางสวรรค์ที่ปฏิบัติภารกิจ ข้าให้ความร่วมมือก็ได้”

เดิมทีเขาสามารถหลบหลีกได้ แต่โดนเหมียวอี้เผยฐานะของตำหนักสวรรค์จนตกใจกลัว เขาไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของคนพวกนี้ จึงไม่กล้าต่อต้าน

พอได้ยินคำพูดของชายชรา มู่หรงซิงหัวก็ค่อนข้างพูดไม่ออกนิด ตัวเองขอคำชี้แนะจากอีกฝ่ายดีๆ แต่โดนเก็บเงิน พอเหมียวอี้ใช้ไม้แข็งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง อีกฝ่ายก็เชื่อฟังทันที

“รู้จักให้ความร่วมมือก็ดีแล้ว!” เหมียวอี้ถาม “โรงจำนำผีเสื้อไปยังไง?”

ชายชราหันหน้าและบุ้ยปากไปทางทิศตะวันออก “ไปข้างหน้าอีกสามลี้ แล้วเดินเลียบแม่น้ำไปอีกสองลี้ พอเห็นร้านที่ติดกระดาษรูปผีเสื้อไว้เต็มใต้ชายคาก็แปลว่าถึงแล้ว” จากนั้นก็หันกลับมาถอนหายใจแล้วบอกว่า “ขุนนางสวรรค์ ตอนนี้ปล่อยข้าไปได้แล้วมั้ง ตาแก่คนนี้ไม่กล้ามีเรื่องกับขุนนางตำหนักสวรรค์ อุบ…”

ชายชราส่งเสียงคราง เบิกตากว้างสองข้าง ค่อยๆ ก้มหน้ามองดูท้องที่มีเลือดซึมของตัวเอง เหมียวอี้ใช้ทวนแทงท้องของเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันก็ปล่อยเปลวเพลิงไร้รูปร่างใส่ร่างกายเขา

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าพูดจริงหรือโกหก ถ้าข้าแน่ใจแล้วว่าเจ้าพูดจริงค่อยปล่อยเจ้าไปก็ยังไม่สาย!” เหมียวอี้เก็บเขาเข้าในกระเป๋าสัตว์ แล้วหันมาบอกมู่หรงซิงหัว “ไปกันเถอะ!”

“เจ้า…” มู่หรงซิงหัวมองกระเป๋าสัตว์ของเขาแวบหนึ่ง นางตกตะลึงมาก จับคนไปอย่างนี้เลยน่ะเหรอ? เจ้าเป็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงคนที่สองชัดๆ ถึงทำเรื่องแบบนี้ได้

เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “พวกเราเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ผู้สง่าน่าเกรงขาม นักพรตอิสระเล็กๆ จะมาดูหมิ่นได้อย่างไร ทั้งยังบังอาจมาเก็บเงินพวกเราอีก ช่างใจกล้าคับฟ้า ย่อมต้องลงโทษอยู่แล้ว!”

มู่หรงซิงหัวถอนหายใจแล้วบอกว่า “เปิดโปงตัวตนไปแล้ว ถ้าทำให้คนที่จะโดนจับกุมตกใจหนีไปจะทำยังไง?”

“ถ้าทำให้ตกใจหนีไป คนอื่นก็จับไม่ได้เหมือนกัน ไม่ได้มีแค่พวกเราที่ซวย แล้วอีกอย่าง ก็ไม่มีใครเห็นเหมือนกัน” เหมียวอี้พูดกลั้วหัวเราะอย่างไม่แยแส ก่อนจะลงมือเขามองสำรวจรอบๆ แล้ว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนถึงได้ลงมือ

สมาชิกที่เหลือมองไปรอบๆ พบว่าไม่มีคนอื่นจริงๆ

เกราะสีทองบนตัวเหมียวอี้กลายเป็นหมอกสีทองเก็บเข้าในกำไลเก็บสมบัติ “ไปทางตะวันออกสามลี้ แล้วเดินเลียบแม่น้ำอีกสองลี้ ไปกันเถอะ!”

เจิ้งหรูหลงและคนอื่นๆ สบตากันแวบหนึ่ง พูดอะไรไม่ออกนิดหน่อย แต่ก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว วิธีการทำงานแบบนี้มีประสิทธิภาพสูงจริงๆ

พวกเขาย่อมไม่เดินอย่างชักช้า เหาะขึ้นฟ้าเพื่อแยกแยะทิศทางโดยตรง จากนั้นก็เหาะออกไปเหยียบลงตรงตำแหน่งที่ชายชราบอก พอกวาดสายตามองรอบๆ สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ตึกที่มีโครงสร้างแบบปิดตรงริมแม่น้ำ ใต้ชายคาแขวนผีเสื้อกระดาษทั้งตัวเล็กตัวใหญ่เอาไว้เต็มไปหมด สีสันแพรวพราว ปลิวขยับตามลม กระดิ่งลมหลายพรวนตรงประตูส่งเสียงไพเราะ มีเสน่ห์ไปอีกแบบ

“สงสัยเถ้าแก่ของที่นี่จะมีอารมณ์สุนทรีย์มาก” หยางไท่กล่าวกลั้วหัวเราะ

พวกเขาเดินมาถึงตรงประตู เห็นบนบนของวงกบประตูเขียนไว้ว่า ‘โรงจำนำ’ พอเดินเข้าไปข้างใน สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็คือโต๊ะคิดเงินตัวหนึ่ง ข้างหลังโต๊ะมีเด็กหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิ

เมื่อเด็กหนุ่มเห็นแขกมา ก็ลุกขึ้นยืนอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านลูกค้า ต้องการจะจำนำของอะไรขอรับ?”

“พวกเราต้องการพบเถ้าแก่เนี้ย” มู่หรงซิงหัวตอบ

เด็กหนุ่มชะงักไปครู่เดียว แล้วกวาดตามองพวกเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่เนี้ยไม่อยู่ขอรับ ถ้ามีธุระอะไรบอกข้าน้อยไว้ก่อนได้ ข้าน้อยจะไปแจ้งให้”

เห็นได้ชัดว่าเป็นข้ออ้าง พวกเขาขมวดคิ้ว ไม่เชื่อหรอกว่าเถ้าแก่เนี้ยของที่นี่จะไม่ได้รับแจ้งจากตระกูลโค่วก่อนที่พวกเขาจะม

ในตอนนี้เอง สวีถังหรานหยิบแหวนรูปผีเสื้อสีดำออกมาวงหนึ่ง แล้วสวมแหวนไว้บนนิ้ว จงใจจะให้เผยให้เด็กหนุ่มดู

เด็กหนุ่มจ้องมองทันที แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมาก หันกลับมาดึงเชือกที่อยู่เหนือศีรษะ ทำให้เกิดเสียงกระดิ่งดังก้องทันที จากนั้นก็ชี้ไปทางประตูด้านข้าง “ทุกท่านเลี้ยวซ้ายขึ้นตึกไป ชั้นบนสุด!”

เมื่อเปลี่ยนท่าทีแบบนี้ เหมียวอี้ก็รู้สถานการณ์แลว พวกมู่หรงซิงหัวกลับมองสวีถังหรานด้วยแววตาล้ำลึก ต่างก็นึกไม่ถึงว่าในมือสวีถังหรานจะมีแผนสำรอง

ตามที่เด็กหนุ่มแนะนำ พวกเขาเข้าไปที่ประตูด้านข้างแล้วขึ้นบันไดไป ตลอดทางไม่เห็นโคมไฟเลย แต่กลับมีแสงสว่างระยิบระยับสะท้อนหักเหผ่านกระจก ในแสงสว่างของกระจกยังมีเงาผีเสื้อสั่นไหวช้าๆ ด้วย ทำให้คนรู้สึกถึงความเร้นลับอันสงบเงียบ

เมื่อทั้งสามคนมาบนชั้นสาม ก็เห็นสตรีวัยกลางคนสวมชุดลาย เป็นประโปรงยาวลายดอกไม้ มีดวงตาดอกท้อที่หวานฉ่ำเย้ายวนใจ หน้าตาสดใส งดงามเป็นที่สุด นางกำลังยืนกอดอกพิงหลังอยู่ที่วงกบประตู บนตัวอบอวลไปด้วยปราณปีศาจ สายตาหยุดชะงักที่แหวนผีเสื้อบนนิ้วสวีถังหราน แล้วกวักมือเรียก “เข้ามานั่งก่อนสิ!” นางหันตัวสะบัดเอวบางเดินเข้าไปในห้อง

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน เขามองเห็นเงารางๆ ของอวิ๋นจือชิวในปีนั้นจากตัวของผู้หญิงคนนี้ เพียงแต่อวิ๋นจือชิวไม่ได้กรีดกรายหยาดเยิ้มเท่านางก็เท่านั้นเอง

ในห้องกว้างโล่ง มีโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าหนึ่งตัว มีเก้าอี้ไม้สี่ตัว เรียบง่ายไม่ฉูดฉาด ตอนสตรีชุดลายถือกาน้ำชามารินใส่ถ้วยให้พวกเขา สวีถังหรานก็ถามว่า “ท่านคือฮวาหูเตี๋ยเหรอ?”

สตรีชุดลายเพียงยิ้มบางๆ แล้วยื่นมือบอกว่า “นำแหวนมาให้ข้า!”

สวีถังหรานถอดแหวนยื่นให้นาง สตรีชุดลายหยิบแหวนเดินไปตรงหน้าลำแสงสายหนึ่งที่ส่องหักเหเข้ามาในห้อง พอนางปรับมุมแหวนวางลงไปตรงนั้น บนผนังที่ถูกลำแสงสายนั้นส่องก็ปรากฏเป็นเงามืดของผีเสื้อตัวหนึ่ง

ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก สวีถังหรานไม่รู้ว่าแหวนวงนี้ลึกลับขนาดนี้ สตรีชุดลายเก็บแหวน แล้วบอกว่า “ไม่ผิดหรอก ข้าคือเถ้าแก่เนี้ยของโรงจำนำนี้ คนเรียกกันว่าฮวาหูเตี๋ย ข้ารู้จุดประสงค์ที่พวกเจ้ามาแล้ว นี่คือของที่พวกเจ้าต้องการ” ขณะที่พูดก็วางแผ่นหยกไว้บนโต๊ะ

หลังจากมู่หรงซิงหัวหยิบมาตรวจอ่าน ก็ขมวดคิ้วถามว่า “มีแค่เก้าคนเองเหรอ?”

ฮวาหูเตี๋ยนั่งลงข้างนางแล้วถอนหายใจ “เวลากระชั้นชิดเกินไป หัวข้อทดสอบของพวกเจ้าออกมาช้าเกินไป ข้าไปจัดการเรื่องนี้หลังจากได้ข้อมูล ให้เวลาสั้นขนาดนี้ ข้าหาที่อยู่ได้เก้าคนก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว คนอื่นกำลังช่วยพวกเจ้าสืบข่าวอยู่ เวลาภายในหนึ่งร้อยปี ไม่ต้องรีบร้อนทำภายในครั้งเดียวหรอก แล้วอีกอย่าง คนหนึ่งพันคนจับนักโทษหนึ่งร้อยคน ถ้าพวกเจ้ามีความสามารถที่จะจับเก้าคนนี้กลับไปได้หมด พวกเจ้าก็จะได้อยู่อันดับต้นๆ แน่นอน ที่เหลือก็ค่อยๆ หาแล้วกัน ถ้ามีข่าวอะไรเดี๋ยวเบื้องบนก็บอกพวกเจ้าเอง”

พอได้ฟังแบบนี้ ทุกคนไตรตรองดูแล้วก็เห็นด้วย ถ้าสามารถจับนักโทษหลบหนีเก้าคนนี้ได้ อันดับจะต้องไม่แย่แน่นอน แบบนั้นก็รายงานผลการปฏิบัติงานได้แล้ว

พวกเขาผลัดกันอ่านแผ่นหยก พบว่าบนดาววิงวอนชีพมีนักโทษในรายชื่อแค่สองคน คนอื่นๆ แทบจะกระจายตัวอยู่ที่ดาวอื่นของน่านฟ้าผืนนี้

หลังจากทุกคนทำสำเนาข้อมูลบนแผ่นหยกแล้ว ก็ส่งแผ่นหยกคืนให้มู่หรงซิงหัว

“สถานการณ์ก็เป็นแบบนี้ ที่นี่ไม่มีห้องให้ลูกค้าพัก ถ้าทุกคนไม่มีธุระอย่างอื่นแล้ว ข้าก็ส่งตรงนี้แล้วกัน” ฮวาหูเตี๋ยวางข้อศอกข้างหนึ่งลงบนโต๊ะ ถือถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบช้าๆ แล้วกล่าวอย่างเย็นชา น้ำเสียงดูเกียจคร้าน ให้ความรู้สึกเหมือนไม่แยแส

ในเมื่อเจ้าบ้านไม่ต้อนรับ พวกเขาก็ไม่สะดวกจะอยู่ต่อ บอกลากันตรงนี้

พอออกจากโรงจำนำ เหมียวอี้ก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง ผีเสื้อกระดาษปลิวสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลม เสียงกระดิ่งยังคงดังไพเราะ เป็นบรรยากาศที่หาพบได้ยากในสถานที่ที่ต้องวิงวอนขอชีวิตแบบนี้ เพียงแต่ถ้าการทดสอบครั้งนี้จบลง เขาเดาว่าโรงจำนำแห่งนี้ก็คงต้องปิดตัวลงด้วยเช่นกัน ในเมื่อเปิดเผยแล้วว่ามีความเกี่ยวข้องกับตระกูลโค่ว ตระกูลโค่วคงไม่เก็บไว้ให้เป็นจุดอ่อนของตัวเอง

เรื่องบางเรื่องก็รู้อยู่แก่ใจ แต่กลับเปิดเผยออกมาไม่ได้ นักโทษหลบหนีที่ตำหนักสวรรค์หาไม่พบ แต่ตระกูลโค่วที่เป็นส่วนหนึ่งของตำหนักสวรรค์สามารถหาพบแต่กลับไม่ทุ่มเทจับตัวมา แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน? ตระกูลโค่วคงไม่เชื่อว่าพวกเขาจะปิดปากเงียบเรื่องนี้ได้ ในภายหลังโรงจำนำแห่งนี้ย่อมต้องปิดตัวลง

เหมียวอี้คิดว่าตัวเองพอจะเข้าใจ ว่าทำไมฮวาหูเตี๋ยถึงไม่ค่อยต้อนรับพวกเขา

ตอนที่ยืนอยู่หน้าโรงจำนำ พวกเขาก็มองไปรอบๆ สวีถังหรานถ่ายทอดเสียงถามว่า “ตอนนี้จะทำยังไงดี?”

มู่หรงซิงหัวตอบว่า “ตามสถานที่ที่ฮวาหูเตี๋ยให้มา ที่ป่าลืมทุกข์ที่ห่างจากตลาดมืดออกไปสองพันลี้ คือที่ซ่อนของนักโทษหลบหนีซูลู่เอ๋อร์ ที่นี่อยู่ใกล้พวกเราที่สุด จะลงมือเลยมั้ย?”

ซูลู่เอ๋อร์! พวกเขาหยิบรายชื่อที่ได้รับแจกมาอ่าน ทำความเข้าใจสถานการณ์ของนางแล้ว

เป็นปีศาจงูขียวตัวหนึ่ง เดิมทีเป็นอนุภรรยาของหัวหน้าภาคคนหนึ่ง ตอนหลังฆ่าคนปล้นทรัพย์ ไม่น่าเชื่อว่าจะสังหารขุนนางของตำหนักสวรรค์ ซึ่งเป็นสามีของนางนั่นเอง หัวหน้าภาคท่านนั้น เป็นเรื่องเมื่อแปดร้อยกว่าปีก่อน เนื่องจากทิศทางไม่ชัดเจน จนกระทั่งวันนี้จึงยังแก้ไขคดีไม่ได้!

พอมาถึงก็จะเริ่มลงมือเลยเหรอ? ทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง แล้วสวีถังหรานก็บอกว่า “ซูลู่เอ๋อร์ ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นชิงเหมย แปดร้อยปีก่อนวรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่ ตอนนี้คงจะบงกชทองขั้นห้าแล้ว มีพี่เจิ้งอยู่คงจับตัวได้แน่นอน เพียงแต่ดูจากข้อมูลที่ฮวาหูเตี๋ยให้มา ตอนนี้ซูลู่เอ๋อร์กลายเป็นฮูหยินของปานเยว่กงของป่าลืมทุกข์แล้ว วรยุทธ์ของปานเยว่กงคือบงกชทองขั้นเก้านะ เขาคงไม่ดูฮูหยินของตัวเองโดนจับไปเฉยๆ แน่ พวกเราจะทำสำเร็จเหรอ?”

พอพูดจบ ขณะที่ทุกคนกำลังพิจารณา จู่ๆ เจิ้งหรูหลงก็บอกว่า “เอาแบบนี้ดีมั้ย เดี๋ยวข้ารับมือกับปานเยว่กงเอง ข้าจะหาทางล่อเขาออกไป จากนั้นพวกเจ้าค่อยลงมือจัดการซูลู่เอ๋อร์ แบบนี้เป็นไง?” ขณะที่พูดก็มองรอบวง

ทุกคนนึกไม่ถึงว่าเขาจะยินดีเสนอตัวไปเสี่ยงอันตราย ในเมื่อเขาพูดแบบนี้แล้ว คนที่เหลือก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร มีของวิเศษที่โค่วเหวินหลานมอบให้ คาดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร พวกเขาย่อมเห็นด้วย จึงเหาะขึ้นฟ้าไปทันที

ดาววิงวอนชีพตรงที่ความมืดและแสงสว่างรวมกัน ถ้าอิงตามพิกัดของดวงอาทิตย์ บริเวณป่าทึบที่เหมือนมีเส้นผ้าล้อมรอบคือทางไปตะวันตกเฉียงเหนือ พวกเขาเหาะไปทางเหนือด้วยความเร็วสูง ระยะทางสองพันลี้ไม่นับว่าไกลสำหรับพวกเขา

อิงตามแผนที่ที่ฮวาหูเตี๋ยให้มา เจิ้งหรูหลงเรียกให้ทุกคนหยุดตรงจุดที่ห่างจากป่าลืมทุกข์หลายสิบลี้ แล้วบอกเหมียวอี้ว่า “ผู้บัญชาการหนิว ข้าไปครั้งนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะล่อปานเยว่กงออกไปได้หรือเปล่า เพื่อป้องกันไม่ให้หนีไม่ทันยามเกิดเหตุไม่คาดคิด เจ้าหยุดอยู่ที่นี่แล้วกัน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา เกรงว่าพวกเราคงจะดูแลเจ้าไม่ทั่วถึง เจ้ารออยู่ตรงนี้จะได้ปลีกตัวหนีได้สะดวก”

เหมียวอี้อึ้งทันที กวาดสายตามองคนที่อยู่รอบๆ แวบนึ่ง แล้วก็มอบดูสภาพแวดล้อม คนอื่นๆ ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย เขาจึงยิ้มพร้อมตอบว่า “ก็ดี! ข้าหลบรอพวกเจ้าอยู่ในโพรงไม้ต้นนั้นดีไหม?” เขาชี้ไปยังโพรงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล

“ดี!” เจิ้งหรูหลงเห็นด้วย

เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง ถลันตัวเข้าไปทันที มุดเข้าไปอยู่ในโพรงไม้นั่นแล้ว

เจิ้งหรูหลงหันกลับมากวักมือเรียกคนอื่นๆ “พวกเราไปกันเถอะ!”

หลังจากพวกเขาเหาะออกไปได้ไม่นาน เหมียวอี้ก็โผล่ออกมาจากโพรงไม้อีก เขาเอามือลูบคางพลางขมวดคิ้วด้วยแววตาเป็นประกาย จากนั้นมองไปรอบๆ อีกครั้ง สายตาไปหยุดอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล แล้วเหาะเข้าไปทันที รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ขุดถ้ำออกมาโพรงหนึ่ง

หลังจากปลอมแปลงปากถ้ำแล้ว เขาก็ก้มตัวมุดเข้าไป แล้วสังเกตความเคลื่อนไหวภายนอกโดยอาศัยหญ้ารกร้างกั้นอำพราง


1011

จิตใจที่เห็นแก่ส่วนรวม

แต่ไม่นานก็มุมออกมาอีก วิ่งกลับเข้าไปในโพรงไม้แล้ว เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก คุ้ยดินโคลนที่ตัวเองใส่ไว้ในแหวนเก็บสมบัติตอนขุดโพรงถ้ำเมื่อครู่นี้ออกมาส่วนหนึ่ง จากนั้นผสมน้ำแล้วรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ปั้นเป็นรูปคนนั่งขัดสมาธิอย่างรวดเร็ว

มนุษย์ดินปั้นสวมเสื้อผ้าของเขา มองจากข้างหลังก็ยังเหมือนคน แต่ส่วนศีรษะที่เป็นโคลนเด่นชัดเกินไป ดังนั้นเขาจึงเพิ่มของที่ใช้ยามปลอมตัวเข้าไป แปะพวกผมปลอมเข้าไปอย่างรวดเร็ว ช่องว่างในโพรงไม้ไม่ได้ใหญ่ อย่างมากก็รองรับคนหมุนตัวได้สองคน เหมียวอี้โผล่ออกมาจากโพรงไม้ แล้วยื่นศีรษะเข้าไปดูขณะที่ตัวอยู่ด้านนอก ถ้ามองจากข้างหลังโดยไม่สังเกตก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

ตอนนี้เขาถึงได้โผล่ออกมา แล้วกลับเข้าไปในโพรงถ้ำที่ตัวเองขุด คิดไปคิดมาก็เตรียมตัวเพิ่มอีกชั้น สวมเกราะรบที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้ แล้วปล่อยตั๊กแตนสิบสิบห้าตัวจากยี่สิบห้าที่นำมาด้วยออกมา

การที่เขาทำท่าเหมือนจะต้องเผชิญศัตรูที่แข็งแกร่งแบบนี้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล สิ่งที่เจิ้งหรูหลงบอกก็มีเหตุผลจริงๆ การไปครั้งนี้อาจจะต้องเผชิญกับยอดฝีมือบงกชทองขั้นเก้า พลังระดับบงกชทองขั้นเก้า ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่คยเจอมาก่อน ในปีนั้นที่ปีศาจโลหิตกับจงหลีค่วยสู้กัน ความแตกต่างระหว่างทั้งสองไม่ใช่น้อยๆ นางโจมตีจนจงหลีค่วยต้องพาเขาหนีหัวซุกหัวซุน นักพรตบงกชทองขั้นหนึ่งอย่างเขาไม่สะดวกจะไปด้วยจริงๆ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นต้องหนีไม่ทันแน่นอน

แต่พวกเขาสี่คนก็ออกไปด้วยกันอีก นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว เขาเคลือบแคลงใจอย่างหนักมาตั้งแต่แรก จะไม่ให้สงสัยก็คงยาก แล้วอีกอย่าง นี่ก็คือการลงสนามครั้งแรก ยังไม่รู้สถานการณ์อย่างละเอียดด้วยซ้ำ แต่เจิ้งหรูหลงก็ประกาศแล้วว่าจะเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายท้าทายยอดฝีมือบงกชทองขั้นเก้า ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่แบบนี้ ถ้าจะไม่ให้สงสัยก็คงไม่ได้

ไม่ว่าจะจริงหรือปลอม เขาก็ไม่ได้ต่อต้าน แต่ทำตามความคิดของทุกคน แต่อีกประเดี๋ยวก็เตรียมการอีกอย่างไว้แล้ว ระวังตัวไว้จะดีกว่า ตอนที่ยังไม่รู้ชัดว่าคนกลุ่มนี้คิดจะทำอะไรกันแน่ เขาก็ไม่กล้าประมาทเลินเล่อ

นี่คือสิ่งที่ช่วยไม่ได้ ต่อให้เจ้าถามอีกฝ่ายอย่างจริงใจ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายจงใจปิดบังเจ้า อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอกเจ้าอยู่ดี ดังนั้นตัวเองเตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า

เขาปล่อยตั๊กแตนสิบห้าตัวออกมาคอยควบคุมสังเกตความเคลื่อนไหวรอบข้าง หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เขาถึงได้ปล่อยชายชราที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์ออกมา

อาการของชายชราเปลี่ยนเป็นอ่อนแอผิดปกติ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เหมียวอี้จะถอนเปลวเพลิงไร้รูปร่างในร่างกายออกไปแล้ว แต่เมื่อผ่านการทรมานจากเปลวเพลิงไร้รูปร่างมา ชีวิตของชายชราก็เหมือนเสียหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ต้องทรมานจนอีกฝ่ายหมดกำลังโต้ตอบถึงจะดี

เมื่อเห็นเหมียวอี้อีกครั้ง ชายชราก็นึกเสียใจทีหลังเป็นอย่างมาก เสียใจขอเงินค่าถามทาง ดวงไม่ดีมาตกอยู่ในมือของตำหนักสวรรค์เสียได้ คนของตำหนักสวรรค์โหดไม่ธรรมดาจริงๆ! ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมโบราณกล่าวไว้ว่า ‘โจรกับขุนนางเป็นพวกเดียวกัน’ อย่างน้อยโจรก็ยังเลือกเป้าหมายที่จะลงมือ ถ้าไม่รวยก็ไม่ปล้น ปล้นแต่คนมีเงิน แต่ขุนนางกลับไม่ปล่อยไปแม้แต่คนจน ไม่ต้องถามก็รู้แล้วว่าใครมีคุณธรรมมากกว่า

“ขุนนางสวรรค์ เจ้าจะเอายังไงกันแน่?” ชายชราที่สีหน้าอ่อนเพลียมองดูเชือกมัดเซียนที่มัดตัวเองไว้ไม่ยอมปล่อย พร้อมถามอย่างจนใจว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย! ปล่อยข้าไปไม่ได้เหรอ?”

“บังอาจขู่กรรโชกขุนนางที่ได้รับบัญชาจากตำหนักสวรรค์ ยังกล้าบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอ?” เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

ชายชราหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ข้ายอมรับผิดแล้ว! แต่ว่า…การถามทางน่ะ เป็นเรื่องที่เจ้ากับข้าต้องยินยอมด้วยกันทั้งสองฝ่าย เจ้าไม่ให้เงินข้า ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วก็ไม่ได้ขู่บังคับด้วย ทำไมกลายเป็นขู่กรรโชกได้ล่ะ?”

“จะขู่กรรโชกหรือไม่ขู่กรรโชก รอข้าคุมตัวเจ้ากลับไปสืบสวน เดี๋ยวตำหนักสวรรค์ก็มาตัดสินเจ้าเองว่าเป็นการขู่กรรโชกหรือเปล่า”

“ไม่ขนาดนั้นมั้ง! แค่เรื่องเล็กๆ ต้องรบกวนให้เจ้าคุมตัวกลับไปสืบสวยด้วยเหรอ? ขุนนางสวรรค์ ตาแก่คนนี้อยู่มาทั้งชีวิต ใช่ว่าจะไม่เคยเจอคนของตำหนักสวรรค์มาก่อน แต่เป็นครั้งแรกที่เห็นเจ้าจับตัวกันแบบนี้ ยังไม่ทันแยกแยะถูกผิดด้วยซ้ำ นับว่าข้าดวงซวยตกอยู่ในมือของเจ้า ข้ายอมแพ้แล้วตกลงมั้ย?”

เหมียวอี้ตบหน้าผากเขาฉาดหนึ่ง “อยู่มาทั้งชีวิตแล้วยังไง? เจ้าเคยเห็นคนของตำหนักสวรรค์มาแล้วกี่คน? เดี๋ยวกลับไปข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักคนที่โหดกว่า ขนาดข้ายังต้องเรียกเขาท่านปู่เลย!” เขาหมายถึงเซี่ยโห้วหลงเฉิง ถ้าเทียบกับท่านนั้นแล้ว ตนยังต้องทอดถอนใจที่สู้ไม่ไหว เรียกได้ว่าเหมือนหมอผีรุ่นเล็กเจอกับหมอผีรุ่นใหญ่จริงๆ

“ไม่ต้อง ไม่ต้องแนะนำแล้ว เจ้าเองก็ไม่ต้องเอาเรื่องจับตัวมาขู่ให้ข้ากลัว ตาแก่คนนี้ดูโง่ขนาดนั้นเชียวเหรอ? เจ้าบอกมาตรงๆเลย เจ้าจะเอายังไงกันแน่?”

ชายชราขี้เกียจจะอ้อมค้อม และไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายวางยาพิษอะไรตัวเอง รสชาติแบบนั้นน่ากลัวเกินไป ทรมานจนเขาอยากจะหนีแต่ก็ไม่มีทางหนีได้ เขาอยู่ในสภาพนี้แล้ว ชีวิตก็โดนบีบอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว ทรัพย์สมบัติบนตัวก็โดยอีกฝ่ายค้นเอาไปรอบนึ่ง ถ้าต้องการจะฆ่าเขาจริงๆ ก็คงจะลงมือกับเขาไปตรงๆ ให้สิ้นเรื่องไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้อยู่แล้ว ที่บอกว่าจะจับตัวกลับไปสืบสวน ล้วนเป็นคำพูดเหลวไหลทั้งนั้น ชัดเจนว่าต้องการจะขู่ จะต้องมีเจตนาอื่นแน่นอน

“คุยกับคนฉลาดมันก็ลดความยุ่งยากได้แบบนี้แหละ งั้นข้าจะไม่พูดมากแล้ว ตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์ ปราณปีศาจเต็มตัวแบบนี้ เจ้าเป็นปีศาจอะไรกันแน่?”

“สิงโต!”

“วรยุทธ์เท่าไร?”

“บงกชทองขั้นเจ็ด”

“จุจุ วรยุทธ์ไม่เลวเลย แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาฝ่าฝืนกฎ”

“ข้าไม่ได้ฝ่าฝืนกฎ!”

“ข้าบอกว่าเจ้าฝ่าฝืนกฎ ก็แปลว่าเจ้าฝ่าฝืนกฎ” เหมียวอี้เตะเขาทีหนึ่ง “เจ้าชื่ออะไร?”

“นับว่าเจ้าโหด! ชื่อหวงเสี้ยวเทียน”

“มาเป็นเพื่อนกันเถอะ”

“ไม่กล้าอาจเอื้อมหรอก! มีใครเขาหาเพื่อนแบบเจ้าบ้าง? ยัดเยียดความผิดใส่ร้ายก่อน แล้วก็แทงข้าทวนหนึ่ง ทั้งยังปล่อยพิษใส่ ทั้งยังเก็บข้าเข้ากระเป๋าสัตว์ให้ตกใจกลัวเดรัจฉานสับปลับ จนถึงตอนนี้ยังมัดข้าไม่ยอมปล่อย ข้าไม่กล้าอาจเอื้อมจริงๆ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ ถ้ารู้สึกว่าข้าไม่มีค่าให้ใช้ประโยชน์แล้วก็ปล่อยข้าไป ตราบใดที่เจ้าไม่ข้ามแม่น้ำเสร็จแล้วรื้อสะพานทิ้ง ฆ่าปิดคนปิดปาก ตาแก่คนนี้ก็จะจุดธูปขอบคุณฟ้าดินแล้ว”

“เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าไม่มีบุญคุณความแค้นอะไรกับเจ้า จะฆ่าเจ้าไปทำไม? เออใช่ เจ้ารู้จักดาววิงวอนชีวิตนี้ดีแค่ไหน?”

“ข้านี้อยู่ที่นี่มาไม่กี่หมื่นปี ไม่นับว่ารู้จักดีหรอก แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลย เจ้าอยากรู้อะไรล่ะ?”

“เจ้ารู้จักป่าลืมทุกข์ดีขนาดไหน?” เหมียวอี้รู้สึกว่าฮวาหูเตี๋ยให้ข้อมูลเกี่ยวกับป่าลืมทุกข์น้อยเกินไป บอกแค่ป่าลืมทุกข์คำเดียว บอกแค่ว่าเป็นเรื่องยากที่คนนอกจะเข้าไปยุ่งกับป่าลืมทุกข์ได้ เวลาสั้นเกินไปจึงไม่สามารถสืบได้ละเอียด

“ไม่นับว่าเข้าใจดีหรอก แต่ก็เคยติดต่อกันอยู่บ้าง นั่นคืออาณาเขตของปานเยว่กง มีการป้องกันแน่นหนามาก ถ้าคนนอกบุกเข้าป่าลืมทุกข์ ก็จะถูกพบทันที คนที่เข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีใครได้ออกมาสักคน ได้ยินว่าขนาดยอดฝีมือบงกชรุ้งเข้าไปก็ยังหายสาบสูบ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร สรุปว่าที่นั่นแปลกประหลาดมาก ข้าก็เลยไม่ถึงขั้นรู้ชัดว่าเหตุการณ์ภายในเป็นอย่างไร”

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว สงสัยการที่ข้อมูลของฮวาหูเตี๋ยมีไม่ครบจะมีสาเหตุแบบนี้ ขนาดปีศาจเฒ่าที่อยู่ที่นี่มาหลายหมื่นปียังไม่รู้สถานการณ์ของป่าลืมทุกข์ชัดเจนเลย เขาถามอีกว่า “ได้ยินว่าฮูหยินของปานเยว่กงชื่อชิงเหมยเหรอ เจ้ารู้จักผู้หญิงคนนี้ดีขนาดไหน?”

หวงเสี้ยวเทียน “ผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ! ตอนที่นางมาใหม่ๆ ข้าก็เคยเห็นอยู่นะ เป็นเรื่องเมื่อแปดร้อยกว่าปีก่อน ตอนที่เพิ่งมาโดนคนคนข่มเหงรังแก มีคนอยากจะให้อำนาจครอบครองนาง นางขัดขืนก็เลยเกือบเอาชีวิตไม่รอด ตอนหลังหนีเข้าป่าลืมทุกข์ไป ไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหนถึงถูกใจปานเยว่กง เขาเลยแต่งงานรับนางเป็นฮูหยิน” เขาแปลกใจอยู่บ้าง “เจ้าถามถึงนางทำไมเหรอ?”

“ข้าจะบอกความจริงเจ้าให้นะ นางคือนักโทษหลบหนีของตำหนักสวรรค์ ที่ข้ามาครั้งนี้เพราะได้รับคำสั่งให้มาจับตัวนาง” เหมียวอี้ตอบอย่างไม่อ้อมค้อม

หวงเสี้ยวเทียนทำสีหน้าครุ่นคิดทันที มองสำรวจเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “สงสัยข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง”

“ข่าวลืออะไร?” เหมียวอี้ถาม

หวงเสี้ยวเทียนตอบกลั้วหัวเราะว่า “เส้นทางที่สถานที่ไร้ชีวิตใช้ติดต่อกับภายนอกเพิ่งโดนตำหนักสวรรค์ควบคุมเมื่อไม่กี่เดือนก่อน มีข่าวลือตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว บอกว่าตำหนักสวรรค์ต้องการจับตัวนักโทษหลบหนี พอมาดูตอนนี้ สงสัยข่าวลือจะเป็นจริง”

เหมียวอี้ตะลึงค้าง ข่าวหลุดตั้งแต่ไม่กี่เดือนก่อนแล้วเหรอ? มารดาเจ้าเถอะ ไม่กี่เดือนก่อนข้ายังไม่ทันรู้เลยว่ามาที่นี่เพื่อทดสอบหัวข้ออะไร หน่วยงานรักษาความลับทำงานกันยังไงเนี่ย? เขาขมวดคิ้วถาม “จริงเหรอ?”

หวงเสี้ยวเทียนเดาะลิ้นแล้วบอกว่า “มีอะไรน่าพูดโกหกล่ะ เจ้าลองเรียกคนรู้จักจากตลาดมืดมาถามสักคนสิ ปกติตลาดมืดก็เป็นจุดที่มีคนไปมาหาสู่ไม่ขาดสายอยู่แล้ว ที่นี่เป็นศูนย์กลางการค้าขายของทั้งสถานที่ไร้ชีวิต ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าตลาดมืดได้ยังไง? ตอนนี้เจ้าก็เห็นแล้ว ไม่ค่อยเห็นคนออกมาเดินเท่าไรเลย เงียบเหงามาก เพราะตกใจจนไปซ่อนตัวกันหมดแล้วไงล่ะ คนที่สามารถทิ้งความเจริญเฟื่องฟูในสังคมมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ ส่วนใหญ่เป็นคนที่เคยทำความผิดมาทั้งนั้น พอมีข่าวหลุดออกมา ก็ไม่มีใครแน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะจับตัวเองหรือไม่ ย่อมต้องซ่อนตัวก่อนอยู่แล้ว ส่วนคนที่รู้ตัวว่าจะไม่เป็นอะไรอย่างข้า ก็เดินเอ้อระเหยอยู่ข้างนอกต่อไป แต่ผลก็คือไปแกว่งเท้าหาเสี้ยน พวกเจ้าจับแม้กระทั่งคนที่ไม่ได้ทำความผิด!”

“อย่าพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์แบบนั้น ข้าถามเจ้าหน่อย ถ้าข้าเผยตัวตนว่าเป็นคนของตำหนักสวรรค์ แล้วไปขอตัวนางจากปานเยว่กงตรงๆ ปานเยว่กงจะมอบนางให้หรือเปล่า?”

“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง? แต่เจ้าก็ลองคิดในทางกลับกันสิ ถ้ามีคนจะมาจับเมียเจ้าไป เจ้าจะปล่อยให้จับไปมั้ยล่ะ?”

“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก ถ้ามีใครสั่งให้เขามอบอวิ๋นจือชิวให้ เขาก็ไม่ยอมแน่นอน อย่าว่าแต่อวิ๋นจือชิวเลย ต่อให้เป็นพวกฉินเวยเวยตนก็ไม่ตอบตกลงแน่ พอเป็นแบบนี้ก็ลำบากแล้ว สถานที่ที่แม้แต่นักพรตบงกชรุ้งเข้าไปก็ยังออกมาไม่ได้ ยังจะไปจับตัวนักโทษอะไรได้อีกล่ะ!

“เจ้ามีหนทางที่จะช่วยข้าจับได้มั้ย?”

หวงเสี้ยวเทียนกลอกตา”งั้นเจ้าก็ฆ่าข้าเถอะ! ข้าไปมีเรื่องกับป่าลืมทุกข์ไม่ไหวหรอก ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปานเยว่กงด้วย ต่อให้เจาเอาชีวิตไปแลกกับเมียของเขา เขาก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี! ข้าจะมีหนทางอะไรได้ล่ะ”

ณ ป่าผืนหนึ่งที่หนาทึบราวกับโดนเมฆหมอกปกคลุม หมอกหนาลอยเปลี่ยนรูปร่างไม่หยุดนิ่ง ต้นไม้แปลกประหลาดที่มีกลิ่นอายของปีศาจปรากฏให้เห็นรางๆ

พอเจิ้งหรูหลงโบกมือ พวกเขาก็หยุดอยู่กับที่ หลังจากเขาจ้องสำรวจป่าลืมทุกข์พักหนึ่ง ก็หันกลับมาบอกคนทีเหลือว่า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะเข้าไปสืบดูสถานการณ์ของป่าลืมทุกข์ ถ้าข้าล่อปานเยว่กงออกไปได้สำเร็จ ข้าค่อยส่งข่าวมาให้พวกเจ้าอีกที จากนั้นพวกเจ้าก็ค่อยลงมือ” พูดจบก็ถลันตัวออกไปคนเดียว บุกเข้าไปในป่าที่ถูกปิดผนึกด้วยหมอกหนาอย่างเงียบๆ

“เฮ้อ!” หยางไท่ถอนหายใจ “พวกเจ้าคิดว่าเขาจะทำสำเร็จหรือเปล่า?”

“แน่นอนว่าไม่สำเร็จอยู่แล้ว” มู่หรงซิงหัวแสยะยิ้ม

“ทำไมคิดอย่างนั้น?” หยางไท่

มู่หรงซิงหัวพูดเหน็บแนมว่า “ข้าโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ? เขาไปทำอะไรพวกเจ้าสองคนก็รู้อยู่แก่ใจ”

หยางไท่กับสวีถังหรานมองหน้ากันเลิกลั่ก ค่อนข้างอึดอัดทำตัวไม่ถูก

สวีถังหรานยิ้มแห้งพร้อมบอกว่า “ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นทั้งนั้น แต่ความจริงก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าอยากจะจับซูลู่เอ๋อร์ก็ต้องรับมือกับปานเยว่กงนั่นก่อน แต่พลังของปานเยว่กงเป็นอย่างไรกันแน่ พวกเราก็ยังไม่รู้ชัด ในบรรดาพวกเรา คนที่เหมาะจะไปสืบความจริงก็แต่ผู้บัญชาการเจิ้งแล้ว แต่ถ้าเขาไม่ได้เตรียมตัว วรยุทธ์ต่างกันชัดเจนขนาดนั้น การดันดุรังเกินไปไม่ใช่วิธีที่ฉลาด แล้วอีกอย่าง เพิ่งจะเริ่มต้นก็เจอสถานการณ์แบบนี้แล้ว ในภายหลังก็ยังไม่รู้เลยว่ามีเรื่องอะไรรอพวกเราอยู่ ข้าพอจะเข้าใจการกระทำของเจิ้งหรูหลงนะ ถึงอย่างไรทุกคนก็ไม่ได้ทำเพื่อความแค้นส่วนตัว ล้วนมีจิตใจที่เห็นแก่ส่วนรวม ทำเพื่อตำหนักสวรรค์กันทั้งนั้น!”

“พูดจามีเหตุผล!” หยางไท่พยักหน้า

ส่วนเจิ้งหรูหลง พอบุกเข้าป่าลืมทุกข์ไป หันกลับมาอีกทีก็เห็นหมอกหนาบดบังทัศนวิสัยข้างหลังแล้ว เขาไม่ได้เข้าลึกไปในป่า แล้วอ้อมไปแทน

1012

ทำมัยกล้าทำร้ายข้า

เหมียวอี้ที่กำลังหลบ ‘ปรึกษา’ กับหวงเสี้ยวเทียนอยู่โพรงถ้ำใต้ดินพลันยกนิ้วขึ้นมาจ่อปากตัวเอง “ชู่ว อย่าเสียงดัง มีคนมาแล้ว”

“มีคนมาเหรอ?” หวงเสี้ยวเทียนเงี่ยหูฟังครู่หนึ่ง แต่เขาไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น จึงถามว่า “ขุนนางสวรรค์ เจ้ามีวรยุทธ์เท่าไร?” จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ชัดว่าเหมียวอี้มีวรยุทธ์สูงเท่าไร กำลังสงสัยว่าวรยุทธ์สูงกว่าตนหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นทำไมจึงมีความสามารถในการฟังดีกว่าตน

เหมียวอี้ขี้คร้านจะพูดมาก ดึงเขายัดใส่ในกระเป๋าสัตว์โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แล้วหันตัวมานอนหมอบอยู่ตรงปากโพรง อาศัยซอกเล็กๆ ระหว่างต้นหญ้าเพื่อสังเกตสถานการณ์ภายนอก

ผ่านไปไม่นาน อาศัยสัญญาณที่ตั๊กแตนส่งมา เหมียวอี้ก็รู้ตำแหน่งของผู้ที่มาได้อย่างรวดเร็ว เงาร่างที่คุ้นเคยปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ โดยไร้สุ้มเสียง เข้ามาใกล้ต้นไม้ใหญ่ที่ต้นใช้ซ่อนตัวก่อนหน้านี้อย่าเงียบๆ หลังจากเห็นชัดว่าเป็นใคร เหมียวอี้ก็หรี่ตาสองข้าง ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องเจิ้งหรูหลงที่หยิบอาวุธออกมาทำตัวลับๆ ล่อๆ

การกระทำของเจิ้งหรูหลงทำให้เหมียวอี้เกิดคววามคิดที่จะฆ่าคนขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว แต่สิ่งที่เขาสนใจที่สุดในตอนนี้ก็คือ มู่หรงซิงหัวและคนอื่นๆ ร่วมวางแผนด้วยหรือเปล่า ถ้าคนพวกนั้นร่วมมือกัน ก็เกรงว่าจะยุ่งยากนิดหน่อย แต่ตามที่ตั๊กแตนรอบๆ ส่งสัญญาณกลับมา ก็ไม่มีคนอื่นเข้ามาใกล้แล้ว

หลังจากสังเกตโดยรอบไปสักพัก เจิ้งหรูหลงที่เดินมาถึงข้างโพรงไม้ก็นั่งย่อเข่าลงอย่างช้าๆ แล้วเงยหน้ามองเข้าไปในโพรงไม้

เจ้าบ้านี่ก็เด็ดขาดเหมือนกัน หลังจากเห็น ‘เหมียวอี้’ นั่งขัดสมาธิหันหลังให้ ก็ใช้ทวนแทงเข้าไปในโพรงไม้อย่างบ้าคลั่ง พอได้ลงมือก็ใช้กำลังทั้งหมดที่มี อยากจะโจมตีให้ศัตรูตายภายในครั้งเดียว

บึ้ม! ระเบิดจากข้างในสู่ข้างนอก ส่วนรากระเบิดขาด ทั้งตัวต้นไม้ใหญ่ระเบิดพุ่งขึ้นฟ้าแล้วกระจายไปทั่วทิศ

พอเริ่มลงมือ ชั่วพริบตาที่ทวนแรกแทงโดนเหมียวอี้ เจิ้งหรูหลงก็พบความไม่ชอบมาพากลทันที รีบกันตัวกวาดมองไปรอบๆ หมอกสีทองลอยออกจากตัว สวมเกราะรบไว้บนตัวอย่างรวดเร็ว ถือทวนระแวดระวังโดยรอบ ต้นไม้ใหญ่ที่กำลังจะล้มลงมาตรงศีรษะถูกเขาโบกมือปัดหนึ่งครั้งอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้ต้นไม้ปลิวออกไปไกลร้อยเมตร

ทว่ามีเสียงผิดปกติดังขึ้นพักหนึ่ง เจิ้งหรูหลงหันกลับมามอง พอใช้สายตาจ้อง เขาก็เริ่มขมวดคิ้วมุ่นแล้ว

เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบสีแดงราวกับทับทิมโผล่ออกจากโพรงถ้ำใต้ดินอย่างช้าๆ พร้อมเสียงเหยียบหญ้าดังกรอบแกรบ ในมือถือทวน พร้อมตะโกนว่า “ไอ้แซ่เจิ้ง ทำไมกล้าทำร้ายข้า!”

เจิ้งหรูหลงตาร้อนแล้ว น้ำลายแทบจะไหลออกมา เกราะรบที่อยู่บนตัวเหมียวอี้ ทั้งยังมีทวนที่อยู่ในมือ ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดจะทำมาจากผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูง แค่มองสองครั้งก็สามารถทำให้คนเลือดลมสูบฉีดแล้ว นี่มันมีมูลค่าเท่าไรกัน?

ต้องทราบไว้ว่าจำนวนผงสกัดที่อยู่ในผลึกแดงมีจำนวนน้อยกว่าที่อยู่ในเหรียญผลึกชนิดอื่น การจะทำอาวุธผลึกแดงสักชิ้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาวุธผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงเลย

“เหตุใดน้องหนิวจึงพูดเช่นนี้เล่า?” เจิ้งหรูหลงถลันตัวเข้ามา บางทีอาจจะไม่อยากทำให้เหมียวอี้เครียดเกินไป จึงผ่อนความเร็วเดินเข้ามาช้าๆ “ไม่ได้จะทำร้ายเจ้า แต่จะมาบอกน้องหนิวว่าไม่สะดวกจะบุกเข้าป่าลืมทุกข์ สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง พวกมู่หรงวนอ้อมออกไปแล้ว ใครจะคิดล่ะว่าคนในโพรงไม้จะเป็นตัวปลอม ยังนึกว่ามีคนต่ำช้ามาก่อกวน ข้าถึงได้ลงมือ น้องหนิวอย่าเข้าใจผิดเชียวนะ!”

ในใจกลับด่าว่า คิดไม่ถึงว่าเจ้าบ้านี่มันจะเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ทำตัวนิ่งๆ แนบเนียน ที่ไหนได้แอบเตรียมป้องกันทำมนุษย์ปลอมไว้แล้ว ส่วนตัวจริงกลับแอบอยู่อีกที่หนึ่ง ช่างเป็นกระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง[1]จริงๆ

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!” เหมียวอี้เหลือบมองอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาช้าๆ “พี่เจิ้งถืออาวุธเดินเข้ามาใกล้แบบนี้ น้องหนิวกลัวนะ”

เจิ้งหรูหลงหัวเราะเบาๆ พลิกมือเก็บทวนสีทอง แล้ววักมือเรียก “ไปกันเถอะ! อย่าให้พวกมู่หรงรอนาน”

เหมียวอี้พยักหน้า แต่แอบเตรียมตัวลอบจู่โจมเรียบร้อยแล้ว

ใครจะคิดว่าเพิ่งจะเดินไปได้สองก้าว ในตาเจิ้งหรูหลงกลับายแววดุดัน ถือโอกาสหยิบทวนสีม่วงออกมา หยิบทวนวิเศษที่ดีกว่าออกมาแล้ว ก่อนจะจ่อไปที่คอหอยของเหมียวอี้อย่างฉับพลัน จู่โจม!

ฝีมืออันต่ำต้อยแบบนี้ ไม่ควรค่าจะมาแสดงต่อหน้าเหมียวอี้เลยจริงๆ ทวนในมือพลันเฉียงขึ้นมา แทงขึ้นข้างบน!

เสียงโลหะกระทบกันดังชัดเจน! ปนกับเสียงมังกรคำรามที่ออกมาจากทวนเกล็ดย้อน เจิ้งหรูหลงสีหน้าเปลี่ยนอย่างฉับพลัน นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะตอบสนองได้เร็วขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าออกทวนครั้งเดียวก็ทำให้ทวนวิเศษของเขาหักครึ่งเป็นสองท่อนแล้ว ในใจรู้สึกทึ่งและชื่นชม ว่าอาวุธที่ทำจากผลึกแดงบริสุทธิ์สูงช่างร้ายกาจยิ่งนัก

แทบจะเกิดขึ้นพร้อมกัน ในโพรงถ้ำใต้ดินที่เหมียวอี้เพิ่งใช้ซ่อนตัวเมื่อครู่นี้ มีหมอกสีแดงที่ร้อนจี๋กลุ่มหนึ่งพ่นออกมา ครอบคลุมไปที่ทั้งสองพร้อมกัน ต้นไม้ใบหญ้ารอบข้างโดนเผาเป็นเถ้าปลิวไปในชั่วพริบตาเดียว

ทว่าวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดของเจิ้งหรูหลงก็ไม่ใช่เล่นๆ ขณะที่ทวนหัก หางตาก็สังเกตเห็นความผิดปกติในโพรงถ้ำใต้ดินแล้ว จึงเหาะหนีด้วยความเร็วสูง การตอบสนองรวดเร็วถึงขีดสุด หมอกแดงร้อนจี๋ลุกโหมเฉียดผ่านร่างกายเขาไป ทำให้เขาตกใจมาก โชคดีที่หลบไว ไม่อย่างนั้นก็ไม่อยากจะจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย

เหมียวอี้ที่โดนหมอกแดงปกคลุมเหมือนจะไม่แยแสแม้แต่น้อย เขาพุ่งตัวขึ้นท่ามกลางหมอกแดง แล้วถือทวนไล่ตามไป “โจรสุนัขอย่าหนีนะ!”

แต่อาศัยวรยุทธ์อย่างเขา ถ้าอยากจะไล่ตามเจิ้งหรูหลงให้ทันก็ช่างเป็นเรื่องตลก แล้วอีกอย่าง เจิ้งหรูหลงก็แค่หลบหลีกชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้คิดจะหนีไปจริงๆ เขาพุ่งตัวลงจากฟ้า เปลี่ยนทวนด้ามใหม่ โจมตีใส่เหมียวอี้ที่พุ่งมาอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้แค่ไม่ได้เตรียมป้องกัน จึงโดนเหมียวอี้โจมตีจนอาวุธหัก แต่ตอนนี้มีการป้องกันแล้ว อาศัยวรยุทธ์ของเขาไม่ทำให้กลัวอาวุธบนตัวเหมียวอี้เลย เขามีความมั่นใจในตัวเอง ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่นี้คงไม่ลอบจู่โจม ถึงอย่างไรความแตกต่างด้านวรยุทธ์ของทั้งสองก็เห็นๆ กันอยู่

บึ้ม! ผิวดินระเบิดแยกออก สัตว์ร้ายตัวหนึ่งพลันโผล่ออกมาจากรอยแยกของผิวดิน เป็นเดรัจฉานสับปลับนั่นเอง มันสั่นหัวส่ายหางไล่ตามขึ้นฟ้าอยู่ใต้ร่างของเหมียวอี้ “กรร!” เสียงคำรามเกรี้ยวกราดดังสะเทือนฟ้า พ่นหมอกแดงร้อนจี๋ขึ้นฟ้าอีกแล้ว ช่วยเสริมอานุภาพ!

เจิ้งหรูหลงตกใจมาก รีบถลันตัวในแนวเฉียง หลบหลีกหมอกแดงที่พุ่งขึ้นฟ้ามา

เหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางหมอกแดงพลิกตัว ขี่บนตัวของเดรัจฉานสับปลับที่พุ่งเข้ามา สัตว์เทพช่วยเพิ่มความน่าเกรงขาม ไล่ตามเจิ้งหรูหลงไปอย่างรวดเร็ว!

ความเร็วของเหมียวอี้ไล่ตามเจิ้งหรูหลงไม่ทัน แต่ความเร็วของเดรัจฉานสับปลับกลับเหนือกว่าเจิ้งหรูหลง สัตว์เทพตัวนี้คือพลังเท้าอันเต็มเปี่ยมที่โค่วเหวินหลานมอบให้พวกลูกน้อง เพิ่มเสริมจุดด้อยด้านวรยุทธ์

ความเร็วของทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กันอย่างรวดเร็ว เจิ้งหรูหลงที่หันกลับไปมองเป็นระยะอับอายไม่หาย ตัวเองมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ด ไม่น่าเชื่อว่าจะต้องหนีการไล่ตามจากคนวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง!

ในป่าด้านล่าง พวกมู่หรงซิงหัวพลันเงยหน้ามอง เห็นทั้งสองฝ่ายที่ไล่ฆ่ากันอยู่บนฟ้าแฉลบผ่านไป

“นี่คือ…” หยางไท่งุนงง

พวกเขามองหน้ากันเลิกลั่ก เป็นอย่างที่คาดเดาไว้ เจิ้งหรูหลงไปหาเรื่องเหมียวอี้จริงๆ ด้วย แต่ผลลัพธ์ทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงนิดหน่อย เหมือนผลลัพธ์จะตรงกันข้ามกับที่จินตนาการไว้!

“ไป! ไปดูกันหน่อย!” มู่หรงซิงหัวเอ่ยสั่ง แล้วทั้งสามก็เรียกเดรัจฉานสับปลับออกไป ก่อนจะไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นเหมียวอี้ไล่ตามเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เจิ้งหรูหลงก็เริ่มกระหืดกระหอบ เรียกได้ว่าทุ่มอาวุธหลายชิ้นยิงโจมตีไปที่เดรัจฉานสับปลับ แต่จนใจที่เหมียวอี้ไหวตัวเร็วมาก ลงมือแม่นทุกครั้ง ฟันอาวุธของเขาห้าหกชิ้นติดต่อกัน ฟันจนเขาไม่มีอะไรจะหยิบออกมาแล้ว ของกากเดนแบบนี้ ต่อให้เหมียวอี้ไม่ต้านทานไว้ แต่ก็ฆ่าเดรัจฉานสับปลับไม่ได้อยู่ดี โยนทิ้งไปก็ไม่มีประโยชน์!

ที่จริงในสายตาของเขา เดรัจฉานสับปลับกับเหมียวอี้ไม่เก่งพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาเลย อุณหภูมิสูงที่เดรัจฉานสับปลับพ่นออกมา ถึงแม้จะเป็นอันตรายต่อเขามาก แต่ก็ไม่มีทางโจมตีในระยะที่ห่างเกินไปได้ อาศัยวรยุทธ์อย่างเขาสามารถฆ่ามันทิ้งได้อยู่แล้ว แต่หลังจากที่มันเข้าคู่กับเหมียวอี้ เขาก็ปวดหัวทันที ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึง ว่านักพรตบงกชทองขั้นหนึ่งอย่างเหมียวอี้จะมีความเร็วในการลมือไม่ด้อยไปกว่าเขาเลยสักนิด เมื่อมีเหมียวอี้คอยขัดขวาง การโจมตีของเขาก็ทำอะไรเดรัจฉานสับปลับไม่ได้เลย

ภายใต้สถานการณ์คับขัน หลบหนีไม่พ้นแล้วจริงๆ โดนเดรัจฉานสับปลับไล่ตามทันแล้วแล้ว!

เจิ้งหรูหลงตัดสินใจแน่วแน่ บาดเจ็บแต่แข็งใจสู้ พลันเลี้ยวกลับมาเผชิญหน้ากับคนและสัตว์ที่ไล่ตามมา!

“กรร!” เดรัจฉานสับปลับคำรามอย่างดุดัน พ่นหมอกแดงร้อนผ่าวออกมาอย่างรุนแรงฉับพลัน

เจิ้งหรูหลงที่เพิ่มเกราะลมปราณจนถึงขีดสุดดันทุรังโจมตีเข้ามาในหมอกแดง รู้สึกได้ว่าเกราะลมปราณกำลังโดนเผาอย่างรุนแรงอยู่ท่ามกลางอุณหภูมิสูง แต่กลับโดนเขาโจมตีมาถึงตรงหน้าแล้ว โบกทวนแทงไปที่หัวของเดรัจฉานสับปลับอย่างเกรี้ยวกราด ขณะเดียวกันก็โยนเชือกมัดเซียนเส้นหนึ่งใส่เหมียวอี้ หมายจะทำให้การตอบสนองของเหมียวอี้ช้าลง

เหมียวอี้รีบใช้ทวนฟัน ทำให้เชือกมัดเซียขาดเป็นสองท่อน และฟันทวนที่เจิ้งหรูหลงแทงเข้ามาจนหักอย่างไม่ผิดพลาดอีกครั้ง

เขาโจมตีไม่สำเร็จ เห็นทวนที่เหมียวอี้ใช้ฟันอาวุธพังถือโอกาสแทงต่อมาที่หน้าอกตัวเองอีก รวดเร็วไร้ที่เปรียบ

เดิมทีควรจะตกใจสิถึงจะถูก แต่เจิ้งหรูหลงกลับเผยสีหน้าดุร้าย โบกด้ามทวนที่หักคามือกระทุ้งไปที่ด้ามทวนของเหมียวอี้อย่างเกรี้ยวกราด เตรียมจะอาศัยวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งของตัวเองกระแทกให้ทวนยาวที่น่ากลัวในมือเหมียวอี้กระเด็นไป อาศัยวรยุทธ์ของเขาสามารถทำได้อยู่แล้ว

ขอเพียงในมือเหมียวอี้ไม่มีทวนวิเศษที่แหลมคมไร้ที่เปรียบด้ามนั้น มีหรือที่เขาจะสู้ตนได้…นี่คือการเตรียมตัวสู้ตายโดยไม่คำนึงถึงอะไรแล้ว

ทว่าเหมียวอี้กล้าปะทะกับอีกฝ่ายแบบตรงๆ ไม่หลบหลีกเลยสักนิด เขาก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน

เห็นเพียงเหมียวอี้ชักทวนอย่างฉับไว ตะขอแหลมสามหัวเกี่ยวกลับไป เสียงอาวุธกระทบกันดังชัดเจน ด้ามทวนที่หักครึ่งในมือเจิ้งหรูหลงโดนเหลาจนหักอีกครั้ง

เจิ้งหรูหลงนึกไม่ถึงว่าจะออกมาเป็นแบบนี้ นึกไม่ถึงว่าทวนในมือเหมียวอี้จะใช้งานได้เยี่ยมยอดขนาดนี้ เขาตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว

แต่ก็สายไปเสียแล้ว ชั่วพริบตาที่ประมือกัน นึกว่าจะช้าไป แต่กลับรวดเร็วกว่าที่คิด ไม่มีโอกาสเหลือเฟือให้ออกท่าทางมากขนาดนั้น มิหนำซ้ำชั่วพริบตาที่ทั้งสองปะทะกัน ความเร็วในการลงมือก็เร็วมากจนทำให้คนตาลาย กระบวนท่าหนึ่งชุดเกิดและจบลงภายในชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น

เหมียวอี้ที่กำลังทำสีหน้ามุ่งสังหาร ทวนในมือพลันแทงออกมาอีกครั้ง ชั่วพริบตาที่แทงและดึง ก็ได้แสดงความยอดเยี่ยมล้ำเลิศของวิชาทวนออกมาหมดแล้ว โจมตีจนเจิ้งหรูหลงทำอะไรไม่ถูก อาศัยการเร่งความเร็วขณะปะทะกัน ต่อให้เจิ้งหรูหลงจะตอบสนองได้ไวกว่านี้ แต่ก็ไม่สามารถหลบพ้นอยู่ดี หัวทวนตะขอสามคมแทงฝ่าเกราะตรงหน้าอกของเจิ้งหรูหลง ทะลุเข้าหัวใจของเจิ้งหรูหลงโดยตรง

เจิ้งหรูหลงเบิกตากว้างมองเหมียวอี้ ในแววตามีแต่ความรู้สึกเหลือเชื่อ ร่างกายที่แขวนอยู่บนหัวทวนของเหมียวอี้ โดนเดรัจฉานสับปลับที่กำลังบินขวิดจนกระเด็นถอยหลังไป

พอเหมียวอี้สีหน้าเย็นเยียบ พอสะบัดทวนในมือหนึ่งครั้ง เปลวเพลิงกลุ่มหนึ่งก็พรั่งพรูออกจากทวน ไหลหรอกเข้าไปในเกราะรบของเจิ้งหรูหลงโดยตรง

“อา…” เสียงกรีดร้องน่าเวทนาดังก้องทั่วฟ้า เปลวเพลิงร้อนแรงโผล่จากรอยแยกบนเกราะรบของเจิ้งหรูหลง ไม่นานก็มีผิวเนื้อโดนเผาไหม้จนหลายเป็นเถ้าถ่านปลิวไป ประเดี๋ยวเดียวเปลวเพลิงก็เผาคนเป็นๆ จนไหม้หายไปหมดแล้ว

เหมียวอี้ที่กำลังขี่เดรัจฉานสับปลับกางนิ้วทั้งห้า ดูดของที่ตกจากตัวเจิ้งหรูหลงเข้ามา แล้วก็โบกมือเก็บเอาไว้ทั้งหมดโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น  ขณะเดียวกัน เดรัจฉานสับปลับที่อยู่บนฟ้าก็เลี้ยวอย่างฉับพลัน มันหยุดชะงักกลางอากาศ แล้วเหมียวอี้ก็ชูทวนชี้ไปทางสามคนที่ไล่ตามเข้ามา

พวกมู่หรงซิงหัวที่ไล่ตามมารีบหยุด เห็นประกายไฟล่องลอยทั่วท้องฟ้า นั่นคือร่างที่กำลังเผาไหม้ของเจิ้งหรูหลง ในอากาศมีกลิ่นแปลกๆ อบอวล

ทั้งสามเรียกได้ว่าตกใจไม่เบา เมื่อครู่เพิ่งใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองดูเจิ้งหรูหลงสิ้นชีพภายใต้ทวนของเหมียวอี้ไป ยังไงพวกเขาก็นึกไม่ถึง ว่าเจิ้งหรูหลงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมียวอี้ ความตื่นตะลึงในใจยากที่จะบรรยายออกมาได้

สวีถังหรานแอบกินปูนร้อนท้อง เจ้าบ้านี่ห้าวหาญเหมือนตอนอยู่ที่ยอดเขาโอนเอนไม่มีผิด ไม่น่าเชื่อว่าจะไล่สังหารนักพรตบงกชทองขั้นเจ็ด ทั้งยังสังหารสำเร็จแล้วด้วย!

“หนิวโหย่วเต๋อ ทำไมต้องฆ่ากันเอง?” มู่หรงซิงหัวตะคอกถาม

เหมียวอี้ชี้หัวทวนไปที่นาง พร้อมตวาดว่า “นางแพศยา! ข้าอุตส่าห์ให้เจ้าเป็นหัวหน้า ฟังคำสั่งเจ้า แต่เจ้ากลับรวมหัวกันวางแผนทำร้ายข้า แล้วยังจะมาตีหน้าซื่ออีก ทำไมกล้ารังแกข้าแบบนี้!”

…………………………

[1] กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง 狡兔三窟 หมายถึงคนเจ้าเล่ห์ที่มีที่หลบซ่อนตัวมากมาย


1013

ป่าลืมทุกข์


“เจ้า…” มู่หรงซิงหัวเดือดดาลทันที ตอนนี้นางค่อนข้างอ่อนไหวกับคำว่า ‘นางแพศยา’ แต่เมื่อพิจารณาดูสถานการณ์จริง นางก็ยังไม่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมา เพียงตอบกลับอย่างโมโหว่า “ถ้าพวกเรารวมหัวกันทำร้ายเจ้า แล้วจะยืนไม่สะทกสะท้านอยู่ตรงนี้ได้เหรอ ทำไมไม่ร่วมมือกันจัดการเจ้าเสียเลยล่ะ ถ้ามีพวกเราสามคนขี่เดรัจฉานสับปลับช่วย เจิ้งหรูหลงจะโดนฆ่าได้ง่ายๆ แบบนี้เหรอ!”

เหมียวอี้ยอมรับว่าที่นางพูดมีเหตุผล แต่ไฟโกรธที่อยู่ในใจก็ยากจะระงับได้ ย่อมต้องเคลือบแคลงใจอยู่แล้ว “พวกเจ้าสามคนแยกตัวออกไปวางแผนลับกันตั้งสองสามครั้ง ในใจมีเจตนาไม่ดี ยังกล้ามาทำตัวเจ้าเล่ห์อีก!”

หยางไท่จึงกุมหมัดคารวะพร้อมบอกว่า “น้องหนิว เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราจะบอกความจริงให้ฟังก็ได้ ใช่! ตอนอยู่ลับหลังเจ้า พวกเราเคยออกไปวางแผนลับกันสองสามรอบจริงๆ แต่นั่นไม่ใช่เจตนาของพวกเรา เป็นเจิ้งหรูหลงที่ดึงตัวพวกเราไปปรึกษาหารือกัน เขาอยากได้ของวิเศษที่ผู้บัญชาการใหญ่มอบให้เจ้า จะได้ปกป้องตัวเองได้สะดวก แต่พวกเราสามคนก็ปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า คิดว่ามีคนเพิ่มก็มีแรงเพิ่ม เลยไม่ยอมลงมือกับเจ้า แต่ใครจะคิดว่าเมื่อกี้เจ้าคนทรามนั่นจะหาข้ออ้างเพื่อแยกเจ้าไว้ลำพัง พอมาถึงข้างๆ ป่าลืมทุกข์ก็บอกอีกว่าจะเข้าไปสืบดูก่อน กันพวกเราสามคนไว้อีกครั้ง ตอนนี้พอเห็นพวกเจ้าสองคนประมือกัน พวกเราถึงได้รู้ว่าเขากลัวพวกเราสามคนขัดขวาง เลยจงใจแยกพวกเราสามคนออกจากเจ้า จะได้กลับมาลงมือกับเจ้าได้สะดวก เป็นอย่างที่มู่หรงบอก ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ ถ้าพวกเราต้องการจะทำร้ายเจ้าจริงๆ เราจะต้องลงมือพร้อมเจิ้งหรูหลงแน่นอน ต่อให้ไม่ช่วย แต่เมื่อครู่ตอนที่เจิ้งหรูหลงหลบหนี เขาก็ควรจะมาให้พวกเราสามคนช่วยสิ เรื่องราวชัดเจนอยู่ตรงหน้าขนาดนี้ น้องหนิวสงบจิตใจแล้วคิดดูให้ดีๆ ก่อนได้ อย่าให้ไฟโกรธมาบังตาบังใจ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ไฟโกรธในใจเหมียวอี้ก็คลายลงบ้างแล้ว เพราะคำพูดของอีกฝ่ายใช่ว่าจะเรื่อยเปื่อยไร้เหตุผล แต่ก็ยังถามอย่างเคียดแค้นว่า “ในเมื่อเขาต้องการจะทำร้ายข้า แล้วทำไมไม่บอกให้ข้ารู้ก่อนล่วงหน้า?”

มู่หรงซิงหัว “บอกให้รู้? บอกอะไร? จะได้ทำให้พวกเจ้าสองคนตีกันจนกำลังคนของกลุ่มเราแตกกระจายเหรอ? พวกเราไม่อยากให้เขาฆ่าเจ้า แล้วก็ไม่ได้อยากให้เจ้าแตกคอกับเขาด้วย ถ้าพวกเจ้าสองคนแตกคอกัน ก็ไม่ได้มีผลดีอะไรกับพวกเราหรอก!”

สวีถังหรานถอนหายใจเช่นกัน “น้องหนิว พวกเราสามคนไม่ได้อยากทำร้ายเจ้าจริงๆ นะ ถ้าต้องการทำร้ายจริงๆ พวกเราสี่คนร่วมมือกันโอกาสสำเร็จจะไม่เยอะกว่าเหรอ น้องหนิว กลุ่มเรามีคนตายไปแล้วหนึ่งคน คนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดตายด้วยน้ำมือเจ้าไปแล้ว ไม่ต้องหาเรื่องแล้ว เวลาหนึ่งร้อยปีเพิ่งจะเริ่มขึ้น ถ้าหาเรื่องกันต่อไป ทุกคนก็อย่าได้คิดว่าจะรอดชีวิตกลับไปเลย ต่อให้เจ้าไม่พอใจพวกเรา แต่ก็ควรจะคำนึงถึงตัวเองบ้างเถอะ”

ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ ไม่มีใครดีเลยสักคน เหมียวอี้อยากจะฆ่าสามคนนี้เพื่อตัดปัญหายุ่งยากในภายหลัง จะได้ไม่ต้องคอยกังวลทั้งวันว่าจะมีใครแทงข้างหลัง แต่ถ้าตัวเองอยู่คนเดียวโดยไม่มีผู้ช่วย ก็ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมอีก ควรจะกังวลกับสถานการณ์ แล้วอีกอย่าง ถ้าไม่กดดันจนหมดทางเลือกจริงๆ เขาก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับเฉาว่านเสียง ไม่อย่างนั้นถ้ากลับไปก็คงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขเหมือนกัน

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ทั้งสามมีเดรัจฉานสับปลับเป็นพลังเท้าเหมือนกัน ต่อให้ตนอยากจะฆ่าทิ้ง แต่ก็อาจจะไล่ตามไม่ทันอยู่ดี ทำได้เพียงข่มไฟโกรธไว้ในใจ พ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “ข้าจะลองเชื่อพวกเจ้าสักครั้ง ถ้ากล้าทรยศข้าอีก ไม่เป็นปลาที่ตาย ก็เป็นแหที่ขาด ต่อให้ข้าต้องสู้ตาย แต่ก็จะเอาชีวิตหมาๆ ของพวกเจ้าให้ได้!” เขากล่าวพร้อมชูทวนในมือ

ทุกคนมองดูเกราะรบบนตัวเขา ชัดเจนว่าไม่ใช่ชุดที่โค่วเหวินหลานมอบให้ตอนแรก พวกเขาต่างก็พึมพำในใจว่าเอามาจากไหน

“เอาล่ะๆ!” หยางไท่ถูฝ่ามือพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปรับความเข้าใจกันได้ก็ดีแล้ว เจิ้งหรูหลงรนหาที่ตายเอง ไม่ฟังคำโน้มน้าว ดึงดันจะฆ่ากันเอง ตายแล้วก็แล้วกัน ไม่ควรค่าที่จะมาเถียงกันเพื่อเขาจนพวกเราแตกความสามัคคี”

“ตอนนี้ควรจะทำยังไงดี?” สวีถังหรานบุ้ยปากไปยังป่าทึบเบื้องล่างที่โดนหมอกหนาปกคลุม บอกใบ้ว่าป่าลืมทุกข์อยู่ข้างล่างนี้แล้ว

สายตาของทุกคนมองตามลงไป โยนเรื่องที่เถียงกันเมื่อครู่นี้ทิ้งเร็วมาก ตอนนี้เจอโจทย์ยากแล้วจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าปานเยว่กงวรยุทธ์สูงถึงระดับบงกชทองขั้นเก้าจนรับมือยาก ว่ากันว่าสถานที่แห่งนี้ ขนาดนักพรตบงกชรุ้งเข้าไปแล้วก็ยังออกมาไม่ได้เลย จะเห็นได้ว่าปานเยว่กงก็มีความสามารถอยู่เหมือนกัน

จะยอมแพ้ภารกิจแรกของการทดสอบเหรอ? จะยอมแพ้ก็ไม่เป็นอะไรหรอก ตราบใดที่เอาชีวิตรอดกลับไปได้ก็เป็นเรื่องดีแล้ว เพียงแต่คำพูดแบบนี้ ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจเท่านั้น ไม่มีใครกล้าพูดออกมาก่อน

เหมียวอี้เองก็อยากจะยอมแพ้เหมือนกัน แต่เขากำลังแบกรับภาระสำคัญ ข้างหลังยังมีคนอีกเป็นโขยงที่ตามเขามาให้เขาเลี้ยง ถ้าเขาก้าวเท้าผิดจนไม่สามารถนำผลงานกลับไปได้ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของโค่วเหวินหลานก็จะรักษาไว้ได้ยาก ถ้าโค่วเหวินหลานรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้ ตำแหน่งของเขาก็คงจะลำบากเหมือนกัน หยาดเหงื่อแรงกายในหลายปีมานี้ก็จะสูญเปล่าแล้ว

ตำแหน่งที่แลกมาเพราะเสี่ยงชีวิตและเสียหุ้นร้านขายของชำซื่อตรงไปสองส่วน ไม่ง่ายเลยกว่ายืนให้มั่นคงที่พิภพใหญ่ได้ ถ้ายอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้ เขาก็พูดโน้มน้าวตัวเองไม่ไหวเหมือนกัน

หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็บอกว่า “ลองดูแล้วกัน!”

“จะลองยังไง?” มู่หรงซิงหัวถาม

เหมียวอี้กวาดสายตามองป่าลืมทุกข์ แล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ไปขอคนจากปานเยว่กงตรงๆ เลย ไม่แน่ถ้าปานเยว่กงโดนแรงกดดันจากตำหนักสวรรค์ อาจจะเป็นฝ่ายส่งคนมาเองเลยก็ได้”

ทั้งสามพูดไม่ออก สวีถังหรานไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ความเป็นไปได้นี้คงมีไม่มากหรอกมั้ง ถ้าเขาไม่ให้จะทำยังไงล่ะ?”

เหมียวอี้ตอบว่า “พวกเราเป็นคนของตำหนักสวรรค์ ทำไมต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ให้ตัวเองยุ่งยาก แค่เปิดเผยตัวตนอย่างสง่าผ่าเผยไปตรงๆ ก็พอ ต่อให้เขาไม่ให้คน ตราบใดที่พวกเราไม่ลงมือ เขาก็ไม่น่าจะหาเรื่องใส่ตัวมาลงมือกับพวกเราเหมือนกัน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่าพวกเรามีกันกี่คน ไม่รู้ว่ามีพลังเป็นอย่างไร คงจะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ถ้าไม่ไหวจริงๆ พวกเราค่อยยอมแพ้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายมาจ้องจับแต่นางคนเดียว”

หยางไท่ขมวดคิ้วอย่างสับสนลังเล “ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าเขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะปกป้องภรรยา แล้วทำเรื่องนี้อย่างสุดโต่งไปเลย พวกเราจะทำยังไงล่ะ?”

“พวกเจ้าคิดว่ายังไงกันบ้าง?” เหมียวอี้หันกลับมาถาม

“ลองไปหาก่อนก็ได้มั้ง” สวีถังหรานกล่าว

“ข้าเองก็รู้สึกว่าค่อยๆ ปรึกษากันก่อนดีกว่า ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนด้วย” มู่หรงซิงหัวออกความเห็น

หยางไท่พยักหน้าเห็นด้วย

เหมียวอี้เงียบงัน ถ้ามองไม่เห็นความหวังเลยสักนิดเดียว เขาก็จะไม่ยืนหยัดต่อ แต่ถ้าเห็นความหวังอยู่ตำตาแล้วย่อมแพ้โดยไม่ลองก่อน พอเจอความลำบากก็ถอย นี่ไม่ใช่ลักษณะการทำงานของเขา

เมื่อเห็นทั้งสามไม่อยากไปเสี่ยงอันตราย เหมียวอี้ก็บอกว่า “ในเมื่อตกลงตามนี้แล้ว งั้นพวกเจ้าก็รออยู่ข้างนอก ข้าจะไปพบปานเยว่กงสักหน่อย ไปสืบดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากัน”

ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าบ้านี่จะอยากไปคนเดียว! ทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วมู่หรงซิงหัวก็บอกว่า “เจ้าต้องคิดให้ดีนะ” นางจะสื่อว่าไม่มีใครบังคับเจ้า

เหมียวอี้ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับพวกเขา ตนไม่เหมือนพวกเขาที่กินอิ่มคนเดียวแล้วทั้งบ้านไม่หิว ตนยังมีครอบครัวใหญ่ที่จะต้องเลี้ยง ไม่สู้สุดชีวิตคงไม่ได้ ก็เหมือนที่อวิ๋นจือชิวบอก แต่งผู้หญิงกลับบ้านมาเป็นโขยง ไม่ใช่เพื่อให้นอนกับเขาอย่างเดียว ในเมื่อพวกนางมอบกายให้แล้ว เขาก็ต้องมอบอนาคตให้พวกนาง

เหมียวอี้เก็บเดรัจฉานสับปลับ เก็บเกราะรบบนตัวด้วยเช่นกัน จากนั้นหมอกสีทองก็ลอยขึ้นมาที่ร่างกาย เปลี่ยนเป็นเกราะทองห้าแถบของตำหนักสวรรค์ แล้วเหยียบลงกลางป่าเบื้องล่างโดยตรง ชั่วพริบตาเดียวก็จมลงในหมอกหนาของทะเลป่าไม้

หยางไท่พึมพำอยู่บนฟ้า “โค่วเหวินหลานมอบผลประโยชน์อะไรให้เขา ไม่น่าเชื่อว่าจะทุ่มเทชีวิตทำงานขนาดนี้!”

“ทำตัวสมเป็นลูกผู้ชายไง ถ้าเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆาได้อยู่กับเขา นางก็ไม่เสียปรียบแน่!” มู่หรงซิงหัวตอบ

หยางไท่กับสวีถังหรานพูดไม่ออก คำพูดนี้เหมือนกำลังตำหนิว่าพวกเขาสองคนทำตัวไม่สมกับเป็นลูกผผู้ชาย

ท่ามกลางเมฆหมอก ต้นไม้ประหลาดรอบข้างโผล่วับๆ แวมๆ เหมือนเงาผี ฮวาหูเตี๋ยให้ข้อมูลมาว่าในป่าลืมทุกข์มีตำหนักดินอยู่แห่งหนึ่ง นั่นคือที่พักของปานเยว่กงและฮูหยิน ส่วนรายละเอียดว่าว่าตั้งอยู่ตรงไหน คนนอกก็ไม่รู้แล้ว

เหมียวอี้เองก็พึมพำในใจเช่นกัน ในทะเลป่าที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาแบบนี้ ถ้าอยากจะหาให้เจอก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทรจริงๆ ที่สำคัญคือมีหมอกหนาปิดล้อม ถ้าร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจทีละนิด ก็ไม่รู้ว่าจะหาเจอเมื่อไร

ขณะที่เหาะอยู่ในป่าและกำลังร่ายอิทธิฤทธิ์เสาะหาไปทั่ว จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ในหมอกมีสิ่งแปลกปลอม เขารีบเหยียบลงพื้นทันที แล้วร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดาราต้านทานไว้

“หนิวเอ้อร์!”

ข้างหูมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น เหมียวอี้เงยหน้า เห็นอวิ๋นจือชิวกำลังเดินช้าๆ ออกมาจากหมอกหนา ยื่นมือเข้ามาดึงเขาด้วยสีหน้ากังวล “เจ้าไม่เป็นอะไช่มั้ย?”

เหมียวอี้ตะลึงค้าง จากนั้นก็ตกใจทันที อวิ๋นจือชิวจะมาโผล่อยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ?

“อย่าเข้ามา!” เหมียวอี้รีบถือทวนไว้ในมือ ก้าวถอยหลังช้าๆ อย่างระวังตัว สัญชาตญาณสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ที่นี่จะมีใครรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับอวิ๋นจือชิวแล้วมาแอบอ้างได้ล่ะ?

“หนิวเอ้อร์ เจ้าเป็นอะไรไป? นี่ข้าไง! เกราะรบที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้เจ้า ทำไมเจ้าไม่สวมใส่ไว้?”

เมื่ออวิ๋นจือชิวพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็ยิ่งตกใจ เป็นไปไม่ได้ที่คนนอกจะรู้เรื่องนี้ แถมเขายังได้กลิ่นกายหอมที่คุ้นเคยจากตัวอวิ๋นจือชิวด้วย ไม่มีทางที่คนนอกจะปลอมแปลงได้

เดิมทีเขานึกว่ามีคนปลอมแปลง คิดจะใช้ทวนสังหารให้สิ้นเรื่อง แต่ตอนนี้กลับไม่กล้าทำบุ่มบ่ามแล้ว ถ้าพลาดทำอวิ๋นจือชิวตายขึ้นมาจริงๆ จะไม่แย่เหรอ จึงอดไม่ได้ที่จะถามเสียงหลงว่า “เจ้ามาได้ยังไง?”

“ข้าเป็นห่วงเจ้าไง! เลยวางงานในร้านค้าไว้ แล้วมาหาเจ้า ตั้งใจมาหาโค่วเหวินหลานเพื่อไกล่เกลี่ย ใช้ความคิด…”

ภายใต้การกำจัดพิษของเคล็ดวิชาอัคนีดารา ภาพที่อยู่ตรงหน้าเหมียวอี้พลันเปลี่ยนไป เสียงของอวิ๋นจือชิวก็เงียบลงกะทันหันเช่นกัน

ภาพที่เห็นตรงหน้าน่าหวาดกลัวมาก มือข้างหนึ่งที่อวิ๋นจือชิวยื่นเข้ามากลายเป็นดาบคมด้ามหนึ่ง กิ่งของต้นไม้โบราณที่อยู่ข้างๆ กำลังม้วนถือดาบจ่อเข้ามาที่คอของเขาอย่างช้าๆ นี่คือขั้นตอนที่กำลังจะปาดคอเขา

“ปีศาจ!” เหมียวอี้พลันตะโกน คว้าทวนด้ามหนึ่งไวในมือ แล้วฟันกิ่งไม้ที่ถือดาบจนหัก

ทว่าพอต้นไม้สั่นไหว มันก็ยื่นกิ่งออกมาอีกหลายกิ่ง แต่ละกิ่งล้วนถือดาบเอาไว้ กำลังยื่นมาที่เขาอย่างช้าๆ นี่ไม่ใช่จังวะการรุกโจมตีที่รวดเร็ว

เห็นมองปราดเดียวเหมียวอี้ก็เข้าใจแล้ว อีกฝ่ายนึกว่าตนยังอยู่ในภาพมายา ถ้าตนยังหลงอยู่ในภาพมายา ก็ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นภาพมายาอะไรมามอมเมาตนอีก

“ยังจะกล้าโอ้อวดฝีมือต่ำต้อย ตายซะเถอะ!”

เหมียวอี้ปาดทวนหลายครั้ง ฟันกิ่งไม้ที่ยื่นเข้ามาจนหมด จากนั้นถลันตัวเข้าไป แล้วใช้ทวนแทงไปบนตัวต้นไม้ใหญ่ พร้อมทั้งกรอกเปลวเพลิงไร้รูปร่างเข้าไป ทำให้มีเสียงกรีดร้องดังจากต้นไม้โบราณทันที ต้นไม้สั่นระริก ตรงปากแผลมีของเหลวสีเขียวมรกตไหลออกมา

พื้นดินสั่นสะเทือน พอต้นไม้โบราณหดกิ่งใบ ก็มีเสียงดังครืนคราน ต้นไม้ที่ใหญ่โตขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมุดลงดินไปแล้ว

พอได้ทดสอบฝีมือนิดหน่อย เหมียวอี้ก็รู้ว่านี่เป็นเพียงปีศาจต้นไม้วรยุทธ์ต่ำเท่านั้น ไม่ได้ตามไปฆ่าให้สิ้นซาก คาดว่าอีกฝ่ายคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานเช่นกัน

พอหันกลับมา เขาก็มองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัว ไม่รู้ว่ายังมีการโจมตีสำรองอะไรอีกหรือเปล่า เรียกได้ว่าเหงื่อแตกเต็มหลัง นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้แล้วยังกลัวไม่หาย ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมแม้แต่นักพรตบงกชรุ้งเข้ามาแล้วยังออกไปไม่ได้

เป็นเพราะภาพมายาน่ากลัวเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะมีเคล็ดวิชาอัคนีดาราช่วยคืนสติให้ เมื่อได้เห็นความจริงกับตาตัวเองแล้ว เกรงว่าชีวิตน้อยๆ ของตนคงจะโดนปีศาจนั่นเก็บไปแล้ว และเป็นเพราะได้เห็นความจริงกับตาตัวเอง เขาถึงได้เข้าใจว่าไม่ใช่คนอื่นที่ปลอมตัวมาทำให้เขาสับสน แต่เป็นเขาที่กำลังหลอกตัวเอง เมื่อใช้ความลับทุกอย่างที่ตัวเองรู้ พอได้หลอกตัวเองขึ้นมาก็ย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว

1014

ขุนนางสุนัก


หวาดกลัวก็ส่วนหวาดกลัว สิ่งนี้กลับทำให้เหมียวอี้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นหลายส่วนเช่นกัน ถ้าปานเยว่กงมีพลังที่สามารถจัดการนักพรตบงกชรุ้งได้ นั่นต่างหากที่น่ากลัวของจริง วิธีการสร้างภาพลวงตาแบบนี้ไม่เพียงพอให้เขากลุ้มใจ

เมื่อเห็นรอบข้างไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร เหมียวอี้ก็ทำตัวเปิดเผยเสียเลย ขณะที่เหาะเสาะหาอยู่ทั่วป่า ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนไปตรงๆ เลยว่า “ปานเยว่กง…ปานเยว่กง…ปานเยว่กง…” ไม่ว่าจะไปถึงตรงไหน เสียงของเขาก็จะดังก้องไม่หยุด

พอทำแบบนี้ ไม่นานก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบแล้ว ในป่ามีเสียงดังแว่วมา “ใครกัน?”

ไม่รู้ว่าเสียงนี้มาจากไหน เหมียวอี้เหยียบลงบนพื้นแล้วตอบว่า “คนของตำหนักสวรรค์”

หลังจากฝ่ายตรงข้ามเงียบไปพักหนึ่ง ก็ถามว่า “ข้าไม่ได้คบค้ากับคนของตำหนักสวรรค์ มีธุระอะไรกับข้า?”

มาหาถูกคนแล้ว! เหมียวอี้ตอบว่า “มีเรื่องจะเจรจากับเจ้า”

อีกฝ่ายปฏิเสธ “ข้าว่าไม่ต้องหรอกมั้ง ข้าไม่เคยมีเรื่องกับคนของตำหนักสวรรค์เลย”

“ไม่เคยมีเรื่องจริงเหรอ?” เหมียวอี้แสยะยิ้ม “เจ้าอย่าบอกเชียวนะว่าที่หลบหน้าไม่ยอมมาพบข้า เป็นเพราะเจ้าไม่รู้เรื่องในอดีตของฮูหยินตัวเอง”

ครั้งนี้อีกฝ่ายเงียบแล้วจริงๆ ไม่มีเสียงตอบกลับมาเลย

เหมียวอี้เชื่อว่าอีกฝ่ายเข้าใจความหมายที่ตัวเองสื่อ จึงบอกอีกว่า “ถ้าเป็นโชคก็ไม่ใช่หายนะ ถ้าเป็นหายนะก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องบางเรื่องก็เป็นสิ่งที่ต้องเผชิญหน้าแก้ไขในไม่ช้าก็เร็ว ข้ามาเพื่อให้โอกาสเจ้าสักครั้ง หวังว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยดี”

“จบลงด้วยดี?” เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นอีกครั้ง แต่กลับเจือด้วยความรู้สึกเหน็บแนมหลายส่วน “พวกเจ้ามาหาข้าถึงที่แล้ว ยังจะเจรจาต่อรองกันได้เชียวเหรอ?”

“ถ้าไม่อยากคุยกันดีๆ ข้าคงไม่มาหาเจ้าด้วยวิธีนี้ ข้ามาแค่คนเดียว แบบนี้ยังแสดงความจริงใจไม่ได้อีกเหรอ?” เหมียวอี้ยกมือขึ้นเช็ดตรงหว่างคิ้ว เช็ดโคลนซ่อนจิตออกไปแล้ว เผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งของตัวเอง แล้วหันหน้าไปรอบๆ “นี่ก็คือความจริงใจของข้า จะต้องการหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า ถ้าเจ้าไม่เต็มใจ ข้าก็จะไปทันที จะไม่เปลืองคำพูดอีก!” คำพูดนี้กลับมีความหมายสำคัญอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ เจ้ารับผลที่ตามมาเองแล้วกัน!

หลังจากในป่าเงียบไปพักหนึ่งอีกครั้ง เสียงของอีกฝ่ายก็ดังขึ้น “พาเขามา!”

มีเสียงต้นไม้ขยับ ต้นไม้โบราณที่อยู่ห่างออกไปหลายจั้งเขย่ากิ่งใบ แล้วกะพริบแสงสีขาวกลายเป็นชายชราคนหนึ่ง เดินเข้ามากุมหมัดคารวะด้วยความเคารพ “ขุนนางสวรรค์ เชิญตามข้ามา!”

เหมียวอี้พยักหน้า แล้วตามเขาไปทันที เหาะเข้าไปในป่าด้วยกัน ระหว่างทางเหมียวอี้ก็อยากจะจดจำเส้นทาง แต่จนใจที่หมอกหนาในป่าเหมือนจะมีคนควบคุม มันเปลี่ยนเป็นหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ มองเห็นได้ไม่ไกลเลย ไม่สามารถแยกแยะสภาพพื้นที่รอบๆ ได้

ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองก็มาเหยียบลงใต้ต้นไม้โบราณ โพรงใหญ่ใต้ต้นไม้เปิดออก เผยเส้นทางใต้ดินเส้นทางหนึ่ง เหมียวอี้เดินตามเข้าไป หลังจากเดินลงบันไดไปได้ไม่กี่ก้าว ก็พบว่าข้างในขาดแสงสว่าง พอหันกลับมามองข้างหลัง ก็พบว่าปากโพรงไม้เมื่อครู่นี้ปิดสนิทแล้ว

ในใจเกิดความระมัดระวังตัวอย่างสูง แต่จังหวะการก้าวเท้ากลับยังไม่ช้าลง มองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ งามสง่าผ่าเผย ก้าวยาวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

ใต้ดินราวกับเป็นเขาวงกต บนทางเดินจะเห็นเถาวัลย์อยู่เป็นระยะ เห็นได้ชัดเจนว่าถูกควบคุมโดยผู้ที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุดิน เส้นทางข้างหลังถูกปิดสมานเป็นระยะ ชั้นดินที่อยู่ข้างหน้าก็ละลายอยู่เป็นระยะเช่นกัน สังเกตเห็นได้ว่าลงมาถึงชั้นใต้ดินที่ลึกมากแล้ว

พอเดินไปได้พักใหญ่ ข้างหน้าก็ปรากฏแสงสว่าง สวนป่าใต้ดินแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น ดอกไม้ใบหญ้าประหลาดนานาชนิดที่งอกอยู่ใต้ดินส่งกลิ่นหอม มีพืชเรืองแสงปะปนอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง ทำให้ที่นี่มีเสน่ห์ไปอีกแบบ ไม่ด้อยไปกว่าทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิบนพื้นดินเลยจริงๆ

เงียบเชียบไร้เสียง! ไม่รู้ว่าเดิมทีสวนป่าใต้ดินเงียบเชียบไร้เสียงอยู่แล้ว หรือว่าเงียบเชียบหลังจากที่เหมียวอี้เข้ามา

เหมียวอี้มองไปรอบๆ ด้วยสายตาเย็นเยียบ สายตาไปหยุดอยู่บนแท่นบันไดของโถงหลักตรงหน้า เป็นชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีขาวที่ผอมสูงคนหนึ่ง ที่ยืนอยู่ข้างกันคือสตรีรูปร่างเย้ายวนใจที่สวมชุดกระโปรงเขียว ผิวขาวบริสุทธิ์เป็นพิเศษ หน้าตาสวยสดใสมาก

หลังจากสมุนปีศาจพาคนมาถึง  ชายหนุ่มชุดขาวคนนั้นก็เอียงศีรษะเล็กน้อย สมุนปีศาจจึงพยักหน้าแล้วถอยไป

เหมียวอี้ก้าวขึ้นไปโดยไม่ต้องเชิญ เดินขึ้นบันไดไปโดยตรง มุ่งเข้าไปหาสองคนที่อยู่บนบันได ลักษณะท่าทางเหมือนพร้อมจะเกลี้ยกล่อม

สองคนที่อยู่บนบันไดสบตากันแวบหนึ่ง ความรู้สึกค่อนข้างหนักอึ้ง เหมียวอี้สร้างความกดดันให้พวกเขาไม่น้อย เป็นเพราะในหลายปีมานี้ยังไม่เคยมีใครบุกเข้ามาในป่าลืมทุกข์แล้วไม่ติดกับดัก แต่คนคนนี้กลับเหมือนไม่เป็นอะไรเลย เดินเพ่นพ่านไปทั่วป่าลืมทุกข์ได้เหมือนเดิม มีวรยุทธ์แค่บงกชทองขั้นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าเข้ามาเสี่ยงอันตรายคนเดียว ถ้าไม่ใจกล้าก็แสดงว่าต้องมีที่พึ่ง!

ทั้งสองหลีกซ้ายหลีกขวา แล้วชายหนุ่มก็ยื่นมือเชิญ “เชิญ!”

เหมียวอี้มองทางข้างหน้าโดยไม่ละสายตา เกราะรบสีทองบนตัวมีความน่าเกรงขามและมีสง่าราศี

พอเข้ามาในโถงหลัก เจ้าบ้านและแขกนั่งลง ปีศาจลูกสมุนก็นำน้ำชามาวาง เหมียวอี้เหลือบตาขึ้นมองสตรีที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งนายหญิง แล้วถามเสียงเรียบว่า “เจ้าคือซูลู่เอ๋อร์เหรอ?”

สตรีชุดเขียวพยักหน้าเบาๆ “เป็นข้า! ซูลู่เอ๋อร์คืออดีตไปแล้ว เรื่องในอดีตย้อนกลับมาไม่ได้ ตอนนี้เป็นชิงเหมย” สายตาที่มองเหมียวอี้กลับแฝงไปด้วยความกังวลอย่างที่ยากจะปิดบังได้

“ปานเยว่กง?” สายตาเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนตัวชายที่เป็นเจ้าบ้าน

ปานเยว่กงเพียงขานรับคำเดียว เขาไม่อยากพูดอะไรมากกับเหมียวอี้ จึงถามตรงๆ เลยว่า เจ้ามีวิธีจะจบเรื่องนี้ดีๆ ยังไง?”

สายตาเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนตัวชิงเหมย “หัวหน้าภาคคนหนึ่งของตำหนักสวรรค์คืออดีตสามีเจ้า เจ้าโลภสมบัติจึงฆ่าเขาใช่มั้ย?”

ชิงเหมยตอบกลับอย่างใจเย็นว่า “ข้าฆ่าเจ้าจริงๆ แต่ไม่ได้ฆ่าเพื่อปล้นสมบัติ ในตอนแรกที่ข้ามอบร่างกายให้เขา เดิมทีคิดว่าจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า แต่ใครจะคิดว่าเขาหน้าคนใจสัตว์ เพื่อที่จะเอาใจขุนนางระดับบน ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะสั่งให้ข้าไปปรนนิบัติบนเตียงให้พวกนั้น ถึงข้าจะเป็นปีศาจ แต่ก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน จะให้ทนรับความอัปยศนี้ได้อย่างไร ภายใต้ความปวดร้าวเศร้าใจ ข้าเลยฉวยโอกาสสังหารตอนที่เขาไม่ระวังตัว ตอนหลังจึงหลบหนีออกมา แต่ตอนที่ข้าหนีมา ข้าไม่ได้แตะต้องสมบัติของเขาเลยสักส่วน ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้าก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน”

คำพูดนี้ควรจะพูดให้มู่หรงซิงหัวฟังสักหน่อยนะ เหมียวอี้พึมพำในใจ แล้วบอกว่า “ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง งั้นข้าก็เห็นใจเจ้ามาก ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเจ้าเองที่ตาถั่วไปเจอคนไม่ดี ส่วนคำพูดของเจ้าจะจริงหรือเท็จนั้นไม่สำคัญ ข้าจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่สำคัญเหมือนกัน ที่สำคัญคือเจ้าฆ่าเขาไปแล้ว ขุนนางที่รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ จะยอมให้เจ้าบุ่มบ่ามตั้งศาลเตี้ยลงโทษเสียเองได้อย่างไร! ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ครั้งนี้เจ้าอยู่ในรายชื่อจับกุมแล้ว ตำหนักสวรรค์เปิดฉากสะสางคดีค้างแล้ว ครั้งนี้ต้องพาเจ้ากลับไปปิดคดีให้ได้!”

ชิงเหมยเงียบไป นางเองก็เข้าใจเช่นกัน สิ่งที่นางเจอคือความโชคร้ายของนางคนเดียว อย่างมากคนนอกก็แค่เห็นใจ แต่กลับไม่สนใจความเป็นความตายของนาง สำหรับตำหนักสวรรค์ นางก็เป็นแค่มดตัวหนึ่ง มดที่โชคร้ายในโลกนี้มีเยอะเกินไป ใส่ใจได้ไม่ทั่วถึง สิ่งที่ตำหนักสวรรค์สนใจก็คือนางได้ทำผิดกฎสวรรค์หรือเปล่า!

ซ่อนตัวมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เดิมทีนางนึกว่าเรื่องนี้จะผ่านไปแล้ว ก่อนหน้านี้นางก็ได้ยินข่าวว่าตำหนักสวรรค์จะจับตัวนักโทษหลบหนีเหมือนกัน แต่ไม่ได้คิดว่าจะสาวมาถึงตัวนางได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยสีหน้ากังวล “คนชั่วที่ทำความผิดร้ายแรงในใต้หล้ามีตั้งเยอะ ทำไมต้องคอยจ้องตัวละครเล็กๆ ที่ไม่สำคัญอย่างข้าไม่ยอมปล่อย?”

เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “สำหรับตำหนักสวรรค์ เจ้าเป็นตัวละครที่ไม่สำคัญจริงๆ ตอนที่ไม่มีใครถามถึง เจ้าก็เป็นแค่ตัวละครเล็กๆ ถึงขั้นไม่มีใครนึกถึงเจ้าด้วยซ้ำ แต่พอมีคนถามถึงขึ้นมา เจ้าก็คือคนหนึ่งที่อยู่บนรายชื่อของนักโทษหลบหนี เหตุผลนี้คงไม่ต้องให้ข้าพูดมากหรอกนะ”

“พวกเราสองสามีภรรยาไม่ได้มาฟังเจ้าอธิบายเหตุผล เจ้าว่ามาเถอะ ต้องทำอย่างไรถึงจะจบเรื่องนี้แบบดีๆ ได้?” ปานเยว่กงถาม

เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น “ส่งตัวนางมา ให้ข้าพานางกลับไปจบเรื่องนี้ ข้ารับรองว่าเรื่องของฮูหยินจะไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วย เจ้าคิดว่าอย่างไร เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

ปั้ง! ปานเยว่กงตบโต๊ะยืนขึ้น และตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด “จบลงด้วยดีบ้าอะไรล่ะ! เจ้ากล้ามาล้อเล่นกับข้า อย่านึกว่าเจ้าเป็นคนของตำหนักสวรรค์แล้วข้าจะกลัวเจ้านะ วรยุทธ์แค่บงกชทองแต่กล้ามาทำเหิมเกริมที่นี่ ข้าว่าเจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วล่ะมั้ง!”

คุยกันไม่ถูกคอ ครึ่งคำก็มากเกิน เขาจะลงมือภายใต้ความเดือดดาล แต่กลับโดนหยินชิงเหมยดึงแขนไว้

นางชำเลืองเหมียวอี้ที่นั่งดื่มน้ำชาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่ง แล้วโน้มน้าวสามีอย่างขื่นขมใจ “ท่านสามี ในเมื่อเขามาแล้ว ก็คุยเรื่องนี้ให้ชัดเจนกันไปเลย”

ใช่ว่านางจะไม่เคยคลุกคลีกับคนของตำหนักสวรรค์มาก่อน ที่จริงในปีนั้นที่นางเป็นอนุภรรยาของหัวหน้าภาค นางก็เคยคลุกคลีมาไม่น้อย แต่คนที่มีลักษณะการทำงานแบบเหมียวอี้ นางยังไม่เคยเจอมาก่อน โดยเฉพาะคนวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งที่กล้าบุกเข้ามาในป่าลืมทุกข์ ทั้งยังบุกเดี่ยวโดยไม่ตื่นตกใจก็ยิ่งพบได้น้อย จู่ๆ นางก็รู้สึกกดดันว่าจะรอดพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้ยาก!

ปานเยว่กงจับเขนนาง แล้วกล่าวด้วยอารมณ์ที่ฮึกเหิมผิดปกติ “การส่งเจ้าไปตาย คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เจ้าหลีกไป ข้าจะเอาชีวิตขุนนางสุนัขตัวนี้!”

เหมียวอี้เหล่ตามองปฏิกิริยาของชิงเหมย พร้อมครุ่นคิดในใจว่า สงสัยจุดเปลี่ยนแปลงจะอยู่บนตัวของผู้หญิง จึงกล่าวเสียงเรียบว่า “สังหารข้าอาจจะง่าย แต่ผลของการสังหารข้ากลับไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะรับไหว ถ้าข้าไม่กลับไปตามกำหนดเวลา ตำหนักสวรรค์ก็จะส่งกำลังพลมาล้อมที่นี่ทันที!”

ปานเยว่กงที่กำลังถูกชิงเหมยห้ามอย่างสุดชีวิตชี้เหมียวอี้พร้อมตะคอก “ขุนนางสุนัข! เจ้าอย่ามาขู่ข้าเลย อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ พวกเจ้าเป็นผู้บัญชาการมากันหนึ่งพันคน กระจายกันไล่จับนักโทษหนึ่งร้อยคน แค่ทหารกระจอกไม่กี่คน ยังจะกล้าบอกว่าล้อมโจมตีอีก ยังไม่รู้เลยว่าใครจะโจมตีใครกันแน่!”

มารดาเจ้าเถอะ! เหมียวอี้แอบด่าแม่ในใจ คนยังไม่ทันมาถึง แต่ข่าวหลุดออกมาเละเทะหมดแล้ว นี่ไม่ใช่การวางกับดักหรอกเหรอ

แต่เขาก็รู้ว่านี่คือเรื่องที่ไม่มีทางเลือก มีคนมาเข้าร่วมการทดสอบมากมายขนาดนั้น เมื่อมีหลายปากก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมาข่าวหลุด

เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน “เจ้ารู้แค่ว่าจะมีผู้บัญชาการมาหนึ่งพันคน แต่กลับไม่รู้ว่านี่เพิ่งเป็นการเปิดฉากเริ่มต้น เมื่อครู่นี้ข้าก็บอกไปแล้ว ว่าตำหนักสวรรค์เปิดฉากสะสางคดีคั่งค้างแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีการจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นหรอก เจ้าอาจจะรอดพ้นการจับกุมของผู้บัญชาการหนึ่งพันคน แต่ถ้ารอการกวาดล้างอย่างเป็นทางการในภายหลังขายตัว เจ้าคิดว่าจะหนีไปได้ได้ล่ะ?”

ปานเยว่กงแสยะยิ้มชั่วร้าย “ขุนนางสุนัข อย่านึกนะว่าการที่ตำหนักสวรรค์ปิดล้อมทางเข้าออกไว้แล้วจะทำอะไรได้ จักรวาลกว้างใหญ่ขนาดนั้น ถ้าฆ่าขุนนางสุนัขอย่างเจ้าไปสักคน ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าใครจะตามหาพวกเราเจอจากดาราจักรอันกว้างใหญ่นี้!” พูดจบก็หันกลับมา “ฮูหยิน ในเมื่อตำหนักสวรรค์หาเจ้าพบแล้ว งั้นก็อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ ฆ่าเขาซะ แล้วเราก็หนีไปทันที จักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเราจะหาที่อยู่ไม่ได้”

เหมียวอี้ “จักรวาลนั้นกว้างใหญ่ ถ้าหาที่อยู่ไม่ได้ขึ้นมาก็น่าเวทนามาก ถ้าตายตอนที่กำลังร่อนเร่พเนจรก็เป็นเรื่องปกติมาก ถ้าเป็นที่ที่สามารถหาพบได้ง่ายๆ ที่จริงก็ลำบากเหมือนกันนะ เพราะถ้าเจ้าหาพบได้ง่ายๆ สักวันตำหนักสวรรค์ก็จะหาพบได้เหมือนกัน ถ้าเจ้ารอดไปได้ครั้งนี้ ก็จะต้องกลายเป็นเป้าหมายที่ตำหนักสวรรค์สนใจเป็นพิเศษแน่นอน ตำหนักสวรรค์จะไม่มีวันเลิกจับกุมเจ้าแน่ๆ จะหยุดก็ต่อเมื่อลงโทษเจ้าได้!”

เหมียวอี้มองชิงเหมยแล้วถามอีกว่า “ซูลู่เอ๋อร์ เจ้าได้ยินชื่อนี้แล้วรู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ? เจ้าเองก็บอกว่า ว่าเรื่องในอดีตไม่มีทางย้อนกลับมาได้ รสชาติของการหลบซ่อนอย่างหวาดระแวงมันแย่มากเลยใช่มั้ย? หรือเจ้าอยากจะดึงให้สามีลิ้มลองรสชาตินี้ไปกับเจ้าด้วย? และข้ารับรองได้เลยว่าสามีเจ้าหนีไม่พ้นจากดาววิงวอนชีวิตหรอก รับรองว่าเขาจะต้องตายอย่างอนาถเพราะเจ้าแน่ๆ!” เหมียวอี้พูดประโยคสุดท้ายอย่างแน่ใจที่สุด


1015

มีเงื่อนไข มีข้อแลกเปลี่ยน


ชิงเหมยได้ยินแล้วร่างงามสั่นด้วยความกลัว ใบหน้าซีดเผือก

“หึ! ขุนนางสุนัข อย่ามาพูดจาเหลวไหล!” ปานเยว่กงร้องอุทาน เขามองออกว่าเหมียวอี้กำลังปลุกปั่นเมียตัวเอง จึงพยายามออกแรงผลักชิงเหมย ต้องการจฆ่าเหมียวอี้ทิ้ง

“อย่านะ!” ชิงเหมยร้องอุทานเช่นกัน ตอนนี้กึ่งนั่งกอดขาข้างหนึ่งของปานเยว่กงเอาไว้อย่างสุดชีวิตแล้ว นางพูดกับเหมียวอี้อย่างเศร้าโศกว่า “เจ้าไปเถอะ เจ้ารีบไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา!”

เมื่อเห็นปานเยว่กงเริ่มบ้าระห่ำ ในใจเหมียวอี้ก็ระมัดระวังตัวสูงมาก แต่ภายนอกกลับยังสุขุมใจเย็น ยืนพูดอย่างไม่สะทกสะท้านอยู่อย่างนั้น “ข้าไปแล้ว เรื่องนี้ยังแก้ไขไม่ได้ ถึงข้าจะจับเจ้าไม่ได้ แต่ก็ยังมีคนอื่นจะมาจับเจ้าอีกอยู่ดี ข้างนอกยังมีกำลังพลคนอื่นรออยู่ ถึงตอนนั้นถ้าสามีเจ้ายังต่อต้านอีก ก็ยังต้องตายสถานเดียวอยู่ดี!”

ปานเยว่กงถลึงตาจ้องเหมียวอี้ ราวกับได้มองเห็นปีศาจมารร้าย พลางตะคอกด่าว่า “ขุนนางสุนัข!”

เขาสะบัดขา อาศัยวรยุทธ์อย่างเขา ประเดี๋ยวเดียวก็สลัดชิงเหมยหลุดแล้ว

ใครจะคิดว่าชิงเหมยที่โดนสลัดหลุดจะใช้มืออีกข้างคว้าข้อเท้าเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ดึงเท้าเขาลงพื้นอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็นำมีดสั้นออกมาจ่อหน้าอกตัวเอง แล้วถามอย่างเศร้าโศกว่า “ปานเยว่กง เจ้าอยากจะกดดันให้เจ้าตายต่อหน้าข้าใช่มั้ย?”

“ชิงเหมย!” ปานเยว่กงหันกลับมาเห็นแล้วตกใจ ขณะกำลังจะหันตัวเข้าไปประคอง ชิงเหมยกลับลอยไปยืนข้างหลัง นางหลบเลี่ยงเขาแล้ว ตอนนี้กำลังร้องไห้ฟูมฟาย “ท่านสามี การได้พบเจ้าในชาตินี้คือวาสนาของข้า เจ้าดีกับเขา ข้าจะไม่มีวันลืมตลอดไป ถ้าไม่ได้พบเจ้า ชิงเหมยคงตายไปนานแล้ว เขาพูดไม่ผิดหรอก ต่อให้หนีรอดไปได้ครั้งหนึ่ง แต่ยากที่จะหนีรอดไปทั้งชีวิต ก็เหมือนกับวันนี้ไง ต้องถูกหาพบในไม่ช้าก็เร็ว ข้าไม่อยากทำให้เจ้าลำบากไปด้วย เจ้าปล่อยให้ข้าไปกับเขาเถอะ!”

จากนั้นก็บอกเหมียวอี้พร้อมเสียงสะอื้นว่า “ข้าจะไปกับเจ้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาทั้งนั้น!”

ปานเยว่กงกล่าวอย่างหุนหันพลันแล่น “ชิงเหมย เจ้าโง่หรือเปล่า? มีใครก็ไม่รู้มาหา ใช้เวลาแค่ชั่วพบหน้ากัน พวกเราถึงขั้นไม่รู้ชื่อแซ่ของเขาด้วยซ้ำ แค่พูดจาส่งเดชสองสามคำ เจ้ากับข้าก็จะโดนความตายพรากจากกันแล้วเหรอ เจ้าเลอะเลือนหรือเปล่า? ขุนนางสุนัขนี่มันกำลังปลุกปั่นเจ้าชัดๆ ไปตกหลุมพรางง่ายๆ ได้ยังไง!”

เมื่อหันกลับมามองเหมียวอี้ กลับเห็นเหมียวอี้นั่งลงไปอีกแล้ว ยังนั่งดื่มน้ำชาอย่างสุขุมใจเย็นอยู่ตรงนั้น ไม่แยแสการจากลาชั่วนิรันดร์ที่อยู่ตรงหน้า ปานเยว่กงเรียกได้ว่าโมโหจนตาแทบถลน “ขุนนางสุนัข…”

“หยุดนะ!” ชิงเหมยรีบตะคอกห้าม มีดสั้นในมือแทงจนตรงหน้าอกมีเลือดไหลออกมาแล้ว นางเตือนด้วยเสียงสะอื้น “ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องเขา ข้าก็จะตายตรงหน้าเจ้าเดี๋ยวนี้ เรื่องที่ข้าก่อไว้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่ง!”

“ชิงเหมย เจ้า…” ปานเยว่กงชี้นางพร้อมพูดเสียงสั่น “เจ้าเลอะเลือน! เจ้าวางมีดลงก่อน ข้ารับปากว่าข้าจะไม่แตะต้องเขา”

เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี มีหรือที่ชิงเหมยจะไม่รู้จักนิสัยเขา ถ้านางวางมีดลง เขาจะต้องควบคุมนางได้ทันที จากนั้นก็จะลงมือกับขุนนางสวรรค์คนนั้น นางจึงส่ายหน้าบอกว่า “เจ้าถอยไปก่อน ให้ข้าไปกับเขาก่อน!”

“เจ้า…” ปานเยว่กงโมโหจนแยกเขี้ยวยิงฟัน

“พวกเจ้าสองสามีภรรยานี่ยังไงกันแน่ ยังพูดได้ไม่กี่คำก็ร้องไห้คร่ำครวญแล้ว ข้าบอกว่าข้ามาที่นี่เพื่อทำให้เรื่องนี้จบลงด้วยดี ไม่ได้มาเอาชีวิตคนเสียหน่อย” เหมียวอี้วางถ้วยน้ำชาลงแล้วยืนขึ้น “ปานเยว่กง ข้าบอกว่าจะพาฮูหยินของเจ้ากลับไปจบเรื่องนี้ ไม่ได้บอกว่าจะเอาชีวิตนางเสียหน่อย แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรนางด้วย แต่จะพานางกลับไปจบเรื่องในอดีตจริงๆ จะคืนอิสระให้กับนาง ตั้งแต่นี้ไปไม่ต้องหลบอยู่ใต้ดินกับเจ้า ไม่ต้องหลบหน้าไม่กล้าออกไปเจอผู้คน”

เมื่อเหมียวอี้กล่าวมาแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นปานเยว่กงที่กำลังโกรธหน้าเขียว หรือว่าจะเป็นชิงเหมยที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญ ทั้งคู่ต่างก็ตะลึงค้าง มองเขาอย่างงุนงง

เหมียวอี้เดินไปถึงข้างกายปานเยว่กงอย่างห้าวหาญ และไม่กลัวอันตรายด้วย เขาทำท่ากดมือพร้อมบอกชิงเหมยว่า “ชิงเหมย มีอะไรก็คุยกันดีๆ ถ้าต้องใช้มีดจริงๆ ข้าคงไม่ถ่อมาคนเดียวหรอก เจ้าไม่รักชีวิตตัวเอง แต่ข้ารักชีวิตตัวเองมากนะ เลือดไหลแล้วนะ วางมีดลงเถอะ มีอะไรก็ค่อยๆ นั่งคุยกัน ข้าเป็นคนมีเหตุผลมาตลอด เรื่องแย่งเมียคนอื่น ข้าทำไม่ลงหรอก”

สำหรับเขา คำพูดที่ยั่วยุแบบนี้มีไว้เพื่อกระตุ้นท่าทีของทั้งสอง ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยข้อมูลโง่เง่าที่ฮวาหูเตี๋ยให้มา เขาก็ไม่มีทางลงมือได้เลย ตอนนี้ได้เข้าใจท่าทีของทั้งสอง เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา ไม่ต้องกังวลอีกแล้วว่าตัวเองจะมีอันตรายถึงชีวิต

“คืนอิสระให้นาง?” ปานเยว่กงสีหน้าบิดเบี้ยว เป็นปฏิกิริยายามคิดตามเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันไม่ทัน จึงซักไซ้ถามว่า “พูดจริงหรือเปล่า!”

ชิงเหมยที่บนใบหน้ามีน้ำตาหยดใหม่ก็คิดตามไม่ทันเช่นกัน นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองมุทะลุเกินไปความคิดจึงไม่ค่อยไหลลื่น หรือเป็นเพราะตัวเองฟังคำพูดของอีกฝ่ายไม่เข้าใจ

สรุปว่าเหมียวอี้เดินเข้ามาข้างกายนางด้วยสีหน้าสบายใจ มีท่าทีผ่อนคลายไม่ตึงเครียด คว้าข้อมือที่กำลังถือมีดสั้นของนางย้ายออกจากหน้าอก แกะมีดที่นางจับออกมาจากมือนาง แล้วโยนไปให้ปานเยว่กงรับไว้

หลังจากใช้การกระทำจริงของตัวเองทำให้ปานเยว่กงวางใจ เขาถึงได้พยักหน้าตอบว่า “ย่อมพูดจริงอยู่แล้ว ถ้ามาถึงที่นี่เพื่อพูดจาเหลวไหล แสดงว่าสมองข้าคงมีปัญหาแล้วล่ะ”

“จะคืนอิสระให้นางยัง?” ปานเยว่กงรีบถาม

เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง “เป็นปัญหาที่ไม่ซับซ้อนเลย ขอเพียงลบล้างข้อหาให้ฮูหยินของเจ้า พิสูจน์ว่าฮูหยินของเจ้าไม่ได้ฆ่าหัวหน้าภาคคนนั้น นางก็ย่อมไม่มีความผิดแล้ว ย่อมเป็นอิสระด้วยเช่นกัน ตั้งแต่นี้ไปโลกนี้จะกว้างใหญ่ นางสามารถเดินทางไปได้ทั่วทุกที่ ไม่ต้องมุดอยู่ใต้ดินจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแบบนี้”

ปานเยว่กงได้ยินแล้วรู้สึกฮึกเหิม แต่ก็หน้าบึ้งในทันที “นี่เจ้ากำลังหลอกข้าเหรอ! หรือคิดจะหลอกพาฮูหยินไปให้พ้นจากมือข้าโดยสวัสดิภาพ เจ้าเป็นแค่ผู้บัญชาการเล็กๆ คนหนึ่ง จะมีความสามารถพลิกคดีการตายของหัวหน้าภาคได้ยังไง?”

เหมียวอี้เอาสองมือไขว้หลัง เงยหน้ายืดอก แล้วประกาศอย่างเป็นทางการว่า “ข้าน้อยหนิวโหย่วเต๋อ เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกของดาวเทียนหยวน” ขณะที่พูดก็โยนแผ่นหยกแต่งตั้งตำแหน่งให้เขาดู

“ที่แท้ก็เป็นผู้บัญชาการที่รายได้มั่งคั่ง ขออภัยจริงๆ ที่เสียมารยาท!” หลังจากได้อ่านแล้ว ปานเยว่กงก็กอดแผ่นหยกพร้อมกุมหมัดคารวะด้วยสีหน้าเหยียดหยาม ขณะเดียวกันก็กล่าวเหน็บแนมว่า “เหมือนสิ่งนี้จะยังไม่มากพอให้พิสูจน์นะ ว่าเจ้าสามารถพลิกคดีของหัวหน้าภาคได้!”

“ในเมื่อรู้ว่าเป็นตำแหน่งที่มั่งคั่ง งั้นก็ควรจะรู้เอาไว้นะ เจ้าเคยเห็นคนไม่มีภูมิหลังสักกี่คนที่สามารถนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการของตลาดสวรรค์ได้?” เหมียวอี้ถาม

ปานเยว่กงอึ้งไปชั่วขณะ สายตาชำเลืองไปที่ชิงเหมย ชิงเหมยที่เอามือปาดน้ำตาหยักหน้าเบาๆ เหมือนกำลังบอกว่าเป็นแบบนี้จริงๆ เป็นเรื่องยากมากที่คนไร้ภูมิหลังจะนั่งในตำแหน่งผู้บัญชาการของตลาดสวรรค์ได้

ปานเยว่กงถามหยั่งเชิงว่า “เจ้ากำลังบอกว่า ภูมิหลังของเจ้าสามารถช่วยพลิกคดีให้ฮูหยินของข้าได้เหรอ? คดีของหัวหน้าภาค เกรงว่าจะไม่ได้พลิกง่ายขนาดนั้นมั้ง ถึงอย่างไรก็เป็นการตายของนักพรตระดับบงกชรุ้ง!”

เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ “ข้าคือคนของตระกูลอ๋องสวรรค์โค่ว ผู้บัญชาการใหญ่ที่เป็นหัวหน้าของข้าก็คือหลานชายแท้ๆ ของอ๋องสวรรค์โค่ว ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ดูตราแต่งตั้งที่อยู่บนคำสั่งแต่งตั้งได้!”

ปานเยว่กงหยิบขึ้นมาดูทันที ขณะที่กำลังดูอย่างละเอียด ก็พึมพำว่า “โค่วเหวินหลาน…”

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “หลานชายของอ๋องสวรรค์ผู้น่าเกรงขามจะพลิกคดีของหัวหน้าภาคสักคน เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องยากมากเหรอ? อย่าว่าแต่หัวหน้าภาคคนเดียวเลย ต่อให้เป็นคดีของท่านโหวสักคน ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย”

สองสามีภรรยามองหน้ากันเลิกลั่ก บอกไม่ถูกเลยว่าตกใจหรือดีใจ

ถึงแม้จะพิสูจน์ฐานะของเหมียวอี้ได้แล้ว แต่ฐานะนี้จะจริงหรือปลอมก็ยังไม่แน่ใจ เพราะปานเยว่กงไม่เคยเห็นตราประทับของหลานชายอ๋องสวรรค์ ไม่กล้าเชื่อง่ายๆ ยังคงถามหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง “เจ้าถ่อมาถึงที่นี่ แค่เพราะจะพลิกคดีให้ฮูหยินของข้าเหรอ? จิตใจดีขนดนี้เลยเหรอ?”

“ข้าไม่ได้ใจดีอยู่แล้ว ข้าไม่ใช่ญาติสนิทมิตรสหายของพวกเจ้าสองสามีภรรยา ทำไมต้องช่วยเหลือพวกเจ้าด้วยล่ะ?” ขณะที่พูด เหมียวอี้ก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าสองสามก้าว ยื่นมือไปหยิบแผ่นหยกกลับมาจากมือปานเยว่กง แล้วบอกว่า “มีเงื่อนไข มีข้อแลกเปลี่ยน ก็ต้องดูว่าพวกเจ้าสองสามีภรรยาเต็มใจหรือไม่เต็มใจ”

สองสามีภรรยาสบตากันอีกครั้ง ชิงเหมยที่มีรอยเลือดบนหน้าอกกุมหมัดขอคำชี้แนะ “ไม่ทราบว่ามีเงื่อนไขอะไร?”

“ถึงแม้ผู้บัญชาการใหญ่ของข้าจะมีตำแหน่งไม่สูง แต่ข้าจะขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังไว้ก่อน ในสายตาของเขา พวกเจ้าสองสามีภรรยาไม่ได้มีค่าอะไรทั้งนั้น เขาไม่จำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเจ้า เพียงแต่ครั้งนี้พวกเจ้าสองคนโชคดี ได้มาเจอกับ…” เหมียวอี้เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟังทันที หลังจากบอกเรื่องการต่อสู้แย่งชิงในตระกูลของโค่วเหวินหลานแล้ว ถึงได้บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงออกมา “การจับตัวนักโทษหลบหนีครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับฐานะในตระกูลของผู้บัญชาการใหญ่ ถ้าพวกเจ้ายินดีจะสร้างผลงานชดเชยความผิด โดยมาช่วยเหลือผู้บัญชาการใหญ่อีกแรง ในภายหลังไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร  ขอเพียงพวกเจ้าสองคนช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง เห็นแก่น้ำใจส่วนนี้ ผู้บัญชาการใหญ่ย่อมไม่นิ่งดูดายกับเรื่องของพวกเจ้าแน่ อาศัยภูมิหลังของผู้บัญชาการใหญ่ การแก้ปัญหาเรื่องพวกเจ้าสองคนเป็นเรื่องที่สบายมาก ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร โอกาสมาอยู่ตรงหน้าพวกเจ้าแล้ว ตัดสินใจเองแล้วกันว่าจะเลือกอย่างไร ข้าไม่บังคับ!”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! หลังจากสองสามีภรรยาเงียบไปพักหนึ่ง ปานเยว่กงก็ถามว่า “ให้พวกเราสองสามีภรรยาปรึกษากันสักหน่อยเป็นไร?”

“เชิญตามสะดวก!” เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ

ปานเยว่กงจึงเรียกคนมาดูแล แล้วสองสามีภรรยาก็ขอตัวก่อนชั่วคราว ไปคุยกันด้านหลัง

พอทั้งสองอ้อมไปที่โถงด้านหลัง ก็เห็นเก้าอี้ในโถงด้านหลังมีผู้หญิงวัยกลางคนที่สวยสดใสคนหนึ่งนั่งอยู่ เห็นได้ชัดว่าได้ยินบนสนทนาที่โถงด้านหน้าชัดเจนหมดแล้ว

ทั้งสองเห็นนางแล้วไม่รู้สึกแปลกใจอะไร โดยเฉพาะชิงเหมยที่เป็นฝ่ายเข้าไปจูงมือนาง แล้วพาเดินออกจากโถงด้านหลังด้วยกัน

ถ้าเหมียวอี้ได้เห็นสตรีวัยกลางคนที่สวยสดใสคนนี้ เขาจะต้องตกใจมากแน่นอน เพราะว่านางไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นฮวาหูเตี๋ย เถ้าแก่เนี้ยของโรงจำนำผีเสื้อนั่นเอง

หลังจากทั้งสามนั่งลงที่โถงหลักในลานบ้านด้านหลังด้วยกัน ปานเยว่กงก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “คนคนนี้วรยุทธ์ไม่สูง แต่กลับเก่งกาจมาก พวกเราโดนคำพูดไม่กี่ประโยคของเขาปั่นจนจะเป็นจะตาย พอมาคิดดูตอนนี้ เขากำลังจงใจคำพูดยั่วยุพวกเรา กำลังหยั่งเชิงท่าทีของพวกเราสองสามีภรรยา! ชิงเหมย เจ้าเคยอยู่กับทางการมาก่อน อย่าบอกนะว่าบุคคละระดับผู้บัญชาการของตำหนักสวรรค์เก่งกาขนาดนี้หมด? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ในโลกนี้ก็ไม่มีใครสู้กับตำหนักสวรรค์ได้แล้ว!”

“ก็ไม่ใช่แบบนั้นเสียทีเดียว คนที่กินดื่มไปวันๆ ก็มีเยอะ เขายังบอกเองว่าเขาเป็นคนของตระกูลโค่ว คนที่มีประวัติความเป็นมาแบบนี้ คนธรรมดาทั่วไปย่อมเทียบไม่ติดอยู่แล้ว” ชิงเหมยพูดถึงตรงนี้ พอเห็นฮวาหูเตี๋ยนั่งฟังเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร ถึงได้จับมือนางพร้อมถามว่า “พี่สาว ท่านคิดว่าเงื่อนไขของขุนนางสวรรค์คนนั้นเป็นอย่างไร จะตอบตกลงได้มั้ย?”

ฮวาหูเตี๋ยยิ้มบางๆ “เรื่องแบบนี้ข้าไม่สะดวกจะพูดอะไร จะตอบตกลงหรือไม่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับท่าทีของพวกเจ้าสองสามีภรรยา พวกเจ้าปรึกษาหารือกันเองเถอะ” พูดจบก็ตบหลังมือชิงเหมยเบาๆ นางชักมือกลับมา แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องนั้นทันที ให้ที่ว่างสองสามีภรรยาปรึกษาหารือกัน


1016


หนิวโหย่วเต๋อ หนิวโหย่วไฉ หนิวโหย่วโส้ว


ในความเงียบงัน ดอกไม้ใบหญ้าประหลาดส่งกลิ่นหอมมีเอกลักษณ์อยู่ในพื้นที่ว่างใต้ดิน

ฮวาหูเตี๋ยสวมกระโปรงยาวเดินเนิบนาบเพียงลำพัง เมื่อเดินมาถึงทางเดินตรงลานบ้านด้านหลัง นางก็นั่งพิงรั้วและวางแขนข้างหนึ่งพาดบนรั้ว ใช้นิ้วทั้งห้าเคาะตีรั้วเบาๆ ขณะกำลังครุ่นคิด บนใบหน้าก็เริ่มเผยรอยยิ้มบางๆ พร้อมพึมพำว่า “อาศัยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง มายังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ยังไม่รู้แม้แต่รายละเอียดของสถานการณ์ ก็กล้าพาตัวเองเข้ามาเสี่ยงอันตรายแล้ว ใช้คำพูดสองสามคำปั่นชีวิตคนเล่นในฝ่ามือ ช่างมีความสามารถจริงๆ ช่างมีจิตวิญญาณที่กล้าหาญ! เดิมทีนึกว่าเป็นพวกหลับหูหลับตาวิ่งมาทำงาน นึกไม่ถึงว่าจะมีตัวละครที่ได้มาตรฐานแบบนี้ คนคนนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ! ได้ยินว่าเจ้าตุ้งติ้งไม่ค่อยได้รับความสำคัญจากตระกูลโค่ว แต่กลับรับลูกน้องที่มีฝีมือแบบนี้เอาไว้ ถึงได้ปล่อยออกมาทำงานรับใช้อย่างสุดชีวิต สงสัยการทกสอบครั้งนี้จะควรค่าแก่การรอคอย…”

ส่วนบทสรุปในการเจรจาของปานเยว่กงและภรรยาก็เป็นตามที่เหมียวอี้คาดไว้ เมื่อมีทางออกก็ไม่มีใครปฏิเสธ แต่กลับมีเงื่อนไขอีกข้อ

ชิงเหมยไม่มีความเห็นอะไร แต่ปานเยว่กงกลับไม่มีทางย่อมให้คนพาเมียตัวเองไปโดยอาศัยแค่คำพูดปากเปล่าของเหมียวอี้ เขาตอบตกลงเงื่อนไขของเหมียวอี้ และยินดีจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยน แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ห้ามให้ความปลอดภัยของเมียตัวเองอยู่ในมือคนอื่นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ทำ

และก่อนที่จะทำแบบนั้น เขาก็ต้องการให้เหมียวอี้ลงนามรับประกัน ถ้าเหมียวอี้กล้าข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง อย่าว่าแต่ใช้อำนาจคุกคามเหมียวอี้ อย่างน้อยเขาก็สามารถเปิดเผยชื่อของเหมียวอี้ได้

“ไม่มีปัญหา!” เหมียวอี้กล่าวอย่างสบายอกสบายใจ ตอบรับในคำเดียว

เมื่อเป็นแบบนี้ ปานเยว่กงก็วางใจแล้วเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายปรึกษาหารือรายละเอียดกันอีกครั้ง จนกระทั่งได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจของทั้งสองฝ่าย

หลังจากตกลงเรื่องนี้กันได้แล้ว สองสามีภรรยาก็ต้องไปกับเหมียวอี้แล้ว ปานเยว่กงเรียกลูกน้องมามอบหมายงานของป่าลืมทุกข์ ส่วนชิงเหมยก็กลับมาบอกลาฮวาหูเตี๋ยที่ตำหนักสวรรค์ลานบ้านด้านหลัง

ในศาลา สตรีสองคนนั่งลงด้วยกัน ฮวาหูเตี๋ยถามว่า “จะไปกับคนคนนั้นจริงๆ เหรอ?”

ชิงเหมยพยักหน้า “ในปีนั้นที่ข้าหนีมาที่ดาววิงวอนชีพ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สาวช่วยชี้แนะและเป็นคนกลางติดต่อให้ ข้าก็คงไม่ได้พบกับท่านสามี ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาตัวรอดไปวันๆ ในหลายปีมานี้ ตอนนี้มีโอกาสได้รับอิสระแล้ว ย่อมไม่อยากปล่อยไป ท่านสามีใจร้อนกว่าข้าอีก”

ฮวาหูเตี๋ยยิ้มบางๆ พยักหน้าบอกว่า “ถ้าสามารถลบล้างข้อหาและช่วยคืนอิสระให้เจ้าได้ ปานเยว่กงย่อมใจร้อนอยู่แล้ว”

แต่ในใจกลับแอบถอนหายใจยาว เจ้าหนุ่มนั่นใช้ได้จริงๆ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำ พอมาถึงก็สามารถทำให้สองสามีภรรยาที่ไม่เคยเจอหน้ามาก่อนกลายเป็นกระบองเหล็กสองด้ามที่เอาไว้ตีคนแล้ว คนหนึ่งวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้า คนหนึ่งวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้า ช่างเป็นผู้ช่วยที่ดีจริงๆ

หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน เมื่อพลังไม่พอก็ทำได้เพียงใช้สมอง ถ้ามีพลังจะมัวพูดมากแบบนี้ทำไม ถ้าจับได้ก็จับ ฆ่าได้ก็ฆ่า จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป

“ที่จริงพวกเราสองสามีภรรยาไปกับเขา ก็ไม่ใช่เรื่องยาอะไร ในเมื่อเขาสามารถหาที่นี่พบ ก็รับประกันได้ยากว่าคนอื่นๆ ของตำหนักสวรรค์จะหาที่นี่ไม่พบ หลบอยู่ข้างกายเขาก็ดีเหมือนกัน” ชิงเหมยถอนหายใจ

“หลักการก็เป็นแบบนี้ รักษาตัวให้ดีๆ !” ฮวาหูเตี๋ยทอดถอนใจเช่นกัน ในน้ำเสียงสื่ออารมณ์ซับซ้อน

บางอย่างนางก็พูดออกมาไม่ได้ เพราะในใจนางรู้ดี นอกจากพวกเหมียวอี้ที่รู้ว่าชิงเหมยอยู่ที่นี่ คนอื่นๆ ก็อาจจะไม่รู้ก็ได้ สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะว่านางเป็นคนปล่อยข่าวเอง ฐานะอย่างนางก็โดนกดดัดจนหมดทางเลือกเหมือนกัน แต่นางก็นับว่าลำเอียงเพราะเห็นแก่ไมตรีที่มีต่อสองสามีภรรยาแล้ว นางให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจนกับพวกเหมียวอี้ไป ตามความคิดของนาง ประการแรกคือหวังให้พวกหมียวอี้เห็นว่ายากแล้วยอมถอย นั่นคือเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับนางแล้ว ประการต่อมาก็คือมีปานเยว่กงอยู่ด้วย นางเดาว่าพวกเหมียวอี้อาจจะทำไม่สำเร็จ ถึงอย่างไรก็เห็นๆ กันอยู่ว่าแต่ละคนมีวรยุทธ์เป็นอย่างไร พลังระดับบงกชทองขั้นเก้าของปานเยว่กงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

ทว่าคาดการณ์มาดีอย่างไร อย่างก็คาดไม่ถึงว่าจะมีคนประหลาดอย่างเหมียวอี้โผล่มา ไม่น่าเชื่อว่าวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งแต่ยังกล้ามาขอคนกับปานเยว่กงแบบต่อหน้า ทั้งยังล่อลวงสองสามีภรรยาไปด้วยกันได้อีก ทำให้นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ดันไม่สะดวกจะช่วยทั้งสองฝ่าย เมื่อเผชิญหน้ากับทั้งสองฝ่าย ก็ทำได้เพียงกดกลั้นคำพูดบางคำไว้ในใจ…

ตอนที่เหมียวอี้ออกจากตำหนักใต้ดิน ปานเยว่กงก็ยังไม่วางใจเสีนทั้งหมด พาเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาอยู่ในทางใต้ดิน กว่าจะโผล่ขึ้นมาที่ผิวดินได้ก็ทำเอาเหมียวอี้มึนหัว

ตอนที่เหาะออกมาจากป่าลืมทุกข์ เหมียวอี้ก็มมองทะเลป่าที่กว้างใหญ่ไพศาลเบื้องล่าง แยกไม่ออกเหมือนกันว่าทางใต้ดินอยู่ตรงตำแหน่งไหนกันแน่ เขาเอียงศีรษะมองสองสามีภรรยา แล้วพูดหยอกล้อว่า “ปานเยว่กง เจ้านี่ระวังตัวใช้ได้เลยนะ”

“เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้! แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาร้าย แค่คิดจะปกป้องชีวิตตัวเองก็เท่านั้น” ปานเยว่กงกล่าวอย่างจนใจ

“เอาไว้เดี๋ยวเจอกัน!” เหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรมาก ก่อนหน้านี้ได้พูดสิ่งที่ควรพูดไปชัดเจนแล้ว จึงพูดทิ้งท้ายไว้ประโยคเดียว แล้วเหาะแยกออกไปลำพัง

หลังจากมาถึงจุดที่แยกกันก่อนหน้านี้ และได้พบกับพวกมู่หรงซิงหัวแล้ว มู่หรงซิงหัวก็ถามทันทีว่า “เป็นยังไงบ้าง?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ไม่ต้องพูดถึงแล้ว อีกฝ่ายไม่ยอมยกเมียให้แต่โดยดี แถมข้ายังเกือบเอาชีวิตไม่รอด พลังของปานเยว่กงไม่ธรรมดาจริงๆ เหนือกว่าเจิ้งหรูหลงเยอะ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”

สวีถังหรานส่ายหน้ายิ้ม “บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่าเข้าไป แต่เจ้าก็ไม่ฟัง จะมีสักกี่คนที่จะส่งเมียตัวเองออกไปตายได้ แต่ก็ยังดี รักษาชีวิตไว้ได้ก็นับว่าดีแล้ว”

“ในเมื่อปานเยว่กงรับมือด้วยยาก งั้นก็เปลี่ยนเป้าหมายแล้วกัน จากเก้าคนหายไปสักคนก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าจับได้แปดคนจากหนึ่งร้อยคน อันดับพวกเราก็ไม่แย่แล้ว หยางไท่กล่าว

เหมียวอี้คิดในใจว่า อย่างพวกเจ้าน่ะ ถ้าเจอใครสักคนที่รับมือยาก ก็คงจะถอยไปหาเป้าหมายที่ต่ำลง จากแปดเปลี่ยนเป็นเจ็ด แล้วสุดท้ายก็กลายเป็น แค่รักษาชีวิตไว้ได้ก็เพียงพอแล้ว

แต่ละคนมีเป้าหมายต่างกัน เวลาทำงานร่วมกัน เหมียวอี้ก็ไม่อยากว่าอะไรพวกเขามาก จึงบอกว่า “งั้นก็ไปจับคนต่อไปทีเป็นโจรราคะแล้วกัน”

นักโทษที่ถูกเรียกว่า ‘โจรราคะ’ เจิงอีอี นี่ไม่ใช่นักโทษหลบหนี แต่เป็นนักโทษที่ที่ทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า คนคนนี้ค่อนข้างประหลาด เป็นแบบฉบับของมหาโจรย่ำดอกไม้ ปกติคนในแดนฝึกตนมักจะไม่ขาดผู้หญิง คนที่มีพลังอภินิหาร อย่างน้อยถ้าอยากได้พวกผู้หญิงสวยที่เป็นมนุษย์ธรรมดาก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ไม่รู้ว่าปกติเจ้าบ้านี่มีความแค้นอะไรกับขุนนางตำหนักสวรรค์นักหนา เลือกลงมือกับพวกภรรยาของขุนนางโดยเฉพาะ หลังจากทำสำเร็จแล้วก็ไม่ฆ่าทิ้ง ทว่ามีนิสัยที่ไม่ดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ หลังจากลงมือย่ำยีเสร็จแล้ว ก็จะทิ้งรอยสักอักษรสีดำไว้ที่แผ่นหลังของเหยื่อโดยไม่ให้รู้ตัวว่า : เจิงอีอีเคยมาเล่นที่นี่หนึ่งครั้ง!

ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่โดนเขาย่ำยีล้วนไม่กล้าประกาศเสียงดัง แค่อยากจะปิดบังไว้ แต่ใครจะคิดว่าโจรจะทิ้งรอยสักที่ลบไม่ออกไว้ที่แผ่นหลังตน พอสามีภรรยาร่วมห้องหลับนอนกันก็เผยพิรุธทันที แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร

วิธีการนี้โหดร้ายยิ่งกว่าฆ่าคนเสียอีก แต่เจ้าบ้านี่ก็มีความสามารถมาก มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้าเท่านั้น แต่กลับก่อคดีซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งยังหนีรอดครั้งแล้วครั้งเล่า เรียกได้ว่าประหลาดพิลึก จากข้อมูลที่ฮวาหูเตี๋ยให้มา ดาววิงวอนชีพก็คือรังโจรของเจิงอีอี

มู่หรงซิงหัวได้ยินแล้วกล่าวอย่างเคียดแค้นชิงชัง “ก็แค่พวกหน้าด้านไร้ยางอาย! ครั้งนี้ไม่ปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้แน่!”

เจิงอีอีมีเพียงวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้า พอคิดไปคิดมาพวกเขาก็รู้สึกมั่นใจ หลังจากมีความเห็นตรงกันแล้ว ก็หยิบข้อมูลที่ฮวาหูเตี๋ยให้ออกมาศึกษาและวินิจฉัย

เจิงอีอีซ่อนตัวอยู่ที่ซีกตะวันตกของดาววิงวอนชีพ ฝั่งนั้นไม่มีแสงอาทิตย์ มีเพียงท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด เป็นตอนกลางคืนตลอดเวลา มีน้ำแข็งปกคลุมตลอดทั้งปี

เมื่อแยะแยะตำแหน่งคร่าวๆ ที่เจิงอีอีซ่อนตัวได้แล้ว พวกเขาก็เหาะไปยังซีกตะวันตกด้วยความเร็วสูง

ขณะที่เหาะไปยังดินแดนที่มีสีของท้องฟ้ายามสายัณห์ จู่ๆ ก็เห็นหญิงชายคู่หนึ่งเหาะมาตรงหน้า หลังจากทั้งสองฝ่ายเหาะเฉียดผ่านกันไปประมาณร้อยจั้ง จู่ๆ หยางไท่ก็บอกว่า “ไม่ดีแล้ว เกรงว่าสองคนนี้จะมีเจตนาไม่ดี”

พวกเขาหันกลับไปมอง เห็นชายหญิงที่เพิ่งเหาะผ่านไปเลี้ยวไล่ตามมาแล้ว

ฝั่งนี้เพิ่งจะเตรียมป้องกัน แต่กลับได้ยินฝ่ายตรงข้ามร่ายอิทธิฤทธิ์สามเสียงดังว่า”ข้างหน้าใช้น้องหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า?”

พวกเขาชะงักทันที มู่หรงซิงหัวถามว่า “น้องหนิว เจ้ารู้จักเหรอ?”

เหมียวอี้ทำสีหน้าสงสัย “เสียงก็ฟังดูคุ้นหูนะ แต่ไม่เคยเจอตัวมาก่อน”

หลังจากใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง หยางไท่ก็บอกว่า “พวกเขาปลอมตัวมา บนใบหน้าสวมหน้ากากไว้”

หลังจากพวกเขาได้ยินดังนั้น ก็ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองให้ละเอียดเหมือนกัน เป็นแบบนั้นจริงๆ ด้วย ตอนนี้อีกฝ่ายตะโกนกลับมาอีกว่า “สหายเก่าเจอหน้ากัน ทำไมน้องหนิวไม่สนใจล่ะ เป็นพวกเราสองสามีภรรยาไง!”

เหมียวอี้ทำสีหน้าเข้าในในทันที รีบกวักมือบอกทุกคน “หยุดก่อนๆ เป็นสหายของข้าเอง!”

ที่แท้ก็เป็นสหาย! คนที่เหลือโล่งใจ ตอนนี้หยุดเหาะแล้ว

เหมียวอี้เลี้ยวและเหาะเข้าไป ไปลอยอยู่กับสองสามึภรรยาอยู่กลางอากาศ สองสามีภรรยาย่อมไม่ใช่ใครที่ไหนอยู่แล้ว เป็นปานเยว่กงกับชิงเหมยนั่นเอง

ทว่าหลังจากเหมียวอี้พาทั้งสองกลับมา กลับยิ้มพลางแนะนำให้สมาชิกที่เหลือรู้จัก “พวกเขาสองสามีภรรยาคือสหายเก่าของข้า ไม่เจอกันมาหลายปีแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเจอกันที่นี่ บังเอิญมากจริงๆ พวกเขาสองสามีภรรยามีพลังอิทธิฤทธิ์แข็งแกร่ง ในเมื่อเจอกันแล้ว ข้าย่อมเชิญให้พวกเขามาช่วยพวกเราอีกแรง เมื่อมีไมตรีเก่าๆ พวกเขาก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธ ไม่ถือสาที่จะช่วยเหลือ เพียงแต่พวกเขาไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ไม่อยากเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้ทุกคนเห็น และไม่ยากเปิดเผยชื่อจริงด้วย เรียกพวกเขาว่าหนิวโหย่วไฉกับหนิวโหย่วโส้วแล้วกัน หวังว่าทุกคนจะไม่ถือสา!”

หนิวโหย่วเต๋อ หนิวโหย่วไฉ หนิวโหย่วโส้ว[1] แปลกพิลึกใช้ได้เลย พวกมู่หรงซิงหัวได้ยินแล้วหลุดขำ ทุกคนไม่สนใจหรอกว่าจะเป็นชื่อปลอมหรือชื่อจริง มีคนเข้ามาช่วยเหลือเพิ่มเป็นเรื่องที่ดีสุดๆ จึงกุมหมัดคารวะทันที “รบกวนคู่ที่เพรียบพร้อมด้วยคุณธรรมทั้งสองท่านแล้ว!”

เหมียวอี้แนะนำพวกมู่หรงซิงหัวให้รู้จักทันที

ไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนพวกมู่หรงซิงหัว ปานเยว่กงกับชิงเหมยไม่อยากพูดอะไรมาก เพียงกุมหมัดคารวะ นับว่าแสดงออกว่ารู้จักแล้ว

ที่ไม่ยอมเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ก็คือความประสงค์ของปานเยว่กง อีกฝ่ายมีภาพวาดของชิงเหมยอยู่ในมือ หน้าเผยโฉมหน้าที่แท้จริงจะต้องจำได้แน่ ก็เหมือนอย่างที่เขาบอกเหมียวอี้ เขาแค่อยากจะสร้างผลงานเพื่อชดเชยความผิดและล้างข้อหาคืนอิสระให้เมียเมียตัวเอง  แต่ไม่ได้อยากส่งเมียตัวเองให้อยู่ในมือคนอื่น เมื่อทำแบบนี้หากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา เขาก็ยังสามารถพาเมียหลบหนีได้ เขาไม่อาจปิดตายทางหนีทีไล่ของตัวเอง

สำหรับเรื่องนี้ เหมียวอี้ไม่ได้มีความเห็นแย้งอะไร เขาอยากจะจัดการเพียงคนเดียว  และยิ่งอยากจะให้สองสามีภรรยาเชื่อฟังเขาคนเดียว แบบนี้เวลาข้างกายมีคนเพิ่มมาคอยปกป้องสองคน จะได้ไม่ต้องกังวลว่าพวกคนต่ำทรามสวีถังหรานจะเล่นไม่ซื่อลับหลัง

ขณะที่อยู่ต่อหน้าพวกมู่หรงซิงหัว เหมียวอี้ก็พลิกฝ่ามือ ไม่หน้าเชื่อว่าจะนำเกราะรบผลึกแดงทั้งชุดที่โค่วเหวินหลามอบให้ออกมา แล้วโยนให้ปานเยว่กง “พี่โหย่วไฉ ข้าไม่ให้ท่านช่วยเหลือเปล่าๆ หรอก ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง เอาไปใช้!” จากนั้นก็โยนเกราะทองสามแถบชุดหนึ่งให้ชิงเหมย “พี่สะใภ้ ใช้แก้ขัดไปก่อนแล้วกัน เกราะรบผลึกแดงทั้งชุด ข้าเองก็ไม่ได้มีเหลือเฟือ แต่ยังดีที่มันเป็นเกราะรบของตำหนักสวรรค์ ถ้าเกิดเรื่องขึ้น ก็แกล้งเล่นละครเป็นคนของตำหนักสวรรค์ไป อย่างน้อยก็ยังทำให้ฝ่ายตรงข้ามลูบหน้าปะจมูก”

พวกมู่หรงซิงหัวอ้าปากค้างจนแทบจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้ เกราะรบผลึกแดงทั้งชุดเชียวนะ เจ้าบ้านี่บทจะให้ก็ให้เลย สงสัยความสัมพันธ์ระหว่างสหายเก่าสองคนนี้จะไม่ธรรมดา! เจ้าบ้านี่มีสหายสองคนคอยช่วยเหลือ พวกเขาก็เลิกคิดที่จะมีเจตนาร้ายแอบแฝงไปได้เลย

ปานเยว่กงที่ถือเกราะรบก็ตะลึงค้างเช่นกัน มองเหมียวอี้ด้วยความอึ้งอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็พยักหน้าช้าๆ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “ข้าเชื่อคำพูดเจ้าแล้ว ขอเพียงพวกเราสองสามีภรรยาผ่านด่านนี้ไปได้ ขอเพียงเจ้าไม่รังเกียจ เจ้ากับข้าก็เป็นสหายกันได้!”

…………………………

[1] หนิวโหย่วเต๋อ 牛有德 แปลว่าเก่งและมีคุณธรรม  牛有财 หนิวโหย่วไฉ แปลว่าเก่งและมีเงิน  牛有寿 หนิวโหย่วโส้ว แปลว่าเก่งและอายุยืน


1017

เกินความเห็นต่าง


นี่ไม่ใช่สิ่งที่พูดออกมาเพราะซาบซึ้งใจ แต่ความจริงใจที่อยู่ในการกระทำของอีกฝ่ายทำให้คนชื่นชมด้วยความเลื่อมใส ยังไม่ต้องพูดถึงมูลค่าของเกราะรบผลึกแดงทั้งชุด ขอเพียงปานเยว่กงได้สวมเกราะรบชุดนี้ อาศัยวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้าของเขา ถ้าไม่มียอดฝีมือระดับบงกชรุ้งลงมือ ก็แทบจะเป็นเรื่องยากมากที่จะมีคนขัดขวางเขาได้

การที่เหมียวอี้มอบเกราะรบให้เขา แฝงความหมายว่ามอบยันต์ป้องกันตัวสำหรับการหนีเอาชีวิตรอดให้สองสามีภรรยา ที่บอกว่าเลื่อมใสความจริงใจของเหมียวอี้ ไม่สู้บอกว่าเลื่อมใสในหัวใจของเหมียวอี้ดีกว่า เขาพบว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเอาหัวใจของคนทรามมาวัดหัวใจของสัตตบุรุษ

ขณะเดียวกัน การที่สามารถมอบของวิเศษทั้งชุดให้คนอื่นแบบนี้ได้ ก็ยิ่งทำให้สองสามีภรรยาเชื่อ ว่าเขาคือคนของตระกูลโค่วที่เป็นอ๋องสวรรค์โค่วจริงๆ

เกราะรบผลึกแดงทั้งชุดได้ทำลายความเคลือบแคลงที่อยู่ในใจสองสามีภรรยาทิ้งไปแล้ว สามารถไปด้วยแบบวางใจเต็มที่แล้ว

สำหรับเหมียวอี้ สิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องจิตใจอะไรทั้งนั้น กำลังทรัพย์ของเขาก็ไม่ได้มากถึงขั้นมอบเกราะรบผลึกแดงทั้งชุดให้ง่ายๆ แต่ก็อย่างที่บอก ถ้าไม่มีแม้แต่ชีวิต ต่อให้กุมของดีกว่านี้ไว้ในมือ ก็จะกลายเป็นของคนอื่นอยู่ดี ของวิเศษหนึ่งชิ้นสามารถแลกการปกป้องจากยอดฝีมือได้หนึ่งร้อยปี สามารถทุ่มเทช่วยเหลือให้เขาทำภารกิจสำเร็จ ช่วยเสริมจุดด้อยด้านวรยุทธ์ให้เขาได้ แบบนี้คุ้มค่ามากกว่า

“ถ้าเจ้าเป็นคนที่สามารถตัดใจทิ้งเมียได้โดยไม่แยแส ข้าก็ไม่มีทางเป็นเพื่อนกับเจ้าหรอก!” เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ นับว่าตอบรับปานเยว่กงแล้ว จากนั้นก็เรียกให้ทุกคนเดินทางต่อด้วยกัน

กลุ่มนี้ขาดเจิ้งหรูหลงไปหนึ่งคน แต่ก็มีคนเพิ่มมาอีกสองคน สองสามีภรรยาเรียกได้ว่าตามติดอยู่ข้างซ้ายและขวาของเหมียวอี้

ยิ่งเดินทางไปทางทิศตะวันตก ฟ้าก็ยิ่งดำมืด ลมหนาวค่อยๆ พัดวูบ เบื้องล่างกลายเป็นแดนหิมะแล้ว

เมื่อเห็นว่ากำลังบุกเข้าไปในแดนราตรีนิรันดร์ ปานเยว่กงก็ถามว่า “จะไปจับใคร?”

“โจรราคะที่ทำเรื่องชั่วซ้ำแล้วซ้ำอีก เจิงอีอี!” สวีถังหรานตอบ

ปานเยว่กงกับชิงเหมยสบตากันแวบหนึ่ง ทั้งสองเงียบงัน สำหรับตำหนักสวรรค์ เจิงอีอีอาจจะเป็นนักโทษที่ทำเรื่องเลวร้ายมาก แต่สำหรับนักพรตอิสระ เจิงอีอีกลับเป็นวีรบุรุษ เป็นวีรบุรุษที่สู้กับตำหนักสวรรค์โดยเฉพาะ นอกจากขุนนางของตำหนักสวรรค์ ก็ไม่เคยได้ยินว่าเจิงอีอีแตะต้องผู้หญิงที่ไหนเลย เพียงแต่พวกเขาไม่มีทางบอกสิ่งเหล่านี้กับพวกเหมียวอี้ได้

เมื่อเห็นสองสามีภรรยาทำสีหน้าแปลกไป เหมียวอี้จึงถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้ารู้จักเขาเหรอ?”

“ไม่นับว่ารู้จักเหรอ เคยเจอหน้าครั้งสองครั้ง ไม่ได้สนิท แต่เขาอาจจะเป็นคนของสมาคมวีรชน” ปานเยว่กงถ่ายทอดเสียงตอบ

“สมาคมวีรชน?” เหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนทันที รีบถามว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าเขาคือคนของสมาคมวีรชน?”

ปานเยว่กงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ไม่แน่ใจหรอก แต่ข้าเคยเห็นคนของตระกูลหวงฝู่ ผู้คุมงานของสมาคมวีรชน ชื่อหวงฝู่ตวนฮ่าว”

เหมียวอี้ตาเป็นประกายทันที มารดาของหวงฝู่จวินโหรวชื่อหวงฝู่ตวนหรง นั่นก็แปลว่าหวงฝู่ตวนฮ่าวอาจจะอยู่รุ่นเดียวกับมารดาของหวงฝู่จวินโหรว เขาถามอย่างสงสัยมากว่า “เจ้ากำลังบอกว่า เจิงอีอีกับหวงฝู่ตวนฮ่าวมีความเกี่ยวข้องกันเหรอ?”

ปานเยว่กงตอบว่า “เป็นเรื่องที่นานมากแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าบังเอิญเห็นเขากับหวงฝู่ตวนฮ่าวแอบพบกันในหุบเขาที่ลับตาคน ดูเหมือนเขาจะเคารพหวงฝู่ตวนฮ่าวมาก ทั้งยังมอบของบางอย่างให้หวงฝู่ตวนฮ่าวด้วย ข้าก็เลยสงสัยว่าเจิงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน ถึงอย่างไรสมาคมวีรชนก็เป็นแหล่งรวมคนจากสามลัทธิเก้านิกายในแดนฝึกตน ถ้าเจิงอีอีอยู่ที่สมาคมวีรชนก็เป็นเรื่องปกติมาก”

เป็นเรื่องปกติมากเหรอ? นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่รู้ถึงเบื้องหลังที่แท้จริงของสมาคมวีรชนน่ะสิ! เหมียวอี้นิ่งเงียบ แต่ในใจกลับกังวลและสงสัย ค่อนข้างตกใจ

เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ เบื้องหลังที่แท้จริงของสมาคมวีรชนก็คือประมุขชิง ตัวละครใหญ่ของแดนฝึกตน หรือที่เรียกว่าราชันสวรรค์ของตำหนักสวรรค์นั่นเอง ถ้าเจิงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน ทำไมถึงมาอยู่บนรายชื่อนักโทษที่ต้องจับกุมในครั้งนี้ได้ล่ะ? แล้วอีกอย่าง ถ้าเจิงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชนจริงๆ ทำไมถึงต่อต้านคนของตำหนักสวรรค์โดยเฉพาะ ทำไมถึงทำเรื่องต่ำทรามกับภรรยาของขุนนางตำหนักสวรรค์โดยเฉพาะ?

ถ้าการวินิจฉัยของปานเยว่กงผิดพลาด ก็แสดงว่าเจิงอีอีไม่ใช่คนของสมาคมวีรชนเลย แต่เจิงอีอีมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ไม่มีเหตุผลที่หวงฝู่ตวนฮ่าวจะไม่รู้ว่าเจิงอีอีเป็นใคร ทว่าทั้งสองกลับไปมาหาสู่กันอย่างลับๆ ทำไปเพื่ออะไรกัน? ถ้าจะพูดให้ถูก ในเมื่อหวงฝู่ตวนฮ่าวสามารถหาเจิงอีอีพบ นั่นก็แปลว่าสมาคมวีรชนสามารถตามหาเจิงอีอีพบเช่นกัน แสดงว่าที่จริงแล้วทางราชันสวรรค์สามารถรู้เบาะแสของเจิงอีอีได้ ถ้าต้องการจะกำจัดคนที่ต่อต้านตำหนักสวรรค์คนนี้ทิ้งจริงๆ ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย

เบื้องหลังซ่อนความจริงแบบไหนเอาไว้กันแน่? ความคิดแวบไปแวบมาราวกับสายฟ้าแลบ ในหัวเหมียวอี้ก็มีความคิดผ่านเข้ามามากมาย ค่อนข้างประหลาดใจสงสัย…

ยอดเขาเจ็ดสิบสองลูกที่ทอดตัวต่อเนื่องกัน ยอดภูเขาหิมะเจ็ดสิบสองลูกกระจัดกระจายอย่างกว้างขวาง และเป็นที่ซ่อนตัวของเจิงอีอีเช่นกัน ตอนที่พวกเขาเดินทางมาถึง ท้องฟ้าก็มีเมฆปกคลุมหนาแน่น ลมหนาวพัดหิมะลอยตลบอบอวล แถมฟ้าก็มืดอีก ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นมาก ต่อให้มีดวงตาอิทธิฤทธิ์ที่เหมือนคบเพลิง แต่ก็ยากที่จะทนกับอุปสรรคที่สัมผัสได้จริง

ทั้งหกคนเหยียบลงบนยอดภูเขาหิมะลูกหนึ่ง พอมองไปรอบๆ ก็ทำให้ปวดใจอยู่บ้าง ฮวาหูเตี๋ยไม่ได้หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ สืบได้เพียงว่าเจิงอีอีซ่อนตัวอยู่บริเวณนี้ ไม่สามารถระบุแม้กระทั่งรังลับที่เจิงอีอีใช้ฝึกตนหลังจากเลิกปรากฏตัวต่อโลกภายนอก ยังต้องให้พวกเขาคิดหาวิธีการเอาเอง

แต่ในสายตาของปานเยว่กงกับชิงเหมย ที่จริงในใจของสองสามีภรรยาหวาดผวาไม่หาย ตกตะลึงในข่าวสารที่กว้างขวางของตำหนักสวรรค์ ขนาดพวกเขาอยู่ที่ดาววิงวอนชีพมานานหลายปี ก็ยังไม่รูเลยว่าเจิงอีอีซ่อนตัวอยู่ที่นี่ แต่คนที่ตำหนักสวรรค์ส่งมากลับกลับมุ่งสู่สถานที่เป้าหมายได้ได้โดยตรง ตอนนี้ยิ่งทำให้คิดว่า ไม่ใช่เพราะตำหนักสวรรค์ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ แต่เป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาคิดบัญชีก็เท่านั้นเอง เมื่อถึงเวลาไม่ว่าใครก็หนีไม่รอดทั้งนั้น ทำให้ยิ่งอยากแก้ไขคดีที่ติดตัวชิงเหมย

“เหมือนมีคนมาแย่งจับก่อนแล้ว!” หยางไท่พลันกล่าวพลางหันซ้ายหันขวา

ต่อให้เขาไม่บอก คนอื่นๆ ก็สังเกตเห็น มีคนกำลังร่ายอิทธิฤทธิ์ตามหาไปมาอยู่ที่ภูเขาแต่ละลูก ในบรรดาคนพวกนั้นมีคนที่คุ้นตา เคยเจอกันแล้วที่จวนหัวหน้าภาคของน่านฟ้าฉลูมะแม ไม่ต้องบอกเลย ผู้บัญชาการอีกกลุ่มมาถึงก่อนแล้ว สามารถมาโผล่ตรงนี้ได้ ก็แสดงว่ามาจับเจิงอีอีเหมือนกัน

พวกเขาสังเกตเห็นอีกฝ่ายแล้ว อีกฝ่ายก็สังเกตเห็นพวกเขาแล้วเหมือนกัน มีบางคนเหาะเข้ามาลงตรงหน้าพวกเขา เขาแววตาคมดุดุจอินทรี กิริยาเจ้าเล่ห์ดังหมาป่าเหลียวหลัง กวาดสายตามองแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นพวกเจ้านี่เอง” สายตาที่กลอกกลิ้งไปมาบนตัวมู่หรงซิงหัวก็ยิ่งแฝงความหมายลึกซึ้ง

หยางไท่ มู่หรงซิงหัวและสวีถังหรานทำสายตาอึดอัดนิดหน่อย ตอนที่ได้รับความอับอายจากเซี่ยโห้วหลงเฉิง คนกลุ่มนี้ก็อยู่ข้างๆ พอดี ได้เห็นและได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดตอนเหาะลงมา มู่หรงซิงหัวก็พยายามอดทนอดกลั้น พยายามเจียดรอยยิ้มกุมหมัดคารวะ “ขอบังอาจถามชื่อแซ่”

“ได้สิ! เยี่ยนจื่อเกอ” อีกฝ่ายกุมหมัดคารวะตอบ และไม่สนใจคนอื่น จ้องเพียงมู่หรงซิงหัวพร้อมหรี่ตายิ้ม “ขอบังอาจทราบนามอันไพเราะของแม่นางได้ไหม?”

“มู่หรงซิงหัว!” มู่หรงซิงหัวฝืนตอบ

“คนก็สวย ชื่อก็ไพเราะ” เยี่ยนจื่อเกอถามกลั้วหัวเราะอีก “อย่าบอกนะว่ามาจับตัวเจิงอีอีเหมือนกัน?”

“ใช่!” มู่หรงซิงหัวพยักหน้า “นึกไม่ถึงว่าพี่เยียนจะมาถึงก่อนแล้ว”

เยี่ยนจื่อเกอตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอก! ดูท่าทางแล้ว ผู้บัญชาการมู่หรงเป้นหัวหน้ากลุ่มสินะ ข้ามีความดีมาเสนอ ไม่สู้มาเป็นพันธมิตรกับพวกเราดีไหม คนมากกำลังก็เยอะ รอจนการทดสอบจบลง ไม่ว่าจะจับได้กี่คนก็จะแบ่งเฉลี่ยเท่ากัน เป็นยังไง?”

มู่หรงซิงหัวมองซ้ายมองขวา พอเห็นทุกคนดูค่อนข้างลังเล จึงตอบไปว่า “ให้พวกเราปรึกษากันสักหน่อย”

“ก็ได้! งั้นพวกเจ้าค่อยๆ ปรึกษากันไป” เยี่ยนจื่อเกอพูดทิ้งท้ายแล้วจากไป

ส่วนการปรึกษาหารือทางนี้ก็เกิดความเห็นต่างแล้ว เห็นได้ชัดว่ามู่หรงซิงหัวกับหยางไท่อยากจะเป็นพันธมิตรกับฝ่ายนั้น

“พวกเขามีกันสิบคน คนมากกำลังก็มาก เป็นพันธมิตรกับพวกเขาสามารถรับประกันความปลอดภัยของพวกเราได้” หยางไท่กล่าว

“ก็เพราะพวกเขามีกำลังมากไง ถ้าการทดสอบจบแล้วพวกเขาไม่ยอมแบ่งคะแนนเท่าๆ กัน พวกเราจะทำยังไงล่ะ?” สวีถังหรานขมวดคิ้ว

หยางไท่ตอบว่า “ต่อให้ได้ผลงานเยอะ แต่สุดท้ายก็สู้ความสำคัญของชีวิตตัวเองไม่ได้! ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงกังวลว่าพวกเราจะมีเจตนาไม่ดี อาจจะไม่มาเป็นพันธมิตรกับพวกเรา แต่ตอนนี้มีเรื่องดีๆ มาหาถึงที่แล้ว ทำไมต้องปฏิเสธด้วยล่ะ? อย่างมากพวกเราก็ได้ผลประโยชน์น้อยหน่อยก็เท่านั้นเอง”

เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ปานเยว่กงกับชิงเหมยก็สบตากันแวบหนึ่ง ทั้งคู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะมุ่งเน้นการช่วยเหลือให้โค่วเหวินหลานรักษาตำแหน่งของตัวเอง แต่ตอนนี้กลับจะให้ไปช่วยคนอื่น นี่มันหลักการอะไรกัน? ทั้งสองมองไปที่เหมียวอี้ แต่เห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าเรียบเฉยไม่พูดอะไร

“น้องหนิว เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?” เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่พูดอะไร สวีถังหรานก็เริ่มร้อนใจ หลังจากถามแบบนั้นไปแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงถาม “น้องหนิว เจ้าต้องคิดดูให้ดีนะ มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่มีคนรักลับๆ คอยหนุนหลัง ต่อให้ผู้บัญชาการใหญ่รักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้ เดี๋ยวกลับไปแล้วก็ไม่มีความเสียหายอะไรกับตำแหน่งพวกเขา พวกเขาจึงหวังแค่ให้ตัวเองปลอดภัย ไม่สนใจผลงานอะไรเลย แต่เจ้ากับข้านั้นไม่เหมือนกัน เดี๋ยวถ้ากลับไปแล้วรายงานผลงานไม่ได้ ก็ไม่มีใครช่วยพูดให้พวกเราแล้วนะ”

เหมียวอี้รู้ว่าเขาไม่ได้กลัวว่าจะรายงานผลงานไม่ได้ แต่กังวลว่าถ้าไม่มีขาของโค่วเหวินหลานให้กอด ก็อาจจะโดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเล่นงานจนตายได้ แต่ก็ยังตอบว่า “อีกฝ่ายกล้าขอเป็นพันธมิตรกับพวกเราอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ ทั้งยังไม่กังวลเลยสักนิด ชัดเจนว่ามันใจที่จะจัดการพวกเราแล้ว ข้าเห็นด้วยกับความเห็นของผู้บัญชาการสวี”

สวีถังหรานได้ยินแล้วดีใจ ทว่าหยางไท่กลับพูดเสียงต่ำ “หนิวโหย่วเต๋อ อย่าลืมนะว่าตอนที่มานายท่านหัวหน้าภาคสั่งอะไรไว้ ครั้งนี้ให้ผู้บัญชาการมู่หรงเป็นหัวหน้านะ”

เหมียวอี้เงียบงัน ถ้าไปยั่วโมโหเฉาว่านเสียง ก็จะมีปัญหาแน่นอน แต่ถ้ามาถึงขั้นนี้แล้วต้องตัดสินใจเลือก เขาก็ยังรู้สึกว่าขาของโค่วเหวินหลานใหญ่น่ากอดมากกว่า ถ้าโดนโค่วเหวินหลานทิ้งขึ้นมา ตนก็ไม่มีใครหนุนหลังแล้ว ตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกก็จะถูกแทนที่อย่างรวดเร็ว ต่อให้คุ้มกันส่งมู่หรงซิงหัวกลับไปได้อย่างปลอดภัย แต่อาศัยตำแหน่งของเฉาว่านเสียงก็ต้านทานไม่ไหวหากเบื้องบนจะยัดคนลงมารับตำแหน่งที่มั่งคั่ง ตนไม่ได้สนิทอะไรกับเฉาว่านเสียงด้วย ไม่มีค่าอะไรให้เฉาว่านเสียงช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง ส่วนคำสัญญาที่เฉาว่านเสียงให้ไว้ คนประเภทที่ไม่มองเห็นลูกน้องเป็นคนแบบนี้ คำพูดคำจาเชื่อถือไม่ได้เลย เมื่อเวลานั้นมาถึงแล้วอีกฝ่ายลืมสัญญา เจ้าก็โวยวายอะไรไม่ได้เช่นกัน สำหรับในด้านนี้ คำพูดของคนจากตระกูลใหญ่อย่างโค่วเหวินหลานน่าเชื่อถือมากกว่า

ที่สำคัญที่สุดก็คือ วิธีการเป็นพันธมิตรโดยยอมหลีกทางเรื่องผลประโยชน์ให้แบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการทรยศโค่วเหวินหลาน จะต้องเจอกับความโมโหเดือดดาลจากโค่วเหวินหลานแน่นอน ตนไม่ได้มีเฉาว่านเสียงหนุนหลังเหมือนมู่หรงซิงหัว ทนการล้างแค้นจากโค่วเหวินหลานไม่ไหว ถึงตอนนั้นคงอึดอัดจนทำตัวไม่ถูก คงไม่มีใครมาช่วยคนทรยศอย่างเขาด้วย

ขนาดสวีถังหรานยังเข้าใจถึงความสัมพันธ์อันร้ายกาจนี้เลย ไม่มีเหตุผลที่เหมียวอี้จะไม่เข้าใจ หลังจากเงียบไปครู่เดียว ก็กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “หัวหน้าภาคเฉาควบคุมข้าไม่ได้หรอก ข้าฟังคำสั่งผู้บัญชาการใหญ่โค่วเท่านั้น”

“ในเมื่อเจ้าพูดแบบนี้แล้ว งั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหมือนกัน! มู่หรง พวกเขาสองคนไม่เห็นหัวหน้าภาคเฉาอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ดูท่าจะไม่สามารถร่วมทางกันต่อไปได้อีก ไม่สู้แยกกันดีมั้ย ต่างคนต่างไป!” หยางไท่กล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ตอนนี้เรียกได้ว่าพูดจาได้อย่างมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ถึงอย่างไรก็คิดว่าตัวเองหาพันธมิตรที่แข็งแกร่งกว่าได้แล้ว

สวีถังหรานอ้าปากค้าง ฉีกหน้ากันเร็วเกินไปแล้วมั้ง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ต้องปรึกษากันเยอะๆ หน่อยสิ ขนาดคนอย่างเขายังคิดตามไม่ทันเลย



1018

ต่างคนต่างไป


บทจะแปรพักตร์ก็แปรพักตร์คืออะไร?

ที่จริงจะบอกว่าหยางไท่แปรพักตร์ก็ไม่ได้หรอก หลังจากผ่านเรื่องป่าลืมทุกข์ แค่เริ่มต้นก็เจอกับโจทย์ยากเสียแล้ว เรียกได้ว่าทำลายขวัญกำลังใจ ดูออกตั้งแต่ตอนที่ไม่ยอมบุกเข้าป่าลืมทุกข์โดยอ้างว่าไปหานักโทษคนต่อไปแล้ว เพียงแต่สถานการณ์ยังไม่แน่นอน ทั้งยังรู้ถึงความคิดของเหมียวอี้กับสวีถังหรานด้วย ไม่สะดวกจะบอกให้วางมืออย่างโจ่งแจ้ง ไม่อย่างนั้นถ้าแตกหักกันก็จะเหลือแค่เขากับมู่หรงซิงหัว ถ้าคู่หูน้อยลงก็กลัวจะมีอันตราย ตอนนี้มีทางเลือกที่ดีกว่าแล้ว ยังจะลังเลพลาดโอกาสได้อย่างไรกัน

เหมียวอี้ได้ยินแล้วรีบมองค้อน จ้องไปที่หยางไท่ แต่ปากกลับถามมู่หรงซิงหัว “มู่หรง เจ้ามีความคิดเห็นว่ายังไง?”

มู่หรงซิงหัวครุ่นคิดนิดหน่อย สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ความคิดของเจ้ากับสวีถังหรานพวกเราเข้าใจได้ แต่พวกเจ้าก็ต้องเข้าใจความคิดของข้ากับหยางไท่ด้วยนะ ในเมื่อทุกคนมีความเห็นต่างกัน…ระหว่างเราก็ไม่มีบุญคุณความแค้นอะไรกันด้วย ไม่สู้ทำตามที่หยางไท่บอกดีกว่า ทุกคนต่างคนต่างไปเถอะ จะได้ไม่ทำลายความรู้สึกกัน”

“เจ้าไม่เสนอความเห็นอะไรแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ถามสวีถังหรานอีก

“ข้า…” สวีถังหรานสับสนมาก ถ้าสองคนนั้นไม่ไปก็ยังดีอยู่ แต่พอสองคนนั้นไป เขาก็ลำบากใจนิดหน่อย แต่พอเห็นข้างกายเหมียวอี้มีสหายอีกสองคน ในใจเขาก็สงบลงไม่น้อย จึงตอบพร้อมรอยยิ้มขื่นขม “เจ้ามีความเห็นอะไรล่ะ ข้าตามใจเจ้าแล้วกัน”

ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นเขาโดนโค่วเหวินหลานกดดันให้ซ้อมเซี่ยโห้วหลงเฉิง ตอนนี้เขาคงปลีกตัวไปแล้ว

“แยกย้ายก็แยกย้าย!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ “แต่ของวิเศษที่ผู้บัญชาการใหญ่โค่วให้พวกเจ้าไว้ พวกเจ้าเตรียมจะทำยังไงกับมันล่ะ? อย่าบอกนะว่าทรยศเขา แล้วยังจะเอาของของเขาไปอีก?”

หยางไท่ตอบเสียงต่ำว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก หลังจากกลับไปพวกเราก็ไม่กล้ายึดของของเขาอยู่ดี ย่อมต้องคืนให้เขาอยู่แล้ว”

เหมียวอี้มองมู่หรงซิงหัวแวบหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลเรื่องเฉาว่านเสียง จึงไม่สะดวกจะทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเกินไป เขาต้องลงมือแย่งของกลับมาแน่นอน แต่เขาก็ยังหยิบระฆังดาราออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าอยู่ในมือ

“เจ้าทำอะไรน่ะ?” หยางไท่ถามอย่างกังวล

“ในเมื่อพวกเจ้าจะทำแบบนี้แล้ว ข้าก็ต้องบอกเรื่องนี้ให้ผู้บัญชาการใหญ่รู้ พวกเราพูดต่อหน้ากันให้ชัดเจนไปเลย จะได้ไม่อธิบายลำบากตอนหลัง” เหมียวอี้ตอบ

ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่พูดให้ชัดเจนต่อหน้าคงไม่ได้ หลังจากจบเรื่องปากคนเราจะพูดอะไรก็ได้ ถึงตอนนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะประณามใครกันแน่

หยางไท่หน้าบึ้งทันที นี่คือเรื่องที่ยั่วโมโหโค่วเหวินหลานอย่างร้ายแรง พวกเขาไปมีเรื่องกับอำนาจที่หนุนหลังตระกูลโค่วไม่ไหว จึงเอียงหน้าบอกมู่หรงซิงหัวว่า “มู่หรง เจ้าลองบอกหัวหน้าภาคเฉาสักหน่อยสิ”

มู่หรงซิงหัวหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเฉาว่านเสียงทันที ต้องให้เฉาว่านเสียงเตรียมตัวไป ป้องกันไม่ให้โค่วเหวินหลานโมโหจนถอดพวกเขาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการ

ต่างฝ่ายต่างเขย่าระฆังดาราติดต่อคนที่หนุนหลังตัวเอง หลังจากเฉาว่านเสียงรู้เรื่องแล้ว ก็ตอบกลับมาว่า : ถ้าเหมียวอี้กับสวีถังหรานรอดชีวิตกลับมาได้ จะต้องโดนเขาจัดการแน่ บอกมู่หรงซิงหัวว่าไม่ให้กังวล ทางนี้ไม่ใช่อาณาเขตที่ตระกูลโค่วควบคุม ใช่ว่าโค่วเหวินหลานอยากจะทำอะไรแล้วก็ทำได้ เขาสามารถบอกปี้เยว่ฮูหยินได้ ไม่ให้โค่วเหวินหลานทำซี้ซั้วแน่

ส่วนโค่วเหวินหลานได้ยินแล้วก็เดือดดาลมาก เอาของวิเศษที่มีมูลค่าสูงของเขาไปแล้ว แต่ยังกล้าทรยศเขาอีก เหมือนเห็นเขาเป็นคนโง่ ผ่านไปไม่นาน ระฆังดาราในมือมู่หรงซิงหัวก็ดังอีกครั้ง โค่วเหวินหลานถามนางว่าจริงหรือไม่

ถึงแม้มู่หรงซิงหัวจะตอบอย่างอ้อมค้อม แต่ก็ยังทำให้โค่วเหวินหลานเดือดดาลมากอยู่ดี เขาบอกนางว่า : ทางที่ดีอย่ารอดชีวิตกลับมา!

ความเดือดดาลและผลลัพธ์ทั้งหมดล้วนรวมอยู่ในประโยคนี้แล้ว!

จากนั้นโค่วเหวินหลานก็ติดต่อกับเหมียวอี้และสวีถังหรานอีก ชมว่าทั้งสองเป็นตัวอย่างที่ดี ให้ทั้งสองพยายามอย่างเต็มที่ ต่อให้ตอนหลังผลคะแนนจะไม่ดี แต่หลังจากกลับมาแล้ว ก็จะไม่ปฏิบัติกับทั้งสองอย่างขาดความเป็นธรรมแน่ ต่อให้สุดท้ายโค่วเหวินหลานจะต้องออกจากดาวเทียนหยวนไป แต่ก็จะไม่ให้ทั้งสองอยู่ที่นั่นอย่างลำบาก จะพยายามคิดหาทางพาทั้งสองไปด้วยแน่นอน จะเตรียมการให้อย่างดี

เหมียวอี้รู้สึกขำในใจ นี่คือสิ่งที่เขาอยากจะได้ยิน เพราะเขาไม่ได้มั่นใจว่าตัวเองจะทำคะแนนได้ดี

สวีถังหรานได้ยินแล้วดีใจไม่หาย นั่นก็หมายความว่า ต่อให้ครั้งนี้จะมัวหลบหลีกไม่ทำอะไรเลย ต่อให้กลับไปมือเปล่าเขาก็จะไม่เป็นอะไร

ตอนนี้เขามองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่เลื่อมใสนับถือจนแทบจะหมอบกราบ เขาเข้าใจจุดประสงค์แล้ว ว่าทำไมเหมียวอี้จึงต้องร้องเรียนต่อหน้า ถึงแม้จะต้องทะเลาะกับพวกมู่หรงซิงหัวก็ตาม นี่คือการเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเอง

ตอนนี้เขาถึงได้พบว่าการเสียเปรียบที่ยอดเขาโอนเอนตอนนั้นคือสิ่งที่สมควร หนิวโหย่วเต๋อคนนี้เจ้าเล่ห์กว่าตนมากจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะอาศัยโอกาสนี้เหยียบมู่หรงซิงหัวกับหยางไท่เพื่อพิสูจน์ความจงรักภักดีของตัวเอง กำจัดความกังวลให้ตัวเองได้แล้ว ดูท่าแล้วการอยู่กับเจ้าบ้านี่ก็เป็นวิธีที่ชาญฉลาดเหมือนกัน

เมื่อเห็นสีหน้าดีใจที่ยากจะปิดบังบนใบหน้าสวีถังหราน หยางไท่กับมู่หรงซิงหัวก็ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เมื่อเห็นสองคนนั้นเสียเปรียบแล้วยังไม่รู้ตัว ในใจสวีถังหรานก็ยิ่งเบิกบาน ที่จริงเขาก็รู้เช่นกัน ว่าตอนซ้อมเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ยอดเขาโอนเอน เขาแอบเสียเปรียบให้เหมียวอี้ไปแล้ว ก่อนหน้านี้แค้นทุกครั้งที่นึกถึง แต่พอมาคิดดูตอนนี้กลับรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องแย่อะไร อย่างน้อยอยู่กับคนเจ้าเล่ห์แบบนี้ก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้

หลังจากแตกคอกันอย่างถึงที่สุดแล้ว หยางไท่ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ แล้วพยักหน้าบอกใบ้มู่หรงซิงหัว

เมื่อมีผลลัพธ์แบบนี้ ใบหน้างามของมู่หรงซิงหัวก็เผยสีหน้าที่ไม่ค่อยน่าดู กระแทกเสียงพูดอย่างเย็นเยียบว่า “พวกเจ้าไร้น้ำใจ แต่ข้ากลับไม่ไร้คุณธรรม หากรู้สึกว่าหนทางในภายหลังยากลำบาก ก็ติดต่อข้าได้ ข้าจะหาทางคุยกับพวกเยี่ยนจื่อเกอ ให้พวกเจ้ามาเข้าร่วมด้วย รักษาตัวด้วยล่ะ!”

พูดจบทั้งสองก็หันตัวจากไป ไปอยู่ข้างกายเยี่ยนจื่อเกอ

หลังจากสองคนนั้นออกไปแล้ว สวีถังหรานก็หัวเราะแห้งๆ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “น้องหนิว ในเมื่อผู้บัญชาการใหญ่พูดถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องอดอยากอยู่ที่นี่เหมือนกัน ไม่สู้หาที่ลับตาคนแล้วฝึกฝนอย่างสงบใจดีกว่า อีกหนึ่งร้อยปีค่อยกลับไป”

เหมียวอี้ถามกลับว่า “ถ้าไม่มีผลงานกลับไปเลยสักนิด ผู้บัญชาการใหญ่ก็รักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้ ถ้าไม่มีอนาคตในตระกูลโค่ว ต่อให้พาพวกเราไปด้วยแล้วยังไงล่ะ? ถ้าผู้บัญชาการใหญ่เงยหน้าอ้าปากที่ตระกูลโค่วไม่ได้ ไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูล ถึงตอนนั้นพวกเราจะได้อยู่ดีขนาดไหนเชียว? หรือว่าพี่สวีไม่อยากจะก้าวก้าวหน้าสักหน่อยเลยเชียวหรือ?”

“…” สวีถังหรานอ้าปากค้าง พูดไม่ออกมาก ดูท่าแล้วท่านนี้คงจะอยากฝ่าฟันอีกสักหน่อย เหลือแค่พวกเราสองคนแล้ว ยังจะมีอะไรให้ฝ่าฟันอีกล่ะ? จึงถามว่า “อย่าบอกนะว่าเจ้ายังอยากแย่งเจิงอีอีมาจากพวกเขา?”

“เจิงอีอีคนนี้ พวกเราอย่าไปแตะต้องดีกว่า ใครอยากจับก็จับไป พวกเราไปดูเอาสนุกก็พอ” เหมียวอี้ส่ายหน้าตอบ ถ้าไม่ได้ฟังคำพูดของปานเยว่กง เขาก็จะไม่ปล่อยไปง่ายๆ เลย หลังจากรู้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เจิงอีอีจะเป็นคนของสมาคมวีรชน เขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีอะไรในกอไผ่ เหมือนจะเกี่ยวโยงกับตัวราชันสวรรค์ เกี่ยวโยงกับระดับที่สูงเกินไป ขุนนางเล็กๆ อย่างเขาเข้าไปยุ่งด้วยจะเป็นการรนหาที่ตาย เตรียมจะหลบเลี่ยงสักหน่อย

เมื่อได้ยินดังนั้น สวีถังหรานก็วางใจลงชั่วคราว เขากังวลว่าเจ้าคนบ้าที่บุกเดี่ยวเข้าป่าลืมทุกข์จะดันทุรังไปแย่งคนอีก

สภาพอากาศที่เลวร้ายของที่นี่ ไม่สามารถใช้หลักการปกติมาวินิจฉัยได้เลย ลมหิมะบทจะหยุดก็หยุด เมฆครึ้มสลายตัว เผยหมู่ดาวเต็มท้องฟ้า แต่ลมหนาวยังคงโหดร้าย

เมื่อมองไปไกลๆ ก็เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนจื่อเกอรับคนสองคนที่ไปขอพึ่งพาแล้ว หยางไท่ถูกสั่งให้ไปค้าหาทั่วยอดเขาเจ็ดสิบสอง แต่เยี่ยนจื่อเกอกลับหยุดคนหาแล้ว มายืนอยู่ยนยอดเขาหิมะที่สูงที่สุด พูดคุยหัวเราะกับมู่หรงซิงหัว ไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกัน เห็นรางๆ ว่ามู่หรงซิงหัวยิ้มอย่างฝืนใจ

ในขณะนี้เอง ระฆังดาราบนตัวเหมียวอี้ก็ดังอีกครั้ง เขาหยิบขึ้นตรวจดู ถึงได้รู้ว่าอวิ๋นจือชิวส่งข้อความมา

อวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์ เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย?

เหมียวอี้ตอบ : สายดี ทางนั้นมีเรื่องเหรอ?

อวิ๋นจือชิว : ภาพพิกัดดาวที่หวงฝู่จวินโหรวนำมาให้ ข้าให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ทำตามวิธีที่เข้าบอกแล้ว หลังจากเปรียบเทียบอย่างสลับซับซ้อน ในที่สุดก็มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินเจอแล้ว เจ้าเดาสิว่าอยู่ที่ไหน?

เหมียวอี้ : ท้องฟ้าใหญ่ขนาดนี้ ข้าจะเดาออกได้ยังไง! ฟังจากน้ำเสียงเจ้าแล้ว อย่าบอกนะว่าเป็นที่ที่ข้าเคยไป?

อวิ๋นจือชิว : ท่านสามีของข้าฉลาดจริงๆ กลับมามีรางวัล

เหมียวอี้ : เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว กำลังทำงาน ว่ามาสิ อยู่ที่ไหนกันแน่?

อวิ๋นจือชิว : บังเอิญมาก! รู้สึกว่าของสิ่งนี้จะถูกลิขิตไว้ท่ามกลางความมืดมนเหมือนกับเจ้า ถ้าเป็นไปได้ข้าสงสัยว่าตำหนักสวรรค์กำลังเตรียมส่งให้เจ้าไปหาโดยเฉพาะเลย เจ้าเดาสิว่าที่ไหน?

เหมียวอี้ตกตะลึงแล้ว : อย่าบอกนะว่าของซ่อนอยู่ในสถานที่ไร้ชีวิต?

อวิ๋นจือชิว : ตอบถูกแล้ว กลับมามีรางวัล

เหมียวอี้พูดไม่ออกมาก : เจ้าเลิกเล่นได้แล้ว ของซ่อนอยู่ตรงไหนของสถานที่ไร้ชีวิต?

อวิ๋นจือชิว : ไม่อยากได้รางวัลเหรอ! เดิมทีคิดจะเต้นระบำมารสวรรค์ให้เจ้าดูเสียหน่อย ไม่ต้องการก็ช่างเถอะ

ระบำมารสวรรค์? เหมียวอี้หัวเราะได้ไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ถึงแม้จะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็เคยเห็นเค้าของระบำมารสวรรค์มาแล้ว อดไม่ได้ที่จะนึกย้อนถึงภาพหวาบหวามที่ทำให้คนเลือดสมสูบฉีดยามเรือนร่างเย้ายวนเร่าร้อนของผู้หญิงคนนี้บิดไปบิดมา คิดไปคิดมาก็รู้สึกร้อนตรงท้องน้อย ตอบกลับทันทีว่า : ใครว่าไม่ดู กลับไปค่อยดู ตอนนี้บอกมาก่อนว่าของอยู่ไหน ที่ข้ายังมีเรื่องต้องทำอีก เลิกยั่วยวนข้าได้แล้ว

อวิ๋นจือชิว : ไม่ล้อเล่นกับเจ้าแล้ว ของซ่อนอยู่บนดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดของสถานที่ไร้ชีวิต ดาวสองขั้ว! ถ้ามีเวลา นำแผนที่ฉบับสำเนาในมือเจ้ามาหาดูสักหน่อย

เหมียวอี้ : จะจำไว้ ถ้าไม่มีเรื่องอื่นก็แค่นี้ก่อนนะ

อวิ๋นจือชิว : ไร้มโนธรรม อย่าลืมรอดชีวิตกลับมาแบบครบสมบูรณ์ ไม่อย่างนั้นผู้หญิงทั้งบ้านจะแต่งานใหม่หมด เจ้าคงไม่อยากให้พวกเราไปนอนกับผู้ชายคนอื่นหรอกใช่มั้ย? ถ้าไม่อยากก็ระวังตัวเองหน่อย เอาตามนี้ก็แล้วกัน

หลังจากคุยจบแล้ว เหมียวอี้ก็แอบถอนหายใจ ยอมแพ้ผู้หญิงคนนี้แล้ว ชอบสรรหาคำพูดมากระตุ้นเขาตลอด เขาส่ายหน้าแล้วหยิบแผนที่ดาวออกมา ร่ายอิทธิฤทธิ์ค้นหาตำแหน่งของดาวสองขั้ว

บึ้ม! จู่ๆ ก็มีเสียงสั่นสะเทือนดังมาจากยอดเขาที่อยู่ไกลๆ หนึ่งในภูเขาหิมะของยอดเขาเจ็ดสิบสองพังทลาย ไหลลงอย่างมโหฬารพันลึก กระตุ้นให้เกิดหมอกหิมะหลายชั้น

“หาเจอแล้ว ทางนี้!” มีบางคนร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนบอก

พวกเยี่ยนจื่อเกอเหาะเข้าไปทันที

เหมียวอี้รีบเก็บแผนที่ดาว แล้วกวัดมือเรียก “ไป! ไปดูกัน!”

คนอื่นๆ ก็เหาะเข้าไปดูเช่นกัน ไปหยุดลอยอยาบนท้องฟ้า เห็นเพียงพวกเยี่ยนจื่อเกอล้อมเขาลูกนั้นไว้แล้ว ทั้งหมดสวมเกราะรบแทบจะในชั่วพริบตาเดียว ในมือถืออาวุธ เป็นของวิเศษผลึกแดงเหมือนกันหมด เห็นแล้วหนังตากระตุก

เนื่องจากการต่อสู้เมื่อครู่นี้ กองหิมะที่ทับถมกันบนภูเขาสะเทือนจนไหลลงเขามาครึ่งหนึ่งแล้ว ตรงตีนเขายังมีหิมะถล่มไม่หยุด

ภายใต้สถานการณ์ที่ยอดเขาถูกเปลือยออกหมด ปรากฏเป็นทางเข้าถ้ำภูเขาทางหนึ่ง ชายรูปร่างสูงที่สวมชุดคลุมขนสัตว์สีขาวยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น หวาดมองกำลังพลที่กำลังล้อมรอบอย่างเงียบๆ

พวกเหมียวอี้เคยเห็นภาพของนักโทษหลบหนีมาก่อน แค่มองก็รู้แล้วว่าคนคนนี้คือเจิงอีอี แต่ดูดีมีชีวิตชีวากว่าในรูปภาพมาก ผ้าพันคอขนสัตว์ช่วยขับใบหน้าหล่อเหล่าให้เด่น ลักษณะอ่อนโยนสง่างาม โดดเด่นไม่ธรรมดา มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นตัวละครที่เจ้าชู้รักอิสระ ล่อผู้หญิงมาไว้ในมือได้ง่ายๆ มีต้นทุนในการเป็นโจรราคะ


1019

เจียงอีอี


เจียงอีอียังคงสีหน้าเรียบเฉย ถามว่า “พวกเจ้าเป็นใครกัน?”

“คนของตำหนักสวรรค์!” เยี่ยนจื่อเกอตอบคำถามด้วยท่าทีภาคภูมิใจ ก่อนจะตะโกนว่า “เจียงอีอีทำไมยังไม่รีบมาให้จับแต่โดยดีอีก เนื้อหนังจะได้ไม่ต้องรับความทรมาน!”

“คนของตำหนักสวรรค์?” เจียงอีอีขมวดคิ้ว จากนั้นหันตัวเข้าปากถ้ำทันที พูดทิ้งท้ายไว้เพียงว่า “ยอมให้จับแต่โดยดีเหรอ ไม่เอาหรอก พวกเจ้าค่อยๆ เล่นกันไปเถอะ ขออภัยที่เล่นด้วยไม่ได้ !” ท่าทางไม่รีบร้อนราวกับกำลังเดินเล่นในอุทยาน แต่กลับดูสง่างาม

ท่าทีให้เกียรติกันขนาดนี้ ช่างไม่แยแสคำพูดของตนเลยสักนิด เยี่ยนจื่อเกอเดือดดาลทันที “ไปจับตัวมา!”

มีสี่คนรีบถลันตัวเข้าไป หนึ่งในนั้นไปขวางปากถ้ำเอาไว้ ขนาบโจมตีคนตรงข้ามทั้งหน้าและหลัง ส่วนอีกสองคนขนาบซ้ายขวา ทั้งสี่ลงมืออย่างรวดเร็วและดุดัน

เห็นอยู่ตำตาว่ากำลังจะถูกทั้งสี่รุมโจมตีเข้าเป้า แต่กลับเห็นชุดขนสัตปุกปุยเจียงอีอีสะบัด แขนข้างหนึ่งกวาดออกมา

เสียงหึ่งๆ ดังขึ้นสี่ทิศ หมอกสีแดงสีกลุ่มระเบิดออก

ไม่ใช่แค่พวกเยี่ยนจื่อเกอ แม้แต่พวกเหมียวอี้ก็มองจนหนังตากระตุกเช่นกัน เห็นเพียงอาวุธผลึกแดงในมือและเกราะรบผลึกแดงบนตัวของทั้งสี่แตกกระจายกลายเป็นหมอกสีแดงในชั่วพริบตาเดียว พังเสียหายหมดแล้ว แต่กลับไม่ได้ยินเสียงระเบิดอย่างที่จินตนาการไว้ และคิดไม่ถึงด้วยว่าอานุภาพจะมหาศาลขนาดนี้ ภาพนี้ช่างแปลกประหลาด

สี่คนที่ลงมือตกใจมาก แทบจะหยุดการโจมตีพร้อมกัน ตกใจจนรีบเลี้ยวหนี

แล้วก็เห็นชุดขนสัตว์บนตัวเจียงอีอีหมุนรอบร่างกาย ชี้ไปทั้งสี่ทิศ ท่วงท่าพลิ้วไหวสง่างาม

ซวบๆๆๆ พลันเกิดเสียงดังติดต่อกันหลายครั้ง หมอกสีแดงที่ระเบิดออกกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง การกระเบิดหยุดลงฉับพลัน กลายเป็นตะปูยาวสีแดงนับไม่ถ้วน

“อา…” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น สี่คนที่หนีไปข้างหลังชะงักลอยอยู่กลางอากาศ ชั่วพริบตาเดียวก็โดนตะปูยาวสีแดงนับไม่ถ้วนแทงจนกลายเป็นเม่น ทั้งตัวเกิดรูเลือด แต่ละคนเผยสีหน้าหวาดกลัวอย่างเหลือเชื่อ

เจียงอีอีสะบัดชุดขนสัตว์ หยุดโจมตีแล้ว กลับสู่ความสุขุมสงบนิ่งอีกครั้ง แล้วเดินก้าวยาวกลับเข้าถ้ำไป ยังคงไม่สะทกสะท้าน

ส่วนตะปูยาวสีแดงที่ตรึงทั้งสี่คนไว้กลางอากาศก็กลายเป็นหมอกสีแดงอีกครั้ง ร่างสี่ร่างที่อาบเลือดตกลงจากฟ้า ตกกระแทกพื้นอย่างแรง

ร่างของเจียงอีอีหายไปในถ้ำแล้ว รอบข้างนอกจากเสียงลมหนาวพัดหวีดหวิว คนอื่นๆ ก็เงียบกริบ ต่างก็ทำสีหน้าหวาดผวา

ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทำให้คนตัวสั่นด้วยความกลั ผู้บัญชาการระดับบงกชทองขั้นห้าทั้งสี่คน บนตัวใส่ของวิเศษผลึกแดงขั้นห้า ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนสังหารเรียบในชั่วพริบตาเดียว แถมเกราะรบบนตัวก็พังแล้วด้วย วิธีการนี้ช่างเขย่าขวัญจริงๆ!

“ทุกคนไม่ต้องกลัว มันคือเคล็ดวิชาธาตุทอง พอถอดของวิเศษบนตัวออกเขาก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้แล้ว เร็วเข้า อย่าปล่อยให้เขาหนี!” เยี่ยนจื่อเกอพลันตะโกนเสียงดัง แล้วนำถอดเกราะรบบนร่างกาย พากำลังคนไล่ตามเข้าไปในถ้ำภูเขาแบบมือเปล่า

สุดท้ายมู่หรงซิงหัวกับหยางไท่ก็ตามหลังเข้าไป ก่อนจะเข้าไปพวกเขาลังเลอย่างเห็นได้ชัด แต่พอหันกลับมาเห็นพวกเหมียวอี้ที่ลอยอยู่กลางอากาศ ก็ยังแข็งใจตามเข้าไป

เหมียวอี้ที่ลอยอยู่กลางอากาศถอนหายใจเบาๆ เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นวิธีการแบบนี้ ถ้าพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือได้เปิดหูเปิดตา แต่ความจริงแล้วถูกทำให้หวาดผวานิดหน่อย จึงหันกลับมาถามปานเยว่กง “ที่เจียงอีอีใช้เมื่อครู่นี้คือเคล็ดวิชาธาตุทอง หนึ่งในเคล็ดวิชาปัญจธาตุเหรอ?”

“ดูจากสถานการณ์แล้ว น่าจะใช่นะ!” ปานเยว่กงพยักหน้า แล้วอธิบายเสริมว่า “น่าจะไม่ใช่เคล็ดชาธาตุทองธรรมดาทั่วไป เคล็ดวิชาที่คนทั่วไปฝึกก็เรียกว่าเคล็ดวิชาธาตุทองเหมือนกัน แต่เป็นแขนงหนึ่งของเคล็ดวิชาธาตุทอง ซับซ้อนมาก นักพรตที่ไหนก็ฝึกได้ แต่ที่เจียงอีอีฝึกน่าจะเป็นเคล็ดวิชาธาตุทองที่ดั้งเดิมที่สุดในเคล็ดวิชาปัญจธาตุ ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดอภินิหารแบบนี้ แต่การฝึกเคล็ดวิชาธาตุทองที่ดั้งเดิมแบบนี้ต้องมีพรสวรรค์ ถ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะฝึกเคล็ดวิชาประเภทนี้ ก็ไม่สามารถฝึกสำเร็จได้ วิชาดั้งเดิมในเคล็ดวิชาปัญจธาตุก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด เคล็ดวิชาปัญจธาตุที่ดั้งเดิมที่สุดถูกจัดให้เป็นเคล็ดวิชาฝึกตนระดับสูงสุดของแดนฝึกตน เหมือนกับเจียงอีอี สามมารถชี้หินเป็นทอง!”

“ชี้หินเป็นทอง?” เหมียวอี้ได้ยินแล้วถามอย่างแปลกใจ “ทำให้ก้อนหินกลายเป็นทองคำได้จริงๆ เหรอ?”

เมือ่ได้ยินเขาถามแบบนี้ ปานเยว่กงก็งุนงงพูดไม่ออก สวีถังหรานที่อยู่ข้างๆ กลั้นขำไม่ไหว บอกว่า “น้องหนิวเล่นมุกแล้ว ที่บอกว่าชี้หินเป็นทองเป็นแค่การเปรียบเทียบ หมายความว่าส่วนประกอบทองที่แฝงอยู่ในก้อนหิน ถ้าร่ายอิทธิฤทธิ์นิดหน่อยก็จะสามารถกลั่นส่วนประกอบธาตุทองที่อยู่ในนั้นออกมาได้ ไม่ใช่การทำให้ก้อนหินกลายเป็นทองคำหรอก”

เหงื่อแตก! เหมียวอี้ปาดเหงื่ออย่างอับอาย ตอนอยู่พิภพเล็กไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลยจริงๆ เขาหัวเราะแห้งๆ แล้วบอกว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าเจียงอีอีจะมีความสามารถขนาดนี้”

ปานเยว่กง : “เคล็ดวิชาปัญจธาตุที่ดั้งเดิมที่สุดล้วนอยู่ในมือของห้าปราสาท ก็คือปราสาทดำเนินกนก ปราสาทแมกไม้ ปราสาทดำเนินธารา ปราสาทดำเนินอัคนีและปราสาทดำเนินธรณี ที่ข้าฝึกก็เป็นเคล็ดวิชาธาตุดินเหมือนกัน แต่กลับเป็นแบบผสมนอกลู่นอกทาง ไม่ใช่เคล็ดวิชาดำเนินธรณีที่ดั้งเดิมที่สุด ไม่รู้ว่าเจียงอีอีไปได้เคล็ดวิชาธาตุทองที่ดั้งเดิมแบบนี้มาจากไหน”

ขณะกำลังพูด จู่ๆ ชิงเหมยก็ชี้ไปตรงไหล่เขาพร้อมอุทานว่า “ดูนั่นเร็ว!”

สายตาของทุกคนพลันจ้องไปที่นั่น เห็นเพียงดินโคลนตรงไหล่เขาที่เผยโฉมออกมาหลังจากหิมะถล่มกำลังทะลักนองอย่างไร้สุ้มเสียง กระเพื่อมเหมือนระลอกน้ำออกเป็นถ้ำแห่งหนึ่ง ดันคนคนหนึ่งออกมาราวกับดอกบัวที่เบ่งบาน ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเจียงอีอีที่เพิ่งเข้าไปในถ้ำบนยอดเขาเมื่อครู่นี้นี่เอง

หลังจากเจียงอีอีลอยออกมาจากผิวดิน แผ่นดินที่อยู่ใต้เท้าก็หลอมละลายจนไม่เหลือร่องรอยของการพลิกม้วนเลยแม้แต่น้อย

เจียงอีอีที่กำลังดึงผ้าขนสัตว์สีขาวบนตัวพร้อมมองไปรอบๆ จู่ๆ ก็เงยหน้าจ้องพวกเหมียวอี้แวบหนึ่ง พอเห็นพวกเหมียวอี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย ถึงได้ถลันตัวขึ้นมา แล้วพุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปในท้องฟ้ายามราตรีแล้ว

ส่วนพวกเยี่ยนจื่อเกอที่เข้าไปในถ้ำก็เหมือนจะยังไม่รู้สถานการณ์ ไม่รู้ว่าเจียงอีอีหนีไปแล้ว ไม่ได้ยินเสียงต่อสู้ใดๆ ในภูเขา คงจะเป็นเพราะไม่ได้เจอเจียงอีอีอยู่ในนั้น

สวีถังหรานพึมพำ “วิธีการที่โจรราคะโผล่ออกมาเมื่อกี้นี้ น่าจะเป็นเคล็ดวิชาธาตุดินใช่มั้ย?”

ครั้งนี้แม้แต่ปานเยว่กงก็อดไม่ได้ที่จะอุทานอย่างตกตะลึง “เคล็ดวิชาธาตุดิน! ไม่น่าเชื่อว่าเจียงอีอีจะฝึกเคล็ดวิชาทั้งสองธาตุ สงสัยจะมีพรสวรรค์ด้านการฝึกเคล็ดวิชาปัญจธาตุอย่างสูง!”

ในจุดนี้เหมียวอี้ก็เข้าใจเหมือนกัน เคล็ดวิชาปัญจธาตุไม่เหมือนวิชาอื่น เพราะมันข่มกันเองโดยธรรมชาติ ปกติถ้าฝึกไปธาตุหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีทางฝึกธาตุที่สองได้เลย เขาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าบอกว่า “ดูท่าเจียงอีอีคนนี้จะมีความสามารถจริงๆ ด้วย มิน่าล่ะถึงรอดการจับกุมของตำหนักสวรรค์นับครั้งไม่ถ้วน!” ในใจพูดเสริมอีกว่า ไม่เคยจับได้เลย เกรงว่าเขาคงจะเกี่ยวข้องกับคนของสมาคมวีรชน

“เจียงอีอีหนีไปแล้ว พวกเรายังจะดูต่อมั้ย?” สวีถังหรานถาม

“ไปกันเถอะ! พวกเราไปหาเป้าหมายต่อไป” เหมียวอี้บอก ก่อนจะนำทุกคนเหาะขึ้นฟ้าไป ในกลุ่มตอนนี้เหมือนจะมีเขาเป็นหัวหน้า ถึงแม้สวีถังหรานจะไม่อยากไปเสี่ยงอันตรายอีก แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม บนยอดเขาหิมะที่ถล่มก็มีเสียงสะเทือนโครมครามแล้ว ฟ้าดินสั่นสะเทือน หินดินปลิวว่อน ทั้งตัวภูเขาถล่มลงมา เงาคนหลายคนโผล่ออกมาท่ามกลางฝุ่นควัน พวกเขาลอยอยู่บนฟ้าด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดี เป็นพวกเยี่ยนจื่อเกอนั่นเอง

ค้นหาอยู่ในภูเขาแต่ไม่เห็นเงาเจียงอีอี คนพวกนี้จึงถล่มภูเขาทิ้งเสียเลย ยอดเขาเจ็บสิบสองลูกกลายเป็นเจ็ดสิบเอ็ดลูกแล้ว

นอกจากจะไม่มีใครจับได้แล้ว ยังเสียกำลังคนไปรวดเดียวหกคน แต่ละคนย่อมทำสีหน้าไม่ดีอยู่แล้ว

“เจียงอีอี อย่าให้ข้าจับตัวได้นะ ไม่อย่างนั้นข้าจะถลกหนังเจ้าออกมา!” เยี่ยนจื่อเกอกล่าวอย่างเคียดแค้น

“ผู้บัญชาการเยี่ยน ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ายังไม่สามารถหาเจียงอีอีพบ บนรายชื่อในมือพวกเรา ไม่มีใครให้จับที่ดาววิงวอนชีพแล้ว ต่อไปจะทำอย่างไร?” หนึ่งในนั้นเอ่ยถาม

“มู่หรง!” เยี่ยนจื่อเกอหันกลับมาเรียก

มู่หรงซิงหัวที่อยู่ข้างกายหยางไท่ตลอด พอได้ยินเขาเรียกก็ลอยเข้ามา แล้วถามว่า “ผู้บัญชาการเยี่ยนมีอะไรจะกำชับคะ?”

เยี่ยนจื่อเกอทำหน้านิ่งพร้อมบอกว่า “คาดว่าในมือพวกเจ้าคงมีรายชื่อตามจับเหมือนกัน ในรายชื่อของพวกเจ้า ที่ดาววิงวอนชีพยังมีเป้าหมายอื่นอยู่อีกหรือเปล่า?”

“รายชื่อที่อยู่ในมือพวกเรา ที่ดาววิงวอนชีพมีแค่สองคน เจียงอีอีคือหนึ่งในนั้น แล้วก็ยังมีซูลู่เอ๋อร์ แต่ซูลู่เอ๋อร์มียอดฝีมือบงกชทองขั้นเก้าปกป้อง พวกเราลงมือได้ยาก” มู่หรงซิงหัวตอบ

“อ้อ!” เยี่ยนจื่อเกอยื่นมือขออย่างไม่เกรงใจ “เอารายชื่อของพวกเจ้ามาให้ข้าดูหน่อย” เหมือนต้องการจะพิสูจน์ว่าที่นางพูดเป็นเรื่องจริงหรือโกหก

เมื่อเดินเส้นทางนี้แล้ว มู่หรงซิงหัวก็ไม่ปฏิเสธ นำรายชื่อทั้งเก้าให้เขาไปเลย

หลังจากอ่านรายชื่อ ก็แน่ใจแล้วว่าคำพูดของมู่หรงซิงหัวไม่มีปัญหา เยี่ยนจื่อเกอจึงบอกว่า “พวกเจ้าลงมือได้ยาก แต่พวกเราอยากจะไปลงมือดูสักหน่อย” พูดจบก็หันกลับมา “ทุกคน ไปที่ป่าลืมทุกข์อีกสักรอบ ไปชิงตัวซูลู่เอ๋อร์นั่นมา”

จากนั้นทุกคนก็เลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง ก่อนจะเหาะไปอย่างรวดเร็ว มู่หรงซิงหัวและหยางไท่ที่เดินทางไปด้วยแอบรู้สึกจนใจ ในบรรดาคนกลุ่มนี้เยี่ยนจื่อเกอมีวรยุทธ์สูงสุด มีแค่วรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดเท่านั้น แต่กลับจะไปหาเรื่องที่ป่าลืมทุกข์ ดูทาคงจะเป็นพวกออกนอกลู่นอกทางเหมือนกัน

ในใจทั้งสองมีความกังวลอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เห็นว่าฝ่ายนี้ดูปลอดภัยจึงได้มาเข้าร่วมกลุ่ม ตอนนี้ตายไปรวดเดียวสี่คน ถ้าเกิดเรื่องอะไรอีกนิดเดียว การเข้าร่วมกับฝ่ายนี้ก็เหมือนจะไม่ปลอดภัยเท่าไร

หารู้ไม่ว่าอำนาจที่หนุนหลังคนพวกนี้เทียบกับโค่วเหวินหลานที่มาจากตระกูลโค่วไม่ติด ลูกน้องของโค่วเหวินหลานล้วนเป็นพวกหัวมังกุฏท้ายมังกร แต่พวกเยี่ยนจื่อเกอกลับมาเพื่อทำภารกิจให้คนที่หนุนหลังให้สำเร็จ ถ้าทำคะแนนได้ไม่ดีก็ไม่สามารถรายงานผลปฏิบัติงานได้ ไม่ให้สู้ตายคงไม่ได้

หลังจากกลุ่มนี้เดินทางมาถึงป่าลืมทุกข์ ก็พบว่าป่าลืมทุกข์มีการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก หมอกหนาที่ปกคลุมป่าลืมทุกข์หายไปแล้ว ต้นไม้ในป่าก็เหมือนจะเป็นปกติขึ้นไม่น้อยเช่นกัน

ขณะที่กลุ่มคนกำลังค้นหาทั่วป่าลืมทุกข์ แต่ปานเยว่กงเตรียมถอนกำลังแล้ว ทุกคนย่อมไม่ได้เรื่องอะไรทั้งนั้น

พวกเขากลับมาที่ตลาดมืด หาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อน หลังจากจองห้องแล้ว เยี่ยนจื่อเกอก็บอกมู่หรงซิงหัวว่า “มู่หรง เจ้ามานี่หน่อย ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”

มู่หรงซิงหัวลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ยังตามไปที่ห้องนอนของเขา

หลังจากเข้ามาในห้องและค้นหาจนทั่ว พอแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ จู่ๆ เยี่ยนจื่อเกอก็ยื่นแขนเข้ามาโอบเอวมู่หรงซิงหัวจากด้านหลัง กอดเอาไวแนบแน่น ส่วนมืออก็ลูบไล้ทั้งข้างบนข้างล่าง

มู่หรงซิงหัวตกใจมาก คว้ามือเขาพร้อมตวาดถาม “เยี่ยนจื่อเกอ เจ้าคิดจะทำอะไร?”

เยี่ยนจื่อเกอหัวเราะข้างหูนางเบาๆ “ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีวาสนาได้มารวมตัวกัน เจ้ากับข้าก็ย่อมต้องถนอมความสุขไว้สิ มายังสถานที่ที่คาดเดาความเป็นความตายได้ยาก ยามต้องหาความสำราญก็ไม่ควรพลาด เจ้าว่ามั้ยล่ะ?”

มู่หรงซิงหัวทำสีหน้าโมโหมาก ดิ้นรนพร้อมบอกว่า “ปล่อยข้า!”

แต่จนใจที่เยี่ยนจื่อเกอวรยุทธ์สูงหว่า แขนสองข้างของนางถูกจับเอาไว้แล้ว ถูกควบคุมไว้อย่างแน่นหนา เยี่ยนจื่อเกอพูดเห็นบแนมอยู่ข้างหูนาง “อย่ามาแร้งทำตัวเรียบร้อยกับข้าเลย ใช่ว่าข้าจะไม่รู้เรื่องของเจ้า ขนาดผู้บังคับบัญชาตัวเองเจ้าก็นอนด้วยมาแล้ว มานอนกับข้าไม่ทำให้เนื้อเจ้าหายไปหรอก ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่ามองข้ามความหวังดีของข้าเลย ถ้าแตกคอกันข้าก็ไม่ถือสาที่จะข้าทิ้งอีกสักคน!”

สีหน้าโกรธแค้นบนใบหน้ามู่หรงซิงหัวยากจะปิดบังเอาไว้ นางโดนอีกฝ่ายควบคุมไว้แล้ว ยากที่จะขัดขืนได้ สุดท้ายก็เลิกดิ้นรน

เมื่อเห็นนางเลิกดิ้นรน เยี่ยนจื่อเกอก็จัดกาได้รอย่างรวดเร็วราบรื่นมาก ยื่นมือจากข้างหลังไปคว้าเสื้อผ้าตรงหน้าอกนาง ดึงเสื้อทั้งข้างนอกข้างในพร้อมกันเสียงดักแควก ทำให้ยอดเขาสองลูกเปิดเผยออกมา…


1020


พลังอภินิหารของปานเยว่กง

 

คนกลุ่มนี้อยู่พักที่โรงเตี๊ยมไม่นาน แค่พักผ่อนเพื่อฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์นิดหน่อย หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยามก็ออกจากโรงเตี๊ยมแล้ว

มู่หรงซิงหัวเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว เห็นได้ชัดว่ากลุ่มของเยี่ยนจื่อเกอรู้อยู่แก่ใจ แต่ละคนเล่นหูเล่นตาหยอกล้อเยี่ยนจื่อเกอ ส่วนเยี่ยนจื่อเกอก็ทำสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจ

มู่หรงซิงหัวเข้าใจว่าทุกคนเล่นหูเล่นตากันทำไม แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง ทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน เพียงแต่แววตาหงอยเหงานิดหน่อย

ส่วนหยางไท่ ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจเหมือนกัน แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น สำหรับคนพวกนี้ เนื้อหนังของชายหญิงไม่มีค่าอยู่แล้ว เกิดเรื่องขึ้นกับร่างกายของมู่หรงซิงหัว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะมีความเห็นแย้งอะไรหรือเปล่า ต่อให้มีความเห็นอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ ต่อให้ทั้งสองร่วมมือกันแต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย ตัวเองเตรียมตัวมาดี อีกฝ่ายก็เตรียมตัวมาดีเช่นกัน

ในบรรดาพวกเขาไม่มีใครเปิดโปงเลยสักนิด พากันเหาะขึ้นฟ้าออกจากดาววิงวอนชีพไปแล้ว…

ดาวเคราะห์ที่มีหินกระจัดกระจาย ที่ผิวดาวเคราะห์มีเศษหินทั้งเล็กทั้งใหญ่กระจายอยู่ทั่วทุกที่ ระหว่างนั้นมีต้นไม้ใบหญ้าเติบโตแข็งแรง อากาศเบาบาง ขาดแคลนทรัพยากรน้ำ มีคนอยู่อาศัยไม่เยอะ

จากที่ปานเยว่กงบอก ว่ากันว่าเศษหินที่ขรุขระอยู่ทั่วดาวเคราะห์ดวงนี้ เป็นผลหลังจากโดนหินอุกกาบาตชนปะทะหลายปี เดิมทีก้อนหินที่ผิวดาวเคราะห์นี้สมบูรณ์มาก ไม่ได้เศษหินมากขนาดนั้น

ขณะที่เหมียวอี้กับปานเยว่กงกำลังคุยกัน การต่อสู้สนามหนึ่งที่ไม่นับว่าดุเดือดก็จบลง

ปีศาจหนูตนหนึ่งที่ชื่อว่าถังโพถูกสวีถังหรานโจมตีจนสาหัสแล้ว ตอนนี้กำลังคุกเข่าวิงวอนชีวิต “ขุนนางสวรรค์โปรดไว้ชีวิต อย่าสังหารข้า ขุนนางสวรรค์โปรดไว้ชีวิตด้วย!”

ไม่วิงวอนขอชีวิตคงไม่ได้ ถึงแม้สวีถังหรานจะเหมือนกับเขา และมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นสามเหมือนกัน แต่สวีถังหรายไม่ใช่แค่สวมเกราะรบผลึกแดง ทั้งยังขี่เดรัจฉานสับปลับมาเล่นงานอย่างเอาจริงเอาจัง โดนทารุณจนระบายความโกรธไม่ออก

ถังโพ วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง เป็นหัวขโมยที่ทำผิดซ้ำซาก มักจะขโมยที่ตลาดสวรรค์ ตอนหลังโดนจับได้ว่าขโมยของ จึงฆ่าพนักงานในร้าน ทำให้โดนไล่จับ หลบหนีมาตลอด ครั้งนี้ในที่สุดก็โดนลงโทษแล้ว

แต่เจ้าบ้านี่ก็ดวงซวยเหมือนกัน พอพวกเหมียวอี้มาถึง ก็แทบจะไม่ต้องใช้เวลาตามหาเลย บังเอิญเจอชายคนนี้พอดี พอมองหน้าตรงๆ ก็พบว่าเป็นนักโทษหลบหนีที่อยู่บนรูปภาพ

คาดว่าเจ้าตัวก็คงหลบอยู่ที่นี่โดยไม่ออกไปไหนเลยเหมือนกัน เลยไม่รู้ว่าตำหนักสวรรค์ปิดล้อมสถานที่ไร้ชีวิตเพื่อจับนักโทษแล้ว พอเห็นพวกเหมียวอี้ก็ยังรายงานชื่อปลอม โวยวายว่าที่นี่คืออาณาเขตของพวกเขา ผลที่ตามมาก็เป็นอย่างที่เห็น

สวีถังหรานที่ขี่เดรัจฉานสับปลับโยนเชือกมัดเซียนออกมาเส้นหนึ่ง เมื่อจับมัดไว้แล้ว ถึงได้กระโดดลงมาร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมถังโพไว้

หลังจากควบคุมวรยุทธ์ของถังโพได้อย่างถึงที่สุดแล้ว สวีถังหรานถึงได้ลากคอเขามาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ในที่สุดก็จับได้คนถัดไปแล้ว”

แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะยื่นมือออกมา ลากถังโพเข้ามาหา แล้วเก็บใส่กระเป๋าสัตว์ของตัวเองทันที

สวีถังหรานตะลึงงัน พูดไม่ออกนิดหน่อย หลังจากได้เห็นเหตุการณ์ของเจียงอีอีก่อนหน้านี้ ที่จริงเขาเองก็ไม่อยากลงมือจับถังโพ เพราะกังวลว่าจะเจอคนที่รับมือยากถึงอย่างไรบางครั้งวรยุทธ์ก็ตัดสินศักยภาพของคนเราไม่ได้ แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะต้องการให้เขาลงมือ หลังจากลงมือจับแล้ว กลับกลายเป็นสมบัติในกระเป๋าสัตว์ของเหมียวอี้เสียอย่างนั้น จะไปเรียกร้องหลักทำนองคลองธรรมนี้จากไหน

แต่ก็ไม่สะดวกจะพูดอะไร เพราะสถานการณ์บีบบังคับ อีกฝ่ายมีผู้ช่วยเยอะ ทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆ แล้วเก็บของ

“ไป! ไปดาวไอหมอก ไปหาเป้าหมายต่อไป” เหมียวอี้บอก แล้วนำทุกคนเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นหลายชั่วยาม ก็มีคนแปดคนเหาะลงมาจากฟ้า แล้วเสาะหาบริเวณนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพวกเยี่ยนจื่อเกอนั่นเอง

“ตรงนี้!” ผู้บัญชาการคนหนึ่งที่ชื่อว่าเฉิงจวินซิ่นพลันเหยียบลงพื้นแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เรียก

คนที่แยกย้ายกันไปหาตรงจุดไกลๆ ได้ยินแล้วรีบเหาะกลับมา พอเหยียบลงพื้นตรงข้างเขา เยี่ยนจื่อเกอก็ถามว่า “หาเจอแล้วเหรอ?”

เฉิงจวินซิ่นชี้ไปที่รอยเลือดบนดิน แล้วก็ชี้ไปรอบๆ อีก “พวกเจ้าดูสิ มีร่องรอยการต่อสู้ด้วย เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเป็นรอยใหม่ ตรงนี้ยังมีรอยเลือดด้วย หน้าผาทางนั้นเคยโดนอุณหภูมิสูงแผดเผา”

ผู้บัญชาการคนหนึ่งที่ชื่อว่าหันเฉาเฟิ่งนั่งย่อลง ยื่นมือไปลูบรอยเลือดบนพื้น ใช้นิ้วมือฝั้นขึ้นมาดม ก่อนจะปัดมือพร้อมบอกว่า “ไม่ใช่รอยเลือดของคน แต่เป็นรอยเลือดของหนู รอยนี้เพิ่งแห้งได้ไม่นาน ดูท่าปีศาจหนูที่ชื่อว่าถังโพคงโดนคนอื่นจับไปแล้ว”

หยางไท่เดินมาตรวจดูข้างๆ หินที่โดนเผาไหม้ครู่หนึ่ง เขาค่อนข้างทำตัวชายขอบและไม่ค่อยพูดจาเมื่ออยู่ในกลุ่ม ในเวลานี้เอ่ยปากพูดแล้ว “นี่คือผลงานของเดรัจฉานสับปลับ สงสัยเพื่อนร่วมงานสองคนนั้นของข้าจะเคยมาที่นี่แล้ว ถ้าทำสำเร็จแล้วจริงๆ ตามที่ข้าคิด ตอนนี้พวกเขากำลังลงมือจากง่ายไปยาก ลงมือทีละคน ถังโพคนนี้มีแค่วรยุทธ์บงกชทองขั้นสาม เป็นคนที่วรยุทธ์ต่ำสุดในบรรดาเก้าคนนั้น ถ้าข้าวินิจฉัยไม่ผิด ตอนนี้พวกเขาคงจะไปที่ดาวไอหมอกแล้ว ไปจับปีศาจจิ้งจอกที่วรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่”

รสชาติยามถูกทำให้อยู่ชายขอบนั้นยากจะรับไหว เขาเห็นจุดจบของมู่หรงซิงหัวแล้ว แต่เขาไม่มีความงามอะไรให้เสียสละ จึงกังวลว่าจะถูกทอดทิ้ง ตอนนี้หาโอกาสทุ่มเทความสามารถได้แล้ว เรียกได้ว่าพูดอย่างมีระเบียบแบบแผน

เมื่อกล่าวมาแบบนี้ คนอื่นๆ ก็มองเขามากขึ้น

มู่หรงซิงหัวมองเขาด้วยแววตาสับสนนิดหน่อย นางกลายเป็นผู้หญิงที่ใครๆ ก็มาเป็นสามีได้ แต่หยางไท่กลับกำลังเป็นเพื่อนร่วมงานที่ทรยศ ตอนนี้ทั้งสองกลายเป็นอะไรไปแล้ว?

แนวคิดทางศีลธรรมของโลกนี้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง และเป็นแนวคิดที่มีร่วมกัน นางไม่ใช่คนที่ไม่มีความละอายใจ หลังจากเป็นหญิงชู้ของเฉาว่านเสียงแล้ว นางก็ปิดบังมาตลอดเช่นกัน ตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็พยายามทำตัวเหมือนบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพียงเพราะรู้สึกว่าตัวเองทำแบบนั้นแล้วน่าอาย แต่ใครจะไปคิด ว่าเฉาว่านเสียงจะเปิดโปงเรื่องน่าอับอายของนางต่อหน้าเพื่อร่วมงาน ส่วนเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ยิ่งเปิดโปงหมดเปลือกท่ามกลางฝูงชน ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปถึงข้างนอก เยี่ยนจื่อเกอจึงคิดว่าการเอาเปรียบนางคือเรื่องที่สมแหตุสมผล ถึงดูถูกเหยียดหยามไปรอบหนึ่ง ถ้าไม่เล่นก็จะเสียดายของ ถึงอย่างไรทุกคนก็เล่นได้อยู่แล้ว

จากคนที่โอ้อวดตัวเองว่าบริสุทธิ์สูงส่ง จนกลายสภาพเป็นอย่างทุกวันนี้ ในใจนางเองก็ไม่ได้รู้สึกสงบสักเท่าไร บนเส้นทางที่เดินมานี้ นางหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเองอยู่ตลอด บอกตัวเองว่าเพราะโดนสภาพสังคมกดดัน นางทำเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่สภาพสังคม ตอนนี้หลังจากได้ฟังคำพูดของหยางไท่ จู่ๆ นางก็พบว่าตัวเองกำลังหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเองจริงๆ ที่จริงตัวเองกับหยางไท่ก็ไม่ได้ต่างกันเลย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือทั้งสองล้วนกลัวความลำบากและอันตราย ไม่อยากทนรับความลำบากทรมาน ไม่อยากไปสู้สุดชีวิต คนหนึ่งก็เลยขายตัว อีกคนก็ขายเพื่อนร่วมงาน ต่างก็อยากใช้ชีวิตให้ง่ายขึ้นก็เท่านั้นเอง

เยี่ยนจื่อเกอได้ยินแล้วพยักหน้าเบาๆ ที่พวกเขาเดินทางมาที่นี่ เดิมทีก็เป็นเพราะรายชื่อในมือของมู่หรงซิงหัวอยู่แล้ว ในมือตัวเองก็มีรายชื่อที่ต้องจับกุมอยู่ฉบับหนึ่งเหมือนกัน แต่เตรียมจะเก็บไว้ตอนหลัง สาเหตุที่เลือกถังโพจากเก้าคนในรายชื่อ ก็เพียงเพราะอยากจะจัดการจากง่ายไปยาก ตอนนี้ดูท่าทางคนที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อนั่นก็คงมีวิธีคิดแบบนี้เหมือนกัน

“ที่หยางไท่พูดก็มีเหตุผล พวกเราไปที่ดาวไอหมอกกันเถอะ  ตามหลังพวกเขาไป ถ้าห่างกันไม่มากก็กดดันให้พวกเขาส่งคนที่จับได้มาให้พวกเรา ไป!” เยี่ยนจื่อเกอกล่าว ก่อนจะนำทุกคนพุ่งขึ้นฟ้าไป

ณ ดาวไอหมอก เป็นดาวเคราะห์ที่ไม่ใหญ่ เวลาส่วนใหญ่ในหนึ่งปีจะถูกหมอกบางๆ ปกคลุมพืชพรรณของที่นี่ไม่ว่าจะต้นสูงหรือต้นเตี้ย ก็ล้วนมีใบที่ค่อนข้างอวบอิ่มชุ่มชื้น

ขณะที่ยืนอยู่ริมหน้าผาสูงชัน หมอกบางลอยวนเวียน เหมียวอี้และหยางไท่ก็หยิบรายชื่อฉบับสำเนาออกมา หลังจากอ่านดูแผนที่ที่เกี่ยวข้องกับที่ว่อนตัวของหงเชียนเชียน ทั้งสองก็สบตาและพยักหน้าให้กัน เป้าหมายคงจะหลบอยู่ในหุบเขาแห่งนี้

หงเชียนเชียน วรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่ เป็นปีศาจจิ้งจอก เดิมทีเป็นเถ้าแก่เนี้ยของร้านค้าในตลาดสวรรค์ ไม่ใช่ที่ไหนอื่นไกล เป็นเถ้าแก่เนี้ยของร้านค้าในตลาดสวรรค์ที่ดาวเทียนหยวนนี่เอง ปีศาจจิ้งจอกตนนี้ก็ประหลาดเหมือนกัน คนอื่นหาร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้ นางกลับโชคดี มีร้านค้าดีๆ ดันไม่ประกอบกิจการ ต้องการจะขายต่อให้คนอื่นเสียอย่างนั้น จะขายก็ขายไปสิ แต่ร้านค้าร้านเดียวกลับโดนนางขายให้ผู้ซื้อพร้อมกันสิบสองคน ไม่รู้เหมือนกันว่านางทำได้ยังไง อย่างไรเสียก็รวบเงินหนีไปแล้ว สุดท้ายผู้ซื้อสิบสองคนมาลงทะเบียนเป็นเจ้าของพร้อมกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ถึงผลลัพธ์ วุ่นวายใหญ่โตมาก ครั้งนี้จึงถูกใส่เข้าในรายชื่อที่ต้องจับกุมเหมือนกัน

เมื่อเก็บรายชื่อแล้ว สวีถังหรานก็ถามว่า “จะทำยังไง? บนนี้บอกแค่ว่าทุกครั้งปีศาจจิ้งจอกนั่นจะลงไปข้างล่างจากตรงนี้ ส่วนรายละเอียดว่าอยู่ที่ไหน ก็ไม่สามารถแน่ใจได้เลย ถ้ามองหุบเขานี้จากบนฟ้า อย่างน้อยก็ยาวติดต่อกันร้อยลี้แล้ว จะแน่ใจตำแหน่งที่แน่นอนได้ยังไง?”

เหมียวอี้ก็ปวดหัวเหมือนกัน ตอนที่ตามหาชิงเหมยเจอเป็นเพราะมีปานเยว่กงบอก ตอนที่จับถังโพได้ก็เป็นถังโพที่โชคร้ายมาเจอพวกเขาเอง ถ้าจับปีศาจจิ้งจอกด้วยวิธีการเดียวกับที่รับมือกับชิงเหมย คาดว่าตะโกนเรียกไปก็ไร้ประโยชน์ พอได้ยินคำว่าตำหนักสวรรค์ก็จะต้องหนีก่อนเป็นอันดับแรกแน่นอน หุบเขาที่ยาวเหยียดขนาดนี้ ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายจะหนีไปไหนก็ไม่รู้แล้ว

“ข้าว่าลองดูก็ได้นะ แต่ว่าต้องใช้เวลาสักหน่อย!” ทันใดนั้นปานเยว่กงก็เสนอความเห็น

เหมียวอี้ถามอย่างร่าเริงว่า “เวลาน่ะมีอยู่แล้ว เวลาเป็นร้อยปี พวกเราไม่รีบหรอก เจ้าคงไม่ถึงขั้นใช้เวลาเป็นร้อยปีหรอกใช่มั้ย?”

ปานเยว่กงยิ้มแล้วตอบว่า “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก มีเวลาวันเดียวก็เพียงพอแล้ว” หลังจากได้คลุกคลีกันมาระยะหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มสื่อสารอย่างมีน้ำใจต่อกันแล้ว

เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ บอกให้เขาลองดู อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะมีวิธีการอะไร

ปานเยว่กงพยักหน้า แล้วเดินมาที่ริมหน้าผา พอใช้มือข้างหนึ่งกดที่หน้าอก ปราณปีศาจบนตัวก็เริ่มเข้มข้น จู่ๆ ก็อ้าปาก พ่นหมอกสีขาวสายหนึ่งออกมาจากปาก หมอกขาวพรั่งพรูออกมาไม่หยุด ทะลักลงไปที่หุบเขาด้านล่างอย่างไม่ขาดสาย และไม่นานก็ก่อตัวหนาแน่นราวกับก้อนเมฆ

เหมียวอี้มองจนหนังตากระตุก ในใจกำลังครุ่นคิดว่า หมอกหนาผืนใหญ่ที่ป่าลืมทุกข์คงไม่ใช่เพราะเจ้าหมอนี่พ่นออกมาหรอกใช่มั้ย?

หลังจากปานเยว่กงหุบปาก ก็สะบัดแขนเสื้อสองข้างตีกวน ทำให้หมอกขาวในหุบเขาหมุนขึ้นหมุนลงทันที ราวกับมีชีวิตชีวาขึ้นมา กลายเป็นไอหมอกรูปงูจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วสั่นหัวส่ายหางเลื้อยเข้าไปทั่วทุกหนทุกแห่งในหุบเขา เมื่อเจอซอกหลืบก็มุดเข้าไป

สวีถังหรานเห็นแล้วเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง “ทักษะนี้ของพี่โหย่วไฉช่างดีจริงๆ ต่อไปเวลาจะหาคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว”

เป็นเรื่องที่ชัดเจนมาก ถ้ามีคนซ่อนอยู่ในหุบเขาด้านล่าง ก็เป็นไปไม่ที่จะไม่หายใจ ขอเพียงหายใจ สถานที่ซ่อนตัวก็จะมีช่องว่างสำหรับระบายอากาศแน่นอน ถ้างูหมอกที่ถูกควบคุมนี้มุดเข้าไป ก็จะพบคนที่กำลังซ่อนตัวทันที

แต่ปานเยว่กงกลับหลับตาแล้ว มือสองข้างกำลังขยับร่ายอิทธิฤทธิ์ไม่หยุด งูหมอกนับไม่ถ้วนในหุบเขาเริ่มเลื้อยเข้าไปในสองฝั่งของหุบเขา

ส่วนเหมียวอี้ก็ลูบคางครุ่นคิด ถ้าหมอกหนาผืนนั้นของป่าลืมทุกข์เป็นฝีมือของปานเยว่กง ถ้าสามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างขนาดนั้น ก็ไม่ต้องกังวลขีดจำกัดระยะทางที่งูหมอกจะเลื้อยไปถึงแล้ว

หลังจากนั้นสองชั่วยาม ฟ้าเป็นสีแดงยามเย็น จู่ๆ ปานเยว่กงก็ลืมตาแล้วเดินไปชี้ที่หุบเขาทางขวา “ใต้ดินที่ห่างออกไปสิบลี้มีคนอยู่ กำลังโจมตีทำลายงูหมอกของข้า ไปดูหน่อย”

ไม่ต้องพูดอะไรมาก พวกเขาถลันตัวเหาะไปทันที ไปเหยียบลงตรงตำแหน่งที่คาดคะเนไว้คร่าวๆ

เพิ่งจะเหยียบลงพื้น ปานเยว่กงก็ชี้ไปข้างล่างแล้วถ่ายทอดเสียบอกอีก “เตรียมตัว! มีคนกำลังออกมาจากข้างล่างแล้ว”

เหมียวอี้ให้สัญญาณมือทันที ทั้งสี่คนรีบถลันตัวไปดักซุ่มไว้สี่ตำแหน่ง เตรียมจะดูสถานการณ์ก่อน เตรียมตัวจู่โจมแล้ว

ผ่านไปไม่นาน ก็มีสตรีวัยกลางคนที่สวมชุดสีดำเหาะขึ้นมาจากหุบเขา หน้าตาสวยเพริศพริ้ง ทั้งยังมีท่าทางบอบบางอ่อนแอ ยั่วให้คนที่เห็นรู้สึกอยากโอ๋ กำลังเหลียวซ้ายแลขวา บนใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย

ไม่ผิดหรอก เป็นยอดนักต้มตุ๋นที่เหมียวอี้กับสวีถังหรานกำลังตามหา

“หงเชียนเชียน!” เหมียวอี้กระโดดออกมาจากที่ซ่อนตัวทันที “ยังไม่ยอมให้จับแต่โดยดีอีก!”

หงเชียนเชียนหันกลับมา พอเห็นเหมียวอี้ นางก็ทำสีหน้าตกใจมากทันที ถึงขั้นเบิกตากว้างอ้าปากค้างชี้เหมียวอี้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

เมื่อเห็นเหมียวอี้แน่ใจแล้วว่าเป็นเป้าหมาย ปานเยว่กงก็รีบถลันตัวออกมาแล้ว ปั้ง! ฟาดฝ่ามือใส่หงเชียนเชียนจนเงยหน้ากระอักเลือดสดขึ้นฟ้า ตกกระแทกลงฝั่งตรงข้ามราวกับผีพุ่งใต้ มาตกลงข้างๆ เหมียวอี้พอดี ทำเอาก้อนหินข้างๆ เหมียวอี้โดนชนจนแตกละเอียก ไม่มีกำลังโต้ตอบเลยเมื่อสู้กับปานเยว่กง

“เอ! ไม่ถูกสิ วรยุทธ์ของคนคนนี้ไม่ถึงระดับบงกชทองเลย ยังห่างกับระดับบงกชทองตั้งไกล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นบงกชทองขั้นสี่!” ปานเยว่กงอุทานอย่างแปลกใจ แล้วจู่ๆ ก็สีหน้าเปลี่ยน “ท่าไม่ดีแล้ว! ข้างล่างยังมีอีกหนึ่งคน มีทางลับสำหรับหลบหนีอีกทาง!” พอพูดจบ ตัวก็ถลันวูบลงไปแล้ว

 

จบ  1020

 


ตอนต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น