หน้าเว็บ

room 772-005

 room 772-005

https://fiction-no-limit1.blogspot.com/p/room-772-005.html

1021-1050


บทที่ 1021 ปีศาจจิ้งจอกพันหน้า

เห็นได้ชัดว่าชิงเหมยกังวลว่าสามีตัวเองจะทำพลาด จึงรีบเหาะตามลงไป

สวีถังหรานเป็นคน ‘ง่ายๆ’  และเป็นคน ‘ไร้เดียงสา’ ถ้าเหมียวอี้ไม่บังคับเขา เขาก็จะไม่ยอมไปเสี่ยงอันตรายง่ายๆ เขารีบสวมเกราะรบ กระโดดขึ้นบนตัวเดรัจฉานสับปลับ แล้วถือดาบมองไปรอบๆ อยู่ริมหน้าผาฝั่งตรงข้าม ทำท่าทางเหมือนช่วยดูต้นทางให้เหมียวอี้

ร่ายอิทธิฤทธิ์กันเศษหินที่ระเบิดปลิวว่อน เหมียวอี้มองดูหงเชียนเชียนที่หายใจรวยรินอยู่ข้างๆ นางเลือดซึมออกปากออกจมูก จ้องเขาด้วยแววตาที่อ่อนแอ พร้อมกล่าวอย่างปวกเปียกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ…ข้าจะเล่นแม่เจ้า…เจอเจ้าแล้วข้าซวยไปสิบแปดชาติ…”

เหมียวอี้ยังแปลกใจที่ปานเยว่กงบอกว่าวรยุทธ์ไม่ถูกคืออะไร แต่พอได้ยินคำว่า ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ จากปากอีกฝ่าย เขาก็ชะงักงัน หงเชียนเชียนรู้จักข้าด้วยเหรอ จะเป็นไปได้ยังไ?

ผู้หญิงที่หน้าตาสวยมีเอกลักษณ์แบบนี้ ถ้าเคยเห็นมาก่อนก็ไม่มีทางที่จะจำไม่ได้เลยสักนิด นี่มันเรื่องอะไรกัน?

ตอนแรกนึกว่าฟังผิด พอฟังมาถึงตอนท้าย จึงเริ่มจะแน่ใจบ้างแล้ว

อย่าบอกนะว่าเป็นคนรู้จักปลอมตัวมา? เหมียวอี้รีบนั่งย่อเข่า แล้วดึงหนังหน้าของหงเชียนเชียน แต่พบว่าเป็นหนังจริง ไม่ได้ปลอมตัว

นี่มันประหลาดเกินไปแล้ว! เหมียวอี้รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูอาการของนาง ผลก็คือพบว่ามีวรยุทธ์บงกชม่วงขั้นสอง ห่างไกลกับวรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่ของนักโทษหลบหนีบนรายชื่อมากกินไป สิ่งนี้ได้พิสูจน์คำพูดของปานเยว่กงแล้ว นี่ไม่ใช่อาการวรยุทธ์ลดตกฮวบยามได้รับบาดเจ็บด้วย หรือว่าข้อมูลบนรายชื่อโทษหลบหนีผิดพลาด? หรือมีเรื่องลับอะไรที่ตนไม่รู้?

ขณะเดียวกันก็พบว่าอาการบาดเจ็บของหงเชียนเชียนสาหัสถึงขีดสุด อวัยวะภายในถูกย้ายสลับที่ กระดูกก็หักรุนแรง ภายในมีเลือดไหลเยอะ สรุปก็คือไม่โดนปานเยว่กงฟาดจนร่างแตกก็นับว่าดีแล้ว ลองคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าใช่ วรยุทธ์บงกชม่วงขั้นสองมาเจอกับวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้า จะมีกำลังตอบโต้ได้อย่างไร แถมปานเยว่กงก็พบความผิดปกติหลังจากลงมือไปแล้วด้วย นี่คือผลของการยั้งพลังตอนลงมือได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นหงเชียนเชียนคงสิ้นชีพไปแล้ว

ตอนนี้หงเชียนเชียนอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ในร่างกายเพื่อประคองลมหายใจไว้อย่างยากลำบาก อยู่ตรงคาบเกี่ยวที่ใกล้จะกลับสู่ร่างเดิมแล้ว

“เจ้ารู้จักข้าเหรอ?” เหมียวอี้แปลกใจ

“ข้า…” พอหงเชียนเชียนพูดคำนี้ออกมา ตัวนางเองก็ทนไม่ไหวแล้ว ในปากมีเลือดสดไหลออกมากองใหญ่

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว สำหรับเขา ความเป็นความตายของหงเชียนเชียนไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย ขอเพียงพาตัวกลับไปได้ก็พอแล้ว เขาไม่ได้คิดจะช่วยชีวิตนาง

ในขณะนี้เอง ตรงแนวภูเขาไกลๆ ก็มีเสียงสะเทือนดังครืนคราน ภูเขาลูกหนึ่งพลิกปลิวไป ระเบิดแตกกระจัดกระจายไปทั่ว

เสียงต่อสู้ที่ฉับพลันสงบลงเร็วมาก ปานเยว่กงและฮูหยินกลับมาแล้ว แต่ในมือมีคนเพิ่มมาด้วยคนหนึ่ง เป็นสตรีวัยกลางคนที่สภาพสะบักสะบอม ถูกปานเยว่กงบีบคอลากกลับมา

“ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้เจ้าเล่ห์นัก หาคนอื่นมาปลอมตัวเป็นนางเพื่อดึงดูดความสนใจจากพวกเรา แต่ตัวเองกลับใช้เส้นทางลับหลบหนี ถ้าข้าไม่ได้สังเกตเห็นทันเวลา ก็คงจะตกหลุมพรางไปแล้ว! นี่ต่างหาที่เป็นหงเชียนเชียนตัวจริง”

ปานเยว่กงบอกไว้เท่านี้ แล้วโยนสตรีวัยกลางคนที่หน้าเต็มไปด้วยรอยเลือดไว้ข้างเท้าเหมียวอี้ สตรีสองคนมาตกลงข้างเท้าเหมียวอี้แล้ว

เหมียวอี้ที่เห็นผู้หญิงคนนี้เรียกได้ว่าตกใจมาก ผู้หญิงคนนี้กับคนก่อนหน้ามีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันไม่มีผิด พวกนางหน้าตาเหมือนหงเชียนเชียนทั้งคู่ นี่มันเรื่องอะไรกัน?

สวีถังหรานที่ถลันตัวเข้ามาเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง นั่งยองๆ และยื่นมือไปดึงบนหน้าหงเชียนเชียนคนแรกเช่นกัน จากนั้นก็กล่าวอย่างตกตะลึงว่า “ไม่ใช่การปลอมตัว หรือว่าเป็นพี่น้องฝาแฝด?” เขาลุกขึ้นปัดไม้ปัดมือ บันเทิงแล้ว สำหรับเขาถึงแม้นางจะไม่ใช่ฝาแฝด แต่ขอแค่จับตัวได้ก็พอ มีนักโทษหลบหนีสองคนมาอยู่ในมือแล้ว กลับไปก็ยังพอถูไถรายงานผลงานได้ ถึงอย่างไรคนหนึ่งพันคนก็ต้องไล่จับคนหนึ่งร้อยคน จะต้องมีคนจำนวนมากที่ไม่ได้อะไรเลย แต่ตรงนี้กลับจับได้แล้วสองคน

แต่เรื่องนี้ก็ทำให้กังวลใจมากเหมือนกัน ตอนนี้ยังดีๆ อยู่ เมื่อถึงตอนที่การทดสอบจบลง เกรงว่าจะแก่งแย่งกันเอง ระหว่างทางกลับอาจจะสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แถมหนิวโหย่วไฉกับภรรยาก็พูดเจตนาไว้ชัดเจนแล้ว ว่าสามารถช่วยพวกเขาจับคนได้ แต่กลับไม่ยอมสู้กับคนของตำหนักสวรรค์เพื่อพวกเขา เรื่องนี้ก็สามารถเข้าใจได้เหมือนกัน ฝ่ายนี้ไม่สะดวกจะช่วยพวกเขาทำร้ายคนของตำหนักสวรรค์ ถ้าทำแบบนี้จริงๆ ในภายหลังตัวเองก็จะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน

แต่อาศัยแค่สวีถังหรานกับเหมียวอี้สองคน จะสามารถรอดชีวิตไปจนถึงด่านสุดท้ายได้เหรอ? ต่อให้ทั้งสองหาที่หลบภัยได้ สุดท้ายระหว่างทางกลับก็ต้องโผล่หน้าไปอยู่ดี ถึงตอนนั้นถ้าเจอกลุ่มอื่นมาแย่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผลจะเป็นยังไง

ที่จริงเขาก็อยากจะเอาเยี่ยงอย่างมู่หรงซิงหัวกับหยางไท่ ไปขอพึ่งพากลุ่มที่มีพลังแข็งแกร่ง แต่ถ้าเขาทำแบบนี้ กลับไปก็ต้องตายอยู่ดี

แม้แต่ปานเยว่กงกับฮูหยิน เมื่อได้ฟังคำพูดของเขาแล้วก็ยังแปลกใจ ยื่นมือไปลูบบนตัวของหงเชียนเชียนเช่นกัน หงเชียนเชียนที่ใกล้จะขาดใจตาเหลือก แล้วอาเจียนเลือดสดออกมาอีกหลายคำ

“เจ้าคือหงเชียนเชียนเหรอ?” เหมียวอี้ถามผู้หญิงที่นอนหอบหายใจเฮือกใหญ่อยู่บนพื้น

ผู้หญิงคนนั้นตอบพร้อมรอยยิ้มขื่นขม “ช่างสมกับเป็นตาข่ายสวรรค์[1] ตำหนักสวรรค์ร้ายกาจจริงๆ ด้วย ขนาดทำแบบนี้แล้วยังโดนพวกเจ้าจับได้อีก พวกเจ้าจับข้าก็แค่เพื่อจะได้เลื่อนขั้นและร่ำรวย เอาอย่างนี้มั้ยล่ะ ข้ามีสถานที่ซ่อนสมบัติอยู่แห่งหนึ่ง ซ่อนทรัพยากรฝึกตนเอาไว้มหาศาล ขอเพียงพวกเจ้าปล่อยข้าไป ข้าก็จะมอบที่ซ่อนสมบัตินั้นให้พวกเจ้า ดีมั้ยล่ะ?”

เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก “สมกับเป็นนักต้มตุ๋น ในเวลานี้ยังจะใช้มุกนี้กับข้าอีก เรื่องที่ซ่อนสมบัติเดี๋ยวพวกเราค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้บอกมาก่อนว่าพวกเจ้าสองคนนี่ยังไงกันแน่?”

ผู้หญิงคนนั้นทำสีหน้าจนใจ “คนก็ตกอยู่ในมือของเจ้าแล้ว มาบอกตอนนี้ยังจะมีความหมายอะไร ข้าจ้างนางเอง ทำให้นางพลอยลำบากไปด้วย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง นางใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว รีบช่วยชีวิตนางก่อนเถอะ”

เป็นอย่างที่ปานเยว่กงบอก หลังจากนางพบความไม่ชอบมาพากล ก็สั่งให้อีกคนปลอมตัวเป็นนางออกมาดูสถานการณ์ พอเสียงต่อสู้ด้านนอกดังขึ้น นางก็ทิ้งคู่หูโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลบหนีโดยใช้เส้นทางลับทันที แต่ใครจะคิดว่าทำแบบนี้จะดึงดูดความสนใจของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ ทั้งยังทำให้สังเกตพบทิศทางการเคลื่อนไหวของนางอีก สุดท้ายก็มาตามจับนางได้ทันเวลา

เหมียวอี้ขมวดคิ้วมุ่น เอียงหน้าจ้องหงเชียนเชียนคนแรกด้วยสีหน้าสงสัย ทำไมคนคนนี้ถึงรู้จักเขาได้?

คิดไปคิดมาก็ยังฝืนใจหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมา แล้วเป่าหมอกดาวเข้าไปช่วยรักษาเยียวยาอย่างรวดเร็ว

สำหรับเรื่องนี้ ปานเยว่กงและอีกสองคนรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะก่อนหน้านี้ทั้งสามไม่ได้ยินว่าหงเชียนเชียนเรียกชื่อเหมียวอี้ ดังนั้นจึงแปลกใจที่เหมียวอี้นำสมุนไพรเซียนซิงหัวที่มีราคาแพงออกมาใช้

ขอเพียงไม่ใช่อาการบาดเจ็บที่พิเศษ ขอเพียงคนยังไม่ตาย ก็ไม่ต้องสงสัยในสรรพคุณของสมุนไพรเซียนซิงหัวเลย

หลังจากผ่านไปพักเดียวเท่านั้น อาการบาดเจ็บของหงเชียนเชียนคนแรกก็ทุเลาแล้ว นางไอเป็นเลือดสองสามคำ กลับมาหายใจเป็นปกติแล้ว นางหลับตานอนอยู่บนพื้นพร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยสมุนไพรเซียนช่วยดูแลอาการบาดเจ็บ

“ข้าจะรายงานผลการต่อสู้ให้ผู้บัญชาการใหญ่รู้สักหน่อย!” สวีถังหรานขอความเห็นจากเหมียวอี้

เหมียวอี้ที่กำลังเป่าสมุนไพรเซียนไม่หยุดพยักหน้าเบาๆ สวีถังหรานจึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับโค่วเหวินหลานอย่างตื่นเต้นดีใจทันที แบบนี้เขาจะได้มีส่วนร่วมในผลงาน ไม่ว่าสุดท้ายจะรอดชีวิตกลับไปได้หรือไม่ เตรียมตัวไว้สำหรับตอนรอดชีวิตกลับไปได้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร

ในจำนวนนักโทษหลบหนีหนึ่งร้อยคน พวกเขาจับมาได้สองคนแล้ว โค่วเหวินหลานได้ยินข่าวแล้วดีใจมาก พูดคำว่า ‘ดี’ ติดต่อกันห้าหกคำ กล่าวชมทั้งสองอย่างเต็มที่ บอกว่าหลังจากกลับมาแล้วจะตบรางวัลอย่างงาม ให้ทั้งสองพยายามอีกหน่อย ตอนการทดสอบจบลง เขาจะมารับทั้งสองด้วยตัวเอง!

ส่วนปานเยว่กงก็อ้าปากอีกครั้ง หมอกที่พ่นออกมาไปก่อนหน้านี้พัดม้วนกลับมาทันที ถูดูดกลับเข้ามาในท้องอีกครั้ง

รอจนกระทั่งอาการบาดเจ็บของหงเชียนเชียนคนแรกคงที่แล้ว เหมียวอี้ถึงได้พลิกฝ่ามือเก็บสมุนไพรเซียนซิงหัวในมือ ยังไม่รู้ชัดด้วยซ้ำว่าเป็นใคร เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสิ้นเปลืองสมุนไพรเซียนเพื่อช่วยรักษาให้หายดี เขาถามว่า “บอกมา เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงรู้จักชื่อข้า?”

เมื่อได้ยินเขาถามแบบนี้ พวกปานเยว่กงก็งุนงง

หงเชียนเชียนตัวปลอมที่นอนอยู่บนพื้นค่อยๆ ลืมตา จู่ๆ ก็มีพลังอิทธิฤทธิ์ลอยขึ้นมาบนตัว ทั้งร่างกายพลันเปลี่ยนไป เนื้อหนังบนใบหน้ากำลังเลื้อยขยุกขยิก เปลี่ยนเป็นผู้หญิงอีกคนในชั่วพริบตาเดียว เป็นแม่นางน้อยน่ารักที่เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายของวัยแรกแย้ม เพียงแต่หลังจากได้รับบาดเจ็บแล้วสีหน้าย่ำแย่มาก

ปานเยว่กงและฮูหยินมองหน้ากันอย่างประหลาดใจไม่หาย ทั้งสองก็เป็นปีศาจเหมือนกัน แต่เป็นครั้งแรกที่ตอนเปลี่ยนร่างก็สามารถตัดสินเค้าโครงของเจ้าได้แล้ว นั่นคือกายเนื้อที่มีโอกาสกะเทาะเปลือกครั้งเดียวในแดนฝึกตน กะเทาะเปลือกใหม่เพื่อให้ปั้นรูปได้ง่าย ก็เหมือนกับทองที่ถูกหลอมเข้าไปกำหนดรูปแบบที่แน่นอนครั้งสุดท้ายในเบ้าหลอม หล่อให้เป็นรูปอย่างไรก็จะหน้าตาเป็นอย่างนั้น ไม่มีโอกาสมาเสียใจทีหลัง เป็นหลักการเดียวกับที่คนเราไม่สามารถกลับไปเยาว์วัยได้อีกครั้ง

แต่คนตรงหน้ากลับเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา พบเห็นได้น้อยมากจริงๆ เรื่องแบบนี้สองสามีภรรยาเคยได้ยินมาก่อน แต่เพิ่งได้เห็นกับตาเป็นครั้งแรก

สวีถังหรานก็ย่อมเดาะลิ้นด้วยความทึ่งไม่หยุดอีกครั้ง

เหมียวอี้กลับขมวดคิ้วอีกครั้ง ขณะมองดูแม่นางน้อยโซเซลุกขึ้นมา ในใจก็รู้สึกสงสัย นี่คือโฉมหน้าเดิมของนางเหรอ?

“เจ้าเป็นใครกันแน่?” เขายังคงแน่ใจว่าตัวเองไม่รู้จักแม่นางน้อยคนนี้

แม่นางน้อยกัดฟันตอบว่า “ขุนนางสวรรค์ เจ้ากับข้าไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ไม่รู้จักกันมาก่อน ทำไมพวกเจ้าต้องทำร้ายข้า? ปล่อยข้าไปดีมั้ย!”

เหมียวอี้ไม่ใช่คนหูหนวก ก่อนหน้านี้ได้ยินปีศาจตนนี้ตะโกนชื่อตัวเองออกมาอย่างชัดเจน ทั้งยังบอกอีกว่าเจอตนแล้วซวยไปสิบแปดชาติ ตอนนี้กลับแกล้งทำเป็นไม่รู้จักงั้นเหรอ? เหมียวอี้เลิกคิ้ว แล้วเอียงหน้าบอกสวีถังหราน “ปีศาจตนนี้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของหงเชียนเชียน ต้องรับโทษร่วมกัน ลากไปประหาร!”

สวีถังหรานอ่านสายตาเขาออก เข้าใจสิ่งที่จะสื่อแล้ว จึงพยักหน้าตอบรับทันที “รับทราบ!”

สวีถังหรานก้าวเข้ามาบีบหลังคอของแม่นางน้อยดึงออกไป นางตกใจจนร้องโวยวายทันที “หนิวโหย่วเต๋อ ไอ้เวรเอ๊ย ถ้าเจ้ากล้าฆ่าข้าก็ลองดูสิ!”

เหมียวอี้ยกมือห้ามสวีถังหราน แล้วแสยะยิ้มถาม “ยังกล้าบอกอีกเหรอว่าไม่รู้จักข้า? บอกมา! เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงรู้จักข้า?”

แม่นางน้อยกล่าวอย่างเศร้าโศกว่า “ทำไมข้าดวงซวยอย่างนี้ ทำไมหนีไปไหนก็เจอแต่ไอ้เวรตะไลอย่างเจ้า เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครล่ะ? หลายร้อยปีก่อนเจ้าจับข้าที่ดาวไร้ลักษณ์ไปแลกกับร้านค้าจนร่ำรวยไงล่ะ ตอนนี้จะมาแกล้งโง่อะไรอีก!”

“…” เหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนเร็วมาก จ้องนางพร้อมถามอย่างตะลึงค้าง “เจ้า…เจ้าคือปีศาจจิ้งจอกพันหน้า สัตว์เลี้ยงวิญญาณของปี้เยว่ฮูหยินเหรอ?”

“เป็นข้าเอง! เจ้าฆ่าข้าสิ เจ้าเก่งนักก็ฆ่าข้าสิ!” สาวน้อยโวยวายอยู่อย่างนั้น

ปาดเหงื่อ! มือของสวีถังหรานที่กำลังบีบหลังคอนางราวกับโดนงูกัด พอได้ยินว่าเป็นสัตว์เลี้ยงวิญญาณของปี้เยว่ฮูหยินที่หนีไป เขาก็ตกใจจนรีบหดมือกลับมา

ที่ตลาดสวรรค์มีใครไม่รู้บ้างปี้เยว่ฮูหยินทั้งรักทั้งโอ๋สัตว์เลี้ยงวิญญาณตัวนี้เป็นพิเศษ มีคนตายไปมากมายเพราะสิ่งนี้ เขาย่อมไม่กล้าทารุณนางอีก คิดในใจว่าทำไมเจ้าหนิวโหย่วเต๋อมันชอบทำให้ตนตกหลุมพรางอยู่ตลอด ถ้าทำให้ปี้เยว่ฮูหยินกลายเป็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงคนที่สองขึ้นมา งั้นเขาก็แย่แล้วล่ะ

…………………………

[1] ตาข่ายสวรรค์ มาจากสำนวน 天网恢恢疏而不漏 ตาข่ายสวรรค์ ห่างแต่ไม่รั่ว อุปมาว่า สวรรค์มีความยุติธรรม ทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ

1021



บทที่ 1022 มาช้าอีกแล้ว

เมื่อเห็นปีศาจจิ้งจอกตนนี้ทำท่าไม่เต็มใจเหมือนได้รับความอยุติธรรมอย่างใหญ่หลวง เหมียวอี้ก็เอามือเกาศีรษะอย่างพูดไม่ออก ขนาดตัวเขาเองยังหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก จริงหรือโกหก นางโดนตนจับได้อีกแล้วเหรอ? เขาจึงบอกว่า “ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเปลี่ยนร่างเสียหน่อย จะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าพูดจริงหรือโกหก ถ้างั้นตอนนี้เจ้ากลับร่างเดิมให้ข้าดูหน่อยสิ” ที่จริงในใจเขาก็แน่ใจแล้ว คนที่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นคนอื่นได้ตามใจชอบ ก็คือลักษณะพิเศษของปีศาจจิ้งจอกพันหน้าตนนั้น

“ตอนนี้ข้าก็กลับร่างเดิมแล้วไง!” แม่นางน้อยเดินโซเซมาตรงหน้าเขา แล้วใช้นิ้วจิ้มตรงหน้าอกเขาไม่หยุด “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ามันก็ดีแต่รังแกผู้หญิง เจ้ามันคนเลว ทำไมเจ้าไม่ไปตายซะล่ะ! ชาติก่อนข้าไปติดค้างอะไรเจ้าไว้งั้นเหรอ? ข้าไปล่วงเกินเจ้าตรงไหน ทำไมเจ้าเอาแต่หาเรื่องข้า ขนาดข้าหนีมาที่นี่แล้ว หนีมาไกลขนาดนี้แล้ว เจ้าก็ยังตามมาอีก ถ้าเจ้าไม่จับข้าแล้วเจ้าจะตายหรือยังไง! ได้ร้านค้าไปแล้วยังไม่พอใจเหรอ ยังต้องการอะไรอีก? เจ้าแม่งเป็นดาวอริของดวงชะตาข้าจริงๆ!” นางออกแรงใช้สองมือผลักเหมียวอี้ ท่าทางโมโหมาก

แต่ท่าทางอ่อนปวกเปียกของนาง จะผลักเหมียวอี้ขยับได้ยังไง ต่อให้ไม่ได้กำลังอ่อนเพลีย แต่วรยุทธ์ของนางก็ไม่สูงพอให้เหมียวอี้ชายตาแลด้วยซ้ำ เหมียวอี้ยื่นมือไปผลัก ทำให้นางโซเซไปอีกข้าง “ขี้คร้านจะสนใจเจ้า!”

พูดจบก็เดินไปตรงหน้าหงเชียนเชียน แล้วจับเข้ากระเป๋าสัตว์เสียเลย จับนักโทษหลบหนีได้อีกคนแล้ว จากนั้นก็หันกลับมาตะคอกถามอีกว่า “ปีศาจจิ้งจอกพันหน้า แล้วเจ้าจะไปที่ไหน?”

แม่นางน้อยที่เดินโซเซไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา เอาแต่เดินหน้าต่อไป เพียงตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้าบอกว่าขี้คร้านจะสนใจข้า ถ้าข้าไม่ไปแล้วจะให้ทำอะไร!”

เหมียวอี้ถลันตัวเข้าไป ใช้มือข้างหนึ่งบีบหลังคอนางอีกครั้ง พร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “ปี้เยว่ฮูหยินกำลังตามหาเจ้าไปทั่ว ในเมื่อเจอตัวเจ้าแล้ว ก็ย่อมต้องนำเจ้ากลับไปสิ”

พอได้ยินแบบนี้ แม่นางน้อยก็ห่อเหี่ยวทันที ทำท่าเหมือนอยากจะร้องไห้ กล่าววิงวอนว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าไม่รู้จักจบจักสิ้นใช่มั้ย เอาแต่จับตัวละครเล็กๆ อย่างข้าสนุกนักเหรอ ปล่อยข้าไปได้มั้ย?”

เหมียวอี้ “นั่นไม่ได้หรอก ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิด ข้าจะจับเจ้ากลับไปเพื่อเอารางวัล แล้วอีกอย่าง ข้าเองก็หวังดีกับเจ้า อยู่ข้างกายปี้เยว่ฮูหยินเจ้าไม่ขาดทรัพยากรฝึกตนแน่ ด้วยวรยุทธ์อย่างเจ้า ปี้เยว่ฮูหยินต้องดูแลทั่วถึงแน่ ข้าจะพาเจ้ากลับไปเสพสุข ดีกว่าหลบอยู่ที่นี่หรอกน่า”

“เจ้าจะไปรู้บ้าอะไรล่ะ!” แม่นางน้อยดิ้นรนหันตัวกลับมา แล้วเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าจะบอกความลับเจ้าอย่างหนึ่ง เจ้ารู้มั้ยว่าทำไมข้าไม่อยากกลับไป?”

สำหรับเรื่องนี้ เหมียวอี้ก็กำลังแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมปีศาจตนนี้มีวาสนาแต่ไม่ยอมเสพ ปีศาจเล็กๆ ทั่วไปต่อให้อยากเป็นสัตว์เลี้ยงวิญญาณของปี้เยว่ฮูหยินก็ยังไม่มีโอกาสเลย ปีศาจจิ้งจอกพันหน้ามีความสุขอยู่รอบกาย แต่กลับไม่รู้ว่านั่นคือความสุข ฟังจากคำพูดแล้วเหมือนจะมีเรื่องอื่นปิดบังอยู่? ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ทำไมล่ะ?”

แม่นางน้อยถ่ายทอดเสียงตอบ “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าทำไมปี้เยว่ฮูหยินถึงเลี้ยงข้าเป็นสัตว์เลี้ยงวิญญาณ นางเป็นคนวิปริต! สามีของนางเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ ฐานะสูงส่ง ข้างกายมีสาวงามมากมายดุจเมฆ ต้องรอหลายปีกว่าจะกลับมาหานางสักครั้ง ไม่ได้แตะต้องนางมานานแล้ว ผลก็คือตอนที่นางเหงาจนทนไม่ไหว นางก็บังคับให้ข้าแปลงร่างเป็นผู้ชายของตัวเอง ตอนแรกก็ยังดีๆ อยู่ ให้ข้าเปลี่ยนร่างเป็นผู้ชายของนางเท่านั้น ข้าเองก็เข้าใจความรู้สึกของนางเหมือนกันตอนหลัง…ตอนหลังก็อยากเปลี่ยนรสชาติแล้ว ยิ่งนับวันก็จะยิ่งทำเกินไป ทำจนข้าอยากจะอ้วก บังคับให้ข้าเปลี่ยนร่างเป็นผู้ชายแบบต่างๆ นางอยากได้ผู้ชายแบบไหน ข้าก็เปลี่ยนร่างเป็นผู้ชายแบบนั้นแล้วนอนกับนาง เจ้ารู้หรือเปล่าว่าน่าสะอิดสะเอียนขนาดไหน ข้าอยากจะอาเจียนทุกรอบ ถ้าข้ากลายเป็นผู้หญิงแก่ที่ไร้คนต้องการ แล้วต้องเอาแต่กลายร่างเป็นผู้ชายเพื่อทำเรื่องอย่างนั้นกับนางล่ะ ข้าทนมามากแล้วจริงๆ นะ! หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าเห็นใจข้าหน่อยได้มั้ย เจ้าควรจะสงสารข้าสักหน่อยสิ ปล่อยข้าไปได้มั้ย? ข้ารับนางไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปข้าก็คงกลายเป็นคนวิปริตเหมือนกัน!”

เหมียวอี้อ้าปากกว้างมาก ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าบรรยายภาพได้ ‘งดงามเกินไป’ แล้ว เขาถึงขนาดไม่กล้าคิดต่อ ในใจเหงื่อแตกราวกับฝนตก นับว่าเขาใจแล้วว่าทำไมปี้เยว่ฮูหยินถึงตัดใจทิ้งปีศาจจิ้งจอกตัวนี้ไม่ได้ ทุกๆ ครั้งจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อตามหานางกลับมา ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า สงสัยจะเป็นเพราะปีศาจจิ้งจอกพันหน้ายังมีบทบาทที่พิลึกแบบนี้อยู่

พอลองคิดเยอะกว่านี้ เขาก็อยากจะอาเจียนเหมือนกัน จึงไอแห้งๆ สองครั้งแล้วบอกว่า “ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น อย่างมากครั้งหน้าถ้าเจ้าหนีไปอีก ก็อย่าให้ข้าตามเจอแล้วกัน!”

“ปู่เจ้าสิ เจ้าคิดว่าข้าอยากจะให้เจ้าเจอรึไงล่ะ!” ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าเหมือนกำลังจะประสาทเสีย สุดท้ายก็พูดจาให้แตกคอกันเสียเลย ทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าต้องคิดให้ดีนะ ตอนนี้เจ้ารู้ความลับสำคัญของปี้เยว่แล้ว ขอแค่ข้ากลับไปบอกครั้งเดียว ปี้เยว่ฮูหยินต้องไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ ข้าแนะนำว่าเจ้าปล่อยข้าไปดีกว่า!”

“หึหึ!” เหมียวอี้รู้สึกบันเทิงแล้ว จึงพูดหยอกล้อว่า “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเจ้ากลับไปก็เชิญพูดได้เลย เจ้าพูดเลยว่าเจ้าเอาเรื่องเน่าเหม็นของนางมาป่าวประกาศให้คนรู้กันหมดแล้ว คอยดูแล้วกันว่าคนที่ซวยจะเป็นเจ้าหรือเป็นข้า แล้วอีกอย่าง การที่ข้าสามารถส่งเจ้ากลับไปได้ นั่นก็เพียงพอที่จะอธิบายแล้วว่าข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน  ไม่อย่างนั้นข้าจะกล้าส่งเจ้ากลับไปได้ยังไง ถึงยังไงข้าก็มีโค่วเหวินหลานหนุนหลัง ปี้เยว่ฮูหยินคงไม่กล้าทำอะไรข้าเหมือนกัน เจ้าว่ามั้ยล่ะ?”

แม่นางน้อยอ้าปากค้างพูดไม่ออก พบว่าการข่มขู่ของตัวเองไม่ได้ผล

“ปีศาจเล็กๆ อย่างเจ้าน่ะ เล่นมุกนี้ต่อหน้าข้านับว่าอ่อนหัดไปหน่อย กลับไปกับข้าแต่โดยดีก็พอแล้ว!” เหมียวอี้แสยะยิ้มแล้วรีบลงมือจี้สกัดจุดวรยุทธ์ของนาง กำลังจะเก็บนางแล้ว

“เดี๋ยวก่อน!” ปีศาจจิ้งจอกพันหน้ารีบพูดห้าม ถามอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “เจ้าจับข้าไปก็พอแล้ว แต่เจ้าปล่อยหงเชียนเชียนไปได้มั้ย?”

เหมียวอี้ได้ยินแล้วแปลกใจ “เมื่อครู่นางเพิ่งใช้ประโยชน์จากเจ้าชัดๆ ผลักเจ้าให้มาหาที่ตาย ตัวเองจะได้หนีสะดวก เจ้าไม่แค้นนางเหรอ?”

“เห้อ!” ปีศาจจิ้งจอกพันหน้ากลอกตามองบน แล้วจู่ๆ ก็ถอนหายใจ “ที่นางตกอยู่ในสภาพอย่างทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะโดนข้าทำร้ายนี่แหละ ในปีนั้นเป็นเพราะข้าไปบอกเล่าความทุกข์ในใจให้นางฟัง บอกสิ่งที่ไม่ควรบอกให้นางรู้ สิ่งเดียวกับที่บอกเจ้าวันนี้นี่แหละ ทำให้ปี้เยว่ฮูหยินสงสัย ภายใต้การทดสอบหยั่งเชิงของปี้เยว่ นางย่อมรู้ตัวว่าอยู่ที่ตลาดสวรรค์ต่อไปไม่ได้แล้ว กลัวว่าอยู่ต่อแล้วจะโดนฆ่าปิดปาก ก็เลยขายร้านค้าแล้วหนีมา ไม่อย่างนั้นนางจะทิ้งร้านค้าดีๆ ที่ตลาดสวรรค์มาเป็นนักโทษหลบหนีทำไม”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! งั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องขายร้านค้าให้ผู้ซื้อพร้อมกันตั้งยี่สิบกว่าคนนี่นา?”

“จะต้องทิ้งทรัพย์สินที่เอาไว้ทำมาหากินแล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้าก็คงอยากจะกอบโกยสักหน่อยเหมือนกัน”

“ขออภัยนะ เรื่องนี้ข้าช่วยเหลือเจ้าไม่ได้ ที่นี่ยังมีคนอื่นดูอยู่ด้วย แล้วอีกอย่าง ถ้าข้าปล่อยนางไป กลับไปข้าก็ต้องปล่อยเจ้าด้วย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวพอเจ้ากลับไปอยู่ต่อหน้าปี้เยว่ฮูหยิน…เจ้าก็จะนำเรื่องนี้มาขู่ข้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าได้เหรอ?” เหมียวอี้เคาะศีรษะนาง “ปีศาจน้อย เจ้ายังห่างชั้นเกินไปที่จะมาเล่นลูกไม้นี้ต่อหน้าข้า!”

ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าถลึงตาถามเขา “เจ้าคิดมากเกินไปแล้วมั้ง?”

“ความคิดของข้าเรียบง่ายจริงๆ เจ้ามีเป้าหมายคือการหลบหนี ข้าคิดไปในทางนี้ก็ไม่ผิดหรอก”

เหมียวอี้พูดจบแล้วก็ไม่ยอมให้นางเถียง จัดการเก็บนางโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นก็หันตัวเดินกลับมาหาพวกปานเยว่กง “ไปกันเถอะ! ไปหาเป้าหมายต่อไปที่ดาวกระดูกหยก”

หลังจากพวกเขาออกไปจากที่นี่ได้ไม่กี่ชั่วยาม ก็มีคนอีกกลุ่มปรากฏตัวที่น่านฟ้าผืนนี้ ขณะที่ตัวอยู่บนฟ้าก็สามารถมองเห็นร่องรอยภูเขาที่พังทลายได้ง่ายมาก

เยี่ยนจื่อเกอจ้องมองเบื้องล่างครู่หนึ่ง หยิบรายชื่อนักโทษเก้าคนออกมา หลังจากดูแผนที่ที่เกี่ยวข้องกับที่ซ่อนตัวของหงเชียนเชียนแล้ว ก็กล่าวเสียงเครียดว่า “พิกัดที่เป้าหมายอยู่ก็คือหุบเขาข้างหน้านี้ ข้างล่างเคยเกิดการต่อสู้มาก่อน อย่าบอกนะว่าพวกเขาทำสำเร็จเร็วขนาดนี้ พวกเราช้าไปก้าวหนึ่งอีกแล้วเหรอ? ออกไปค้นหาให้ทั่วหุบเขาสี่คน!”

เฉิงจวินซิ่นพาคนอีกสามคนเหาะไปยังหุบเขาทางนั้นทันที แล้วก็แยกกันค้นหาที่หุบเขาสองฝั่ง

ส่วนเยี่ยนจื่อเกอก็พาอีกสามคนลงไปค้นหาตรงที่ภูเขาถล่มลงมา

ผ่านไปไม่นาน เฉิงจวินซิ่นก็หาจุดที่ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าโดนโจมตีจนกระอักเลือดพบ หินก้อนใหญ่ที่โดนชนพังสังเกตเห็นได้ชัดเจนมาก และเขาก็เชี่ยวชาญในการแยกแยะรอยเลือด แตะรอยเลือดแห้งที่อยู่บนพื้นมาดมอีกครั้ง แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เรียกเสียงดังว่า “ผู้บัญชาการเยี่ยน”

เยี่ยนจื่อเกอนำคนเหาะไปทันที พอเหยียบลงพื้นก็กวาดตามองสภาพของพื้นที่ตรงนี้ แล้วถามว่า “มองอะไรออกบ้างหรือเปล่า?”

เฉิงจวินซิ่นแสดงรอยเลือดบนเล็บที่ขูดมาจากพื้น พร้อมบอกว่า “ไม่ผิดแน่ ที่คือรอยเลือดของปีศาจจิ้งจอก คนพวกนั้นน่าจะทำสำเร็จอีกแล้ว”

“เจ้าสองคนนั้นมันเก่งใช้ได้เลยนะ” เยี่ยนจื่อเกอกล่าวด้วยความทึ่ง แล้วหันกลับมาถามอีกว่า “มู่หรง หาเป้าหมายได้แม่นยำรวดเร็วครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ มันไม่ธรรมดาแล้วนะ ถ้าครั้งเดียวยังพอพูดได้ว่าโชคดี แต่ถ้าสองครั้งติดต่อกันก็เริ่มแปลกแล้ว เพื่อนร่วมงานสองคนนั้นของพวกเจ้ามีความสามารถพิเศษอะไรหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยแค่สิ่งที่แสดงบนรายชื่อนักโทษเก้าคน ก็คงไม่มีทางพบเป้าหมายได้แม่นยำรวดเร็วขนาดนี้หรอก ถึงอย่างไรเป้าหมายก็ยังไม่ตาย”

มู่หรงซิงหัวครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าบอกว่า “จากที่รู้จักกันมาหลายปี ก็ไม่ได้ยินว่าพวกเขาสองคนมีความสามารถพิเศษอะไรนะ”

หยางไท่พูดเสริมอีกว่า “ถ้าจะบอกว่ามีความสามารถพิเศษอะไรสักอย่าง บนตัวหนิวโหย่วเต๋อก็มีเกราะรบผลึกแดงระดับสูงชุดหนึ่ง แล้วก็มีผู้ช่วยเพิ่มมาอีกสองคน ไม่รู้ว่าจัดเป็นความสามารถพิเศษอย่างที่ผู้บัญชาการเยี่ยนบอกหรือเปล่า”

“บนตัวหนิวโหย่วเต๋อนั่นมีเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงชุดหนึ่ง!” เยี่ยนจื่อเกอตาเป็นประกาย “เขาเอามาจากไหน?”

“ไม่รู้เหมือนกัน!” หยางไท่ส่ายหน้า

เยี่ยนจื่อเกอเอามือลูบคางพลางคิดเพ้อฝันอยู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบเก้ารายชื่อในมือออกมาอีก ขณะที่ตรวจอ่านก็กล่าวอย่างลังเลว่า “เป้าหมายต่อไปเริ่มยุ่งยากแล้ว มีนักพรตบงกชทองขั้นห้าสองคน ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาจะไปหาเป้าหมายไหนก่อนหลัง”

หยางไท่เสนอความเห็นอีกครั้ง “นักพรตบงกชทองขั้นห้าสองคนถัดไป คนหนึ่งเป็นโจรปล้น อีกคนเป็นโจรที่แอบเก็บผลไม้เซียนของตำหนักสวรรค์ไว้ครอบครองเอง ถ้ามองจากมุมเรื่องความยากง่าย คนที่กล้าเป็นโจนปล้นน่าจะมีความสามารถมากกว่า ดังนั้นเป็นไปได้สูงว่าพวกหนิวโหย่วเต๋อจะไปจับโจรที่ดาวกระดูกหยกก่อน อีกทั้งเมื่อเทียบกันแล้ว ดาวกระดูกหยกก็อยู่ใกล้กับที่นี่มากกว่า”

มีบางคนรับไม่ได้กับคนที่ทรยศเพื่อนร่วมงานแต่ยังพูดจาเหมือนมีหลักการแบบเขา ผู้บัญชาการหันเฉาเฟิ่งถามอย่างเหน็บแนมนิดหน่อยว่า “ถ้าเจ้าเดาผิดจะทำยังไง?”

หยางไท่กุมหมัดคารวะ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เดาผิดแล้วก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรหนิวโหย่วเต๋อก็ต้องไปหาเป้าหมายอีกคนในไม่ช้าก็เร็ว พวกเรารอซ้ำยามอ่อนแอก็ได้นี่ รอให้พวกเขามาหาถึงที่ จะได้ไม่ต้องคอยตามหลังพวกเขา”

หันเฉาเฟิ่งกลอกตามองบน ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวา อีกฝ่ายก็พูดได้อย่างมีเหตุผลทั้งนั้น

เยี่ยนจื่อเกอกลับพยักหน้าเห็นด้วย “พูดจามีเหตุผล ไปกันเถอะ! อย่าให้ชักช้าเสียการเสียงาน ไปดูที่ดาวกระดูกหยก”

คนในกลุ่มพุ่งขึ้นฟ้าตามกันไปทันที

ดาวกระดูกหยก สถานที่เป็นเหมือนชื่อ ดาวเคราะห์ทั้งดวงมีแต่หินหยก มีต้นไม้บางตา อากาศก็เบาบางเช่นกัน ทั่วทุกด้านดูค่อนข้างรกร้างว่างเปล่า

สำหรับพวกเหมียวอี้ที่มาถึงสถานที่เป้าหมายแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญเลย ที่สำคัญคือนกที่ตื่นเช้าจะได้หนอนตัวใหญ่ก่อน มีคนมาจับเป้าหมายที่พวกเขาต้องการจะจับก่อนแล้ว พวกเขายืนอยู่บนเนินเขาสูง มองเห็นการต่อสู้ของสองฝั่งที่มีจำนวนคนต่างกันจบลงกับตาตัวเอง นักโทษที่แอบเก็บผลไม้เซียนของตำหนักสวรรค์โดนโจมตีสาหัสและโดนจับตัวไปแล้ว

ส่วนกระบวนทัพของฝ่ายผู้จับกุมก็ยิ่งใหญ่มาก มีกันเป็นร้อยคน ภูตผีมารปีศาจล้วนมีหมด แค่มองดูการแต่งตัวที่แปลกประหลาด ก็รู้แล้วว่าส่วนใหญ่ไม่ใช่คนของตำหนักสวรรค์ แต่กลับมีผู้บัญชาการหลายคนของตำหนักสวรรค์เป็นหัวหน้า เหมียวอี้เคยเจอผู้บัญชาการพวกนั้นมาก่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาหาผู้ช่วยมาจากไหนมากมาย กระบวนทัพจับกุมที่ใหญ่ขนาดนี้ เพียงพอที่จะแสดงพลานุภาพของตำหนักสวรรค์แล้ว!


1022


บทที่ 1023 กลางแนวสร้อยไข่มุกเก้าขุนเขา

จากตัวของพวกเขา เหมียวอี้ก็มองออกเช่นกันว่าโค่วเหวินหลานไร้อำนาจที่ตระกูลโค่วจริงๆ ไม่อย่างนั้นตามหลักการแล้ว หลานชายของอ๋องสวรรค์โค่วควรจะสามารถใช้ทรัพยากรได้เยอะมากสิถึงจะถูก ตอนนี้พอลองเปรียบเทียบกัน โค่วเหวินหลานสามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างจำกัดจริงๆ คาดว่าของวิเศษสี่ชุดที่ให้พวกเขาไว้ก่อนหน้านี้ก็คงจะได้มาอย่างยากลำบากเหมือนกัน

พอลองดูคนอื่นๆ นอกจากกำลังคนช่วยเหลือเป็นร้อยแล้ว สัตว์เทพที่ผู้บัญชาการพวกนั้นขี่ก็ห้าวหาญมีพละกำลังไม่ธรรมดาเหมือนกัน นอกจากเกราะรบผลึกแดง ชายหนุ่มเครายาวที่เป็นหัวหน้าก็ยิ่งเหมือนกับเหมียวอี้ สวมเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงทั้งตัว

อีกฝ่ายสังเกตเห็นพวกเขาแล้วเหมือนกัน โชคดีที่ชายไว้หนวดคนนั้นแค่เหลือบมองมาทางนี้ด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตรแวบเดียว แล้วก็ไม่ได้ทำอะไร เหมือนกำลังรีบทำเวลา พออีกฝ่ายโบกมือ ก็นำกำลังพลเหาะพุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

ปานเยว่กงเองก็พอจะมองอะไรออกแล้วเหมือนกัน เขาแอบรู้สึกแปลกใจ ว่าทำไมหลานชายของอ๋องสวรรค์โค่วถึงจัดเตรียมผู้ช่วยมาแค่นี้ แต่ก็เก็บไว้ในใจไม่ได้พูดออกมา

เมื่อเห็นคนพวกนั้นไปแล้ว สวีถังหรานถึงได้แอบถอนหายใจ กลัวว่าคนพวกนั้นจะเล่นไม่ซื่อ

หลังจากเหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก็บอกทุกคนว่า “พวกเราก็ต้องรีบทำเวลาเหมือนกัน แย่งเป้าหมายที่ถัดไปมาไว้ในมือให้ได้ก่อน”

เมื่อพวกเขาไปแล้ว พวกเยี่ยนจื่อเกอที่ตามหลังมาตลอดก็มาถึงแล้วเหมือนกัน พอมาดูสถานที่เกิดเหตุ ก็เห็นภูเขาถล่มพื้นดินทลาย ร่องรอยการต่อสู้ชัดเจนเกินไป ทำให้เข้าใจผิดทันที

“นี่ไม่ใช่ความบังเอิญแน่นอน คนกลุ่มนั้นต้องมีวิธีการอะไรสักอย่างที่ทำให้พบเป้าหมายได้เร็วแน่นอน!” เยี่ยนจื่อเกออุทานอย่างตกตะลึง

มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่สบตากันแวบหนึ่ง พูดได้อีกอย่างว่า เจ้าสองคนนั้นจับตัวนักโทษหลบหนีได้สามคนแล้ว คนหนึ่งพันคนตามจับคนหนึ่งร้อยคน ถ้าสามารถจับได้สามคน เมื่อดูจากอัตราส่วนเปรียบเทียบก็นับว่าไม่แย่แล้ว ความรู้สึกของทั้งสองซับซ้อนวุ่นวาย นึกไม่ถึงว่าพอพวกหนิวโหย่วเต๋อแยกกับพวกเขาแล้ว ก็ยังจัดการได้ไม่พลาดเหมือนเดิม

บอกไม่ถูกเลยว่าในใจของมู่หรงซิงหัวมีรสชาติเป็นย่างไร นางมองเห็นข้อเปรียบเทียบแล้ว พวกหนิวโหย่วเต๋อพึ่งพาตัวเองเก่ง พวกเขาจะไม่รู้จักอันตรายเลยเชียวเหรอ? ทว่าพวกเขาไม่พร่ำบ่นว่าสภาพสังคมทำให้ลำบาก ไม่ยอมจำนนง่ายๆ แต่กล้าไปเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ

“ไป! ไล่ตามพวกเขาไป ตอนนี้ในมือพวกเขามีนักโทษหลบหนีสามคนแล้ว!” เยี่ยนจื่อเกอตะโกนบอกเสียงดัง แล้วพาสมาชิกในกลุ่มไล่ตามโจมตีอย่างสุดกำลัง

สำหรับพวกเหมียวอี้ที่หาเป้าหมายใหม่พบ พวกเขารู้สึกสะเทือนใจนิดหน่อย เพราะยอดเขาหลายลูกที่อยู่ตรงหน้าพังทลาย ยุ่งเหยิงเรี่ยราดเป็นแถบ มีบางแห่งที่โดนไฟไหม้ยังไม่ทันมอด จะเห็นได้ว่ามีการต่อสู้ดุเดือดขนาดไหนก่อนที่พวกเขาจะมาถึง พวกเขายืนเงียบกริบอยู่ท่ามกลางภูเขาที่พลิกถล่มระเกะระกะ โดนคนอื่นแย่งไปก่อนอีกแล้ว

ไม่ว่าเป้าหมายจะถูกจับไปแล้วหรือไม่ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่แน่ใจได้ นั่นก็คือเป้าหมายไม่อยู่แล้ว ตกใจหนีไปเรียบร้อยแล้ว

ปานเยว่กงและฮูหยินแอบตกใจไม่หาย ตำหนักสวรรค์แค่ไม่ลงมือเท่านั้นเอง ยามจะลงมือทีก็เรียกได้ว่าแย่งกันมา ขนาดฝ่ายนี้รีบตามมายังหาโอกาสลงมือไม่ได้เลย ทั้งสองค่อนข้างรู้สึกโชคดีที่ตัวเองหนีออกจากป่าลืมทุกข์มากแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รู้ว่าจะมีจุดจบอย่างไร

เหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ทุกคนวิ่งไปนั่นมานี่ไม่หยุด ยังไม่ได้ตั้งใจพักผ่อนปรับปรุงกำลังให้ดีเลย ข้าว่าสภาพแวดล้อมที่นี่ก็นับพอใช้ได้ หาที่ลับแถวๆ นี้ฟื้นฟูกำลังวังชาสักหน่อยเถอะ”

ปานเยว่กงและฮูหยินไม่มีความเห็นแย้งอะไร สวีถังหรานก็บอกว่าดี พวกเขาจึงรีบไปพักตรงจุดลับตาคนบนภูเขาสูงที่ห่างออกไปสิบกว่าลี้

ใครจะคิดว่าเพิ่งจะพักได้ไม่นานเท่าไร ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเหาะผ่านศีรษะไปอย่างรวดเร็วแล้ว

“เป็นพวกมู่หรงซิงหัว” สวีถังหรานที่ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองสำรวจขมวดคิ้ว “มารดาเจ้าเถอะ สุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นั้นนำรายชื่อนักโทษเก้าคนในมือให้คนกลุ่มนั้นไปแล้ว”

เหมียวอี้และคนอื่นๆ ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองดูพวกเยี่ยนจื่อเกอที่กำลังสำรวจบริเวณที่ภูเขาถล่ม

ผ่านไปครู่เดียว ก็เห็นพวกเยี่ยนจื่อเกอรีบเหาะขึ้นฟ้าออกไปอีก พวกเขาออกไปแล้ว

ฝั่งนี้ก็ไม่ได้มองว่าสำคัญอะไร ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าผู้ที่มาพุ่งเป้ามาที่พวกเขา กลับเป็นสวีถังหรานที่เชิญเหมียวอี้มาคุยเป็นการส่วนตัว “น้องหนิว สถานการณ์ค่อนข้างไม่ชอบมาพากลนะ!”

“เจ้าหมายถึงในด้านไหน?” เหมียวอี้ถาม

สวีถังหราน “พวกเราโดนคนอื่นตัดหน้าพร้อมติดต่อกันสองที่แล้วนะ ชัดเจนมาก ทุกคนต่างก็มีช่องทางของตัวเอง แต่นักโทษหลบหนีมีจำนวนอยู่เท่านั้น ข้อมูลที่ทุกคนได้รับจะต้องซ้ำกันไม่น้อยแน่ โดนคนอื่นชิงตัดหน้าไปสองครั้งติดต่อกันก็คือเครื่องพิสูจน์”

“เจ้าอยากจะพูดอะไร?” เหมียวอี้มองเขาศีรษะจดเท้า

สวีถังหรานตอบว่า “ตอนนี้เป็นเวลาที่การทดสอบเพิ่งเริ่มต้น และเป็นเวลาที่ดุเดือดที่สุดในการจับตัวนักโทษหลบหนี กำลังคนของกลุ่มก่อนหน้าเป็นยังไงเจ้าก็เห็นแล้ว อีกฝ่ายมีกันร้อยกว่าคน นี่ยังไม่รู้เลยว่ากลุ่มอื่นมีกำลังคนเป็นยังไง สถานการณ์ที่ดุเดือดขนาดนี้ ถ้าปะทะหน้าตรงๆ จะเกิดเรื่องได้ง่ายมาก จุดสำคัญคือพวกเรามีคนน้อย กำลังไม่เข้มแข็งพอ ในสายตาของฝ่ายอื่น เราคือเป้าหมายในการแย่งชิง ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะอันตรายมาก ถ้าเดินทางตอนกลางคืนเยอะ ก็มักจะเจอผีบ่อย จะต้องเจอคนที่มีเจตนาไม่ดีเข้าสักวัน ก่อนจะมาผู้บัญชาการใหญ่ก็บอกเป็นนัยไว้อย่างชัดเจนมากแล้ว ขอเพียงสามารถทำคะแนนให้ดี เวลาที่จำเป็นก็สามารถแย่งคนมาจากมือคนอื่นได้ ขนาดผู้บัญชาการใหญ่ยังวางแผนแบบนี้ แล้วทำไมคนอื่นจะวางแผนแบบนี้บ้างไม่ได้?”

“แต่ยังไงต่อ?” เหมียวอี้ถาม

สวีถังหรานบอกว่า “สถานการณ์ก็เห็นๆ กันอยู่ ตอนแรกที่ทุคนยังสามารถจับนักโทษหลบหนีพวกนั้นได้ก็ยังดีหน่อย ถ้าเวลานานไป ควรที่ควรจะโดนจับก็โดนจับไปพอสมควรแล้ว เป็นช่วงที่มีปลาหลุดลอดแหไปไม่เยอะ ไปทางทิศไหนก็หาไม่เจอ การปะทะหน้ากันก็คือจุดเริ่มต้นในการแย่งชิงกัน สถานการณ์แบบนี้ไม่ดีสำหรับพวกเรา ดังนั้นข้าแนะนำให้หลบคมดาวชั่วคราว พวกเราควรหาที่ซ่อนเพื่อรักษาพลังก่อน รอให้พวกเขาเข่นฆ่ากันเองไปพอสมควรแล้ว ตอนพวกเราโผล่ไปอีกรอบก็จะเสี่ยงอันตรายน้อยลงเยอะเลย เจ้าคิดว่ายังไง?”

เหมียวอี้ย่อมรู้ว่าเจ้าหมอนี่กลัวตาย อ้างเหตุผลมากมายก็เพราะอยากจะซ่อนตัวเท่านั้น แต่บนโลกนี้มีใครไม่กลัวตายบ้างล่ะ? แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่สวีถังหรานพูดมีเหตุผล สถานการณ์เป็นแบบนี้จริงๆ ตอนเจอกลุ่มที่มีกำลังคนร้อยกว่าคน แถมตัวเองยังมาทีหลังจนคว้าน้ำเหลว เขาก็เริ่มไตร่ตรองถึงปัญหานี้แล้ว ถ้ายังหาต่อไปก็เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเหมือนสองครั้งก่อนหน้านี้ เป็นไปได้ว่ายังจะคว้าน้ำเหลวเหมือนเดิม

ดังนั้นเขาก็ไตร่ตรองแล้วว่าหาที่ซ่อนตัวเพื่อฝึกตนก่อนดีกว่า เวลาในการทดสอบมีเป็นร้อยปี หลังจากเขาวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นหนึ่ง ความเร็วในการย่อยยาแก่นเซียนก็เพิ่มขึ้นหนึ่งเท่า ในแต่ละวันสามารถย่อยได้หนึ่งร้อยยาแก่นเซียนเม็ด และการจะบรรลุถึงระดับบงกชทองขั้นสอง ก็จะต้องใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำอีกประมาณหนึ่งแสนสี่หมื่นล้านลูก หรือพูดได้อีอย่างว่าต้องใช้เวลาอีกเกือบห้าสิบปีกว่าจะบรรลุวรยุทธ์ได้ ที่จริงหลังจากบรรลุระดับบงกชทองแล้ว เขาก็ฝึกตนมาหลายปีเหมือนกัน ถ้าฝึกอีกประมาณสี่สิบปีก็จะบรรลุวรยุทธ์ได้แล้ว

พอลองคำนวณดูแล้ว ถ้าออกมาอีกครั้งหลังจากบรรลุระดับบงกชทองขั้นสอง ก็ยังพอมีเวลาทำงานเหลือเฟือ แถมเมื่อวรยุทธ์สูงขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องตัวเองหรือการทำงานนี้ก็ล้วนสะดวกทั้งนั้น

ตอนนี้เมื่อได้ฟังคำพูดของสวีถังหราน เขาก็เหมือนหาบันไดลงได้พอดี “ที่พี่สวีพูดก็มีเหตุผล ทำตามที่พี่สวีบอกก็แล้วกัน”

สวีถังหรานดีใจมาก กุมหมัดกล่าวว่า “น้องหนิวช่างมองเห็นอะไรทะลุปรุโปร่ง! งั้นเดี๋ยวพวกเราค่อยปรึกษากันว่าจะไปซ่อนตัวที่ไหน”

“ไปดาวสองขั้วแล้วกัน” เหมียวอี้ให้คำตอบไปเสียเลย

“ทำไมต้องไปดาวสองขั้ว?” สวีถังหรานงุนงง

“นั่นคือดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดของสถานที่ไร้ชีวิต น่ามีที่ให้ซ่อนตัวเยอะหน่อย” เหมียวอี้หาข้ออ้างพูดไปส่งเดช ที่จริงเขาอยากจะถือโอกาสหามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินมาไว้ในมือ

สวีถังหรานอึดอัดใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่สนใจ ขอแค่ได้ซ่อนตัวไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายก็พอแล้ว…

ดาวสองขั้ว ดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดของสถานที่ไร้ชีวิต ที่เรียกว่าสองขั้วก็หมายถึงขั้วน้ำแข็งกับขั้วร้อน

ตอนที่อยู่บนท้องฟ้าและยังไม่ได้เข้าไปในดาวสองขั้ว ก็จะเห็นบนดาวเคราะห์ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะมีจุดเล็กๆ หนานแน่นนับไม่ถ้วนเต็มไปหมด ที่จริงจุดเหล่านั้นคือภูเขาไฟที่มีพลังจำนวนนับไม่ถ้วน และมีเพียงบริเวณจุดเชื่อมต่อของภูเขาไฟและหิมะเท่านั้น ที่สามารถมองเห็นสีเขียวได้ มันจึงกลายเป็นเรื่องปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง สามารถมองเห็นป่าไม้เขียวชอุ่มอยู่รอบๆ ภูเขาไฟมากมาย ตอนที่มองลงมาจากท้องฟ้า ป่าไม้ล้วนมีลักษณะเป็นรูปวงกลม

“น้องหนิว เจ้ากำลังหาอะไร?”

สวีถังหรานแปลกใจนิดหน่อน หลังจากมาที่ดาวสองขั้วแล้ว เหมียวอี้ก็พาทุกคนเหาะไปทั่วทุกที่ไม่หยุด

“หาที่เหมาะๆ เพื่อหลบซ่อนตัว” เหมียวอี้ตอบ

“ข้าว่าหุบเขาน้ำแข็งที่เพิ่งผ่านมาก็เหมาะอยู่นะ” สวีถังหรานเสนอความเห็น

“สะดุดตาเกินไปแล้วมั้ง” เหมียวอี้เถียงกลับทันที

สะดุดตา? สะดุดตาตรงไหน? สวีถังหรานพูดไม่ออก พึมพำในใจว่า ก็ได้ งั้นเจ้าก็หาที่ที่ไม่สะดุดตาไปสิ ตราบใดที่ไม่ต้องไปต่อสู้เข่นฆ่าก็พอแล้ว ขอเพียงรักษาชีวิตกลับไปเสพสุขความร่ำรวยได้ก็พอแล้ว เจ้าอยากจะทำยังไงก็ทำไปเถอะ

หลังจากนั้นหลายวัน เหมียวอี้ก็ยังพาพวกเขาวนรอบเหมือนเดิม แม้แต่ปานเยว่กงและฮูหยินก็ยังสงสัยในใจ เจ้าหมอนี่กำลังหาสถานที่ซ่อนตัวแบบไหนกันแน่?

จนกระทั่งสิบกว่าวันหลงัจากนั้น เหมียวอี้ถึงได้หยุดอยู่บนท้องฟ้ากะทันหัน สายตาหยุดจ้องที่ภูเขาไฟเบื้องหลัง

สวีถังหรานที่อยู่ข้างๆ กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ภูเขาไฟด้านล่างน่าสนใจดีนะ ไม่น่าเชื่อว่าภูเขาไฟเก้าลูกจะเรียงตัวเป็นเส้นตรงอย่างเป็นระเบียบ”

น่าสนใจจริงๆ และเป็นจุดที่เหมียวอี้ต้องหารตามหาด้วย ‘กลางแนวสร้อยไข่มุกเก้าขุนเขา’ ที่ทำสัญลักษณ์ไว้บนแผนที่ ภูเขาไฟลูกหนึ่งที่อยู่ในเก้าขุนเขานั้นก็คือจุดหมายที่เขาตามหา!

“ในเมื่อพี่สวีคิดว่านาสนใจ งั้นก็ว่อนตัวที่นี่แล้วกัน” เหมียวอี้พยักหนา

“…” สวีถังหรานสับสนแล้ว อย่าบอกนะว่าที่นี่ไม่สะดุดตา?

ปานเยว่กงและฮูหยินก็มองหน้ากันเลิกลั่ก นี่มันเรียกว่าเหตุผลอะไรกัน

พอพวกเขาเหยียบลงพื้น ก็ต่างคนต่างขุดถ้ำในป่าที่อยู่ตรงตีนภูเขาไฟ ขณะที่กำลังขุดถ้ำ ชิงเหมยก็ถ่ายทอดเสียงถามปานเยว่กง “ท่านสามี ทำไมข้ารู้สึกว่าผู้บัญชาการหนิวท่านนั้นกำลังหาของอะไรบางอย่าง ?”

ปานเยว่กงถอนหายใจแล้วบอกว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องสนใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องมากังวล เจ้าจัดระเบียบตรงนี้ไปแล้วกัน ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเขาหน่อย”

เขาออกจากถ้ำแล้วเข้าไปในถ้ำอีกแห่ง เมื่อเห็นเหมียวอี้กำลังจัดแต่งบนก้อนหินให้เป็นเตียงนั่ง ปานเยว่กงก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ผู้บัญชาการหนิว เจ้าซ่อนตัวแบบนี้ จะสามารถทำงานที่ผู้บัญชาการใหญ่โค่วสั่งสำเร็จเหรอ?”

เหมียวอี้โบกมือปัดกวาดแท่นหินที่โดนตัดจนเสมอกัน แล้วหันตัวมาตอบเขาพร้อมรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร เจ้าไม่ต้องห่วง ในเมื่อข้ารับปากเจ้าแล้ว ไม่ว่าผลคะแนนทดสอบจะเป็นยังไง ไม่ว่าผู้บัญชาการใหญ่จะรักษาตำแหน่งไว้ได้หรือไม่ ข้าก็จะขอร้องให้ผู้บัญชาการใหญ่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเจ้า”

ในเมื่อเขาพูดแบบนี้แล้ว ไม่ว่าในใจปานเยว่กงจะมีความเคลืองแคลงอะไรอยู่ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้อีก ไม่ใช่เพราะอะไร เพียงเพราะเขารู้สึกว่าเหมียวอี้เป็นคนน่าเชื่อถือ

หลังจากขุดถ้ำเสร็จแล้ว สวีถังหรานก็อารมณ์ดีมาก ในที่สุดก็ได้ที่พักอาศัยแล้ว ยังน้อยก็ยังไม่ต้องกังวลเรื่องอันตราย ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะทำอาหารป่าตอนอยู่ในป่า ลงมือปรุงอาหารด้วยตัวเอง จัดโต๊ะสุราอาหาร แล้วเชิญทุกคนมาดื่มสุราอย่างสบายใจด้วยกัน

สุดท้ายทุกคนก็ต่างคนต่างฝึกตน ตอนแรกเหมียวอี้ก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวผิดปกติ เพียงแค่ออกไปเดินเล่นทุกวัน…

จนกระทั่งหนึ่งเดือนหลังจากนั้น จนกระทั่งทุกคนมองเห็นพฤติกรรมนี้จนชินแล้ว ในเช้าตรูวันหนึ่ง ในที่สุดเหมียวอี้ก็มาถึง ‘กลางแนวสร้อยไข่มุกเก้าขุนเขา’ เขาขึ้นไปบนภูเขาไฟลูกหนึ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างเก้าขุนเขา ยืนบนยอดภูเขาไฟภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับ ยืนทอดสายตามองไปไกลๆ กำลังเฝ้าคอย!

1023


บทที่ 1024 แหล่งรวมไฟหยินหยาง

ถึงแม้จะหาจุดที่อยู่บนแผนที่ซ่อนสมบัติพบโดยอิงตามขั้นตอน แต่เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดบนยอดเขาก็ยังค่อนข้างกังวล ครั้งก่อนตอนหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินพบ เขาเจอการเหตุการณ์พลิกแพลงที่ไม่คาดฝันมากมายขนาดนั้น ไม่รู้ว่าคนที่ซ่อนสมบัติไว้ครั้งนี้จะเล่นลูกไม้อะไรอีกหรือเปล่า

ตอนนี้ในใจเขามีคำถามอยู่ข้อหนึ่ง คนที่ซ่อนสมบัติเป็นใครกันแน่ ทำไมไม่นำสมบัติซ่อนไว้ด้วยกัน ทำไมต้องทำให้ตัวเองยุ่งยากลำบากแบบนี้…

รอจนกระทั่งฟ้าสาง ขณะที่แสงแรกยามเช้าปรากฏ เหมียวอี้ที่ไม่รู้ว่าหลับตาไปตั้งแต่ตอนไหนก็พลันลืมตาขึ้น เขาแววตาเป็นประกาย มองไปตรงเส้นขอบฟ้าที่แสงอาทิตย์อันงดงามเบ่งบาน แล้วสะบัดแขนเสื้อสองข้าง ลอยขึ้นฟ้าอย่างช้าๆ คำนวณระดับความสูงตอนเหาะขึ้น พอเหาะขึ้นไปถึงระดับความสูงหกพันจั้ง เขาก็ก้มมองบนแผ่นดินที่กว้างใหญ่

ผ่านไปไม่นาน ในดวงตาเหมียวอี้ก็ฉายแววอมยิ้ม เรื่องที่กังวลไม่ได้เกิดขึ้น ภาพผู้หญิงทะยานฟ้าที่เหมือนเหมือนระลอกคลื่นซัดสาดปรากฏอยู่บนพื้นดินอีกแล้ว

เพียงแต่สีของภาพผู้หญิงทะยานฟ้าในครั้งนี้มีบางอย่างแตกต่างออกไป ขณะที่อาศัยการสาดส่องจากแสงเงาของภูเขาหิมะและภูเขาไฟ ผู้หญิงทะยานฟ้าได้เปลี่ยนชุดที่ใส่เป็นสีขาวแล้ว ยังคงฝังประดับอยู่บนพื้นอย่างเงียบๆ อย่างอลังการงานสร้าง ใครจะไปคาดคิดถึงล่ะ

สายตาของเหมียวอี้ทอดมองไปไกลตามฝ่ามือที่กำลังยกขึ้นของผู้หญิงทะยานฟ้า เขายิ้มอย่างรู้อยู่แก่ใจอีกครั้ง ตรงจุดบนฝ่ามือของผู้หญิงทะยานฟ้าก็คือภูเขาไฟที่กระจัดกระจายกลุ่มหนึ่ง เมื่อมองไปไกลๆ ก็เห็นว่าตรงกลางก็เป็นพื้นที่ว่าง ราวกับบนฝ่ามือถือก้อนหิมะกลมเอาไว้

เขาแค่ทดลองลอยขึ้นฟ้าสูงหนึ่งพันจั้งหลังจากที่มีประสบการณ์หาสมบัติมาครั้งหนึ่งแล้ว  นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าทำแบบนี้แล้วจะหาจุดซ่อนสมบัติพบ

เมื่อเห็นฉากนี้อีกครั้ง เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานอย่างตื่นตะลึง ถ้าไม่ใช่เพราะได้เคล็ดลับในการหาสมบัติมาจากเผ่าปีศาจ คาดว่าต่อให้ได้แผนที่ซ่อนสมบัติมาไว้ในมือ ก็ไม่มีทางหาสมบัติที่ซ่อนเจออยู่ดี เหตุผลก็เรียบง่ายมาก เพราะจุดซ่อนสมบัติสองจุดที่เชื่อมต่อกันล้วนอยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้จากจุดที่สำสัญลักษณ์ไว้บนแผนที่ซ่อนสมบัติ คนที่หลงทางใช้วิธีผิด ต่อหาต่อไปจนหัวระเบิด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหาพบ ปราสาทดำเนินนภาเองก็ตกหลุมพรางนี้

และเงื่อนไขแบบนี้ ต่อให้เป็นเผ่าปีศาจที่กุมเคล็ดลับการหาสมบัติไว้ในมือ ก็ไม่มีทางหาพบเช่นกัน เพราะมีเพียงคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราเท่านั้น ถึงจะมองเห็นเคล็ดลับการหาสมบัติ ช่างเป็นการวางแผนที่เกี่ยวเนื่องกันอย่างแน่นแฟ้นจริงๆ ราวกับมีเพียงคนที่ผู้ซ่อนสมบัติกำหนดไว้เท่านั้น ถึงจะหาสมบัติที่ซ่อนไว้พบ เหมียวอี้รู้สึกได้อย่างลึกซึ้งว่าตัวเองวิ่งชนโชคใหญ่เข้าแล้วจริงๆ!

หลังจากจดจำลักษณะพื้นที่และทิศทางของจุดหมายแล้ว เหมียวอี้ก็เหาะลงไปอีกครั้ง กลับเข้าถ้ำไปฝึกตนแล้ว

ไม่รีบหรอก! จะได้ไม่ทำให้คนอื่นสงสัย หลังจากผ่านไปอีกหลายวัน เหมียวอี้ถึงได้ออกเดินทางไปยังจุดซ่อนสมบัติ

เดินทางออกไปหลายร้อยลี้ ตอนที่เจอกลุ่มภูเขาไฟที่กระจัดกระจาย ก็ยังนึกว่าตัวเองมาหาผิดที่เสียแล้ว ตอนที่อยู่บนฟ้ามองเห็นเป็นกลุ่มก้อนกลุ่มหนึ่ง แต่พอตัวมาอยู่ในสถานที่จริง ถึงได้พบว่าภูเขาไฟที่ล้อมรอบห่างไกลกลับวงกลมนี้มาก ตอนนี้ตัวเองอยู่บนทุ่งหิมะที่กว้างโล่งแห่งหนึ่งแล้ว

อาศัยภูเขาไฟที่อยู่ล้อมรอบไกลๆ มาวัดระยะห่างตำแหน่ง เมื่อหาบริเวณจุดศูนย์กลางของทุ่งหิมะพบแล้ว เขาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจรอบหนึ่ง พบว่าเป็นกองหิมะที่ทับถมกันหนาหลายจั้ง เมื่อร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจข้างล่างก็ไป ก็ไม่เจอชั้นน้ำแข็งที่อยู่ล่างสุด ไม่รู้เหมือนกันว่าชั้นน้ำแข็งที่อยู่ข้างล่างหนาขนาดไหนกันแน่

เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าที่นี่กว้างโล่งเกินไป ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไรบนพื้นหิมะก็จะทิ้งร่องรอยไว้ได้ง่ายๆ

พอคิดไปคิดมา เขาก็ใช้ทั้งร่างกายแทงเฉียงลงไปในชั้นหิมะหนาราวกับเป็นสว่าน หลังจากดำลงไปในหิมะ เขาก็ปรับทิศทางอีกครั้งแล้วแทงลงไปในแนวตรง พอเป็นแบบนี้ ก็จะมีแค่รูเล็กๆ รูเดียวเท่านั้น ต่อให้มีคนมองเห็นรูเล็กนี้จากท้องฟ้า แต่ก็ยากที่จะสังเกตเห็น เพราะถึงอย่างไรก็เป็นสีขาวเหมือนกันหมด

เมื่อเหยียบแผ่นน้ำแข็งที่อยู่ใต้หิมะ เขาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ขยายกองหิมะที่อยู่รอบกายออกไป เมื่อมีช่องว่างให้เคลื่อนไหว เขาก็หยิบไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งออกมาส่องแสง ชั้นน้ำแข็งที่อยู่ใต้เท้าปรากฏสีน้ำเงิน แค่มองก็รู้แล้วว่าชั้นน้ำแข็งค่อนข้างหนา

เมื่อใช้ฝ่ามือกดบนแผ่นน้ำแข็งพร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอีกครั้ง ก็ยังสำรวจไม่เจอก้นบึ้ง หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง ก็ปล่อยเปลวเพลิงไร้รูปร่างออกมา ทำให้ชั้นน้ำแข็งกลายเป็นน้ำทันที ทั้งตัวเหมียวอี้จมลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว น้ำแข็งที่ปิดทางอยู่ข้างล่าง เมื่อสัมผัสโดนก็จะละลายทันที ทำให้เขาไหลของไปตลอดชั้นแล้วชั้นเล่า

ทว่ายิ่งลงไปข้างล่างก็ยิ่งตกใจ ลงลึกมาหลายพันจั้งก็ยังไม่เห็นก้นบึ้ง ชั้นน้ำแข็งนี้หนาจนทำให้คนต้องยกนิ้ว

จนกระทั่งลงลึกมาหมื่นจั้ง เหมียวอี้ถึงได้รู้สึกว่าชั้นน้ำแข็งที่โดนมือสัมผัสมีความผิดปกตินิดหน่อย ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ น้ำแข็งที่ละลายเพราะโดนร่ายอิทธิฤทธิ์ให้หลีกทาง ในตอนนี้มันหลีกทางเองโดยไม่จำเป็นต้องร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยแล้ว

ดวงจิตน้ำแข็ง! แต่ตรวจดูเหมียวอี้ก็รู้แล้วว่าเป็นดวงจิตน้ำแข็ง หรือที่เรียกว่าผลึกบรมธารานั่นเอง เป็นสิ่งที่พวกมนุษย์เรียกกันว่าไข่มุกกันน้ำอะไรทำนองนั้น  เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ไข่มุกราตรีอีก เพราะดวงจิตน้ำแข็งส่องกะพริบรัศมีสีน้ำเงิน

อย่าบอกนะว่าของซ่อนอยู่ใต้ดวงจิตน้ำแข็ง? เพียงแต่การกำจัดดวงจิตน้ำแข็งนี้ทิ้งอาจจะน่าเสียดาย จึงร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจข้างล่างอีกครั้ง

พอสำรวจแล้วถึงได้รู้ ว่าจุดที่ลึกลงไปอีกสิบกว่าจั้งคือพื้นที่ว่าง!

ของที่กำลังตามหาอาจจะอยู่ข้างล่างจริงๆ เหมียวอี้เองก็ไม่สนใจอะไรมากแล้ว ปล่อยเปลวเพลิงล่องหนออกมาอีกครั้ง ละลายดวงจิตน้ำแข็งแล้วดำลึกลงไป

พอฝ่าดวงจิตน้ำแข็งออกไป ก็เจอเปลวเพลิงสีน้ำเงินที่เหน็บหนาวเข้ากระดูกทันที เหมียวอี้ตกตะลึงอีกครั้ง!

อัคคีน้ำแข็ง! ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นอัคคีน้ำแข็ง! เขาเคยเห็นสิ่งนี้ที่ตำหนักน้ำแข็งขั้วเหนือและขั้วใต้ของพิภพเล็ก ทั้งยังเคยแอบขโมยด้วย ย่อมไม่ได้จำผิดอยู่แล้ว

ไม่ใช่อัคคีน้ำแข็งเพียงเล็กน้อย แต่เป็นอัคคีน้ำแข็งผืนใหญ่ ทำให้เหมียวอี้ตะลึงค้างแล้ว!

ถ้าคนทั่วไปบุกเข้ามาในอัคคีน้ำแข็ง ก็ไม่มีทางทนได้เลย แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว สิ่งนี้ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเขา

ขณะที่กำลังตกตะลึง ก็พบว่าเบื้องล่างของอัคคีน้ำแข็งมีแสงสีแดงกะพริบรางๆ เหมียวอี้รวบรวมสมาธิแล้วลงต่อไปทันที

เขาทะลุผ่านทะเลเพลิงอัคคีน้ำแข็ง แล้วลอยอยู่ในช่องว่างใต้ดินที่กว้างโล่งผืนหนึ่ง สายตาไปหยุดอยู่ตรงจุดที่มีแสงสีแดงกะพริบ ทำให้เขาตกตะลึงอีกครั้ง!

เป็นคางคกตัวหนึ่ง เป็นคางคกที่มีร่างกายขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง คาดว่าขนาดความยาวของร่างกายคงจะสิบกว่าจั้ง มันโดนจองจำไว้เหมือนกับสัตว์ประหลาดที่เห็นตอนไปหาสมบัติครั้งก่อน บนตัวมีตะปูยาวสีแดงเสียบ โดนโซ่สีแดงหลายเส้นมัดขาทั้งสี่เอาไว้

สิ่งที่แตกต่างจากคางคกทั่วไปก็คือ คางคกตัวนี้ดูเผินๆ เหมือนตัวสีแดง แต่ที่จริงแล้วเป็นสีขาว บนตัวเต็มไปด้วยเกล็ดหนา เกล็ดทุกแผ่นใหญ่เหมือนเป็นโล่กำบังที่ทำมาจากก้อนน้ำแข็ง ที่แปลกที่สุดก็คือ ในเกล็ดทุกแผ่นล้วนมีบางสิ่งที่เหมือนเปลวเพลิงสีแดงกำลังเต้น เหมือนเคยเห็นสิ่งนี้บนผนังน้ำแข็งที่ตำหนักบรมอัคคีของเลี่ยหวนมาก่อน ความแตกต่างก็คือ เปลวเพลิงที่เต้นอยู่ในเกล็ดเหมือนจะกลายเป็นรูปคนแล้ว ทำให้คนรู้สึกเหมือนมันจะทะลุออกมาจากเกราได้ตลอดเวลา

บนตัวคางคกมีเกล็ดซ้อนทับกันเยอะประมาณหมื่นกว่าชิ้น แต่ละชิ้นล้วนกะพริบแสงสีแดง และเป็นแหล่งที่มาของแสงสีแดงในพื้นที่ว่างใต้ดินด้วย

แต่ก็ไม่ใช่แหล่งที่มาเพียงอย่างเดียวของแสงสีแดง หลังจากเหมียวอี้เดินเข้ามาใกล้ ถึงได้พบว่าใต้ท้องคางคกสามารถมองเห็นของเหลวสีแดง ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าคางคกกำลังนอนหมอบอยู่บนปากหลุมไฟใต้ดิน กำลังกดทับไฟใต้ดินที่อยู่ข้างล่าง

เหมือนจะเป็นเพราะคางคกตัวนี้กำลังกดอัดไฟใต้ดินอยู่ ทำให้อุณหภูมิสูงใต้ดินแทรกซึมขึ้นมาข้างบนไม่ได้

หลังจากเหมียวอี้ที่กำลังทำสีหน้าประหลาดใจเดินวนรอบคางคกยักษ์ไปรอบเดียว เพื่อที่จะพิสูจน์การคาดเดาของตัวเอง เขายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งไปที่คางคก แล้วร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดาราพร้อมขยุ้มฝ่ามือ เป็นอย่างที่คาดไว้ เหตุการณ์การเหมือนกับในตำหนักบรมอัคคีของเลี่ยหวน ธาตุไฟสีแดงเข้มข้นแทรกซึมลอยออกมาจากเกล็ดบนตัวคางคก มันถูกเขาดูดมาไว้ในฝ่ามือ ในใจรู้สึกยินดีอย่างบ้าคลั่งทันที ปกติเขาอาศัยดูดซับธาตุไฟจากเปลวเพลิงเพื่อฝึกตน แบบนั้นชักช้าเกินไป ดูดซับธาตุไฟไม่ได้สักเท่าไรเลย ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าที่นี่จะสะสมธาตุไฟเอาไว้อุดมสมบูรณ์ขนาดนี้

สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ในขระเดียวกันนี้เอง ด้านบนมีธาตุไฟสีน้ำเงินลอยออกมาขณะที่เขากำลังใช้เคล็ดวิชาอัคนีดารา มันถูกเขาดูดซับเข้ามาในร่างกายพร้อมกัน

พอเหมียวอี้เงยหน้ามองในช่องว่างขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้ดิน ก็เห็นอัคคีน้ำแข็งสีน้ำเงินที่อยู่เต็มด้านบนพรั่งพรูออกมา งดงามจนบรรยายได้เพียงคำว่าน่าตื่นตาตื่นใจ

ไม่น่าเชื่อว่าไฟหยางกับไฟหยินจะเกิดขึ้นพร้อมกันที่นี่! ฉากแบบนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกชื่นชมจากใจจริงๆ ความรู้สึกดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่งแบบนี้ ไม่มีทางบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ นี่เป็นทำเลทองที่ตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อให้เขาฝึกตนโดยเฉพาะจริงๆ!

“สมกับเป็นดินแดนสองขั้ว ไม่น่าเชื่อว่าไฟหยินหยางจะมารวมกันอยู่ตรงนี้ สวรรค์ช่างเข้าข้างข้าจริงๆ!” เหมียวอี้กางแขนหัวเราะเหมือนคนบ้า หัวเราะจนทุบหน้าอกตัวเอง เขาไม่ได้ดีแบบนี้มาหลายปีแล้ว

เวลาทดสอบหนึ่งร้อยปีเชียวนะ! เพียงพอจะให้เขาเก็บเกี่ยวไฟหยินหยางที่รวมกันอยู่ที่นี่จนสะอาดหมดจด ถึงตอนนั้นความเร็วในการฝึกตนของเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งแน่นอน!

หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าชื่นชมยินดี เขาพบว่าอวิ๋นจือชิวพูดไว้ไม่ผิด ถ้าไม่ติดว่าเป็นไปไม่ได้ เขาก็คงสงสัยแล้วว่าตำหนักสวรรค์จัดการทดสอบหนึ่งร้อยปีครั้งนี้ขึ้นมาเพื่อเขา ไม่อย่างนั้นจะเกิดความบังเอิญแบบนี้ได้ยังไง บังเอิญมีได้เวลาฝึกตนที่นี่นานขนาดนี้ เป็นโชคใหญ่อย่างแท้จริง!

เขาพบว่าครั้งนี้ได้เจอขุมทรัพย์ใหญ่แล้วจริงๆ อย่างน้อยมันก็เป็นขุมทรัพย์ใหญ่สำหรับเขา นึกไม่ถึงว่าที่นี่จะมีไฟหยินหยางรวมตัวกันอยู่ ช่างเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าจริงๆ!

พอนึกถึงขุมสมบัติ เขาถึงนึกได้ถึงธุระหลักที่มาที่นี่ ตัวเองมาเพื่อหามหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดิน!

ในชั่วพริบตาเดียวเขาก็ตื่นจากความดีใจอย่างบ้าคลั่ง เขากวาดสายตาไปรอบๆ แล้วไปหยุดอยู่บนผนังหินที่อยู่ข้างขวา ตรงนั้นมีห้องถ้ำที่เปล่งแสงสีขาวอ่อนๆ

เหมียวอี้ถลันตัวเข้าไปในทางที่เป็นผนังถ้ำ จากนั้นเลี้ยวไปทางขวา ห้องหินห้องหนึ่งปรากฏตรงหน้าเขา พอก้าวเข้าไปดู ก็เห็นไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งที่เปล่งอ่อนละมุนฝังเลี่ยมอยู่เหนือศีรษะ และบนผนังด้านขวาก็มีรูปสลักของผู้หญิงทะยานฟ้าอย่างที่คาดไว้ บนฝ่ามือถือกล่องกล่องโลหะที่เหมือนสีทับทิม

เหมียวอี้ยื่นมือเข้าไปจับ กล่องที่ฝังเลี่ยมอยู่ในผนังด้านขวาถูกดูดเข้ามาในมือเขาทันที เขาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูข้างใน หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตราย ถึงได้เปิดออกอย่างวางใจ พอเปิดออก ก็เห็นก้อนโลหะกลมสีดำลูกหนึ่งนอนอยู่เงียบๆ มีแผ่นหยกแผ่นหนึ่งด้วย

เมื่อนำแผ่นหยกมาดูในมือ บนเคล็ดวิชาฝึกตนที่หนาแน่นยั้วเยี้ยก็มีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนไว้ : มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ดิน!

เหมียวอี้ถอนหายใจ ในที่สุดก็ได้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินมาไว้ในมือแล้ว เขายังกังวลว่าจะโดนหลอกตบตาให้วิ่งตามหาอีกรอบเหมือนกับครั้งแรก

ส่วนของอีกชิ้นหนึ่งก็คือ…เหมียวอี้ค่อนข้างใจเต้นแรง คว้าก้อนโลหะกลมสีดำมาไว้ในมือ พอร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้น ลูกกลมก็แผ่ออกบนฝ่ามือทันที

พิสูจน์เรื่องที่ทำใหเขาสงสัยจนใจเต้นแรงอีกครั้ง เป็นแผนที่ซ่อนสมบัติอีกฉบับอย่างที่คาดไว้ เหมือนกับฉบับก่อนหน้านี้เลย

ภาพสตรีทะยานฟ้าที่กางแขนอย่างแช่มช้อยปรากฏสู่สายตา ข้างๆ มีตัวอักษรสองแถว : ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบสิ้น เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด!

บนแผนที่ดาวและแผนที่ที่แนบมามีตัวอักษรสองตัวคือ : เก้า เดิน!

เมื่อมีประสบการณ์มาแล้วสองครั้ง เหมียวอี้ก็เดาออกได้ไม่ยากว่ามันคืออะไร เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนที่ซ่อนสมบัติของเคล็ดวิชา ‘สวรรค์เก้าชั้นฟ้า’ ภาคดิน หนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษ

ขณะที่เหมียวอี้กำลังดีใจ ในใจก็บ่นอย่างคับแค้นอีก คนที่ซ่อนสมบัตินี้กำลังทำอะไรกันแน่ ไม่ได้บ้าใช่มั้ย ที่วางไว้แยกกันแบบนี้เพราะอยากจะทำอะไรกันแน่ ทรมานบ้างมั้ย? เจ้าไม่ไม่เกลียดที่มันยุ่งยาก แต่ข้าเกลียดที่มันยุ่งยากนะ วางไว้ด้วยกันมันจะตายรึไง?

แผนที่ซ่อนสมบัติกลับกลายเป็นก้อนโลหะอีกครั้ง พอเงยหน้ามองบนตัวผู้หญิงทะยานฟ้าที่อยู่บนผนังหิน เหมียวอี้กำลังสงสัยว่าคนที่ซ่อนสมบัติใช่ผู้หญิงบนภาพหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเบาะแสการซ่อนสมบัติหรือสถานที่ซ่อนสมบัติ ทำไมต้องเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนี้เสมอ? ถ้าเป็นผู้หญิงคนนี้จริงๆ แล้วนางเป็นใครกันแน่?

1024

บทที่ 1025 อาบน้ำ

ยังมีคำถามอีกอีกข้อหนึ่ง ถ้านี่คือสมบัติที่ผู้หญิงทะยานฟ้าคนนี้ซ่อนไว้ แล้วนางได้หกเคล็ดวิชาพิเศษมาได้อย่างไร? อิงจากวิธีการซ่อนสมบัติแบบนี้ นางจะมีภาคดินของทั้งหกเคล็ดวิชาเลยหรือเปล่า?

กับคำถามนี้เหมียวอี้ทั้งเฝ้าคอยทั้งกังวล เฝ้าคอยเพื่อจะดูว่าหกเคล็ดวิชาพิเศษอยู่ในมือของผู้หญิงคนนั้นหมดเลยหรือเปล่า แต่ก็กังวลอีกว่ามันจะถูกวางแยกไว้คนละที่แบบนี้จริงๆ ซ่อนของไว้ทางโน้นทีทางนี้ทีเต็มจักรวาล เวลาจะตามหาขึ้นมาก็ลำบากมาก

เรื่องแบบนี้เก็บมาคิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ประเดี๋ยวเดียวเขาก็ออกมาจากห้องหิน กลับมาในช่องว่างใต้ดินที่มีแสงสีแดงและแสงสีนำเงินส่องผสมกัน

ถ้าเขาไม่ได้ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราก็ว่าไปอย่าง คนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดารา เมื่อมาถึงสถานที่แบบนี้แล้ว จะยังขยับเท้าเดินจากไปได้อย่างไรกัน

ไม่มีอะไรต้องพูด ไฟหยินหยางมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เหมียวอี้ยิ่งมองก็ยิ่งหิวกระหาย นำระฆังดาราออกมาติดต่อกับสวีถังหราน บอกว่าตัวเองเปลี่ยนสถานที่ฝึกตน บอกพวกเขาว่าไม่ต้องมาหาตน ให้อยู่ที่นั่นอย่างสงบใจ ถ้าเกิดเรื่องค่อยติดต่อเขาอีกที

มารดาเจ้าเถอะ เจ้าบ้านี่คงไม่ได้หาลู่ทางเจอแล้วหนีไปคนเดียวหรอกใช่มั้ย? สวีถังหรานร้อนใจนิดหน่อย ถามว่า : เจ้าไปฝึกตนที่ไหน?

เหมียวอี้ : ไม่ได้ออกไปไหน ยังอยู่ดาวสองขั้ว ข้าจะกลับไปทุกๆ สามถึงห้าวัน ช่วยข้าบอกปานเยว่กงและฮูหยินด้วย

เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ สวีถังหรานถึงได้สงบใจลงบ้างนิดหน่อย

หลังจากรับมือกับทางสวีถังหรานเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็เดินวนคางคกอีกรอบ เงยหน้ามองอัคคีน้ำแข็งอันสวยวิจิตรตระการตาด้านบนอยู่เป็นระยะ แล้วก็ยื่นมือไปลูบคางคกร่างยักษ์อยู่เรื่อยๆ กำลังครุ่นคิดว่าถ้าตัวเองดูดซับไฟหยินหยางพวกนี้แล้ว จะสามารถฝึกปล่อยเปลวเพลิงล่องหนออกมาได้มากขนาดไหน

คนอื่นไม่รู้ชัด แต่ตัวเองรู้อยู่แจ่มแจ้ง เปลวเพลิงล่องหนที่ตัวเองปล่อยออกมาล้วนเคี่ยวกลั่นออกมาจากดาวสีแดงและดาวสีฟ้าที่อยู่ในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของร่างกาย พอเริ่มร่ายอิทธิฤทธิ์ ดาวสีแดงและดาวสีฟ้าในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ก็จะโคจรร่วมกันด้วยความเร็วสูง ผลิตเป็นเปลวเพลิงล่องหนให้ตัวเองใช้งาน

และจำนวนดาวสีแดงและดาวสีฟ้าในร่างกายก็มีจำกัด หลังจากขโมยดูดซับอัคคีน้ำแข็งมาจากตำหนักน้ำแข็งขั้วเหนือและขั้วใต้จำนวนหนึ่ง มันก็แทบจะไม่เคยเพิ่มขึ้นอีกเลย ดังนั้นจึงผลิตเปลวเพลิงล่องหนออกมาได้ไม่มาก ก็เลยไม่เคยควบคุมเปลวเพลิงล่องหนจำนวนมากมาก่อน ตอนนี้ที่นี่มีไฟหยินหยางมากขนาดนี้ ทำให้เขาตั้งตอรอมาก

เขาเคาะบนตัวคางคกสองสามครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไร ถึงได้ถลันตัวขึ้นมาเหยียบบนหลังคางคก นั่งขัดสมาธิบนนั้น หยิบยาเม็ดโลหิตออกมากำไว้ในมือสองเม็ด แล้วหลับตารวบรวมสมาธิ เริ่มร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดาราฝึกตน

ผ่านไปไม่นาน บนตัวคางคกที่เขานั่งอยู่ก็เริ่มมีหมอกแดงลอยออกมา มันถูกดูดซับเข้าไปในร่างกายเขา เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น รูปคนที่อยู่ในเกราะน้ำแข็งบนตัวคางคกก็เริ่มฉุนเฉียวทันที กำลังวิ่งเพ่นพ่านอยู่ในเกราะน้ำแข็ง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังรีบร้อนจะหลบหนี ทว่ากลับไม่มีทางหลุดพ้นจากพันธนาการจากเกราะน้ำแข็ง

พอเป็นแบบนี้ ก็เหมือนกับเกราะน้ำแข็งทุกชิ้นบนตัวคางคกกำลังกะพริบแสงสีแดง

ส่วนหมอกสีฟ้าที่หมุนเป็นเกลียวอยู่ด้านบนพักหนึ่งก็กรอกเข้าในร่างกายเหมียวอี้แล้ว

เป็นฉากที่ประหลาดมาก ระหว่างหมอกแดงกับหมอกสีฟ้าเหมือนจะข่มกัน ตอนที่กรอกเข้าในร่างกายเหมียวอี้พร้อมกัน ก็เรียกได้ว่าแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน หมอกสีฟ้าที่ตกลงมาจากข้างบนครอบคลุมแค่ส่วนหัวไหล่ของเหมียวอี้เท่านั้น ส่วนท่อนข้างคืออาณาเขตของหมอกแดง

เหมียวอี้เองก็ไม่ได้ดูดซับไฟหยินหยางนี้เป็นครั้งแรก เมื่อก่อนเวลาดูดซับธาตุไฟหยินหยางประเภทนี้ เป็นเรื่องยากมากที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ แต่ตอนนี้มันกลับกลายสภาพเป็นหมอกที่ตาเปล่าสามารถมองเห็นได้ กรอกเข้าร่างกายเหมียวอี้โดยแบ่งแยกเป็นสองสี เป็นภาพที่งดงามอลังการ จากสิ่งนี้จะเห็นได้ถึงความเข้มข้นของธาตุไฟหยินหยางของที่นี่

ธาตุไฟหยินหยางที่ดูดซับแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน แต่หลังจากดูดซับเข้ามาในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้แล้ว หยินหยางที่กลมกลืนกันผ่านเคล็ดวิชาอัคนีดาราก็ค่อยๆ กะพริบเป็นดวงดาว กลายเป็นจุดดวงดาวสีฟ้าและสีแดง แล้วเริ่มโคจรคู่กัน ราวกับศัตรูคู่แค้นได้กลายเป็นสหายรักที่รักษาสมดุลต่อกันแล้ว

หลังจากนั้นหนึ่งวัน เหมียวอี้ก็สำรวจดูนิดหน่อย ในใจเขารู้สึกทึ่งมาก ใช้เวลาเพียงแค่วันเดียว ในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ก็มีดาวสีฟ้าและแดงเพิ่มมาเกือบห้าสิบคู่แล้ว หรือพูดได้อีกอย่างว่า ในเวลาหนึ่งวัน ความเร็วในใจการกลั่กรองลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำก็จะเพิ่มเป็นห้าสิบลูกแล้ว

อย่าไปมองว่ามีแค่ห้าสิบลูกนะ พอสะสมไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แล้ว…

หลังจากนั้นหนึ่งวัน เหมียวอี้ก็ออกจากการเก็บตัวฝึกฝน ไม่ออกจากการเก็บตัวคงไม่ได้ ถ้าไม่ออกมาทางสวีถังหรานจะกังวลใจ อีกฝ่ายใช้ระฆังดาราติดต่อเขาทุกๆ สามวันห้าวัน

หลังจากทั้งสองฝ่ายเจอกันแล้ว เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้ไม่ได้ทิ้งพวกเขาแล้วหนีไป สวีถังหรานถึงได้โล่งอก พอเห็นหน้าก็ถามทันทีว่า “เจ้าไปที่ไหนมากันแน่?”

เหมียวอี้มองปานเยว่กงและฮูหยินที่ทำสีหน้าเหมือนตั้งคำถามเหมือนกัน แล้วตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ปิดบังทุกท่านนะ ข้าฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟ ข้าไปหาสถานที่ที่มีไฟใต้ดินอุดมสมบูรณ์เพื่อฝึกตนมา นี่ก็เป็นสาเหตุที่ข้ามาดาวสองขั้ว ทุกท่านไม่ต้องคิดมากหรอก”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ทุกคนวางใจแล้ว

ภายใต้ความดีใจ สวีถังหรานก็ลงมือปรุงอาหารป่าด้วยตัวเองอีกครั้ง ทุกคนนั่งร่วมโต๊ะและพูดคุยเรื่องตำนานในแดนฝึกตนกัน ในจุดนี้เหมียวอี้เหมาะจะเป็นฝ่ายฟังที่สุด ความรู้เรื่องพิภพใหญ่ที่เขามีตอนนี้ อย่าว่าแต่เทียบกับปานเยว่กงและฮูหยินไม่ติดเลย แม้แต่สวีถังหรานเขาก็เทียบไม่ได้ เพียงเอ่ยถามบางครั้งเมื่อเจอจุดที่ไม่เข้าใจ

หลังจากกินดื่มอย่างสุขสำราญ เหมียวอี้ก็ออกมาคนเดียวอีกครั้ง กลับลงไปใต้ชั้นน้ำแข็งลึกหมื่นจั้งเพื่อฝึกตนต่อไป

และแน่นอน คนที่เป็นห่วงเขายังมีเหล่าภรรยาในบ้านอีก อวิ๋นจือชิวไม่พูดอะไร แค่รู้ว่าเขาปลอดภัยก็พอแล้ว ส่วนสองพี่น้องโอวหยาง ตอนนี้ก็รู้เรื่องที่เหมียวอี้มาเข้าร่วมการทดสอบแล้วเหมือนกัน พวกนางเป็นห่วงสุดๆ มีติดต่อมาบางครั้ง มีเพียงฝั่งฉินเวยเวยที่ยังไม่รู้สถานการณ์ แต่ก็ใช้ระฆังดาราติดต่อมาหาเหมียวอี้บ้างในบางครั้ง นางพูดแสดงความรักความห่วงใย สุดท้ายก็แสดงความขื่นขมจากความคนึงหา ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็ออกมาข้างนอกทั้งๆ ที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน เพิ่งได้ลิ้มลองรสชาติระหว่างชายหญิงเป็นครั้งแรกก็ต้องจากกันนานแล้ว ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกได้

สำหรับเรื่องนี้ เหมียวอี้เองก็รู้สึกผิดเหมือนกัน แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่สะดวกจะเปิดเผยจริงๆ ไม่เกี่ยวกับรักหรือไม่รัก ด้วยสถานการณ์ของฉินเวยเวยในตอนนี้ ถ้ารู้เรื่องบางเรื่องมากไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับนาง หรือพูดได้อีกอย่างงว่า ถ้ารู้มากเกินไปจะไม่เป็นผลดีกับทุกคน จะทำให้เป็นกังวลกันไปหมด ดังนั้นเรื่องบางเรื่องผู้ชายจึงไม่บอกผู้หญิง เหมียวอี้จึงได้แต่บอกนางว่าตัวเองติดธุระสำคัญ แล้วสัญญาอย่างหนักแน่นว่าอีกหนึ่งร้อยปีจะกลับไปอยู่กับนางแน่นอน

อีกตั้งหนึ่งร้อยปีเชียวเหรอ? ฉินเวยเวยจนใจมาก แต่ก็ทำได้เพียงเท่านี้ ทำได้เพียงตั้งตารอเพื่อจะพบกันอีกครั้งในอีกหนึ่งร้อยปี

มีอีกคนที่ทำให้เหมียวอี้เป็นห่วงมาก นอกจากศีลแปดก็ไม่มีใครแล้ว ศีลแปดได้ข่าวจากปีศาจโลหิตที่กลับมาหาเป็นครั้งคราว ว่าเหมียวอี้ไปเข้าร่วมการทดสอบ ยามว่างก็จะส่งข้อความมาถามว่าพี่ใหญ่เป็นยังไงบ้าง หลังจากรู้ว่าไม่ได้เกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ ก็ไม่ได้ส่งข้อความมาอีก ปล่อยให้เหมียวอี้ถามซักไซ้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่ต่อให้ตีให้ตายศีลแปดก็ไม่ยอมบอก

สำหรับศีลแปด สถานการณ์ก็เห็นๆ กันอยู่ ถึงแม้พี่ใหญ่จะกำลังทำการทดสอบแบบปิด แต่ก็ยังมีเครือข่ายสังคมอยู่ ขอเพียงตนกล้าเปิดเผยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน พี่ใหญ่จะต้องส่งคนมาจับตัวแน่นอน ถึงอย่างไรพี่สะใภ้ท่านนั้นก็ไม่ใช่เล่นๆ

ตอนนี้เขายังมีธุระที่สำคัญมากต้องจัดการ…

“ไต้ซือ ท่านกำลังติดต่อกับใครอยู่?”

ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าที่นั่งเคียงกันอยู่บนกิ่งไม้ เมื่อเห็นศีลแปดเก็บระฆังดารา ก็เอ่ยถามอย่างแปลกใจ ตอนนี้ทั้งสองล้วนใส่ชุดสีขาวบริสุทธิ์ทั้งตัว

ป่าลึกที่เผ่าปีศาจอยู่อาศัย ยามอยู่ภายใต้แสงจันทร์นั้นสวยงามราวกับเป็นภาพฝันมายา งดงามพร่างพราว ศีลแปดยิ้มบางๆ พร้อมตอบว่า “จำไว้นะ ต่อไปอย่าเรียกข้าว่าไต้ซืออีก เรียกฉายานามศีลแปดของข้าก็พอ”

มู่น่าพยักหน้า จากนั้นก็กะพริบดวงตากลมโตบริสุทธิ์ทันที ถามว่า “แบบนั้นจะเป็นการไม่ให้เกียรติไต้ซือหรือเปล่า?”

ศีลแปดชี้ไปยังสระน้ำที่อยู่ไม่ไกล พร้อมถามว่า “งั้นครั้งนั้น ตอนที่ข้าเห็นเจ้าอาบน้ำ เจ้ารู้สึกหรือเปล่าว่าข้าไม่ให้เกียรติเจ้า?”

มู่น่าอับอาย แต่ก็ยังครุ่นคิดอย่างใจเย็น จากนั้นก็ส่ายหน้าตอบ “ไต้ซือบังเอิญมาเห็น ไม่ได้ถือว่าไม่ให้เกียรติค่ะ”

เห็นได้ชัดเจนมาก การที่ใครบางคนพยายามอดทนวางมาดสง่าภูมิฐานมาหลายปี ความพยายามนี้ไม่ได้สูญเปล่า ปกติเวลาเขาเดินอยู่ที่นี่ แม้แต่ดอกไม้ใบหญ้าสักต้นก็อดทนไม่ยอมเหยียบ ถ้าบังเอิญเหยียบมดตายสักตัวก็จะสวดมนต์ให้มันไปดี ไม่เคยกินเนื้อ กินแต่พืชผัก ทำแบบนี้ถูกใจเผ่าปีศาจมาก ทั้งเผ่าปีศาจจึงรู้สึกว่าเขาเป็นพระที่มีเมตตาธรรมเกินไป และทำให้สนิทกับธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่ามากขึ้นด้วย ก็เลยเกิดภาพที่ทั้งสองนั่งด้วยกันเหมือนอย่างตอนนี้ ไม่มีใครคิดว่าศีลแปดจะทำอะไรไม่ดีกับธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่า ประเด็นสำคัญคือศีลแปดวรยุทธ์ต่ำเกินไป จะโดนคนอื่นทำร้ายได้ง่ายๆ มากกว่า

ที่จริงทุกครั้งที่ศีลแปดต้องการจะเดินออกมาไกลๆ คนของเผ่าปีศาจก็จะค่อนข้างเป็นห่วง เป็นเพราะพระรูปนี้จิตใจดีเกินไป แถมผู้หญิงคนนั้นที่คอยปกป้องเข้าอยู่ตลอดก็ไม่อยู่ ทุกคนจึงกังวลว่าเขาจะโดนคนอื่นทำร้าย ทั้งยังส่งคนมาติดตามปกป้องเขาด้วย

เผ่าปีศาจมีเจตนาดี แต่ศีลแปดแทบอยากจะร้องไห้ เขาแค่กินผักมานาน จึงอยากจะออกไปหาเนื้อกินก็เท่านั้นเอง เมื่อโดนคนตามจึงกินไม่ได้ ตัวเองวรยุทธ์ต่ำเกินไปจึงหนีอีกฝ่ายไม่พ้น…

ไม่พูดเรื่องในอดีต พูดแค่เรื่องในปัจจุบัน เห็นเพียงศีลแปดส่ายหน้าบอกว่า “อามิตาพุทธ บอกแล้วว่าอย่าเรียกไต้ซือ”

มู่น่าหัวเราะจนเห็นฟัน แล้วเรียกด้วยเสียงอ่อนปวกเปียกว่า “ศีลแปด!”

ดังนั้นศีลแปดจึงถกปัญหาเรื่องอาบน้ำกับนางต่อไป “ในสายตาข้า สรรพสัตว์ล้วนเท่าเทียมกันหมด ต่อให้ไม่ได้ถอดเสื้อผ้าอาบน้ำ สิ่งที่ข้าเห็นก็เป็นเพียงหนังเหม็นเน่า ยกตัวอย่างเช่นเวลาข้าอาบน้ำ จะให้เจ้าเห็นก็ไม่เป็นอะไรเหมือนกัน”

บทเขาจะทำก็ทำเลย ลอยลงไป แล้วยืนถอดเสื้อผ้าอยู่ริมสระน้ำ ถอดหมดจนเหลือแค่กางเกงในตัวเดียว กระโดดลงไปในสระน้ำที่ใสแจ๋ว พอหันกลับมาก็เห็นมู่น่ากระโดลงจากต้นไม้แล้ว ไปหลบอยู่หลังต้นไม้ไม่กล้ามอง

“มู่น่า ถ้าในใจเจ้าไม่มีความคิดฟุ้งซ่าน เหตุใดต้องหลบหลีกไม่ยอมมอง?” ศีลแปดถามพร้อมรอยยิ้ม

เหมือนจะอยากพิสูจน์ว่าในใจตัวเองไม่ได้มีความคิดฟุ้งซ่าน มู่น่ากัดฟันก้าวช้าๆ ออกมาจากหลังต้นไม้ ยังคงอับอายอย่างเลี่ยงไม่ได้

แต่สำหรับศีลแปดแล้วไม่เป็นอะไร ระยะห่างค่อยๆ เข้าใกล้กัน เจอกันครั้งแรกจะรู้สึกแปลกหน้า แต่พอเจอกันครั้งที่สองก็จะเกิดความคุ้นเคย ดังนั้นจึงไม่รีบ เรื่องแบบนี้รีบไม่ได้ ถ้ารีบเกินไปจะทำให้คนเข้าใจผิดในระดับความบริสุทธิ์ของเขา เขาวรยุทธ์ต่ำเกินไป เมื่ออยู่ที่นี่อาจจะโดนเล่นงานจนตายได้ง่ายๆ รอให้สนิทกันก่อนแล้วค่อยอาบน้ำด้วยกันก็ได้

หลังจากนั้นมา ทุกครั้งเวลาที่ศีลแปดกับมู่น่าออกมาด้วยกันตามลำพัง เขาก็จะอาบน้ำต่อหน้ามู่น่า ส่วนมู่น่าหลังจากเคยชินแล้ว นางก็ไม่เขินอายอีกเลย จะนั่งงอเข่าอยู่ริมน้ำพร้อมเอามือสองข้างเท้าคางมองดูเขาเงียบๆ

จำเป็นต้องยอมรับ ว่าศีลแปดมีหน้าตาเป็นจุดขายจริงๆ กอปรกับเวลาตั้งใจอวดเสน่ห์ลีลา การมองเขาอาบน้ำจึงเป็นเรื่องที่สบายใจสบายตา มู่น่าชอบดู…

ในวันหนึ่งหลังจากนั้นสองปี มู่น่าที่กำลังอาบน้ำก็ตกใจจนไปหลบหลังโขดหินอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะจู่ๆ ศีลแปดก็มาโผล่ที่ริมฝั่ง

“มู่น่า ในใจเจ้ามีความคิดฟุ้งซ่านเหรอ?” ศีลแปดถามพร้อมรอยยิ้ม

มู่น่าที่หลบอยู่หลังโขดหินส่ายหน้า

เพื่อที่จะพิสูจน์ว่ามู่น่ามีความคิดฟุ้งซ่านหรือไม่ ศีลแปดก็ถอดเสื้อผ้าลงไปแช่ในสระน้ำเหมือนกัน อยู่ห่างกับมู่น่าโดยมีโขดหินกั้นก้อนเดียว เขายื่นมือไปหามู่น่า พร้อมบอกว่า “มีความคิดฟุ้งซ่านหรือไม่ แค่ทดลองดูก็รู้แล้ว ส่งมือมาให้ข้า!”


1025


บทที่ 1026 บงกชทองขั้นสาม

แววตาของมู่น่าค่อนข้างงุนงง เหมือนไม่ค่อยเข้าใจว่าการมีความคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ แต่ก็ยังยื่นมือไปไว้บนฝ่ามือของเขา

ดังนั้นบนใบหน้าศีลแปดจึงเผยรอยยิ้มสะอาดบริสุทธิ์และเป็นมิตรออกมา ค่อยๆ ดึงมู่น่าที่กำลังเขินอายปนงงงวยออกมาจากหลังโขดหิน ปรากฏว่าแค่มองแวบเดียวก็ไม่อาจต้านทานเรือนร่างขาวหมดจดปานเทพธิดาที่แช่อยู่ในน้ำของนางได้ จึงโอบนางไว้แล้วจูบนริมฝีปากเสียเลย ส่วนมือก็เริ่มลูบไล้ไปทั่วร่างกาย

มู่น่ากังวลแล้ว ลองผลักเขาสองสามครั้ง ทว่านางก็เริ่มค่อยๆ สูญเสียสติสัมปชัญญะเช่นกัน เหมือนจะตัดใจทิ้งรสชาตินี้ไม่ลง ก็เลยกอดเขาไว้เสียเลย

หลังจากผ่านไปนาน ผลประโยชน์ที่ควรตักตวงก็ได้ตัดตวงแล้ว ศีลแปดปล่อยนาง ไม่ได้ทำอะไรนางอีก กลับหันหลังให้นางเงียบๆ แล้วใช้มือสองข้างวักน้ำเย็นใสในสระใส่ใบหน้า

มู่น่ากลับเป็นฝ่ายข้ามากอดเขาจากข้างหลัง พร้อมกล่าวอย่างขวยเขิน “ศีลแปด ข้ามีความคิดฟุ้งซ่าน ข้าไม่อยากเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว!”

ถ้าให้คนอื่นของเผ่าปีศาจได้ยินคำพูดนี้ ก็ไม่รู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร

ศีลแปดกลับเงยหน้ารับแสงจันทร์สุกสกาวพลางถอนหายใจยาว “ศีลเจ็ด ทำไมเจ้าไม่ลงนรกไปซะ!”

“ใครลงนรกนะ?” แววตาใสซื่อบริสุทธิ์ของมู่น่าฉายแววสงสัย

“มารร้ายตนหนึ่ง!” ศีลแปดตอบ

และก็ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มู่น่าก็จะชอบมาอาบน้ำกับศีลแปด ถึงขั้นเป็นฝ่ายรุกดึงศีลแปดมาอาบน้ำด้วยกันหลายครั้งด้วย

เพียงแต่ศีลแปดกลัดกลุ้มมาก ส่วนมู่น่าก็เกิดความกลัดกลุ้มเช่นกัน ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่าหญิงชายต้องทำอะไรกัน นางเคยได้ยินผู้หญิงคนอื่นๆ ของเผ่าปีศาจคุยกันมาก่อน แต่ในสายตานาง ศีลแปดเป็นคนที่ไม่มีความคิดฟุ้งซ่านเลย เพราะไม่เคยทำแบบนั้นกับนางเลย…

หลังจากนั้นหลายปี ปีศาจโลหิตก็กลับมาแล้ว ตอนนี้ก็กำลังอยู่ในสระน้ำด้วย นางเข้ามาเกาะแกะพัวพันกับศีลแปดอย่างปฏิเสธใจตัวเองลำบากอีกแล้ว

นางสับสนมาก นางพบว่าตัวเองจากเขาไปไม่ได้ ยิ่งไปไกลในใจก็ยิ่งเป็นห่วงเขา มักอดไม่ได้ที่จะเดินทางมาหาเขาจากที่ไกลๆ แต่นางก็ไม่อาจครอบครองเขาได้อย่างถึงที่สุด ทำให้นางรับความขื่นขมทรมานเต็มที่ จิตมารกำเริบรุนแรง

ภูเขาเขียวสายน้ำมรกต น้ำตกน้ำตกกระเซ็นสาด สระน้ำมรกตกระเพื่อมสั่นไหว ศีลแปดกำลังนั่งสมาธิบนโขดหิน

ปล่อยให้ปีศาจโลหิตกอดจูบลูบไล้ตัวเองอย่างหิวกระหาย ศีลแปดยังคงไม่สะทกสะท้าน สุดท้ายก็ทำให้ปีศาจโลหิตโมโหอีกครั้ง ดึงเขาให้ตกลงมาในน้ำ แล้วด่าทออย่างชั่วร้ายอำมหิต

ศีลแปดที่ยืนขึ้นในน้ำยิ้มเจื่อน พร้อมบอกว่า “ที่จริงข้าก็อยากลองทำแบบนั้นกับเจ้าสักครั้ง เพียงแต่ทำไม่ได้”

“ทำไมไม่ได้? หรือเป็นเพราะข้าหน้าตาอัปลักษณ์เกินไป เจ้าเลยไม่สนใจ?” ปีศาจโลหิตถามอย่างระงับความโกรธไม่ไหว

ศีลแปดถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข้าโดนร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับจุดหยาง”

“ระงับจุดหยาง?” ปีศาจโลหิตตะลึงค้าง จากนั้นก็จับมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูท่านที แล้วกล่าวอย่างโมโหมากว่า “ใครมันทำ ข้าจะไปฆ่ามัน!”

“อาจารย์ข้าเอง!” ศีลแปดตอบไปส่งเดช

“…” ปีศาจโลหิตอ้าปากค้างพูดไม่ออก ใบหน้าโกรธนิ่งชะงัก

ดังนั้นศีลแปดที่ปะปนอยู่ที่เผ่าปีศาจมาหลายปีจึงจากที่นี่ไปแล้ว ติดตามปีศาจโลหิตไป เพราะปีศาจโลหิตสาบานว่าต้องหาวิธีคลายผนึกให้ได้ นี่ก็เป็นสิ่งที่ศีลแปดปรารถนาเหมือนกัน ย่อมต้องติดตามนางไป แต่ไม่มีหนทางจริงๆ อาศัยวรยุทธ์ของปีศาจโลหิต ไม่น่าเชื่อว่าจะคลายการระงับจุดหยางของไต้ซือศีลเจ็ดไม่ได้

ก่อนจะเดินทางไป ศีลแปดก็ไม่ได้กลับมากล่าวอำลา เพียงบอกเผ่าปีศาจคนหนึ่งที่บังเอิญเจอกันใต้ต้นโบราณสูงเทียมฟ้า ให้เขาช่วยไปบอกผู้อาวุโสมู่เซินแทน

หลังจากนั้น ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าที่ทราบข่าวก็รีบร้อนตามมา นางเคลื่อนไหวว่องไวราวกับหงส์ตื่นตระหนก เหาะลงมาในสระน้ำ ค่อยๆ นั่งย่อบนหินก้อนหนึ่งในสระน้ำโดยไม่ขยับไปไหน มองดูเงาสะท้อนกลับหัวของตัวเองในน้ำ จับหูที่แหลมของตัวเอง จนกระทั่งแสงจันทร์สะท้อนเงา หยดน้ำตาใสดุจอัณญมณีก็ไหลอาบแก้ม ไหลหยดลงในน้ำ…

เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก ชั่วพริบตาเดียวเก้าสิบปีแล้ว มนุษย์ธรรมดาแก่ตายไปแล้ว แต่สำหรับนักพรตกลับผ่านไปเร็วเหมือนดีดนิ้ว

ไข่มุขราตรีเม็ดหนึ่งวางอยู่ในห้องศิลา หลังจากผลักผู้ชายที่นอนทับอยู่บนร่างตัวเองออก มู่หรงซิงหัวก็ลุกขึ้นมาเก็บเสื้อผ้าของตัวเอง เฉิงจวินซิ่นที่เปลือยล่อนจ้อนลุกขึ้นนั่งแล้วบีบก้นนาง ทำให้มู่หรงซิงหัวบิดตัวหลบไปข้างๆ

เฉิงจวินซิ่นหัวเราะร่าทันที แล้วบอกว่า “อีกไม่กี่ปีการทดสอบก็จะจบลงแล้ว ถึงตอนนั้นทุกคนจะเป็นหรือตายก็ยังไม่รู้ ถ้าควรจะมีความสุขก็มีความสุขไปเถอะ จะสะดีดสะดิ้งทำไม? เมื่อครู่นี้เจ้ายังร้องครางอย่างผ่อนคลายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

พูดจบก็ลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้าขึ้นมา แล้วผิวปากเดินจากไป ทิ้งให้มู่หรงซิงหัวยืนกอดเสื้อผ้าเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น บนตัวยังมีรอยเขียวช้ำจากการโดนขยุ้มจับ  น้ำตานางค่อยๆ ไหลออกมา ร่ำไห้โดยไร้เสียง

พวกเยี่ยนจื่อเกอก็เริ่มซ่อนตัวแล้วเหมือนกัน ถ้าไม่ซ่อนตัวคงไม่ได้ กลุ่มของพวกเขามีกำลังแข็งแกร่งกว่าพวกเหมียวอี้เล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเทียบกำลังกับคนอื่นก็ยังสู้ไม่ได้ หลังจากเข่นฆ่ากันไปหลายรอบ ก็มีคนตายไปอีกสามคน เหลือแค่เขากับฉิงจวินซิ่น หันเฉาเฟิ่ง มู่หรงซิงหัว หยางไท่ สองคนหลังไม่ได้ออกแรงทำงานอย่างเต็มที่ รักษาชีวิตตัวเองให้รอดไว้ก่อน

ยิ่งเวลาล่วงเลยมาถึงตอนท้าย การเข่นฆ่าก็ยิ่งดุเดือด บรรดาผู้บัญชาการที่ตำหนักสวรรค์ส่งมา พอเจอหน้ากันก็สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ต่างก็ต้องการจะแย่งของของฝ่ายตรงข้าม ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเยี่ยนจื่อเกอก็ทำได้เพียงหลบภัยชั่วคราว หลบซ่อนอยู่ที่นี่มายี่สิบสามสิบปีแล้ว

ในตอนแรก มู่หรงซิงหัวเป็นของเล่นให้เยี่ยนจื่อเกอคนเดียว ทว่าหลังจากใช้ชีวิตแบบหลบซ่อนได้ไม่กี่สิบปี อีกทั้งที่นี่ก็มีนางคนเดียวที่เป็นผู้หญิง ดังนั้นภายใต้ความเงียบเหงาไม่มีอะไรทำ แค่คิดก็รู้ถึงผลลัพธ์แล้ว ตอนหลังเฉิงจวินซิ่นกับหันเฉาเฟิ่งก็ไม่เกรงใจนางเช่นกัน ทยอยกันครอบครองนางแล้ว ส่วนเยี่ยนจื่อเกอก็ทำเป็นปิดตาข้างเดียว

อย่างไรเสียในบรรดาพวกเขาสามคน ขอเพียงมีใครสักคนเกิดเบื่อเซ็งขึ้นมา ก็จะบุกเข้ามาหาความสำราญจากนางโดยไม่เกรงใจ มู่หรงซิงหัวเลยกลายเป็นของเล่นของทั้งสามไปเสียดื้อๆ ทั้งสามผลัดกันใช้นางเพื่อมาบรรเทาความเหงา

หยางไท่กลับไม่เคยแตะต้องนาง และไม่กล้าแตะต้องด้วย กลัวว่าถ้ากลับไปแล้วจะผ่านด่านของเฉาว่านเสียงไม่ได้ ส่วนเรื่องสกปรกระหว่างมู่หรงซิงหัวกับพวกเยี่ยนจื่อเกอ เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน แต่ยังคงทำเป็นไม่เห็นอะไร ทำเป็นไม่ได้ยินอะไร ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น…

ภายใต้ชั้นน้ำแข็งของดาวสองขั้ว อัคคีน้ำแข็งมโหฬารพันลึกที่ลอยอยู่บนโพรงน้ำแข็งหายไปแล้ว เปลวเพลิงรูปคนในเกราะน้ำแข็งบนตัวคางคกที่เหมียวอี้นั่งอยู่ก็อันตรธานหายไปแล้วเช่นกัน เมื่อสิบปีก่อนหน้านี้ เหมียวอี้ใช้เวลาไปแปดสิบปี ในที่สุดก็เก็บเกี่ยวไฟหยินหยางของที่นี่จนหมด เก็บมาไว้ใช้เองทั้งหมดแล้ว

สิ่งที่ได้มาก็คือ ดาวสีฟ้าและสีแดงในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์เพิ่มขึ้นเกือบสองล้านคู่ หรือพูดได้อีกอย่างว่า ความเร็วในการกลั่นกรองลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำเพิ่มขึ้นเกือบสองล้านลูกต่อวัน ความเร็วในการดูดซับพลังจิตวิญญาณก็เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าเช่นกัน นั่นก็คือผลงานหลังจากวรยุทธ์เพิ่ม ตอนนี้สามารถดูดซับยาแก่นเซียนได้วันละสามร้อยเม็ดแล้ว

และในขณะนี้ แท่นจิตตรงหว่างคิ้วก็ปรากฏวรยุทธ์บงกชทองขั้นสามยามเขาฝึกตน

“กร๊อบ!” เหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิพลันกำหมัดสองข้าง เสียงกระดูกดังมาก หมัดสองข้างที่กำอยู่บนหัวเข่าพลันแผ่ออก แสงสีแดงสองจุดบนฝ่ามือข้างซ้ายและขวาดูสะดุดตาเป็นพิเศษ

ปราณปีศาจโลหิตที่สะเทือนขวัญลอยม้วนออกจากแสงสีแดงสองจุดนั้นอย่างรวดเร็วราวกับเมฆที่โดนพายุพัดหอบ

ยาเม็ดโลหิตสองเม็ดที่ใช้งานมาตลอด ในที่สุดวันนี้ก็กลั่นกรองและดูดซับจนหมดแล้ว ที่เรียกว่ายาเม็ดโลหิตก็คือเม็ดบัวของบัวโลหิต แกนสีแดงสองจุดนี้ก็คือดีบัวของบัวโลหิตเม็ดบัว

สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้คิดไม่ถึงก็คือ หลังจากดีบัวสองต้นนี้หลุดพ้นจากพันธนาการของเม็ดบัวแล้ว ปราณปีศาจโลหิตที่ปล่อยออกมาก็รุนแรงกว่ายาเม็ดโลหิตแบบเดิมเยอะมาก ตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าใจ ว่าที่จริงแล้วปราณปีศาจโลหิตที่แฝงอยู่ในยาเม็ดโลหิตล้วนมาจากดีบัวสองต้นนี้

สิ่งที่ทำให้เขาทึ่งกว่านั้นก็คือ เขานึกไม่ถึงว่าพลังจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในยาเม็ดโลหิตสองเม็ดจะมากมายมหาศาลถึงขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เขาบรรลุระดับบงกชทองขั้นสามได้รวดเดียว ห่างจากบงกชทองขั้นสี่อีกไม่ไกลแล้ว พอลองคำนวณคร่าวๆ ยาเม็ดโลหิตหนึ่งเม็ดก็เกือบจะเท่ายาแก่นเซียนห้าล้านเม็ด

หารู้ไม่ว่า ยาเม็ดโลหิตเก้าเม็ดที่อยู่ในมือเขานี้ เดิมทีเป็นสิ่งที่ปีศาจโลหิตเตรียมไว้ให้ตัวเองใช้เพื่อบรรลุระดับบงกชรุ้ง ยังห่างไกลกับยาเม็ดโลหิตสำเร็จรูปที่ปีศาจโลหิตต้องการอีกไกลมาก มันเติบโตอยู่ในบัวโลหิตและยังไม่ถึงเวลาเก็บเกี่ยว ปรากฏว่าโดนเหมียวอี้เด็ดไปโดยไม่ได้พิจารณาให้รอบคอบ ถ้ารอให้สุกเต็มที่แล้วค่อยเด็ด พลังจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในนั้นก็จะน่าหวาดกลัวยิ่งกว่านี้

ขอถามหน่อยว่าเมื่อของแบบนี้โดนเหมียวอี้เด็ดหนีไป ตอนแรกปีศาจโลหิตจะไม่มาหาเรื่องเขาได้อย่างไร

ขณะที่กำลังใช้นิ้วฝั้นดีบัวสีแดงจ้าตาสองต้นมาตรวจดู จู่ๆ เหมียวอี้ก็คิ้วกระตุก ระฆังดาราที่อยู่ในกำไลเก็บสมบัติมีปฏิกิริยาบางอย่าง

ดีบัวสองต้นถูกกำไว้ในมือข้างหนึ่ง แล้วใช้มืออีกข้างหยิบระฆังดาราออกมาดู ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

เขาคาดไม่ถึงนิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่ามู่หรงซิงหัวจะส่งข้อความมาหาเขา มู่หรงซิงหัวถามว่า : อยู่หรือเปล่า?

หลังจากเหมียวอี้ลังเลครู่หนึ่ง ก็ตอบว่า : อยู่ มีเรื่องอะไร?

ในตอนนี้มู่หรงซิงหัวกำลังนั่งเปลือยกายอยู่ข้างเตียง แขนข้างหนึ่งสอดเสื้อผ้ามาปิดหน้าอก ส่วนมืออีกข้างถือระฆังดารา

นางเห็นกับตาตัวเองว่าการเข่นฆ่ากันระหว่างผู้บัญชาการเพื่อทำคะแนนทดสอบนั้นเหี้ยมโหดขนาดไหน นางไม่คิดว่าพวกเหมียวอี้จะยังรอดชีวิตอยู่ เพียงแต่เมื่อครู่นี้เพิ่งได้ยินเฉิงจวินซิ่นบอกไว้ก่อนจะออกไปว่าการทดสอบใกล้จะสิ้นสุดแล้ว จู่ๆ นางเลยอยากจะรู้ว่าพวกเหมียวอี้ตายหรือยัง

นางแค่อยากจะรู้ ว่าถ้าพวกเหมียวอี้ไม่ต้องใช้ชีวิตแบบนาง จะยังอยู่รอดปลอดภัยได้หรือไม่ นางแค่อยากจะพิสูจน์สักหน่อย อยากจะพิสูจน์จริงๆ

หลังจากได้รับคำตอบกลับมาจากเหมียวอี้ มู่หรงซิงหัวก็ตะลึงค้าง หัวเราะทั้งน้ำตาอยู่ตรงนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นบ้าประสาทเสีย ไม่รู้ว่ากำลังหัวเราะหรือร้องไห้

จนกระทั่งเหมียวอี้ถามนางอีกครั้งว่ามีธุระอะไร มู่หรงซิงหัวถึงได้ปาดน้ำตา ดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยว เหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ ถามกลับมาว่า : สวีถังหรานก็ยังไม่ตายเหรอ?

เหมียวอี้ : ก็ต้องอายุยืนกว่าเจ้าอยู่แล้ว มีธุระอะไรก็ว่ามา ถ้าไม่มีธุระอะไรก็อย่าทำให้ข้าเสียเวลา ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ

มู่หรงซิงหัว : ในมือเยี่ยนจื่อเกอมีนักโทษหลบหนีสองคน เจ้าอยากได้มั้ย?

เหมียวอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง พึมพำในใจว่าผู้หญิงคนนี้กำลังเล่นบ้าอะไรอยู่ : ก็ต้องอยากได้อยู่แล้วล่ะ เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้าจะมอบให้ข้า

มู่หรงซิงหัว : จะบอกว่ามอบให้เจ้าก็ไม่ถูก สุดท้ายพวกเราก็ยังต้องกลับไปรายงานผลการปฏิบัติงานที่ดาวเทียนหยวน ถ้าในมือทุกคนมีผลงานไว้บ้างก็จะรายงานผลได้สะดวก ข้าอยากจะให้เจ้าช่วยพูดกับผู้บัญชาการใหญ่ให้หน่อย

เหมียวอี้ : พูดอะไรแบบนี้ไปก็ไม่มีความหมาย ข้าพูดไว้ชัดเจนแล้ว เจ้าอย่ามาใช้มุกนี้เลย ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก

มู่หรงซิงหัว : ถ้าข้าเอาหัวของพวกเยี่ยนจื่อเกอกลับไปพร้อมกันด้วย เจ้าจะเชื่อมั้ย?

เหมียวอี้ : รอให้ข้าเห็นความจริงใจจากเจ้าแล้วค่อยว่ากัน

มู่หรงซิงหัว : ถ้าข้าทำสำเร็จแล้วจะติดต่อกลับไปอีกที

เหมียวอี้นั่งอยู่บนตัวปีศาจคางคก ในมือถือระฆังดาราพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด สุดท้ายก็ส่ายหน้า ไม่สนใจนางหรอก ถึงตอนนั้นถ้านางสร้างผลงานอะไรได้แล้วค่อยว่ากัน เขาไม่ได้ตกหลุมพรางง่ายๆ ขนาดนั้น

เมื่อเก็บระฆังดาราแล้ว เขาก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไว้ชั่วคราว นำดีบัวสองต้นในฝ่ามือออกมาอีกครั้ง หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็นำทวนเกล็ดย้อนของตัวเองออกมา นำดีบัวร่ายอิทธิฤทธิ์ใส่เข้าไปในค่ายกลของทวนเกล็ดย้อน จากนั้นกระโดดลงจากตัวปีศาจคางคก พอเริ่มโบกทวน ปราณปีศาจโลหิตก็พรั่งพรูออกมาจากตัวทวนท่ามกลางเสียงมังกรคำราม

ทวนขยับตามร่างกาย เหมียวอี้ปาดทวนแทงพักหนึ่ง คนออกทวนราวกับมังกรอยู่ท่ามกลางปราณปีศาจคละคลุ้ง ราวกับแหวกฟ้าคว้าฝน!


1026


บทที่ 1027 เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ฆ่า!

ทวนแดงกระพือม้วนเมฆโลหิต สีแดงขมุกขมัวเป็นแถบ แทบจะมองเห็นเงาคนในนั้นไม่ชัด

จนกระทั่งคนในนั้นเก็บทวนแล้วยืนขึ้น ปราณปีศาจโลหิตถึงได้สลายไปเสมือนพายุหอบพัดเอาเศษปุยเมฆ

ขณะมองดูทวนที่ลูบอยู่ในมือ เหมียวอี้ก็พยักหน้าเบาๆ เมื่อมีปราณปีศาจโลหิตพวกนี้คอยช่วย ก็ยังช่วยเหลือตนได้หลายส่วนยามเข่นฆ่า แต่ถ้าคิดจะใช้ปราณปีศาจโลหิตปราบนักพรตบงกชทอง ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เขาเคยอยู่ในค่ายกลมารโลหิตของปีศาจโลหิตมาก่อน ถ้าปราณปีศาจโลหิตพวกนี้ได้เห็นเลือด ถ้าใครถูกทวนด้ามนี้ของตนทำร้ายให้บาดเจ็บ ผลลัพธ์ก็ต่างออกไปแล้ว เหมือนกับจงหลีค่วย ขนาดโดนฝ่ามือโลหิตครั้งเดียวก็ยังทนรับไม่ไหวเหมือนกัน แบบนี้ตัวเองจะได้ไม่ต้องใช้เปลวเพลิงไร้รูปร่างในต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์

พอนึกถึงเปลวเพลิงไร้รูปร่าง เหมียวอี้ก็พลิกฝ่ามือแบออกมา ในฝ่ามือมีเปลวเพลิงกลุ่มหนึ่งที่แทบจะมีรูปร่างลอยออกมา ราวกับเป็นน้ำสะอาดกองหนึ่ง แต่กลับกำลังลุกไหม้เหมือนไฟ

หลังจากต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์มีดาวสีฟ้าและแดงเพิ่มมาอีกสองล้านคู่ เหมียวอี้ก็นึกว่าเปลวเพลิงไร้รูปร่างจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทว่าความจริงกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เปลวเพลิงไร้รูปร่างไม่ได้มีเค้าว่าจะเพิ่มขึ้นเลย แต่กลับแข็งแรงและเกาะตัวกันมากขึ้น เปลี่ยนจากล่องหนกลายเป็นมีรูปร่างเหมือนของจริงแล้ว

เขาเก็บฝ่ามือ เปลี่ยนจากฝ่ามือเป็นชี้นิ้ว ชี้ควบคุมไปยังเปลวเพลิงที่กะพริบเงาแสงมันวาวราวกับระลอกน้ำ ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก เปลวเพลิงหดและก่อตัวกลายเป็นกระบี่เล็กโปร่งแสงเล่มหนึ่งที่ยาวเท่านิ้วมือหนึ่งนิ้วทันที พอเหมียวอี้สะบัดนิ้ว ซวบ! กระบี่เล็กโปรงแสงยิงออกมาราวกับลูกธนูทันที

บึ้ม! เกิดเสียงดังสะเทือน ผนังหินที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรพังทลายทันที ปรากฏเป็นโพรงโพรงหนึ่ง

วิ๊ง! ในโพรงกะพริบแสง เปลวเพลิงร้อนที่มีสีเหมือนน้ำกลุ่มหนึ่งทะลักกลับออกมาจากโพรงผนังหิน กลายเป็นกระบี่เล็กโปร่งแสงเล่มหนึ่งยิงกลับมาอีก ยิงใส่เข้ามาในร่างกายของเหมียวอี้ แต่ก็ไม่เห็นเหมียวอี้ได้รับบาดเจ็บอะไร กระบี่เล็กโปร่งแสงอันตรธานหายไปแล้ว

ฉึก! เหมียวอี้เสียบทวนในมือลงบนพื้น พลิกฝ่ามือสองข้างยกขึ้นฟ้า พรึ่บ! รอบกายเกิดเปลวเพลิงร้อนแรงลุกโชนทันที ถูกเปลวเพลิงรูปน้ำห่อหุ้มกายไว้แล้ว

เพี้ยะ! เห็นเหมียวอี้ตบฝ่ามืออีกหนึ่งครั้ง เปลวเพลิงเดือดรอบกายก่อตัวเป็นกระบี่เล็กโปร่งแสงนับร้อยเล่มทันที ตามการโบกแขนทั้งสองข้างของเหมียวอี้ ซวบๆๆ!มันถูกยิงออกไปทางซ้ายและขวาพร้อมกันอย่างรวดเร็ว ตอนที่ใกล้จะยิงโดนผนังหินทางซ้ายและขวาที่อยู่ไกลออกไปหลายร้อยเมตร กระบี่ก็หยุดชะงักแล้วยิงกลับมา มาหมุนวนอยู่รอบกายเหมียวอี้ด้วยความเร็วสูง แล้วจู่ๆ ทั้งหมดก็ระเบิดกลายเป็นเปลวเพลิงเดือดอีกครั้ง พอกองเพลิงหดหาย ก็กลายเป็นแสงสว่างกลุ่มหนึ่งที่ห่อหุ้มร่างเหมียวอี้เอาไว้ สะท้อนแสงเหมือนระลอกน้ำ

การเปลี่ยนแปลงรูปร่างจริงของเปลวเพลิงไร้รูปร่างแบบนี้ เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน เหมือนกลายเป็นของวิเศษชิ้นหนึ่งจริงๆ ทั้งยังไม่ใช่ของวิเศษธรรมดาทั่วไปด้วย ของวิเศษชิ้นนี้เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา ใช้อิทธิฤทธิ์เคลื่อนไหวตามใจอยาก เหมือนแขนที่บงการนิ้ว สามารถควบคุมได้ตามใจตัวเอง สะดวกเป็นที่สุด

เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา เห็นได้ชัดว่าเปลวเพลิงไร้รูปร่างนี้อยู่ในอีกระดับหนึ่งแล้ว ถ้าเรียกว่าเปลวเพลิงไร้รูปร่างอีกคงไม่เหมาะแล้ว หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็พึมพำว่า “เพลิงจิต…”

จากนั้นก็พยักหน้าทันที เอาตามนี้แล้วกัน มันเรียกว่าเพลิงจิต

เกราะแสงน้ำพลันทลายกลายเป็นเปลวเพลิงเดือด มันหดตัวอย่างรวดเร็ว ราวกับภาพของเปลวเพลิงเดือดที่โดนดับให้มอด จมลงไปในร่างกายเหมียวอี้ในชั่วพริบตาเดียว

เหมียวอี้ยื่นมือไปดึงทวนเกล็ดย้อนที่อยู่ตรงหน้า หลังจากลังเลครู่หนึ่ง ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์เก็บดีบัวต้นหนึ่งออกมาจากทวนเกล็ดย้อน เสร็จแล้วถึงได้เก็บทวนเกล็ดย้อนไป พร้อมถือโอกาสเรียกเกราะรบผลึกแดงระดับสูงที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้ออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์นำดีบัวต้นนั้นใส่เข้าไปในแกนค่ายกลของเกราะรบ

เกราะรบหมุนเลื้อยจากข้อมือขึ้นมาข้างบน ห่อหุ้มทั้งตัวเขาอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็สวมใส่เสร็จแล้ว

เหมียวอี้กำหมัดสองข้าง พอกระตุ้นผลึกบรมอัคคีในเกราะรบ เปลวเพลิงเดือดกลุ่มหนึ่งก็ระเบิดออกมารอบกาย เป็นเปลวเพลิงสีแดง เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ในนั้นราวกับเป็นเทพอัคคี

เปลวเพลิงเดือดพลันหดหาย ผ่านไปแวบเดียว ก็มีปราณปีศาจโลหิตเข้มข้นหมุนม้วนออกมาลอยวนเวียนรอบกายราวกับเมฆโลหิตที่โดนพายุพัด เมื่อประกอบกับเกราะรบสีแดงบนตัว ภายใต้ความดุร้ายที่ถูกขับให้เด่นชัด ทำให้เขาเหมือนปีศาจร้ายกระหายเลือด

เหมียวอี้ก้มหน้ามองเกราะบที่อยู่บนตัว เกราะเกล็ดบนตัวพลันกางออกอย่างช้าๆ เกราะเกล็ดและหนวดบนเกล็ดตั้งขึ้น ราวกับมีหนามแหลมขึ้นเต็มตัว เหมียวอี้เห็นแล้วแอบพยักหน้า ถ้าใครใช้หมัดเท้าทำร้ายบนร่างกายเขา เขาจะต้องทำให้อีกฝ่ายได้ลิ้มลองรสชาติยามปราณปีศาจเข้าร่างกายแน่ ปราณปีศาจโลหิตนี้ช่วยเพิ่มการป้องกันที่สามารถทำร้ายฝ่ายตรงข้ามได้

เมื่อเกล็ดบนเกราะหุบลง ปราณปีศาจโลหิตก็สลายไป เกราะรบพลันหมุนออกจากตัวและพับตกลงในฝ่ามือของเหมียวอี้ ถูกเหมียวอี้พลิกฝ่ามือเก็บเข้าไปแล้ว

เขาหันกลับมามองรอบๆ จากนั้นเดินไปข้างกายปีศาจคางคกแล้วยื่นมือลูบร่างกายมหึมาของมัน อยู่มาหลายปีขนาดนี้ เขาสังเกตเห็นแล้ว ว่าจุดประสงค์ที่ปีศาจคางคกกดทับปากหลุมไฟใต้ดินอยู่ ก็เพื่อจะรวบรวมธาตุไฟที่อยู่ในไฟหยาง ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องรอให้ผ่านไปอีกกี่ปี มันถึงจะฟื้นสภาพกลับมาเป็นเหมือนตอนก่อนที่เขาจะดูดซับได้

แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อตัวเองหาที่นี่พบแล้ว อีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ ตัวเองก็สามารถมาดูดซับอีกได้

เมื่อเงยหน้ามองดวงจิตน้ำแข็งผืนใหญ่บนโพรงน้ำแข็ง เหมียวอี้เองก็ไม่ได้คิดจะย้ายมันไปด้วย หลายปีมานี้เขาก็ได้ค้นพบแล้ว ที่นี่วางค่ายกลเล็กๆ เอาไว้ มีบทบาทเหมือนกับปีศาจคางคก มีไว้ใช้รวบรวมอัคคีน้ำแข็งเท่านั้น พอเป็นแบบนี้ ตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องทำลายที่นี่เลยจริงๆ แค่รอมาเก็บเกี่ยวตอนหลังก็พอแล้ว

เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว เขาก็เตรียมจะออกไปจากที่นี่ ตอนนี้ที่นี่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขามากแล้ว ถ้าจะฝึกตนอีกก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอยู่ที่นี่ แล้วอีกไม่ถึงสิบปีการทดสอบก็กำลังจะจบลง เขาต้องกลับไปอยู่ข้างกายพวกสวีถังหรานแล้ว

จากนั้นเขาก็ถลันตัวกลับมาในห้องศิลาห้องนั้นอีก จ้องภาพผู้หญิงทะยานฟ้าบนผนังหินนานมาก ผู้หญิงคนนี้ทิ้งความสงสัยเคลือบแคลงไว้ในใจเขามากมาย

หลังจากขึ้นมาจากก้นน้ำแข็งสูงหมื่นจั้ง เหมียวอี้ก็กลับมาทันที หลังจากเจอกับพวกสวีถังหราน ก็เข้ามาฝึกตนที่ถ้ำหินต่อไป ในมือยังมียาเม็ดโลหิตที่เพียงพอสำหรับใช้งาน อีกไม่ถึงยี่สิบปีก็จะสามารถบรรลุระดับบงกชทองขั้นสี่แล้ว เวลาที่ไม่ถึงสิบปีนี้ จะต้องรอให้ถึงตอนสุดท้ายถึงจะออกไปได้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้โอกาสฝึกตนที่สงบเงียบ ย่อมไม่ยอมพลาดอยู่แล้ว…

หลังจากนั้นหนึ่งปี ในถ้ำหินเช่นเดียวกัน หลังจากอาบน้ำแต่งตัวแล้ว มู่หรงซิงหัวก็นั่งประทินโฉมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว นางก็ออกมาจากถ้ำหิน เมื่อมาถึงหน้าถ้ำหินของเยี่ยนจื่อเกอ นางก็ถามว่า “ผู้บัญชาการเยี่ยน”

“เข้ามาเถอะ” เยี่ยนจื่อเกอที่อยู่ข้างในส่งเสียงตอบกลับมา

พอมู่หรงซิงหัวเข้ามาข้างใน เยี่ยนจื่อเกอที่กำลังนั่งขัดสมาธิก็ตาเป็นประกาย รู้สึกว่าวันนี้มู่หรงซิงหัวมีท่าทางต่างออกไป ให้ความรู้สึกสวยสง่าเย้ายวนใจ เขาหยุดใช้วิชาฝึกตนทันที แล้วกวักมือเรียกมู่หรงซิงหัว “มานั่งตรงนี้สิ!”

เห็นได้ชัดว่ามู่หรงซิงหัวไม่อยากเข้าใกล้เขา นางไม่ได้เดินเข้าไป ได้แต่ยืนเว้นระยะห่างแล้วถามว่า “ข้ามาเพราะอยากจะถามเจ้าสักหน่อย ใกล้จะหมดเวลาการทดสอบแล้ว ถึงตอนนั้นการเข่นฆ่าจะดุเดือดกว่าเดิม พวกเราจะผ่านด่านยากนี้ไปได้ยังไง?”

“เรื่องนี้ข้าย่อมมีการเตรียมตัวอยู่แล้ว” ขณะที่พูด เยี่ยนจื่อเกอก็ถลันตัวเข้ามาแล้ว

มู่หรงซิงหัวหันหน้าเดินออกมาทันที แต่กลับโดนเขาดึงแขนไว้แล้วกระชากมากอด พร้อมพูดหยอกล้อว่า “เป็นผัวเมียกันแล้ว จะหลบทำไม”

ส่วนเหตุการณ์หลังจากนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นอย่างไร เขากระทำชำเรานางอย่างบ้าระห่ำ

ทว่าตอนที่เยี่ยนจื่อเกอกำลังสนุกสนานจนลืมตัว มู่หรงซิงหัวที่ถูกกดทับอยู่ใต้ร่างกายของเขาก็พลันโบกมือกวาด แสงเย็นสายหนึ่งแวบผ่าน เยี่ยนจื่อเกอไม่ทันได้กรีดร้องออกมาด้วยซ้ำ ในดวงตาที่เบิกโพลงเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ศีรษะกระเด็นแล้ว เลือดร้อนๆ พุ่งออกจากคอที่ขาด

ต่อให้นอนหลับฝันเขาก็นึกไม่ถึง ว่ามู่หรงซินหัวที่ต้องการจะพึ่งพาเขาเพื่อให้รอดชีวิตผ่านด่านยาก จะลงมือลอบทำร้ายเขาแบบนี้

มู่หรงซิงหัวร่ายอิทธิฤทธิ์กันเลือดสดที่พุ่งเข้ามาใส่หน้า ผลักร่างไร้ศีรษะที่กดทับอยู่บนตัวออกไป แล้วพึมพำด้วยสีหน้าสะอิดสะเอียน “ไม่รู้เหรอว่าบนหัวตัวอักษร ‘บ้ากาม’ มีตัวอักษร ‘มีดด้ามหนึ่ง’ อยู่ด้วย?”[1] ในมือยังถือดาบที่เปื้อนเลือด แทงบนร่างของเยี่ยนจื่อเกอดาบแล้วดาบเล่า แทงจนกระทั่งร่างพรุนยับเยิน

จากนั้นนางก็รีบจัดการตัวเอง เก็บกวาดสถานที่ใหม่อีกรอบ หลังจากแต่งเนื้อแต่งตัวใหม่อีกครั้ง นางก็ออกไปจากที่นี่ ไปหาเฉิงจวินซิ่นกับหันเฉาเฟิ่งเพื่อคุยเรื่องสิ้นสุดการทดสอบ…

หลังจากผลักร่างเปลือยไร้ศีรษะของหันเฉาเฟิ่งที่กดทับอยู่บนร่างกายตนออกไปแล้ว มู่หรงซิงหัวก็ลุกขึ้นในสภาพเปลือยเปล่า นำศีรษะสามใบที่ถูกตัดอย่างง่ายดายแต่ตายตาไม่หลับมาวางเรียงไว้ด้วยกัน จากนั้นก็ถือดาบที่เปื้อนเลือดขึ้นมาทั้งๆ ที่ตัวเองยังแก้ผ้า แล้วกางแขนหมุนตัว ราวกับกำลังเต้นระบำ แต่ใบหน้ากลับยิ้มอย่างขื่นขม ราวกับอยากให้ทั้งสามมองดูเสียให้พอ…

“หยางไท่ ผู้บัญชาการเยี่ยนเรียกพวกเราไปคุยเรื่องการทดสอบ”

หยางไท่กำลังนั่งสมาธิฝึกตน เมื่อเสียงของมู่หรงซิงหัวดังมาจากนอกห้องถ้ำ เขาก็ลืมตาแล้วตอบทันที “กำลังจะไปเดี๋ยวนี้”

จากนั้นก็ทำสีหน้าเหยียดหยาม คิดในใจว่าเยี่ยนจื่อเกอให้เจ้ามาเรียก เจ้าคงจะเพิ่งใส่เสื้อผ้าเสร็จหลังจากอยู่กับเยี่ยนจื่อเกอมาสินะ

เมื่อออกจากปากถ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าจะเห็นมู่หรงซิงหัวกำลังยืนรอเขาอยู่ข้างนอก ทำให้รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็สังเกตเห็นว่ามู่หรงซิงหัวกำลังขมวดคิ้วเหมือนคิดอะไรอยู่ อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เป้นอะไรไป?”

“เจ้าคิดว่าพวกเราอยู่กับพวกเขาแล้วจะกลับไปได้อย่างราบรื่นหรือเปล่า?” มู่หรงซิงหัวถ่ายทอดเสียงถาม

“เฮ้อ!” หยางไท่ถอนหายใจยาว ว่ากันตามจริง หลังจากได้เห็นความห้าวหาญดุดันของอำนาจแต่ละฝ่ายแล้ว เขาเองก็ไม่ได้มั่นใจเท่าไรนัก แต่ก็หาที่ไปไม่ได้แล้วจริงๆ ส่ายหน้าตอบว่า “ไปดูก่อนแล้วกันว่าพวกเขาจะเอายังไง”

พูดจบก็หันตัวจะเดินออกไป แต่ใครจะไปคาดคิด เพิ่งจะหันตัวไปก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ผิดปกติ รอจนกระทั่งพบความไม่ชอบมาพากลและกำลังจะโต้ตอบ เขาก็รู้สึกเจ็บที่หลัง ทั่งร่างนิ่งชะงัก ก้มหน้ามองที่หน้าอกของตัวเอง เห็นเพียงคมดาบด้ามหนึ่งแทงโผล่ออกมาจากหัวใจ เลือดสดหยดย้อย

“นางแพศยา!” หยางไท่คำรามจากอย่างเจ็บปวด

ตุ้บ! ข้างหลังโดนเท้าถีบ มู่หรงซิงหัวใช้เท้าถีบจนเขากระเด็นออกไป

หยางไท่กระแทกบนไหล่เขาแล้วกลิ้งลงมา พอร่างหยุดกลิ้งแล้ว ก็ใช้มือกุมหน้าอกที่มีเลือดออก มองดูมู่หรงซิงหัวเหาะมาเหยียบลงข้างกายตน นางกำลังถือดาบและจ้องมองตนอย่างเย็นเยียบ

หยางไท่ที่หัวใจพังถามอย่างสิ้นหวังและอ่อนแรงว่า “ข้าไม่เคยล่วงเกินเจ้า ทำไมต้องทำร้ายข้าด้วย!”

สิ่งที่ตอบเขามีเพียงดาบด้ามเดียว นางตัดหัวเขาทิ้งเสียเลย

มู่หรงซิงหัวเช็ดรอยเลือดบนดาบ พลางพึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าไม่เคยล่วงเกินข้า แต่ข้าอยากจะทำตัวเป็นคนใหม่ พอเจ้าตายก็ไม่มีใครรู้แล้ว ข้าอยากเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่!”

หลังจากได้สติกลับมาจากอาการจิตใจเหม่อลอย นางก็หยิบระฆังดาราออกมา

ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ที่กำลังฝึกตนก็ได้รับข้อความจากนาง : พวกเยี่ยนจื่อเกอตายแล้ว นางโทษสองคนในมือพวกเขาอยู่กับข้าแล้ว

หลังจากคุยกันแล้ว เหมียวอี้ก็ออกมาจากห้องถ้ำ แล้วเรียกพวกสวีถังหรานออกมาเจอหน้ากัน เล่าเรื่องของมู่หรงซิงหัวให้ฟังรอบหนึ่ง

สวีถังหรานได้ยินแล้วรีบโบกมือบอกว่า “น้องหนิว อย่าไปเชื่อง่ายๆ เชียวนะ อาศัยนางน่ะเหรอจะฆ่าพวกเยี่ยนจื่อเกอได้ ในนั้นต้องมีแผนลับอะไรแน่นอน ไม่แน่นางอาจจะอยากฉวยโอกาสรู้ตำแหน่งของพวกเราก็ได้  จะได้มาแย่งของในมือเราได้สะดวก”

“ข้าบอกที่อยู่ของพวกเราไปแล้ว!” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม

“หา!” สวีถังหรานกระทืบเท้าทันที่ “เจ้าเลอะเลือน! น้องหนิว เจ้าเลอะเลือนไปนะ! แต่ก็ยังดีที่บอกทัน พวกเราย้ายที่กันตอนนี้เลยเถอะ”

…………………………

[1] 色字头上一把刀 ตัวอักษร ‘บ้ากาม’ มีตัวอักษร ‘มีดด้ามหนึ่ง’ อยู่บนหัว   ส่วนบนของตัวอักษร色 ที่แปลว่าบ้ากาม ประกอบด้วยตัวอักษร 刀 ที่แปลว่ามีด


1027



บทที่ 1028 ตอนจบของการทดสอบ

ท่าทางหวาดกลัวอยากจะหลบหนีของเขา ทำให้ปานเยว่กงกับชิงเหมยอดไม่ได้ที่จะสบตากัน นับว่าคลุกคลีกับสวีถังหรานมาหลายปีแล้ว พวกเขาพบว่าถึงแม้จะเป็นผู้บัญชาการของตำหนักสวรรค์เหมือนกันหมด แต่ทำไมมีความแตกต่างกันมากขนาดนี้? น้ำจิตน้ำใจของคนคนนี้เทียบกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ติดเลย

เหมียวอี้ยื่นมือไปเขี่ยบ่าสวีถังหราน “จะหนีทำไม! ถ้าอีกฝ่ายจับจ้องพวกเราจริงๆ ถ้าต้องการจะกินเนื้อพวกเราให้ได้ จะหนีไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้หนีไป แต่ตอนหลังก็ต้องสู้กันอยู่ดี บนเส้นทางก่อนการทดสอบจะจบลง การสู้กันสักตั้งก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้! ในเมื่อเป็นฝ่ายมาหาพวกเราถึงที่ ไม่สู้กำจัดปัญหาทิ้งไปก่อนเลยดีกว่า ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าใครจะกินใครกันแน่!”

ในน้ำเสียงเผยให้เห็นความมั่นใจหลายส่วน หลังจากวรยุทธ์สูงขึ้นสองขั้น เขาก็อยากจะหาคนมาทดลองฝีมือสักหน่อย

“น้องหนิว ไตร่ตรองให้ดีเถอะ!” สวีถังหรานอุทาน

“เอาตามนี้แล้วกัน!” เหมียวอี้ยิ้มบางๆ ไม่ยอมให้เขาปฏิเสธ พูดจบก็หันตัวเดินออกไปเลย

“เจ้า…” สวีถังหรานโมโหจนกระหัดกระหอบ รีบหันกลับไปหาปานเยว่กงและฮูหยิน “พี่โหย่วไฉ นี่ไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดแน่นอน ได้โปรดช่วยเกลี้ยกล่อมสักหน่อยเถอะ”

“ข้าว่าน้องสวีต้องมั่นใจในตัวเขาสักหน่อยนะ ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว คาดว่าเขาคงมีแผนในใจแล้วล่ะ ไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมอีก” ปานเยว่กงตอบพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็จูงมือฮูหยินเดินกลับห้องถ้ำด้วยกันทันที

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา สวีถังหรานก็เริ่มหวาดระแวงแล้ว

หลังจากนั้นสิบวัน เหมียวอี้ก็ยืนอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟสูงเพียงลำพัง เงยหน้ามองมู่หรงซิงหัวเหาะลงมาจากฟ้า แล้วทั้งสองก็ยืนอยู่ตรงข้ามกัน

เหมียวอี้แปลกใจนิดหน่อย มองสำรวจอีกฝ่ายศีรษะจดเท้า บอกไม่ถูกว่ามู่หรงซิงหัวที่อยู่ตรงหน้าให้ความรู้สึกอย่างไร ควรจะบอกว่านางสวยขึ้น แต่ในความสวยนั้นก็ยังมีรสชาติของการตายจากกันเพิ่มขึ้นมา บนใบหน้าที่เก็บสำรวมความรู้สึกมาตลอด ไม่น่าเชื่อว่าจะมีรอยยิ้มจางๆ รอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกแบบนี้ เหมือนจะไม่เคยเห็นจากตัวมู่หรงซิงหัวมาก่อน

มู่หรงซิงหัวที่ใบหน้าเจือรอยยิ้มก็มองสำรวจเขาเช่นกัน เมื่อเห็นเหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังอย่างทะนงตัว เผยความมั่นใจออกมารางๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะพร้อมถามว่า “จ้องข้าแบบนี้ทำไม? เพราะว่าข้าเป็นเมียน้อยของเฉาว่านเสียงเหรอ”

นางสามารถเป็นฝ่ายพูดก่อนว่าตัวเองเป็นเมียน้อยของเฉาว่านเสียง สิ่งนี้ยิ่งทำให้เหมียวอี้แปลกใจ “ไม่มีความหมายหรอก เกิดเป็นคนทำไมต้องกลัวว่าจะเลือกไม่ได้ ดังนั้นทุกคนต่างมีทางเลือกของตัวเอง ตราบใดที่ทางเลือกของเขาไม่ทำร้ายคนอื่น หรือไม่ได้ทำร้ายข้า ข้าก็ไม่เคยเก็บเรื่องนี้มาแยกแยะถูกผิดอยู่แล้ว เพราะมันไม่มีความหมายอะไรสำหรับข้า ตราบใดที่เจ้ารู้สึกว่าเส้นทางที่เจ้าเดินถูกต้อง นั่นก็เพียงพอแล้ว อย่างอื่นไม่มีอะไรเกี่ยวกับข้า ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าต่างกับเมื่อก่อนนิดหน่อย”

คำพูดนี้ทำให้มู่หรงซิงหัวได้ยินแล้วอบอุ่นหัวใจ แต่ยังถามว่า “เจ้ากำลังพูดเหน็บแนมข้าเหรอ?”

เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอบว่า “ถ้าเจ้าจะคิดแบบนี้ ข้าก็ช่วยไม่ได้แล้ว ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าเปลี่ยนไป จะพูดยังไงดีล่ะ รู้สึกเหมือนเจ้าได้ทิ้งอะไรบางอย่างไปแล้ว เหมือนพาตัวเองออกมาได้ บางทีข้าควรจะพูดว่า เจ้าเปลี่ยนเป็นสวยกว่าเมื่อก่อนแล้ว”

“เป็นแค่ดอกไม้โรยตกอับเท่านั้น ไม่ควรค่ากับคำชมหรอก ข้าจะถือว่าเจ้ากำลังเหน็บแนมข้าก็แล้วกัน ว่าแต่เจ้าเถอะ…” มู่หรงซิงหัวจ้องมองท่าทางที่เขายืนเอามือไขว้หลัง พร้อมถามกลับว่า “เจ้ามาเจอข้าคนเดียวเนี่ยนะ เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะมีเจตนาร้าย พาคนมาสู้กับเจ้าเหรอ?”

“ข้าไม่เห็นกลุ่มของพวกเจ้าอยู่ในสายตาเลยจริงๆ!” เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบ

“มีความมั่นใจขนาดนี้ สงสัยข้าจะเลือกไม่ผิด” มู่หรงซิงหัวพยักหน้า พอสะบัดมือหนึ่งที บนพื้นก็มีศีรษะคนสามใบ นอกจากพวกเยี่ยนจื่อเกอแล้วจะเป็นใครไปได้อีก

หลังจากแยกแยะใบหน้าให้ละเอียด เหมียวอี้ก็รู้สึกฉงนใจ ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะเด็ดหัวเยี่ยนจื่อเกอมาได้ พอเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าอีกฝ่ายจะมาพวกเยี่ยนจื่อเกอมาสู้กับพวกเขา จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “อาศัยความสามารถของเจ้า จะฆ่าพวกเขาได้ยังไง?”

“ข้ามีวิธีของข้าก็แล้วกัน ถึงอย่างไรก็เอาหัวคนมาให้เจ้าแล้ว ทำไมต้องถามมาก” พอพูดจบ มู่หรงซิงหัวก็โยนชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่โดนจี้สกัดจุดออกมา สภาพสะบักสะบอมมาก “นี่คือนักโทษหลบหนีที่พวกเขาจับได้ และเป็นความจริงใจที่ข้าแสดงให้เห็นด้วย”

หลังจากเหมียวอี้ตรวจดูแล้ว ก็พบว่าเป็นนักโทษหลบหนีสองคนจริงๆ งั้นเขาก็ไม่เกรงใจแล้ว เก็บมาไว้ทันที แล้วถามอีกว่า “ที่นี่มีหัวแค่สามหัว พวกเยี่ยนจื่อเกอเหมือนจะไม่ได้มีแค่สามคนหรอกใช่มั้ย?”

มู่หรงซิงหัวตอบอย่างสงบนิ่งว่า “คนอื่นตายไปก่อนแล้ว ตายไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ตายด้วยน้ำมือคนอื่นของตำหนักสวรรค์ ตอนนั้นอำนาจฝ่ายต่างๆ ล้วนเข่นฆ่ากันเองเพื่อแย่งผลงาน ในมีการนองเลือดอยู่ครั้งหนึ่ง พวกเราแทบจะตายกันหมด โชคดีที่มีอีกกลุ่มเข้ามาแย่งด้วย คนที่เหลือของเราถึงโชคดีหนีออกมาได้ หลังจากครั้งนั้นพวกเราก็ซ่อนตัวมาตลอด…พอมาดูตอนนี้แล้ว เหมือนพวกเจ้าก็ซ่อนตัวมาตลอดเหมือนกันนะ”

การเข่นฆ่ากันเองเป็นสิ่งที่อยู่ในความคาดหมายของเหมียวอี้มาตั้งแต่แรก เหมียวอี้ถามว่า “หยางไท่ล่ะ? ตายในครั้งนั้นเหมือนกันเหรอ?”

มู่หรงซิงหัวส่ายหน้า “หยางไท่เพิ่งตายได้ไม่นาน หลังจากพวกเราตัดสินใจจะกลับมา ก็เกิดทะเลาะกับพวกเยี่ยนจื่อเกอ หยางไท่โชคไม่ดีประสบเคราะห์” นางย่อมไม่บอกว่าตัวเองเป็นคนฆ่า ถามกลับว่า “สวีถังหรานล่ะ? ทำไมไม่เห็นเขา?” จุดนี้สำคัญมาก นางอยากรู้ว่าพวกเหมียวอี้ยังมีชีวิตอยู่ดีกันหมดเลยหรือเปล่า

เหมียวอี้ก็ไม่ใช่คนที่หยั่งรู้เหตุการณ์ จินตนาการไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นบนตัวมู่หรงซิงหัว เพียงแต่ยังสงสัยเรื่องการตายของพวกเยี่ยนจื่อเกอนิดหน่อย ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมบอก งั้นเขาก็ขี้คร้านจะถาม โบกมือชี้ไปไกลๆ พร้อมตอบว่า “เขากลัวว่าเจ้าจะมีเจตนาไม่ดี เลยไปเตรียมดักซุ่มอยู่ข้างๆ”

“ถ้าเปลี่ยนเป็นข้าก็คงสงสัยแบบนี้เหมือนกัน” มู่หรงซิงหัวมองตามที่เขาชี้ แล้วหันกลับมาถามอีกว่า “ข้าแสดงความจริงใจของตัวเองไปแล้ว เจ้าคงไม่ปฏิเสธที่จะรับคนเพิ่มสักคนเพื่อช่วยเหลืออีกแรงในการผ่านด่านสุดท้ายหรอกใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าเองก็ไม่อยากมีอะไรพัวพันกับทางเฉาว่านเสียง”

มู่หรงพยักหน้า “เจ้าไม่ต้องห่วง ตราบใดที่ข้ายอมถอดเสื้อผ้านอนเป่าหูอยู่ข้างหมอน เฉาว่านเสียงก็คุยง่าย ข้าเป็นแค่ของเล่นของเขา ที่จริงเขาก็ไม่อยากแตกคอกับโค่วเหวินหลานเพื่อข้าหรอก ถึงอย่างไรภูมิหลังของโค่วเหวินหลานก็เห็นๆ กันอยู่ เขาไม่กล้าทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเกินไป เรื่องน้อยดีกว่าเรื่องเยอะ ข้าไม่มีค่าในสายตาเขา หวังว่าพี่หนิวจะช่วยระงับความโกรธของผู้บัญชาการใหญ่โค่วให้ข้าด้วย!”

เหมียวอี้ตะลึงค้าง เหมือนจะนึกไม่ถึงว่านางจะพูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเฉาว่านเสียงได้อย่างใจกว้างตรงไปตรงมาขนาดนี้ สิ่งนี้กลับทำให้เขานับถืออยู่หลายส่วน ได้แต่พึมพำในใจว่า หลังจากได้ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตาย สงสัยจะทำให้ผู้หญิงคนนี้จะเปลี่ยนไปไม่น้อย…เขาพยักหน้าเบาๆ “เจ้าสามารถมอบนักโทษหลบหนีสองคนให้เพื่อช่วยผู้บัญชาการใหญ่ได้ หลังจากจบเรื่องเขาคงไม่ซักถามเอาเรื่องอีก”

เรื่องราวก็เจรจาจบลงอย่างเรียบง่ายแบบนี้ เหนือความคาดหมายของเหมียวอี้นิดหน่อย เจตนาในการต่อสู้ที่เคยก่อตัวในใจเงียบๆ ได้หายไปแล้ว

สวีถังหรานที่ได้เจอมู่หรงซิงหัวอีกครั้งก็รู้สึกผิดคาดเหมือนกัน ทั้งสามเจอหน้ากันอีกครั้ง แต่ขาดหยางไท่ไปคนหนึ่ง

สวีถังหรานเรียกได้ว่าสวมเกราะรบเรียบร้อยแล้ว เดรัจฉานสับปลับก็เตรียมไว้ข้างกายแล้วเช่นกัน

“หลายปีมานี้ ยามว่างพี่สวีก็ฝึกทำอาหารจนมีฝีมือดีแล้ว” เหมียวอี้บอกมู่หรงซิงหัวก่อน แล้วค่อยพยักหน้าให้สวีถังหราน “พี่สวี เพื่อนร่วมงานพบกันอีกครั้ง แสดงฝีมือสักหน่อยสิ”

เมื่อเห็นสวีถังหรานยังอยู่ดีมีสุข มู่หรงซิงหัวก็ยิ้มจากใจ ยิ้มสวยน่าประทับใจ!

ตอนนี้สวีถังหรานก็ชินกับการฟังคำสั่งของเหมียวอี้แล้ว ก็เลยถอดเกราะรบแล้วเข้าครัวทำอาหาร แต่กลับแอบไปคุยกับเหมียวอี้ส่วนตัว “น้องหนิว ทำไมข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลล่ะ ไม่ว่าข้าจะดูยังไงก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้แปลกๆ ไป การพูดจาและท่าที ไม่ค่อยเหมือนนางเท่าไรเลย แล้วอีกอย่าง ทำไมพวกเยี่ยนจื่อเกอถึงโดนนางฆ่าทิ้งได้ง่ายๆ ขนาดนี้?”

“จะสนใจอะไรมากขนาดนั้น ขอแค่พิสูจน์ได้ว่านางไม่เข้าร่วมกลุ่มกับเราเพื่อนทำร้ายเหมือนที่ทำกับพวกเยี่ยนจื่อเกอก็พอแล้ว เดี๋ยวตอนกลับไปรายงานผลงาน  พี่โหย่วไฉและฮูหยินไม่สะดวกจะประมือกับผู้บัญชาการคนอื่นๆ เพื่อช่วยพวกเรา ถึงตอนนั้นอาจจะเหลือแค่พวกเราสองคนแล้ว ถ้ามีผู้ช่วยเพิ่มมาอีกสักคนก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ประเด็นสำคัญคือจะผ่านด่านเฉาว่านเสียงได้หรือเปล่า ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัวเอง!”

“ไม่ใช่ ข้าแค่กังวลว่าผู้หญิงคนนี้จะมีเจตนาแฝงอีกอย่าง”

“ในเมื่อสงสัยว่านางมีเจตนาอะไรแอบแฝง งั้นก็ระวังนางไว้หน่อยก็พอแล้ว อย่าให้โอกาสนางลงมือก็พอ”

“ได้!” สวีถังหรานหันกลับมากวักมือเรียก “หวงเสี้ยวเทียน!”

ปีศาจสิงโตหวงเสี้ยวเทียนกำลังนั่งยองๆ ถลกหนังสัตว์ป่าล้างอยู่ริมลำธารที่เกิดจากหิมะละลาย พอได้ยินเสียงก็หิ้วกวางตัวหนึ่งกลับมา แล้วถามกลั้วหัวเราะว่า “ท่านสวี มีอะไรเหรอ”

ตอนนี้ชายชราไม่ได้มีภาระอะไรต้องรับผิดชอบ เหมียวอี้ปล่อยเขาไปนานแล้ว หน้าที่ของเขาก็คือเฝ้าภูเขา ป้องกันไม่ให้มีคนลอบจู่โจม เขาเคยหนีไปครั้งหนึ่งเหมือนกัน แต่ปรากฏว่าโดนปานเยว่กงไล่ตามไปทำร้ายจนสาหัสปางตาย จากนั้นจึงไม่กล้าหนีอีกแล้ว

เหมียวอี้เองก็ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งอะไรกับเขา เพราะบอกไว้ชัดเจนแล้ว ว่าจะไม่กลั่นแกล้งเขา การทดสอบจบก็จะปล่อยเขาไป เขาเองก็อยู่ที่นี่อย่างสงบใจ เมื่อเวาลาผ่านไปนานเข้า เวลาที่เขาคลุกคลีอยู่กับสวีถังหรานก็เยอะกว่าตอนที่อยู่กับเหมียวอี้ เหมียวอี้ไม่ได้อยู่ที่นี่นาน เขาจึงสนิทกับสวีถังหรานแล้ว

ตอนนี้เขาอยากจะให้สวีถังหรานผ่านการทดสอบกลับไปอย่างปลอดภัย ถึงตอนนั้นตัวเองก็จะมีสหายจากตำหนักสวรรค์เพิ่มมาคนหนึ่งแล้ว ในภายหลังจะทำอะไรก็สะดวก และแน่นอน สวีถังหรานเองก็คุยโม้ไว้เช่นกัน บอกว่าถ้ามีโอกาสเหมาะสม จะช่วยหาร้านค้าสักร้านให้เขาที่เขตเมืองตะวันตกของตัวเอง

ร้านค้าในตลาดสวรรค์เชียวนะ! หวงเสี้ยวเทียนตาลุกวาวและตัดสินใจแน่วแน่ทันที

“เห็นผู้หญิงที่เพิ่งมาคนนั้นหรือเปล่า?” สวีถังหรานชี้ไปตรงไหล่เขา

หวงเสี้ยวเทียนพยักหน้า “เห็นแล้ว นางอยู่กลุ่มเดียวกับพวกกเจ้าไม่ใช่เหรอ? ตอนแรกที่จับตัวข้า นางเป็นคนแรกที่คุยกับข้านะ”

“อย่าเปลืองคำพูดเลย ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าเฝ้าจับตาดูนางไว้ให้ดี ถ้ามีความผิดปกติอะไรให้บอกข้าทันที”

“ไม่มีปัญหา” หวงเสี้ยวเทียนพยักหน้าซ้ำๆ

“อื้ม!” สวีถังหรานชี้ไปที่กวางในมือเขา “เอาไปตุ๋นให้เปื่อยก่อน”

“ได้!” หวงเสี้ยวเทียนพยักหน้าแล้วเดินไป

เหมียวอี้เห็นแล้วรู้สึกขำ เอามือเดินไขว้หลังออกไปเหมือนกัน มีแค่สวีถังหรานที่ถอนหายใจ แล้วก็นั่งลงทำอาหารริมลำธาร ก่อนจะเข้าร่วมการทดสอบ ผู้บัญชาการสวีก็ไม่เคยได้ทำงานนี้มาหลายปีแล้ว ตอนนี้กลับได้ทำอีกจนคล่องมือ ก็ช่วยไม่ได้ ทุกครั้งที่เหมียวอี้กลับมาก็จะเรียกให้เขาลงครัวทำอาหาร…

เวลาผ่านไปเร็วมาก ชั่วพริบตาเดียวเวลาทดสอบหนึ่งร้อยปีก็ใกล้จะถึงตอนจบแล้ว

ณ ดาวเทียนหยวน ตลาดสวรรค์ ตำหนักคุ้มเมือง โค่วเหวินหลานยืนรออยู่หน้าประตูตำหนัก ในที่สุดใบหน้าก็เริ่มกลับมาขาวผ่องเหมือนเดิมแล้ว เฮยหวังก็คือเฮยหวัง ทำให้เขาดำจนไม่อยากออกไปพบใครเป็นเวลาเกือบหนึ่งร้อยปี แต่ตอนนี้รู้สึกค่อนข้างตื่นเต้นดีใจ เพราะช่วงนี้เขากังวลมาตลอด

การทดสอบใกล้จะจบแล้ว ทางหนิวโหย่วเต๋อส่งข่าวมาว่าจับนักโทษได้สี่คนแล้ว นี่คือจุดที่ทำให้เขาตื่นเต้นดีใจ ผู้บัญชาการเกือบพันคน อย่างน้อยก็ต้องมีกำลังพลเป็นร้อย หรือพูดได้อีกอย่างว่า นักโทษหลบหนีหนึ่งร้อยคน กำลังคนหนึ่งกลุ่มแบ่งกันคนละคนยังไม่พอ แต่ในมือเขาจับได้สี่คนแล้ว คะแนนในครั้งนี้จะต้องไม่แย่แน่นอน และเขาก็ส่งกำลังพลไปแค่สี่คนเอง สองในสี่ยังไม่ใช่ลูกน้องที่เขาไว้ใจ และรู้ด้วยว่าการช่วยเหลือสนับสนุนของเขาที่สถานที่ไร้ชีวิตมีจำกัด ถึงอย่างไรตำแหน่งของเขาก็อยู่ชายขอบของตระกูลโค่ว ใช้ทรัพยากรได้ไม่มาก แต่ก็ยังจับนักโทษหลบหนีได้ตั้งสี่คน เท่ากับพิสูจน์แล้วว่าเขาจัดการเรื่องลูกน้องได้เก่ง ในเมื่อสามารถเอาชนะคู่แข่งอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงได้แล้ว เขาก็สามารถตบอกพิสูจน์ตัวเองที่ตระกูลโค่วได้ สามารถเข้าสู้การแข่งขันในอีกระดับของตระกูลโค่วได้แล้ว และสามารถได้รับการสนับสนุนด้านทรัพยากรที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน

สิ่งที่กังวลก็คือ เขาเองก็เข้าใจดี ว่าด่านที่อันตรายที่สุดของหนิวโหย่วเต๋อมาถึงแล้ว ศึกนองเลือดที่แข็งกร้าวเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย จะแพ้หรือจะชนะก็ตัดสินกันครั้งนี้!

เขารับปากพวกหนิวโหย่วเต๋อแล้วว่าจะไปรับพวกเขาด้วยตัวเอง และอยากจะไปคุมสถานการณ์เองด้วย จะได้ไม่มีใครวางแผนชั่วแย่งคะแนนของตนไป ถ้าพวกหนิวโหย่วเต๋อรอดชีวิตกลับมา ใครที่มันกล้าแย่งคะแนนเพื่อทำลายอนาคตของเขา เขาก็จะสู้ตายกับคนนั้น เขาจึงมาขอลาหยุดกับปี้เยว่ฮูหยินเพื่อออกเดินทาง

ผ่านไปไม่นาน ก็มีบ่าวรับใช้เล็กๆ มาแจ้ง มาฮูหยินเรียกพบ

พอเข้ามาในสวนดอกไม้ที่ตำหนักหลัง ก็เห็นปี้เยว่ฮูหยินกำลังนั่งเกียจคร้านอยู่บนชิงช้า เมื่อบอกเรื่องขอลาหยุด ปี้เยว่ฮูหยินก็รู้สึกผิดคาดนิดหน่อย ถามว่า “พวกหนิวโหย่วเต๋อยังไม่ตายเหรอ?”

“ขอรับ!” โค่วเหวินหลานกุมหมัดคารวะ “ไม่ใช่แค่ยังไม่ตาย ทั้งยังคิดถึงเรื่องจองฮูหยินอยู่ทุกขณะ หาจิ้งจอกพันหน้าสัตว์เลี้ยงของฮูหยินพบแล้วด้วย!”

“…” ปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังเกียจคร้านกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ตาสองข้างเป็นประกาย ลุกขึ้นถามว่า “พูดจริงหรือเปล่า?”

โค่วเหวินหลานแอบตำหนิไม่หยุด จะตื่นเต้นอะไรนักหนา สัตว์เลี้ยงตัวเดียวสำคัญกว่าข้าอีก ขนาดนั้นเชียวเหรอ? แต่ยังตอบอย่างเคารพว่า “จริงแท้แน่นอนขอรับ”

ปี้เยว่ฮูหยินสะบัดแขนเสื้อทันที “อนุญาตแล้ว! ฮูหยินผู้นี้จะไปด้วยเหมือนกัน ไปด้วยกันเลย”


1028


บทที่ 1029 พายุฝนกำลังจะมา

คนนอกไม่รู้ถึง ‘ความหมาย’ ที่จิ้งจอกพันหน้ามีต่อนาง นางไม่อาจปล่อยให้จิ้งจอกพันหน้าไปตกอยู่ในมือคนอื่นได้ ที่จริงนางไม่เชื่อว่าพวกเหมียวอี้จะรอดชีวิตผ่านด่านสุดท้าย นี่ก็คือเจตนาที่นางไปด้วยตัวเอง ตราบใดที่นางไปที่นั่นแล้ว ไม่ว่าเหมียวอี้จะตายด้วยน้ำมือใคร ไม่ว่าจิ้งจอกพันหน้าจะตกอยู่ในมือใคร อาศัยฐานะที่สามีของนางเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ ถ้านางไปขอคืนด้วยตัวเอง ทุกคนก็ยังจะไว้หน้าอยู่บ้าง โดยทั่วไปจะไม่มีใครกักตัวปีศาจจิ้งจอกเล็กๆ ไว้และไม่ยอมคืนให้นาง

ดังนั้นแล้ว นางไม่ได้ไปด้วยตัวเองเพื่อพวกเหมียวอี้ แต่ไปเพื่อจิ้งจอกพันหน้าเท่านั้น

โค่วเหวินหลานย่อมมองออกเช่นกัน หลังจากออกจากตำหนักหลัง ในใจก็พึมพำว่า จะดีจะร้ายก็เป็นแม่ทัพภาคคหนนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าความเป็นความตายของลูกน้องจะเทียบกับสัตว์เลี้ยงตัวเดียวไม่ติด แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน

แต่หลังจากได้รับคำชี้แนะจากหวงฝู่จวินโหรว เขาก็ลดความหยิ่งทะนงต่อผู้บังคับบัญชาแล้ว ได้แค่เก็บกลั้นคำบางคำไว้ในใจไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเอง

พอพูดถึงหวงฝู่จวินโหรว หวงฝู่จวินโหรวก็มาแล้ว พอโค่วเหวินหลานกลับถึงจวนขุนนางของตัวเอง ก็มีคนมารายงานว่าหวงฝู่จวินโหรวขอเข้าพบ

ในโถงรับแขก หลังจากหวงฝู่จวินโหรวที่เดินเนิบนาบเข้ามาคำนับทักทาย โค่วเหวินหลานก็เชิญให้นั่ง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “หวงฝู่ ไม่ทราบว่ามาเพราะมีคำชี้แนะอะไร”

หวงฝู่จวินโหรวยิ้มตอบว่า “ข้าจะกล้าชี้แนะอะไรกัน แค่รู้ว่าการทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิตค่อนข้างสำคัญกับเจ้า แถมการทดสอบก็ใกล้จะจบลงแล้วด้วย เลยอยากจะมาถามสักหน่อยว่าเจ้ามีแผนจะทำอะไร ดูเหมือนผู้บัญชาการใหญ่จะอารมณ์ดีใชได้เลยนะ หรือว่าจะมีข่าวดี?”

ที่จริงนางมาเพื่อสืบข่าวเรื่องความเป็นความตายของเหมียวอี้ นางไปสืบที่อวิ๋นจือชิวมาแล้ว แต่อวิ๋นจือชิวย่อมแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งนั้น คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าโค่วเหวินหลานต้องติดต่อกับทางเหมียวอี้อย่างสม่ำเสมอแน่ ดังนั้นจึงมาสืบข่าวดูสักหน่อย

ตอนนี้นางเองก็บอกไม่ถูกว่าตัวองรู้สึกอย่างไรกับเหมียวอี้ บ่อยครั้งที่แค้นจนอยากจะให้เหมียวอี้ไปตาย แต่ในใจกลับคิดวนเวียนเรื่องความเป็นความตายของเหมียวอี้อีก

“คิดว่าจะรอดูผลลัพธ์สุดท้ายก่อน เดี๋ยวข้าจะออกเดินทางไปที่นั่นเดี๋ยวนี้ หวังว่าลูกน้องข้าจะผ่านด่านสุดท้ายได้นะ” โค่วเหวินหลานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

หวงฝู่จวินโหรวได้ยินแล้วเกิดความคิดบางอย่างในใจ ลองถามหยั่งเชิงว่า “พวกหนิวโหย่วเต๋อลูกน้องเจ้ายังไม่ตายเหรอ?”

โค่วเหวินหลานหัวเราะทันที ตอบว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจหนิวโหย่วเต๋อ แต่ครั้งนี้เกรงว่าจะทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว ตอนนี้พวกเขายังอยู่สบายดี”

หวงฝู่จวินโหรวแอบโล่งใจ แต่ภายนอกยังทำเสียงฮึดฮัด “งั้นก็ถือว่าเขาชะตาแข็งจริงๆ!”

คำพูดนี้ทำเอาโค่วเหวินหลานถือผ้าเช็ดหน้ามาป้องปากหัวเราะไม่หยุด

ส่วนโค่วเหวินหลานก็ยังมีธุระ ต้องจัดการธุระที่อยู่ใต้บังคับบัญชา อีกประเดี๋ยวก็จะไปออกเดินทางพร้อมปี้เยว่ฮูหยินแล้ว หวงฝู่จวินโหรวไม่สะดวกจะรบกวน

หลังจากกล่าวอำลา พอออกจากตำหนักคุ้มเมืองและมุกเข้ามาในเกี้ยว หวงฝู่จวินโหรวก็เผยสีหน้ากึ่งดีใจกึ่งกังวลทันที ดีใจที่เหมียวอี้ยังไม่ตาย กังวลเพราะรู้ว่าด่านสุดท้ายในการทดสอบผ่านได้ยาก

ณ ร้านโฉมเมฆา อวิ๋นจือชิวไม่มีกะจิตกะใจจะจัดการเรื่องในร้านค้าแล้ว นางทุกข์ร้อนกังวลใจ ยามเจอบรรยากาศดอกไม้สว่างนวลใต้แสงจันทร์ นางก็มักจะเงยหน้ามองฟ้าเงียบๆ

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ สองพี่น้องโอวหยาง พวกฝูชิง ทุกคนต่างอยู่ในสภาวะที่ไม่ค่อยปกติ ต่างก็กังวลใจตามช่วงสุดท้ายของการทดสอบที่กำลังจะมาถึง ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับเหมียวอี้ขึ้นมา สำหรับพวกเขาแล้ว ทุกอย่างในตอนนี้ก็จะต้องเปลี่ยนไป

อวิ๋นจือชิวถึงขั้นไตร่ตรองแล้วว่าถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดที่การทดสอบ ก็จะต้องเตรียมตัวรับมือกับพวกฝูชิง

เรื่องราวก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าไม่มีเหมียวอี้คอยเป็นหลักน้าวนำสถานการณ์ในปัจจุบัน ถ้าไม่มีนามของเหมียวอี้ ถ้าไม่มีไมตรี อำนาจ รวมทั้งความเกี่ยวข้องด้านผลประโยชน์ พวกฝูชิงก็จะต้องดึงกำลังพลของทะเลดาวนักษัตรมาที่พิภพใหญ่ และนี่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องกุมเส้นทางไปกลับระหว่างพิภพใหญ่กับพิภพเล็ก แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร

ถ้าเหมียวอี้ไม่อยู่แล้ว สิ่งที่อวิ๋นจือชิวไตร่ตรองเป็นอันดับแรกคือ ต้องปกป้องครอบครัวของเหมียวอี้ บรรดาอนุภรรยาเหล่านั้นของเหมียวอี้ นางไม่อาจปล่อยปละละเลยได้ ต่อให้จะเป็นการทำเพื่อเหมียวอี้ก็ตาม อันดับต่อมาคือไตร่ตรองเรื่องล้างแค้นให้เหมียวอี้

บัณฑิตและคนอื่นๆ ของร้านโฉมเมฆาอยุ่ในสภาวะเตรียมป้องกันอย่างสูง ส่วนพ่อครัวก็ไปที่ดาวดำเนินนภา เตรียมพร้อมจะขอความช่วยเหลือจากจงหลีค่วยที่ปราสาทดำเนินนภาได้ทุกเมื่อ ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน นางต้องการให้จงหลีค่วยรู้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างนางกับเหมียวอี้ นี่ต่างหากที่เป็นทางหนีทีไล่ยามอับจนหนทาง

ช่างไม้กับช่างหินมาถึงพิภพใหญ่แล้ว ช่างไม้ไปที่ดาวไร้ลักษณ์ แล้วซ่อนตัวอยู่แถวๆ สำนักลมปราณ เตรียมพร้อมเพื่อขอความช่วยเหลือจากคนสำนักลมปราณ ให้ช่วยขัดขวางทหารที่ไล่ตามมา ส่วนช่างหินก็ซ่อนตัวอยู่ที่ร้านผลึกสกัดของสองพี่น้องโอวหยาง เตรียมจะคุ้มกันสองพี่น้องให้ออกไปจากที่นี่ผ่านทางใต้ดิน อวิ๋นจือชิวออกคำสั่งเด็ดขาดกับเขาแล้ว ว่าสามารถเกิดเรื่องขึ้นกับเขาได้ แต่จะเกิดเรื่องขึ้นกับสองพี่น้องโอวหยางไม่ได้ เรียกได้ว่าเลี้ยงกำลังพลไว้เป็นพันวันเพื่อใช้งานครั้งเดียวจริงๆ

ส่วนทางพิภพเล็ก เหยียนซิวไปหลบอยู่ใกล้ๆ นภาจอมมารแล้ว เตรียมรอข่าวจากอวิ๋นจือชิวเพื่อไปเชิญให้คนของนภาจอมมารมาสนับสนุน ป้องกันไม่ให้ฝ่ายทะเลดาวนักษัตรทำอะไรไม่ดีกับฉินเวยเวยเพื่อขัดขวาการถอนกำลังกลับของฝั่งนี้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้น อวิ๋นจือชิวก็จะแจ้งให้ฉินเวยเวยปิดผนึกค่ายกลคุ้มภัยทันที แล้วรอให้คนของนภาจอมารมาสนับสนุน ส่วนน้องสาวที่ไม่เอาไหนคนนั้นของเหมียวอี้ นางก็เตรียมจะทอดทิ้งแล้ว ในเมื่อเหมียวอี้ไม่อยู่ อวิ๋นจือชิวก็คงไม่เอาชีวิตของคนทั้งครอบครัวไปเสี่ยงเพื่อเยว่เหยาคนเดียว

ส่วนผีจวินจื่อก็กำลังทำงานอยู่ใต้ดินของตลาดสวรรค์ กำลังขุดอุโมงค์ใต้ดิน ขุดเส้นทางผ่านไปทางประตูเมืองอีกแห่งเพื่อไว้หนีเอาชีวิตรอด

ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ พวกฝูชิงก็จะเกิดการเคลื่อนไหวผิดปกติ อวิ๋นจือชิวต้องการจะพาคนออกไปให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้ารอให้พวกฝูชิงอาศัยฐานะของตำหนักสวรรค์นำกำลังพลกลุ่มใหญ่มา นางก็ไม่มีทางต้านทานไหวเลย ปี้เยว่ฮูหยินก็ออกไปจากดาวเทียนหยวนแล้วด้วย ดังนั้นนางต้องรีบกลับพิภพเล็กไปขอความช่วยเหลือจากปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน และต้องการดึงกำลังของปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนและตระกูลอวิ๋นมาพลิกเมฆคว่ำฝนที่พิภพใหญ่ด้วย ไม่อย่างนั้นอาศัยกำลังของนางตอนนี้ ก็ยากที่จะล้างแค้นได้ และถ้าอำนาจของตระกูลอวิ๋นมาอยู่ที่นี่แล้ว พวกฝูชิงก็จะไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้ว ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่ทะเลดาวนักษัตรจะประสบหายนะ ฐานะแท้จริงที่พวกเขาเข้าตำหนักสวรรค์มาก็จะเปิดโปงเช่นกัน อวิ๋นจือชิวต้องการอาศัยกำลังอำนาจของตระกูลอวิ๋น เพื่อควบคุมกำลังของทะเลดาวนักษัตรไว้ให้ตัวเองใช้งาน

เงื่อนไขก็คือนางต้องพาคนออกไปจากเขตเมืองตะวันออกตลาดสวรรค์ที่อยู่ใต้การควบคุมของพวกฝูชิง ไม่อย่างนั้นถ้ารอให้พวกฝูชิงลงมือก่อนจนได้เปรียบ ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็สายไปแล้ว ถึงตอนนั้นพวกฝูชิงก็จะไม่กลัวว่านางจะเปิดโปงตัวตนของพวกเขา อย่างมากพวกเขาก็แค่เลิกรับตำแหน่งที่ตำหนักสวรรค์ ตราบใดที่ได้เส้นทางไปกลับพิภพเล็ก พิภพใหญ่กว้างใหญ่ขนาดนั้น มีที่ให้ทำมาหากินอยู่แล้ว ดีกว่ามุดหัวอยู่ที่ทะเลดาวนักษัตรในพิภพเล็กเป็นไหนๆ ถ้าไม่ไหวก็ค่อยถอนกำลังกลับพิภพเล็ก ส่วนจุดจบของพวกอวิ๋นจือชิว แค่คิดดูก็รู้แล้ว

ไม่ว่าพวกฝูชิงจะมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติหรือไม่ อวิ๋นจือชิวก็ต้องเตรียมตัวสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอยู่ดี ป้องกันไว้หลายๆ ทางดีกว่ามาแก้ไขทีหลัง

ขณะที่เหมียวอี้กำลังอยู่ในคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นความตาย นางก็ไม่กล้าทำให้เหมียวอี้เสียสมาธิ และสั่งคนอื่นๆ ไว้ด้วยว่าอย่าทำให้เหมียวอี้เสียสมาธิ ไม่อย่างนั้นถ้านำความกังวลนี้ไปบอกเหมียวอี้ ต่อให้ตัวเหมียวอี้จะอยู่ที่สถานที่ไร้ชีวิต แต่ถ้าเหมียวอี้ลงมือจัดการขึ้นมา ทุกอย่างก็จะถูกแก้ไขอย่างง่ายดาย ขอเพียงเหมียวอี้บอกโค่วเหวินหลานแค่คำเดียว ก็จะสามารถใช้คนจากตำหนักคุ้มเมืองมาควบคุมพวกฝูชิงได้ทุกเมื่อ สามารถถอนอำนาจของพวกฝูชิงได้โดยตรง ถึงขั้นเอาชีวิตพวกฝูชิงได้ด้วย แถมเหมียวอี้ยังสามารถดึงกำลังคนของสำนักลมปราณมาเตรียมป้องกันได้ทุกเมื่อ อาศัยเส้นสายที่สำนักลมปราณสร้างขึ้นจากการบริหารร้านขายของชำทุกวันนี้ ต่อให้ขัดขวางคนของตำหนักสวรรค์อย่างพวกฝูชิงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เหมียวอี้ยังพอมีเส้นสายอื่นๆ ที่สามารถใช้งานได้อีก นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมตราบใดที่ยังมีเหมียวอี้อยู่ พวกฝูชิงก็จะทำตัวซื่อสัตย์ว่านอนสอนง่าย

ทว่าเป็นเพราะไม่อยากให้เหมียวอี้เสียสมาธิ ถ้าเรื่องยังไม่ดำเนินมาถึงขั้นต้องฉีกหน้ากัน ในฐานะที่เป็นผู้หญิงของเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวก็ไม่อยากทำให้เหมียวอี้กับพวกฝูชิงแตกความสามัคคีกัน ถ้าเหมียวอี้กลับมาได้ ใจคนที่ได้มาก็จะหายไปหมดแล้ว

สำหรับอวิ๋นจือชิวในตอนนี้ นี่คือพายุฝนที่กำลังจะเกิด นางบอกให้ทุกคนในครอบครัวเข้าใจถึงความสำคัญของเสาหลักอย่างเหมียวอี้ ความเป็นความตายของเหมียวอี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของทุกคน นี่คือการทำให้กลุ่มผลประโยชน์ยึดเหมียวอี้เป็นศูนย์กลาง…

ดาวหินทราย ชายหนุ่มรูปร่างดีที่มีหนวดเครายาวคนหนึ่งกำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่บนไหล่เขา ปะทะหน้ากับลมแรงที่พัดวูบ ทางซ้ายและขวามีคนยืนอยู่ฝั่งละสี่คน ให้เขายืนอยู่ตรงกลาง

กรวดทรายถูกลมแรงพัดกลิ้งอยู่ที่ผิวดิน หลังจากกลุ่มมารปีศาจที่อยู่ข้างล่างกุมหมัดคารวะอำลา ก็แยกย้ายกันไปคนละทาง ชั่วพริบตาเดียวคนก็หายไปหมดแล้ว เหลืออยู่เพียงเก้าคน

เก้าคนนี้เหมียวอี้เคยเจอมาก่อน เป็นกลุ่มที่เคยนำกำลังมารปีศาจเป็นร้อยคนไปจับนักโทษหลบหนีตัดหน้าเขา คนที่เป็นหัวหน้าชื่อโฉวตั้งไห่ วรยุทธ์บงกชทองขั้นแปด และแปดคนที่อยู่ข้างซ้ายและขวาของเขาก็มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้าขึ้นไปทั้งหมด

“ผู้บัญชาการโฉว ตอนนี้ในมือพวกเรามีนักโทษหลบหนีแค่สิบเอ็ดคนเท่านั้น ถ้ากลับไปแบบนี้อาจจะช่วยผู้บัญชาการใหญ่โค่วแย่งอันดับดีๆ ไม่ได้ ต้องได้จำนวนนักโทษหลบหนีเกินครึ่งเท่านั้น ถึงจะครองอันดับหนึ่งได้อย่างมั่นคง!” ผู้บัญชาการข้างๆ ที่ชื่อว่าต่งเฟิงกล่าว

ที่เรียกว่าผู้บัญชาการใหญ่โค่ว ไม่ได้หมายถึงโค่วเหวินหลาน ในการทดสอบครั้งนี้ โค่วเหวินหลานเองก็เล่นใหญ่แบบนี้ไม่ไหว แต่คนกลุ่มนี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับโค่วเหวินหลานจริงๆ พวกเขาล้วนเป็นกำลังพลของโค่วเหวินหวง ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา คนของตระกูลโค่วที่เข้าร่วมการทดสอบไม่ได้มีแค่โค่วเหวินหลาน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ โค่วเหวินหลานเป็นตัวประกอบที่ไม่ได้รับความสำคัญ แค่บังเอิญได้รับโอกาสเท่านั้น ในการทดสอบครั้งนี้ตระกูลโค่วเน้นฝากความหวังไว้ที่กำลังพลของโฉวตั้งไห่

และก็เพราะเหตุนี้ ตอนแรกที่พวกเหมียวอี้เจอโฉวตั้งไห่ พวกเหมียวอี้จึงรอดหายนะครั้งนั้นมาได้ ตอนนั้นโฉวตั้งไห่ก็แสดงสายตาที่ไม่เป็นมิตรแล้ว เมื่อเห็นพวกเหมียวอี้ก็เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะลงมือ แต่ตอนที่รวมตัวกันก่อนหน้านี้ พวกเขาเห็นโค่วเหวินชิงออกหน้าช่วยกันเซี่ยโห้วหลงเฉิงให้ จึงรู้ว่าพวกเหมียวอี้เป็นคนของโค่วเหวินหลาน จึงคิดว่าถ้าลงมือกับคนของตระกูลโค่วตั้งแต่เริ่มแรกจะไม่เหมาะสม ครั้งนั้นถึงได้ปล่อยพวกเหมียวอี้ไป

แต่พวกเขามาเพื่อคนหนุนหลังที่ใหญ่ขนาดนี้ ย่อมไม่เหมือนพวกเหมียวอี้ที่ได้อันดับที่ค่อนข้างดีและรอดชีวิตกลับไปได้ก็พอใจแล้ว ที่พวกเขาต้องการคืออันดับหนึ่งเท่านั้น!

แต่เมื่อถึงช่วงกลางของการทดสอบ คนพวกนี้ก็เริ่มซ่อนตัวแล้วเหมือนกัน เพราะการเพ่นพ่านไปทั่วไม่มีความหมายอะไรเหมือนกัน อยากจะแย่งแต่ก็หาใครไม่เจอ ทุกคนต่างก็กำลังเก็บออมพลังเอาไว้สู้ในตอนสุดท้าย!

โฉวตั้งไห่กล่าวเสียงต่ำว่า “ย่อมกลับไปแบบนี้ไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อข้ามผ่านประตูดวงดาวของน่านฟ้าติงขาลไป นั่นก็คือจุดหมายปลายทางสุดท้ายของการทดสอบ สุดท้ายทุกคนจะต้องไปรวมตัวกันที่นั่น ที่นั่นคือสถานที่ตัดสินแพ้ชนะครั้งสุดท้าย พวกเราไปเฝ้ารออยู่ตรงนั้นก็พอ ขอแค่ทุกคนพยายามให้เต็มที่ในครั้งนี้ จอแค่ได้อันดับหนึ่งมา ก็จะสามารถช่วยให้ผู้บัญชาการใหญ่นั่งตำแหน่งแม่ทัพภาคได้แล้ว หนึ่งในพวกเราคงหนีไม่พ้นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่แน่!”

“ย่อมต้องพยายามอยู่แล้ว!” ทุกคนกุมหมัดคารวะตอบ

“ไป!” พอโฉวตั้งไห่โบกมือ กลุ่มของพวกเขาก็เหาะขึ้นฟ้าไปทันที

ส่วนภูตผีมารปีศาจที่แยกย้ายกันไป ที่จริงก็ได้แสดงบทบาทแค่ตอนจับตัวนักโทษหลบหนีเท่านั้น เมื่อเจอกับคนของตำหนักสวรรค์ คนพวกนี้ก็ไปเข้าร่วมด้วยไม่ได้เลย ถ้าจะให้คนนอกมาสู้กับคนของตำหนักสวรรค์จริงๆ หากข่าวนี้หลุดออกไป ถึงตอนนั้นต่อให้ได้อันดับหนึ่งก็ยังมีความผิดอยู่ดี ไม่มีใครอยากทำความผิดแบบนี้


1029



บทที่ 1030 นำขนไก่มาใช้เป็นลูกธนู

ณ ดาวมากแฉก ต้นสนสูงเทียมเมฆต้นหนึ่งบนภูเขาหินสั่นไหว สตรีชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดพุ่มของต้นไม้ นางชื่อว่าฝานอวี้เฟย เอวบางอกอิ่ม ผมยาวปลิวพลิ้วไหว หน้าตาสะสวยไม่ธรรมธรรรมดา ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปด แต่กลับยืนโบกดาบใหญ่พร้อมบอกคนหลายคนที่ยืนอยู่ข้างล่างว่า “ประตูดวงดาวที่น่านฟ้าติงขาลจุดตัดสินแพ้ชนะครั้งสุดท้าย จะแพ้หรือชนะก็ตัดสินกันที่ครั้งนี้ ผู้บัญชาการใหญ่เซี่ยโห้วฝากความหวังไว้กับศึกครั้งนี้ ทุกคนมีแต่ต้องสู้ตายเพื่อแย่งชิงเท่านั้น ไม่มีการเอาเปรียบกินแรงกัน!”

ผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้บัญชาการใหญ่เซี่ยโห้ว ก็คือเซี่ยโห้วหู่เฉิง เป็นน้องชายแท้ๆ ของเซี่ยโห้วหลงเฉิง แต่เหมือนจะเป็นการเป็นงานกว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเยอะ

“สู้ตาย!” เก้าคนที่อยู่ข้างล่างตอบรับเสียงดังพร้อมกัน

“ไป!” ฝานอวี้เฟยตะโกนเสียงแหลม นำทั้งเก้าเหาะพุ่งขึ้นฟ้า

ณ ดาวธรณีทรุด ในแนวภูเขาที่มืดเย็นราวกับรังแตน คนเจ็ดคนยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ตรงปากถ้ำมืดที่นูนตะปุ่มตะป่ำราวกับฟันของสัตว์ร้าย

“มากันครบหมดแล้วเหรอ?” มีเสียงของผู้หญิงที่สุขุมเยือกเย็นดังมาจากส่วนลึกในถ้ำ

“ผู้บัญชาการฮุย มากันครบแล้ว เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ควรจะถือโอกาสรีบไปที่สนามล่านอกประตูดวงดาวของน่านฟ้าติงขาลแล้ว” ผู้บัญชาการคนหนึ่งที่ชื่อว่าหม่าอี้ชงตอบกลับเสียงดัง

วูบ! ลมหนาววูบหนึ่งพัดออกจากถ้ำ ปะปนออกมากับหมอกสีเทาที่หมนุขึ้นหมุนลง ปราณหยินน่าหวาดหวั่น ภาพมายาดอกบัวสีทองเจ็ดกลีบปรากฏให้เห็นวับแวมอยู่ท่ามกลางหมอกหยินที่ม้วนกลิ้ง ชั่วพริบตาเดียวหมอกหยินก็หดหายไป และพลันกลายร่างเป็นรูปคน เป็นสตรีวัยกลางคนสวมชุดสีขาวคนหนึ่ง เรือนร่างอวบอัดกลมกลึง หน้าตางดงามดุจภาพวาด ดวงตางามที่สดใสมีชีวิตชีวาได้เผยเสน่ห์ออกมาจนหมดสิ้น

สตรีคนนี้ชื่อว่าฮุ่ยชิงเหยียน นางวางมือสองข้างไว้ตรงหน้าท้อง พร้อมพูดกับทุกคนด้วยรอยยิ้มสนิทสนม “ผู้บัญชาการใหญ่ฮ่าวเพิ่งส่งข่าวมาให้ข้า ถามว่าพวกเรามีความมั่นใจหรือเปล่า ตอนนี้ข้าจะมาถามทุกคนต่อ การไล่ล่านอกประตูดวงดาวของน่านฟ้าติงขาล ทุกคนมีความมั่นใจหรือเปล่า?”

ผู้บัญชาการฮ่าวที่นางเรียกก็คือฮ่าวอวิ๋นตู หลานชายของอ๋องสวรรค์ฮ่าว หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ของตำหนักสวรรค์

ทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง มาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ไม่มั่นใจก็ต้องบอกว่ามั่นใจ เพราะไม่มีทางให้ถอยเลย ใครที่กล้าเกียจคร้านทำลายเรื่องดีๆ ของฮ่าวอวิ๋นตู เกรงว่าคงจะต้องตายสถานเดียว สู้ตายดูสักตั้ง ไม่ว่าจะแพ้หรือจะชนะก็ยังสามารถอธิบายได้ พวกเขาจึงกุมหมัดตอบพร้อมกัน “ผู้บัญชาการใหญ่เชิญรอฟังข่าวดี!”

“ดี!” ฮุ่ยชิงเหยียนพยักหน้าเบาๆ “ผู้บัญชาการใหญ่บอกไว้แล้ว เขาเตรียมตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่เอาไว้แปดตำแหน่งเพื่อรอฟังข่าวดีจากพวกเรา!”

“ไม่ทำให้ผู้บัญชาการใหญ่ผิดหวังแน่!” ทั้งเจ็ดคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน

“ฮ่าๆ…” ฮุ่ยชิงเหยียนราวกับได้ฟังเรื่องที่น่าขำที่สุดในโลก นางหัวเราะจนตัวโยนไหล่งามสั่นเทิ้ม แล้วพุ่งตัวเหาะขึ้นฟ้าท่ามกลางเสียงหัวเราะยาว หายลับไปจากที่เดิม ในท้องฟ้ามีเสียงหัวเราะแว่วมาไกลๆ “ถ้าไม่ไปตอนนี้ แล้วจะรอถึงเมื่อไร!”

เจ็ดคนที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานกันจึงเหาะขึ้นฟ้าตามไปทันที

ณ ดาวหินงาม ในเนินหินระเกะระกะ ผู้ชายหยาบคายคนหนึ่งที่แต่งตัวเปลือยท่อนบน ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย ในมือถือไหสุราใบหนึ่ง กำลังนั่งอยู่บนโขดหินก้อนใหญ่ที่สีสันแพรวพราว เขาเงยหน้ากรอกสุราลงคออย่างดุดัน ดื่มจนน้ำสุราสีแดงใสกระเด็นเซ็นซ่าน ราวกับกำลังระบายอารมณ์โกรธ

สามคนที่ยืนอยู่ข้างล่างเงียบงันพูดไม่ออก คนน้อยกำลังอ่อนแอ ย่อมต้องขาดความมั่นใจอยู่แล้ว แถมด่านที่อันตรายถึงชีวิตก็มาอยู่ตรงหน้า จะเบิกบานสำราญใจได้ยังไงไหว

กลุ่มนี้คือลูกน้องของก่วงจี๋ หลานชายของอ๋องสวรรค์ก่วง หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ เพียงแต่การสู้รบไม่ราบรื่น พวกเขามากันสิบคน แต่ตายกันหมดจนเหลือแค่พวกเขาสี่คน

เพล้ง! ไหสุราตกแตกกระจาย กงลิ่งผาง เป็นชื่อของผู้ชายหยาบคายที่เพิ่งกรอกสุราลงปาก เขาจ้องทั้งสามคนพร้อมกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ในมือพวกเรามีนักโทษหลบหนีแค่สองคน ผู้บัญชาการใหญ่โมโหมาก! ผู้บัญชาการใหญ่บอกไว้แล้ว เขาทุ่มทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือสนับสนุนพวกเราขนาดนี้ แต่พวกเรากลับตบหน้าเขา…ผู้บัญชาการใหญ่บอกว่า เขาไม่เลี้ยงลูกน้องที่เป็นขยะไร้ประโยชน์! ให้พวกเราพลิกสถานการณ์กู้หน้ากลับมา หรือไม่ก็ดึงตระกูลอิ๋งและตระกูลฮ่าวที่วางแผนร้ายกับพวกเราให้รับกรรมแทน ในบรรดาสี่ตระกูล ก่วง ฮ่าว โค่ว อิ๋ง ผู้บัญชาการใหญ่จะอยู่อันดับโหล่ไม่ได้ ถ้าปล่อยให้ผู้บัญชาการใหญ่เงยหน้าอ้าปากในตระกูลก่วงไม่ได้ ผู้บัญชาการใหญ่ก็จะเด็ดหัวคนนั้นทิ้ง ทำให้คนนั้นไม่มีหัวไว้เงย ได้ยินชัดเจนรึยัง!”

ทั้งสามพยักหน้า ผู้บัญชาการถูห่าวกงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะฮุ่ยชิงเหยียนกับชิงอวี้หลาง สุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นั้นสมคบกันทำเรื่องชั่ว พวกเราจะเสียเปรียบมากขนาดนี้เหรอ!”

“มาพูดตอนนี้จะมีประโยชน์บ้าอะไรล่ะ!” กงลิ่งผางพลันยืนขึ้น แล้วชี้ทั้งสามพร้อมกล่าวอย่างเดือดดาล “ทุกคนฟังข้าให้ดีนะ ใครที่มันทำให้พวกเราไม่ได้อยู่ดีมีสุขพวกเราก็จะทำให้มันไม่มีชีวิตกลับไปเสพสุขเหมือนกัน นางตัวดีฮุ่ยชิงเหยียนนั่น แล้วก็ไอ้หลานชิงอวี้หลางนั่นด้วย จับตาดูพวกมันสองคนไว้ให้ดี ต่อให้ต้องตายก็ต้องลากพวกมันลงมาซวยด้วยกัน ไป! ไปคิดบัญชีกับพวกมัน!” ก้อนหินที่อยู่ใต้เท้าระเบิดออก คนพุ่งขึ้นฟ้าไปแล้ว…

หลังจากใช้เวลาเหาะอยู่บนท้องฟ้าอย่างยาวนาน ในที่สุดปี้เยว่ฮูหยินกับโค่วเหวินหลานก็มาถึงทางเข้าประตูดวงดาวของสถานที่ไร้ชีวิตแล้ว ทั้งสองไม่ได้พาลูกน้องมาด้วย สาเหตุสำคัญเป็นเพราะในเวลานี้ที่นี่ไม่อนุญาตให้คนทั่วไปบุกเข้าไปซี้ซั้ว ทั้งสองยังต้องให้เหตุผลว่าเป็นผู้บังคับบัญชาของคนที่เข้าร่วมการทดสอบและมาเพื่อรับคนกลับ ถึงจะเข้าไปได้

ยังไม่ทันเข้าประตูดวงดาว ทั้งสองก็ถูกทหารสวรรค์ที่เฝ้าอยู่หน้าทางเข้าประตูดวงดาวขวางไว้แล้ว หลังจากรายงานตัวตนและผ่านการตรวจสอบ ทั้งสองถึงได้ป้ายคำสั่งคนละแผ่นและได้รับอนุญาตให้เข้าไป ปรากฏว่าพอผ่านประตูดวงดาว ก็ถูกทหารสวรรค์มาดักไว้อีก หลังจากตรวจป้ายคำสั่งของทั้งสองแล้ว ทหารยามถึงได้ชี้ไปยังก้อนหินใหญ่ที่ลอยเงียบๆ อยู่ไม่ไกลกลางอากาศ พร้อมบอกอย่างไม่เกรงใจว่า “ไปรอตรงนั้น นายท่านผู้คุมมีคำสั่ง ไม่ว่าผู้ที่มาจะมีฐานะและประวัติเป็นอย่างไร หากฝ่าฝืนคำสั่ง ประหาร!”

ปี้เยว่ฮูหยินและโค่วเหวินหลานก็โวยวายไม่ได้เช่นกัน นี่คืองานที่ตำหนักสวรรค์เป็นผู้จัด ทั้งสองไม่กล้าทำกำเริบเสิบสาน ทำได้เพียงเชื่อฟังคำสั่งอย่างซื่อสัตย์

ภายใต้การเฝ้าจับตามองของทหารสวรรค์ ทั้งสองเหาะไปยังก้อนหินใหญ่ที่กำลังลอยอยู่เงียบๆ ก้อนนั้น มองไกลๆ เห็นเป็นหินก้อนใหญ่ หลังจากไปเหยียบลงบนนั้นก็พบว่าตัวเองตัวเล็กนิดเดียว

หลังจากเหยียบลงพื้นแล้ว ก็มีทหารสวรรค์มาตรวจป้ายคำสั่งของทั้งสองคนอีก แล้วก็บอกอีกว่าเคลื่อนไหวได้ในขอบเขตไหนบ้าง ห้ามเพ่นพ่านไปทั่ว

ทั้งสองมองไปรอบๆ ยอดเขาหินลูกหนึ่งที่ยื่นออกมาถูกขุดเจาะให้เป็นเหมือนตำหนักชั่วคราว นั่นคงจะเป็นสถานที่กำกับดูแลงานของการทดสอบครั้งนี้ ทางซ้ายและขวาของตำหนักหลังนั้นยังขุดห้องถ้ำทั้งเล็กทั้งใหญ่ไว้มากมาย บางครั้งก็จะคนแวบเขาแวบออก บางครั้งก็มีคนโบกมือให้โค่วเหวินหลานจากที่ไกลๆ เห็นได้ชัดว่ารู้จักกับโค่วเหวินหลาน

โค่วเหวินหลานพยักหน้าให้ แต่กลับทิ้งปี้เยว่ฮูหยินไว้คนเดียวไม่ได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้บังคับบัญชา

สายตาของปี้เยว่ฮูหยินไปหยุดอยู่ตรงประตูดวงดาวสีดำมืดไกลๆ ที่ถูกทหารสวรรค์ปิดผนึกไว้ นางชี้พร้อมถามว่า “นั่นคงเป็นประตูดวงดาวสำหรับไปน่านฟ้าติงขาลใช่มั้ย?”

“คงจะใช่ขอรับ หลังจากการทดสอบจบลง พวกเขาก็จะออกจากสถานที่ไร้ชีวิตผ่านตรงนั้น” โค่วเหวินหลานที่อยู่ข้างๆ ตอบ

ในขณะนี้เอง มีคนร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนโวยวายเสียงดังว่า “ใครมันมาทำลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงนั้น?”

เสียงตะโกนเหมือนฆ้องแตกนี้คุ้นหูเกินไปแล้ว โค่วเหวินหลานไม่หันไปมองก็รู้ว่าเป็นคนไหน นอกจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้วยังจะมีใครอีก

ปี้เยว่ฮูหยินหันกลับไปมอง ก็แอบถอนหายใจ เป็นเจ้าคนไม่เอาถ่านนี่อีกแล้ว แต่กลับยังยิ้มพลางพยักหน้าเบาๆ ทักทายเซี่ยโห้วหลงเฉิง

เซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับพ่นเสียงทางจมูก ใบหน้าไม่เป็นใบหน้า ทำสีหน้าบึ้งตึงไม่แยแส ตอนแรกที่เป็นลูกน้องของปี้เยว่ฮูหยิน เขาก็ยังหวั่นเกรงอยู่บ้างหลายส่วน แต่ตอนนี้น่ะเหรอ…ที่จริงตอนเป็นลูกน้องของปี้เยว่ฮูหยิน เขาก็ก่อเรื่องจนไม่ได้จากกันด้วยดีอยู่แล้ว ตอนนั้นเป็นปี้เยว่ฮูหยินที่สั่งให้คนจับตัวเขาไป เขายังจดจำความแค้นนี้ได้

ปี้เยว่ฮูหยินโดนชักสีหน้าใส่ ทำให้นางหน้าชานิดหน่อย แต่ทำได้เพียงหันหน้าไปข้างๆ โดยไม่พูดอะไรแล้ว

“ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นไอ้หมีควายเน่านี่เอง!” แต่โค่วเหวินหลานไม่ได้เกรงใจเขา พูดกระแนะกระแหนไปตรงๆ เลย

สำหรับเขาในตอนนี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้สร้างภัยคุกคามอะไรต่อเขาอีกแล้ว

เพราะว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงสูญเสียโอกาสสุดท้ายที่ตระกูลเซี่ยโห้วมอบให้ไปแล้ว เพราะว่าแพ้ให้กับโค่วเหวินหลาน อนาคตของเซี่ยโห้วหลงเฉิงจึงดับสนิทแล้ว ต่อไปนี้นอกจากจะเป็นคนไร้ความสำคัญของตระกูลเซี่ยโห้ว ทั้งชาตินี้ก็เป็นได้แค่ลูกคนรวยที่กินดื่มเที่ยวเล่นไปวันๆ ยันแก่ตาย ถึงขั้นหมดสิทธิ์ให้กำเนิดลูกหลานด้วยซ้ำ ในตระกูลแบบนั้น ทั้งยังเป็นนักพรตที่อายุยืนยาวแทบทั้งหมด ถ้าปล่อยให้ทุกคนให้กำเนิดลูกหลานจริงๆ แบบนั้นก็แย่น่ะสิ แถมยังมีอำนาจและอิทธิพลด้วย ถึงตอนนั้นตำหนักสวรรค์จะต้องถูกตระกูลของพวกเขายึดครองหมดแน่นอน

ภายใต้ข้อห้ามแบบนี้ ตระกูลใหญ่ทุกตระกูลล้วนสำนึกตัวในด้านนี้ ใช่ว่าใครอยากจะมีลูกก็มีได้ มีเพียงผู้ที่มีฐานะในตระกูลระดับหนึ่ง ต้องจัดอยู่ในประเภทหัวกะทิของตระกูลเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ให้กำเนิดทายาท และมีเพียงลูกหลานที่เป็นหัวกะทิเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ได้รับทรัพยากรจากจระกูลทันทีที่เกิดมา ไม่อย่างนั้นต่อให้ทรัพยากรของตระกูลเยอะจะกว่านี้ แต่ก็แบ่งให้ลูกหลานนับพันนับหมื่นไม่ไหวเหมือนกัน ต้องรวบรวมทรัพยากรที่ยอดเยี่ยมไว้พยุงลูกหลานหัวกะทิ เพื่อให้พวกแหล่านั้นปกป้องผลประโยชน์ระยะยาวให้ตระกูล ดังนั้นจึงมีการแข่งขันเกิดขึ้น และเป็นสาเหตุว่าทำไมในการทดสอบครั้งนี้ คนอย่างโค่วเหวินหลานจึงทุ่มทุกอย่างที่ทำได้โดยไม่เสียดาย ของวิเศษที่มอบให้พวกเหมียวอี้ เรียกได้ว่าแทบจะควักสมบัติทั้งหมดที่โค่วเหวินหลานมีแล้ว ที่ยืมของพ่อแม่มาก็มีไม่น้อย ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีความหวังไม่มาก แต่ก็ยังต้องพยายามช่วงชิงสักครั้ง สู้ตายเพื่อตัดสินอนาคตของโชคชะตาในชาตินี้!

เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เดินก้าวยาวเข้ามาถลึงตาจ้องทันที “ไอ้ตุ้งติ้ง เจ้ามันใจกล้าไม่เบานะ บังอาจบุกมาถึงที่นี่!”

โค่วเหวินหลานตอบกลั้วหัวเราะว่า “ไอ้หมีควายเน่า จะพูดซี้วั้วอย่างนั้นไม่ได้หรอก ข้ากับฮูหยินเข้ามาตามช่องทางที่ถูกต้อง”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงยิ้มเจ้าเล่ห์ “จะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ก็ต้องตรวจสอบก่อนถึงจะรู้ ข้าเป็นที่ปรึกษาของการทดสอบครั้งนี้ แล้วก็มีสิทธิ์รักษาระเบียบของสนามสอบด้วย” พูดจบก็หันไปตะโกน “เด็กๆ มาค้นตัวสองคนนี้หน่อย ค้นให้ข้าดีๆ สักรอบ!”

พอเขาออกคำสั่ง ก็มีคนสิบกว่าคนเข้ามาอย่างรวดเร็วทันที

เมื่อเจอคนที่กล้านำขนไก่มาใช้เป็นลูกธนู[1]แบบนี้ โค่วเหวินหลานสีหน้าเปลี่ยนทันที “ไอ้หมีควาย ข้าแนะนำว่าจ้าอย่าทำซี้ซั้วจะดีกว่า!”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงยกมือห้ามการกระทำของลูกน้อง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ก็ดี ทำอะไรซี้ซั้วไม่ได้จริงๆ พวกเจ้าไร้มารยาทเกินไปแล้ว งั้นเดี๋ยวข้าจะค้นด้วยตัวเอง!” เขาจะฉวยโอกาสนี้สร้างความอัปยศให้โค่วเหวินหลานสักหน่อย

ใบหน้างามของปี้เยว่ฮูหยินบึ้งตึงทันที นางกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “เซี่ยโห้วหลงเฉิง ถ้าเจ้ากล้าค้น ข้าก็จะให้เจ้าค้น!”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงหัวเราะคิกคัก “ปี้เยว่ ข้าทำตามกฎ เจ้ายังกล้าขู่ข้าอีกเหรอ?” ขณะที่พูดสายตาก็เหลือบมองไปทั่วร่างงามที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งของอีกฝ่าย เหมือนกำลังครุ่นคิดว่าจะเริ่มลงมือจากตรงไหนก่อน

ปี้เยว่ฮูหยินพยักหน้า “ทำตามกฎงั้นเหรอ? พูดได้ดี สงสัยข้าจะไม่ทำตามกฎไม่ได้เสียแล้ว ร้านค้าของเขตเมืองตะวันออกที่ถูกทำพัง ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าให้ชัดเจนเลย ต่อให้เจ้าหนีไปก็เหมือนพระที่หนีไม่พ้นวัด เดี๋ยวผู้ชายของข้าก็จะไปคิดบัญชีกับตระกูลเซี่ยโห้วเอง ทางที่ดีเจ้าเตรียมเงินไว้ก่อนเถอะ!”

…………………………

[1] 拿着鸡毛当令箭 นำขนไก่มาใช้เป็นลูกธนู หมายถึง แอบอ้างคำพูดของเบื้องบนมาใช้ประโยชน์ส่วนตัว


1030

บทที่ 1031 ความรู้สึกระหว่างพี่น้อง

เมื่อนางกล่าวมาแบบนี้ ใบหน้าของเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็เหมือนโดนตะคริวกิน

นี่ไม่ใช่การแค่การขู่เลยจริงๆ คนอื่นอาจจะเข้าตระกูลเซี่ยโห้วของเขาไม่ได้ แต่หนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์กลับไม่มีปัญหา เมื่ออยู่ที่ตำหนักสวรรค์ นั่นคือคนในระดับที่สามารถเข้าพบราชันสวรรค์ได้โดยตรง การเข้าประตูบ้านของตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ต่อให้ธรณีประสูงแค่ไหนก็ต้องเจอกันได้

ถ้าต้องรบกวนให้ท่านโหวมาคิดบัญชีถึงประตูบ้านจริงๆ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็หาเงินมาไม่ได้จริงๆ เมื่อก่อนจ่ายไม่ไหว ตอนนี้โดนเตะมายืนชายขอบแล้วก็ยิ่งจ่ายไม่ไหว ดีไม่ดีตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะโยนเขาออกมาชดใช้หนี้ก็ได้ ปัญหาไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เจ้ากล้าไปลูกคลำเมียของท่านโหว ตระกูลเซี่ยโห้วจำเป็นต้องให้คำอธิบายกับอีกฝ่าย ถึงตอนนั้นต่อให้เขาไม่ตายแต่ก็ต้องโดนถลกหนัง

เพียงแต่การโดนอีกฝ่ายขู่คำสองคำแล้วตกใจแบบนี้…เซี่ยโห้วหลงเฉิงกวาดสายตาล่อกแล่กมองดูทหารสวรรค์ที่อยู่สองข้าง กำลังคิดว่าแบบนั้นก็เสียหน้าเกินไปเหมือนกัน

โค่วเหวินหลานย่อมไม่รอให้ผู้ชายชั้นต่ำอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาสร้างความอัปยศให้ตัวเอง เป็นคู่ต่อสู้กันมานานขนาดนี้ เขารู้จักเซี่ยโห้วหลงเฉิงดีเกินไปแล้ว รู้จักดีกว่าปี้เยว่ฮูหยินเสียอีก ถ้าเจ้าเวรนี่มันโดนปี้เยว่กดดันจนหาบันไดลงไม่ได้ ถ้าจนตรอกขึ้นมา ไม่ว่าเรื่องโง่เง่าอะไรก็ทำได้หมด ปี้เยว่ยังคิดว่าเจ้าหมีควายนี่ไม่กล้าลูบไล้นางต่อหน้าฝูงชนงั้นเหรอ? ประเมินอีกฝ่ายต่ำไปแล้วมั้ง ถ้าโดนลูบคลำขึ้นมาจริงๆ ก็จะสายเกินไปแล้ว!

ปี้เยว่ไม่กลัวเสียหน้า แต่โค่วเหวินหลานไม่อยากเสียหน้าแบบนี้ แววตายามเซี่ยโห้วหลงเฉิงมองป้ากางเกงของเขาไม่หยุดทำให้เขาค่อนข้างขนหัวลุก จึงหยิบระฆังดาราออกมาเขย่าทันที

ไม่นาน โค่วเหวินชิงก็ปรากฏตัวเร็วมา ตะคอกถามว่า “เซี่ยโห้วหลงเฉิง เจ้าทำอะไรน่ะ?”

ทหารสวรรค์ที่กำลังล้อมเห็นสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล พากันหลีกทางไปด้านข้างอย่างเงียบๆ แล้ว

คนที่มาพร้อมกับโค่วเหวินชิงยังมีชายรูปร่างผมอสูงอีกคนหนึ่ง เอามือไขว้หลังเหาะเข้ามา จ้องเซี่ยโห้วหลงเฉิงด้วยสายตาเย็นเยียบพร้อมถามว่า “ทำไมเจ้าไม่ได้เที่ยวเล่นหาความสำราญ ถ่อมาปะปนอยู่ที่นี่ทำไม?”

“ใครมันพูดจาวางโตขนาดนี้ แม้แต่ที่ปรึกษาของที่นี่ก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา หรือว่าอยากจะท้าทายนายท่านผู้คุม!”

มีคนเหาะเข้ามาอีกคน หุ่นกำยำเหมือนหมี หน้าตาค่อนข้างคล้ายเซี่ยโห้วหลงเฉิง แต่หน้าตาดีกว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงหน่อยหนึ่ง มายืนเอามือไขว้หลังอยู่ข้างกายเซี่ยโห้วหลงเฉิง ยืนตรงข้ามกับชายรูปร่างผอมสูงคนก่อนหน้านี้

เมื่อเห็นเขาปรากฏตัว เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็เกาศีรษะอย่างอึดอัดนิดหน่อย เพราะคนที่มาคือเซี่ยโห้วหู่เฉิง น้องชายของเขาเอง

ชายรูปร่างผอมสูงแสยะยิ้ม “งั้นก็ต้องถามว่าพี่ชายเจ้าคิดจะทำอะไร ไม่น่าเชื่อว่าเขาคิดจะค้นตัวเมียของท่านโหวเทียนหยวน ถ้าเจ้าคิดว่าพวกเราผิดที่ห้ามไว้ งั้นก็เชิญให้พี่ชายที่ปรึกษาท่านนี้ของเจ้าลงมือได้เลย พวกเราจะยืนดูอยู่ข้างๆ ไม่ว่าใครก็อย่าห้าม เดี๋ยวค่อยดูว่าท่านโหวจะไปกราบทูลข้อเท็จจริงต่อหน้าราชันสวรรค์หรือเปล่า!”

“…” เซี่ยโห้วหู่เฉิงพูดไม่ออก กวาดสายตามองตรงนั้นรอบหนึ่ง แล้วค่อยๆ หันกลับมามองพี่ใหญ่ของตัวเอง ไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำอย่างไรดี

เป็นพี่น้องแท้ๆ ใครบ้างจะไม่รู้จักนิสัยกันดี เขารู้ดีที่สุดว่าพี่ใหญ่คนนี้ของตัวเองมีนิสัยเป็นอย่างไร เป็นคนหยาบที่เจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ จะต้องฉวยโอกาสนี้ล้างแค้นเรื่องที่ดาวเทียนหยวนแน่นอน แต่นี่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของข้านะ เจ้าอยากจะก่อเรื่องแต่ก็ต้องแยะแยะคนด้วยสิ ท่านโหวที่สามารถเข้าร่วมประชุมขุนนางที่ตำหนักสวรรค์ได้ ใช่คนที่เจ้าจะไปแตะต้องซี้ซั้วได้เหรอ? ถ้าเจ้าไปลูบคลำเมียของเขาจริงๆ ถึงตอนนั้นต่อให้มีเหตุผลก็จะกลายเป็นไม่มีเหตุผล ตระกูลเซี่ยโห้วเสียหน้าให้คนคนนี้ไม่ไหว

ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ใหญ่ท่านนี้ ที่จริงเขาก็รู้สึกผิดอยู่บ้างเหมือนกัน สองพี่น้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่พี่ใหญ่คนนี้พึ่งพาไม่ได้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าจะพูดให้ชัดคือสมองใช้งานได้ไม่ค่อยดี ด้วยเหตุนี้ทรัพยากรฝึกตนที่ควรจะเป็นของพี่ใหญ่จึงเอนเอียงมาที่เขา เดิมทีถ้าอิงตามลำดับการสนับสนุนจากตระกูล ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอิงตามลำดับอาวุโส แต่พอแม่เห็นว่าประคองพี่ใหญ่ไม่ไหวแล้ว บอกพี่ใหญ่มาตั้งแต่เด็กๆ ว่าให้พี่ชายยอมถอยให้น้องชาย รอให้ในอนาคตน้องชายประสบความสำเร็จ น้องชายถึงจะมาดูแลเจ้าได้

ดังนั้นพี่ใหญ่ท่านนี้จึงมีวรยุทธ์ต่ำกว่าตนสามขั้น นอกจากให้ทรัพยากรที่จำเป็นบางอย่าง ตระกูลก็แทบจะไม่ให้ทรัพยากรฝึกตนอย่างอื่นกับพี่ใหญ่เลย ใช้ชีวิตจนๆ มาตลอด เขาตั้งใจจะแอบสนับสนุนบ้างนิดหน่อย แต่พี่ใหญ่ฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่มาตั้งแต่เด็กจนชิน จึงไม่รับไว้ บอกว่ามีพี่ใหญ่ที่ไหนที่มาขอของจากน้องชาย บอกให้เขาเก็บไว้ใช้เอง บอกว่าถ้าน้องชายคนนี้ประสบความสำเร็จแล้ว พี่ชายคนนี้จะได้อาศัยบารมี

ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่ง่ายเลยกว่าพี่ใหญ่จะได้หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรงมา นั่นเป็นรายได้ก้อนใหญ่มาก เพียงพอสำหรับให้พี่ใหญ่ไว้ใช้ในอนาคต จะได้ไม่ต้องคอยพึ่งพาตระกูลให้โดนดูถูก แต่ก็เพราะว่าเป็นรายได้ก้อนใหญ่ ปรากฏว่าโดนตระกูลเก็บไปเป็นของส่วนกลางหมด โดยให้เหตุผลว่าตระกูลมีคนต้องเลี้ยงดูมากมาย ถ้าไม่ทำแบบนี้ แล้วตระกูลจะหาแหล่งทรัพยากรจากไหนมาเลี้ยงลูกหลานในตระกูลเหมือนที่เลี้ยงเซี่ยโห้วหลงเฉิง พี่ใหญ่มีมีทางเลือก ทำได้เพียงยอมรับชะตากรรม มอบให้ส่วนกลางแต่โดยดี

ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องแบบนี้ เซี่ยโห้วหู่เฉิงก็รู้สึกโมโหในใจ แต่เขาก็ไม่สามารถท้าทายกฎของตระกูลได้ ดังนั้นเวลาที่พี่ใหญ่คนนี้มีเรื่องจำเป็นอะไร เขาก็จะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ก่อนหน้านี้เซี่ยโห้วหลงเฉิงจะถูกจับย้ายไปรับตำแหน่งที่นั่นที่นี่จนทั่วได้อย่างไร

“พี่ใหญ่ เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่?” เซี่ยโห้วหู่เฉิงถ่ายทอดเสียงถาม

เมื่ออยู่ต่อหน้าน้องชายคนนี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ถ่ายทอดเสียงตอบอย่างซื่อสัตย์แล้ว เขาต้องการระบายความโกรธกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่ดาวเทียนหยวน

รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เซี่ยโห้วหู่เฉิงแอบถอนหายใจ แต่ก็ยังหันกลับมากล่าวเสียงราบเรียบกับทุกคนว่า “ไม่ว่าจะยังไง ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษา การตรวจสอบให้ละเอียดไม่ใช่เรื่องผิด แค่ตรวจสอบสักหน่อยว่ามีป้ายคำสั่งที่ได้รับอนุญาตให้เขามาหรือเปล่า คงไม่ผิดหรอกมั้ง? ถ้าไม่ให้ตรวจสอบแม้แต่สิ่งนี้ ก็จะฟ้งไม่ขึ้นแล้ว” เขากำลังทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก

เมื่อเขาพูดมาแบบนี้ โค่วเหวินหลานกับปี้เยว่ฮูหยินก็ต่างคนต่างแสดงป้ายคำสั่งที่อนุญาตให้เขามา

เซี่ยโห้วหู่เฉิงบอกใบ้ให้พี่ใหย่ตรวจสอบสักหน่อย หลังจากแน่ใจว่าไม่มีปัญหา ก็หาข้ออ้างว่ามีธุระต้องจัดการต่อ แล้วดึงเซี่ยโห้วหลงเฉิงออกมาเสียเลย ถือว่าหาบันไดลงให้พี่ชายตัวเอง

ในขณะนี้แล้ว โค่วเหวินหลานถึงได้กุมหมัดคารวะ “พี่สาม พี่หญิงห้า” แล้วก็หันไปแนะนำให้ปี้เยว่ฮูหยินรู้จัก “ฮูหยิน นี่คือโค่วเหวินหวงพี่สามของข้า นี่คือโค่วเหวินชิงพี่หญิงห้าของข้า”

จากนั้นก็แนะนำปี้เยว่ฮูหยินให้ลูกพี่ลูกน้องของเขารู้จัก พี่ชายกับน้องสาวคู่นี้ย่อมพูดกับปี้เยว่ฮูหยินอย่างสุภาพว่าฝากเนื้อฝากตัวน้องชายด้วย แล้วก็พูดคุยปราศรัยกันตามมารยาทอีกไม่กี่คำ

หลังจากโค่วเหวินหวงกับโค่วเหวินชิงออกไปแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็หันกลับมาบอกว่า “เจ้าควรจะติดต่อทางหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อยดีมั้ย ดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” ตอนนี้นางเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้

โค่วเหวินหลานจึงนำระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้ทันที บอกว่า : ข้ากับปี้เยว่ฮูหยินมารอเจ้าอยู่ตรงจุดสุดท้ายของการทดสอบแล้ว สถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?

อีกด้านหนึ่ง เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เพิ่งออกไปกลับถ่ายทอดเสียงบอกเซี่ยโห้วหู่เฉิงว่า “แม่งเอ๊ย เจ้ารอง เรื่องของข้าเจ้าเองก็ได้ยินแล้ว ไอ้ตุ้งติ้งนั่นมันมาที่นี่ได้ แสดงว่าลูกน้องของมันยังไม่ตาย เจ้ารอง เจ้าดูหน่อยสิ ถ้าหากสะดวก ให้ลูกน้องของเจ้าลงมือสักหน่อย จัดการสวีถังหรานลูกน้องตุ้งติ้งให้ตาย ไอ้ชาติหมานั่นมันกล้าซ้อมข้า ถ้าไม่ได้ระบายความโกรธนี้ข้าคงเก็บกดจนเป็นทุกข์!”

เซี่ยโห้วหู่เฉิงลังเลนิดหน่อย

เมื่อเซี่ยโห้วหลงเฉิงเห็นปฏิกิริยาของเขา ก็ลองถามหยั่งเชิงด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียกทันที “ไม่สะดวกเหรอ? ถ้ามันทำให้เจ้าเสียงาน งั้นก็ช่างเถอะ เรื่องของข้าไม่สำคัญหรอก เรื่องของเจ้าสำคัญกว่า เดี๋ยวตอนหลังข้าค่อยไปคิดบัญชีกับเขาก็ได้” แม้แต่ตอนพูดแบบนี้ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ เขาเข้าใจหลักการนี้มาตั้งแต่เด็ก เรื่องของน้องชายต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องของตนต่อให้ใหญ่แค่ไหนก็ต้องหลีกทางให้น้องชาย ในอนาคตตนต้องพึ่งพาอาศัยน้องชายคนนี้ นี่คือคำพูดที่พ่อแม่ปลูกฝังเข้ากระดูกเขามาตั้งแต่เด็กๆ

“ไม่เป็นไร เป็นเรื่องที่ต้องถือโอกาสทำอยู่แล้ว ต่อให้ข้าไม่บอกลูกน้องข้าก็จะลงมือ อย่าว่าแต่สวีถังหรานอะไรนั่นเลย พวกเขาต้องจัดการลูกน้องของโค่วเหวินหลานทิ้งให้หมดอยู่แล้ว” เซี่ยโห้วหู่เฉิงหยิบระฆังดาราออกมาทันที

เซี่ยโห้วหลงเฉิงลองถามหยั่งเชิงว่า “ต้องกำจัดทิ้งทั้งหมดเลยเหรอ? ปล่อยคนที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อไปสักครั้งได้มั้ย?”

เซี่ยโห้วหู่เฉิงได้ยินแล้วแปลกใจ “หนิวโหย่วเต๋อ? พี่ใหญ่ เจ้าคนนี้ข้าก็เคยได้ยินชื่อมาก่อน ท่านมีเรื่องกับเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ?”

เซี่ยโห้วหลงเฉิงถอนหายใจแล้วตอบว่า “จะพูดยังไงดีล่ะ? ที่จริงก็จะโทษเขาไม่ได้หรอก เขากับสมาคมวีรชนมีความขัดแย้งกัน เจ้าเองก็รู้ว่าข้าชอบหวงฝู่จวินโหรว ดังนั้นข้าต้องยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับหวงฝู่จวินโหรว เขาเองก็หมดหนทางเลยต้องไปขอพึ่งพิงโค่วเหวินหลาน ที่จริงตอนหลังเขายังเคยแอบยื่นมือให้ความช่วยเหลือข้าลับหลังโค่วเหวินหลานด้วย”

“พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ว่าท่านนะ ข้าเคยบอกท่านหลายไปครั้งแล้ว ว่าทางที่ดีอย่าไปแหยมกับคนของสมาคมวีรชน ท่านกับหวงฝู่จวินโหรวไม่เหมาะกันจริงๆ ในใต้หล้ามีผู้หญิงตั้งมากมาย ท่านต้องการแบบไหนก็มีหมด เพื่อหวงฝู่จวินโหรวคนเดียว ท่านเสียหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำไปเปล่าๆ แถมท่านยังโดนตระกูลทำโทษด้วย มันคุ้มกันเหรอ? เดิมทีถ้าได้หุ้นมาสี่ส่วน ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ยังพอช่วยเก็บไว้ให้ท่านได้สักส่วนหนึ่ง ถึงอย่างไรท่านก็เป็นคนหามาได้ เมื่อได้ของมาเยอะๆ ให้ท่านเก็บไว้ส่วนหนึ่งก็ยังพอฟังขึ้น แต่ดูผลที่ได้สิ ท่านสร้างผลงานใหญ่ให้ตระกูลแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นเรื่องที่ต้นดีปลายร้าย สุดท้ายกลับกลายเป็นท่านที่ทำผิด น่าเสียดายมั้ยล่ะ? มีบางครั้งที่ข้าอยากจะฆ่าหวงฝู่จวินโหรวนั่นทิ้งจริงๆ!” เซี่ยโห้วหู่เฉิงทำท่าเหมือนเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้

เซี่ยโห้วหลงเฉิงอับอาย แล้วกล่าวดว้ยท่าทางว่านอนสอนง่าย “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น เจ้าคิดว่าทำยังไงแล้วเหมาะสมเจ้าก็ทำไป ขอแค่ไม่ทำให้เจ้าเสียการเสียงานก็พอ”

“ข้า…”  พอเห็นเขาทำท่าทางแบบนี้ เซี่ยโห้วหู่เฉิงก็กล่าวคำสั่งสอนไม่ออกแล้ว ‘ความรู้สึก’ บางครั้งสิ่งนี้ก็มักจะทำให้คนลำบากใจ รวมทั้งความรู้สึกระหว่างพี่น้องแบบเลือดข้นกว่าน้ำ…

ณ ดาวสองขั้ว หลังจากติดต่อกับโค่วเหวินหลานแล้ว เหมียวอี้ที่เก็บระฆังดาราก็ถอนหายใจยาว เขาวางสองเท้าลงจากเตียง เดินออกไปนอกถ้ำ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์กล่าวเสียงดังก้องว่า “เวลาเหลือไม่มากแล้ว ควรจะออกเดินทางแล้ว!”

ผ่านไปไม่นาน มู่หรงซิงหัว สวีถังหราน ปานเยว่กงและฮูหยินรวมทั้งหวงเสี้ยวเทียนก็ออกมาหมด

เหมียวอี้มองทั้งสองคน พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้บัญชาการใหญ่มารออยู่ที่ทางเข้าประตูดวงดาวของน่านฟ้าขาลติงแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินมาด้วยตัวเอง ลองคำนวณเวลาดูคร่าวๆ เดินทางตอนนี้ก็จะถึงพอดี รอให้พวกเราไปถึง เวลาของการทดสอบก็น่าจะจบแล้ว ถ้าออกเดินทางเร็วไป เดี๋ยวค่อยไปถ่วงเวลาเอาระหว่างทางก็ได้ สรุปก็คือต้องมุ่งตรงไปจบเรื่องที่จุดหมายปลายทาง”

มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานเริ่มตึงเครียดในใจ ที่จริงยิ่งเข้าใกล้จุดจบมากเท่าไร ทั้งสองก็ยิ่งกังวลมากเท่านั้น เวลาหนึ่งปีสุดท้ายนี้ค่อนข้างทรมาน

เหมียวอี้มองไปที่สามคนข้างหลังอีก “ทั้งสามคน พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว ได้มาอยู่ด้วยกันร้อยปี มิตรภาพประเมินราคามิได้ ขอกล่าวอำลากันตรงนี้! รอให้สถานที่ไร้ชีวิตเลือกปิดทางเข้าออก ขอเพียงพวกเราสามคนยังไม่ตาย พวกเจ้าทั้งสามก็ไปเยี่ยมที่ดาวเทียนหยวนได้ ข้าจะเลี้ยงต้อนรับอย่างดีแน่นอน”

ปานเยว่กงถอนหายใจ แล้วบอกว่า “จะว่าไปก็ขอโทษด้วย พวกเราสองสามีภรรยาช่วยเหลือเจ้าได้ไม่เท่าไรเลย”

เหมียวอี้ยกมือห้าม “จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้าสองคนลงมือช่วย ปีศาจจิ้งจอกหงเชียนเชียนคงหนีผ่านเส้นทางลับไปแล้ว แล้วอีกอย่าง โลกมนุษย์ไม่มีเรื่องอะไรแน่นอน เรื่องราวในตอนหลังจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ เจ้าเข้ามาช่วยพวกเราตั้งแต่แรก ก็ถือว่าช่วยพวกเราได้มากที่สุดแล้ว ทั้งยังติดตามปกป้องอีกร้อยปี จะบอกว่าไม่ได้ช่วยเหลือได้อย่างไร?”


1031



บทที่ 1032 การปล้นฆ่าฉากแรก

เขาต้องการจะพูดแบบนี้ จะจดจำน้ำใจนี้ให้ได้ ปานเยว่กงยังจะพูดอะไรได้อีก

สองสามีภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วต่างคนต่างหยิบเกราะรบที่เหมียวอี้มอบให้ออกมา ใช้สองมือยื่นคืนให้ ปานเยว่กงบอกว่า “คืนของให้เจ้าของ!”

“หลังจากการทดสอบจบลง เจ้าเก็บเกราะรบนี้ไว้จะไม่เหมาะสมจริงๆ” เหมียวอี้นำเกราะทองกลับมาจากมือชิงเหมย แต่กลับผลักเกราะรบผลึกแดงที่ปานเยว่กงยื่นให้กลับไป “เกราะชุดนี้เจ้าเก็บไว้เถอะ”

“ข้าได้ยินผู้บัญชาการสวีบอกว่า เกราะรบชุดนี้ ผู้บัญชาการใหญ่โค่วมอบให้พวกเจ้าใช้เพื่อเข้าร่วมทดสอบ หลังจากจบเรื่องนี้อาจจะต้องคืนกลับไป” ปานเยว่กงกล่าว

เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้าข้ารบตาย เขาก็เก็บกลับไปไม่ได้อยู่ดี ถ้าข้ารอดชีวิตกลับไปได้ เขาคงไม่ถึงขั้นคิดเล็กคิดน้อยกับของชิ้นเดียว เก็บไว้เถอะ” จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงบอกสองสามีภรรยาทันที “พวกเจ้าอย่าเพิ่งกลับไปที่ป่าลืมทุกข์ หลังจากพวกเราออกไปแล้ว พวกเจ้าสองคนก็หาที่ซ่อนตัวสักแห่ง รอฟังข่าวจากข้า ถ้าข้าสามารถรอดชีวิตกลับไปได้ จะต้องช่วยชิงเหมยพลิกคดีอย่างเต็มกำลังแน่นอน แต่ถ้าข้ารอดชีวิตกลับไปไม่ได้ ทั้งสองก็หาลู่ทางกันเองแล้วกัน ถือเสียว่าเกราะรบชุดนี้เป็นของที่ระลึก”

สองสามีภรรยาเงียบงัน ปานเยว่กงเก็บเกราะรบกลับไปเงียบๆ

มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานสบตากันโดยจิตใต้สำนึก จะมอบให้จริงๆ เหรอ? ถ้าเปลี่ยนเป็นพวกเขา เกรงว่าคงไม่มอบของราคาแพงแบบนี้ให้แน่

บางทีอาจจะเป็นเพราะสภาพจิตใจต่างกัน มู่หรงซิงหัวมองไปที่เหมียวอี้อีกครั้ง ในใจแอบถอนหายใจ เป็นผู้ชายเหมือนกัน ทำไมมีความแตกต่างกันขนาดนี้!

“หวงเสี้ยวเทียน ข้าพูดคำไหนคำนั้น เจ้าเป็นอิสระแล้ว!” จู่ๆ เหมียวอี้ก็ตะโกนบอกหวงเสี้ยวเทียน

“เหอะๆ!” ตาแก่หวงหัวเราะเห็นฟัน แล้วกุมหมัดกล่าวว่า “ขอให้ผู้บัญชาการทั้งสามเดินทางปลอดภัย ประสบความสำเร็จ! เมื่อถึงเวลานั้นตาแก่คนนี้ค่อยไปดื่มสุราที่ดาวเทียนหยวนสักจอก”

“ขอให้เป็นมงคลตามปากเจ้า!” เหมียวอี้พยักหน้าแรงๆ “ลาก่อน!”

พูดจบก็เรียกเดรัจฉานสับปลับออกมา แล้วตัวเองก็พุ่งขึ้นฟ้า เดรัจฉานสับปลับคำรามแล้วไล่ตามขึ้นไป แล้วพาเขาแบกฝ่าชั้นบรรยากาศออกไป

มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานก็ตามไปติดๆ ตอนมามู่หรงซิงหัวเป็นหัวหน้า แต่ตอนไปสถานการณ์กลับเปลี่ยนผัน ทั้งสองให้เหมียวอี้เป็นหัวหน้าไปโดยปริยาย คนบางคนเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำมาตั้งแต่กำเนิด

ปานเยว่กงและภรรยาที่ยืนอยู่ข้างล่างกุมหมัดคารวะพร้อมหวงเสี้ยวเทียน คอยส่งจากที่ไกลๆ

จนกระทั่งเงาคนหายไปจากท้องฟ้าอันกว้างใหญ่แล้ว ทั้งสามถึงได้วางมือลง จากนั้นก็มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา

“พี่โหย่วไฉ วันนี้ท่านกับฮูหยินมีแผนจะทำอะไรต่อ?” หวงเสี้ยวเทียนถาม

ปานเยว่กงตอบว่า “ขี้คร้านจะเพ่นพ่านไปทั่ว อยู่รอฟังข่าวที่นี่ต่อเสียเลย เจ้าล่ะ?”

หวงเสี้ยวเทียนบอกว่า “ก็ได้ ตามสะดวกพวกท่านแล้วกัน” ขณะที่พูดก็กางแขนสองข้างพร้อมบิดเอว “ในที่สุดก็เป็นอิสระแล้ว จะหลับให้สบายสักหน่อย” พูดจบก็หันตัวเดินเข้าถ้ำไป

ที่จริงเขาคือคนที่ไร้ความกดดันที่สุด ไม่ว่าพวกเหมียวอี้จะแพ้หรือจะชนะ ก็ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเขาเท่าไร แต่เขาหวังว่าพวกเหมียวอี้จะรอดชีวิตกลับไป ไม่แน่ว่าสวีถังหรานอาจจะรักษาสัญญา ช่วยหาร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ให้เขาสักร้านก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นทั้งชีวิตนี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องกินเรื่องอยู่แล้ว…

“ฮูหยิน นายท่านผู้คุมมาแล้ว”

“อ้อ!” ปี้เยว่ฮูหยินที่นอนตะแคงอยู่บนเตียงที่ปูด้วยพรมพลิกตัวลงมา แล้วรีบเดินไปที่ปากถ้ำ ถามว่า “เป็นท่านไหน?”

ไม่ได้มีเจตนาอื่น แค่อยากจะเห็นว่าผู้คุมที่รับผิดชอบเรื่องนี้คือใคร ในเมื่อมาแล้ว ได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน

โค่วเหวินหลานชี้ไปบนท้องฟ้าไกลๆ ชี้ตรงตำแหน่งทางเข้าประตูดวงดาวของน่านฟ้าขาลติง ตรงนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งล้อมอยู่ เหมือนกำลังสอบถามอะไรสักอย่าง “คนที่สวมหมวกอยู่ในกลุ่มนั้น”

โดนคนบังจึงมองเห็นไม่ชัด ขณะที่ปี้เยว่ฮูหยินกำลังหันซ้ายหันขวา กลุ่มคนบนท้องฟ้าก็พลันสลายตัว คนกลุ่มนั้นพลันถลันวูบลงมาบนพื้น

ผู้ที่นำหน้ามาใบหน้าขาวหมดจด รูปหน้าเรียวยาว คลุมผ้าสีดำที่ไหล่ สวมหมวกสูงสีดำ สีหน้าเย็นเยียบน่ากลัว เดินก้าวยาวไปยังตำหนักที่ขุดสร้างไว้ชั่วคราว กลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังสาวเท้าเดินตาม

“คนคนนี้เป็นใคร?” ปี้เยว่ฮูหยินถ่ายทอดเสียงถาม

“ทูตขวาตรวจการของตำหนักสวรรค์ ชื่อเกาก้วนขอรับ” โค่วเหวินหลานตอบ

ปี้เยว่ฮูหยินได้ยินแล้วร้องอ๋อ นางเคยได้ยินสามีตัวเองเอ่ยถึงเหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นคนคนนี้ ทูตซ้ายและทูตขวาตรวจการของตำหนักสวรรค์ ถึงแม้จะไม่มีอำนาจเป็นกำลังพล แต่ขอบเขตอำนาจกลับมีไม่น้อย สามารถลาดตระเวนตรวจสอบแทนตำหนักสวรรค์ไปทั่วทิศ ถ้าเจอคนที่ทำผิดกฎสวรรค์ สามารถประหารก่อนแล้วค่อยรายงานขึ้นไป!

ทูตขวาตรวจการเกาก้วนที่เดินก้าวยาวมาถึงหน้าตำหนัก จู่ๆ ก็หยุดฝีเท้า แล้วพลิกป้ายคำสั่งออกมาแผ่นหนึ่ง แล้วยื่นให้คนที่อยู่ข้างหลัง พร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “ถึงเวลาแล้ว ยุติเรื่องเถอะ สามารถจบการทดสอบได้แล้ว! คนที่ยังไม่มาเมื่อครอบกำหนดเวลา ต้องรับโทษตามกฎ!”

ที่บอกว่า ‘คนที่ยังไม่มาเมื่อครอบกำหนดเวลา’ ก็หมายถึงคนที่ไม่ได้กลับมาภายในสิบวันที่การทดสอบจบลง คนประเภทนี้อาจจะตายไปแล้ว ถ้าตายแล้วก็ย่อมไม่ต้องซักถามเอาความต่อ แต่ถ้ายังไม่ตายก็แสดงว่ามัวหลบซ่อนเพราะหวาดกลัว คนประเภทนี้ย่อมไม่มีอะไรให้ต้องเกรงใจอยู่แล้ว

“รับทราบ!” ผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ยรับคำสั่ง แล้วหันตัวโบกมือ มีคนไปเตรียมตัวบนที่ราบหน้าตำหนักทันที

“คนคนนั้นคือพ่อบ้านทที่รับผิดชอบการทดสอบครั้งนี้ ชื่อจุยหย่วน” โค่วเหวินหลานแนะนำคนที่กำลังออกคำสั่งให้ปี้เยว่ฮูหยินรู้จักอีก

ปี้เยว่ฮูหยินเอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง พบว่าเจ้าคนนี้เปลี่ยนนิสัยไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เวลาทำงานก็เอาอกเอาใจมาก ผู้ใต้บังคับบัญชาแบบนี้ถูกใจนางมาก

เกาก้วนเดินขึ้นบันไดหน้าตำหนักไปแล้ว ชุดคลุมสะบัดปลิวตามสายลมขณะหันตัวมาหาทุกคน หลังจากผู้ติดตามทางซ้ายและขวาย้ายเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางข้างหลัง เกาก้วนก็นั่งลงช้าๆ แล้วกวาดสายตาเย็นเยียบมองกลุ่มคนที่มาดูเอาสนุก

บนที่ราบด้านล่างตำหนัก จานกลมโลหะใบหนึ่งถูดจัดวางไว้แล้ว พอจุยหย่วนก้าวขึ้นมาร่ายอิทธิฤทธิ์เปิดใช้งานเครื่องมือชิ้นนี้ บนนั้นก็ปรากฏจุดสีขาวจำนวนมากมายทันที เป็นตราอิทธิฤทธิ์ที่เหมียวอี้และคนอื่นๆ ประทับไว้บนเครื่องมือชิ้นนี้ก่อนจะเข้าสู่สนามทดสอบ ตอนนี้สามารถตรวจจับทิศทางการเคลื่อนไหวขอเหมียวอี้และคนอื่นๆ ได้

เมื่อตรวจนับจำนวนจุดสีขาวแล้ว จุยหย่วนก็หันตัวมากุมหมัดคารวะรายงาน “นายท่าน ยังเหลือผู้รอดชีวิตอีกห้าร้อยแปดคนขอรับ!”

ทุกคนได้ยินแล้วพึมพำในใจ ผู้บัญชาการเข้าไปเกือบพันคน ตายไปแล้วสี่ร้อยกว่าคน การจับนักโทษหลบหนีนี้ ไม่รู้ว่าห้าร้อยกว่าคนที่ยังรอดชีวิตจะกลับมาได้อย่างราบรื่นสักกี่คน

เกาก้วนที่นั่งอยู่เบื้องสูงพยักหน้าเบาๆ

จุยหย่วนพลิกฝ่ามือถือป้ายคำสั่งที่เพิ่งได้รับ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์โบนไปบนท้องฟ้า ทำให้ป้ายคำสั่งระเบิดแสงสีรุ้งออกมาทันที กลายเป็นเงามายามังกรรำขนาดยักษ์ตัวหนึ่งอย่างรวดเร็ว มันกำลังบินวนอยู่บนท้องฟ้า บินวนเป็นรูปตัวอักษร ‘คำสั่ง’ ซ้ำๆ เปล่งแสงระยิบระยับ ตัวอักษรใหญ่มาก คาดว่าต่อให้อยู่ไกลมากก็ยังมองเห็น

บทบาทของมันก็ไม่ซับซ้อนเลย คนที่กลับมาจากการทดสอบ เมื่อมองเห็นไกลๆ ก็จะรู้ว่าควรไปรายงานผลการปฏิบัติงานตรงไหน

เมื่อมีคำสั่งนี้ออกมา ก็หมายความว่าการทดสอบหนึ่งร้อยปีจบลงแล้วจริงๆ

และแทบจะชั่วพริบตาเดียวกับที่ป้ายคำสั่งปรากฏออกมา สายตาของทุกคนก็มองไปทางท้องฟ้าไกลๆ อย่างรวดเร็ว แต่ละคนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง เห็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าระเบิดเป็นฝุ่นควันออกมา มีหญิงชายสามคนพุ่งออกมาจากในนั้น ขี่สัตว์เทพเหาะออกมา เรียกได้ว่าหลบหนีออกมาแบบไม่คิดชีวิต

สงสัยจะมีคนซุ่มรออยู่แถวๆ นี้นานแล้ว แค่รอให้การทดสอบจบลง เห็นสภาพที่สามคนนั้นหนีไม่คิดชีวิต เหมือนตระหนักได้ถึงอันตรายบางอย่างแล้ว

คนที่อยู่ในเหตุการณ์มองอย่างใจจดใจจ่อ หนึ่งในนั้นปรบมือโห่ร้อง “ดีๆ!”

ปี้เยว่ฮูหยินหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นคนคนนั้นทำท่าทางตื่นเต้นดีใจไม่หยุด ไม่ต้องเดาแล้ว คนที่หนีมาจะต้องเป็นคนของเขาแน่นอน

จู่ๆ ก็เห็นคนคนนั้นน้ำเสียงเปลี่ยน ร้องบอกอย่างร้อนใจว่า “เร็วๆๆๆ!”

สถานการณ์พลิกผัน ในชั่วพริบตาเดียวก็มีคนแปดคนพุ่งออกมาจากกาวเคราะห์อีกแห่งหนึ่ง ขี่สัตว์เทพเหมือนกัน กำลังเร่งไลล่าสามคนนั้น ทว่าระยะห่างก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าอยากจะตามให้ทันก็เหมือนจะสายไปหน่อย

แต่ที่แปลกประหลาดก็คือ จู่ๆ ก็มีเงาสีเขียวกลุ่มหนึ่งระเบิดบนท้องฟ้า ราวกับเป็นดอกไม้ที่เบ่งบาน กิ่งก้านสาขานับไม่ถ้วนแผ่ขยายออกมา ม้วนเข้ามาขวางสามคนที่หนีกลับมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน สามคนที่สวมเกราะรบตกใจมาก ชั่วพริบตาเดียวก็ตกอยู่ในวงล้อมกิ่งก้านสาขานับไม่ถ้วนนั้นแล้ว

เสียงต่อสู้สะเทือนเลือนลั่นที่มาพร้อมคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ดังขึ้นทันที เห็นเพียงแสงไฟสว่างวาบอยู่ท่ามกลางเถาวัลย์นับไม่ถ้วน เห็นได้ชัดว่าคนที่ล้อมอยู่ในนั้นใช้ไฟโจมตี จนกระทั่งโจมตีจนเกิดรูไหม้และพุ่งตัวออกมา ทว่าสุดท้ายก็ถูกถ่วงความเร็วลงเล็กน้อย โดนแปดคนนั้นล้อมเอาไว้คาที่ แล้วทั้งสองฝ่ายก็พุ่งเข้าเข่นฆ่ากันทันที

ในบรรดาแปดคนนั้น ชายสวมเกราะรบที่เป็นหัวหน้าดูหล่อเหลาไม่ธรรมดา ใบหน้างดงามดุจหยกบนหมวก ปากแดงราวกับทาเครื่องประทินโฉม ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปด ควบขี่สัตว์คลั่งเกล็ดมังกร ในมือถือทวนยาว บุกเดี่ยวมาขวางหน้าสามคนที่พุ่งฝ่าวงล้อมออกมา คนคนนี้เหมือนเป็นปีศาจแมงมุม ข้างหลังระเบิดกิ่งก้านสาขาออกมนับไม่ถ้วน ราวกับมีแขนเป็นพันเป็นหมื่นคอยช่วยเหลือ สู้แบบหนึ่งต่อสามอย่างสบายๆ ดักให้ทั้งสามกลับมาม้วนกลิ้งพัวพันอยู่ในรังเถาวัลย์

ส่วนเจ็ดคนที่อยู่ข้างหลังเขาก็ขี่สัตว์เทพมาคุมเชิงอย่างไร้กังวล แต่ก็ไม่ได้ลงมือ

เป็นอย่างที่คาดไว้ ใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว ในรังเถาไม้ขนาดใหญ่ที่กลิ้งม้วนก็สังหารติดต่อกันจนมีเสียงกรีดร้องสามครั้ง ผ่านไปไม่นาน เถาไม้ที่เลื้อยและถักทอออกมาราวกับรังนกก็กดกลับมาอีก มันบางตาลงอย่างรวดเร็ว หดกลับเข้าไปในร่างกายของหนุ่มรูปงามคนนั้นภายในชั่วพริบตาเดียว

ตอนนี้ทุกคนถึงได้เข้าใจ ว่าคนคนนี้คงจะเป็นปีศาจต้นไม้

ในตอนนี้ไม่เห็นคนอีกสามคนแล้ว เห็นเพียงเขาคนเดียวที่ขี่สัตว์เทพเหาะวนบนท้องฟ้า ราวกับกำลังแสดงอานุภาพ

“ดี! ชิงอวี้หลาง กลับไปข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม!”

ท่ามกลางกลุ่มคนที่อยู่บนพื้น จู่ๆ ก็มีชายสวมเสื้อแพรคนหนึ่งกางแขนตะโกนร้องอย่างตื่นเต้นดีใจ

คนที่โห่ร้องดีใจคนแรก เดิมทีหน้าม่อยคอตก ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็พลันมองมาทันที ชี้มาทางนี้พร้อมตะโกนอย่างเดือดดาล “อิ้งเหยา ที่แท้ก็เป็นคนของเจ้านี่เอง การทดสอบจบลงแล้ว เหตุใดมาปล้นฆ่าคนของข้าที่นี่”

ชายเสื้อแพรที่ชื่ออิ้งเหยายิ้มบางๆ แล้วตอบกลับเสียงเรียบว่า “ข้าจะไปรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร เหมือนการทดสอบจะไม่ได้กำหนดกฎนี้ไว้นะ”

คนคนนั้นโมโหแล้ว พุ่งฝ่าฝูงชนออกมา แล้วกุมหมัดคารวะต่อเกาก้วนที่นั่งอยู่เบื้องสูง “นายท่านผู้คุมคอยนั่งรักษาการณ์อยู่ที่นี่ เหตุใดจึงนิ่งดูดาย!”

คำพูดนี้ทำให้คนไม่น้อยได้ยินแล้วแอบทอดถอนใจ การทดสอบได้กำหนดหมายเหตุไว้บนกติกาตั้งนานแล้ว ถามแค่ผลลัพธ์ ดูแค่คะแนน ที่เหลือก็ต่างคนต่างอาศัยวิธีการของตัวเอง ถ้ามัวแต่จำกัดนั่นจำกัดนี่ แล้วตระกูลที่มีอำนาจนาจใหญ่โตพวกนั้นจะอาศัยอะไรมาช่วงชิงอันดับดีๆ ล่ะ เดิมทีกฎก็ถูกตั้งขึ้นโดยผู้ที่แข็งแกร่งกว่าอยู่แล้ว มิหนำซ้ำ…ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือตำหนักสวรรค์ไม่แยแสที่จะสิ้นเปลืองกำลังอำนาจของแต่ละตระกูล เรื่องบางอย่างก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว ทำไมต้องเปิดโปงหาเรื่องใส่ตัวด้วยล่ะ

ในเมื่อมีคนถามแล้ว เกาก้วนเองก็ไม่อาจนิ่งดูดาย ถามว่า “ใครกันมาโวยวายอยู่ข้างล่าง?”

คนคนนั้นกุมหมัดตอบว่า “ซีเหมินจวิ้นคำนับนายท่านผู้คุม!”

โค่วเหวินหลานเห็นปี้เยว่ฮูหยินมองมาด้วยแววตาสอบถาม จึงถ่ายทอดเสียงตอบทันทีว่า “หลานชายของจอมพลซีเหมิน”

ปี้เยว่ฮูหยินเข้าใจทันที ล้วนเป็นคนที่มีประวัติภูมิหลังทั้งนั้น มิน่าล่ะถึงกล้าโวยวายต่อหน้าทูตขวาตรวจการ

หลังจากเกาก้วนได้ฟัง ก็เอียงศีรษะเล็กน้อย “ไปถามซิว่าเรื่องเป็นอย่างไร”

ข้างๆ มีคนถลันตัวเข้าไปทันที มาถามอยู่ข้างกายชิงอวี้หลาง ตอนที่กลับมาอีกครั้ง ก็รายงานว่า “ชิงอวี้หลางนั่นบอกว่า ก่อนหน้านี้สามคนนั้นเพิ่งแย่งนักโทษที่พวกเขาจับได้ไป ตอนนี้ก็แค่แย่งกลับมาเท่านั้นเอง ใครจะคิดว่าพวกเขาจะสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย เขาจำเป็นต้องปกป้องตัวเองโดยการฆ่าพวกเขาทิ้ง”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา อิ้งเหยาที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนก็หลุดหัวเราะ มองไปทางชิงอวี้หลางด้วยสีหน้าชื่นชม ช่างเป็นหน้าเป็นตาให้ตนจริงๆ!

“เหลวไหล!” ซีเหมินจวิ้นเดือดแล้ว “อาศัยความสามารถของพวกเขา คนของข้าจะไปแย่งของของพวกเขาได้ยังไง!”

เมื่อเห็นชายคนนี้ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี เกาก้วนก็สีหน้าขรึมลงเล็กน้อย “ใครก็ได้! มาเอาตัวคนที่แหกปากไปเฆี่ยนยี่สิบที แล้วไล่ออกจากประตูดวงดาวไป!”

มีคนหลายคนถลันเข้ามาอย่างรวดเร็ว ซีเหมินจวิ้นที่โดนคุมตัวตะโกนเสียงดังทันที “ข้าไม่ยอม! เกาก้วน เจ้ามันตั้งใจลำเอียง ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอม!”

“เฆี่ยนหนึ่งร้อยที!” เกาก้วนกล่าวเสียงหนักแน่น เปลี่ยนความคิดแล้ว


1032


บทที่ 1033 นิสัยการกินน่าเกลียดเกินไป

ซีเหมินจวิ้นที่ถูกควบคุมตัวกำลังดิ้นรนไม่หยุด เหมือนจะยอมทุ่มสุดตัวแล้ว

แต่ทุกคนก็สามารถจินตนาการได้ ลูกน้องตายหมดเกลี้ยง ทั้งยังจับนักโทษหลบหนีกลับมาไม่ได้สักคน อานาคตในตระกูลซีเหมินแทบจะจบเห่แล้ว ซีเหมินจวิ้นคนที่ใจเย็นไม่ไหวแบบนี้จะไม่บ้าได้อย่างไร

เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ยืนอยู่ข้างบันไดตำหนักสะเทือนใจกับฉากนี้เป็นพิเศษ เข้าใจความรู้สึกของซีเหมินจวิ้นเป็นอย่างดี ตอนนั้นเขาก็ทุ่มสุดตัวเหมือนกัน เขาพุ่งไปฆ่าคนที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกของโค่วเหวินหลาน ภาพในอดีตยังติดตาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ในใจเรียกได้ว่าทอดถอนใจไม่หาย

แต่พ่อบ้านจุยหย่วนนับว่าตามีแวว รีบถ่ายทอดเสียงบอกคนที่ควบคุมตัว คนที่ควบคุมตัวจึงรีบลงมือ ฉวยโอกาสระงับตอนที่ซีเหมินจวิ้นกำลังจะแหกปากคำราม ทำให้เขาไม่สามารถร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนโวยวายได้อีก เมื่ออยู่บนฟ้าโดยไม่ร่ายอิทธิฤทธิ์ ก็เป็นเรื่องยากที่เสียงจะดังออกมาได้

ก็ช่วยไม่ได้ เมื่อเห็นซีเหมินจวิ้นทำท่าทางบ้าระห่ำขนาดนี้ ถ้าปล่อยให้พูดทุกอย่างออกมาหมด ถ้ายั่วให้เกาก้วนโมโหจริงๆ เกาก้วนก็สามารถสั่งประหารได้โดยตรง ต้องทราบไว้ว่าตราบใดที่เกาก้วนได้รับคำสั่งให้มาทำงานข้างนอก ก็แปลว่ามีอำนาจในการประหารก่อนแล้วค่อยรายงานความผิด

ถ้าทำให้หลานชายของจอมพลซีเหมินถูกประหารจริงๆ ถึงตอนนั้นสีหน้าของทุกคนคงดูไม่ได้ จุยหย่วนเป็นคนของเกาก้วน รู้จักแยกแยะความสำคัญ ไม่มีทางให้เกาก้วนวางตัวลำบาก

ผ่านไปไม่นาน ซีเหมินจวิ้นที่ถูกคุมตัวไปก็โดนเฆี่ยนจนร้องโอดโอย การลงโทษประเภท ‘แส้พิชิตมังกร’ แบบนี้ เหมียวอี้เคยลิ้มลองรสชาติมาก่อนตอนอยู่พิภพเล็ก บนแส้เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลม แค่โดนเฆี่ยนทีเดียวก็ทรมานจนอยากตายแล้ว

โชคดีที่จุยหย่วนแอบกำชับไว้ ไม่อย่างนั้นถ้าโดนเฆี่ยนหนึ่งร้อยครั้งก็สามารถคร่าชีวิตของซีเหมินจวิ้นได้ สามารถเฆี่ยนจนเขายับเยิน

แต่ถึงแม้แต่เป็นเช่นนี้ สิบชีวิตของซีเหมินจวิ้นก็หายไปแล้วเก้าส่วน แขนขาทั้งสี่โดนเฆี่ยนจนหายไปแล้ว เนื้อที่แผ่นหลังโดนฟาดจนหายไปหมด ฟาดจนกระดูกสันหลังแตกละเอียด สามารถมองเห็นอวัยวะภายใน เป็นลมสลบไป จากนั้นก็โดนลากออกไปแบบนั้น นำไปส่งออกนอกประตูดวงดาวของน่านฟ้าขาลติงโดยตรง เป็นตายอย่างไรไม่รู้

เมื่อมีบทเรียนให้เห็นเป็นตัวอย่าง คนอื่นๆ ก็ทำตัวว่านอนสอนง่ายทันที

บนท้องฟ้า ชิงอวี้หลางสวมเกราะรบผลึกแดงขั้นสูงทั้งตัว นำคนขี่สัตว์เทพวนไปรอบๆ แสดงออกชัดเจนว่าต้องการจะรอดักทุกคนที่รอดชีวิตกลับมา ส่วนตัวเขาเองกลับสามารถมารายงานผลการปฏิบัติงานได้ทุกเมื่อ แบบนี้อาละวาดเกินไปแล้ว อิ้งเหยาย่อมหน้าชื่นตาบาน นี่คือการกุมชัยชนะไว้ในมือ ไม่ให้ดีใจคงไม่ได้

“มารดาเจ้าเถอะ! แบบนี้ก็ได้เหรอ?” โฉวตั้งไห่ที่ดักซุ่มอยู่ไกลๆ บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง เมื่อเห็นฉากนี้แล้วต้องสบถออกมา หันกลับมาบอกทางซ้ายและขวาว่า “หลายปีมานี้ ถ้าขี้ขลาดก็หิวตาย ถ้าใจกล้าก็พุงแตกตายจริงๆ ด้วย ไอ้หมอนี่มันเป็นใครกัน?”

คนทางซ้ายทางขวาค่อนข้างกลุ้มใจ นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าชิงอวี้หลางจะกำเริบเสิบสานขนาดนี้ มาเฝ้าเล่นงานตรง ‘ประตูบ้าน’ เสียเลย

ต่งเฟิงตอบว่า “ข้าว่าเขาทำแบบนี้อาจจะไม่ได้เปรียบก็ได้ คนที่กลับมารายงานผลการปฏิบัติงาน สุดท้ายก็ยังต้องใช้กลยุทธ์จากไกลมาใกล้ ต้องผ่านด่านพวกเราก่อนจึงจะถึงคราวให้เขาตักตวงผลประโยชน์ เมื่อครู่นี้เป็นแค่กรณีพิเศษ”

“พูดได้ถูกต้อง” สื่อเทียนเจวี๋ยพยักหน้า “การี่เขาทำแบบนี้ เกรงว่าจะเป็นการเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองก่อน แบบนี้สิถึงจะสอดคล้องกับความจริง ถ้าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลขึ้นมา จะได้ปลีกตัวออกไปได้ทันที ถึงตอนนั้นยังสามารถทำให้เจ้านายเห็นว่าเขาพยายามเต็มที่แล้ว แต่ว่าสู้ไม่ไหวจริงๆ แบบนี้จะสามารถรายงานผลการปฏิบัติงานได้เสมอ มีทั้งศักดิ์ศรีหน้าตาและแก่นแท้ เจ้าหมอนี่ช่างเจ่าเล่ห์”

โฉวตั้งไห่พ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “ข้าย่อมเข้าใจความคิดเจ่าเล่ห์ของปีศาจตนนี้อยู่แล้ว แต่การที่เขาทำแบบนี้ ทหารเล็กๆ ที่ไหนยังจะกล้าโผล่หัวออกมาล่ะ พวกเจ้าดูสิ ตัวอักษร ‘คำสั่ง’  ในตอนจบก็มีออกมาแล้ว ตอนนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรแม้แต่น้อย คาดว่าคงพากันหลบไม่กล้าออกมาเสี่ยงอันตราย”

“ผู้บัญชาการโฉว อดทนรอไว้ก่อนเถอะ ขนาดหนึ่งร้อยปียังผ่านมาได้แล้ว ยังจะกลัวสิบวันนี้อีกเหรอ? เมื่อครอบกำหนดเวลาสิบวัน ทุกคนก็จะโผล่ออกมาหมด” หนานอี้เปียวกล่าว

โฉวตั้งไห่หันกลับมา “ที่กลัวก็คือกลัวว่าตอนหลังจะโผล่ออกมาหมดนี่แหละ  ถึงตอนนั้นถ้ากรูกันเข้ามาที่จุดรวมตัวจากทุกทิศทุกทาง พวกเราจะดักได้สักกี่คน? ส่วนใหญ่จะกลายเป็นปลาลอดแหกันหมด! พอเป็นแบบนี้ คงยากที่จะครองอันดับหนึ่งได้อย่างมั่นคง คนอื่นๆ จะจับได้เท่าไรก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ทุกคนได้ยินแล้วพูดไม่ออก

อีกแห่งหนึ่ง ฝานอวี้เฟยที่เอวบางอกอิ่ม ผมยาวปลิวพลิ้วไหวทว่าแบกดาบไว้บนบ่าด้วยท่าทางเผด็จการไร้ที่เปรียบ ตอนนี้นางกลับด่าแม่ “มารดาเจ้าเถอะ ไอ้หนุ่มหน้าขาวนั่นเป็นใคร กำลังเล่นบ้าอะไร เขาเฝ้าอยู่ที่ประตูแบบนี้ จะไม่เป็นการทำให้คนอื่นตกใจจนไม่กล้าโผล่ออกมาหรอกเหรอ?”

นางไม่ได้รู้จักชิงอวี้หลาง ที่จริงทุกคนล้วนต่างที่มา ท้องฟ้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ มีคนมากมายที่ทั้งชีวิตนี้อาจจะไม่ได้เจอหน้ากันเลยสักครั้ง อย่างมากก็เคยเห็นกันครั้งเดียวตอนรวมตัวในปีแรกๆ กับบางคนที่เพิ่งรู้จักกัน อย่างมากก็เคยปะทะกันในเวลาร้อยปีของการทดสอบ ดังนั้นการที่พวกเขาไม่ค่อยรู้จักกันก็เป็นเรื่องปกติมาก ยกตัวอย่างเช่นโฉวตั้งไห่ เขาเองก็ไม่รู้จักนางกับชิงอวี้หลางเหมือนกัน

“ชิงอวี้หลางเล่นบ้าอะไร!” ฮุ่ยชิงเหยียนที่หลบอยู่อีกแห่งอดไม่ได้ที่จะโผล่หัวออกมา พอนางเห็นว่ามีคนหลายคนกำลังมาทางนี้ แต่กลับเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางหนีอย่างกะทันหัน ทำเอาการเตรียมตัวดักล่าครั้งนี้สูญเปล่า เห็นได้ชัดว่าถูกชิงอวี้หลางทำให้ตกใจหนีไปแล้ว

ไม่หนีไม่ได้หรอก พลังของชิงอวี้หลางไม่ได้แย่เลยจริงๆ คนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ตรงจุดรวมตัวต่างก็นำระฆังดาราออกมาเขย่า

เรื่องที่ได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่แต่ละคนย่อมต้องเตือนลูกน้องของตัวเองให้ระวังตัว โค่วเหวินหลานเองก็หยิบระฆังดารามาเขย่าเช่นกัน เตือนเหมียวอี้ให้ระวังตัวเอาไว้ อย่าบุ่มบ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือ เขาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงนี้ให้ฟัง

ปี้เยว่ฮูหยินมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นคนพวกนี้เขย่าระฆัง นางก็รู้สึกขำนิดหน่อย นี่เป็นการรวมตัวกันโกงจริงๆ ดูจากสภาพการณ์นี้ ถ้าไม่รอให้ถึงวันสุดท้าย การทดสอบนี้ก็คงจะไม่จบลง

เกาก้วนที่นั่งอยู่เบื้องสูงสีหน้าเครียดขรึมเล็กน้อย พวกชิงอวี้หลางกำลังใช้สายตากวาดมองรอบข้าง ในใจรู้สึกหงุดหงิดเหมือนกัน เรื่องบางเรื่องไม่สะดวกจะเปิดเผยให้ชัดเจน แต่ละตระกูลกำลังเข่นฆ่ากันแบบนั้น ทุกคนรู้อยู่ในใจก็พอแล้ว แต่ชิงอวี้หลางดันมีนิสัยการกินที่น่าเกลียด[1]เกินไป เปิดโปงเรื่องที่คนของตำหนักสวรรค์เข่นฆ่ากันเองต่อหน้าเขาแบบนี้ จะให้เขาทนความรู้สึกได้อย่างไร!

กติกาของการทดสอบก็ไม่ได้บอกว่าทำแบบนี้ไม่ได้ ชิงอวี้หลางก็แค่อาศัยช่องโหว่นี้ ตอนนี้ทำเอาเกาก้วนไม่รู้ว่าควรจะห้ามหรือไม่ห้ามดี…

พวกเหมียวอี้ที่ยังอยู่ตรงจุดไกลๆ บนท้องฟ้า หลังจากได้รับคำเตือนจากโค่วเหวินหลานแล้ว ทั้งสามหยุดเดินทางกะทันหัน หลังจากบอกเรื่องนี้ต่อๆ กันแล้ว สวีถังหรานก็อุทานอย่างตกใจ “เล่นบ้าอะไรกัน มาขวางที่ประตูแบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ? น้องหนิว ทำยังไงดีล่ะ?”

มู่หรงซิงหัวขมวดคิ้วมุ่น ฝ่ายพวกเขานับว่าคำนวนเวลามาดีแล้ว ได้ข้อสรุปว่ากลับไปให้ถึงก่อนครบกำหนดเวลาก็พอ จุดประสงค์ก็คือให้คนอื่นๆ ที่เข่นฆ่ากันเองสิ้นเปลืองพลังไปก่อน รอจนกระทั่งแรงขัดขวางบางตาลงแล้ว พวกเขาจะได้พุ่งเข้าเส้นชัยด่านสุดท้ายด้วยอึดใจเดียวได้สะดวก ตอนนี้หมดกัน กลุ่มคนล้วนสะสมพลังรออยู่ตรงนั้น ทั้งยังมีห้าร้อยกว่าคน ถึงตอนนั้นแรงขัดขวางก็อาจจะมากเกินไปหน่อย จะให้กลุ่มเล็กๆ ที่เหลือกันแค่สามคนทนความรู้สึกได้อย่างไร แบบนี้ยังจะกลับไปได้เหรอ?

หลังจากเหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็ยิ้มพร้อมบอกว่า “จะทำยังไงได้ล่ะ? นี่คือเรื่องดี ทุกคนล้วนกำลังรออยู่ตรงนั้น รอจนกระทั่งถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย ทุกคนจะไม่โผล่ออกมาก็คงไม่ได้ พวกเจ้าลองคิดดูสิ เมื่อถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย คนห้าร้อยกว่าคนพุ่งกลับมาจากทั่วสารทิศพร้อมกันก่อนจะครบกำหนดเวลา ชิงอวี้หลางคนเดียวจะขวางไหวได้อย่างไร ต่อให้มีอวี้หลางอะไรนั่นสิบคนก็ขวางไม่ไหว คนส่วนใหญ่จะสามารถฝ่าวงล้อมไปได้ทันเวลา”

ทั้งสองได้ยินแล้วพยักหน้าเห็นด้วย แต่สวีถังหรานก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างกังวล “อาศัยแค่พวกเราสามคนจะฝ่ากลับไปได้เหรอ?”

เหมียวอี้ตอบว่า “คนเกือบห้าร้อยคนฝ่าวงล้อม พวกเราสามคนคงไม่ได้ดวงซวยขนาดนั้นหรอกมั้ง? ต่อให้มีคนมาขัดขวาง แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะมาขวางแค่พวกเราสามคนนี่นา? ถึงตอนนั้นข้าจะพุ่งไปคนแรก จะคอยเบิกทางอยู่ข้างหน้า พวกเจ้าสองคนตามติดข้าอยู่ทางซ้ายขวาแล้วกัน พวกเราใช้ความเร็วสูงสุดพุ่งให้ถึงจุดหมายในอึดใจเดียวก็สิ้นเรื่องแล้ว ไม่ต้องกังวลเกินไปหรอก คนเยอะกลับเป็นเรื่องดี คลำหาปลาในน้ำโคลน”

มู่หรงซิงหัวรู้สึกงง บุกนำเป็นหนังหน้าไฟย่อมอันตรายที่สุดอยู่แล้ว นางนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเต็มใจเป็นฝ่ายอาสาทำงานที่อันตรายที่สุด แต่พอนึกถึงเรื่องที่เหมียวอี้เสี่ยงอันตรายไปพบปานเยว่กงที่ป่าลืมทุกข์คนเดียว นางก็เข้าใจแล้ว เพิ่งเข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่าลักษณะยิ่งใหญ่! นางจึงตอบอย่างสงบนิ่งว่า “ตรงนี้ข้าวรยุทธ์สูงสุด ให้ข้าบุกนำหน้าดีกว่า!”

สวีถังหรานที่หดหัวอยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วแปลกใจ เหมือนจะไม่รู้จักนางแล้วจริง ตอนแรกผู้หญิงคนนี้ทรยศฝ่ายนี้เพื่อหลบเลี่ยงอันตราย ตอนนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นฝ่ายเสนอตัวอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายที่สุด?

เหมียวอี้เองก็มองประเมินนางศีรษะจดเท้าอย่างเหนือความคาดหมายเช่นกัน

“ทำไมล่ะ? เป็นเพราะข้าเป็นเมียน้อยของเฉาว่านเสียง ก็เลยดูถูกข้าเหรอ?” มู่หรงซิงหัวถามพร้อมรอยยิ้ม

เหมียวอี้พยักหน้า “ก็ดูถูกเจ้าจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นเมียน้อยของเฉาว่านเสียงหรอก ต่อให้เจ้าเป็นเมียน้อยข้า ข้าก็ดูถูกอยู่ดี เพราะต่อให้เจ้าวรยุทธ์สูงแต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ถ้าให้เจ้าเป็นหนังหน้าไฟ แล้วไม่สามารถสังหารเบิกทางได้ตลอดทาง ถ้าเชื่องช้านิดเดียวก็จะทำให้ชีวิตของอีกสองคนที่เหลือก็จะลำบากไปด้วย แค่แค่คิดเพื่อชีวิตของข้า ถึงตอนนั้นพวกเจ้าสองคนแค่ต้องระวังหลังให้ข้า ตามติดอยู่ข้างหลังข้า…ไม่ต้องเถียงต่อแล้ว ข้าตัดสินใจแบบนี้แล้วกัน!” เขายกมือห้าม ตัดสินใจเรื่องราวแบบนี้แล้ว

มู่หรงซิงหัวยิ้มบางๆ “ในเมื่อเจ้ามั่นใจขนาดนี้ งั้นก็เชื่อเจ้าก็แล้วกัน”

จากนั้นทั้งสามก็เดินทางต่อไป

ทว่าตามสถานการณ์ที่พลิกผัน เรื่องบางเรื่องก็เกิดการเปลี่ยนแปลง โค่วเหวินหลานเจอกับโจทย์ยากเข้าแล้ว

ขณะที่กลุ่มคนกำลังรออย่างเสียเวลาเปล่า ไม่รู้ว่าโค่วเหวินหวงฝ่าฝูงชนมาอยู่ข้างกายเขาตั้งแต่ตอนไหน ถ่ายทอดเสียงถามเขาว่า “น้องหก ลูกน้องเจ้ายังเหลืออีกกี่คน?”

โค่วเหวินหลานงงไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงถามแบบนี้ จึงถ่ายทอดเสียงตอบว่า “สามคน ทำไมเหรอ?”

“ในมือจับนักโทษหลบหนีได้กี่คน?” โค่วเหวินหวงถามอีก

ตอนนี้โค่วเหวินหลานเงียบแล้ว ลังเลนิดหน่อยว่าควรจะบอกหรือไม่ควรจะบอกดี

โค่วเหวินหวงจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “เป็นอะไรไป? หรือว่าป้องกันแม้แต่พี่น้องของตระกูลตัวเอง? ข้าไม่ได้อยากจะทำให้เจ้าสูญเสียกำลังพลหรอก แค่อยากจะให้คนของข้าปกป้องคนของเจ้าสักหน่อย”

โค่วเหวินหลานได้ยินแล้วอึ้ง นั่นเป็นเรื่องดีจริงๆ ตอบทันทีว่า “จับได้สี่คน”

“สี่คน?” โค่วเหวินหวงตกตะลึงทันที ต้องทราบไว้ว่าคนหนึ่งร้อยคนไม่ได้ถูกจับได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ทั้งยังไม่ได้โง่อยู่รอให้เจ้าจับอีกด้วย จึงถามว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าส่งลูกน้องไปแค่สี่คนไม่ใช่เหรอ?”

โค่วเหวินหลานยิ้มพร้อมตอบว่า “ที่น้องชายอยู่ข้างนอกหลายปีมานี้ ก็ไม่ใช่ว่าไร้ความสามารถหรอกนะ ใช้ความคิดไปมากมายเพื่อวางแผนและจัดการ” นี่ก็คือจุดที่เขาภูมิใจในตัวเอง ขอเพียงพวกหนิวโหย่วเต๋อสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ถึงตอนนั้นก็ถึงคราวที่พ่อแม่ของเขาก็จะได้พูดคำนี้ต่อหน้าตระกูลโค่วแล้ว เมื่อมีผลงานแล้วพ่อแม่ก็ย่อมหาเหตุผลมาถกเถียงเพื่อเขาได้

หลังจากตำหนักสวรรค์ได้ปกครองใต้หล้า คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ออกรบมานานแล้ว ผลงานที่มีนิดหน่อยก็เป็นสิ่งที่แสดงถึงความสามารถ ที่เขาเอาชนะเซี่ยโห้วหลงเฉิงครั้งก่อนก็นับว่าเป็นเรื่องหนึ่งแล้ว ตอนนี้เขาส่งลูกน้องไปรับมือกับการทดสอบที่ตำหนักสวรรค์ประกาศอย่างกะทันหันอีก ถึงตอนนั้นใครยังจะกล้าบอกอีกว่าเขาไร้ความสามารถ?

ใครจะคิดว่าโค่วเหวินหวงจะพยักหน้าเบาๆ “ติดต่อกับคนของเจ้าสิ ให้พวกเขามารวมตัวกับคนของข้าหลังจากมาถึงแล้ว มีคนเพิ่มก็มีกำลังเพิ่ม ให้คนของเจ้าส่งนักโทษที่จับได้มาไว้ในมือคนของข้า จะได้ไม่ต้องตกไปอยู่ในมือคนอื่น”

…………………………………………

[1] นิสัยการกินน่าเกลียด อุปมาถึงคนละโมบโลภมาก

1033


บทที่ 1034 ตัดสินใจเลือก

ประโยคสุดท้ายต่างหากที่เป็นจุดสำคัญ โค่วเหวินหลานที่กำลังดีใจเพราะได้ฟังคำพูดประโยคแรกๆ ตอนนี้ใบหน้าเหมือนโดนตะคริวกินในชั่วพริบตาเดียว เหมือนรู้สึกเหลือเชื่อนิดหน่อย ไฟโกรธลุกพรึ่บในใจทันที…มอบนักโทษหลบหนีให้เจ้างั้นเหรอ ก็เท่ากับมอบคะแนนให้เจ้าน่ะสิ ถึงตอนนั้นคนของข้ายังต้องร่วมกำลังกับเจ้าเพื่อช่วยเจ้าเข่นฆ่าอีก แบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ?

“พี่สาม น้องชายก็ลำบากเหมือนกัน!” โค่วเหวินหลานแสดงเจตนาปฏิเสธอย่างอ้อมๆ ฐานะในตระกูลเทียบพี่ใหญ่ท่านนี้ไม่ติด ไม่กล้าเถียงกลบตรงๆ

โค่วเหวินหวงจึงอธิบายด้วยเสียงราบเรียบว่า “เจ้าหก เจ้าเองก็เห็นสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว อิงตามสถานการณ์แบบนี้ เป็นไปได้สูงว่าตรงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย คนหลายร้อยคนจะรวมตัวกันพุ่งกลับมา ต่อให้คนของข้าเก่งกว่านี้ แต่ก็ดักขวางได้ไม่กี่คน ต่อดักขวางได้แล้ว ก็ไม่แน่ว่าบนตัวของคนที่ดักได้จะมีนักโทษหลบหนี ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถ้าไม่นำคะแนนของเจ้ากับข้ามารวมกัน ต่อให้ข้ากับเจ้าจะจับคนได้เยอะกว่านี้ แต่ถ้าช่วงชิงอันดับดีๆ ไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ ควรจะรวบรวมนักโทษที่จับได้มาไว้ในมือเพื่อชิงอันดับดีๆ ให้ตระกูลโค่ว น้องหก ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคำนึงถึงผลได้ผลเสียส่วนตัว ในฐานะที่เป็นคนของตระกูลโค่ว ก็ต้องคำนึงถึงชื่อเสียงของตระกูลโค่วสิ! และแน่นอน ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเสียเปรียบเหมือนกัน คุณูปการส่วนของเจ้า ข้าย่อมบอกคนในตระกูลอยู่แล้ว”

นั่นมันเหมือนกันเหรอ? ถึงตอนนั้นต่อให้มีผลงาน แต่อีกฝ่ายก็จะบอกว่าอาศัยบารมีเจ้าอยู่ดี! ในใจโค่วเหวินหลานถึงขั้นเดือดดาล จึงเอ่ยปฏิเสธอย่างอ้อมๆ โดยถามว่า  “ทำไมพี่ใหญ่ไม่ให้คนของท่านส่งนักโทษหลบหนีมาให้คนของข้าล่ะ?”

โค่วเหวินหวงสีหน้าเครียดเล็กน้อย ถามกลับว่า “ลูกน้องข้ายังเหลืออีกเก้าคน คนของเจ้ามีพลังแข็งแกร่งกว่าคนของข้ารึไงล่ะ? ลูกน้องข้าจับนักโทษหลบหนีได้สิบเอ็ดคน ถ้าส่งนักโทษทั้งหมดไปให้ลูกน้องของเจ้า อาศัยความสามารถของพวกเขาจะรักษาไว้ได้เหรอ? เก็บนักโทษไว้ในมือใครมั่นคงปลอดภัยกว่า เจ้าก็รู้ชัดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? เจ้าหก นี่ไม่ใช่เวลามาเห็นแก่ตัวนะ!”

แล้วเจ้าไม่เห็นแก่ตัวรึไงล่ะ? โค่วเหวินหลานอยากจะถามเขามาก แต่เขารู้ว่าคำพูดของโค่วเหวินหวงก็มีเหตุผลในระดับหนึ่ง ถ้ายืนอยาในมุมของตระกูลตระกูล ที่โค่วเหวินหวงพูดก็ไม่ผิด เพียงแต่เขารู้สึกไม่ยอม เขาทุ่มเทกำลังและทรัพย์สินเพื่อการต่อสู้ครั้งนี้ ถ้าให้ยอมแพ้แบบนี้เขารู้สึกไม่ยอมจริงๆ

ภายใต้การจ้องเขม็งอย่างเย็นเยียบของโค่วเหวินหวง โค่วเหวินหลานลังเลแล้วลังเลอีก แต่สุดท้ายก็ยังแข็งใจบอกว่า “พี่สาม น้องชายลำบากแค่ไหนท่านเองก็รู้ ท่านให้โอกาสน้องชายได้ประสบความสำเร็จสักครั้งเถอะ!”

ในดวงตาโค่วเหวินหวงฉายแววขุ่นเคือง ทว่าในเมื่อน้องหกพูดจาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเขากดดันอีกก็จะดูทำเกินไปหน่อย มิหนำซ้ำ ถ้าอีกฝ่ายดึงดันว่าจะไม่ให้ เขาเองก็ไม่มีทางบังคับให้อีกฝ่ายมอบให้ได้ ถึงได้ทำเสียงฮึดฮัด แล้วหันหน้าเดินออกไป

โค่วเหวินหลานหันกลับมามองแวบหนึ่ง สีหน้าค่อนข้างสับสน รู้ว่าครั้งนี้ได้ล่วงเกินพี่สามแล้ว เขาเองก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่เขารู้สึกไม่ยอมจริงๆ!

ผ่านไปครู่เดียว โค่วเหวินชิงก็ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวอยู่ข้างเขาตอนไหน ถ่ายทอดเสียงบอกโค่วเหวินหลานที่กำลังหดหู่กลุ้มใจว่า “เจ้าหก เป็นอะไรไป? เจ้าพูดอะไรกับพี่สามไป ทำไมเขาเดินออกไปแบบไม่สบอารมณ์ล่ะ เจ้าเองก็เหมือนจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไร เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

โค่วเหวินหลานยิ้มขื่นขม แล้วเล่าเรื่องให้ฟังคร่าวๆ

โค่วเหวินชิงฟังจบแล้วขมวดคิ้วมุ่น “พี่สามนี่ก็จริงๆ เลย จะเอ่ยปากขอแบบนี้ไปทำไม นี่ไม่ใช่จงใจจะทำให้เจ้าลำบากใจหรอกเหรอ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พี่ชายควรพูด หวังให้เขาดูแลไม่ได้ก็ว่าแย่แล้ว ยังคิดจะมาเอาเปรียบเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีก อย่าไปสนใจเขา เขาไม่กินเจ้าหรอกน่า?”

“เฮ้อ!” โค่วเหวินหลานถอนหายใจยาว จิตใจค่อนข้างเซื่องซึม

ที่จริงแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่สาวน้องสาวร่วมรุ่นถือว่าไม่เลว และสาเหตุที่เขาเป็นคนตุ้งติ้ง ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับพี่สาวน้องสาวพวกนี้เป็นอย่างมาก

ในรุ่นของเขา พี่ชายคนโตโค่วเหวินป๋าย พี่หญิงรองโค่วเหวินหง พี่ชายสามโค่วเหวินหวง พี่หญิงสี่โค่วเหวินลู่ พี่หญิงห้าโค่วเหวินชิง ส่วนเขาก็คือเจ้าหก น้องหญิงเจ็ดโค่วเหวินจื่อ

ในบรรดาพี่น้องเจ็ดคน มีผู้ชายเพียงสามคน นอกนั้นล้วนเป็นผู้หญิงหมด ในบรรดาผู้ชายทั้งหมดเขาอายุน้อยสุด

พี่ใหญ่กับพี่รองเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน

พี่ชายสาม พี่หญิงสี่ พี่หญิงห้าเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน หรือพูดได้อีกอย่างว่า โค่วเหวินหวงกับโค่วเหวินชิงเป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่ดูเหมือนโค่วเหวินชิงจะสนิทกับโค่วเหวินหลานมากกว่า

โค่วเหวินหลานยังมีน้องสาวแท้ๆ อีกหนึ่งคน นั่นก็คือน้องหญิงเจ็ดโค่วเหวินจื่อ

ไม่ช้าก็เร็วที่ลูกสาวในตระกูลโค่วจะต้องแต่งงานออกไป สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นคนของตระกูลอื่นอยู่ดี ด้วยเหตุผลนี้ ไม่ว่าลูกสาวจะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน ก็ล้วนไม่ต้องรับผิดชอบงานของตระกูลโค่ว ส่วนพี่ใหญ่กับพี่สามก็เริ่มเข้าสู่การฝึกอบรมของตระกูลโค่วตั้งนานแล้ว รอจนกระทั่งเขาเกิดมา ทั้งสองฝ่ายก็อายุห่างกันเกินไปแล้ว อีกฝ่ายไม่มาเล่นกับเขา มีเพียงกลุ่มผู้หญิงในตระกูลที่ไม่มีงานสำคัญต้องทำที่มาเล่นเป็นเพื่อนเขาได้ คลุกคลีอยู่กับวงผู้หญิงมาเนิ่นนานตั้งแต่เด็ก ภายใต้ผลลัพธ์ที่ธาตุหยินพุ่งพรวดและธาตุหยางอ่อนแอ ก็ทำให้เขามีสภาพเป็นอย่างทุกวันนี้

ส่วนระหว่างโค่วเหวินป๋าย โค่วเหวินหวงและเขา มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้กลายเป็นเป้าหมายที่ตระกูลเน้นฝึกอบรม แต่ละรุ่นจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะถูกเน้นฝึกอบรม จะเลือกแค่คนที่โดดเด่นที่สุด ถ้าได้รับการยืนยันขั้นสุดท้ายแล้ว ทรัพยากรของตระกูลก็จะไปรวมอยู่ที่ตัวคนนั้นคนเดียว ไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่โหดร้ายหรือว่าไร้เหตุผลผิดมนุษย์ แต่เพราะสถานการณ์บีบบังคับ ต้องทราบไว้ว่าเมื่ออยู่ในตระกูลที่มีฐานะอย่างพวกเขา ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไปแข่งขันกับตระกูลเล็กๆ พวกนั้น คนที่แข่งขันด้วยล้วนอยู่ในระดับเดียวกัน การแข่งขันกันในระดับนี้ไม่ใช่ว่าใช้ทรัพยากรเล็กน้อยแล้วจะทำสำเร็จ ต่างก็ต้องใช้จ่ายก้อนใหญ่ ต่อให้ตระกูลร่ำรวยกว่านี้ก็แจกจ่ายไม่ไหว ต้องรวบรวมกำลังที่ได้เปรียบถึงจะสามารถตีเสมอได้

และแน่นอน ต่อให้ไม่ได้กลายเป็นคนที่ตระกูลเน้นฝึกอบรม แต่เขาก็ไม่หิวตายอยู่ดี ยังคงได้รับทรัพยากรฝึกตนที่จำเป็น ต่อให้ได้รับการแบ่งสรรเล็กน้อย แต่ก็ยังนับว่าเยอะกว่าคนส่วนใหญ่ในแดนฝึกตน ถึงอย่างไรก็ยังเป็นลูกหลานของตระกูลนี้

เมื่อเทียบกันแล้ว ต่อให้โค่วเหวินหลานจะขัดสนแค่ไหน แต่ก็ยังนับว่าดีกว่าคนอื่น เนื่องจากลูกหลานของตระกูลโค่วมีไม่เยอะ ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยโห้วหลงเฉิง แบบนั้นจัดอยู่ในประเภทน่าอนาถ ตระกูลเซี่ยโห้วมีลูกหลานเยอะเกินไป ในปีนั้นตระกูลเซี่ยโห้วเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในใต้หล้า ตอนที่ราชันสวรรค์เพิ่งขึ้นบัลลังก์ ใต้หล้าเพิ่งจะสงบลง แต่ก็ยังไม่สงบสักเท่าไร เพื่อที่จะอาศัยอิทธิพลของตระกูลเซี่ยโห้วมาคุมใต้หล้า ราชันสวรรค์ถึงได้แต่งงานและรับลูกสาวของตระกูลเซี่ยโห้วมาเป็นราชินี

เพียงแต่เมื่อวิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน กระต่ายม้วยย่างสุนัข หลังจากราชันสวรรค์ควบคุมใต้หล้าได้อย่างมั่นคงแล้ว ก็เริ่มลงมือกับคนของตระกูลเซี่ยโห้วอีก จงใจควบคุมอำนาจอิทธิพลของตระกูลเซี่ยโห้ว พอเป็นแบบนี้ การที่ตระกูลเซี่ยโห้วมีลูกหลานเยอะ ก็กลับกลายเป็นภาระของตระกูลด้วยซ้ำ ความกดดันของการแข่งขันภายในก็เยอะยิ่งกว่า นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาเซี่ยโห้วหลงเฉิงทำตัวยากจน จึงด่าโค่วเหวินหลานว่ามีคนป้อนนมให้ดื่ม ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้ร่ำรวยเท่าโค่วเหวินหลานนั่นเอง

ที่กล่าวมาคือเรื่องนอกประเด็น กลับสู่ประเด็นหลักต่อ เป็นเพราะมีความสัมพันธ์อันดีกับพี่สาวน้องสาว โค่วเหวินชิงถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เพราะนางถูกโค่วเหวินหลานฝากฝังไหว้วาน

โค่วเหวินชิงกำลังปลอบใจอยู่ตรงนี้ โค่วเหวินหลานพลันขมวดคิ้ว หิ้วระฆังดาราขึ้นมา หลังจากสื่อสารกันแล้ว สีหน้าเขาก็แย่มาก จากนั้นก็เก็บระฆังดาราอย่างเงียบๆ

“เป็นอะไรไป?” โค่วเหวินชิงถาม

“พี่สามฟ้องเรื่องนี้กับที่บ้านแล้ว พ่อข้าส่งข่าวมา” โค่วเหวินหลานยิ้มอย่างน่าสงาร

โค่วเหวินชิงชะงัก แล้วถามว่า “อาสามว่ายังไงบ้าง?”

พ่อของโค่วเหวินหลานก็ไม่ได้กดดันเดาเช่นกัน หลังจากถามถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องจนรู้ชัด ก็ถามเขาเพียงว่า เจ้าแน่ใจนะว่าคนของเจ้าจะรอดมาจนถึงด่านสุดท้าย? ถ้าแน่ใจ ก็ไม่ต้องสนใจโค่วเหวินหวง แต่ถ้าไม่มั่นใจ แล้วการที่เจ้านิ่งดูดายส่งผลต่อคะแนนรวมของตระกูลโค่ว ทำให้ตระกูลโค่วเสียหน้า เจ้าก็จะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา ผลที่เจ้าเห็นแก่ตัวและไม่สนใจผลประโยชน์ของตระกูล นั่นคือสิ่งที่เจ้ารับผิดชอบไม่ไหว!

บิดาของเขาบอกเอาไว้สองทางเลือก

ถ้าตอนนี้ให้ความร่วมมือกับโค่วเหวินหวง ถ้าเจ้ายอมเสียสละ ตระกูลก็ยังให้โอกาสเจ้าได้อีกครั้ง ยังสามารถรักษาตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ไว้ให้เจ้าได้ ตระกูลจะย้ายเจ้าจากดาวเทียนหยวนไปในขอบเขตอำนาจของตระกูลโค่ว

ส่วนทางเลือกที่สองเจ้าก็จัดการเองตามเห็นสมควร ถ้าคนของเจ้ากลับมาไม่ได้ ถ้านำคะแนนที่เจ้าต้องการกลับมาไม่ได้ นอกจากเจ้าจะรักษาตำแหน่งปัจจุบันไว้ไม่ได้แล้ว เจ้ายังตัดทางหนีทีไล่สุดท้ายของตัวเองไปด้วยอย่างสิ้นเชิง จะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาทุกอย่าง จะไปทางไหน จะเลือกอะไร เจ้าก็พิจารณาเอาเอง!

เมื่อได้ยินดังนั้น โค่วเหวินชิงที่เงียบไปพักหนึ่งก็ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าหก เจ้ามั่นใจในคนของเจ้าหรือเปล่า?”

“คนของข้าเหลืออยู่สามคน คนที่วรยุทธ์สูงสุดในนั้นมีแค่บงกชทองขั้นห้า ส่วนคนที่วรยุทธ์สูงสุดคนนี้ก็เคยทรยศข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง” ความหมายแฝงในคำพูดของโค่วเหวินหลานก็คือถามกลับ เจ้าคิดว่าข้ามั่นใจหรือเปล่า?

“เอ่อคือ…” โค่วเหวินชิงได้ฟังแล้วลังเล ถามหยั่งเชิงอีกว่า “เจ้าหก ถ้าเจ้ากับพี่สามร่วมมือกัน อย่างน้อยก็ยังเหลือทางหนีทีไล่ ไม่ถึงขั้นอับจนหนทาง อาสามหวังดีกับเจ้า ไม่ทำร้ายเจ้า…ข้าเองก็รู้สึกว่าเจ้าควรไตร่ตรองดูให้ดี”

โค่วเหวินหลานห่อเหี่ยวใจ เขาไม่อยากรับปากเลยจริงๆ ทว่าไม่มีมีทางเลือก ไม่สามารถปฏิเสธได้ ไม่อย่างนั้นจะรับผลที่ตามมาไม่ไหว ถ้าพวกหนิวโหย่วเต๋อไม่สามารถรอดชีวิตกลับมาได้ เช่นนั้นเขาก็จะไม่มีแม้แต่โอกาสแข่งขันในตระกูล ตอนนี้มีทางหนีทีไล่แล้ว

เพียงแต่ในใจเจ็บปวดรวดดร้าว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทุ่มกำลังทรัพย์มาเดิมพันสักครั้ง อยากจะได้โอกาสประสบความสำเร็จเร็วๆ ผลคือกลายเป็นช่วยคนอื่นทำผลงาน โอกาสประสบความสำเร็จครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไร จะให้เขายอมรับได้อย่างไร

ทุกครั้งเวลาเห็นคนอื่นๆ ในตระกูลมีเรื่องอะไรก็สามารถขอทรัพยากรสนับสนุนจากตระกูลได้ แต่เขากลับขอได้จากพ่อแม่เท่านั้น รู้สึกไม่ยอมจริงๆ!

ท่ามกลางสายตาเห็นอกเห็นใจของโค่วเหวินชิง นที่สุดโค่วเหวินหลานก็หันตัวมาช้าๆ เป็นฝ่ายไปหาโค่วเหวินหวงเอง เป็นเพราะคิดโดยใช้สติปัญญา โอกาสที่พวกหนิวโหย่วเต๋อจะกลับมาได้อย่างราบรื่นมีน้อยเกินไป เขาจำเป็นต้องยอมแพ้ให้กับความจริง

พอมองไปที่โค่วเหวินหวงอีกครั้ง โค่วเหวินหวงก็ไม่ได้พูดอะไรเกินไปหรือชักสีหน้าใส่ กลับพูดปลอบใจสองสามคำ บอกว่าเข้าใจความรู้สึกของเขา

หลังจากโค่วเหวินหลานก้มหน้า ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้ต่อหน้าพี่สาม เวลาที่ติดต่อค่อนข้างนาน ฝ่ายเหมียวอี้ย่อมมีคำถามมากมายกับการตัดสินใจของเขา

หลังจากติดต่อแล้ว โค่วเหวินหวงก็พยักหน้า แสดงออกว่าคุยเรียบร้อยแล้ว

โค่วเหวินหวงสีหน้ากระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ได้นักโทษหลบหนีเพิ่มสี่คนในรวดเดียว นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ รวมแล้วมีนักโทษหลบหนีแค่หนึ่งร้อยคน สิ่งนี้ทำให้ความหวังในการได้อันดับเพิ่มขึ้นเยอะมาก ถ้าได้อันดับหนึ่งในการทสอบของตำหนักสวรรค์กลับไป แต่คิดก็รู้ถึงผลลัพธ์แล้ว!

เขาตบบ่าโค่วเหวินหลาน แล้วตัวเองก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับลูกน้อง ให้ลูกน้องเตรียมตัวสนับสนุนให้ทันเวลา

จนกระทั่งโฉวตั้งไห่ได้รับข่าวและหันกลับมาบอกสถานการณ์ให้คนทางซ้ายและขวาฟัง ต่งเฟิงก็กล่าวอย่างดีใจมากว่า “ได้นักโทษเพิ่มสี่คนในรวดเดียว ในมือพวกเราก็จะมีสิบห้าคนแล้ว หนึ่งในเจ็ดส่วนอยู่ในมือพวกเราแล้ว! แถมยังมีคนมาช่วยอีกสามคน ความมั่นใจที่จะได้อันดับหนึ่งเพิ่มขึ้นแล้ว”

โฉวตั้งไห่ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็เพราะแบบนี้แหละ เบื้องหลังผู้บัญชาการใหญ่มีแรงช่วยเหลือสุดกำลังขนาดนี้ ถ้าไม่ได้ที่หนึ่งขึ้นมา พวกเราก็ไม่มีทางรายงานผลงานได้แล้ว!”

ทุกคนได้ยินแล้วเงียบไป

“เป็นเรื่องดีนะ! มีคนมาช่วยเพิ่มตั้งเก้าคน ความหวังที่พวกเราจะได้กลับไปอย่างราบรื่นเพิ่มขึ้นแล้ว!”

สามคนที่กำลังขี่เดรัจฉานสับปลับอยู่บนฟ้า หลังจากได้ยินข่าวจากปากเหมียวอี้แล้ว สวีถังหรานก็เรียกได้ว่าโห่ร้องด้วยความดีใจ

“ดีอะไรล่ะ?” เหมียวอี้กลอกตามองเขา แล้วบอกว่า “เจ้าฟังให้ชัดนะ ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ใช่แค่ให้พวกเรามอบนักโทษให้คนอื่น ทั้งยังให้พวกเราช่วยให้กลุ่มอื่นได้ที่หนึ่งด้วย!”

“นั่นก็ความหมาย พวกเราไม่สามารถกลับไปเฉยๆ ได้ แบบนี้จะไม่อันตรายยิ่งกว่าเดิมเหรอ?” มู่หรงซิงหัวถามอย่างลังเล

สวีถังหรานยิ้มไม่ออกทันที

1034


บทที่ 1035 นักโทษไม่ได้อยู่ที่ตัวพวกเรา

ส่วนสถานการณ์โดยละเอียด โค่วเหวินหลานก็ไม่ได้บอกพวกเขาอย่างชัดเจนเท่าไรนัก ว่ากันว่าความในอย่านําออก เขาคงไม่มีทางบอกเหมียวอี้ตั้งแต่แรกว่าตัวเองโดนพี่สามกดดัน

ในเมื่อโค่วเหวินหลานตัดสินใจแล้วว่าจะมอบนักโทษสี่คนให้อีกกลุ่มเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศของวงศ์ตระกูล เหมียวอี้ก็ไม่มีความเห็นอะไรเหมือนกัน ต่อให้มีความเห็นก็ไร้ประโยชน์ ถ้าเจ้าดึงดันจะทำแบบนี้ ต่อให้จับนักโทษกลับไปสี่คนแล้วยังไงล่ะ? ถ้าไม่สอดคล้องกับเจตนาของโค่วเหวินหลาน ทำงานไปก็เปล่าประโยชน์ ถ้ายั่วให้โค่วเหวินหลานไม่พอใจ ต่อให้สร้างผลงานได้แต่ก็มีความผิด ขนาดเจ้าตัวยังไม่สนใจผลงานนี้ แล้วเจ้ายังจะทำอะไรได้อีก ก็แค่แย่งผลงานให้โค่วเหวินหลานไม่ใช่เหรอ!

สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้มีความเห็นแย้งก็คือ ยังต้องช่วยพวกโฉวตั้งไห่ช่วงชิงอันดับหนึ่งอีก ถึงตอนนั้นยอดฝีมือหลายร้อยรบกันอุตลุต อาศัยวรยุทธ์ของพวกเขาสามคนอันตรายเกินไป นี่ก็คือความจนใจของการเป็นลูกน้อง เจ้าจะขัดคำสั่งก็ไม่ได้อีก

เดิมทีมีคนเพิ่มมาอีกกลุ่มก็ควรจะปลอดภัยขึ้นไม่น้อย แต่ประเด็นสำคัญคือไม่สนิทกับกลุ่มโฉวตั้งไห่เลยสักนิด ไม่ต้องหวังเลยว่าฝ่ายนั้นจะช่วยปกป้องเจ้าได้ ในแดนฝึกตนถ้าเป็นคนแปลกหน้ากัน ภายใต้สถานการณ์แบบนั้นใครจะสู้ตายเพื่อมาช่วยเจ้า? ในการแย่งชิงผลประโยชน์ ย่อมไม่มีการกล้ายืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเปลี่ยนเป็นเหมียวอี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำอย่างนั้น

เดิมทีทั้งสามก็ไม่มั่นใจอยู่แล้ววาจะกลับไปได้หรือไม่ ตอนนี้ยังต้องมาทำเรื่องแบบนี้อีก ช่างเป็นการราดน้ำมันลงกองไฟ เป็นการบีบให้พวกเขาไปตายชัดๆ!

“แล้วจะทำยังไงดี?” มู่หรงซิงหัวถาม

เหมียวอี้ตอบว่า “ยังจะทำยังไงได้อีกล่ะ? พวกเรา…” จากนั้นก็ชะงัก แล้วหยิบระฆังดาราออกมาจากกำไลเก็บสมบัติ โค่วเหวินหลานส่งข้อความมาอีกแล้ว

โค่วเหวินหลานเหมือนจะได้สติกลับมา เห็นได้ชัดว่าตระหนักได้ถึงปัญหาแล้ว บอกว่า : ต้องมอบนักโทษสี่คนให้พวกโฉวตั้งไห่ ส่วนที่เหลือก็ตัดสินใจคามสถานการณ์ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็รักษาชีวิตตัวเองไว้ก่อน!

เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็นับว่าโล่งใจขึ้นหน่อย เจ้าตุ้งติ้งนี่ยังนับว่ายังมีจิตสำนึกในความเป็นคนอยู่บ้าง ถ้าไม่มองเห็นลูกน้องเป็นคนจริงๆ งั้นก็ต้องคิดเล็กคิดน้อยกันหน่อยแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นคนแบบนี้ ถ้าเจ้าไม่รังแกข้า ข้าก็ไม่รังแกเจ้า แต่ถ้าเจ้ารังแกข้า ข้าก็จะรังแกเจ้าแน่นอน!

จากนั้นก็บอกเจตนาของโค่วเหวินหลานให้อีกสองคนฟัง

มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานได้ยินแล้วโล่งใจขึ้นบ้าง ถ้าแค่ปล่อยนักโทษไปให้คนอื่น งั้นการที่พวกเขาจะรอดตัวได้หรือไม่กับการที่พวกเขาจะมอบนักโทษให้หรือไม่ ก็ไม่แตกต่างกันเท่าไรแล้ว เพียงแต่พอเป็นแบบนี้…สวีถังหรานถามว่า “เกรงว่าผู้บัญชาการใหญ่จะยังไม่ได้เลื่อนขั้นน่ะสิ?”

ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ ถ้าโค่วเหวินหลานไม่สามารถเลื่อนขั้นได้ งั้นพวกเขาก็ทำได้เพียงย่ำอยู่ที่เดิมแล้ว

“จนป่านนี้แล้วเจ้ายังเอาแต่คิดเรื่องนี้อีกเหรอ? รักษาชีวิตตัวเองก่อนสำคัญกว่า” มู่หรงซิงหัวกล่าว

เหมียวอี้จึงบอกว่า “ฟังจากความหมายที่พูด ตระกูลโค่วคงจะให้คำสัญญาอะไรบางอย่างกับผู้บัญชาการใหญ่ คาดว่าต่อให้อยู่ที่ดาวเทียนหยวนต่อไม่ได้แล้ว ตระกูลโค่วก็คงจะย้ายเขาไปไว้ในขอบเขตอำนาจของตัวเอง คงจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเราอย่างขาดความยุติธรรม  อย่างน้อยคงจะรักษาตำแหน่งปัจจุบันไว้ได้ ผู้บัญชาการใหญ่วางตัวค่อนข้างดี คาดว่าเขาคงจะไม่ทิ้งพวกเราหรอก”

“นั่นก็ใช้” สวีถังหรานกล่าวกลั้วหัวเราะ

สาเหตุก็ไม่วบซ้อนเลย ตราบใดที่มั่นใจว่าโค่วเหวินหลานยังไม่ล้มลง มั่นใจว่ายังมีคนหนุนหลังคนนี้อยู่ พวกเขาก็ยังมีโอกาสจะเลื่อนขั้นอีกครั้ง

กลับเป็นมู่หรงซิงหัวที่เงียบงันกับสิ่งนี้ เรื่องราวก็แสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้ว นางไม่ใช่คนของโค่วเหวินหลาน โค่วเหวินหลานพาหนิวโหย่วเต๋อกับสวีถังหรานไปด้วยได้ รับประกันอนาคตของทั้งสองได้ แต่อาจจะไม่สนใจใยดีนาง!

เหมียวอี้กับสวีถังหรานเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง สบตากันแวบหนึ่ง รู้ว่าได้พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป จึงพากันหุบปากไม่พูดอะไรแล้ว…

การทดสอบครั้งนี้เหมือนจะมีปัญหานิดหน่อย หรือพูดได้ว่าสร้างเรื่องน่าหัวเราะเยาะออกมานิดหน่อย

เป็นเหมือนที่ทุกคนคาดไว้ ตรงจุดหมายปลายทางสุดท้าย นอกจากการเข่นฆ่าตอนที่อักษร ‘คำสั่ง’ เพิ่งโผล่ออกมา ตอนท้ายก็เงียบจนดูเหลวไหล ไม่เห็นการเคลื่อนไหวอะไร เป็นวันที่แปดแล้วตั้งแต่การทดสอบจบลง นับถอยหลังอีกสามวัน ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เห็นใครมารายงานการปฏิบัติภารกิจเลย เรื่องนี้ช่างวุ่นวาย

ชิงอวี้หลางที่ลาดตระเวนอยู่โดยรอบตลอด เหมือนตอนแรกจะคาดคิดไม่ถึงจุดนี้ หลังจากตระหนักได้ถึงปัญหา ก็เหมือนจะอับอายนิดหน่อย เหมือนตัวเองจะทำให้การทดสอบครั้งนี้กลายเป็นเรื่องน่าขำ อุตส่าห์คิดแล้วคิดอีก แต่คาดไม่ถึงว่ากลุ่มคนที่ดูอยู่ข้างสนามจะรวมตัวกันโกง รวมตัวกันส่งข่าวบอกลูกน้องตัวเอง

เป็นแบบนี้มาจนถึงตอนท้ายสุด ชิงอวี้หลางเองก็เริ่มทำสีหน้าไม่ถูก เริ่มนำคนซ่อนตัวอีกครั้งอย่างเศร้าหมอง

แต่มาซ่อนตัวตอนนี้จะมีประโยชน์อะไรล่ะ กลุ่มคนที่ล้อมดูบอกข่าวลูกน้องไปตั้งนานแล้ว ใครจะยอมมาปะทะตรงนี้

เก้าอี้บนบันไดหน้าตำหนักว่างแล้ว เกาก้วนไม่อาจนั่งรออยู่ที่นี่ต่อไป ตั้งแต่วันแรกที่เห็นสภานการณ์ไม่ชอบมาพากล เขาก็ลุกขึ้นกลับเข้าในตำหนักแล้ว

แต่โค่วเหวินหลานและคนอื่นๆ กลับไปสลายตัวไปไหน ยังคงเฝ้ารออยู่ตลอด กลัวว่าจะพลาดอะไรไป สาเหตุหลักเป็นเพราะลาภยศได้ครอบงำจนหน้ามืดตามัว ถ้ายังไม่เห็นผลลัพธ์ สติก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จะสงบใจลงได้อย่างไร พวกเขาจึงนั่งสมาธิรออยู่บนพื้น

รอจนเหลือสามวันสุดท้าย เหตุการณ์ยังเงียบกริบ แต่กลับมีคนไม่อยากตายดีบุกมา ท่านขุนนางเหมียวพาคนบุกมาแล้ว

เดิมทีเหมียวอี้ยังคิดจะหลบซ่อนอีกสักหน่อย เตรียมจะโผล่ออกมาอีกทีตอนวันสุดท้าย เขาบอกวัตถุประสงค์ให้โค่วเหวินหลานรู้แล้วเช่นกัน

แต่โค่วเหวินหวงรอไม่ไหว เขากังวลว่าในขณะที่รบกันอย่างอุตลุตตอนสุดท้าย พวกเหมียวอี้อาจจะตายอยู่ในนั้นเพราะความสามารถไม่ถึง กลัวว่าของจะตกมาไม่ถึงมือลูกน้องของตน โดยเฉพาะหลังจากถามโค่วเหวินหลานเรื่องวรยุทธ์ของทั้งสามคนแล้ว เขาก็ยิ่งไม่อยากรออีก อยากจะได้นักโทษมาไว้ในมือก่อน ถึงจะรู้สึกมั่นคงปลอดภัย

โค่วเหวินหลานไม่มีทางเลือก ในเมื่อเขาไม่มีทางเลือก พวกเหมียวอี้ก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่ง!

ขณะที่ปฏิบัติตามคำสั่งก็เสนอความเห็น ว่าให้พวกโฉวตั้งไห่มาเป็นกำลังหนุน ตอนคุยกันก็ตอบตกลงแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อยเหยี่ยวหากยังไม่เห็นกระต่าย

เมื่อเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เหมียวอี้ก็ด่าแม่ในใจแล้ว เขามองเห็นตัวอักษร ‘คำสั่ง’ ที่ส่องสว่างระยิบระยับนั่นแล้ว มองเห็นจุดหมายปลายทางแล้ว แต่พวกโฉวตั้งไห่ที่จะมาสนับสนุนกลับยังไม่มีการเคลื่อนไหว

“มีคนมาแล้ว!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องประหลาดตรงจุดหมายสุดท้าย ทุกคนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองมาทันที ต่างก็สงสัยว่าใครกันที่ใจกล้าโผล่ออกมาตอนนี้?

โค่วเหวินหลานที่กำลังนั่งขัดสมาธิยืนขึ้นแล้ว เขารู้ว่าพวกเหมียวอี้มาถึงแล้ว

สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือ ทิศทางที่พวกเหมียวอี้เหาะไปเหมือนจะไม่ใช่ทางนี้

แน่นอนว่าไม่ได้มาทางนี้อยู่แล้ว เป้าหมายของเหมียวอี้ไม่ใช่จุดหมายปลายทางสุดท้าย แต่เป็นสถานที่ที่พวกโฉวตั้งไห่ซ่อนตัวอยู่

เห็นๆ อยู่ว่าใช้ระยะทางอีกไม่ไกลก็จะถึงแล้ว แต่ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผัน จู่ๆ ก็มีกำลังคนกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากดาวเคราะห์ด้านขวา มุ่งตรงมาที่พวกเหมียวอี้

ผู้ที่นำหน้ามาขี่ ‘เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็น’ สวมเกราะรบผลึกแดงขั้นสูงทั้งตัว เอวบางหน้าอกอิ่ม ผมยาวปลิวสะบัด ถือดาบในแนวเฉียง ฝานอวี้เฟยเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นเยียบดุร้าย ข้างหลังมีคนติดตามเก้าคน ทั้งหมดขี่ ‘เหยี่ยวมารวานรยักษ์’

มีละครเด็ดๆ ให้ดูแล้ว! ทุกคนที่อยู่ตรงจุดหมายสุดท้ายกระโดลุกขึ้นมองทันที

ฉากนี้ทำให้โค่วเหวินหลานกัดฟันแน่นจนฟันเกือบหัก ผ้าเช็ดหน้าในมือโดดฉีกขาดแล้ว

ก่อนหน้านี้บอกให้โค่วเหวินหวงส่งคนไปสนับสนุน ทว่าโค่วเหวินหวงที่รับปากเอาไว้อย่างดี ตอนนี้กลับนิ่งเฉยเพื่อรอดูสถานการณ์ เหมือนน้ำเข้าสมองแล้วจริงๆ!

ปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังดูเหตุการก็เริ่มอกสั่นขวัญแขวนแล้วเช่นกัน

เซี่ยโห้วหู่เฉิงกลับแอบร้องว่าแย่แล้ว ทำไมลืมอันตรายนี้ไปได้!

คนเป็นคนของเขา เป็นเพราะเขารับปากเซี่ยโห้วหลงเฉิงพี่ชายของเขาไว้แล้ว บอกฝานอวี้เฟยว่าต้องเอาชีวิตสวีถังหรานให้ได้ ตอนนี้สวีถังหรานกลับโผล่มาล่วงหน้าราวกับผี จึงล่อให้ฝานอวี้เฟยลูกน้องของเขาออกมาด้วย

สถานการณ์ในตอนนี้ชัดเจนมาก ศึกที่เลวร้ายจริงๆ อยู่ที่จุดหัวเลี้ยวหัวต่อในตอนท้าย ออกหน้าทำตัวเด่นตอนนี้ อย่ากลายเป็นเป้าโจมตีของทุกคนเด็ดขาด!

คนโผล่ออกมาหมดแล้ว มาเรียกกลับตอนนี้ก็ไม่มีความหมาย

โค่วเหวินหวงสีหน้าตึงเครียดเช่นกัน เดิมทีเขานึกว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทุกคนล้วนเก็บออมพลังเอาไว้ ตราบใดที่พวกหนิวโหย่วเต๋อไม่มาทางนี้ ก็น่าจะไม่มีใครบุ่มบ่ามเคลื่อนไหว คิดวางแผนผิดพลาดแล้ว!

เหมียวอี้เอียงหน้ามองพวกฝานอวี้เฟยที่โจมตีเข้ามาอย่างดุเดือดรุนแรง แล้วหันกลับมาตะโกนว่า “กินยา!”

จากนั้นก็คว้าสมุนไพรเซียนซิงหัวทั้งต้นยัดเข้าปากก่อนใคร เคี้ยวทั้งต้นแล้วกลืนลงไป นี่คือความเคยชินของเขาแล้ว

เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานก็เครียดกังวลอย่างสูง มิหนำซ้ำคนที่นำหน้ามายังมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปดด้วย วรยุทธ์ของคนอื่นก็มีแต่บงกชทองขั้นห้าขึ้นไป พวกเขาต้านทานกระบวนทัพนี้ไม่ไหวเลย

หลังจากเหมียวอี้เตือนแล้ว ก็เห็นเขาทำให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย ทั้งสองจึงเข้าใจความหมายทันที นี่คือการเตรียมตัวสำหรับการบาดเจ็บตั้งแต่ยังไม่เริ่มต่อสู้ แต่ก็เป็นวิธีการที่ดีจริงๆ มีหรือที่จะชักช้า พวกเขาต่างคนต่างหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวมายัดใส่ปากทันที

“ไม่ต้องกลัว! โฉวมาช่วยแล้ว!” เสียงตะโกนเกรี้ยวกราดสะเทือนท้องฟ้า

ถ้าไม่เข้ามาสนับสนุนตอนนี้คงไม่ได้แล้ว บนตัวพวกหนิวโหย่วเต๋อมีนักโทษสี่คน กอปรกับพวกหนิวโหย่วเต๋อวรยุทธ์ต่ำเกินไป เป็นการส่งมอบผลประโยชน์ไปให้คนอื่นแท้ๆ เลย มีหรือที่จะมัวนิ่งดูดาย พอโฉวตั้งไห่ตะโกน ก็นำคนแปดคนเข้ามาโจมตีสนับสนุนทันที

ฝานอวี้เฟยพลันสีหน้าเปลี่ยน นึกไม่ถึงว่าจะยังมีผู้ช่วยอีก ดูจากท่าทางของผู้ช่วยแล้ว เหมือนแต่ละคนจะมีพลังที่ไม่อ่อนแอด้วย นางกัดฟันแล้วโบกดาบตะโกนเสียงแหลม “ฆ่า!”

เซี่ยโห้วหู่เฉิงก็สีหน้าเปลี่ยนเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าพวกเหมียวอี้จะยังมีคนคอยสนับสนุน

เมื่อเห็นช่วยสนับสนุนปรากฏตัว โค่วเหวินหลานก็โล่งใจลงเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในอารมณ์ตึงเครียดเหมือนเดิม

ฝ่ายหนึ่งไล่ตาม ฝ่ายหนึ่งหนี ฝ่ายหนึ่งมาช่วยสนับสนุน ระยะห่างระหว่างสามฝ่ายก็พอๆ กัน แต่ฝ่ายที่หนีกับฝ่ายสนับสนุนต่างก็เข้ามาหากัน ระยะห่างระหว่างทั้งสองย่อมเข้าใกล้กันอย่างรวดเร็วได้เปรียบกว่าฝ่ายไล่ตาม

ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอกข้างหลังว่า “ตามติดข้า!”

ขณะเดียวกันก็รีบถือกระเป๋าสัตว์ใบหนึ่งออกมา โบนให้พวกโฉวตั้งไห่ที่พุ่งเข้ามาหา พร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนบอกเสียงดัง “ส่งนักโทษให้เจ้า!”

โฉวตั้งไห่ร่ายอิทธิฤทธิ์คว้ากระเป๋าสัตว์มาไว้ในมือ ส่วนเหมียวอี้ก็นำคนของตัวเองเลี้ยวเป็นเส้นโค้ง เฉียดผ่านพวกเขาไป ให้พวกโฉวตั้งไห่เผชิญหน้ากับคนที่ไล่ตามมา ที่ตะโกนเสียงดังก็เพราะอยากให้ฝานอวี้เฟยที่อยู่ข้างหลังได้รู้ ว่านักโทษไม่ได้อยู่ในมือพวกข้าแล้ว ถ้าจะฆ่าก็อย่ามาหาพวกข้า ไปหาพวกโฉวตั้งไห่แทน

ขณะที่กำลังเครียดกังวล มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานแอบรู้สึกชื่นชม ปลีกตัวได้แบบนี้ดีมาก!

โค่วเหวินหวงหน้าดำคร่ำเครียด ส่วนโค่วเหวินชิงกลั้นขำนิดหน่อย ส่วนโค่วเหวินหลานก็แอบชมในใจ ปี้เยว่ฮูหยินเลิกคิ้วพลางพึมพำในใจ ไหวตัวเร็วและเจ้าเล่ห์มาก!

ไอ้เวรเอ๊ะ! พวกโฉวตั้งไห่แอบด่าในใจอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนไม่ได้โง่ แค่ได้ยินก็รู้ถึงเจตนาของเหมียวอี้แล้ว เป็นเพราะเหมียวอี้สะดุดตาเกินไป จะให้ก็ให้สิ จะตะโกนโวยวายทำไม กลัวคนอื่นจะไม่รู้ใช่มั้ย?

แต่พอโฉวตั้งไห่ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูในนั้น ก็เห็นว่ามีนักโทษสี่คนจริงๆ ทำให้จิตใจสงบลงเล็กน้อย

เห็นอยู่ตำตาว่ากำลังจะปะทะกับพวกฝานอวี้เฟย เมื่ออยู่ต่อหน่าเจ้านาย มีหรือที่จะเผยให้เห็นความขี้ขลาด โบกทวนตะโกนทันทีว่า “โจมตี!”

ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของคนส่วนใหญ่ก็คือ ฝานอวี้เฟยนำคนเฉียดผ่านไป ล้มเลิกการปะทะหน้ากับพวกโฉวตั้งไห่ ไม่น่าเชื่อว่าจะเลี้ยวตามพวกเหมียวอี้ไปอีก

“น้องหนิว พวกเขาตามมาแล้ว!” สวีถังหรานที่หันไปมองแวบหนึ่งร้องบอก

ท่านขุนนางเหมียวคาดการณ์ผิดแล้วจริงๆ พอหันกลับมองแวบหนึ่ง ในใจก็ด่าอย่างบ้าคลั่ง หมาบ้าจากไหนกัน ถ้าไม่แย่งตัวนักโทษแล้วทำไมต้องตามพวกเราไม่ยอมปล่อย? หรือว่าสิ่งที่ข้าทำเมื่อครู่นี้เด่นชัดเกินไป เลยคิดว่าข้ากำลังหลอกลวง?

1035



บทที่ 1036 อยากหนีแต่หมดทางหนี

เมื่อเจอกับคนประเภทเอาหัวใจของคนทรามมาวัดหัวใจของสัตตบุรุษ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วจริงๆ…เหมียวอี้เหลือบมองคนที่ไล่ตามมาด้วยความคิดแบบนี้ รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ไม่น่าเชื่อว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของตนจะพลาดแล้ว!

เพียงแต่ต่อให้หลับฝันเขาก็นึกไม่ถึง อีกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่พวกเขาไม่ใช่เพราะนักโทษเลย แต่เพื่อจะทำภารกิจที่เจ้านายสั่งให้สำเร็จ และไม่รู้ด้วยว่าที่มาของอันตรายจริงๆ ไม่ใช่เพราะบนตัวมีนักโทษ แต่เป็นเพราะอยู่ข้างกายสวีถังหราน

ที่จริงความคิดของเขาก็ไม่เลว จงใจร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนดังขนาดนั้น ไม่ใช่แค่อยากจะรับมือกับฝานอวี้เฟยอย่างเดียว แต่หวังจะให้คนอื่นๆ ได้ยินให้หมด ไม่อยากให้ทุกคนมาหาเรื่องพวกเขา เพียงแต่จินตนาการนั้นงดงาม แต่ความจริงกลับโหดร้ายมาก!

ดังนั้น โค่วเหวินหวง โค่วเหวินชิงและโค่วเหวินหลานจึงสบตากันอย่างงุนงง

พวกโฉวตั้งไห่ที่คว้าน้ำเหลวก็มึนตึ้บเหมือนสมองโดนหมอกลงเช่นกัน นี่มันเรื่องอะไร?

พอโฉวตั้งไห่ยกมือขึ้น ทั้งเก้าคนก็หยุดชะงัก แล้วเอียงหน้ามองไปทางฝานอวี้เฟยที่เลี้ยวเปลี่ยนทิศทางพร้อมกัน ลังเลชั่วขณะว่าจะตามหรือไม่ตามดี

“หรือว่าจะถูกพวกเราทำให้ตกใจ?” ต่งเฟิงถาม

“ไม่เหมือนนะ! ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก่อนหน้านั้นคงไม่ตะโกนว่าโจมตีใส่พวกเราหรอก” สื่อเทียนเจวี๋ยส่ายหน้า

“ผู้บัญชาการโฉว ไม่ไล่ตามเหรอ?” หนานอี้เปียวถาม

โฉวตั้งไห่ทำเสียงฮึดฮัด แล้วบอกว่า “ทหารชั้นต่ำคนนี้ วรยุทธ์แค่บงกชทองขั้นสาม บังอาจให้พวกเราเป็นหนังหน้าไฟ ให้เขาไปลำบากเอาเองเถอะ! ในเมื่อพวกเราโผล่หน้ามาแล้ว จะหลบสายตาฝูงชนก็หลบไม่พ้น ไม่สู้เอาเยี่ยงอย่างเจ้าคนเฝ้าประตูนั่นดีกว่า พวกเราไปเฝ้าที่ประตูด้วยแล้วกัน!” พูดจบก็กวักมือ นำกำลังคนไปยังจุดหมายสุดท้ายและเลียนแบบชิงอวี้หลาง

พอเป็นแบบนี้ เหมียวอี้ก็เหมือนยกหินมาทุ่มใส่เท้าตัวเองจริงๆ

โค่วเหวินหลานกลับร้อนใจนิดหน่อย รีบถ่ายทอดเสียงบอกโค่วเหวินหวง “พี่สาม คนของข้ามอบนักโทษให้คนของท่านแล้ว ทำไมคนของท่านเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยเหลือล่ะ?”

โค่วเหวินหวงแสยะยิ้ม “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ ชัดเจนว่าลูกน้องคนนั้นของเจ้ากำลังหาแพะรับบาป เปลี่ยนเป็นใครก็ต้องโมโหทั้งนั้น!”

เขาเห็นท่าทางของพวกโฉวตั้งไห่แล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะได้นักโทษมาไว้ในมือแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางที่จะไม่สนใจ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เก็บออมพลังไว้ต่อไปก็ดีเหมือนกัน

ส่วนพลังของพวกเหมียวอี้ เขานับว่าดูถูกดูแคลนจริงๆ ไม่หวังว่าพวกเหมียวอี้จะช่วยเหลือพวกโฉวตั้งไห่ได้สักเท่าไร

โค่วเหวินหลานตอบอย่างร้อนใจว่า “พี่สาม ถ้าคนของท่านไปช่วยสนับสนุนพวกเขาตั้งแต่แรกก็คงไม่เป็นแบบนี้ พวกเขาโดนกดดันจนไม่มีทางเลือกแล้ว!”

โค่วเหวินหวงยกมือทันที “ข้าทนมองคนทรามต่ำช้าแบบนี้ไม่ไหวหรอก!”

ประโยคที่ฟังดูคุณธรรมสูงส่งอันเด็ดขาดนี้  ได้ตัดความหวังที่โค่วเหวินหลานจะปกป้องชีวิตพวกเหมียวอี้แล้ว ทำให้เขาถลึงตาจ้องด้วยสีหน้าโมโหปนเศร้าโศก!

มีมือข้างหนึ่งมาตบบนบ่า โค่วเหวินหลานหันกลับมามอง เห็นโค่วเหวินชิงส่ายหน้าเบาๆ ให้เขา พร้อมถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ช่างเถอะ พูดอะไรอีกก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ในด้านนี้พี่สามเด็ดขาดกว่าเจ้าเยอะ ถ้าเขาไม่ตอบตกลง ต่อให้เจ้าขอร้องยังไงก็ไม่มีประโยชน์”

ท่ามกลางคนที่ดูเอาสนุกตรงจุดหมายสุดท้าย มีบางคนกล่าวกลั้วหัวเราะเสียงดังแล้วว่า “คนกลุ่มนี้น่าสนใจนะ ทำเอาคนดูสับสนเลอะเลือนกันไปหมดแล้ว”

มีคนไม่น้อยหัวเราะตามเสียงดัง เรื่องราวไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองก็ย่อมเบิกบานใจอยู่แล้ว

เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ยืนกอดอกเลิกคิ้วเล็กน้อย ท่าทางเหมือนลำพองใจสุดๆ อยากจะเห็นว่าสวีถังหรานจะตายอย่างไร แต่กลับมองไม่เห็นว่าเซี่ยโห้วหู่เฉิงน้องชายตัวเองกำลังกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าคร่ำเครียด

ส่วนสวีถังหรานที่หันกลับมามองเป็นระยะก็ร้องโวยวาย เริ่มสบถด่าด้วยความโมโหแล้ว “แม่งเอ๊ย! ไอ้พวกเวรนั่นเอาตัวนักโทษไปแล้ว แต่ยังนิ่งดูดาย เห็นคนจะตายไม่ยอมช่วย!”

“มารดามันเถอะ พวกเจ้าเป็นวันชิวอิก ก็อย่าโทษว่าข้าเป็นวันจับโหงว[1]ก็แล้วกัน! ไป พวกเขาไม่ช่วยพวกเรา พวกเราก็จะลากเขาลงมาซวยด้วยกันนี่แหละ ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะอยู่ดีเลย!” เหมียวอี้โบกทวนในมือ นำทั้งสองเลี้ยวเลี้ยวอ้อมไปไล่ตามพวกโฉวตั้งไห่อีกที

ทว่าสิ่งที่อันตรายล่อแหลมกว่านั้นก็คือ ‘เหยี่ยวมารวานรยักษ์’ ที่ลูกน้องทั้งเก้าของฝานอวี้เฟยขี่ เห็นได้ชัดว่าพวกมันถนัดเรื่องการบินที่สุด นอกจากความเร็วจะเหนือกว่าเดรัจฉานสับปลับของพวกเหมียวอี้แล้ว ยังเร็วกว่าสัตว์พาหนะของฝานอวี้เฟยด้วย เฉียดผ่านซ้ายผ่านขวานำฝานอวี้เฟยมาแล้ว เข้ามาใกล้พวกเหมียวอี้อย่างรวดเร็ว ไล่โจมตีอย่างเต็มกำลัง

“ไม่ทันแล้ว ข้างหลังตามมาถึงแล้ว!” มู่หรงซิงหัวกล่าวเสียงต่ำ

เหมียวอี้หันกลับไปมองแวบหนึ่ง ในดวงตาฉายแววมุ่งสังหารทันที โบกทวนชี้ไปข้างหน้า พร้อมตะโกนว่า “อยากสังหารข้าเหรอ! ต้องถามทวนในมือข้าก่อนว่าอนุญาตหรือเปล่า! พวกเจ้าสองคนสนใจแต่ข้างหน้าก็พอ หนิวคนนี้จะดักหลังเอง!”

เมื่อเห็นว่าหมดทางหนี จิตสังหารและเจตจำนงนักรบก็ลุกโชนในใจเขาทันที สัตว์พาหนะผ่อนความเร็วลงเล็กน้อย ถอยผ่ากลางระหว่างมู่หรงซิงหัวและสวีถังหรานมาอยู่ข้างหลัง

นี่ไม่ใช่การพูดปากเปล่าเท่านั้น แต่เป็นการปฏิบัติจริง สวีถังหรานไม่สนใจเขา เรียกได้ว่าพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุดทันที แต่มู่หรงซิงหัวกลับหันมามองอย่างตกตะลึง เป็นครั้งแรกที่ได้รับรู้อีกด้านที่ดุดันของผู้ชายคนนี้ กล้าหาญที่จะต่อสู้!

ที่น่าตกตะลึงงกว่านั้นก็คือ พอทวนสามแฉกในมือเหมียวอี้สะบัด เดรัจฉานสับปลับที่ขี่อยู่ก็หันตัว ไม่น่าเชื่อว่าจะพุ่งกลับหลัง ไม่น่าเชื่อว่าจะเผชิญหน้ากับเก้าคนที่พุ่งเข้ามา ห้าวหาญไม่กลัวตาย!

คนโหด! เจ้าหมอนั่นมันยังห้าวหาญเหมือนเดิม! สวีถังหรานที่หันกลับมามองแยกเขี้ยวยิงฟัน แต่ความเร็วในการหลบหนีกลับไม่ลดลงแม้แต่น้อย

มู่หรงซิงหัวตกตะลึงจนหยุดอยู่กับที่แล้ว รีบหันกลับมา นางเองก็ลังเลเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะเข้าไปช่วยดี หรือว่าจะหนีอย่างสวีถังหรานดี

“เฮ้ย! เจ้าหนุ่มนั่นมันรนหาที่ตายแล้วมั้ง วรยุทธ์แค่บงกชทองขั้นสาม ไม่น่าเชื่อว่าพุ่งใส่กลุ่มนักพรตบงกชทองขั้นห้า!”

พวกหนานอี้เปียว อีกกลุ่มที่เร่งไปยังจุดหมายสุดท้ายหันกลับมาอุทานอย่างแปลกใจ พวกโฉวตั้งไห่ได้ยินแล้วหันกลับไปมองแวบหนึ่ง พากันประหลาดใจเหมือนกัน

โค่วเหวินหลานที่กำลังดูการต่อสู้มึนงงนิดหน่อย นี่เป็นเพราะรู้ว่าหายนะนี้รอดยาก จะซ้ายจะขวาก็ตายอยู่ดี ก็เลยสู้ตายงั้นเหรอ?

อารมณ์ของโค่วเหวินหลานในตอนนี้ค่อนข้างซับซ้อน หรือพูดได้ว่าตำหนิตัวเอง ล้วนเป็นตัวเองที่ทำร้ายเขา

“เฮ้อ!” โค่วเหวินชิงถอนหายใจเบาๆ นางรู้จักน้องชายคนนี้ดี ที่คนอื่นว่าเขาตุ้งติ้งเหมือนผู้หญิงก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล ถ้าเกิดอะไรขึ้นเพราะความผิดพลาดของตัวเอง เกรงว่าคงจะโทษตัวเองอยู่นานมาก

ปี้เยว่ฮูหยินเองก็คิดวนเวียนไม่เลิกเช่นกัน ที่นางกังวลไม่ใช่ความเป็นความตายของเหมียวอี้ แต่เป็นห่วงปีศาจจิ้งจอกพันหน้า

ส่วนเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ถลึงตาเม้มปาก ในใจก็รู้สึกซับซ้อนสับสนเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ความเป็นความตายของเหมียวอี้ก็ไม่ได้สำคัญกับเขาขนาดนั้น โดยเฉพาะเมื่อต่อสู้กับคนของน้องชายตัวเอง เขาต้องสนับสนุนคนของน้องชายตัวเองแน่นอน เพียงแต่เมื่อเห็นเหมียวอี้แสดงออกชัดเจนว่าไปรนหาที่ตายแบบนี้ ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าในใจเขารู้สึกอย่างไร

สองฝ่ายที่พุ่งเข้าใส่กัน ชั่วพริบตาเดียวก็สัมผัสกันแล้ว

เมื่อเหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวหนึ่งที่พุ่งนำเข้ามา “กรร!” เดรัจฉานสับปลับที่เหมียวอี้ควบขี่ก็คำรามใส่ หมอกแดงพุ่งออกจากปากราวกับเป็นม้าชั้นดี

เหยี่ยวมารวานรยักษ์เอียงตัวพลิกหลบ หมุนตัวบินเฉียดผ่านเหนือศีรษะของเหมียวอี้ไป นักพรตที่ห้อยกลับหัวอยู่บนหลังมันแหย่ทวนยาวไปทางใบหน้าของเหมียวอี้

เสียงมังกรคำรามดังขึ้นพักหนึ่งตามคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่แผ่ขยายออกมา ทวนในมือเหมียวอี้แทงออกไปในชั่วพริบตาเดียว

ทั้งสองฝ่ายประมือกันโดยที่ฝ่ายหนึ่งอยู่บนฝ่ายหนึ่งอยู่ล่าง ทวนสองด้ามแทบจะแทงออกมาพร้อมกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ออกทวนได้เร็วกว่าหนึ่งระดับ ไม่รอให้ทวนยาวของอีกฝ่ายมาถึงใบหน้าตน หัวทวนสามแฉกก็แทง ‘ฉึก’ เข้าคอหอยอีกฝ่ายที่กำลังทำสายตาหวาดกลัวแล้ว

ในดวงตาของคนที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ เห็นเพียงเหมียวอี้พลิกทวนปาดขึ้นมา ภายใต้การประมือหนึ่งครั้ง แทบจะไม่ได้ประลองกันสักท่าด้วยซ้ำ แต่ก็ใช้ทวนปาดจนคนบนหลังเหยี่ยวมารวานรยักษ์กระเด็นออกไปแล้ว เรียกว่าสังหารได้อย่างรวดเร็วราบรื่น!

สิ่งนี้ทำให้คนไม่น้อยตกตะลึงมาก นักพรตบงกชทองขั้นห้าโดนหนึ่งพรตบงกชทองขั้นสามแทงปาดตายด้วยทวนเดียวงั้นเหรอ ?

“กรร!” ขณะเดียวกันนี้เอง เหยี่ยวมารวานรยักษ์สองตัวที่ตามมาข้างหลังก็พุ่งเข้ามาแล้ว เดรัจฉานสับปลับคำรามพร้อมพ่นหมอกแดงร้อนจี๋ออกมาอีกกลุ่ม

เหยี่ยวมารวานรยักษ์สองตัวพลิกร่างหลบพร้อมกัน ว่องไวสุดขีด ตะแคงตัวบินอยู่ทางซ้ายและขวา เฉียดผ่านไปโดยขนาบเดรัจฉานสับปลับไว้ตรงกลาง คนที่อยู่บนตัวสัตว์พาหนะทางซ้ายและขวาออกดาบและทวนพร้อมกัน ดาบด้ามหนึ่งฟันมาทางศีรษะของเหมียวอี้อย่างบ้าคลั่ง ส่วนทวนอีด้ามก็แทงตรงไปที่หน้าอกของเหมียวอี้ สังหารตามกันมาติดๆ

เสียงมังกรคำรามดังไม่หยุด เหมียวอี้ถือทวนอยู่ในมือ แสดงบทโหมโรงอีกครั้ง ขณะที่ทวนแทงทะลุใบหน้าของคนที่อยู่ทางซ้าย เขาก็เอนกายไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว คมทวนของฝ่ายตรงข้ามเฉียดผ่านหน้าท้องของเขาไป

ก็ช่วยไม่ได้ ต่อให้เหมียวอี้ลงมือได้รวดเร็วกว่านี้ แต่ก็ยากที่จะรับมือกับสองคนพร้อมกันได้ในรวดเดียว ถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติก็ยังพอไหว แต่เดรัจฉานสับปลับกับเหยี่ยวมารวานรยักษ์เคลื่อนไหวรวดเร็วเกินไปจริงๆ ขนาดความเร็วในการบินของเดรัจฉานสับปลับยังด้อยกว่าความเร็วของนักพรตบงกชทองขั้นเก้าเลย ความเร็วของเหยี่ยวมารวานรยักษ์ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว

สองฝ่ายที่ประมือกันตัดผ่านกันไปโดยวิธีการเหาะในแนวตรง ด้วยความเร็วแบบนี้ เหมียวอี้โต้ตอบได้ไม่เยอะเท่าไรเลย ทำได้เพียงสังหารอีกคนพร้อมหลบหลีกอีกคน

แต่ขณะที่เหมียวอี้เอนกายไปข้างหลัง ก็ยังออกทวนเสริมอีกครั้งหนึ่ง โจมตีไม่โดนคน แต่กลับโจมตีโดนหางของเหยี่ยวมารวานรยักษ์แล้ว ถือโอกาสกรอกปราณปีศาจโลหิตสีแดงเข้มเข้าไปในตัวมันเล็กน้อย

“วี๊ด…”  เหยี่ยวมารวานรยักษ์ตัวที่โดนทวนร้องเสียงแหลมออกมา โครงสร้างการทำงานปั่นป่วนทันที มันบินม้วนตัวอยู่กลางท้องฟ้า ผู้ที่ขี่มันตกใจมาก ไม่ว่าจะลองควบคุมอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

ส่วนเหยี่ยวมารวานรยักษ์สองตัวที่สูญเสียเจ้าของก็ร้องสองที แล้วไล่ตามเจ้าของที่ไร้ชีวิตไป

เหยี่ยวมารวานรยักษ์สามตัวจากเก้าตัวพุ่งไปทางเหมียวอี้แล้ว เดิมทีอ้อมเหมียวอี้ไปไล่ตามพวกสวีถังหรานฝั่งละสามตัว ทีแรกไม่คิดว่าการรับมือกับเหมียวอี้คนเดียวจะเปลืองแรงอะไร แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนหลังทำให้พวกเขาตกใจมากจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าแค่ชั่วพบหน้ากันก็ถูกอีกฝ่ายสังหารไปสองคนติดต่อกันแล้ว ทั้งยังมีสัตว์พาหนะสูญเสียการควบคุมไปหนึ่งตัวด้วย

เมื่อเห็นเหมียวอี้พุ่งตรงไปที่ฝานอวี้เฟย หกคนก็รีบขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์กลับมา รวมตัวกันไล่ตามเข้ามา

ทุกคนที่กำลังดูการต่อสู้ที่จุดหมายสุดท้ายพากันเงียบกริบ โค่วเหวินหลานอ้าปากเล็กน้อย เหมือนรู้สึกค่อนข้างเหลือเชื่อ

สวีถังหรานที่กำลังหลบหนีหันกลับมาเห็น เขาตกตะลึงตาค้างเช่นกัน ท่านนั้นห้าวหาญเหมือนอย่างเคยจริงๆ ด้วย!

มู่หรงซิงหัวที่หยุดอยู่ด้านหลังและเตรียมตัวจะทุ่มสุดตัวไปรับศึกกับหกคนที่ไล่ตามมา ตอนนี้นางเผยอริมฝีปากแดงเช่นกัน มองดูเหมียวอี้พุ่งไปหาฝานอวี้เฟยตาปริบๆ จากนั้นก็รู้สึกฮึกเหิมทันที เดรัจฉานสับปลับเร่งความเร็วพุ่งออกไป ไล่สังหารคนที่สัตว์พาหนะสูญเสียการควบคุม ไม่ให้เข้ากลับไปช่วยโจมตีเหมียวอี้

ช่วยงานใหญ่เหมียวอี้ไม่ไหว แต่งานเล็กน้อยนางยังพอช่วยได้บ้าง นางเองก็เป็นนักพรตบงกชทองขั้นห้าเหมือนกัน ถ้าให้สู้กันตัวต่อตัวก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ที่สำคัญคือสัตว์พาหนะของฝ่ายตรงข้ามสูญเสียการควบคุมแล้ว ความเร็วสู้นางไม่ได้ นางกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ

เมื่อคนที่สัตว์พาหนะสูญเสียการควบคุมเห็นนางพุ่งเข้ามา ก็ร้อนรนกังวลใจทันที ทว่าบงการเหยี่ยวมารวานรยักษ์อย่างไรก็ไม่ได้ผล เหยี่ยวมารวานรยักษ์บินพลิกไปพลิกมาเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว

เห็นมู่หรงซิงหัวโจมตีเข้ามาแล้ว หมดหนทางแล้วจริงๆ จึงรีบกระโดหนีจากเหยี่ยวมารวานรยักษ์แล้วหลบหนี ทว่าการอาศัยวรยุทธ์เพื่อเหาะเหิน มีหรือที่จะเร็วกว่าเดรัจฉานสับปลับ ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกตามทันแล้ว

“กรร!” เดรัจฉานสับปลับพ่นหมอกแดงร้อนจี๋ออกมาคำหนึ่ง คนคนนั้นร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทานอุณหภูมิสูงอย่างบ้าคลั่ง เกราะอิทธิฤทธิ์โดนกัดกร่อนอย่างรุนแรงภายใต้อุณหภูมิสูง ปะทะศึกเดือดกับมู่หรงซิงหัวแล้ว แต่เมื่อขาดสัตว์พาหนะไว้คอยช่วยเรื่องความเร็ว แถมวรยุทธ์ของทั้งสองก็สูสีกัน มู่หรงซิงหัวเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน เข่นฆ่าโรมรันด้วยความเร็วสูง โจมตีจนคนคนนั้นอยู่ในสภาพอับจนทันที

เห็นลูกน้องตัวเองต้านทานกลุ่มศัตรูด้วยกำลังคนอันน้อยนิด สู้ศึกเลือดสุดชีวิต โค่วเหวินหลานน้ำตาคลอเบ้าแล้ว!

…………………………

[1] เจ้าเป็นวันชิวอิก ข้าก็เป็นวันจับโหงว 你做初一我做十五 วันชิวอิกกับวันจับโหงวถือเป็นวันพระของจีนเหมือนกัน อุปมาว่า อีกฝ่ายทำอย่างไร ตัวเองก็จะทำอย่างนั้นเหมือนกัน

1036



บทที่ 1037 ใช้กำลังปะทะโดยตรง

มารดาเจ้าเถอะ! นางแพศยา! จนใจดูถูกข้า ทำให้ข้าดูแย่อยู่คนเดียว…

สวีถังหรานที่กำลังหลบหนี พอหันกลับมามองก็ร้อนใจแล้ว เหมียวอี้บอกแล้วว่าจะดักหลังให้ ตามหลักการมู่หรงซิงหัวต้องหนีไปพร้อมเขาสิถึงจะถูก ตอนนี้กลายเป็นเขาหนีอยู่คนเดียว ส่วนมู่หรงซิงหัวโจมตีเข้าไปแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่โค่วกำลังมองอยู่นะ! ศึกเลือดนี้มีตนหลบหนีอยู่คนเดียว มันใช่เรื่องเสียทีไหนกัน? แบบนี้ต่อให้รอดชีวิตกลับไปได้ก็ลำบากอยู่ดี!

แต่อาศัยวรยุทธ์ของตน ถ้ากลับไปโจมตีก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้ง!

แต่เขาก็ยังแข็งใจกลับไปโจมตี!

แต่กลับไม่ได้โจมตีคน แต่ฆ่าเหยี่ยว! สู้กับคนก็สู้ไม่ชนะ ถ้าสู้กับเหยี่ยวมารวานรยักษ์ก็มีความมั่นใจมาก ถือโอกาสเก็บของจากคนตายด้วยก็ดีเหมือนกัน!

“ตาย!” สวีถังหรานตะโกนจนหน้าแดงคอแห้ง ตะโกนดังกว่าใครเพื่อน มีพลังอำนาจมาก เป็นหลักฐานว่าข้ามาแล้ว!

เขาเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง โจมตีไปยังเหยี่ยวมารวานรยักษ์สองตัวที่กำลังขยุ้มร่างเจ้าของของมัน

ว่ากันว่า สุนัขเห่ามักไม่กัด สุนัขกัดมักไม่เห่า ถ้าจะพูดถึงเหตุการณ์ประมาณนี้

เมื่อเห็นเหมียวอี้พุ่งเข้ามา ฝานอวี้เฟยก็มีมาดวีรสตรีถืออาวุธออกรบอยู่หลายส่วน แววตาเย็นเยียบน่ากลัว

“กรร!” ชั่วพริบตาเดียวที่ชนกัน เดรัจฉานสับปลับที่เหมียวอี้ขี่ก็อ้าปากคำรามเกรี้ยวกราด หมอกแดงร้อนจี๋พัดม้วนออกมา

“กรร!” แทบจะพร้อมกัน เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นของฝานอวี้เฟยก็อ้าปากคำรามเช่นกัน

หมอกแดงร้อนจี๋ที่ครอบเข้ามา เดิมทีรวดเร็วฉับพลันเหมือนม้าชั้นดี ทว่ากลับสั่นสะเทือนอยู่พักหนึ่ง ราวกับโดนคลื่นล่องหนบางอย่างโจมตี มันปรากฏรูปอยู่ท่ามกลางหมอกแดงร้อนจี๋ ทำให้หมอกแดงร้อนจี๋ที่กระเพื่อมเป็นวงเล็กวงใหญ่หลายชั้นพลันกรอกซัดกลับมาหาเหมียวอี้

วินาทีที่คลื่นเสียงจู่โจมเข้ามา ในหัวเหมียวอี้ก็มีเสียงดังเหมือนเสียงผึ้ง วิงเวียนศีรษะเหมือนโลกหมุนทันที แต่โชคดีที่การเปลี่ยนแปลงของหมอกแดงร้อนจี๋เตือนเขาไว้ได้ทันเวลา เขาไม่ได้เผชิญหน้ากับการโจมตีด้วยเสียงเป็นครั้งแรก มีประสบการณ์ตั้งนานแล้ว เพลิงจิตที่เหมือนกับคลื่นน้ำพลันกะจายจากซอกร่องของเกราะรบออกมานอกร่างกาย ต้านทานการจู่โจมของคลื่นเสียงที่ตามมาทีหลังอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสโบกดาบฟันเข้ามา เขาก็รีบโบกทวนตั้งรับการโจมตี

เดรัจฉานสับปลับไม่ได้เกลียดเปลวเพลิงร้อนแรงที่ตัวเองคายออกมา แต่พอโดนคลื่นเสียงคำรามนั่นโจมตี มันก็พลิกตัวอย่างบ้าคลั่งทันที ส่งเสียงร้องตกใจพลางพลิกตัว

เหมียวอี้ที่กำลังลงมือเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้พอดี พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกจริงๆ ทั้งตัวโดนเดรัจฉานสับปลับก่อกวนจนเปลี่ยนทิศทาง เผยแผ่นหลังให้คู่ต่อสู้แล้ว ตกใจจนเหงื่อกาฬแตกท่วมตัว ภายใต้ความวิตกกังวล เขาถือโอกาสพลิกลงไปด้านข้างลำตัวของเดรัจฉานสับปลับ

“วี๊ด…” เดรัจฉานสับปลับร้องอย่างเจ็บปวด ละอองเลือดระเบิดออกมาเป็นวงกว้าง ร่างกายขนาดยักษ์โดนฝานอวี้เฟยที่แฉลบผ่านฟันขาดเป็นสองท่อน ร่างกายครึ่งหนึ่งกระเด็นออกไป ปรากฏร่างของเหมียวอี้ที่หลบซ่อนอยู่ข้างล่าง

ดาบที่ดุเดือดรุนแรง เงาดาบที่แทบจะมีรูปร่างฟันร่างกายที่มีเลือดเนื้อแข็งแกร่งของเดรัจฉานสับปลับจนขาดสะบั้น อานุภาพที่ยังหลงเหลืออยู่ฟันไปหาเหมียวอี้ที่อาศัยเดรัจฉานสับปลับเพื่อหลบหลีก

ท่ามการเปลี่ยนแปลงในชั่วพริบตาเดียว ขณะที่ละอองเลือดที่ระเบิดกระจาย เหมียวอี้รีบใช้สองมือดันด้ามทวนสกัดไว้ข้างหน้าร่างกายในแนวขวาง นิ้วทั้งสิบหุ้มด้วยเกราะเกล็ดคว้าจับด้ามทวนไว้แน่น บนทวนเกล็ดย้อนมีแสงสีทองระเบิดออกมา อานุภาพของทวนวิเศษถูกกระตุ้นออกมาจนถึงขีดสุด

แกร๊ง! เกิดเสียงดังสะเทือน แผ่นเกล็ดของเกราะรบบนตัวเหมียวอี้โบกไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงดังเปาะแปะ ทั้งตัวสะเทือนจนกระเด็นออกไป

หลังจากเงาดาบที่เกือบจะมีรูปร่างฟันโดนทวนเกล็ดย้อน มันก็พังทลายลงในชั่วพริบตาเดียว

ฝานอวี้เฟยที่ขี่เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นแฉลบผ่านรีบหันกลับมามองเหมียวอี้ที่กระเด็นออกไป ในดวงตาฉายแววตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้ที่โดนคลื่นเสียงจากเดรัจฉานเสียงสวรรค์จะยังมีสติและต้านทานไหว ที่สำคัญที่สุดก็คือสามารถต้านทานการโจมตีสุดแรงของนางได้ เป็นไปได้อย่างไร!

นางย่อมเข้าใจดีกว่าวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปดกับบงกชทองขั้นสามต่างกันมากขนาดไหน ถึงแม้พลังของดาบนั้นจะถูกกายเนื้ออันแข็งแกร่งของเดรัจฉานสับปลับลดคลายลงไปไม่น้อย แต่อานุภาพที่ยังหลงเหลือก็ยังมีมาก ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตบงกชทองขั้นสามจะต้านทานได้ง่ายๆ แต่เห็นสภาพอีกฝ่ายเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร

จากแสงสีทองที่เปล่งบนทวนในมือเหมียวอี้ก็สามารถดูออก นั่นเป็นเพียงของวิเศษขั้นห้าเท่านั้น ไม่ควรจะมีพลังต้านทานแข็งแกร่งมากขนาดนี้

บนตัวเจ้าหนุ่มนี่เหมือนมีของประหลาด…ฝานอวี้เฟยพึมพำในใจ

สาเหตุที่แท้จริงมีเพียงเหมียวอี้เท่านั้นที่รู้ดี ทวนเกล็ดย้อนสามารถคลายพลังของฝ่ายตรงข้ามได้สองส่วน แถมเกราะรบบนตัวยังกำจัดพลังได้สองส่วนด้วย ไหนจะมีพลังงานต้านทานของยาเจี๋ยตันขั้นห้าที่แฝงอยู่ในทวนเกล็ดย้อนและเกราะรบบนตัวอีก บวกกับการใช้วรยุทธ์ของตัวเองต้านทาน ถึงได้ทนรับการโจมตีนี้ได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องบาดเจ็บสาหัสแน่นอน

การประสบอันตรายกะทันหันครั้งนี้ ทำให้เหมียวอี้ตื่นตระหนกเหลือทน โชคดีที่มีของวิเศษสองชิ้นที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้เขา ทำให้เขาต้านทานพลังโจมตีได้เกือบครึ่งหนึ่งในรวดเดียว แต่พลังของนักพรตบงกชทองขั้นแปดก็แข็งแกร่งเกินไป ยังทำให้เขาสะเทือนจนกระเด็น แม้แต่การโจมตีครั้งเดียวก็ยังต้านทานไม่ไหว

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใช้กำลังปะทะตรงๆ กับคนที่วรยุทธ์สูบขนาดนี้!

ส่วนเลือดลมที่ปั่นปวนในร่างกายกับแขนสองข้างที่สะเทือนจนเหน็บชา เขารีบร่ายอิทธิฤทธิ์ทำให้สงบลง แล้วยืนให้มั่งคงอยู่กลางอากาศ เมื่อเห็นทวนเกล็ดย้อนในมืออับแสงลงหลังจากต้านทานการโจมตีไปหนึ่งครั้ง เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง นำยาเจี๋ยตันขั้นห้าที่เตรียมไว้เม็ดหนึ่งมาร่ายอิทธิฤทธิ์ใส่เข้าไปในตัวทวนทันที ฟื้นพลังงานให้กับทวนวิเศษ

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย คนมากมายที่ดูการต่อสู้อยู่ตรงจุดหมายสุดท้ายตกตะลึงมาก ต่างก็แปลกใจที่เหมียวอี้ต้านทานการโจมตีนั้นได้

เมื่อครู่ตอนที่เห็นฝานอวี้เฟยใช้ดาบฟันโดนเหมียวอี้ โค่วเหวินหลานก็ขนลุกแล้ว แอบร้องในใจว่าจบเห่แล้ว!

แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะสามารถต้านทานไว้ได้! สิ่งนี้ทำให้เขาผิดคาดและตื่นเต้นประหลาดใจจริงๆ!

“เจ้าหก เกราะรบบนตัวลูกน้องเจ้า เจ้าเป็นคนมอบให้เหรอ?” จู่ๆ โค่วเหวินชิงก็ถ่ายทอดเสียงถาม ในน้ำเสียงเหมือนจะแปลกใจอยู่บ้าง

โค่วเหวินหลานส่ายหน้า ไม่ได้ตอบอะไร เอาแต่จ้องสถานการณ์ตาไม่กะพริบ ไม่มีกะจิตกะใจมาครุ่นคิดถึงคำถามของนางเลย

ส่วนโค่วเหวินหวงก็ขมวดคิ้วจ้องมองเหมียวอี้ ความสามารถที่เหมียวอี้แสดงออกมาเหนือความคาดหมายของเขา ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลัง ถ้ารู้แต่แรกว่าเหมียวอี้มีความสามารถแบบนี้ ถ้าให้รวมกำลังกับพวกโฉวตั้งไห่ จะต้องช่วยเหลือได้มากแน่นอน

ส่วนพวกโฉวตั้งไห่ที่หันกลับมามองก็ค่อนข้างพูดไม่ออก

ส่วนปี้เยว่ฮูหยินก็แอบรูปสึกประหลาดใจเป็นสองเท่า นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมีความสามารถขนาดนี้

การเปลี่ยนแปลงกะทันหันของสถานการณ์การรบกลับทำให้เซี่ยโห้วหู่เฉิงเม้มริมฝีปากแน่น นึกไม่ถึงว่าลูกน้องตัวเองจะจัดการนักพรตบงกชทองขั้นสามคนเดียวไม่ได้เสียที ทั้งยังโดนฝ่ายตรงข้ามจัดการสมาชิกไปรวดเดียวสองคน ทั้งยังใช้กำลังปะทะตรงๆ กับหัวหน้านักรบของตนด้วย แม้แต่การโจมตีจากเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นก็ต้านทานได้!

เหมือนจะเชื่องช้า แต่เวลากลับรวดเร็วกว่าที่คิด มู่หรงซิงหัวอาศัยความได้เปรียบด้านความเร็วของเดรัจฉานสับปลับ บวกกับหมอกแดงร้อนจี๋ของเดรัจฉานสับปลับ ฟันสังหารคู่ต่อสู้ทิ้งได้อย่างราบรื่นแล้ว

สวีถังหรานก็ ‘น่าเกรงขาม’ มากเช่นกัน เหยี่ยวมารวานรยักษ์สองตัวที่อาลัยอาวรณ์เจ้าของจะสู้เขาได้อย่างไร ยามเผชิญกับสัตว์เทพสองตัวที่โจมตีล้างแค้นให้เจ้าของตัวเอง เขาใช้ทวนแทงทีละตัว สองตัวนั้นถูกเขาแทงตายหมดแล้ว ส่วนสมบัติบนตัวสองคนนั้นก็ย่อมไม่ปล่อยไป

งานเบ็ดเตล็ดมักจะมีคนทำให้อยู่แล้ว ท่ามกลางสายตาประชาชี ตัวเองก็ต้องหางานทำสักหน่อยสิ แสร้งทำเหมือนว่าตัวเองไม่ได้ว่างก็พอแล้ว

เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เงยหน้ามองกัดฟันกรอด อยากจะเอาดาบไปฟันเขาให้ตายจริงๆ ในปีนั้นทำไมฟันโจรสุนับตัวนี้ไม่ได้ ปล่อยให้มาสร้างความอับอายขายหน้าอยู่ตรงนี้ได้!

ส่วนเหมียวอี้หยุดยืนอย่างมั่นคง หลังจากเฉียดผ่านการโจมตีของฝานอวี้เฟยไป เหยี่ยวมารวานรยักษ์หกตัวที่ย้อนไล่ตามก็โจมตีเข้ามาแล้ว ฝานอวี้เฟยก็เลี้ยวมาแล้วเช่นกัน ตอนนี้เลิกสนใจมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานชั่วคราว เมื่ออยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ แต่ยังจัดการไม่ได้แม้แต่นักพรตบงกชทองขั้นสามคนเดียว แบบนี้จะทนความรู้สึกได้อย่างไร จะให้ผู้บัญชาการใหญ่เซี่ยโห้วมองพวกเขาอย่างไร?

เห็นเหมียวอี้ไม่มีสัตว์พาหนะแล้ว ขาดความได้เปรียบด้านความเร็วโดยสิ้นเชิง หลายคนที่โจมตีเข้ามามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นหลายเท่า ก็เหมือนกับความรู้สึกของมู่หรงซิงหัวตอนไปโจมตีเข่นฆ่าคนที่สูญเสียสัตว์พาหนะ

แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ก่อนหน้านี้เคยใช้กำลังปะทะตรงๆ กับนักพรตบงกชทองขั้นแปดโดยยังไม่สวมเกราะรบของเยารั่วเซียน แต่เมื่อได้ลองไปเมื่อครู่นี้ ทำให้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นหลายส่วนทันที ไม่อย่างนั้นคงรู้สึกไม่มั่นใจอยู่ตลอด เหมือนตอนแรกที่โยนนักโทษให้พวกโฉวตั้งไห่เพื่อล่อศัตรูออกไป

แต่ไม่สนใจว่าจะเอาชนะได้หรือไม่ ไม่สนใจว่าจะหนีรอดไปได้หรือไม่ เหมียวอี้ยังคงเลี้ยวกลับมา พุ่งเข้าใส่พวกโฉวตั้งไห่ด้วยความเร็วสูง

ทว่าหนีไม่ทันความเร็วของเหยี่ยวมารวานรยักษ์หกตัวนั้น เหยี่ยวมารหกตัวที่ไล่ตามมาพลันเปลี่ยนรูปทัพ กลายเป็นกระบวนทัพรูปงูที่ต่อเนื่องตามกันมา แต่ละตัวหมุนร่างกาย หมุนราวกับพายุไต้ฝุ่น ชั่วพริบตาเดียวก็ม้วนเหมียวอี้ไว้ได้แล้ว บินวนด้วยความเร็วสูงโดยหันหลังให้เหมียวอี้

ถ้าไม่หันหลังให้คงไม่ได้จริงๆ ร่างกายของเหยี่ยวมารวานรยักษ์มีขนาดใหญ่เกินไป กางปีกใหญ่เกินไป ถ้าไม่หันหลังแล้วให้คนที่กำลังขี่ลงมือ อาวุธในมือคนขี่ก็จะสัมผัสไม่ถึงตัวคู่ต่อสู้เลย หกคนที่ขี่เหยี่ยวมารแบบนี้ลงมืออย่างต่อเนื่องยาวเหยียด ดาบและทวนเรียกได้ว่าโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อาศัยความเร็วของเหยี่ยวมาร ทำให้ลงมือได้รวดเร็วถึงขีดสุด

ชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ก็ตกอยู่ในอันตรายทันที เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเห็นวิธีการโจมตีแบบนี้

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาไม่กล้าใช้ดระบวนท่าหนึ่งทวนสิบสังหารเลย เขาออกทวนด้วยความเร็วสูงจนเกือบจะเท่าท่าหนึ่งทวนสิบสังหาร ชั่วพริบตาเดียวก็มีเสียงดังโครมครามหกครั้ง เขาโจมตีต่อเนื่องไปแล้วหกทวน ราวกับมีแขนงอกเพิ่มมาหลายข้าง  เกราะรบบนตัวส่งเสียงดังไม่หยุด เกราะเกล็ดกำลังเร่งสะบัดกำจัดพลัง

โชคดีที่เหยี่ยวมารบินไปในทิศทางเดียวกับเขา กอปรกับเหยี่ยวมารกำลังบินวนไปข้างหน้า มันจึงไม่ได้ใช้ความเร็วสูงสุดของมัน ถ้าเปลี่ยนเป็นการบินในเส้นตรงเหมือนก่อนหน้านี้ แล้วทั้งหกใช้วิธีการลงมือแบบนี้ เหมียวอี้จะต้องใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางต้านไหวเลย

พอเป็นแบบนี้ ก็เกิดเสียงดังเกรียวกราวท่ามกลางกลุ่มคนที่กำลังดูการต่อสู้อยู่ที่จุดหมายสุดท้าย โดนรุมโจมตีแบบนี้ก็ยังต้านทานไหวอีกเหรอ? รับการโจมตีจากนักพรตบงกชทองขั้นห้าจำนวนหกคนต่อเนื่องภายในชั่วกริบตาเดียวงั้นเหรอ? การตอบสนองที่รวดเร็วแบบนี้น่าตกใจเกินไปแล้ว!

ปี้เยว่ฮูหยินเผยอปากอย่างงุนงง พึมพำในใจว่า เจ้าหนุ่มคนนี้ ก่อนหน้านี้มองไม่ออกเลยจริงๆ นึกว่าทำงานไต่เต้าขึ้นมาได้เพราะอาศัยเล่ห์หลี่ยม นึกไม่ถึงว่าจะมีความสามารถอยู่หลายส่วน!

โค่วเหวินหวงเสียใจทีหลังจะแย่อยู่แล้ว มีความสามารถแบบนี้ถ้ามารวมกำลังกันจะช่วยได้มากจริงๆ น่าเสียดายที่พลาดไปแล้ว!

ไม่สนใจอะไรขนาดนั้น เขาหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับพวกโฉวตั้งไห่ทันที สั่งให้พวกเขาไปช่วยเหลือ!

โค่วเหวินหลานก็นึกเสียใจทีหลังเหมือนกัน ถ้ารู้แต่แรกคงไม่รับปากโค่วเหวินหวงไป เพราะมีโอกาสสูงมากที่หนิวโหย่วเต๋อจะโจมตีฝ่ากลับมาได้!

ส่วนเกาก้วนก็มาปรากฏตัวนอกตำหนักตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ไม่ได้นั่งบนเก้าอี้ยาวตัวนั้นแล้ว เก้าอี้ตัวนั้นว่างอยู่ เขายืนเอามือไว้หลังอยู่ข้างเก้าอี้และกำลังดูการต่อสู้ สีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก!

มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานเห็นฉากนี้แล้ว ตกตะลึงพรึงเพริดในความสามารถของเหมียวอี้เช่นกัน ทั้งคู่กำลังทำสีหน้าตกตะลึง!

พอเหยี่ยวมารหกตัวบินหมุนออกไป เหมียวอี้ที่มีสีหน้าดุร้ายมุ่งสังหารก็รอดตัวจาก ‘พายุหมุน’ แล้วรีบถือทวนหันกลับมา เพราะฝานอวี้เฟยถือดาบพุ่งเข้ามาอีกแล้ว!

“กรร!” เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นคำรามคลื่นเสียงออกมาอีกครั้ง โจมตีเข้ามาพร้อมเสียงดังลั่น!

1037



บทที่ 1038 สู้กันอย่างสูสี

เพลิงจิตออกมาปกป้องร่างกายทันที หลังจากเพลิงจิตคุ้มกายที่สภาพเหมือนคลื่นน้ำกระเพื่อมอยู่ท่ามกลางการโจมตีของคลื่นเสียง ร่างกายของเหมียวอี้ก็ไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย ถือทวนเผชิญหน้ากับฝานอวี้เฟยที่พุ่งเข้ามา พร้อมถือโอกาสเหาะถอยหลังตามทิศทางเดียวกับที่ฝานอวี้เฟยพุ่งมา

ถึงแม้วรยุทธ์ของเขาจะห่างไหลกับอีกฝ่ายมาก แต่ถ้าเหาะไปในทิศทางเดียวกันก็ยังลดความได้เปรียบเรื่องความเร็วของได้บ้าง ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยความเร็วในการลงมือตอนที่อีกฝ่ายขี่สัตว์เทพ จะต้องปะทะตรงๆ อย่างหลบเลี่ยงไม่ได้เหมือนก่อนหน้านี้แน่นอน

ก่อนหน้านี้มีเดรัจฉานสับปลับพ่นหมอกแดงสกัดให้ ฝานอวี้เฟยยังเห็นไม่ชัดว่าเหมียวอี้ต้านทานการโจมตีจากคลื่นเสียงได้อย่างไร ตอนนี้กลับเห็นชัดแล้วว่านอกร่างกายเหมียวอี้มีเกราะโปร่งแสงหุ้มหนึ่งชั้น ไม่เหมือนเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ เพราะเกราะพลังอิทธิฤทธิ์กันเสียงนี้ไม่ได้เช่นกัน

ยังไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ ฝานอวี้เฟยที่เข้ามาประจัญบานควงดาบขึ้นมากวาดในแนวขวาง เงาดาบระเบิดจากกลางเอวฟันไปที่เหมียวอี้อีกครั้ง

เหมียวอี้ที่เหาะถอนหลังด้วยความเร็วสูงก็รีบชูทวนออกมากวาดในแนวขวางเช่นกัน ใช้กำลังปะทะกันโดยตรงอีกครั้ง

ฝานอวี้เฟยทั้งโมโหทั้งอยากขำ แค่นักพรตบงกชทองขั้นสามเล็กๆ คนหนึ่ง แต่ใช้กำลังปะทะกับนางครั้งแล้วครั้งเล่า ช่างไม่รู้จักเป็นรู้จักตายเลยจริงๆ

คนมากมายที่กำลังดูการต่อสู้แอบเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง เจ้าหนุ่มบงกชทองขั้นสามมันบ้าระห่ำจริงๆ แต่มาดอันห้าวหาญไม่หวั่นเกรงยามเผชิญหน้าศัตรูที่แข็งแกร่งกลับทำให้คนอุทานอย่างตื่นตะลึง

บึ้ม! ทวนเกล็ดย้อนปะทะกับเงาดาบที่กวาดเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง เกิดเสียงระเบิดดังสะเทือนเลือนลั่นท้องฟ้า

มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานสีหน้าเปลี่ยนทันที ถ้าเปลี่ยนเป็นพวกเขาสองคน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางต้านทานการโจมตีนี้ได้

เห็นเพียงชั่วพริบตาเดียวที่เงาดาบพังทลาย ทวนเกล็ดย้อนก็สะเทือนจนดีดออกมา

ไม่รู้ว่ามีคนมากมายขนาดไหนที่คิดว่าต่อไปเหมียวอี้จะต้องสะเทือนจนกระเด็น แต่เหมียวอี้กลับตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ฆ่า!”

ทวนเกล็ดย้อนดีดบินแล้วจริงๆ แต่ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงทั้งนั้น ว่าเหมียวอี้จะอาศัยพลังมหาศาลของทวนเกล็ดย้อนที่ดีดบินพาร่างเหาะวนด้วยความเร็วสูง นอกจากฉวยโอกาสคลายพลังโจมตีมหาศาลแล้ว ยังอาศัยพลังของฝ่ายตรงข้ามเพื่อโจมตีกลับอีกด้วย ภายใต้การสนับสนุนจากพลังของฝ่ายตรงข้าม เขาไม่เพียงแค่ได้ใช้ความเร็วที่เพิ่มขึ้นมาลดความแตกต่างด้านความเร็วระหว่างตัวเองและคู่ต่อสู้ ทั้งยังได้ใช้ความเร็วที่เพิ่มขึ้นนี้สะบัดทวนเกล็ดย้อนออกมา หมุนควงด้วยความเร็วสูงรอบหนึ่ง ประเดี๋ยวเดียวก็มีเงาทวนที่ยุ่งเหยิงโจมตีไปทางฝานอวี้เฟย

ภายใต้การโจมตีหนึ่งครั้ง ฝานอวี้เฟยขี่เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นเฉียดผ่านร่างเหมียวอี้ไปพอดี นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เหมียวอี้จะใช้ท่านี้ จึงเผยแผ่นหลังด้านข้างให้เหมียวอี้โจมตี เหมียวอี้ออกทวนได้รวดเร็วและดุดัน เรียกได้ว่ามั่นคง เด็ดเดี่ยวและแม่นยำ ปะเดี๋ยวเดียวก็โจมตีจนนางทำอะไรไม่ถูก

เกราะพลังอิทธิฤทธิ์ไม่สามารถต้านทานการโจมตีจากทวนวิเศษผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงได้เลย พอแทงเข้ามาทวนเดียวก็เกิดเป็นรูแหว่ง

ฝานอวี้เฟยตกใจมาก นางหันตัวเลี้ยวภายใต้ความฉุกละหุก โบกดาบต้านทานหัวทวนแหลมคมที่แทงเข้ามาอย่างยุ่งเหยิง นี่ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีวรยุทธ์สูงและตอบสนองได้รวดเร็ว ครั้งนี้นางอาจจะต้องเสียเปรียบใหญ่หลวง

เสียงโช้งเช้งโช้งเช้งดังพักหนึ่ง ดาบและทวนปะทะโจมตีกันด้วยความเร็ว เหมียวอี้รู้ว่าวรยุทธ์ของนางร้ายกาจ จึงไม่ใช้กำลังปะทะตรงๆ ใช้ท่าเก่าไม่ได้ ทำได้เพียงโจมตีโดยใช้ความเร็วของทวน!

ฉากนี้ในสายตาของทุกคน ก็คือเหมียวอี้กำลังใช้ทวนโจมตีอย่างรวดเร็วจนทำให้ฝานอวี้เฟยตกใจจนทำอะไรไม่ถูก กดดันให้ฝานอวี้เฟยตกอยู่ในสภาพจนตรอก

“จุจุ ช่างเป็นเจ้าหนุ่มที่ห้าวหาญ!”

“ในตำหนักสวรรค์หาคนที่ห้าวหาญแบบนี้ได้ยาก ผ่านประสบการณ์ในการเข่นฆ่ามาจนช่ำชอง ราวกับเคยรบมาเป็นร้อยสนามแล้ว!”

กลุ่มคนทีดูการต่อสู้อยู่ตรงจุดหมายสุดท้ายระเบิดเสียงเกรียวกราว ต้องทราบไว้ว่าการโจมตีที่สวยงามแบบนี้ของเหมียวอี้ ไม่ได้มีที่พึ่งอะไรมากขนาดนั้น อาศัยเพียงพลังของนักพรตบงกชทองขั้นสามมาปะทะกับนักพรตบงกชทองขั้นแปด ลักษณะท่าทางที่ไม่สนว่าศัตรูจะวรยุทธ์สูงหรือต่ำ เทพขวางฆ่าเทพ พระขวางฆ่าพระแบบนั้น ไม่รู้ว่าทำให้คนมากมายเท่าไรอึ้งทึ่งตะลึงงัน

โค่วเหวินหลานแสดงสีหน้าปลื้มใจเหนือความคาดหมาย โค่วเหวินชิงกับปี้เยว่ฮูหยินก็ทำสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน

ปี้เยว่ฮูหยินนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าลูกน้องตัวเองจะห้าวหาญถึงขนาดนี้ พื้นฐานการต่อสู้แข็งแรงมาก แข็งแรงจนสามารถใช้พื้นฐานการต่อสู้นี้มาปะทะกับคนที่วรยุทธ์เหนือกว่าตนได้ สิ่งนี้เพียงพอที่จะทำให้นักพรตมากมายที่ใฝ่หาวรยุทธ์กับของวิเศษอับอาย!

โค่วเหวินหวงที่ติดต่อกับพวกโฉวตั้งไห่ร้อนใจยิ่งกว่าเดิม เร่งให้ลูกน้องตัวเองเข้าไปช่วยสนับสนุนเร็วๆ

คนที่มีความสามารถมักจะมีคนอยากใช้ประโยชน์อยู่แล้ว ถ้าไม่มีความสามารถ ผีที่ไหนจะมาสนใจความเป็นความตายของเจ้า

เกาก้วนที่ยืนเอามือไขว้หลังอยู่บนบันได้ก็มองจนตาเป็นประกายเช่นกัน

เซี่ยโห้วหู่เฉิงสีหน้าแย่นิดหน่อย แต่ตอนนี้สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นดีใจ สถานการณ์เปลี่ยนแปลงแล้ว!

ฝานอวี้เฟยที่รับมืออย่างฉุกละหุกค่อยๆ เว้นระยะห่างกับเหมียวอี้ สงบสติอารมณ์ลงเร็วมาก ขณะที่กำลังใช้ดาบต้านขวางไว้ จู่ๆ หลังดาบก็เกี่ยวไปข้างหลัง ใช้หลังดาบกักบนตะขอคมของทวนเกล็ดย้อนในชั่วพริบตาเดียว ดึงทวนในมือเหมียวอี้เอาไว้แล้ว ทำให้เงาทวนที่ยุ่งเหยิงหยุดชะงักทันที

อาศัยวรยุทธ์อย่างเหมียวอี้ จะดึงทวนกลับมาจากมือนางได้อย่างไรกัน ถูกฝานอวี้เฟยพาเหาะไปพร้อมกันอย่างรวดเร็ว

มีคนมากมายแอบร้องว่าแย่แล้วแทนเหมียวอี้ ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ ถ้าไม่มีทวนวิเศษคอยช่วย แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ดวงตาโค่วเหวินหลานฉายแววเครียดกังวลทันที

เหมียวอี้ที่ถูกดึงเหาะไปพร้อมกันไม่ยอมปล่อยมือจากทวน ยังคงทำสีหน้าดุร้ายมุ่งสังหาร ยังคงจ้องฝานอวี้เฟยด้วยแววตาเย็นเยียบ

ฝานอวี้เฟยทำสีหน้าเย้ยหยัน นางออกแรงโบกดาบใหญ่ในมือไปข้างหลัง หมายจะใช้พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งดึงเหมียวอี้เข้ามา จากนั้นก็ใช้ดาบฟันเหมียวอี้ให้ตาย

แต่ใครจะคาดคิด พอนางควงแขนชูดาบขึ้น จู่ๆ บนทวนเกล็ดย้อนก็มีเสียงดังแกร๊ก ตะขอแหลมสามแฉกบนหัวทวนพลันพลิกขึ้นรวมเป็นหนึ่งเดียว ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นหัวทวนแหลมขมที่ไร้ตะขอแล้ว

ฝานอวี้เฟยโบกดาบโดยไร้ผลลัพธ์ งุนงงนิดหน่อย หวาดกลัวด้วยเช่นกัน มือชูขึ้นมาแล้ว โบกดาบไปทางข้างหลัง แต่โบกแล้วไม่ได้อะไรเลย ช่างเป็นการเปิดประตูอ้ารับจริงๆ ช่องโหว่บนร่างกายเปิดเผยอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้หมดแล้ว เมื่ออยู่ภายใต้น้ำมือของคนที่ออกทวนเร็วขนาดนี้ แค่คิดก็รู้ถึงผลลัพธ์แล้ว

เหมียวอี้มีหรือที่จะเกรงใจ ชักทวนเข้าชักทวนออก ออกทวนราวกับมังกร แสงสะท้อนคมทวนวิบวับเป็นดอกๆ โจมตีไปยังใบหน้า ลำคอ และจุดสำคัญบนร่างกายของฝานอวี้เฟยแล้ว

ทุกคนที่ดูการต่อสู้ส่งเสียงเกรียวกราวอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงที่ขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้รวดเร็วเกินไปแล้ว เจ้านึกว่าทำแบบนี้แล้วจะได้เปรียบ แต่อีกคนก็พลิกสถานการณ์ได้อีก พอทางนี้พลิกสถานการณ์ ทางนั้นก็ใช้ท่าเด็ดอีก เป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมมีสีสันที่สุด คนไม่น้อยโห่ร้องอย่างติดลม!

ในอาณาเขตของตำหนักสวรรค์ถึงแม้จะไม่ได้สงบมาก แต่ก็นับว่าสงบสุขมาแสนนาน กลุ่มลูกหลานจากตระกูลขุนนางไม่ค่อยได้เห็นการเข่นฆ่าที่มีสีสันขนาดนี้ นี่ไม่ใช่การประลองฝีมือ แต่เป็นการสู้สุดชีวิตแบบเอาเป็นเอาตาย!

“เจ้าหก ลูกน้องเจ้าคนนี้ช่างร้ายกาจ มิน่าล่ะขนาดมีกันแค่สามสี่คนยังจับตัวนักโทษได้ตั้งสี่คน!” โค่วเหวินชิงชมเปาะด้วยความตื่นตะลึง ทำสีหน้าอัศจรรย์ใจ

สถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป หักมุมเยอะเกินไป โค่วเหวินหลานอ้าปากค้างแล้ว มองดูจนเหม่อลอย ไม่ได้ยินเลยว่าพี่สาวตัวเองพูดว่าอะไร

มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานก็งงตาค้างแล้วจริงๆ ในฐานะที่เป็นพวกเดียวกัน วิธีการต่อสู้ที่ดุเดือดแบบนี้ ไม่รู้สึกต่ำต้อยเพราะวรยุทธ์ ทั้งสองมองจนฮึกเหิมเลือดเดือดพล่าน!

แต่คนที่วรยุทธ์ระดับฝานอวี้เฟย ความเร็วในการตอบสนองก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ภายใต้ความกระวนกระวายใจ ภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง นางโบกแขนอีกข้างมาต้านทานไว้

ปั้งๆๆๆ! เสียงสะเทือนดังเป็นชุด ชั่วพริบตาเดียวฝานอวี้เฟยก็โดนทวนติดต่อกันห้าหกครั้ง นางดันทุรังใช้เกราะรบบนแขนป้องกัน ต้านทานห้าหกทวนที่ต่อเนื่องของเหมียวอี้เอาไว้

ต้านทานจุดสำคัญบนร่างกายเอาไว้ได้ แต่กลับปกป้องเส้นผมที่ปลิวสะบัดไม่ได้ ภายใต้ทวนที่หดเข้าแทงออกของเหมียวอี้ ผมยาวโดนฟันขาดปลิวหายไปหลายช่อ

แต่วรยุทธ์สูงกว่าเหมียวอี้ก็คือวรยุทธ์สูงกว่า ความแตกต่างของวรยุทธ์ไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามได้ ฝานอวี้เฟยโดนไปห้าหกทวนติดต่อกัน แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน ห้าหกทวนที่เหมียวอี้โจมตีโดนนาง เป็นเพียงการอาศัยความคมของทวนวิเศษเพื่อตีฝ่าเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ของนางเท่านั้น แต่กลับเป็นเรื่องยากที่จะสะเทือนถึงร่างกายนาง นางอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งต้านทานการโจมตีของเหมียวอี้ไว้

ก็ช่วยไม่ได้ นอกจากวรยุทธ์ที่สูง บนตัวนางยังสวมเกราะรบผลึกแดงขั้นห้าที่มีความบริสุทธิ์สูงด้วย ถึงแม้ทวนวิเศษของเหมียวอี้จะคม ถึงแม้จะตีฝ่าเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ของนางได้ แต่กลับไม่สามารถตีฝ่าการป้องกันของเกราะรบบนตัวนาง ทั้งสองล้วนมีของวิเศษระดับเดียวกัน ถ้าคิดจะตีฝ่าให้ได้ก็ยากมาก มิหนำซ้ำวรยุทธ์ของอยังห่างไกลกับนางมาก ได้แต่รู้สึกเสียดาย!

เมื่อต้านทานการโจมตีได้พักหนึ่ง ฝานอวี้เฟยก็ย่อมหายกังวลแล้ว แต่ก็เดือดดาลมากเช่นกัน ตัวเองวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปด แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนนักพรตบงกชทองขั้นสามกดดันจนทำอะไรไม่ถูกซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อหน้าฝูงชน กลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะจริงๆ กลับไปจะให้คนมองตนยังไง!

ครั้งนี้โมโหแล้วจริงๆ ควงดาบอย่างบ้าคลั่ง ฟันไปทางเหมียวอี้อย่างรุนแรง หมายจะใช้พลังอันแข็งแกร่งหลบหลีกการพัวพันของเหมียวอี้

เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้มีประสบการณ์ในการรับมือกับนางบ้างแล้ว โบกทวนต้านทาน!

บึ้ม! เสียงสะเทือนกระจายทั่วท้องฟ้า เห็นเหมียวอี้อาศัยความเร็วของแรงโจมตีโบกทวนหมุนอีกแล้ว ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกัน เป็นไปไม่ได้แล้วที่เหมียวอี้จะใช้ทวนทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บได้ แต่กลับเห็นทวนที่โบกกลับถูกส่งออกมาอีก หัวทวนที่แหลมคมสะบัดหางกวาดออกไปหนึ่งครั้ง มีปราณปีศาจโลหิตโผล่ออกมา

เพล่ง! หัวทวนที่แหลมคมวาดผ่านข้างสะโพกของเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นอย่างรุนแรง ไม่น่าเชื่อว่าจะวาดจนเกิดประกายไฟ จะเห็นได้ถึงความทนทานของเกราะน้ำแข็ง หัวทวนแทงจมเข้าร่างกายของเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็น ทำให้เกราะน้ำแข็งแตกและกระเด็นออกมาพร้อมเลือดสด

“อู…” เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นส่งเสียงร้องเจ็บปวด

เงาดาบที่ดุเดือดถูกฟันออกมาจากมือของฝานอวี้เฟยที่กำลังโมโหอีกครั้ง เหมียวอี้รีบใช้ทวนปาด บึ้ม! เงาดาบพังทลายท่ามกลางเสียงสะเทือน เหมียวอี้หมุนร่างกายกลางอากาศเพื่อคลายพลังโจมตีของฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง

ทั้งสองฝ่ายที่สู้กันอย่างสูสีพักหนึ่ง ตอนนี้หลุดแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิงแล้ว

ขณะที่ผู้ชมกำลังทึ่งกับสิ่งนี้ กลับเห็นฝานอวี้เฟยแสดงอาการผิดปกติ เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นที่ไม่ได้โดนโจมตีจุดสำคัญเกิดปั่นป่วนแล้ว การทำงานของร่างกายปั่นป่วนบิดพลิกไปพลิกมาอยู่บนท้องฟ้า ไม่ว่าฝานอวี้เฟยจะควบคุมอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง เหมือนเป็นบ้าไปแล้ว

เหมียวอี้ที่ถือทวนในแนวขวางทำสีหน้าดุร้าย เหมือนปีศาจเลือดเจอเลือด เหมือนปลาเจอน้ำ ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ แต่การทำให้สัตว์พาหนะที่ร้ายกาจของอีกฝ่ายพังก็นับว่าได้ประโยชน์แล้ว

มู่หรงซิงหัวมองทวนในมือแวบหนึ่ง ดับความคิดที่จะอาศัยความได้เปรียบด้านความเร็วของเดรัจฉานสับปลับไปสู้กับฝานอวี้เฟยแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายจะสูญเสียความได้เปรียบเรื่องสัตว์พาหนะไป แต่ตนก็ไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายสะทกสะเทือนได้อยู่ดี

ทุกคนย่อมมองออกว่าสัตว์พาหนะของฝานอวี้เฟยโดนกับดักของเหมียวอี้แล้ว ในการประมือที่รวดเร็วรอบนี้ เห็นได้ชัดว่านักพรตบงกชทองขั้นสามที่แปลกหน้าคนนี้เป็นฝ่ายได้เปรียบแล้ว

ผู้ชมส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงจุดหมายสุดท้ายไม่รู้ว่าเหมียวอี้เป็นใคร เป็นลูกน้องของใคร ไม่น่าเชื่อว่าจะห้าวหาญขนาดนี้

ในกลุ่มคนเหล่านั้น ไม่มีใครตื่นเต้นประหลาดใจเกินโค่วเหวินหลานแล้ว เรียกได้ว่าดีใจเหนือความคาดหมายอย่างแท้จริง

เวลาเหมือนจะช้า แต่ที่จริงการประมือใช้เวลาเร็วมาก พวกโฉวตั้งไห่ที่ได้รับคำสั่งจากโค่วเหวินหวง ตอนนี้รีบเคลื่อนตัวตามมาแล้ว

ส่วนเหยี่ยวมารวานรยักษ์หกตัวที่อยู่ทางนี้ก็เลี้ยวเปลี่ยนทิศทางแล้ว กลับมารวมลุ่มกัน เรียงแถวเป็นรูปงูอีกครั้ง พุ่งโจมตีเข้าใส่เหมียวอี้อีกครั้ง

เมื่อเห็นอีกฝ่ายใช้วิธีการโจมตีแบบนี้อีกครั้ง เหมียวอี้ก็รีบหันหน้ารับกระบวนทัพที่พุ่งเข้ามาแล้วเหาะถอยหลัง พยายามลดความเร็วในการโจมตีของอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด เขาทำสีหน้าดุร้ายอีกครั้ง พอเขย่าทวนเกล็ดย้อนในมือ ปราณปีศาจโลหิตที่เข้มข้นกลุ่มหนึ่งก็พรั่งพรูออกจากทวนเกล็ดย้อนและเกราะรบบนตัวอย่างบ้าคลั่งทันที


1038



บทที่ 1039 หลบศัตรูที่แข็งแกร่งชั่วคราว

เมฆเลือดพัดม้วน ราวกับมารปีศาจ พัดม้วนขยายไปทั่วสารทิศ!

เหมียวอี้ถือทวนในแนวเฉียงลง จ้องมองเหยี่ยวมารวานรยักษ์หกตัวที่พุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าดุร้าย ร่างกายที่กำลังเหาะถอยหลังจมลงและปรากฏให้เห็นรางๆ อยู่ในปราณปีศาจโลหิตที่ตลบอบอวล

“เป็นปราณปีศาจโลหิต!”

“ปราณปีศาจโลหิตที่เข้มข้นขนาดนี้ ไม่รู้ว่าต้องใช้ไปกี่ชีวิตถึงจะเซ่นหลอมออกมาได้ เจ้าหนุ่มนี่เอาของอัปมงคลชั่วร้ายประเภทนี้มาจากไหน?”

ตรงจุดหมายสุดท้ายมีคนอุทานอย่างประหลาดใจ

โค่วเหวินหลานและคนอื่นๆ ก็ตกใจไม่เบาเช่นกัน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้นำของที่มีพิษร้ายแบบนี้มาจากไหน ในเมื่อเขาสามารถควบคุมมันได้ ก็แสดงว่าเขาไม่กลัวของเล่นที่มีพิษร้ายประเภทนี้

“เป็นปราณปีศาจโลหิต! ร่ายอิทธิฤทธิ์คุ้มครองเหยี่ยวมาร!” ผู้บัญชาการที่ขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์นำอยู่ในกระบวนทัพรูปงูหันกลับมาตะโกนอย่างร้อนใจ

คนข้างได้ยินแล้วพยักหน้า พากันร่ายอิทธิฤทธิ์คุ้มครองเหยี่ยวมารไม่ให้โดนปราณปีศาจโลหิตรุกล้ำเข้ามา

ฝานอวี้เฟยที่หันกลับมามองแวบหนึ่งเข้าใจในทันที ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นของตัวเองถึงฟั่นเฟือนและไม่ยอมรับการควบคุม ที่แท้ก็โดนปราณปีศาจโลหิตนี่เอง ของที่มีพิษร้ายประเภทนี้ ตนไม่สามารถช่วยกำจัดให้เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นได้เลย หลังจากเข้าใจแล้ว คิดไปคิดมาก็ปวดใจ สัตว์พาหนะที่ดีขนาดนี้ไม่ใช่ว่าใครก็หามาได้ ราคาสูงไม่เบาจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเจอกับเจ้าหนุ่มที่ไม่กลัวการโจมตีจากคลื่นเสียง การที่มีเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นตัวนี้ช่วย ก็ทำให้นางเป็นเหมือนเป็นเสือติดปีก

กลุ่มของนางมากันสิบคน สาเหตุที่ก่อนหน้านี้สามารถรักษากำลังคนไว้ได้สิบคน ก็ล้วนเป็นเพราะอาศัยอานุภาพของเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นตัวนี้ ความสามารถในการบินของเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นถึงแม้จะไม่ได้ยอดเยี่ยมสักเท่าไร แต่คู่ต่อสู้ที่เจอล้วนอับจนปัญหายามอยู่ภายใต้เสียงคำรามของมัน อานุภาพไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็นึกไม่ถึง ว่ามันจะมาพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือนักพรตบงกชทองขั้นสามแค่คนเดียว ไม่ให้ปวดใจคงไม่ได้

ส่วนเหยี่ยวมารวานรยักษ์อีกหกตัว ตอนนี้ไล่ตามสังหารเหมียวอี้พร้อมหมุนตัวเหมือนพายุหมุนเข้าไปในปราณปีศาจโลหิตที่ตลบอบอวลแล้ว พอร่างกายแบบเหยี่ยวมารวานรยักษ์เข้าไป ก็ตีกวนให้เกิดฉากอลังการที่ทรงพลานุภาพทันที

ระยะห่างค่อนข้างไกล คนที่อยู่ข้างนอกมองเห็นเพียงภาพขมุกขมัว มองเห็นรายละเอียดข้างในไม่ค่อยชัดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

เหยี่ยวมารวานรยักษ์หกตัวบุกจมเข้าไปได้ไม่นาน เหมียวอี้ที่ถือทวนเหาะถอยหลังด้วยความเร็วสูงราวกับพ่นหมอกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็นดุร้าย ร่ายอิทธิฤทธิ์ชี้ไปที่ปราณปีศาจโลหิตอย่างมีจังหวะขั้นตอน

คนแรกที่พุ่งเข้ามาในปราณปีศาจโลหิตตกใจทันที รู้สึกได้ถึงความผิดปกติแล้ว ในปราณปีศาจโลหิตเหมือนจะมีของอะไรบางอย่างยิงออกมา วัตถุที่ลอบโจมตีเหมือนจะโปร่งแสง จนกระทั่งมาถึงตรงหน้าถึงได้สังเกตเห็นคร่าวๆ ว่าเป็นกระบี่เล็กโปร่งแสงเล่มหนึ่งที่มีขนาดเท่านิ้วชี้ อาศัยการบดบังจากปราณปีศาจโลหิตที่หนาทึบทำให้สังเกตเห็นได้ยาก รอจนกระทั่งสังเกตเห็นมันก็มาถึงตรงหน้าแล้ว

แต่อานุภาพการโจมตีเหมือนจะมีจำกัด เขาใช้ทวนยาวในมือโบกกวาดอย่างรวดเร็ว แกร๊ง! กระบี่เล็กถูกตีระเบิดพังไปแล้ว

เขาสามารถป้องกันการลอบโจมตีจากกระบี่เล็กโปร่งแสงได้ แต่เหยี่ยวมารวานรยักษ์กลับป้องกันไม่ได้

บึ้ม! เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น ได้แต่มองดูดวงตาข้างหนึ่งของเหยี่ยวมารวานรยักษ์ระเบิดและมีของเหลวไหลออกมา โดนกระบี่เล็กโปร่งแสงยิงใส่จนระเบิดแล้ว

คนที่นำหน้ามาตกใจมาก กระบี่เล็กโปร่งแสงที่มีอานุภาพการโจมตีไม่เยอะ แต่ไม่น่าเชื่อว่าความคมของมันจะทะลุเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ที่ตนใช้ปกป้องเหยี่ยวมารวานรยักษ์ได้อย่างง่ายดายราวหั่นเต้าหู้?

“จี๊ดๆๆ…” ท่ามกลางปราณปีศาจโลหิตสีแดงขมุกขมัว เสียงกรีดร้องของเหยี่ยวมารวานรยักษ์ดังออกมา

“รีบไป! มีกลลวง!” ผู้บัญชาการที่ขี่เหยี่ยวมารวานรยักษ์นำหน้าพลันร้องบอก

เตือนได้ช้าไปหน่อย ไม่ใช่แค่สัตว์พาหนะของเขาเท่านั้น สัตว์พาหนะของคนอื่นๆ ก็ทยอยกันร้องเสียงแหลมเช่นกัน เหยี่ยวมารวานรยักษ์แต่ละตัวเกิดการทำงานที่ปั่นป่วน กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ท่ามกลางปราณปีศาจโลหิต ไม่รับการควบคุมจากใครเลย

เหมียวอี้แอบเสียดายนิดหน่อย เมื่อเทียบกับหกคนที่อยู่ในปราณปีศาจโลหิต วรยุทธ์ของตนยังต่ำเกินไปจริงๆ ถ้าอยากจะร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมให้กระบี่เล็กเพลิงจิตทำร้ายคนพวกนั้นในระยะไกล ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก นอกจากจะยังไม่เร็วพอ เนื้อของกระบี่เล็กเพลิงจิตก็ยังไม่เกาะตัวกันมากพอด้วย ระดับความแข็งยังไม่สูงมาก แถมบนตัวคนพวกนั้นก็สวมเกราะรบผลึกแดงขั้นห้า ไม่อย่างนั้นเขาคงใช้กระบี่เล็กเพลิงจิตกำจัดคนพวกนี้ทิ้งไปแล้ว

การลอบจู่โจมสำเร็จ เหมียวอี้หยุดชะงักอยู่ที่เดิม ชั่วพริบตาเดียวก็ถือทวนพุ่งกลับเข้าไปในปราณปีศาจโลหิต

เมื่อเห็นว่าไม่อาจดันทุรังกับสถานการณ์นี้ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าในปราณปีศาจโลหิตยังมีกลลวงอะไรอีก ปฏิกิริยาแรกของทั้งหกคนก็คือตัดใจทิ้งเหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่กำลังม้วนกลิ้ง แล้วรีบหนีออกจากปราณปีศาจโลหิตไป เหมียวอี้ที่พุ่งตัวเข้าไปในนั้นย่อมคว้าน้ำเหลว อาศัยความเร็วของเขายังตามไม่ทันหกคนนี้ มีแต่เหยี่ยวมารวานรยักษ์ที่มารับหน้า เหมียวอี้โบกทวนฟันสังหารพวกมันเสียเลย

ขนนกบนตัวเหยี่ยวมารวานรยักษ์ล้วนเป็นเป็นขนที่มีเกล็ดแข็งทนทาน ราวกับเป็นเหล็กชั้นดี เรียกได้ว่าผิวภายนอกมีเกราะป้องกันที่ทนทานหุ้มชั้นหนึ่ง แต่กลับต้านทานความคมของทวนวิเศษผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงไม่ไหว โดนฟันจนเกิดประกายไฟสายแล้วสายเล่า เลือดร้อนๆ ระเบิดออกมา ส่งเสียงร้องเจ็บปวดพร้อมหนีหัวซุกหัวซุน

เหมียวอี้ย่อมไม่สนใจที่จะสังหารพวกสัตว์ที่โดนตัวเองวางยาไปแล้ว เขาจึงเก็บกระบี่เล็กเพลิงจิตที่ปล่อยออกไป แล้วรีบพุ่งออกจากขอบเขตของปราณปีศาจโลหิต พอลอยอยู่กลางอากาศแล้วมองดู ก็เห็นหกคนนั้นหนีไปแล้ว รีบไปรวมตัวกับฝานอวี้เฟย เหยี่ยวมารวานรยักษ์สี่ตัวที่โชคดีรอดตายก็พลิกตัวบินออกมาเช่นกัน

หกคนที่หนีออกไปไร้เหยี่ยวมารวานรยักษ์คอยช่วยแล้ว ก่อนหน้านี้เคยเห็นพลังยามที่เหมียวอี้กับฝานอวี้เฟยสู้กัน พวกเขาจะกล้าออกมาท้าทายได้อย่างไร จึงรีบปลีกตัวหนีออกมา รีบไปหาฝานอวี้เฟยแล้ว

ภายใต้ความเฉื่อยของอากาศใต้เท้าเหมียวอี้ หมอกปราณปีศาจโลหิตส่วนใหญ่ยังคงลอยไปข้างหน้า ละถูกตีกวนให้แผ่กระจายไปทั่วสี่ทิศด้วย

“ช่างเป็นคนโหดจริงๆ!”

“ให้ความรู้สึกเหมือน เมื่อทวนอยู่ในมือ ในโลกนี้ก็ไร้คู่ต่อสู้!”

ทำให้สัตว์พาหนะพังไปรวดเดียวหกตัว ตรงจุดหมายสุดท้ายมีคนไม่น้อยที่เดาะลิ้นกล่าวชื่นชม

เซี่ยโห้วหู่เฉิงกลับสีหน้าดำเหมือนก้นหม้อ ลูกน้องของตัวเองเสียสัตว์พาหนะไปหมดแล้ว เมื่อขาดพลังเท้าคอยช่วยเหลือ ตอนหลังก็จะเกิดปัญหาใหญ่ เขาหันไปมองพี่ใหญ่ของตัวเองโดยจิตใต้สำนึก ถ้าไม่ใช่เพราะช่วยเหลือให้พี่ให้พี่ใหญ่ได้ระบายอารมณ์โกรธ มีหรือที่จะเจอสถานการณ์สิ้นหวังแบบนี้

บังเอิญว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็มองเขาด้วยสายตาอ่อนปวกเปียกเช่นกัน เมื่อสองพี่น้องสบตากัน เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด รู้ว่าครั้งนี้ตัวเองทำให้น้องชายอยู่ในสภาพย่อยยับป่นปี้ ตำหนิตัวเองในใจว่าทำไมตัวเองจึงมักทำผิดอยู่เสมอ

เมื่อเห็นพี่ใหญ่ทำท่าเหมือนตำหนิตัวเอง เซี่ยโห้วหู่เฉิงก็ระบายอารมณ์โมโหไม่ออกเหมือนกัน รีบหยิบระฆังดาราอออกมาสั่งให้พวกฝานอวี้เฟยรีบถอนกำลัง ถ้าถอนกำลังตอนนี้ต่อให้ไม่ได้อันดับหนึ่ง แต่คะแนนก็ไม่ได้แย่มาก ถ้าช้ากว่านี้เกรงว่าจะไม่ได้กลับไปเลย รอบข้างมีเสือจ้องจะกินเยอะเกินไป

โค่วเหวินหลานย่อมปลาบปลื้มดีใจไม่หยุด

“เจ้าหก ลูกน้องเจ้ามีกลยุทธ์ที่ดีนะ!” โค่วเหวินชิงถ่ายทอดเสียงชม แต่จากนั้นก็ถอนหายใจอีก “ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้…” คำพูดตอนท้ายไม่ได้เอ่ยออกมา ความหมายในคำพูดก็คือไม่ควรรับปากโค่วเหวินหวง

ทว่าในเมื่อรับปากไปแล้ว ถ้าพูดถึงอีกก็อาจจะทำโค่วเหวินหลานเป็นทุกข์ นางกวาดสายตามอง สายตาไปหยุดอยู่บนตัวพวกโฉวตั้งไห่ที่รีบเข้ามาช่วยสนับสนุนอย่างว่องไว

“อย่าหนีนะ!”

เมื่อเห็นพวกฝานอวี้เฟยสูญเสียความได้เปรียบเรื่องสัตว์พาหนะไปแล้ว ก็เหมือนลูกแกะที่รอให้เชือดจริงๆ ดูจากความสามารถของคนพวกนี้ คาดว่าบนตัวคงจะมีนักโทษหลายคน ฆ่ากลุ่มนี้กลุ่มเดียวก็เท่ากับฆ่าได้หลายกลุ่ม โอกาสดีในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แบบนี้ มีหรือที่จะปล่อยให้พลาดไปได้ โฉวตั้งไห่เรียกได้ว่าฮึกเหิม ตะโกนสั่งเสียงดัง แล้วนำกลุ่มคนเร่งไล่สังหารเข้ามา

ฝานอวี้เฟยพลิกฝ่ามือหยิบของที่เหมือนแส้หนามสีแดงออกมาแล้ว มันกำลังเปล่งแสงสีทองอยู่ในมือนาง ขณะกำลังจะโยนออกไป นางกลับได้รับข้อความจากเซี่ยโห้วหู่เฉิง

หลังจากเข้าใจเจตนาของผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ก็หันไปมองกระบวนทัพของพวกโฉวตั้งไห่แวบหนึ่ง ฝานอวี้เฟยรู้ทันทีว่าไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว กอปรกับตอนนี้สูญเสียสัตว์พาหนะไปแล้ว คาดว่าทุกคนคงจะอยากกินเนื้อติดมันอย่างพกเขา ยิ่งอยู่นานจะยิ่งอันตราย ยิ่งทำให้คนที่มีเจตนาไม่ดีลงมือกับพวกเขาได้ง่ายๆ บวกกับที่เซี่ยโห้วหู่เฉิงเรียกพบโดยด่วน นางย่อมหมดกังวลแล้ว

นางรีบโบกมือให้คนที่เหลือถอนกำลัง ทิ้งเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นนั่นไปเสียเลย เป็นเพราะเดรัจฉานเสียงสวรรค์สูญเสียการควบคุมไปแล้ว กระเป๋าสัตว์ควบคุมพลังทำลายล้างของมันไม่ได้ด้วย

แต่ก่อนจะไปก็หันมามองเหมียวอี้อย่างเคียดแค้นเวบหนึ่ง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาล้างแค้น จึงได้แต่ถอนกำลังไปพร้อมกับความอาฆาต

โฉวตั้งไห่ย่อมนำคนไล่ตามไป สกัดเอาไว้ ดักสังหาร!

ส่วนมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานในตอนนี้ เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้แก้ไขวิกฤตได้แล้ว ก็รีบเหาะกลับไปอยู่ข้างกายเขา

ในสายตาของทั้งสอง คิดว่าอยู่ข้างกายเหมียวอี้จะปลอดภัยหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าไม่ระวังตัว ก็อาจจะเป็นไปได้สูงที่จะตกอยู่ในมือคนอื่น ผีที่ไหนจะไปรู้ว่ารอบข้างมีคนมากมายเท่าไรที่กำลังดักซุ่มรอเคลื่อนไหว

ทั้งสองมองไปยังเหมียวอี้ที่ยังถือทวนเฉียงอยู่ในมือด้วยมาดอันดุร้าย ในแววตาทั้งสองเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรงแล้ว ภาพการเข่นฆ่าเมื่อครู่นี้ ทั้งสองยังจำได้ติดตา ไม่เลื่อมใสคงไม่ได้

เหมียวอี้หันกลับมามองทั้งสองแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “พวกเจ้าสองคนไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”

“ไม่เป็นไรๆ!” สวีถังหรานรีบส่ายหน้าตอบ ยิ้มสู้อยู่ตลอด เขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับศึกนี้ จะเป็นอะไรได้ล่ะ ตอนนี้มีผู้บัญชาการหนิวที่องอาจห้าวหาญอยู่ข้างกาย กลับทำให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปได้

มู่หรงซิงหัวยิ้มบางๆ “พวกเราจะเป็นอะไรได้ล่ะ กลับเป็นน้องหนิวที่ลำบากสู้รบ เอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างองอาจห้าวหาญ แก้ไขวิกฤตให้พวกเราสองคนแล้ว!”

เหมียวอี้ส่ายหน้า มองพวกโฉวตั้งไห่ที่ไปดักพวกฝานอวี้เฟย แล้วกล่าวอย่างฉงนใจ “คนพวกนี้เป็นใครกัน ทำไมตามติดพวกเราไม่ยอมปล่อย ดูเหมือนจะไม่ได้พุ่งเป้ามาที่นักโทษในมือพวกเรานะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน! “มู่หรงซิงหัวย่อมไม่เข้าใจอยู่แล้ว

กลับเป็นสวีถังหรานที่ค่อนข้างกินปูนร้อนท้อง เขาเอาแต่คิดเรื่องบางเรื่องอยู่ตลอด ลองถามหยั่งเชิงว่า “คงไม่ใช่คนที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงส่งมาหรอกใช่มั้ย?”

พอเขาพูดแบบนี้ เหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวก็มองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้จริงๆ เพราะคนส่วนใหญ่ที่นี่ล้วนไม่รู้จักกัน ในระยะเวลาของการทดสอบร้อยปี ก็ไม่เคยไปมีเรื่องกับคนอื่นๆ ของตำหนักสวรรค์เลย มีแค่เซี่ยโห้วหลงเฉิงแค่คนเดียว

ทิ้งเรื่องพวกนี้ไว้ก่อนชั่วคราว มู่หรงซิงหัวถามว่า “น้องหนิว ตอนนี้ควรจะจัดการตัวเองยังไง?”

เหมียวอี้ตอบอย่างหงุดหงิดว่า “ในเมื่อผู้บัญชาการใหญ่ไม่สนใจผลงาน พวกเราจะสู้สุดชีวิตอีกไปเพื่ออะไรล่ะ? ไม่สู้กลับไปมือเปล่าดีกว่า ขอให้รักษาชีวิตได้ก็พอ ทั้งสองคิดว่ายังไง?”

“มีเหตุผล! ถึงยังไงผู้บัญชาการใหญ่ก็บอกแล้วว่าให้ตัดสินใจความสถานการณ์ ตอนนี้สัตว์พาหนะของน้องหนิวตายแล้ว ไม่สะดวกจะสู้ต่อไปจริงๆ คิดเสียว่าพลิกแพลงเรื่องราว!” สวีถังหรานรีบอ้างเหตุผล เขาอยากจะปลีกตัวออกจากสถานที่อันตรายแบบนี้จะแย่อยู่แล้ว

มู่หรงซิงหัวก็เห็นด้วยเหมือนกัน ยื่นมือชี้ไปข้างหลังตัวเอง บอกใบ้ให้เหมียวอี้ขึ้นมาขี่บนสัตว์พาหนะได้ ถึงอย่างไรเดรัจฉานสับปลับก็ตัวใหญ่มากพอ อย่าว่าแต่นั่งเพิ่มอีกคนเลน ต่อให้นั่งเพิ่มอีกหลายคนก็ไม่มีปัญหา

ขณะที่เหมียวอี้กำลังจะถลันตัวไปนั่งข้างหลังนาง กลับได้ยินสวีถังหรานรีบส่งเสียงห้าม “หญิงชายมีความแตกต่างกัน! น้องหนิว มานั่งกับข้าดีกว่า”

เขาไม่ได้สนใจเรื่องหญิงชายมีความแตกต่างกันจริงๆ หรอก แค่อยากจะหาคนห้าวหาญไว้ปกป้อง ทางข้างหน้าเหมือนเงียบสงบ แต่ที่จริงมีอันตรายดักซุ่มอยู่รอบๆ รู้สึกว่าร่วมหัวจมท้ายกับเหมียวอี้น่าจะปลอดภัยหน่อย!

เหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวย่อมรู้ถึงความคิดของเจ้าหมอนี่อยู่แล้ว แต่ในเมื่อนำเรื่องเล็กๆ แบบนี้มาโย่งกับเรื่องชายหญิงมีความแตกต่าง มู่หรงซิงหัวก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรเหมือนกัน ทำเอาเหมียวอี้ไม่สะดวกจะเข้าใกล้มู่หรงซิงหัว ทำได้เพียงเปลี่ยนมานั่งข้างหลังสวีถังหราน

ท่วา เมื่อทางนี้เพิ่งจะออกเดินทาง กลับเห็นทางฝ่ายฝานอวี้เฟยเกิดความเปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดว่าคนที่มองว่าฝานอวี้เฟยเป็นเนื้อติดมันไม่ได้มีแค่พวกโฉวตั้งไห่ มีคนอีกกลุ่มพลันเหาะข้ามท้องฟ้าเข้ามา มุ่งตรงไปทางพวกฝานอวี้เฟยที่กำลังหลบหลีก

1039




บทที่ 1040 ทำงานแบบไม่ทุ่มเท

เป็นกลุ่มที่มีแปดคน หัวหน้ากลุ่มเป็นสตรีวัยกลางคน ภายใต้เกราะหัวและเกราะรบผลึกแดงขั้นสูง ใบหน้างดงามดุจภาพวาด ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ด ฮุ่ยชิงเหยียนนำคนโจมตีเข้ามาแล้ว

ฮุ่ยชิงเหยียนขี่ค้างคาวที่มีขนสีขาวทั้งตัวราวกับเข็มเหล็ก หน้าตาดุร้ายน่ากลัว เขี้ยวยาวกรงเล็บแหลม ดวงตาสีเขียวขลับ ชื่อว่าค้างคาวขาวอเวจี

ส่วนทางซ้ายและขวาล้วนขี่เดรัจฉานสับปลับ เดรัจฉานสับปลับหกเจ็ดตัวตามอยู่ข้างหลัง

เมื่อเห็นโฉวตั้งไห่โจมตีเข้ามา ฝานอวี้เฟยที่เดิมทีอยากจะนำคนหลบอันตรายชั่วคราว อยากจะหลบอ้อมออกมา แต่ใครจะคิดว่าจะมีคนอีกกลุ่มโจมตีเข้ามา

เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นแบบนี้ ในใจฝานอวี้เฟยก็เดือดดาลมาก คนอื่นเห็นกลุ่มของตนเป็นเนื้อติดมันชิ้นใหญ่แล้วจริงๆ!

โฉวตั้งไห่ที่เปลี่ยนจากฝ่ายดักสังการเป็นฝ่ายไล่โจมตีก็โมโหเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนมาแทรกแถวแย่งของกิน จึงร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนอย่างเดือดดาลทันที “โฉวคนนี้ไม่ได้ต้องการผู้ช่วย ระวังดาบทวนไม่มีตานะ!” เห็นได้ชัดว่าตะโกนให้ฮุ่ยชิงเหยียนฟัง

“คนดัดจริตโผล่มาจากไหนกัน? พออ้าปากก็พูดเรื่องน่าขำเสียแล้ว ถ้าเจ้ายินดีจะช่วยข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก!” ฮุ่ยชิงเหยียนพูดเหน็บแนมพลางหัวเราะคิกคัก

คนที่ดักกับคนที่ขวางต่างก็โจมตีอย่างรวดเร็ว ฝานอวี้เฟยนำคนเลี้ยวในแนวขวาง หลบคนที่โจมตีทั้งข้างหน้าทั้งข้างหลัง สองฝ่ายที่ไล่ตามมาเลี้ยวตามพร้อมกัน เปลี่ยนเป็นตามหลังพวกฝานอวี้เฟย ฝานอวี้เฟยแค้นจนกัดฟันกรอด พอเดินหมากผิด ตัวเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายทันที ส่วนคนที่ตามหลังก็ทำสีหน้าว้าวุ่นใจ

แต่สิ่งที่ทำให้ฝานอวี้เฟยผิดคาดก็คือ ศัตรูที่แข็งแกร่งสองกลุ่มข้างหลังเริ่มต่อสู้กันเองแล้ว

ก็ช่วยไม่ได้ นางอยากจะกลับไปที่จุดหมายสุดท้าย ไม่อาจอยู่ห่างจากจุดหมายสุดท้ายไกลเกินไป ด้วยเหตุนี้นางจึงเปลี่ยนทิศทางเล็กน้อย ทำให้สองกลุ่มที่ไล่ตามมาข้างหลังต้องเจอกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อคนสองกลุ่มมารวมกัน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เริ่มต่อสู้กันก่อนแลว

ถ้าไร้พิษภัยแสดงว่าไม่ใช่สตรี! ชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ! ค้างคาวขาวอเวจีของฮุ่ยชิงเหยียนเอียงตัวเอียงศีรษะ พ่นเปลวเพลิงสีเขียวสดใสออกมากวาดใส่กลุ่มคน

โฉวตั้งไห่นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้ลอบจู่โจมกะทันหัน ทำเอาฉุกละหุกรับมือไม่ทัน จึงรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ผลักฝ่ามือออกมา พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดกลุ่มหนึ่ง ถึงแม้จะทำให้เปลวเพลิงสีเขียวพังทลายไปแล้วไม่น้อย แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าเปลวเพลิงสีเขียวสามารถเปลวเพลิงสีเขียวพลังอิทธิฤทธิ์

สิ่งที่ทำให้เขาตกใจมากก็คือ ถึงแม้เขาจะปกป้องตัวเองไว้ได้ แต่ร่างกายยาวเหยียดของอสรพิษบินขนทองที่เขาขี่อยู่ หางยาวสะบัดไปโดนเปลวเพลิงสีเขียวนั่นแล้ว

“จี๊ดๆ…” อสรพิษบินขนทองสะบัดหางพลางร้องเสียงเหมือนนก เหมือนจะเจ็บปวดมาก แต่ไม่ว่าจะสะบัดอย่างไรก็สะบัดไม่หลุด ราวกับราวกับเป็นแผลผุพองที่กัดกินลงไปถึงกระดูก ไม่นานก็เผาเนื้อจนเห็นกระดูก ไฟพวกนี้เหมือนจะชอบกลืนกินร่างกายที่มีเลือดเนื้อ ลุกลามยยายไปตามหางงูอย่างรวดเร็ว

อสรพิษบินขนทองสูญเสียการควบคุมทันที โฉวตั้งไห่จะควบคุมอย่างไรก็ไม่ได้ผล ทั้งยังต้องร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านทานเปลวเพลิงสีเขียวที่ค้างคาวขาวอเวจีพ่นออกมาไม่หยุดด้วย

ที่โชคร้ายกว่านั้นก็คือ อสรพิษบินขนทองที่สูญเสียการควบคุมสะบัดหางยาวที่โดนเปลวเพลิงสีเขียวลุกไม้เข้าไปกลางสมาชิกกลุ่มข้างหลังแล้ว ทั้งโบกทั้งกวาดมั่วๆ อยู่พักหนึ่ง

กำลังคนข้างหลังที่เดิมทีเสมอกับกับฝ่ายศัตรู พอรังของตัวเองเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ก็ทำให้ดวงซวยมากทันที พลังโจมตีตรงส่วนหางของอสรพิษบินขนทองน่าตกใจมาก ปั้ง! พญาปักษาขนทองตัวหนึ่งโดนฟาดจนกระเด็นออกไปทันที คนที่นั่งอยู่บนนั้นสวมเกราะรบผลึกแดง แต่ก็ต้านทานการโจมตีนี้ไม่ไหว กระอักเลือดสดคำใหญ่ออกมา กระเด็นตามสัตว์พาหนะไปเช่นกัน

ทุกคนขี่สัตว์พาหนะหลบหนีทันที ภายใต้ความฉุกละหุกนี้ คนที่หลบไม่ทันก็รีบควงดาบฟันหางงูอย่างดุเดือด หางงูโดนฟันขาด แต่กลับโดนเปลวเพลิงสีเขียวบนหางงูกวาดมาโดนแล้ว

ภาพที่เกิดขึ้นตามมาก็ทำให้คนขนลุก เปลวเพลิงสีเขียวนั่นเผาไหม้เกราะรบของเขาทันที ราวกับเป็นเปลวเพลิงที่มีชีวิต ไม่น่าเชื่อว่าจะแทรกซึมผ่านรอยแยกของเกราะรบเข้าไปได้โดยตรง ก็เห็นรอยแยกก็แทรกเข้าไป ไม่ว่าคนคนนั้นจะร่ายอิทธิฤทธิ์ดับอย่างไรก็ดับไม่ได้

ผ่านไปไม่นาน คนในเกราะรบก็โดนเปลวเพลิงสีเขียกลุ่มหนึ่งครอบไว้แล้ว เรียกได้ว่าบิดตัวอย่างน่ากลียดน่ากลัว ส่งเสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาไร้ที่เปรียบ พญาปักษาขนทองก็ส่งเสียงร้องอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีเขียเช่นกัน

ภาพนี้น่าหวาดผวาจนลูกน้องของโฉวตั้งไห่ไม่กล้าเข้าใกล้ ส่วนโฉวตั้งไห่ก็เหาะหนี ทิ้งอสรพิษบินขนทองที่กำลังเหลือกกลิ้งไปแล้ว ไม่ทิ้งคงไม่ได้ เพราะช่วยชีวิตไม่ได้แล้ว ร่างกายเกินครึ่งของอสรพิษบินขนทองโดนเปลวเพลิงสีเขียวครอบแล้ว มันส่งเสียงกรีดร้องพลางกลิ้งตกลงไปในจุดลึกของอวกาศ

ฮุ่ยชิงเหยียนหันกลับมาแสยะยิ้ม แล้วนำกำลังคลไล่ตามโจมตีพวกฝานอวี้เฟยต่อไป

โฉวตั้งไห่เดือดดาลมาด กวักมือเรียกเพื่อนร่วมงาน แล้วกระโดดขึ้นหลังสัตว์พาหนะของเพื่อนร่วมงาน แล้วนำหกคนที่เหลือไล่ตามฮุ่ยชิงเหยียนอย่างบ้าคลั่ง

เหมียวอี้ที่เร่งไปยังจุดหมายสุดท้ายตระหนกตกใจมาก ถามว่า “เปลวเพลิงสีเขียวที่ค้างคาวขนขาวพ่นออกมามันคืออะไรกัน?”

ไม่ตกใจคงไม่ได้ เปลวเพลิงทั่วไปไม่สามารถใช้งานในอวกาศได้เลย แต่เปลวเพลิงสีเขียวนี้กลับยิ่งลุกโชนยิ่งโชติช่วง ช่างน่าประหลาดใจ!

“คงจะเป็นไฟผี ได้ยินว่าพอได้ลุกโชนก็ดับยากมาก ขนานนามว่าสามารถเผาสรรพสิ่งจนหมดสิ้น นึกไม่ถึงว่าพวกโฉวตั้งไห่จะเจอกับของผีๆ แบบนี้” มู่หรงซิงหัวตอบ

ไฟผี? เหมียวอี้ชะงักทันที เคยได้ยินเยารั่วเซียนเอ่ยถึงตอนพูดถึงเรื่องไฟ อัคคีน้ำแข็งกับไฟผีล้วนจัดเป็นไฟหยิน ถ้าอย่างนั้นเปลวเพลิงสีเขียวจะมีประโยชน์กับการฝึกตนหรือเปล่า?

ตอนนี้ยังไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาเยอะจริงๆ สัตว์เทพที่ปกติพบเห็นได้ยากโผล่ออกมาตัวแล้วตัวเล่า! เหมียวอี้เดาะลิ้นด้วยความทึ่ง กำลังและความมั่นใจของตระกูลขุนนางที่ตำหนักสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบติดจริงๆ คนทั่วไปถ้าอยากจะหาให้ได้สักตัวก็ยากมาก แต่ตรงนี้กลับปรากฏพร้อมกันเป็นกลุ่มก้อน

“อ้อมดาวเคราะห์ข้างหน้าไป ระวังจะมีการดักซุ่ม! “เหมียวอี้พลันตบบ่าสวีถังหราน

สวีถังหรานพยักหน้า แล้วรีบขี่สัตว์พาหนะเบี่ยงออกจากเส้นทาง

“ไฟผี!” โค่วเหวินหวงที่อยู่ตรงจุดหมายสุดท้ายหน้าเขียวแล้ว รู้สึกเหมือนขโมยไก่ไม่ได้ ทั้งยังเสียข้าวสารอีกกำมือ พอกวาดสายตามอง พบว่าพวกเหมียวอี้ไม่ได้ไล่ตามไปช่วยพวกโฉวตั้งไห่ แต่กลับมุ่งหน้ามาทางนี้ นี่กำลังจะกลับมารายงานผลการปฏิบัติงานเหรอ?

เขารีบถลันตัวไปข้างกายโค่วเหวินหลานทันที ถายทอดเสียงบอกว่า “เจ้าหก คนเของเจ้านี่ยังไงกัน? เห็นกำลังคนของตระกูลโค่วเผชิญความลำบาก แทนที่จะไปช่วยเหลือ กลับคิดจะกลับมาแล้ว?”

พอได้ยินแบบนั้น โค่วเหวินหลานก็เริ่มโมโห ถามกลับว่า “พี่ถาม ขอถามหน่อยเถอะ ก่อนหน้านี้กำลังคนของท่านทำอะไรเอาไว้?”

“เจ้าพูดจาใส่อารมณ์กับพี่ชายแบบนี้เหรอ?” โค่วเหวินหวงตำหนิ แล้วบอกอีกว่า “ถ้าตอนแรกคนของเจ้าไม่หาแพะรับบาป คนของข้าจะแค้นใจแล้วออกห่างเหรอ? ตอนหลังเจ้าก็เห็นแล้วนี่ พวกเขาโจมตีเข้ามาสนับสนุนแล้ว ปรากฏว่ากลับหาเรื่อเพิ่มอันตรายใส่ตัวเองด้วยซ้ำ”

“พี่สาม คนของท่านตามไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ชัดๆ เจตนาจะกลับไปช่วยเสียที่ไหนกัน?” โค่วเหวินหลานถาม

โค่วเหวินหวงหน้าบึ้งทันที ตำหนิด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ตอนนี้มาเถียงกันเรื่องนี้จะมีความหมายอะไร? ถ้าเจ้ามีความเห็นแย้ง กลับไปก็ค่อยไปฟ้องคนในตระกูลสิ! สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คืออะไร? หน้าตาศักดิ์ศรีของของตระกูลโค่วสำคัญที่สุด เจ้าเป็นหนึ่งในคนของตระกูลโค่ว กินอยู่กับตระกูลมาตั้งแต่เด็ก ใช้ของในตระกูล ตอนนี้เรื่องราวเกี่ยวข้องกับเกียรติอันสูงส่งของตระกูล หรือว่าเจ้าคิดจะนั่งดูคนอื่นหัวเราะเยาะอยู่เฉยๆ?”

“…” โค่วเหวินหลานโมโหจนแทบทนไม่ไหว แต่กลับโดนข้ออ้างของอีกฝ่ายดักจนพูดไม่ออก เพราะอีกฝ่ายพูดไม่ผิด ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องพูดมากแล้วว่าสิ่งใดต้องมาอันดับแรก

“เจ้าจะมัวลังเลอะไร? ยังไม่รีบสั่งให้คนของเจ้าไปรวมกับคนของเข้าอีก หรือว่าจะให้ข้าขอคำแนะนำจากท่านอาสาม? ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมา เจ้าจะรับผิดชอบไม่ไหวนะ!” โค่วเหวินหวงตะคอก

โค่วเหวินชิงที่อยู่ข้างๆ ถึงแม้จะไม่รู้รายละเอียดว่าทั้งสองกำลังคุยอะไรกัน แต่พอเห็นปฏิกิริยาของทั้งสอง นางก็เดาออกได้คร่าวๆ แล้วว่ากำลังคุยอะไรกัน

โค่วเหวินหลานเก็บกลั้นความโกรธไว้ในอก ไม่สามารถระบายออกมาได้ แต่ในเมื่อใช้ข้ออ้างที่ใหญ่โตแบบนี้แล้ว เขาจะทำอะไรได้อีกล่ะ? ทำได้เพียงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้

“อะไรนะ?” มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานอุทานอย่างตกใจพร้อมกัน

ทั้งสามหยุดชะงักอยู่กลางท้องฟ้า เหมียวอี้ถือระฆังดาราไว้ในมือ แล้วบอกความประสงค์ของโค่วเหวินหลานให้ฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย

สวีถังหรานยิ้มเจื่อน “น้องหนิวสู้ตายสุดชีวิต พวกเราถึงได้รอดตัวออกมาได้ ตอนนี้จะให้พวกเรากลับไปช่วยคนกลุ่มนั้นอีกแล้วเหรอ ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาทิ้งพวกเราไว้ล่ะ นี่มันมีเหตุผลเสียที่ไหนกัน? ค้างคาวที่พ่นไฟผีนั่นน่ากลัวขนาดไหนทุกคนก็เห็นแล้ว แล้วผู้หญิงที่ประมือกับน้องหนิวก่อนหน้านี้ ตอนหลังก็หยิบแส้ออกมาอีก แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของวิเศษขั้นสูง อีกฝ่ายยังมีท่าไม้ตายที่ยังไม่ได้ใช้ แถมพวกเรายังคนน้อยกำลังอ่อนแอ น้องหนิวก็เสียสัตว์พาหนะไปอีก จะให้พวกเราไปต่อสู้อีกได้ยังไง? นี่ไม่ใช่การสั่งให้พวกเราเอาชีวิตไปทิ้งหรอกเหรอ! ผู้บัญชาการใหญ่กลับคำแบบนี้ได้ยังไง?”

เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็นว่า “ผู้บัญชาการใหญ่บอกว่า เขาเองก็โดนกดดันจนหมดทางเลือก ถ้าตระกูลโค่วเสียผลประโยชน์แต่เขากลับไม่แยแส เขาก็จะหนีความผิดนี้ไม่พ้นเหมือนกัน!”

สวีถังหรานพูดไม่ออก ผลประโยชน์ของเขากับเหมียวอี้ก็ต้องอาศัยโค่วเหวินหลาน ถ้าโค่วเหวินหลานเสียอำนาจ พวกเขาก็เลิกคิดได้เลยว่าจะอยู่ดีมีสุข ก่อนหน้านี้ล่วงเกินเซี่ยโห้วหลงเฉิงไว้ เมื่อครู่นี้ก็คงจะล่วงเกินตระกูลเซี่ยโห้วไปอีกด้วย ถ้าไม่มีต้นไม้ใหญ่อย่างตระกูลโค่วให้พพึ่งพิง ต่อไปก็คงจะยากลำบากแล้ว!

มู่หรงซิงหัวเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “น้องหนิวมีแผนยังไง? ข้าตามใจน้องหนิว”

เหมียวอี้จนใจมาก พบว่าถ้าคิดจะประสบความสำเร็จ ทำไมต้องพบเจออุปสรรคยากลำบากมากมายขนาดนี้ เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “จะทำยังไงได้ล่ะ? ตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว ท่ามกลางสายตาฝูงชน พวกเรามีทางเลือกด้วยเหรอ?”

“อย่าบอกนะว่าพวกเราจะเอาชีวิตไปทิ้งจริงๆ?” สวีถังหรานถามอย่างเศร้าโศก

เหมียวอี้นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “พวกเรานับว่าทำดีที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย พวกเราก็ต้องปกป้องชีวิตตัวเองไว้ก่อน…ถึงอย่างไรสัตว์พาหนะของพวกเราก็พลังเท้าอ่อนด้อย คอยถามอยู่ข้างหลังก็พอแล้ว ส่วนจะช่วยเหลือได้หรือเปล่า…มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้!”

อีกสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็ทำสายตาเหมือนรู้อยู่แก่ใจ ทำงานแบบไม่ทุ่มเท แบบนี้ก็รายงานผลงานได้เหมือนกัน!

แต่แบบนี้ก็ยังอันตรายอยู่ดี ใครจะไปรู้ว่าตอนหลังจะเกิดอะไรขึ้น

แต่ก็ทำได้เพียงเท่านี้ เดรัจฉานสับปลับสองตัวเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง มุ่งไปทางพวกโฉวตั้งไห่

แต่ใครจะไปคิดว่าตอนนี้สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ฮุ่ยชิงเหยียนที่อยู่ตรงหน้าไล่ตามทันพวกฝานอวี้เฟยแล้ว จู่ๆ ก็มีคนตะโกนเสียงดัง “สาวงามผมแหว่ง ไม่ต้องกลัว! ผังลิ่งกงมาช่วยแล้ว!”

จู่ๆ ก็มีคนสี่คนโผล่ออกมาจากดาวเคราะห์ตรงหน้า ชายชายตรีที่ขี่เดรัจฉานมังกรดำนำหน้ามาก็คือลูกน้องของก่วงจี๋หลานชายของอ๋องสวรรค์ก่วง เคยเสียเปรียบด้วยน้ำมือฮุ่ยชิงเหยียนมาก่อน ตอนนี้กำลังตะโกนโหวกเหวกพร้อมนำคนโจมตีเข้ามาแล้ว

ฝานอวี้เฟยที่กำลังหลบหนีกระตุกมุมปากเล็กน้อย เอียงหน้ามองผมที่ปลิวสะบัดของตัวเองโดยจิตใต้สำนึก แต่ปลิวอยู่ข้างเดียวเท่านั้น เพราะอีกด้านหนึ่งเสียหายไปภายใต้ทวนของเหมียวอี้ ราวกับโดนสุนัขกัดมา ที่เรียกว่า ‘สาวงามผมแหว่ง’ ก็น่าจะหมายถึงตน

แต่ตอนนี้ไม่สนใจแล้วว่าจะไพเราะหรือไม่ ฝานอวี้เฟยไม่รู้จักเขาด้วย นำคนเร่งหลบไปอีกด้าน ป้องกันกลลวง!

“นางตัวดีฮุ่ยชิงเหยียน วันนี้คือวันตายของเจ้า!” ผังลิ่งกงตะโกนเสียงดัง นำคนพุ่งไปข้างๆ พวกฝานอวี้เฟย แล้วถือโอกาสบอกอีกว่า “สาวงามผมแหว่ง ทำไมไม่รวมมือกับผังเพื่อกำจัดนางตัวดีนี่ล่ะ ถ้าได้ของมาก็แบ่งกันคนละครึ่ง ไม่อย่างนั้นผังก็ช่วยเจ้าสกัดได้แค่ช่วงแรก แต่กลับสกัดนานไม่ได้!”

1040



บทที่ 1041 ผลัดกันวางกับดัก

“จะเชื่อเจ้าได้ยังไง?” ฝานอวี้เฟยหยุดแล้วตะโกนถาม ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง

ผังลิ่งกงตอบเสียงดังว่า “เป็นเพราะนางฆ่าคนของข้า แล้วเมื่อครู่นี้ข้าก็ไม่ได้ฉวยซ้ำเติมด้วย! ถ้าจะแปรพักตร์ก็ต้องดูว่าคนของข้าจะยืนหยัดได้จนถึงตอนสุดท้ายหรือเปล่า! มิหนำซ้ำ เจ้าแน่ใจเหรอว่าถ้าไม่ร่วมมือกับข้าแล้วจะกลับไปได้อย่างปลอดภัย?”

“ฆ่า!” ฝานอวี้เฟยตะโกน เรียกกำลังคนตามผังลิ่งกงกลับไปโจมตีทันที เด็ดขาดจนไร้เหตุผล มีความเป็นลูกผู้ชายยิ่งกว่าผู้ชายเสียอีก ที่สำคัญที่สุดคือกลับไปแบบนี้นางรู้สึกไม่ยอมจริงๆ

เมื่อเห็นคนสองกลุ่มร่วมมือกันบุกเข้ามา ฮุ่ยชิงเหยียนก็กล่าวเสียงต่ำว่า “ผังลิ่งกง ข้าให้เจ้าเก็บชีวิตกลับไปได้ครั้งหนึ่งแล้ว ยังไม่รู้จักแยกแยะส่วนได้ส่วนเสียอีก!”

ผังลิ่งกงไม่สนใจ ตะโกนเสียงดังอีกว่า “แซ่โฉว นางฆ่าสัตว์พาหนะของเจ้ากับคนของเจ้าแล้ว ทำไมไม่ร่วมมือกันกำจัดนางล่ะ!”

“ดี!” โฉวตั้งไห่แค้นฮุ่ยชิงเหยียนจนกัดฟันกรอดเช่นเดียวกัน ตอบรับเสียงดังทันที

เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ก็หมายความว่ามีสามฝ่ายร่วมมือกัน ฮุ่ยชิงเหยียนสีหน้าเปลี่ยนทันที โบกมือเรียกคนแล้วเหาะเบี่ยงหนีไปทันที เลิกปะทะกับผังลิ่งกงตรงๆ และเลิกไล่สังหารฝานอวี้เฟยเช่นกัน

สามฝ่ายที่ร่วมมือกันเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางไปไล่ตามฮุ่ยชิงเหยียนทันที การเปลี่ยนแปลงกะทันหันของฉากนี้ทำให้คนไม่น้อยตรงจุดหมายสุดท้ายงุนงง และรู้สึกขำเช่นกัน

ผู้บัญชาการใหญ่ฮ่าวอวิ๋นตูที่กำลังดูการต่อสู้ ตอนนี้ใบหน้ายิ้มชะงักนิ่ง สีหน้าค่อยๆ เครียดขรึมลงแล้ว เพราะฮุ่ยชิงเหยียนเป็นคนของเขา

โค่วเหวินหวงก็หน้าเครียดเช่นกัน สถานการณ์เปลี่ยนไปในทางที่ดี เดิมทีควรจะโล่งใจสิถึงจะถูก แต่เขามองออกว่าพวกเหมียวอี้แค่ไปประสมโรงเท่านั้น มีเจตนาจะช่วยพวกโฉวตั้งไห่เสียที่ไหนกัน

พวกเหมียวอี้ตามอยู่ข้างหลังพวกโฉวตั้งไห่อย่างไม่รีบร้อน รู้สึกอยากขำเหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าแค่ผังลิ่งกงโผล่ออกมาโจมตีคนเดียว สถานการณ์ก็เปลี่ยนพลิกอีกรอบแล้ว

ทั้งสามไม่สนใจหรอก ไล่ตามต่อไป ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ดูเหมือนทุกคนยังไม่มีอันตรายอะไร

โฉวตั้งไห่เลี้ยววนกลับมา เอียงหน้ามองพวกเหมียวอี้แวบหนึ่งแล้วแสยะยิ้ม จู่ๆ หยิบกระเป๋าสัตว์ออกมาใบหนึ่ง โยนไปทางพวกเหมียวอี้ที่ตามอย่างไม่เร่งรีบอยู่ข้างหลัง พร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดัง “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าสู้เองได้ ไม่จำเป็นต้องให้ช่วยเหลือ รีบนำนักโทษส่งกลับไปให้ผู้บัญชาการใหญ่!”

เมื่อได้ยินเขากล่าวมาแบบนี้  โค่วเหวินหวง โค่วเหวินหลานและโค่วเหวินชิงที่กำลังดูการต่อสู้ก็ทำสีหน้าทำสีหน้าประหลาดใจ

เจ้ามีน้ำใจขนาดนี้เลยเหรอ? เหมียวอี้มีความเคลือบแคลงใจอยู่เต็มอก ทว่ากระเป๋าสัตว์ลอยมาแล้ว เจ้าไม่รับไว้ก็คงไม่ได้ ทำได้เพียงร่ายอิทธิฤทธิ์ดูดเข้ามา ดูดกระเป๋าสัตว์ที่เคลื่อนที่มาทางด้านนี้เข้ามาไว้ในมือ

มู่หรงซิงหัวหันมามมอง สวีถังหรานก็หันมาถามเช่นกัน “เขาจะมีน้ำใจขนาดนี้เลยเหรอ?”

เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูในกระเป๋าสัตว์ พบแต่ว่างเปล่า แม้แต่ขนสักเส้นไม่มี นักโทษหลบหนีที่ไหนล่ะ แสยะยิ้มตอบทันทีว่า “สมกับเป็นลูกน้องคนสำคัญของโค่วเหวินหวง ไม่ใช่ไก่อ่อนจริงๆ ไอ้ชาติสุนัขนี่มันกำลังวางกับดักพวกเรา ล้างแค้นได้เร็วจริงๆ ข้างในไม่มีแม้แต่ลมตด!”

อีกสองคนได้ยินแล้วตกใจ แบบนี้กำลังให้พวกเราเป็นหยื่อล่อคนที่มีเจตนาไม่ดีออกมาไม่ใช่เหรอ?

“ไอ้เวรตะไล นี่มันวางกับดักตายให้พวกเราชัดๆ!” สวีถังหรานแค้นจนกัดฟันกรอด

มู่หรงซิงหัวก็สีหน้าเย็นเยียบราวกับมีน้ำค้างเกาะเช่นกัน กัดฟันบอกว่า “พวกเราได้รับคำสั่งมาให้ช่วยเหลือพวกเขา ถ้าเปิดเผยต่อหน้าทุกคน ก็เท่ากับไปรื้อเวทีของพวกเขา พวกเราคงเลี่ยงการเสียเปรียบครั้งนี้ไปไม่ได้แล้ว!”

“หรือว่ามีแค่พวกเขาที่วางกับดักเราได้ พวกเราจะวางกับดักเขาบ้างไม่ได้เชียวเหรอ?” สวีถังหรานถามอย่างเคียดแค้น

“เจ้าพูดถูกแล้ว! ตอนนี้พวกเขาเป็นตัวหลัก ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาก้สามารถพูดได้ว่าให้พวกเราเบี่ยงเบนความสนใจ ถ้าจะพูดให้ดูยิ่งใหญ่ก็คือเสียสละข้าเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลโค่ว ถ้าพวกเราเปิดเผยก็เท่ากับกำลังทำลายผลประโยชน์ของตระกูลโค่ว ช่างวางแผนได้เก่งจริงๆ” เหมียวอี้แสยะยิ้ม

“รังแกกันเกินไปแล้ว!” สวีถังหรานกล่าว

“งั้นก็ทำตามประสงค์ของเขาแล้วกัน พวกเรากลับกันเถอะ!” เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัด แล้วจู่ๆ ก็ตอบเสียงดังว่า “ผู้บัญชาการโฉว ข้าไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน เจ้าเองก็อย่าตายแล้วกัน!”

สัตว์พาหนะสองตัวเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางทันที แบกทั้งสามบินไปยังจุดหมายสุดท้าย

โฉวตั้งไห่ที่หันกลับมามองพ่นเสียงทางจมูก “ยังกล้าด่าข้าอีกเหรอ!”

“ผู้บัญชาการโฉว เจ้ามองนักโทษให้เขาจริงเหรอ?” ต่งเฟิงที่ขี่พญาปักษาขนทองอยู่ข้างหน้าหันมาถามอย่างตกใจ

คนอื่นๆ ได้ยินแล้วมองมาเช่นกัน โฉวตั้งไห่ตอบกลั้วหัวเราะว่า “ให้เขาได้ก็แปลกแล้ว ถึงยังไงข้าก็ไม่หวังให้พวกเขามีส่วนร่วมอยู่แล้ว ให้คนเห็นว่านักโทษของสองกลุ่มล้วนอยู่ในมือเขา ข้าอยากจะดูว่าพวกเขาจะรอดกลับไปได้ยังไง? ให้พวกเขาค่อยๆ เสวยสุขไปแล้วกัน!”

ทุกคนเข้าใจในทันที ที่แท้ก็วางกับดักเจ้าสามคนนั้นนี่เอง พอทำแบบนี้แล้ว ยังสามารถลดแรงกดดันให้พวกเขาได้อีกด้วย

“ผู้บัญชาการโฉวช่างมีแผนการล้ำเลิศ!” หนานอี้เปียวกล่าวชม

เหมียวอี้เองก็ไม่ยอมเสียเปรียบเหมือนกัน ใช้ระฆังดาราติดต่อกับโค่วเหวินหลานเพื่อบอกเรื่องที่โฉวตั้งไห่วางกับดักพวกเขาทันที

เมื่อได้ฟังดังนั้น โค่วเหวินหลานก็ถามโค่วเหวินหวงอย่างเดือดดาลทันที “พี่สาม ลูกน้องของท่านทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? พวกเขาคิดจะทำให้คนของข้าตาย…”

หลังจากได้ฟังสถานการณ์คร่าวๆ โค่วเหวินหวงก็อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็แสยะยิ้มตอบทันที “เจ้าเห็นพวกเขาเหมือนคนที่ไปช่วยสนับสนุนเหรอ? ลูกน้องที่ไม่ฟังแม้แต่คำสั่งของเจ้า ปล่อยให้ตายๆ ไปเถอะ!”

“ท่าน…” โค่วเหวินหลานโมโหจนตัวสั่น ไม่ได้โมโหเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเหมียวอี้อย่างเดียว แต่เป็นเพราะพี่สามรังแกตนมากเกินไป ไม่เห็นตนอยู่ในสายตาสักนิดเลยจริงๆ!

“เป็นอะไรไปอีก?” โค่วเหวินชิงถ่ายทอดเสียงถาม

โค่วเหวินหลานเล่าสถานการณ์ให้ฟังทันที

โค่วเหวินชิงมองไปที่พวกโฉวตั้งไห่อย่างพูดไม่ออก พบว่าไม่มีลูกน้องคนไหนที่วางใจได้สักคน แอบแทงข้างหลังกันไปแอบแทงข้างหลังกันมา สู้กันเองเก่งแบบไม่มีใครยอมใคร สู้กันเองอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ยอมทำงานร่วมกันอย่างจริงใจเพื่อสู้กับศัตรู หมดคำจะเอ่ยกับคนพวกนี้จริงๆ…

ฮุ่ยชิงเหยียนที่โดนคนสามกลุ่มไล่ตามอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เหาะไปยังดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้กับจุดหมายสุดท้ายที่สุด พร้อมตะโกนว่า “ชิงอวี้หลาง ยังไม่รีบออกมาช่วยข้าอีกเหรอ!”

มีคนออกมาแล้วจริงๆ หลังจากชิงอวี้หลางนำสมาชิกเจ็ดคนโผล่ออกมา ผลลัพธ์กลับไม่เป็นอย่างที่ฮุ่ยชิงเหยียนจินตนาการ เห็นเพียงชิงอวี้หลางโบกทวนชี้มา “ฮุ่ยชิงเหยียน วันนี้เป็นวันตายของเจ้า!”

ฮุ่ยชิงเหยียนสีหน้าเปลี่ยนไปมาก ตวาดว่า “ชิงอวี้หลาง เจ้ากล้ากลับคำพูดเหรอ!”

ยังพูดไม่ทันขาดคำ จู่ๆ ตรงหน้าก็มีวัตถุสีเขียวเบ่งบานกลางอากาศ มันเบ่งบานออกมาจากแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่ง ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นเถาไม้นับไม่ถ้วนมาดักครอบพวกฮุ่ยชิงเหยียนไว้

พวกฮุ่ยชิงเหยียนตกใจมาก ค้างคาวขาวอเวจีพ่นเพลิงสีเขียวออกมาเผาแล้ว

ทว่าเถาไม้ที่โถมเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน มีหรือที่จะเผาหมดได้ภายในเวลาสั้นๆ เท่ากับกลุ่มของตัวเองวิ่งเข้ามาชนกับดักไฟแล้ว

บึ้ม! พวกเขาจะเข้าก็เข้าไม่ได้ จะถอยก็ถอยไม่ได้ ทำได้เพียงโจมตีไปด้านข้าง ดันทุรังถล่มโจมตีเถาไม้ที่ครอบอยู่ออกไป

ทว่าความล่าช้านี้ ทำให้เกิดปัญหายุ่งยากทันที ผังลิ่งกงตะโกนเสียงดังพร้อมเข้ามาดัก “นางตัวดี! จะหนีไปไหน!”

“นางตัวดี! ตายซะเถอะ!” ถึงแม้จะออกตัวทีหลัง แต่โฉวตั้งไห่ก็มาถึงก่อนพวกฝานอวี้เฟยที่ไร้สัตว์พาหนะ เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด โดนฮุ่ยชิงเหยียนลอบจู่โจมจนเสียสัตว์พาหนะกับสหายไปสองคน ความโมโหโกรธแค้นยังไม่หายไปไหน ฉวยโอกาสล้างแค้นให้หนักๆ เพราะต้องการกู้หน้ากลับมา จะให้ผู้บัญชาการใหญ่ดูถูกไม่ได้

คนสองกลุ่มต่อสู้กับฮุ่ยชิงเหยียนอย่างบ้าคลั่งทันที โจมตีอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น

ฝานอวี้เฟยที่มาทีหลังโยนแส้หนามสีเขียวในมือออกมา แส้กะพริบแสงสีทอง ราวกับมีลวดขดดีดออกมาจากมือ ยิ่งดีดยิ่งสูง ตอนที่มันทะยานสูงขึ้นไปหลายร้อยจั้ง ฝานอวี้เฟยจ้องหาโอกาส แล้วจู่ๆ ก็สะบัดแส้ออกมาหนึ่งครั้ง แส้ยาวมีหนามที่ลอยอยู่กลางอากาศยิงคดเคี้ยวยาวเหยียดออกมาทันที โจมตีไปยังฮุ่ยชิงเหยียนที่กำลังใช้ไฟผีตีฝ่าวงล้อมออกมา

แส้ยาวไม่ได้โจมตีไปที่ฮุ่ยชิงเหยียนโดยตรง แต่กลับหมุนวนเหมือนพายุหมุน ล้อมฮุ่ยชิงเหยียนที่กำลังขี่ค้างคาวขาวอเวจีเอาไว้

ฮุ่ยชิงเหยียนที่ตกอยู่ในพายุหมุนตระหนกมาก ขณะกำลังจะขี่ค้างคาวขาวอเวจีทะลุออกไปผ่านช่องโหว่ของพายุหมุน แต่ใครจะคิดว่าแส้ที่เหมือนพายุหมุนจะหดตัวกะทันหัน หดช่องให้เล็กลง ทำให้ฮุ่ยชิงเหยียนไม่สามารถอาศัยช่องโหว่หนีไปได้

ส่วนแส้ยาวมีหนามก็เปลี่ยนจากพายุหมุนกลายเป็นลูกกลมอย่างรวดเร็ว

ฮุ่ยชิงเหยียนที่โดนขังอยู่ในนั้นเห็นเพียงซ้ายขวาบนล่างมีแต่ฟันเลื่อยที่หมุนวนด้วยความเร็วสูง กำลังหดเล็กและโจมตีมาที่ตนอย่างรวดเร็ว จึงร้องออกมาทันทีว่า “ชิงอวี้หลาง เจ้าไม่ตายดีแน่!” ในน้ำเสียงเจือด้วยอารมณ์เศร้าโศก

ในลูกกลมที่ตีกวนด้วยความเร็วสูง มีเสียงต่อสู้ดังสะเทือนเลือนลั่นดังออกมา ฮุ่ยชิงเหยียนดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่ในนั้น แต่กลับตีฝ่าออกมาไม่ได้เสียที จะเห็นได้ถึงความร้ายกาจของของวิเศษชิ้นนี้

ส่วนโฉวตั้งไห่กับพวกผังลิ่งกง เมื่อเห็นฮุ่ยชิงเหยียนโดนขังอยู่ในนั้นแล้ว ก็รีบนำกำลังคนไปตามสังหารบรรดาผู้ช่วยของฮุ่ยชิงเหยียนทันที พวกเขาจะทนรับการร่วมมือโจมตีนี้ได้อย่างไร ขณะที่หนีหัวซุกหัวซุนก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

“หึหึ!” ชิงอวี้หลางที่นั่งบนอได้ยินเสียงแล้วหัวเราะลั่น ก่อนหน้านี้ตะโกนดังมาก ท่าทางเหมือนจะสู้ตายกับฮุ่ยชิงเหยียน แต่ที่จริงไม่เห็นเขามีท่าทีว่าจะลงมือเลย กลับพูดกลั้วหัวเราะกับคนที่อยู่ทางซ้ายและขวา “ต้องการกดดันให้พวกเขาฆ่าเสียให้พอ ถ้าไม่ทำให้พวกเขาสูญเสียกำลังคน แล้วพวกเราจะได้อันดับหนึ่งได้ยังไง?”

เจ็ดคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาสบตากันแล้วหัวเราะ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งตกปลาอยู่บนเรืออย่างสงบนิ่งโดยไม่สนใจคลื่นลม

ณ จุดหมายสุดท้าย ฮ่าวอวิ๋นตูหน้าดำเหมือนก้นหม้อแล้ว

บนบันไดหน้าตำหนัก เกาก้วนที่ยืนเอามือไขว้หลังยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ขระที่มองฉากนั้นด้วยสายตาเย็นเยียบ จู่ๆ เหมือนจะแสยะยิ้มพึมพำอะไรบางอย่าง “เวลาให้ทำงาน ก็จะปัดความรับผิดชอบใส่กัน เรื่องสู้กันเองนี่กินกันไม่ลง นี่คือเหล่าผู้บัญชาการที่ตำหนักสวรรค์ของพวกเราเอง ดูแค่จุดนี้ก็มองเห็นภาพรวมแล้ว! มิน่าล่ะต่อให้ราชันสวรรค์สยบใต้หล้าได้แล้วแต่ก็ยังปวดหัว คนประเภทนี้จะฆ่าทิ้งหมดเหรอ?”

พ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างๆ โค้งกายเล็กน้อย แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มเจื่อน “มีคนเยอะก็เป็นแบบนี้ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้! ฆ่าหมดชุดหนึ่งก็โผล่มาอีกชุดหนึ่ง ตราบใดที่มีผลประโยชน์ คนแบบนี้ฆ่าอย่างไรก็ไม่หมด ใต้หล้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ ย่อมต้องมีคนไปปกครองดูแล!”

ฉากนี้ทำให้พวกเหมียวอี้แอบทอดถอนใจ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเขา ทั้งสามยังคงรีบมุ่งหน้าสู่จุดหมายสุดท้าย

แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกแล้ว มู่หรงซิงหัวพลันร้องบอก “น้องหนิวรีบดูนั่น!”

เหมียวอี้กับสวีถังหรานมองตาม เห็นคนกลุ่มหนึ่งปรากฏอยู่บนท้องฟ้าไกลๆ กำลังเร่งมาที่จุดหมายสุดท้ายด้วยความเร็วสูง

“ทางด้านนั้น!” สวีถังหรานพลันชี้ไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

ไม่ใช่แค่กลุ่มเดียว สองกลุ่ม สามกลุ่ม สี่กลุ่ม…

คนที่ซ่อนตัวอยู่ในอวกาศปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ต่างก็เร่งเดินทางมาทางนี้

เหตุผลก็ไม่ซับซ้อน รอให้ถึงวันสุดท้ายไม่ไหวแล้ว เห็นยอดฝีมือที่เก่งกาจหลายคนเริ่มต่อสู้พัวพันกันไม่หยุด จึงมีคนคิดว่าโอกาสมาถึงแล้ว ถ้าไม่รีบฉวยโอกาสปลีกตัวตอนนี้ รอจนยอดฝีมือหลายคนกลับมามือเปล่า เกรงว่าตัวเองจะยิ่งมีอันตรายกว่าเดิม เมื่อมีคนนำแล้ว ทุกคนก็กรูกันปรากฏตัวทันที ฉวยโอกาสหลีกหนีอันตราย

ทว่าเมื่อมีฝูงปลาโผล่มา ก็ต้องชาวประมงโผล่มาด้วย คนที่อยากช่วงชิงอันดับดีๆ ไม่ได้มีแค่สี่อ๋องสวรรค์กับตระกูลเซี่ยโห้ว ยังมีลูกหลานของสิบสองจอมพลและสามสิบหกเทพประจำดาวอีก…

1041



บทที่ 1042 หนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่นี่แล้ว

“ดูท่าคงใกล้จะจบแล้ว”

จุยหย่วนที่อยู่ข้างกายเกาก้วนพึมพำเบาๆ

เกาก้วนกวาดสายตาเย็นชามองกระแสคนบนท้องฟ้าที่หลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ

“พวกเราก็รีบไปกันเถอะ!” สวีถังหรานทั้งกังวลทั้งตื่นเต้น การทดสอบบ้าๆ นี่กำลังจะจบแล้ว

พวกเขานับว่าอยู่ใกล้จุดหมายสุดท้ายที่สุด เหมียวอี้โบกมือ “ไป!”

พอเหลือบมองภาพการเคลื่อนไหวหมู่รอบข้าง ชิงอวี้หลางที่ดูเอาสนุกอยู่ข้างๆ ก็นั่งไม่ติดที่แล้ว โบกมือชี้พร้อมสั่งว่า “ลงมือ!”

จากนั้นนำสมาชิกเจ็ดคนเหาะออกไปดัก

พวกโฉวตั้งไห่ที่ล้อมโจมตีฮุ่ยชิงเหยียนก็ร้อนรนแล้วเช่นกัน  พบว่ากองกำลังแต่ละฝ่ายสะกดทัพไว้ไม่เคลื่อนไหวเพราะเลือกเวลา ไม่น่าเชื่อว่าจะเลือกพุ่งโจมตีในเวลานี้ ทำเอาพวกเขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี เรียกได้ว่าจะซ้ายก็ลำบากจะขวาก็ลำบาก

ถ้าไปดักสังหาร ก็อาจจะสังหารได้ไม่กี่คน คนที่ฆ่าได้ก็อาจจะไม่มีนักโทษอยู่ในมือ อาจจะไม่เยอะเท่าที่ได้จากมือของฮุ่ยชิงเหยียน ถ้าไปดักฆ่าคนอื่นก็อาจจะทำให้ฝานอวี้เฟยได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตรงนี้คนเดียว

ถ้าไม่ดักฆ่าแล้วปล่อยให้คนหนีรอดไปเยอะ เขาก็รู้สึกไม่ยอมอีก ว้ายก็อยากขวาก็อยาก ร้อนใจจะตายอยู่แล้ว

อย่าว่าแต่พวกเขาที่ร้อนใจ โค่วเหวินหวงและคนอื่นๆ ที่กำลังดูเอาสนุกก็ร้อนใจเช่นกัน เวลาได้เห็นคะแนนเป็นกองแต่ไขว้คว้ามาไว้ในมือไม่ได้ ความรู้สึกแบบนั้นทรมานเกินไป

แส้หนามหมุนวนด้วยความเร็วสูง ในกรงหนามที่หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว มีเสียงร้องแหลมของค้างคาวขาวอเวจีดังมา ฟังดูน่าเวทนา รูปร่างใหญ่เกินไปจะประสบหายนะก่อน

“สาวงามผมแหว่ง เร็วๆ หน่อย!” ผังลิ่งกงตะโกนอย่างร้อนใจ

เดิมทีฝานอวี้เฟยต้องการจะจบชีวิตฮุ่ยชิงเหยียน แต่พอได้ยินเสียงเรียกก็มองดูสภานการณ์รอบๆ อีก นางกลอกตาแล้วแอบร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุม กรงหนามที่หดลงอย่างรวดเร็วขณะที่หมุนวนไม่หดลงอีกแล้ว

ความคิดของนางก็คือสิ่งที่พวกโฉวตั้งไห่กังวลใจพอดี ถ่วงเวลา ถ่วงจนพวกโฉวตั้งไห่ไปดักฆ่าคนอื่น แล้วนางค่อยฮุบกินประโยชน์จากฮุ่ยชิงเหยียนไว้คนเดียว

ทว่าการชักช้าถ่วงเวลานี้ ก็ทำให้ฮุ่ยชิงเหยียนมีโอกาสหนีเอาตัวรอดทันที

ถึงแม้กรงหนามที่หมุนวนด้วยความเร็วสูงนี้จะตีฝ่าได้ยาก แต่ฮุ่ยชิงเหยียนเป็นใครกันล่ะ?นางคือนักพรตผีนะ!

เมื่อหาช่องว่างเจอ จับจังหวะการหมุนวนสังหารของแส้หนามได้แล้ว ฮุ่ยชิงเหยียนมีหรือจะลังเล กลายร่างเป็นปราณหยินสลายหายไปทันที

ฝานอวี้เฟยกำลังจับแส้หนามอยู่อีกฝั่ง เมื่อเห็นปราณหยินระเบิดออกมาจากกรงที่กำลังหมุนวนด้วยความเร็วสูง สีหน้าก็เปลี่ยนทันที แอบร้องว่าแย่แล้ว ตอนที่ร่ายอิทธิฤทธิ์รวบให้แส้ยาวรีบโจมตีอีกครั้ง ก็สายไปเสียแล้ว

วูบ! ยาหยินเม็ดหนึ่งยิงออกมาจากซอกร่องที่กำลังพันสังหาร ปราณหยินม้วนออกมาพักหนึ่ง พุ่งตรงไปที่ฝานอวี้เฟย ระหว่างทางปราณหยินห่อหุ้มยาหยินให้ก่อตัวอย่างรวดเร็ว ปรากฏเป็นร่างจริงของฮุ่ยชิงเหยียน ฮุ่ยชิงเหยียนแสยะยิ้มอย่างเย็นเยียบพิศวง พอสะบัดแขนเสื้อใหญ่โคร่งหนึ่งครั้ง กระสวยสามมุมสีแดงจำนวนหนึ่งร้อยแปดอันก็แบ่งกันล้อมอยู่รอบกาย มันระเบิดแสงสีทองพร้อมกัน แล้วเริ่มหมุนรอบตัวนางด้วยความเร็วสูง ทั้งตัวราวกับพกฟันที่หมุนวนด้วยความเร็วสูงหมุนฟันไปทางฝานอวี้เฟย

ฝานอวี้เฟยตกใจมาก ดึงแส้หนามในมือมาม้วนให้เป็นวงหลายวง หมุนแส้ด้วยความเร็วสูงเพื่อครอบตัวเองเอาไว้

พอฮุ่ยชิงเหยียนโบกมือชี้ กระสวยสามมุมที่หมุนวนอยู่รอบกายก็ยิงออกไปหลายสิบอันราวกับผีพุ่งใต้ทันที ระหว่างทางที่ยิงออกไปก็ขยายใหญ่กลายเป็นแท่นโม่ หมุนโจมตีฝานอวี้เฟยที่หลบอยู่ในแส้หนามไม่หยุด

ทว่าของวิเศษในมือฝานอวี้เฟยก็ร้ายกาจเหมือนกัน ถ้าฮุ่ยชิงเหยียนคิดจะตีฝ่าได้ในทันทีก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งสองต่างก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้กันอยู่อย่างนั้น

นึกไม่ถึงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ พวกโฉวตั้งไห่สีหน้าคร่ำเคร่งทันที เห็นทุกคนนำของวิเศษที่เป็นสมบัติประจำบ้านออกมาแล้ว รู้ว่าค่อนข้างลำบากที่จะจัดการให้ได้ภายในทันที

ปล่อยให้ทั้งสองสู้กันอย่างสูสีต่อไปก็ดีเหมือนกัน ไปกอบโกยที่อื่นก่อนสักหน่อย แล้วค่อยกลับมาจัดการทางนี้…พอโฉวตั้งไห่โบกมือ ก็นำกำลังคนไปดักสังหารกลุ่มคนที่กรูกันเข้ามาทันที ผังลิ่งกงเองก็เข้าใจเจตนาของเขาเช่นกัน นำคนออกไปจากตรงนี้ชั่วคราว

ฝานอวี้เฟยที่ใช้แส้หนามปกป้องตัวเองแค้นจนกัดฟันกรอดทันที เจ้าสองคนนั้นหนีไปไม่ยอมช่วย ที่บอกว่าร่วมมือกันก่อนหน้านี้หายไปเหมือนผายลม

เห็นฮุ่ยชิงเหยียนมีกระสวยสามมุมคุ้มกันร่างกาย เพื่อนร่วมงานยากที่จะเข้าใกล้ไปโจมตีได้ มิหนำซ้ำต่อให้เข้าใกล้ได้ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย ฝานอวี้เฟยจึงตะโกนบอกทันที “พวกเจ้ายังไม่ต้องสนใจข้า รีบไปดักสังหารทหารเล็กๆ พวกนั้นเร็วเข้า!”

เพื่อร่วมงานหกคนทิ้งนางไปทันที ไปร่วมมือกันดักสังหาร เมื่อไม่มีสัตว์พาหนะก็ทำได้เพียงร่วมมือกัน ไม่อย่างนั้นตัวเองก็จะเสี่ยงอันตรายมาก

พวกเหมียวอี้นำบุกเข้ามาก่อนใคร เห็นอยู่ตำตาว่ากำลังจะเข้าใกล้จุดหมายสุดท้าย กำลังดีใจที่ไม่มีการดักซุ่ม แต่ใครจะคิดว่าแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งที่ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศจะพลันระเบิดออกมาเป็นวัตถุสีเขียว เถาไม้ไหลหลากพรั่งหรูอออกมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน

ทั้งสามตกใจทันที อยากจะเบี่ยงเส้นทางอ้อมออกไป แต่กลับพบว่าบนฟ้ารอบๆ จุดหมายสุดท้ายมีเถาไม้ระเบิดออกมาเต็มไปหมด พวกเศษก้อนหินที่ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศมีแหวนเก็บสมบัติเด้งออกมาปล่อยเถาไม้จำนวนมากวงแล้ววงเล่า

คนที่ดูการต่อสู้อยู่ตรงจุดหมายสุดท้ายมองหน้ากันเลิกลั่ก ได้แต่มองมองดูจุดหมายสุดท้ายโดนเถาไม้ที่แผ่ขยายอย่างรวดเร็วคลุมปิดไว้จนเกือบมิด ตอนนี้ทุกคนถึงได้พบว่าชิงอวี้หลางได้วางกับดักไว้รอบๆ ตั้งนานแล้ว ผ่านไปไม่นาน ทั้งจุดหมายสุดท้ายก็ถูกปิดทางไปหมด คนที่อยู่ข้างในมองไม่เห็นเลยว่าข้างนอกมีความเคลื่อนไหวอะไร ได้ยินแค่เสียงต่อสู้เข่นฆ่ากันดังเป็นพักๆ

ผู้บัญชาการใหญ่อิ๋งเหย้ามองดูผลงานของลูกน้องตัวเอง พลางหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง

ผู้บัญชาการหลายร้อยที่ฉวยโอกาสพุ่งกลับมาพากันงุนงง ได้แต่มองชิงอวี้หลางนำกำลังคนแฝงตัวเข้ามาในทะเลเถาไม้

ชั่วพริบตาเดียว ในเถาไม้ที่ปิดล้อมจุดหมายสุดท้ายเอาไว้ก็เริ่มมีหมอกสีดำอบอวลอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าชิงอวี้หลางกำลังทำอะไรอยู่ในนั้น สรุปว่าจะต้องไม่ได้ทำเรื่องดีแน่นอน นี่คือสิ่งที่ประจักษ์ชัดแจ้ง

“น้องหนิว จะทำยังไงดี?” พวกเหมียวอี้หยุดอยู่กับที่ สวีถังหรานถามอย่างกังวลสุดๆ ว่า

เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา แล้วบอกว่า “รอก่อน ให้คนอื่นลองบุกเข้าไปดูก่อน!”

เขาเองก็ใช่ว่าจะฆ่าไม่ตาย เขาก็รักถนอมชีวิตเหมือนกัน ไม่มีใครชอบรนหาที่ตายหรอก มิหนำซ้ำตอนนี้พวกเขาก็ไม่ได้ช่วงชิงอะไร เมื่อไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน ก็ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงทดลอง

“ข้างหลังมีคนมาแล้ว!” มู่หรงซิงหัวรีบเตือน

เหมียวอี้กับสวีถังหรานที่นั่งบนสัตว์พาหนะตัวเดียวกันหันกลับไปมองพร้อมกัน เห็นคนหลายสิบคนพุ่งมาที่พวกเขา ทำให้สวีถังหรานเครียดทันที “ทำยังไงดี?”

เหมียวอี้ถลันตัวขึ้นมา โบกทวนชี้ด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง พร้อมตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่แล้ว ใครกล้าสู้กับข้า!”

เจตจำนงของนักรบเต็มเปี่ยม เสียงดังลั่น แฝงด้วยเจตนาสังหาร!

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา โค่วเหวินหลานที่โดนปิดล้อมอยู่ในจุดหมายสุดท้ายก็หัวใจกระตุกวูบ มองไม่เห็นเหตุการณ์ข้างนอก หูผึ่งตั้งใจฟังแล้ว  โค่วเหวินหวงกับโค่วเหวินชิงก็หูผึ่งเช่นกันเช่นกัน

คนหลายสิบคนที่พุ่งเข้ามาแทบจะแบ่งเป็นสองกลุ่มในทันที เหาะผ่านไปทางซ้ายและขวาของพวกเหมียวอี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครกล้ามาขวางคมของเขาสักคน พร้อมใจกันหลีกเป็นสองฝั่ง แม้แต่แสดงเจตนาอันเป็นศัตรูก็ไม่มีเลยสักคน

เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ สวีถังหรานก็เรียกได้ว่าตกตะลึงอ้าปากค้าง เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า แบบนี้ก็ได้เหรอ?

ชั่วพริบตาเดียวก็ดีใจแทบบ้า สำหรับเขา แบบนี้ดีเกินไปแล้ว มีคนโหดแบบนี้อยู่ข้างกาย ต่อให้ไม่ต้องลงมือก็สามารถขู่ให้คนกลัวได้!

มู่หรงซิงหัวก็ตื่นเต้นดีใจเช่นกัน หันกลับมามองเหมียวอี้ด้วยแววตาเป็นประกายแวววับ พร้อมชมว่า “น้องหนิวช่างมีพลังอำนาจ เพียงพอที่จะสยบคนทราม!”

แต่ในใจก็รู้สึกปลงอนิจจังมากเช่นกัน ถ้าตอนแรกดึงดันจะติดตามพวกเยี่ยนจื่อเกอ เกรงว่าจุดจบคงจะคาดเดาได้ยาก ตอนนี้พอเห็นแบบนี้แล้ว ก็ถือว่าตัวเองตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเช่นกัน

“ใช่ที่สุด! ใช่ที่สุด!” สวีถังหรานหัวเราะเสียงดังพลางพยักหน้าซ้ำๆ ดีใจแทบแย่แล้วจริงๆ

มู่หรงซิงหัวบอกเขาว่า “พี่สวี เอาสัตว์พาหนะไปน้องหนิวไปเถอะ เจ้ามานั่งกับข้าก็ได้ ถ้าน้องหนิวมีสัตว์พาหนะจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม จะได้รักษาความปลอดภัยให้เราได้สะดวก!”

ครั้งนี้สวีถังหรานเพียงลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก รีบส่งมอบเดรัจฉานสับปลับให้เชื่อฟังการควบคุมของเหมียวอี้ จากนั้นก็เหาะไปนั่งข้างหลังมู่หรงซิงหัว

เหมียวอี้เองก็ไม่เกรงใจ ถลันตัวไปเหยียบบนตัวเดรัจฉานสับปลับของสวีถังหรานแล้ว หลังจากทดลองสื่อสารกันนิดหน่อย เห็นว่ามันยอมให้ควบคุมแล้วถึงได้วางใจ

คนอื่นๆ ไม่ได้ใจเย็นเหมือนกับพวกเขา จุดหมายสุดท้ายอยู่ตรงหน้านี้แล้ว การล่าสังหารขนาดใหญ่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เพื่อที่จะเอาชีวิตรอด ผู้บัญชาการพวกนั้นทำได้เพียงโจมตีเถาไม้อย่างบ้าคลั่ง หวังว่าจะตีฝ่าการปิดทางออกไป รักษาชีวิตไปให้ถึงจุดหมายสุดท้าย

เมื่อเผชิญกับการปิดล้อมเถาไม้แบบนี้ ความคิดแรกของคนส่วนใหญ่ก็คือใช้ไฟโจมตี มีคนไม่น้อยที่พอเข้าไปใกล้ก็นำหินผลึกไขมันเพลิงมาฝนบนเกราะรบให้เกิดไฟแล้วโยนออกไปทันที

ทว่าเมื่ออยู่ในอวกาศ หินผลึกไขมันเพลิงก็แสดงอานุภาพได้ไม่เท่าไรเลย เพียงเผาไหม้เล็กน้อย จากนั้นก็ดับไปเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะสามารถเผาการปิดล้อมที่หนาแน่นของเถาไม้ให้พังได้ แต่ก็ยังมีคนที่ไม่ตัดใจและอยากจะทดลอง

ถึงขั้นมีคนถือหินผลึกไขมันเพลิงพร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเปลวเพลิงเดือด แล้วบุกเข้าไปโดยตรง ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ บางคนดันทุรังใช้ดาบและกระบี่ฟันตัดฝ่าเข้าไป

คนที่ไม่สามารถบุกเข้าไปได้พบความผิดปกติอย่างรวดเร็ว หมอกดำที่หนาแน่นอยู่ในเถาไม้สามารถกัดกร่อนเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ได้

มีบางคนพบความผิดปกติแล้วอยากจะหนีกลับ แต่กลับถูกหนวดของเถาไม้นับไม่ถ้วนพันไว้อย่างหนาแน่นแล้วดึงกลับมา ภายใต้การกรัดกร่อนของหมอกดำ คนคนนั้นสั่นหัวดิกๆ พลางส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมา แต่กลับถูกหนวดเถาไม้อีกเส้นแหย่เข้าปากอุดเสียงร้องเอาไว้

พวกเหมียวอี้เห็นฉากคนถูกหมอกดำกัดกร่อนจนเนื้อหนังและกระดูกหลอมละลายหายไปกับตา เหลือไว้เพียงเกราะรบชุดหนึ่งที่ถูกพันและถูกดึงเข้าไปในทะเลเถาไม้ ฉากแบบนี้ทำให้คนที่เห็นขนพองสยองเกล้า

คนนอกไม่รู้ว่าเถาไม้ที่ถักทอออกมามีความหนาเท่าไรกันแน่ สรุปว่าจะเจ้าทำลายจนเกิดช่องโหว่ เถาไม้พวกนั้นก็จะงอกออกมาอุดใหม่อย่างรวดเร็ว เหมือนทำลายเท่าไรก็ไม่หมด

สภาพการณ์แบบนี้ไม่เป็นประโยชน์กับคนอื่น แต่กลับเป็นประโยชน์กับการดักสังหารของพวกโฉวตั้งไห่ พวกเขายังไม่รีบกลับ การสกัดของเถาไม้กลับช่วยขวางทางคนอื่นๆ ให้พวกเขา

“คนที่สามสิบสอง!”

ชิงอวี้หลางทำตัวเหมือนปลาได้น้ำอยู่ในทะเลเถาไม้ เกราะรบอันที่สามสิบสองถูกเถาไม้ดึงเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาแค่ต้องนั่งตรวจนับสมบัติและนักโทษที่ได้มาก็พอ

เพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆ มองจนอิจฉาตาร้อน เดาะลิ้นกล่าวด้วยความทึ่งว่า “ครั้งนี้ผู้บัญชาการชิงร่ำรวยใหญ่แล้วจริงๆ!” ต้องทราบไว้ว่าผู้บัญชาการส่วนใหญ่ล้วนใช้เกราะรบผลึกแดง ได้มาไว้ในมือหลายสิบชุด ถ้าไม่รวยก็แปลกแล้ว

“พวกเจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ฮุบผลประโยชน์ไว้คนเดียวหรอก” ชิงอวี้หลางหันกลับมากล่าวด้วยรอยยิ้ม ส่วนจะแบ่งให้ทุกคนมากน้อยเท่าไร นั่นก็เป็นเรื่องในภายหลังแล้ว ตอนนี้เขาคว้ากระเป๋าสัตว์ใบหนึ่งมาตรวจดู จากนั้นก็เลิกคิ้ว หลังจากดึงตัวนักโทษคนหนึ่งออกมาเทียบ ก็ถืออวดทุกคนพร้อมบอกว่า “คนที่หก!”

พวกเพื่อรร่วมงานฮึกเหิมมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ได้ตัวนักโทษหลบหนีมาไว้ในมืออีกหกคนแล้ว เมื่อบวกกับของเดิมที่มีอยู่ คะแนนในครั้งนี้จะต้องไม่แย่แน่นอน ถึงอย่างไรถ้าพบว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล ถ้าพวกเขาคิดจะอยากจะกลับจุดหมายสุดท้าย ก็สามารถกลับได้ทุกเมื่อ จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไร

ชิงอวี้หลางเพิ่งจะเก็บนักโทษหลบหนีเอาไว้ แต่จู่ๆ ก็กระตุกคิ้ว แล้วโบกมือชี้ ตาข่ายเถาวัลย์ที่ถักทอแน่นหนาตรงหน้าเปิดช่องทางทันที “มีตัวละครที่ร้ายกาจกำลังต่อต้าน พวกเจ้ารีบไปปราบให้สิ้น ที่นี่คือโลกของข้า มีข้านั่งคุมที่นี่อยู่ พวกเจ้าไม่ต้องกลัว!”

บรรดาเพื่อนร่วมงานรีบไปล้อมปราบทันที

ที่ด้านนอก พอเหมียวอี้เห็นสถานการณ์ของพวกโฉวตั้งไห่ ก็คิดว่าถ้ารอแบบนี้ต่อไปคงไม่ใช่วิธีการที่ดี ถ้ารอให้อีกฝ่ายได้หยุดพัก ก็จะมาลงมือกับพวกเขาสามคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วเขาก็เห็นว่าในเถาไม้มีแค่หมอกพิษเท่านั้น ไม่ได้มีผลที่ร้ายแรงอย่างอื่น จึงบอกมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานว่า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะไปทดสอบหยั่งเชิงสักหน่อย ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ข้าจะกลับมาเก็บพวกเจ้าเข้ากระเป๋าสัตว์ทันที พาพวกเจ้ากลับไปรายงานผลการปฏิบัติงาน”

1042


บทที่ 1043 ท่าไม่ดีแล้ว

“ได้!” มู่หรงซิงหัวพยักหน้ารับทันที

การกระทำนี้ทำให้เหมียวอี้อึ้งเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่กังวลเลย ว่าถ้าตนเก็บพวกเขาเข้ากระเป๋าสัตว์แล้วจะเกิดเหตุไม่คาดคิด ค้นพบอีกครั้งว่าผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนไปมาก

สวีถังหรานกลับกล่าวอยางกังวลถึงขีดสุดว่า “น้องหนิว รีบไปรีบกลับนะ!” เขารู้สึกกลัวจริงๆ เวลาแยกจากเหมียวอี้

“ขี่สัตว์พาหนะข้างในไม่สะดวก อาจจะกลายเป็นภาระด้วยซ้ำ!” เหมียวอี้พูดทิ้งท้าย แล้วถลันตัวขึ้นมา คืนสัตว์พาหนะให้สวีถังหรานแล้ว เมื่อพุ่งมาถึงตรงหน้าเถาไม้ที่หนาแน่น เขาก็โบกทวนฟันอย่างบ้าคลั่งจนเกิดช่องโหว่ จากนั้นก็บุกเข้าไปแล้ว ไม่ลังเลเลยสักนิด บทจะทำก็ทำ ข้างในมีเสียงต่อสู้สะเทือนเลือนลั่นดังออกมา

ขณะที่มองดูช่องโหว่ปิดตัวลงอย่างรวดเร็ว มู่หรงซิงหัวก็ส่ายหน้าเบาๆ พลางถอนหายใจ “ไฟร้อนเผยทองจริง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของอันตราย ถึงได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าห้าวหาญไร้ความหวาดกลัว! ถ้าเทียบกับคนที่ชอบหาทางลัดพวกนั้น น้องหนิวช่างเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ นี่ต่างหากลูกผู้ชายตัวจริง!”

สวีถังหรานกลับมองรอบๆ อย่างระแวดระวัง พร้อมพูดเหมือนไม่ใส่ใจว่า “มู่หรง อย่าบอกนะว่าเจ้าชอบน้องหนิว? หญิงงามรักวีรบุรุษ เรื่องนี้ก็พอจะเข้าใจได้!”

มู่หรงซิงหัวยิ้มบางๆ พร้อมตอบว่า “ข้าเป็นเมียน้อยของเฉาว่านเสียง น้องหนิวจะมาชอบดอกไม้โรยตกอับอย่างข้าได้ยังไง”

พอนางพูดถึงเรื่องนี้ สวีถังหรานก็หันกลับมามองนางแวบหนึ่ง แล้วหัวเราะแห้งๆ สองที รู้ว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ

เมื่อเข้ามาในโลกที่ถักทอด้วยเถาไม้ เหมียวอี้ก็เหมือนตกลงมาในบ่อโคลนทันที หนวดเถาไม้ที่หนาแน่นรอบข้างเข้ามาก่อกวน เขาโบกทวนโจมตีเร็วๆ ก็ไร้ประโยชน์ ไม่นานก็โดนเถาไม้พันมือพันเท้าเอาไว้ แต่โชคดีที่เพื่อจะต้านทานอากาศพิษของที่นี่ เขาได้ใช้เพลิงจิตแผ่ไปรอบร่างกายแล้ว เถาไม้ที่พันเหมียวอี้ราวกับโดนงูกัด  ‘หนวด’ โดนเผาและหดกลับเข้าไปพร้อมรอยไหม้สีดำในชั่วพริบตาเดียว หนวดจำนวนนับไม่ถ้วนยื่นเข้ามาสัมผัส แล้วก็หดกลับอย่างรวดเร็วอีกครั้ง

เมื่อเห็นว่าใช้เพลิงจิตควบคุมได้ผลดีขนาดนี้ เหมียวอี้ก็หายห่วงทันที โบกทวนยาวโจมตีอย่างบ้าคลั่งตลอดทาง พร้อมเหาะตรงไปยังทิศทางของจุดหมายสุดท้าย

ชิงอวี้หลางที่หลบอยู่ในจุดลึกของทะเลเถาไม้กำลังทำสีหน้าลำพองใจ เถาไม้รอบข้างยื่นเกราะรบและสมบัติต่างๆ เข้ามาไม่หยุดหย่อน ทำให้เขายิ้มจนปากเกือบเบี้ยว ครั้งนี้ร่ำรวยอย่างถึงอกถึงใจจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกร่ำรวยได้อย่างสบายๆ ขนาดนี้ ประเดี๋ยวเดียวก็ร่ำรวยมากขนาดนี้แล้ว

ลองคิดดูว่าการได้รวบเก็บสมบัติของบรรดาตระกูลใหญ่ของตำหนักสวรรค์มีความรู้สึกเป็นอย่างไร? ขณะกำลังกำสมุนไพรเซียนซิงหัวหลายต้น ชิงอวี้หลางก็หัวเราะอย่างร่าเริง ขณะที่เขาส่ายหน้าเดาะลิ้นและเพิ่งเก็บเข้าในกำไลเก็บสมบัติ จู่ๆ ร้อง”ฮึ” แล้วเอียงศีรษะมองไปยังที่แห่งหนึ่ง เหมือนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง จึงโบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ชี้ไปหนึ่งครั้ง ทำให้เถาไม้ที่อยู่รอบข้างเลื้อยขยุกขยิกอย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้ที่อยู่ในทะเลเถาไม้เหมือนจะค่อยๆ รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล บุกไปข้างหน้าในแนวตรงตลอดทางตั้งนาน แต่ทำไมยังบุกออกจากสิ่งกีดขวางข้างในไม่ได้ ตามหลักการก็ควรจะถึงจุดหมายสุดท้ายแล้วสิ ต่อให้เถาไม้จะถักทอหนามาก แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหนาเท่านี้นะ?

การผ่านศึกมาเป็นร้อยครั้งทำให้เขามีประสบการณ์กับสิ่งนี้มาก ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บัญชาการทั่วไปของตำหนักสวรรค์จะเทียบติด สภาพการณ์แบบนี้เขาเคยเจอมาหลายครั้งแล้ว พอลองครุ่นคิดดูก็รู้ว่าตัวเองกำลังโดนขังอยู่ในค่ายกลอะไรบางอย่าง

พอเป็นแบบนี้ เขาก็หยุดพุ่งไปข้างหน้าทันที แอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว ของประหลาดที่อยู่ในนี้ฟันเท่าไรก็ฆ่าไม่หมด ตายแล้วก็งอกใหม่อีก ตอนนี้เกรงว่าจะปลีกตัวออกจากที่นี่ลำบากแล้ว ถ้าเสียเวลาอยู่ในนี้นาน มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานที่อยู่ข้างนอกก็คงจะเป็นอันตราย

ในขณะนี้เอง เถาไม้หนาแน่นที่พันก่อกวนอยู่รอบๆ ก็พลันหดไปข้างหลัง ไม่น่าเชื่อว่าจะให้พื้นที่ว่างกับเขาผืนหนึ่ง ขณะเดียวกันในเถาไม้ที่ถักทออย่างหนาแน่นรอบๆ ก็ปรากฏอุโมงค์เจ็ดสาย เงาคนเจ็ดคนพุ่งเข้ามาล้อมเหมียวอี้ไว้อย่างแน่นหนา แล้วอุโมงค์ที่อยู่ข้างหลังทั้งเจ็ดคนก็ปิดสนิทแล้วด้วย

เหมียวอี้ที่ถือทวนอยู่ในมือหมุนตัวอย่างช้าๆ มองประเมินทั้งเจ็ดด้วยสายตาเย็นเยียบ เป็นเพื่อนร่วมงานทั้งเจ็ดคนของชิงอวี้หลางนั่นเอง

ส่วนเจ็ดคนนั้น พอได้เห็นเหมียวอี้ก็ตกใจอยู่บ้าง ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้าหนุ่มนี่!

ก่อนหน้านี้ทุกคนได้รับรู้ถึงความห้าวหาญของคนคนนี้มาแล้ว อยู่ในนี้ขี่สัตว์พาหนะบินไม่สะดวกด้วย ถ้าให้สู้กับคนแซ่หนิวโดยไม่มีสัตว์พาหนะ พวกเขาก็รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ ประกอบกับที่เหมียวอี้บุกเข้ามาถึงในนี้โดยไม่สะบักสะบอมเหมือนคนอื่น สภาพเหมือนคนที่ไม่เป็นอะไรเลย สิ่งนี้ยิ่งพิสูจน์ว่าเขามีความสามารถไม่ธรรมดา จะดูถูกไม่ได้เด็ดขาด

“ก่อนหน้านี้ทุกคนก็ได้เห็นแล้ว ในมือเขาอาจจะรวบรวมนักโทษไว้ไม่น้อย ถ้าจัดการเขาได้จะต้องได้ผลงานใหญ่แน่นอน แถมเกราะรบบนตัวเขาก็ไม่เลวเลย ในเมื่อเขาโดนขังอยู่ในนี้แล้ว พวกเราเจ็ดคนร่วมมือกัน แล้วก็มีค่ายกลของผู้บัญชาการชิงคอยสนับสนุน อาจจะไม่แพ้เขาก็ได้นะ” หนึ่งในนั้นถ่ายทอดเสียงบอกเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ

ทั้งเจ็ดคนส่งสายตาให้กัน ก่อนจะยกอาวุธขึ้นมาอย่างช้าๆ

ซวบๆๆ! ในชั่วพริบตาเดียว เถาไม้หลายเส้นที่หยาบหนาเหมือนต้นเสาก็กวาดเข้าไปหาเหมียวอี้อย่างบ้าคลั่ง เหมียวอี้หมุนตัวปาดทวนอย่างรวดเร็วพักหนึ่ง ฟันเถาไม้ขาดกระเด็นไป ในขณะเดียวกันนี้เอง เจ็ดคนที่ล้อมอยู่ก็พุ่งเข้ามาลงมือประสานงานกับเถาไม้ที่ฟาดออกมา โดยพุ่งเข้ามาจากซ้ายขวาและบนล่าง

สถานการณ์แบบนี้ย่ำแย่เกินไปจริงๆ ต่อให้วิชาทวนของเหมียวอี้จะดีขนาดไหน แต่ก็รับมือไม่ไหวกับคนที่วรยุทธ์สูงกว่าเขาทั้งยังลงมือพร้อมกันหลายคนในที่แคบเล็ก ให้พื้นที่ว่างสำหรับใช้เป็นทางหนีทีไล่น้อยเกินไปจริงๆ ที่เป็นปัญหามากที่สุดก็คือมีเถาไม้กีดขวางเยอะเกินไป

แทบจะในชั่วพริบตาเดียว บนทวนและบนเกราะรบที่ตัวเหมียวอี้ก็ระเบิดปราณปีศาจเข้มข้นออกมาพร้อมกัน แต่กลับไม่สามารถหยุดยั้งการรุกโจมตีของคนพวกนี้ได้ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่สามารถทำให้คนพวกนี้บาดเจ็บ ปราณปีศาจไม่มีมีผลอะไรกับนักพรตบงกชทอง

ทวนขยับอย่างรวดเร็ว ปาดอาวุธที่โจมตีเข้ามายังจุดสำคัญบนร่างกายตัวเอง ขณะเดียวกันก็หมุนตัวกลิ้ง ใช้เท้าเตะเถาไม้ที่ฟาดเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ใช้มือข้างเดียวแทงทวนออกไปอย่างสุดชีวิต มั่นคง เด็ดเดี่ยว แม่นยำ รวดเร็ว ทวนแทงโดนคอหอยของใครบางคนอย่างแรง ตรงนั้นเกิดเสียงกรีดร้องน่าเวทนาทันที พลิกฝ่ามือควงแขนข้างหนึ่ง ดึงดาบและทวนสามด้ามเอาไว้ในขณะที่บาดเจ็บ ใช้แขนหนีบไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

ส่วนกระบี่เล็กเพลิงจิตนับร้อยเล่ม ก็ได้ถือโอกาสลอบยิงจู่โจมออกไปตอนนี้แล้ว ชั่วพริบตาเดียวก็เกิดปฏิกิริยาตามมาเป็นพรวน คนที่โดนเหมียวอี้หนีบอาวุธและอยู่ท่ามกลางปราณปีศาจรับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งยิงเข้ามา ตกใจมาก!

ทั้งสามโบกมือป้องใบหน้าตัวเองพร้อมกัน ส่วนแขนอีกข้างที่ถืออาวุธก็ออกแรงทุ่ม ปาด หวดแทบจะพร้อมกัน เหมียวอี้วรยุทธ์ห่างไกลกับพวกเขามาก จะทนรับพลังอิทธิฤทธิ์ของทั้งสามคนพร้อมกันได้อย่างไร ประคองแขนไม่อยู่ทันที ทั้งตัวโดนปาดจนกระเด็นขึ้นไป เป็นวิธีการโจมตีที่หมายจะเอาชีวิตจริงๆ

แล้วก็อาศัยช่วงเวลานี้พอดี อาศัยตอนที่ทุกคนหลบหลีกกระบี่เล็กเพลิงจิต เหมียวอี้ที่โดนปาดกระเด็นขึ้นมาได้โอกาสแล้ว เขารีบปาดทวนแทงติดต่อกัน หัวทวนแหลมคมอาศัยช่องโหว่ตอนที่ทั้งสามเพิ่งจะชักอาวุธกลับ แทงอย่างรุนแรงจนเกิดดอกเลือดกระเด็นออกมาสามสาย เสียงกรีดร้องดังเพิ่มอีกสามครั้ง

ส่วนอีกสามคนที่เหลือก็ไหวตัวเร็วเหมือนกัน ขณะที่หลบการลอบโจมตีจากกระบี่เล็กเพลิงจิต ก็ฉวยโอกาสใช้อาวุธโจมตีไปที่ตัวของเหมียวอี้อย่างหนักหน่วงพร้อมกัน โจมตีจนเกราะรบบนตัวเหมียวอี้เกิดเสียงดังวุ่นวาย

“พลั่ก!” เหมียวอี้กระอักเลือดสดขณะที่กระเด็นออกไป แต่กลับยังโบกมือ

ภายใต้การลอบจู่โจม กระบี่เล็กเพลิงจิตที่ถูกวางไว้รอบกายของทั้งสามระเบิดออกมาอย่างฉับพลัน กลายเป็นเพลิงเดือดสีเหมือนน้ำ ชั่วพริบตาเดียวก็ครอบร่างกายของสามคนนั้นไว้แล้ว สามคนที่กำลังจะฉวยโอกาสไล่ตามมาโจมตีตกใจมาก รู้สึกได้ว่าเกราะพลังอิทธิฤทธิ์โดนเผาทำลายแทบจะชั่วพริบตาเดียว ต่างก็ตกใจไม่เบา

มีบางคนควงแขนร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุม พร้อมร้องว่า “มันคืออะไร?”

“อา…” มีคนโดนเพลิงจิตมุดเข้าในเกราะและกำลังส่งเสียงร้องน่าเวทนา

เหมียวอี้ที่กระเด็นออกไปใช้สองเท้าถีบบนผนังเถาไม้ และถือโอกาสโบกทวนฟันเถาไม้ที่รัดพันเท้าสองข้างของตัวเอง แล้วหมุนตัวดีดกลับมา วินาทีนั้นก็ออกทวนราวกับมังกร แสงเย็นระบิดยิงออกมาหลายดอก ทำลายเถาไม้ที่มากีดขวาง สังหารจนเกิดดอกเลือดหลายสาย

“อา…” ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง เหมียวอี้เหยียบลงบนพื้น โบกมือเรียกเพลิงจิตกลับมาปกป้องร่างกาย แล้วควบคุมให้มันเผากระจายไปรอบๆ เถาไม้ที่หวดเข้ามาสัมผัสหดกลับไปอย่างรวดเร็ว

เปลวเพลิงล่องหนที่เพิ่มขึ้นตอนอยู่ที่ดาวสองขั้วทำให้เกิดข้อดีเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มันเหมือนอาวุธจริงมากขึ้น และควบคุมได้ง่ายขึ้นด้วย หลังจากหลุดออกจากร่างกายเขาไปแล้ว เขาก็ยังสามารถควบคุมมันได้อยู่ เมื่อก่อนทำแบบนี้ไม่ได้

ศพเจ็ดร่างที่อยู่รอบๆ สูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ควบคุมแล้ว ล่องลอยอย่างอิสระโดยไร้น้ำหนัก

“ถุย!” เหมียวอี้เอียงหน้าถ่มน้ำลายปนเลือดออกมาคำหนึ่ง พบว่าถ้าอาศัยเกราะรบอย่างเดียว ก็ยากที่จะต้านทานการโจมตีจากคนที่วรยุทธ์สูงกว่าตัวเองมากๆ ได้ มิหนำซ้ำยังโดนสามคนนั้นโจมตีพร้อมกัน ถูกทำร้ายไม่เบา แต่โชคดีที่มีเกราะรบที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้ ไม่อย่างนั้นถ้าเปลี่ยนเป็นเกราะรบธรรมดาก็คงจะตายไปแล้ว

โชคดีที่กินสมุนไพรเซียนซิงหัวไว้ล่วงหน้า ตอนนี้รู้สึกได้ว่าสมุนไพรเซียนกำลังแสดงสรรพคุณ

ตรงนี้กำลังจะร่ายอิทธิฤทธิ์ดึงร่างเจ็ดร่างมาจัดการเก็บสิ่งของบนตัว แต่จู่ๆ กลับตกใจ เพราะเถาไม้หลายเส้นดึงร่างเจ็ดร่างนั้นหายกลับเข้าไปในทะเลเถาไม้แล้ว

ขณะเดียวกันนี้เอง เถาไม้รอบข้างที่หวดเข้ามาและหดกลับไปอย่างรวดเร็วก็สงบเงียบลงแล้ว เหมียวอี้ถือทวนเฝ้าระแวดระวังโดยรอบ แอบร่ายอิทธิฤทธิ์เร่งการเยียวยาของสมุนไพรเซียนซิงหัว เร่งการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตัวเอง

อีกฝั่งหนึ่งของทะเลเถาไม้ ชิงอวี้หลางตกอยู่ในความเงียบแล้ว กำลังมองร่างเจ็ดร่างของเพื่อนร่วมงานที่อยู่ตรงหน้า พร้อมพึมพำว่า “เร็วขนาดนี้เลยเหรอ? ใครกันที่สามารถฆ่าพวกเจ้าที่นี่ได้เร็วขนาดนี้?”

ผ่านไปครู่เดียว เขาก็โบกมือกวาดร่างเจ็ดร่างนั้นเก็บไว้ แล้วคว้าทวนไว้ในมือ อุโมงค์เถาไม้สายหนึ่งปรากฏขึ้น เขาถลันตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ออกโรงด้วยตัวเองแล้ว

ที่โลกภายนอก เหล่าผู้บัญชาการพวกนั้นสังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว ในที่สุดก็เริ่มกลัว พบว่าเถาไม้นี้ตีฝ่าได้ยากมาก คนที่ยังรอดชีวิตเริ่มหนีกลับ หนีไปยังจุดลึกของอวกาศ ยังมีคนไล่ตามสังหารต่อไป มีบางคนเอียงหน้ากลับมา จ้องมองมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหราน

เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้ไม่อยู่ กำลังคนของลูกหลานของสิบสองจอมพลกับสามสิบหกเทพประจำดาวก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ไม่ต้องพูดถึงว่ามีนักโทษหรือไม่มีนักโทษ ถ้านำของวิเศษบนตัวทั้งสองกลับไปได้ก็มีมูลค่าไม่น้อย พุ่งเป้ามาหาทั้งสองทันที

“รีบหนี!” มู่หรงซิงหัวร้องบอก ไม่ต้องพูดอะไรมาก สวีถังหรานหนีนำหน้านางไปก่อนแล้ว

ในดินแดนเถาไม้ เหมียวอี้พลันหันตัวมา มองไปทางเถาไม้ที่หวดและหดกลับไปเปิดช่องทางให้ช่องทางหนึ่ง เงาคนคนหนึ่งปรากฏขึ้น ตอนนี้ถลันมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว นอกจากชิงอวี้หลางแล้วจะเป็นใครไปได้

“ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นเจ้า!” ชิงอวี้หลางแสยะยิ้ม แล้วพยักหน้าช้าๆ “มีความสามารถจริงๆ ด้วย แต่ก็น่าเสียดายมาก เจ้าดันมาเจอข้าซะแล้วล่ะ! ทิ้งของทั้งหมดที่อยู่บนตัวเอาไว้ แล้วข้าจะปล่อยเจ้ากลับไปรายงานผลงาน!” ในน้ำเสียงเผยความเย่อหยิ่งลำพองใจ

เหมียวอี้ขี้คร้านจะคุยกับเขา คุยไปก็ไม่มีประโยชน์ ถลันตัวเข้าไปแทงทวนทันที

ฉึก! ศีรษะของชิงอวี้หลางโดนทวนของเหมียวอี้แทงจนเละ ศีรษะและเกราะหัวกระเด็นออกไปพร้อมกัน

“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก งุนงงเล็กน้อย หมายความว่ายังไง? ฆ่าง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?

ตรงนี้ยังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ทวนยาวในมือของชิงอวี้หลางที่ไร้ศีรษะก็ขยับ เหมียวอี้แอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว เขานับว่าไหวตัวได้เร็ว รีบดึงทวนในมือมาสกัดไว้

ปั้ง! ทวนยาวโดนกระแทกจนสะเทือนกลับมา เข้ามาฟาดร่างตัวเองเข้าอย่างจัง “อั้ก!” เหมียวอี้ที่แผลเก่ายังไม่หายดี ตอนนี้กระอักเลือดสดออกมาอีกแล้ว โดนทวนของชิงอวี้หลางกระแทกจนกระเด็นออกไปแล้ว


1043

 

 

บทที่ 1044 เจ้าคนสมองมีปัญหา

ท่ามกลางเสียงเปาะแปะของแผ่นเกล็ดบนเกราะรบ แกร๊ง! บนผนังที่ถักทอด้วยเถาไม้โดนกระแทกจนเกิดเป็นรูใหญ่รูหนึ่ง ไม้พังแตกละเอียด

เหมียวอี้พยายามอาศัยสัญชาตญาณถือทวนกระโดดขึ้นมาเตรียมพร้อมป้องกันให้เร็วที่สุด แต่ตัวกลับโซเซจวนจะล้ม มุมปากและจมูกมีเลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด เลือดสดไหลเปื้อนเต็มหน้าอกตามร่างกายที่โซเซของเขา บนใบหน้าฉาบทาเลือด ของที่เห็นอยู่ตรงหน้าถึงขั้นเกิดเป็นภาพซ้อน เลือดลมในร่างกายปั่นป่วนราวกับพลิกแม่น้ำคว่ำทะเล ในหูมีเสียงดังวิ้งๆ ตลอด สองมือที่จับทวนก็สั่นเทิ้มไม่หยุด

โชคดีที่เขากินสมุนไพรเซียนซิงหัวไว้ล่วงหน้าตั้งแต่แรก ภายใต้การร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นการเยียวยาในร่างกาย ความรู้สึกผ่อนคลายก็แผ่ซ่านไปทั่วตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาได้สติกลับมาเร็วมาก เขารีบร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมร่างกายให้มั่นคง ปรับเส้นเลือดที่สับสนปนเปของแขนสองข้างให้เหมาะสมเข้าที่ ควบคุมสองแขนที่สั่นเทิ้มเอาไว้ ในที่สุดภาพซ้อนตรงหน้าก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว!

ขณะจ้องมองอวี้ชิงหลางที่ไร้ศีรษะทว่ายังยืนถือทวนอยู่ตรงนั้นอย่างมั่นคง “ถุย” เหมียวอี้ก็ถ่มน้ำลายปนเลือดออกมาคำหนึ่ง เขาแลบลิ้นสีแดงสดออกมาเลียลือดสดที่ยังไหลซึมจากจมูกลงมาบนริมฝีปาก รสชาติของมันคาวและเค็ม จ้องชายหนุ่มที่ยังยืนไร้ศีรษะอยู่ตรงนั้น ในหัวคิดวกไปวนมาเร็วมาก กำลังคิดหาวิธีการรับมือ

เขาเองกก็นับว่าเคยผ่านศึกษาเป็นร้อยครั้งแล้ว แต่กลับเป็นครั้งแรกที่เห็นคนแปลกแบบนี้ ราวกับได้เห็นผี ขนาดศีรษะไม่มีแล้ว แต่ยังทำท่าทางเหมือนคนไม่เป็นอะไรเลย

ทันใดนั้น เหมียวอี้ก็เบิกตากว้าง บนใบหน้าฉายแววประหลาดใจหาคำอธิบายไม่ได้ เห็นเพียงตรงคอที่ขาดของชิงอวี้หลางเลื้อยขยุกขยิกอย่างรวดเร็ว เนื้อก้อนหนึ่งเริ่มนูนโผล่ออกมา กลายสภาพเป็นศีรษะใบหนึ่ง ชั่วพริบตาเดียวก็มีหน้าตาชัดเจน เป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนกับก่อนที่จะถูกทำลายศีรษะไม่มีผิด เป็นชิงอวี้หลางที่ใบหน้าที่งดงามดุจหยก ปากแดงเหมือนทาชาด หล่อเหลาไม่ธรรมดา

อย่าบอกนะว่าเจ้าบ้านี่มันฆ่าไม่ตาย? เหมียวอี้หวาดผวาในใจ

ชิงอวี้หลางจ้องมองปราณปีศาจโลหิตที่ปรากฏรางๆ บนทวนของเหมียวอี้ แล้วยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ “ปราณปีศาจโลหิตของเจ้าใช้กับข้าไม่ได้ผลหรอก!”

แต่หลังจากมองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง ในดวงตาก็ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน “แต่เจ้าก็มีฝีมืออยู่บ้างเหมือนกัน วรยุทธ์แค่บงกชทองขั้นสาม โดนวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปดอย่างข้าโจมตีไป ไม่น่าเชื่อว่าจะลุกขึ้นยืนได้ในทันที หืม…” จู่ๆ สายตาของเขาก็จ้องที่เกราะรบอันสวยงามประณีตบนตัวเหมียวอี้ จากรูปแบบที่แตกต่างจากเกราะรบทั่วไป เขาพอจะสังเกตอะไรบางอย่างได้แล้ว พึมพำกับตัวเองว่า “อย่าบอกนะว่าเกราะรบชุดนี้…” ในดวงตาฉายแววจ้องอยากได้จนตาเป็นมัน

ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้น ว่าการมีเกราะรบป้องกันตัวดีๆ สักชุดเท่ากับมีชีวิตเพิ่มมาอีกชีวิตยามเข่นฆ่ากัน ใครบ้างที่จะไม่ชอบ?

เหมียวอี้อาการบาดเจ็บภายในร่างกายคงที่แล้ว เมื่อได้ยินแบบนั้นก็ตาเป็นประกาย แล้วกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าโลกนี้จะมีคนที่ฆ่าไม่ตาย!”

ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ เขาก็ถลันตัวเข้าไปแล้ว แทงทวนออกไปอย่างว่องไวปานฟ้าแลบ พุ่งไปที่คอของชิงอวี้หลาง

ชิงอวี้หลางหรี่ตาสองข้าง แต่กลับยังยืนไม่สะทกสะท้านอยู่อย่างนั้น เหมือนมองออกว่าเหมียวอี้ออกทวนตอบสนองได้รวดเร็ว การประลองวิชาทวนกับเหมียวอี้ไม่ใช่วิธีการที่ชาญฉลาด

บึ้ม! คอระเบิดขาดด้วยพลังระเบิดของทวนเกล็ดย้อนที่แทงเข้ามา ศีรษะที่งอกใหม่ของชิงอวี้หลางระเบิดกระเด็นไปอีกครั้ง

ขณะเดียวกันนี้เอง ชิงอวี้หลางที่ไร้ศีรษะก็ขยับร่างกายอีกครั้ง ฉวยโอกาสกวาดทวนออกมาในแนวขวาง ด้วยระยะที่ใกล้และความเร็วในการลงมือของเขา เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าไม่มีทางหลบได้

เหมียวอี้เสียเปรียบไปแล้วหนึ่งครั้ง มีหรือที่จะเสียเปรียบเหมือนเดิมเป็นครั้งที่สอง จะใช้ท่าเดิมไม่ได้แล้ว รีบแหย่ทวนกลับไปอย่างรวดเร็ว

แกร๊ง! เหมียวอี้สะเทือนจนกระเด็นออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับอาศัยพลังสะบัดทวนและหมุนตัวเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว ลดพลังรุนแรงของอีกฝ่ายที่กำลังจะมีผลกับร่างกายของเขาโดยตรง

จนใจที่พื้นที่ว่างในเถาไม้มีจำกัด พลังสั่นสะเทือนบนทวนยังไม่เสื่อมลง เหมียวอี้ที่หมุนตัวเหาะด้วยความเร็วถือโอกาสตีทวนไปบนเถาไม้หนึ่งครั้งเพื่อคลายพลัง เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น บนผนังเถาไม้ระเบิดออกเป็นรูใหญ่ทันที

เสียงความคลื่อนไหวฝั่งเดียวที่ดังและต่อเนื่องขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นจุดหมายสุดท้ายที่โดนคลุมอยู่ใต้ทะเลเถาไม้ หรือจะเป็นคนที่กำลังสู้ตายอยู่นอกทะเลเถาไม้ ต่างก็มองไปยังโลกของเถาไม้ขนาดใหญ่นั่นโดยจิตใต้สำนึก รู้สึกได้ว่าข้างในมีคนกำลังเข่นฆ่ากัน

ขจัดพลังที่เหลือไปหมดแล้ว เกราะรบบนตัวเหมียวอี้เกิดเสียงดังเปาะแปะ เขาใช้สองเท้าถีบผนังเถาไม้ในโพรงใหญ่ที่ระเบิดออก กระโดดถอยหลังกลับมา ถือทวนในแนวเฉียงจ้องฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาเย็นเยียบ

เป็นอย่างที่คาดไว้ ศีรษะของชิงอวี้หลางงอกออกมาอีก ชั่วพริบตาเดียวก็กลับมามีศีรษะใบใหม่ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วเดาะลิ้นพูดว่า “เป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วย! ข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไมวรยุทธ์บงกชทองขั้นสามอย่างเจ้าถึงต้านทานการโจมตีจากคนวรยุทธ์ขั้นแปดอย่างข้าได้ ต่อให้มีเกราะรบคอยต้านทาน แต่กายเนื้อข้างในก็รับการโจมตีนี้ไม่ไหวหรอก ปัญหาอยู่บนเกราะรบของเจ้าจริงๆ ด้วย ช่างเป็นของดี! เกราะรบบนตัวเจ้าเป็นของข้าแล้วล่ะ!”

เหมียวอี้โบกมือชี้อย่างเด็ดเดี่ยว พร้อมแสยะยิ้มกล่าวว่า “นั่นก็ต้องดูก่อนว่าเจ้าจะเหลือชีวิตไว้เสพสุขหรือเปล่า!”

“ช่างน่าขำ! ข้า…” ชิงอวี้หลางพลันเบิกตากว้าง แล้วอุทานถามอย่างหวาดกลัว “ของอะไรกัน?”

“ของดีไงล่ะ!” นิ้วที่กำลังชี้ของเหมียวอี้หดกลับมา แล้วเปลี่ยนเป็นกำหมัด “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าบนโลกนี้จะมีคนที่ร่างกายเป็นอมตะจริงๆ!”

“ของอะไร…” จู่ๆ ชิงอวี้หลางก็เริ่มสั่นไปทั้งตัว ใช้แขนสองข้างกอดศีรษะเอาไว้ เผยสีหน้าเจ็บปวดทรมานถึงขีดสุด “อา…” ส่งเสียงกรีดร้องอันสุดสังเวชใจ กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ตรงนั้น

ผ่านไปไม่นาน ก็เห็นในเกราะรบบนตัวเขามีเปลวเพลิงที่เหมือนคลื่นน้ำลุกโชน

อีกฝ่ายเหมือนจะไร้แรงต้านทานแล้ว แต่เหมียวอี้กลับยังถือทวนคอยระวังป้องกัน ขณะเดียวกันก็พายามร่ายอิทธิฤทธิ์เร่งสรรพคุณสมุนไพรเซียนซิงหัวในร่างกายตัวเอง เร่งอาการบาดเจ็บในร่างกายให้ฟื้นตัวเร็วๆ

“ไม่…” ชิงอวี้หลางกรีดร้องคอแทกแตก เจ็บปวดทรมานอยู่ภายใต้เปลวเพลิงเดือดที่มีสภาพเหมือนคลื่นน้ำ

ที่มีจุดจบแบบนี้ได้ ไม่ใช่เพราะเขาแพ้ให้กับพลังของเหมียวอี้ แต่เป็นเพราะไม่ระวังจึงโดนเหมียวอี้วางกับดักลอบทำร้าย

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาทำร้ายเหมียวอี้จนสาหัสและพูดจาสงสัยในเกราะรบของเหมียวอี้ เหมียวอี้ก็จงใจใช้คำพูดประมาณว่าไม่เชื่อว่าเขาจะฆ่าไม่ตาย อยากจะให้โอกาสอีกฝ่ายได้ทดลองเกราะรบ ขณะเดียวกันก็อยากจะให้โอกาสอีกฝ่ายได้โจมตีเขาอีกสักครั้ง

วิธีการนี้ใช้สร้างความดึงดูดใจที่นักพรตคนหนึ่งมีต่อเกราะรบดีๆ สักชุด เหมียวอี้เดาว่าถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเองก็คงอยากจะดูเหมือนกันว่าเป็นยังไงกันแน่ ก็แค่เอาใจเขามาใส่ใจเรา เพียงแต่การทำแบบนี้ไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่มาถึงขั้นนี้แล้วจึงไม่ถือสาที่จะทดลอง ถ้าไม่ทดลองแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าจะได้หรือไม่ได้?

นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะให้โอกาสตนฆ่าอีกครั้งจริงๆ ดังนั้นตอนที่เหมียวอี้ออกทวนอีกครั้ง จึงไม่เลือกตรงศีรษะแล้ว แต่เลือกที่คอแทน เพราะตรงหัวทวนตะคอสามแฉกของทวนเกล็ดย้อนซ่อนกระบี่เล็กเพลิงจิตเอาไว้เล่มหนึ่ง ตอนที่ทวนแทงเข้าไประเบิดคอชิงอวี้หลาง กระบี่เล็กเพลิงจิตก็ฉวยโอกาสทะลุจากคอของชิงอวี้หลางเข้าไปในร่างกาย

และตอนแรกชิงอวี้หลางก็ไม่สังเกตเห็นเหมือนกัน นึกว่าตอนที่คอระเบิดมีของบางอย่างแฝงเข้าไปในร่างกายตัวเอง ต่อให้สังเกตเห็นก็สายไปเสียแล้ว

นี่ไม่ใช่การประลองกำลังที่แท้จริง แต่เป็นการประลองสติปัญญาในชั่วพริบตาเดียว!

จู่ๆ คนที่อยู่ข้างนอกก็ได้ยินเสียงชิงอวี้หลางกรีดร้องอย่างน่าสังเวชใจขนาดนี้ คนไม่น้อยตรงจุดหมายสุดท้ายมองหน้ากันเลิกลั่ก แม้แต่เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักก็กวาดสายตาไปหยุดอยู่ตรงทะเลเถาไม้จุดกำเนิดเสียง สายตาฉายแววสงสัยเล็กน้อย

อิ๋งเหย้าเจ้านายของชิงอวี้หลางสีหน้าเปลี่ยนทันที ที่มากกว่านั้นก็ประหลาดใจสงสัย ถึงขั้นทำสีหน้าหวาดกลัวเล็กน้อย การที่ชิงอวี้หลางกรีดร้องแบบนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่

พวกผู้บัญชาการคนอื่นๆ ถึงขั้นพึมพำในใจ หรือว่าคนของตัวเองทำสำเร็จแล้ว?

พวกเขาต่างก็เฝ้าคอยให้คนของตัวเองทำสำเร็จ

ส่วนพวกผังลิ่งกงกับพวกโฉวตั้งไห่ ไม่ว่าจะกำลังไล่สังหารหรือกำลังสู้สุดชีวิต แต่ละคนพากันระแวงสงสัยไม่หยุด ชิงอวี้หลางตายแล้วเหรอ?

ชิงอวี้หลางตายแล้วจริงๆ เริ่มคืนร่างเดิมท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ในเกราะรบเริ่มมีเถาไม้โผล่ออกมาราวกับกระแสน้ำ ราวกับเป็นงูนับหมื่นเลื้อยออกจากรู แต่เถาไม้ที่โผล่ออกมาอย่างรวดเร็วเหมือนจะถูกเผาจนเกรียมหมดแล้ว พอออกมาจากเปลวเพลิงคลื่นน้ำก็ทนรับพลังที่พรึ่งพรูออกจากร่างกายตัวเองไม่ไหว จึงขาดเป็นท่อนราวถ่านไม้ที่เปราะบาง

พอเหมียวอี้เห็นภาพนี้ ก็เข้าใจในทันที สงสัยชิงอวี้หลางคนนี้เดิมทีจะเป็นปีศาจเถาวัลย์

บึ้ม! จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น เหมียวอี้ยกแขนขึ้นมาป้องใบหน้า เกราะรบบนตัวชิงอวี้หลางกระเบิดมากระแทกบนตัวเขา

เหมียวอี้สัมผัสได้ ว่ายาเม็ดปีศาจของชิงอวี้หลางระเบิดอยู่ภายใต้การเผาหลอมอย่างฉาบฉวยของเพลิงจิตแล้ว ในที่สุดปีศาจที่ ‘ฆ่าไม่ตาย’ ตนนี้ก็ตายแล้ว

พอเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้ง รอบข้างก็เป็นสีเทาขมุกขมัว ทั้งหมดกลายเป็นเถ้าถ่าน แม้แต่เถาไม้ที่อยู่โดยรอบก็ระเบิดพังไปไม่น้อยแล้ว

ตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะมาสนใจเรื่องนี้ เกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธ์สูงบนตัวชิงอวี้หลางมีมูลค่าไม่ใช่น้อยๆ

เขาเก็บเพลิงจิตเข้ามาในร่างกาย แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจโดยรอบอย่างรวดเร็ว พอร่ายอิทธิฤทธิ์ดูเข้ามา พวกเกราะรบ แหวนเก็บสมบัติและกำไลเก็บสมบัติก็ถูกดูดเข้ามาหมด

กระเป๋าสัตว์หลายใบที่ห้อยไว้บนเกราะรบถูกเด็ดลงมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูก่อน ตอนไม่ดูก็ยังไม่รู้ พอดูแล้วก็ตกใจมาก เด็กดี ไม่น่าเชื่อว่าจะมีนักโทษหลบหนีถูกมัดไว้อย่างดีสามสิบห้าคน

เหมียวอี้หัวเราะไม่หยุด ไม่ตั้งใจปักกิ่งหลิว หลิวกลับให้ร่มเงา[1] ไม่น่าเชื่อว่าปีศาจตนนี้จะได้นักโทษมามากมายขนาดนี้

เขารีบดูที่กำไลเก็บสมบัติของชิงอวี้หลางอีก ทำให้ยิ่งตกตะลึงอ้าปากค้าง ยังไม่ต้องพูดถึงของอย่างอื่น เกราะรบผลึกแดงกองนั้นมันสะดุดตาเกินไปแล้ว พอลองนับจำนวนคร่าวๆ ก็ทำให้เขาตกใจแทบตาย เป็นเกราะรบผลึกแดงหนึ่งร้อยสามสิบกว่าชุด ทั้งยังมีเกราะทองและเกราะม่วงด้วย อาวุธผลึกแดงก็มีเป็นกองเหมือนกัน

ในจำนวนนั้นยังมีเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงหกชุดด้วย ถามหน่อยว่าเหมียวอี้จะไม่ถลึงตาอ้าปากค้างได้อย่างไร

“ปีศาจตนนี้มันฆ่าคนไปมากเท่าไรกันเนี่ย?” เหมียวอี้พึมพำกับตัวเอง ไม่ค่อยกล้าเชื่อสายตาตัวเองสักเท่าไร

เขาไม่รู้ว่าชิงอวี้หลางร่ำรวยจากการนั่งครองทำเลทองอย่างไร ที่จริงของส่วนใหญ่ในนี้ล้วนได้มาตอนที่ชิงอวี้หลางอยู่ในแดนเถาไม้นี้ได้ไม่นาน ชิงอวี้หลางเองก็คงนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าพวกมันจะโดนเปลี่ยนเจ้าของเร็วขนาดนี้

เขาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูสมุนไพรเซียนซิงหัวที่วางสุมกันมั่วๆ อยู่อีกข้างในกำไลเก็บสมบัติ นับดูคร่าวๆ ก็พบว่ามีห้าร้อยกว่าต้น สีสันและอายุแตกต่างกันไป

“แม่งเอ๊ย! รวยใหญ่แล้วโว้ย!” เหมียวอี้พึมพำแล้วกลืนน้ำลาย เขารู้สึกเหมือนกำลังฝันไป ถึงขั้นสงสัยว่านี่กำลังล้อเล่นอยู่ใช่มั้ย

ไม่กล้าเชื่อ! ผู้บัญชาการเหมียวอี้เรียกสมุนไพรเซียนซิงหัวออมาต้นหนึ่ง แล้วยัดเข้าปากเคี้ยวลิ้มลองรสชาติ หลังจากกลืนลงท้องแล้วแน่ใจว่าเป็นสมุนไพรเซียนซิงหัว เขาถึงได้กล้าเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง เป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอน ไม่ได้กำลังฝันไป

“แม่งเอ๊ย! ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีแล้วจริงๆ!” เหมียวอี้อ้าปากที่ยังเปื้อนเลือด ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นปากของฉลาม หัวเราะโง่ๆ อยู่อย่างนั้น หัวเราะโง่ๆ แล้วจริงๆ

เมื่อนึกย้อนถึงฉากต่อสู้เมื่อครู่นี้ เหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี ในโลกแห่งเถาไม้นี้ ตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชิงอวี้หลางเลย ชิงอวี้หลางมีโอกาสกำจัดตนเยอะเกินไป ตนเริ่มมีความคิดที่จะหนีเอาชีวิตรอดแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับมัววางมาดโอ้อวดอยู่ได้ ผลก็คือโดนตนกำจัดทิ้งไปแล้ว ขณะที่กำลังดีใจที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ เขาส่ายหน้าหัวเราะเย้ยไม่หยุด “เจ้าคนสมองมีปัญหา!”

…………………………

[1] ไม่ตั้งใจปักกิ่งหลิว หลิวกลับให้ร่มเงา มาจากสำนวน 有意栽花花不开,无心插柳柳成阴 ตั้งใจปลูกดอกไม้ กลับไม่ออกดอก ไม่ตั้งใจปักกิ่งหลิว หลิวกลับให้ร่มเงา หมายถึง เรื่องที่บางอย่างที่ตั้งใจทำเต็มที่ แต่สุดท้ายไม่ได้ดั่งใจ แต่บางเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจทำเท่าไหร่ กลับได้ผลตอบแทนเกินคาดหมาย

1044

 

 

บทที่ 1045 หนิวไปแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับ

ขณะที่เขากำลังส่ายหน้าอย่างลำพองใจ จู่ๆ รอบข้างก็มีเสียง “เปาะแปะเปาะแปะ”  เหมียวอี้กวาดสายตามองหมอกสีเทาขมุกขมัวอย่างงุนงง เห็นรางๆ ว่าบนเส้นเถาไม้เริ่มปรากฏรอยปริแตกแล้ว เสียง “เปาะแปะเปาะแปะ” ดังมาไม่หยุด มาจากคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่อ่อนแอจากรอบๆ

เหมียวอี้ตกใจทันที รีบเก็บของในมือ แล้วถือทวนขึ้นมาระแวดระวังรอบๆ ไม่รู้ด้วยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

โครม! เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น! คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์สาดซัด

เถาไม้ที่อยู่โดยรอบพลันพังทลายเป็นวางกว้าง ผนังเถาไม้ก้อนใหญ่ที่กระแทกเข้ามาโดนเหมียวอี้ใช้ทวนตีจนแตกละเอียด

พอได้ลงมือครั้งนี้ เหมียวอี้ถึงได้พบว่าผนังเถาไม้พวกนี้ไม่มีอานุภาพการโจมตีเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เหมือนจะสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ที่คอยสนับสนุนไปแล้ว

สูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ที่คอยสนับสนุนไปแล้วจริงๆ ชิงอวี้หลางตายไปแล้ว เมื่อไร้การควบคุมจากชิงอวี้หลาง ก็ย่อมสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์สนับสนุน พลังอิทธิฤทธิ์ที่ปะทะกันของยอดฝีมือบงกชทองข้างนอกสะเทือนเข้ามาไม่หยุด วัตถุที่ใหญ่ขนาดนี้ไม่สามารถทนรับแรงดึงของตัวเองเมื่ออยู่ภายใต้แรงกระเพื่อมมหาศาลได้

คนส่วนใหญ่ที่อยู่นอกโลกแห่งเถาไม้ต่างก็มองมาทางนี้ เห็นเพียงทะเลเถาไม้ผืนใหญ่โดนคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่อ่อนแอและสับสนวุ่นวายกระเพื่อมเข้ามา ทุกคนได้แต่มองดูโลกแห่งเถาไม้พังทลายลง ไม่นานก็พังตกลงมาและกระจายไปในอวกาศ มีทั้งชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ มีทั้งแตกละเอียด

รอบข้างเริ่มกว้างโล่งขึ้นทีละนิด เหมียวอี้เหลียวซ้ายแลขวา มองดูโลกแห่งเถาไม้ที่เมื่อครู่นี้ยังปกคลุมตัวเองอยู่ค่อยๆ ลอยไปไกล ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลเริ่มปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็พบว่ามีสายตามากมายกำลังจับจ้องตนอยู่

อิ๋งเหย้ ผู้บัญชาการใหญ่อิ๋งรีบใช้สายกวาดมองรอบๆ แต่มองไม่เห็นคนของชิงอวี้หลางแล้ว อย่าว่าแต่ชิงอวี้หลาง แม้แต่เงาของลูกน้องตัวเองเขาก็ไม่เห็นเลยสักคน จินตนาการได้ไม่ยากว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร

อย่าบอกนะว่า…ตายกันหมดแล้ว? อิ๋งเหย้าสะเทือนใจอย่างแรง เดินถอยไปข้างหลังอย่างโซเซเล็กน้อย ใบหน้าซีดเผือด เขารีบหยิบระฆังดาราออกมา อยากจะติดต่อกับชิงอวี้หลาง แต่กลับไม่ได้ร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าเลย เขากลัวว่าจะเป็นจริงอย่างที่คิด…จึงเก็บระฆังดาราเอาไว้ ไม่อยากรับความจริงนี้ ไม่กล้ายืนยันให้แน่ใจ ทำได้เพียงเฝ้ารอสิ่งที่เหนือความคาดหมายในใจ เรียกได้ว่าแยกเขี้ยวยิงฟันมองเหมียวอี้

คนอื่นๆ ที่อยู่ตรงจุดหมายสุดท้ายก็รีบกวาดสายตาไปรอบๆ เช่นกัน เมื่อไม่เห็นพวกชิงอวี้หลาง แต่ละคนจึงมองไปที่เหมียวอี้อย่างประหลาดใจ

“อย่าบอกนะว่าเจ้าเวรที่มันมาเฝ้าอยู่หน้า  ‘ประตูบ้าน’ โดนกำจัดไปแล้ว?” มีบางคนพึมพำ คนที่ยืนอยู่ข้างอิ๋งเหย้าต่างก็หันกลับมามองที่อิ๋งเหย้า เพราะพวกเขารู้ว่าพวกชิงอวี้หลางเป็นคนของอิ๋งเหย้า ตอนที่ผู้บัญชาการใหญ่ซีเหมินทะเลาะกับอิ๋งเหย้าก่อนจะโดนเกาก้วนลงโทษ ทุกคนล้วนได้เห็นหมดแล้ว

โค่วเหวินหวงกระตุกมุมปากอย่างแรง เหมือนจะรู้สึกได้รางๆ ว่าตัวเองแกว่งเท้าหาเสี้ยน

โค่วเหวินหลานดีใจเหนือความคาดหมายอีกครั้ง จ้องเหมียวอี้พลางยิ้มกว้างเห็นฟัน พบว่าลูกน้องคนนี้สร้างความประหลาดใจให้ตนครั้งแล้วครั้งเล่า อย่าบอกนะว่ากำจัดนักพรตบงกชทองขั้นแปดทิ้งไปแล้วจริงๆ?

แต่เมื่อได้เห็นสภาพเหมียวอี้ที่ใบหน้าเปื้อนเลือด เกราะรบเปื้อนเลือด ในใจก็รู้สึกเป็นทุกข์ แน่ใจได้เลยว่าเมื่อครู่นี้เหมียวอี้เพิ่งผ่านศึกนองเลือดมา!

“เจ้าหก นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีลูกร้องคนสนิทที่ห้าวหาญขนาดนี้ ดูท่าแล้ว หลายปีมานี้เจ้าคงจะสิ้นเปลืองกำลังความคิดไปมากตอนที่อยู่ข้างนอก!” โค่วเหวินชิงถ่ายทอดเสียงกล่าวอย่างตกตะลึง

โค่วเหวินหลานยังไม่ทันได้ตอบ โค่วเหวินหวงก็ถ่ายทอดเสียงบอกเขาแล้วว่า “เจ้าหก ลองถามดูหน่อยว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นฆ่าลูกน้องของอิ๋งเหย้าไปแล้วใช่มั้ย ถ้าใช่ ก็ถามหน่อยว่าได้นักโทษมาเท่าไร”

โค่วเหวินหลานเอียงหน้า เหลทอบมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง รู้ว่าเขามีเจตนาแอบแฝงอะไร จึงไม่แยแส

“ทำไมเจ้ามีท่าทีแบบนี้?” โค่วเหวินหวงโมโหทันที

โค่วเหวินหลานยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน แค่ไม่คอบคำถาม ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของเขา

โค่วเหวินชิงมองดูปฏิกิริยาของทั้งสองคน นางได้แต่แอบส่ายหน้าเงียบๆ

เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักก็มองเหมียวอี้อีกหลายครั้ง เหมียวอี้ดึงดูดสายตาของเขาอีกครั้ง

พวกโฉวตั้งไห่ยังไล่สังหารอยู่บนท้องฟ้า เมื่อมองเห็นเหตุการณ์ทางนี้ชัดเจนแล้ว ก็รีบใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองตรงจุดหมายสุดท้ายที่กลุ่มคนมารวมตัวกัน ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ และไม่เห็นพวกชิงอวี้หลางกลับไปด้วย แต่ละคนตกใจไม่หาย ชิงอวี้หลางตายด้วยน้ำมือหนิวโหย่วเต๋องั้นเหรอ?

“น้องหนิว ช่วยข้าด้วย!” จู่ๆ บนฟ้าก็มีเสียงตะโกนเรียกอย่างเศร้าโศก

การเปลี่ยนแปลงกะทันหันทางด้านนี้ได้ดึงดูดความสนใจของมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานแล้วเช่นกัน สวีถังหรานราวกับมองเห็นเทพผู้ช่วยชีวิต ราวกับคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ได้ กำลังร้องห่มร้องไห้เหมือนผีสางเพื่อขอความช่วยเหลืออยู่ตรงนั้น

ทั้งสองมีสภาพน่ารันทดมากจริงๆ เกราะหัวของทั้งคู่โดนโจมตีพังไปแล้ว ผมเผ้ายุ่งสยายและทั้งตัวมีรอยเลือด มู่หรงซิงหัวยกแขนข้างหนึ่งไม่ไหวแล้ว ใช้มือข้างเดียวถือทวนขี่เดรัจฉานสับปลับเร่งหลบหนี ส่วนสวีถังหรานก็ยิ่งสะบักสะบอม ยกแขนข้างหนึ่งไม่ไหวแล้วเช่นกัน ดาบผลึกแดงในมือก็ไม่มีแล้ว กำลังถือดาบยาวสีทองที่เคยใช้ก่อนหน้านี้ด้วยมือข้างเดียว

ที่จริงไม่ใช่แค่ดาบยาวผลึกแดงที่โค่วเหวินหลานให้ที่หายไป ผลประโยชน์ที่เก็บเกี่ยวได้ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีแล้วเช่นกัน จึงนำอาวุธที่เพิ่งได้ออกมารับมือด้วยความจนใจ สัตว์พาหนะของเขาก็ตายแล้วเช่นกัน ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ข้างหลังมู่หรงซิงหัว ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อครู่นี้มู่หรงซิงหัวเสียงชีวิตมาช่วย เขาก็คงตายไปแล้ว

ตอนนี้ทั้งสองขี่สัตว์พาหนะตัวเดียวกัน กำลังถูกคนหกคนไล่สังหารจนหนีหัวซุกหัวซุนไปทั่ว เรียกได้ว่าอยู่ในสถานการณ์เฉียดตาย

เดิมทีทั้งสองคิดว่าตัวเองจะต้องตายแล้วแน่ๆ กำลังดิ้นรนครั้งสุดท้าย แต่ใครจะคิดว่าจะได้มองเห็นเหมียวอี้อีก เรียกได้ว่าพอจะมองเห็นความหวังบ้างแล้ว

สวีถังหรานที่ตะโกนขอความความช่วยเหลือสุดชีวิตหวาดกลัวมาก เป็นเพราะเหมียวอี้อยู่ใกล้จุดหมายสุดท้ายที่สุด ทั้งยังไม่มีใครมาสกัดกั้นด้วย มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเปลี่ยนเป็นสวีถังหราน ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา เขาจะต้องกลับไปก่อนแน่นอน

ที่จริงแล้วในสายตาของคนอื่นๆ ที่อยู่ตรงจุดหมายสุดท้าย ก็มีคนไม่น้อยที่เดาว่าเหมียวอี้จะกลับมา ถึงอย่างไรโฉวตั้งไห่ก็พูดไว้แล้วตอนที่โยนของให้เหมียวอี้ บอกให้เขานำของกลับมาให้ผู้บัญชาการใหญ่ก่อน เหตุผลนี้ไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่าดีขนาดไหน สามารถปลีกตัวออกจากอันตรายได้อย่างสง่าผ่าเผย

ใครจะคิดว่าพอได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เหมียวอี้ก็หันขวับทันที โบกทวนชี้พร้อมตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “บังอาจ!”

ทั้งตัวพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าไปหามู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานที่กำลังหนีเอาชีวิตรอดอย่างฉุกละหุก

ไม่รู้ว่าการกระทำนี้ทำให้คนมากมายตั้งเท่าไรงุนงง โค่วเหวินหวงกำลังตาค้าง โค่วเหวินหลานเม้มริมฝีปาก ส่วนโค่วเหวินชิงก็กล่าวเสียงดังฟังชัดขณะตกตะลึงว่า  “ลูกผู้ชายตัวจริง!”

เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันได้หน้าตำหนักแปลกใจเล็กน้อย แววตาวูบไหวและไปหยุดอยู่ที่ตัวเหมียวอี้ นับว่าจ้องมองเหมียวอี้อย่างเป็นทางการแล้ว

เมื่อเห็นเหมียวอี้มาช่วยเหลือ มู่หรงซิงหัวที่ผมดำสยายประหน้าและมีเลือดไหลตรงมุมปากก็ยิ้มอย่างสดใส มีความมั่นใจแล้ว ไม่ได้มั่นใจว่าจะรอดชีวิต แต่มั่นใจในตัวผู้ชายบนโลกนี้ ใช่ว่าผู้ชายทุกคนจะเป็นพวกไร้คุณธรรมน้ำมิตรเสียทั้งหมด ไม่อย่างนั้นการเกิดมาเป็นผู้หญิงอยู่ในโลกนี้คงจะเศร้าวังเวงเกินไป!

นางไม่สนใจอะไรแล้ว สู้ตายแม้อาจจะโดนคนดักสังหาร เลี้ยวสัตว์พาหนะเปลี่ยนทิศทาง พุ่งไปทางเหมียวอี้ด้วยความเร็วสูงเพื่อรวมตัวกัน เดรัจฉานสับปลับที่ได้รับบาดเจ็บเรียกได้ว่าแสดงความเร็วจนถึงขีดสุด

เป็นอย่างที่คาดไว้ ทางซ้ายและขวามีสัตว์พาหนะสองตัวพุ่งเข้ามาโจมตีทั้งสองด้วยความเร็ว คนหนึ่งกวาดดาบฟันไปทางมู่หรงซิงหัว อีกคนถือทวนแทงเข้ามาอย่างดุดัน

“ฆ่า!” มู่หรงซิงหัวตะโกนจนเสียงแตก ใช้มือข้างเดียวโบกทวนฟาดเข้าไป

ปั้ง! ถึงแม้ดาบที่กวาดเข้ามาจะกระเด็นออกไปแล้ว แต่ทวนในมือของมู่หรงซิงหัวก็สะเทือนจนกระเด็นเช่นกัน ถึงแม้ศัตรูจะมีวรยุทธ์ไม่ต่างกับนางเท่าไร แต่ถึงอย่างไรนางก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส กอปรกับแขนอีกข้างไร้เรี่ยวแรง ทนรับการโจมตีอย่างสุดกำลังของฝ่ายตรงข้ามไม่ไหว

สวีถังหรานที่นั่งอยู่ข้างหลังนางตกใจจนขวัญกระเจิง พยายามควงดาบฟาดทวนที่แทงเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

แกร๊ง! เกิดเสียงดังสะเทือน ถึงแม้ทวนที่อีกฝ่ายแทงเข้ามาจะโดนฟาดจนเบี่ยงไปเล็กน้อย ถึงหลีกเลี่ยงจุดสำคัญได้แล้ว แต่กลับโดนแทงใต้ชายโครงเขาทวนหนึ่ง ทวนในมือสะเทือนจนกระเด็นไปแล้วเช่นกัน

เขากระอักเลือดใส่ศีรษะมู่หรงซิงหัว โชคดีที่มู่หรงซิงหัวยื่นแขนไปคว้าเขาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงจะโดนทวนปาดกระเด็นออกไปแน่ๆ

มีความโชคดีอยู่ในความโชคร้าย ทั้งสองขี่สัตว์พาหนะตัวเดียวตีฝ่าการขนาบโจมตีจากสองฝั่งออกไปได้แล้ว

แต่สัตว์พาหนะสองตัวข้างหลังยังไล่ตามมาปล่อย โชคดีที่ตอนนี้เสียงตะโกนของเหมียวอี้ดังมาจากไกลๆ “หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่ อย่าหนีนะ!”

เสียงตะโกนนี้ ทำให้สองคนที่ไล่ตามหลังมารีบหยุดชะงัก ไม่กล้าไล่ตามไปข้างหน้าต่อแล้ว สี่คนที่ร่วมมือกันไล่โจมตีตามมาข้างหลังก็รีบหยุดเช่นกัน มองเหมียวอี้ที่พุ่งเข้ามาอย่างระแวงสงสัยนิดหน่อย คนโหดคนนี้ตีฝ่าไปจนถึงด่านสุดท้ายแล้ว แต่แทนที่จะกลับดันย้อนมาอีกเหรอ?

เหมียวอี้พุ่งเข้ามารับหน้า พอหยุดตรงหน้าหน้าสัตว์พาหนะของมู่หรงซิงหัว ก็ตะโกนบอกว่า “ไปนั่งข้างหลัง! เดี๋ยวข้าควบคุมสัตว์พาหนะเอง!”

มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานดีใจมาก ไม่ได้คิดอะไรมาก ทั้งสองขยับไปข้างหลังเพื่อเว้นที่ว่างให้เขาทนัที ขณะเดียวกันมู่หรงซิงหัวก็ส่งต่อเดรัจฉานสับปลับให้เหมียวอี้ควบคุม

เหมียวอี้เหาะลงมาเหยียบ แล้วควบคุมเดรัจฉานสับปลับให้บินสองรอบเพื่อทดสอบการเชื่อฟังของมัน

“น้องหนิวมาได้ทันเวลา ถ้ามาช้ากว่านี้นิดเดียว ข้าคงตายไปแล้ว!” สวีถังหรานร้องไห้อย่างดีใจปนเศร้าโศก จากนั้นก็อุทานตามอย่างตกใจทันที “น้องหนิว เจ้าจะทำอะไรน่ะ?”

มู่หรงซิงหัวก็ตกใจจนหน้าถอดสีเช่นกัน ทีแรกนางกับสวีถังหรานนึกว่าเหมียวอี้จะกลับไป คาดไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเลี้ยวสัตว์พาหนะ ถือทวนเฉียงไว้ในมือ ควบขี่สัตว์พาหนะเร่งไล่ล่าหกคนที่ไล่สังหารพวกเขาก่อนหน้านี้  ขณะเดียวกันก็ตะโกนทิ้งท้ายอย่างดุดันว่า “ไอ้พวกคนทรามมันบังอาจกำเริบเสิบสาน หนิวไปแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับ!”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พอเห็นมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานโดนรังแกจนยับเยินขนาดนี้ ไฟโกรธในใจเขาก็ลุกโชนจนควบคุมไม่อยู่ทันที นิสัยบางอย่างมันฝังอยู่ในกระดูกแล้ว

มีเดรัจฉานสับปลับช่วยเพิ่มความน่าเกรงขาม ไล่ตามหกคนนั้นไปอย่างรวดเร็ว

หกคนนั้นหยุดลอยอยู่บนท้องฟ้า เดิมคิดว่าแค่เลิกไล่สังหารสองคนนั้นก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว แต่พอได้เห็นสถานการณ์แบบนี้ พวกเขาก็ตกใจมาก คนที่เป็นหัวหน้าโบกมือพร้อมตะโกนว่า “คนนี้ห้าวหาญเกินใคร ใช้กำลังสู้ไม่ได้ อย่าเพิ่งแสดงฝีมือ หนี!”

ทั้งหกคนขี่สัตว์พาหนะเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง แล้วเหาะหนีเอาชีวิตรอดทันที

“อย่าหนีนะ! รีบมาสู้ตายกับข้าสักตั้ง!” เหมียวอี้เลือดเลอะเต็มหน้า โบกทวนคำรามขณะไล่ตามอยู่ข้างหลัง

หกคนที่หนีอยู่ข้างหน้าหันกลับมามองเป็นระยะ นักพรตบงกชทองขั้นสามคนหนึ่งกล้าไล่สังหารกลุ่มนักพรตบงกชทองขั้นห้า แบบนี้ต้องมีความมั่นใจขนาดไหนกัน คนมีฝีมือมักกล้าหาญไงล่ะ! ดังนั้นแล้ว…ผีที่ไหนจะไปสนใจเขา การหนีอย่างบ้าคลั่งต่อไปต่างหากที่เป็นสิ่งที่สำคัญ

“อย่าหนีนะ!” สวีถังหรานก็แหกปากตะโกนเช่นกัน ก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายหลบหนีการไล่สังหารมาตลอด ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายไล่คนอื่นแล้ว การได้ระบายความโมโหแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าสะใจขนาดนี้

มู่หรงซิงหัวที่นั่งอยู่ข้างหลังมองเหมียวอี้ที่กำลังเกรี้ยวกราดดุดันแวบหนึ่ง นางมองเขาด้วยแววตาล้ำลึก

ณ จุดหมายสุดท้าย ใครบางคนทำกำลังสีหน้าบิดเบี้ยว เริ่มข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เพราะหกคนที่กำลังหนีคือลูกน้องของเขา

คนไม่น้อยที่อยู่ตรงนั้นส่งเสียงหัวเราะออกมา ก็อย่างที่บอกไว้ นักพรตบงกชทองขั้นสามคนหนึ่งไล่สังหารกลุ่มนักพรตบงกชทองขั้นห้า ขี่สัตว์พาหนะตัวเดียวไล่ล่าจนคนอีกกลุ่มหนีอย่างสะบักสะบอม นี่มันแปลกประหลาดขนาดไหนกัน มีคนมากมายเดาะลิ้นชมด้วยความทึ่ง

1045

 

 

 

บทที่ 1046 มีเพียงการสู้ตายเท่านั้น

โค่วเหวินหลานเห็นแล้วส่ายหน้ายิ้ม เป็นหน้าเป็นตาให้เขามากจริงๆ เพียงแต่รอยยิ้มดูฝืนใจนิดหน่อย รู้สึกว่าการกระทำของเหมียวอี้ในตอนนี้ไม่ค่อยฉลาดนัก

โค่วเหวินชิงยกมือตบบ่าเขา แสดงความรู้สึกออกมาทั้งหมดแม้จะไม่ได้พูดอะไร

ในใจโค่วเหวินหวงกลับรู้สึกเลี่ยนแทบแย่ ยิ่งเหมียวอี้ห้าวหาญชาญชัย ในใจเขาก็ยิ่งหงุดหงิด

ฮุยชิงเหยียนยังคงโจมตีฝานอวี้เฟยอย่างบ้าคลั่ง นางเจียดเวลามองไปที่เหมียวอี้แวบหนึ่ง รู้สึกคันไม้คันมือนิดหน่อย

นางเดาว่าเหมียวอี้คงจะได้ของมาจากชิงอวี้หลางแล้วไม่น้อย เลยอยากจะไปดักสังหารเหมียวอี้ แต่ก่อนหน้านี้นางได้เห็นเหมียวอี้ประมือกับฝานอวี้เฟย วรยุทธ์บงกชทองขั้นสามแต่ดันทุรังโจมตีจนฝานอวี้เฟยสะบักสะบอมและสูญเสียสัตว์พาหนะ แม้แต่ชิงอวี้หลางก็ยังจบชีวิตด้วยน้ำมือเหมียวอี้ มิหนำซ้ำตอนนี้นางก็ไม่มีสัตว์พาหนะแล้ว คิดไปคิดมาก็ทำได้เพียงปล่อยผ่าน ได้แต่จับนางตัวดีฝานอวี้เฟยมาทรมานต่อไป ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยนางให้รอดไปตอนนี้ นางก็จะไม่ปล่อยตนไปเหมือนกัน จึงจัดการนางต่อไป!

ผังลิ่งกงก็ใจเต้นแรงกับเนื้อชิ้นใหญ่อย่างเหมียวอี้เช่นกัน แต่ไล่ตามคนอื่นมาไกลเกินไป กอปรกับกำลังคนมีไม่พอ มิหนำซ้ำยังไม่ค่อยมั่นใจว่าจะจัดการเหมียวอี้สำเร็จ เขาเคยได้รับรู้ถึงพลังของชิงอวี้หลางมาก่อน ขนาดชิงอวี้หลางยังตายด้วยน้ำมือเจ้าเวรนี่ คิดไปคิดมาก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอยู่ดี

โฉวตั้งไห่เองก็มีความคิดนั้น แต่ถึงอย่างไรก็เป็นกำลังคนของตระกูลโค่วเหมือนกัน ถ้าฆ่ากันเองต่อหน้าฝูงชนจะดูเหลวไหลไปหน่อย เกรงว่ากลับไปแล้วจะอธิบายลำบาก แล้วการตายของชิงอวี้หลางก็ทำให้เขาหวาดกลัวอยู่บ้างเหมือนกัน คิดว่าผู้บัญชาการใหญ่โค่วอาจจะมีหนทางก็ได้

ขณะที่ทุกคนกำลังมีความคิดแปลกๆ อยู่ในใจ จู่ๆ ก็มีคนอีกกลุ่มพุ่งออกไป เหล่าผู้บัญชาการที่หนีไปก่อนหน้านี้กลับมาอีกแล้ว ด่านยากด่านสุดท้ายก่อนจะถึงจุดหมายปลายทางถูกคนโจมตีพังแล้ว พวกเขาย่อมฉวยโอกาสนี้ปลีกตัวออกมา

ดังนั้นพวกผังลิ่งกงที่เคยไล่ตามคนจนกระเจิดกระเจิง ตอนนี้เลยได้เป้าหมายที่สะดวกต่อการล่ามากขึ้นแล้ว จึงกลับมาอย่างรวดเร็ว

ส่วนสัตว์พาหนะของเหมียวอี้ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บมา ความเร็วจึงสู้สัตว์พาหนะของหกคนนั้นไม่ได้ พอไล่ตามไปสักพักแล้วเห็นว่ายิ่งไล่ยิ่งไกล เลยทำได้เพียงยอมแพ้ เลี้ยวสัตว์พาหนะอีกครั้ง พุ่งกลับสู่จุดหมายสุดท้าย

แต่ข้างหน้ามีคนกลุ่มหนึ่งโดนคนของโฉวตั้งไห่ดักไว้ ขวางทางพวกเหมียวอี้พอดี เหมียวอี้มีทำสีหน้าดุร้ายเพราะยังไม่ได้ระบายความโกรธจึงไม่หลบ พุ่งเข้าไปโดยตรง พร้อมตะโกนว่า “หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่ ใครขวางข้า ตาย!”

บอกจะฆ่าจะฆ่าจริงๆ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง พอโบกทวนยาวออกมา ก็โจมตีเข้าไปกลางวงของคนที่หนีกระเจิดกระเจิง ราวกับมือซ้ายมือขวาหมุนเวียนกันยิงศร โบกทวนทั้งแทงทั้งปาดติดต่อกัน ชั่วพริบตาเดียวก็ฆ่าไปแล้วหกคน ปาดสัตว์พาหนะคว่ำไปสามตัว ห้าวหาญไร้ที่เปรียบ สังหารจนพินาศย่อยยับ เสียงกรีดร้องดังติดต่อกัน ไม่มีใครต้านทานเขาได้ สังหารเลือดสาดตลอดทางราวกับแหวกฝ่าคลื่น และไม่สนใจจะเก็บสมบัติจากตัวคนพวกนั้นด้วย

“พวกเดียวกัน…” ลูกน้องสองคนของโฉวตั้งไห่เห็นเหมียวอี้โจมตีเข้ามา จึงรีบบอกเตือน

ไม่สนหรอกว่าจะเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ เหมียวอี้ไม่ได้เห็นว่าพวกเขาอยู่ฝ่ายเดียวกับตัวเอง นิสัยนักฆ่ากำลังพุ่งพล่าน ออกทวนไปทางซ้ายทางขวา เลือดสดสาดกระจายสองกลุ่ม เสียงกรีดร้องดังสองครั้ง ใช้ทวนปาดตายไปแล้วสองคน สังหารฝ่ากลางกลุ่มคนไปอย่างนั้นเสียเลย เร่งกลับสู่จุดหมายสุดท้าย

“โฉวตั้งไห่ที่กำลังต่อสู้หันกลับมามองแวบหนึ่ง เห็นเหมียวอี้ฆ่าคนของเขาไปแล้ว จึงตะโกนอย่างเดือดดาลทันที “”โจรทราม บังอาจขนาดนี้เลยเหรอ!””

เหมียวอี้ขี้เกียจแม้แต่จะหันหน้ากลับมา”

ตรงจุดหมายสุดท้ายมีคนไม่น้อยที่พูดไม่ออก ต่างก็กำลังแอบอุทานในใจ คนคนนี้วรยุทธ์ไม่สูง แต่กลับห้าวหาญมีพลังมาก!

โค่วเหวินหวงกลับโมโหแล้ว จ้องโค่วเหวินหลานอย่างดุร้าย พร้อมถ่ายทอดเสียงตะคอกถาม “คนของเจ้าทำอะไร?”

“เขาบอกแล้วไงว่า ใครขวางข้าตาย เพราะคนของท่านเห็นว่าเขาอ่อนแอรังแกได้ง่ายๆ ไงล่ะ!” โค่วเหวินหลานเถียงกลับอย่างแข็งกร้าว

“เจ้า…” โค่วเหวินหวงชี้เขาพร้อมแยกเขี้ยวยิงฟัน

เมื่อเห็นทั้งสองตึงใส่กันอย่างถึงที่สุดแล้ว โค่วเหวินชิงก็ย่องมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสอง

“เป็นทหารที่องอาจกล้าหาญจริงๆ!” เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักพลันเอ่ยชม แล้วหันกลับมาบอกว่า “ไปสืบมาว่าเป็นคนของใคร!”

ไม่ต้องสืบเลย จุยหย่วนพ่อบ้านที่รับผิดชอบจัดการเรื่องพวกนี้มีข้อมูลอยู่ในใจบ้างแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้ยินชื่อ ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ติดต่อกันเรื่อยๆ เขาก็ไปหาข้อมูลเตรียมไว้แล้ว ตอนนี้สามารถตอบได้ทันที เขาโค้งตัวเล็กน้อย พร้อมกุมหมัดคารวะตอบ “หนิวโหย่วเต๋อ คนของโค่วเหวินหลาน หลานชายคนเล็กของอ๋องสวรรค์โค่วขอรับ การทดสอบครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเขากับเจ้าเด็กของตระกูลเซี่ยโห้ว นายท่านผู้คุมคงจะทราบเรื่องราวเบื้องลึก”

เกาก้วนชะงักงัน แล้วถามอย่างสงสัย “โค่วเหวินหลาน? เจ้าเด็กที่ถูกคนอื่นล้อว่า ‘ไอ้ตุ้งติ้ง’ น่ะเหรอ?”

“ใช่แล้วขอรับ!” จุยหย่วนพยักหน้าตอบ

“ลูกเขามากันกี่คน?” เกาก้วนถามอีก

“เขาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ มีลูกน้องเข้าร่วมการทดสอบเพียงสี่คน นับว่ามีกำลังคนน้อยขอรับ” จุยหย่วนตอบ

“แค่สี่คนเองเหรอ? มีแค่สี่คนก็สามารถโดดเด่นเกินหน้าคนอื่น…โอกาสล้วนมีไว้สำหรับคนที่เตรียมพร้อม เจ้าพวกที่ยามปกติรู้จักแต่ใช้อุบายสู้กัน อาศัยเส้นสายไต่เต้าตำแหน่ง เวลาเจอปัญหากลับดีแต่กอดเท้าพระพุทธรูป! การทดสอบที่กะทันหันครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อกดดันคนพวกนั้นนั่นแหละ! เฮ้อ! ลูกน้องหอกข้างแคร่ของราชันสวรรค์ยังไม่หมดไป ใต้หล้ายังไม่สงบอย่างแท้จริง มีสมาคมวีรชนคอยสืบหาเบาะแสของศัตรูตัวฉกาจไปทั่วทุกแห่งโดยไม่หยุดหย่อน! ใต้หล้าถึงได้สงบสุขมาได้เป็นแสนปี เลยกลายสภาพเป็นแบบนี้ แต่ละคนใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย! โค่วเหวินหลานคนนี้สามารถรับมือกับการทดสอบของตำหนักสวรรค์ได้ ช่างเป็นคนที่มีปณิธาน ยามปกติมีความตั้งใจ แต่ต้องรอให้ถึงช่วงเวลาสำคัญถึงจะนำออกมาใช้ สงสัยคนเราจะมองกันแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ!” เกาก้วนเอ่ยชมพลางพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ทำเสียงฮึดฮัดอีก “เดิมทีนึกว่าจะเป็นพวกชอบอาศัยทางลัดกันหมด นึกไม่ถึงว่ามาที่นี่แล้วจะได้เห็นแสงสว่างบ้าง!”

จุยหย่วนยิ้มอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร เพียงตอบใช่คำเดียว!

กลุ่มแรกที่กลับถึงจุดหมายสุดท้ายปรากฏออกมาแล้ว มีสามคน!

เดรัจฉานสับปลับเหยียบลงพื้น เหมียวอี้และเพื่อนอีกสองคนกระโดดลงจากสัตว์พาหนะ

พอเหยียบลงพื้น ก็นับว่ากลับถึงจุดหมายสุดท้ายอย่างเป็นทางการ ทั้งสามเรียกได้ว่าโล่งใจอย่างแท้จริง ในที่สุดก็ปลอดภัยแล้ว! ในที่สุดก็ผ่านด่านยากของการทดสอบหนึ่งร้อยปีมาแล้ว ในที่สุดก็เก็บชีวิตกลับมาได้ ไม่ง่ายเลยนะ!

ท่ามกลางกลุ่มผู้บัญชาการใหญ่ ใบหน้าโค่วเหวินหลานเปี่ยมล้นด้วยความปีติยินดี รีบเดินก้าวยาวแยกออกมาจากกลุ่มคน โค่วเหวินหวงกับโค่วเหวินชิงก็ตามติดมาข้างหลังเช่นกัน ปี้เยว่ฮูหยินเองก็ก้าวตามหลังมาอย่างช้าๆ

พอเห็นโค่วเหวินหลาน ในใจสวีถังหรานก็แอบรู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง ตอนท่ามกลางสายตาฝูงชน เขาไม่ได้แสดงบทบาทอะไรเลย เวลาโดนคนอื่นโจมตีก็ได้แต่หนี ทั้งยังร้องโวยวายให้ช่วยชีวิต เสียหน้าแล้วจริงๆ ต่อไปจะอยู่ยังไงล่ะ…

แต่พอเห็นโค่วเหวินหลานทำท่าทางดีใจมาก เจ้าหมอนี่ก็แอบทำสายตาลอกแลก ขณะเดียวกันก็แอบร่ายอิทธิฤทธิ์ขับน้ำตาออกมา ทั้งยังร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นจุดที่บาดเจ็บในร่างกาย มีเลือดสดทะลักออกจากมุมปากทันที น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาแล้วเช่นกัน

ท่ามกลางสายตาฝูงชน เห็นเพียงสวีถังหรานแกว่งแขนพิการข้างหนึ่ง ลากขาพิการข้างหนึ่งอยู่บนพื้น น้ำตาไหลพราก กระโดดเข้าไปด้วยขาข้างเดียว นำหน้าไปรับโค่วเหวินหลานที่เดินก้าวยาวเข้ามา

“ผู้บัญชาการใหญ่!” สวีถังหรานลากเสียงยาว ร้องไห้ราวกับน้ำตาจะเป็นสายเลือด มุมปากมีเลือดไหลออกมาจริงๆ สภาพเหมือนกำลังผลักภูเขา เดินลากขาพิการมาคุกเข้าลงตรงหน้าโค่วเหวินหลาน แล้วใช้แขนข้างหนึ่งกอดต้นขาโค่วเหวินหลานเอาไว้ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร้องไห้เสียงโวยวายเสียงดัง “ร้อยปีก่อนได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการใหญ่ให้มาสถานที่ไร้ระเบียบ มาด้วยจิตใจฮึกเหิม ทว่าอันตรายในระหว่างนั้นยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้ หนึ่งวันนานเหมือนหนึ่งปี สุดแสนจะทรมาน เดิมทีข้าน้อยคิดว่าจะไม่ได้กลับมาเจอผู้บัญชาการใหญ่อีกแล้ว อยากจะตายเพื่อตอบแทนบุญคุณของผู้บัญชาการใหญ่! ภายใต้ศึกนองเลือดที่ไม่อาจคาดเดานับครั้งไม่ถ้วน ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถเก็บชีวิตกลับมาพบกับผู้บัญชาการใหญ่ได้อีกครั้ง โชคดี! โชคดีมาก! ร่างกายพิการไร้ประโยชน์นี้ ได้กลับมารายงานผลภารกิจกับผู้บัญชาการใหญ่แล้ว!”

นั่นเรียกได้ว่าร้องไห้ฟูฟายจริงๆ ร้องแบบมีทั้งเลือดทั้งน้ำตา ทุกข์ทรมานกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ทุกคำพูดล้วนมีน้ำตา ซาบซึ้งสะเทือนใจ ทำให้ผู้ที่ได้ยินปวดใจ ได้ยินแล้วน้ำตาไหล

โค่วเหวินหลานเดิมทีมีอารมณ์เบิกบานใจสุดๆ แต่พอโดนเจ้าบ้านี่ปั่นอารมณ์ ก็ควบคุมตัวเองลำบากทันที เขาเป็นที่คนค่อนข้างรักสะอาด แต่กลับใช้มือลูบศีรษะที่ยุ่งเหยิงปนเลือดของสวีถังหราน เบ้าตาแดงก่ำ เม้มริมฝีปากแน่น ไม่น่าเชื่อว่าจะสะเทือนใจจนพูดไม่ออก ริมฝีปากเผยอหลายครั้ง แต่กลับซึ้งใจจนพูดอะไรไม่ออก

คนรอบข้างได้ยินแล้วทอดถอนใจไม่หยุด เมื่อได้เห็นการเข่นฆ่าที่ดุเดือดตรงหน้า ก็เหมือนจะนึกออกแล้วว่าหลายปีมากนี้ลูกน้องตัวเองลำบากขนาดไหน ทุกคนต่างก็สู้สุดชีวิต สามคนตรงหน้าที่กลับมารายงานผลภารกิจก็คือหลักฐาน

ชั่วพริบตาเดียว ไม่น่าเชื่อว่าทุกคนจะลืมภาพของสวีถังหรานตอนที่จนตรอกร้องโวยวายเหมือนผีสางเพื่อขอให้ช่วยชีวิตไปแล้ว

โค่วเหวินชิงที่ยืนอยู่ข้างกายโค่วเหวินหลานก็น้ำตาคลอแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นสวีถังหรานร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด บอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ ภาพที่ผู้ชายคนหนึ่งฟูมฟายร้องห่มร้องไห้ สะเทือนใจเกินไปแล้ว! เรียกน้ำตาเกินไปแล้ว! น่าเวทนาเกินไปแล้ว! นางทนมองไม่ได้อีกต่อไป จึงเอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อมองไปอีกด้าน

เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักมองมาทางนี้ เขาพยักหน้าเล็กน้อย ถ่ายทอดทอดเสียงบอกจุยหย่วนที่อยู่ข้างๆ ว่า “เห็นแล้วหรือยัง โค่วเหวินหลานคนนี้คัดเลือกลูกน้องได้เก่ง สิ่งนี้ทำให้มองออกถึงความสามารถของเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะลูกน้องที่ไว้ใจได้แบบนี้ ช่างมีความตั้งใจจริง ไม่อย่างนั้นลูกน้องของเขาจะโจมตีกลับมาเป็นคนแรกได้ยังไง!”

เหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวที่เดินตามมาทีหลัง พอได้เห็นสภาพแบบนั้นของสวีถังหราน พวกเขาก็แอบตกตะลึงนิดหน่อย มองหน้ากันเลิกลั่กอย่างอดไม่ได้ พึมพำในใจว่า ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ? กินสมุนไพรเซียนซิงหัวไว้ล่วงหน้าแล้วไม่ใช่หรือไง? ทำไมจนป่านนี้ยังอาเจียนเป็นเลือดอีก นี่ต้องบาดเจ็บหนักขนาดไหนกัน แม้แต่สรรพคุณของสมุนไพรเซียนซิงหัวก็ควบคุมไม่อยู่เหรอ? เจ้าเวรนี่แสดงละครเก่งเกินไปแล้ว ในภายหลังใครจะกล้าพูดอีกว่าสวีถังหรานไร้ประโยชน์ สามารถใช้ปากได้เก่ง ภายใต้น้ำตาปนสายเลือดของเจ้าบ้านี่ ไม่รู้ว่าทำให้ผลงานส่วนนี้ขยายใหญ่ขึ้นตั้งกี่เท่า พวกเราสองคนนับว่าได้อาศัยบารมีไปด้วยหรือเปล่า?

เพียงแต่ในใจเหมียวอี้รู้สึกเลี่ยนนิดหน่อย ในหนึ่งร้อยปีมานี้ นอกจากจะเข้าครัวทำอาหารได้ เจ้าชาติสุนัขนี่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ข้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปต่อสู้ ทำไมดูเหมือนไม่มีผลงานใหญ่เท่าเจ้าเลยล่ะ มารดาเจ้าเถอะ การแหกปากร้องไห้มันยอดเยี่ยมกว่าตอนที่ข้าสู้สุดชีวิตอีก ดูสิว่าทำเอาเจ้าตุ้งติ้งซาบซึ้งจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว

โค่วเหวินหลานพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง โน้มตัวยื่นสองมือประคองสวีถังหรานขึ้นมาด้วยตัวเอง แล้วหันไปพยักหน้าให้โค่วเหวินชิงที่อยู่ข้างๆ โค่วเหวินชิงเข้าใจที่เขาสื่อ เป็นฝ่ายยื่นมือเข้ามาช่วยประคอง ‘ขุนนางผู้มีคุณูปการ’ อย่างสวีถังหรานด้วยความเต็มใจ ไม่มีการรังเกียจเพราะฐานะต่างกัน

ในตอนนี้โค่วเหวินหลานถึงได้เงยหน้ามองเหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวที่เดินเข้ามา เมื่อเห็นทั้งสองสภาพสะบักสะบอมเปื้อนเลือดทั้งตัวเพราะต่อสู้มาเหมือนกัน ก็กล่าวด้วยเสียงแหบพร่าว่า “ลำบากทุกคนแล้ว!”

ถึงแม้เหมียวอี้จะแสดงละครไม่เก่งเท่าสวีถังหราน และไม่สามารถคุกเข่าร้องไห้อย่างปวดใจต่อหน้าสวีถังหรานได้ แต่เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ดีจากการแสดงของสวีถังหราน เลยรู้สึกว่าเล่นไปตามน้ำก็ไม่เป็นไร ถึงได้กุมหมัดคารวะด้วยสีหน้าเศร้าสลดปนฮึกเหิม กล่าวด้วยเสียงหนักแน่นว่า “ได้รับความสำคัญจากจากผู้บัญชาการใหญ่ หนิวโหย่วเต๋อไม่มีอะไรจะตอบแทน มีเพียงการสู้ตายเท่านั้น!”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา อารมณ์เศร้าปนฮึกเหิมที่อยู่ในนั้นก็ทำให้กลุ่มคนที่อยู่รอบข้างพากันทำสีหน้าประทับใจ โค่วเหวินหลานคนนี้มีคุณธรรมหรือความสามารถอะไร ถึงได้ลูกน้องที่มีความจงรักภักดีขนาดนี้มาทำงานรับใช้ ทำให้คนอิจฉาตาร้อนมาก!

เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักได้ยินแล้วพยักหน้าเบาๆ อีกครั้งได้ยินแล้วพยักหน้าเบาๆ อีกครั้ง มองโค่วเหวินหลานด้วยสายตาที่สูงขึ้นอีกระดับแล้ว

มู่หรงซิงหัวกลับพูดไม่ออกอย่างถึงที่สุด ผู้ชายชาตรีสองคนนี้ คนหนึ่งปลุกปั่นอารมณ์ให้ซาบซึ้ง  อีกคนใช้ความเศร้าสลดปนฮึกเหิมกระตุ้นให้ซาบซึ้ง ทำแบบนี้อยากจะให้โค่วเหวินหลานร้องไห้ใช่มั้ย?

พอเงยหน้ามอง ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้วจริงๆ โค่วเหวินหลานน้ำตานองหน้าแล้ว น้ำตาสองสายเอ่อล้นออกมาอย่างเก็บกลั้นไม่อยู่ ร้องไห้จนจมูกแดง ซาบซึ้งใจไม่หยุด

1046

 

 

 

บทที่ 1047 รายงานผลการปฏิบัติงาน

รับไม่ไหวกับสองคนนี้! มู่หรงซิงหัวแอบทอดถอนใจ

ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน นางอาจจะเอาเยี่ยงอย่างสวีถังหราน ผู้หญิงได้เปรียบกว่าในด้านเรียกร้องขอความเห็นใจ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว เพราะนางกลับตัวเป็นคนใหม่แล้ว!

การทำตัวเป็นคนใหม่มักจะยากมากเสมอ มักจะต้องเตรียมตัวรับสิ่งที่ไม่เป็นผลดีกับตัวเอง!

นางมือพิการไปข้างหนึ่ง ไม่ต้องกุมหมัดคารวะแล้ว เพียงใช้มือข้างเดียวกดตรงหน้าอกอย่างเรียบง่าย พร้อมรายงานว่า “ข้าน้อยกลับมาจากการทดสอบ รายงานผลการปฏิบัติงานต่อผู้บัญชาการใหญ่!” น้ำเสียงไม่แข็งกร้าวและไม่ถ่อมตัวเกินไป มีกลิ่นอายของอาจกล้าหาญ

โค่วเหวินหลานร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดน้ำตา แล้วพยักหน้ากล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “ดีๆๆ! กลับมาก็ดีแล้ว!”

ท่ามกลางกลุ่มคนของตำหนักสวรรค์ ทำแบบนี้เสียอาการนิดหน่อย แต่จนใจที่โดนลูกน้องสองคนปลุกปั่นอารมณ์จนควบคุมไม่ค่อยไหว

ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นคนอื่นทยอยกันกลับมาจึงคลายความรู้สึกได้ โค่วเหวินหลานก็ยุติอารมณ์พวกนี้ได้ยากจริงๆ คนอื่นเรียกเขาว่า ‘ไอ้ตุ้งติ้ง’ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

ขณะที่กลุ่มคนเริ่มพุ่งกลับมาพร้อมกัน พวกโฉวตั้งไห่ต้านทานคนมากมายขนาดนั้นไม่ไหวจริงๆ กอปรกับฮุยชิงเหยียนกับฝานอวี้เฟยที่กำลังสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย อาศัยโฉวตั้งไห่กับผังลิ่งกงรวมทั้งคนอื่นๆ แค่ครั้งเดียวจะดักได้สักกี่คน? ดังนั้นจึงมีผู้บัญชาการไม่น้อยที่ฉวยโอกาสนี้พุ่งกลับมา นับว่าโชคดีเก็บชีวิตกลับมาได้ท่ามกลางความโชคร้าย

เจ้านายคนอื่นๆ ย่อมออกจากกลุ่มคนอย่างตื่นเต้นดีใจเพื่อมารับลูกน้องด้วยตัวเอง เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เจ้านายพวกนั้นเซ็งก็คือ ไม่ได้เห็นฉากซาบซึ้งใจเหมือนตอนที่โค่วเหวินหลานได้พบกับลูกน้อง ลูกน้องของตัวเองเหมือนจะหดหัวนิดหน่อย ให้ความรู้สึกเหมือนกลัวหัวหดไม่กล้าพบตน ต่างกับลูกน้องของโค่วเหวินหลานราวฟ้ากับดินจริงๆ

ฉากที่เลี่ยนแบบโค่วเหวินหลานโดยเดินเข้าไปต้อนรับอย่างอบอุ่น กลายเป็นฉากเงียบวังเวงทันที เจ้านายกับลูกน้องเรียกได้ว่าไม่คุ้นเคยกัน อยากจะแสดงต่อก็แสดงไม่ไหว

มีเจ้านายหลายคนรู้สึกเสียหน้าเพราะสิ่งนี้ ดูอย่างลูกน้องคนอื่นสิ นั่นต่างหากที่เรียกว่าลูกน้องที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้อย่างแท้จริง ลูกน้องตัวเองมีแต่พวกไม่ได้เรื่องทั้งนั้น แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ได้จงรักภักดีเท่าลูกน้องของโค่วเหวินหลาน ช่างทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะจริงๆ

หารู้ไม่ว่าพวกเขากำลังอับอายเพราะนักโทษที่อยู่ ‘กระเป๋าสัตว์’! บรรดาผู้บัญชาการโชคดีรอดชีวิตกลับมา แต่เกรงว่าจะไม่มีทางรายงานผลงานได้! ย่อมต้องกลัวจนหัวกดอยู่แล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้ ศัตรูโหดเกินไป สามารถรักษาชีวิตกลับมาได้ก็นับไม่แย่แล้ว และการรักษาชีวิตกลับมาได้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดด้วย

จะว่าไปก็เป็นเพราะไปล่วงเกินเซี่ยโห้วหลงเฉิงไว้จริงๆ สวีถังหรานทำได้เพียงกอดต้นขาโค่วเหวินหลานไว้แน่นๆ ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาก็ยากจะคาดเดา ไม่เหมือนคนอื่นๆที่ต่อให้ทำภารกิจไม่สำเร็จแต่ก็ไม่มีโทษถึงตาย ถ้าเขาไม่มีโค่วเหวินหลานคอยปกป้อง ก็เป็นไปได้สูงว่าอาจจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ วางแผนเพื่อความอยู่รอด จึงทำได้เพียงแสดงละครฉากสะเทือนใจ จะได้ทำให้โค่วเหวินหลานรู้ว่าต่อให้ไม่มีผลงานแต่ก็ทุกข์ยากลำบากมาก!

เหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวหันไปมองกำลังพลที่กลับมาพร้อมกัน แล้วก็หันมาสบตากันแวบหนึ่ง เรียกได้ว่าเข้าใจเป็นอย่างดี

เหมียวอี้ก็ยิ่งแอบชมในใจ สวีถังหรานเป็นบุคคลมีฝีมือที่แปลกประหลาดหาพบได้ยากจริง วันนี้นับว่าได้รับรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่าการแสดงที่ทุ่มเทอารมณ์ความรู้สึก!

ตอนที่ย้ายสายตากลับมา ก็บังเอิญไปสบประสานกับสายตาที่เหมือนจะกินคนของเซี่ยโห้วหลงเฉิง

เมื่อได้เห็นฉากที่พวกเหมียวอี้สู้ศึกเลือดกลับมาเพื่อโค่วเหวินหลานและพบกันด้วยไมตรีจิตอันลึกซึ้ง โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ที่เหมียวอี้สร้างความโดดเด่นมากมายเพื่อโค่วเหวินหลาน ทั้งยังทำให้กำลังคนของน้องชายตนโดนล้อมอีก เซี่ยโห้วหลงเฉิงเรียกได้ว่าแค้นจนอยากจะฉีกเนื้อของเหมียวอี้ทั้งเป็น คนที่เขาเกลียดที่สุดเปลี่ยนจากสวีถังหรานไปเป็นเหมียวอี้ทันที

สมองของคนคนนี้ค่อนข้างเรียบง่าย ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอนาคตน้องชายตัวเอง เรื่องที่สวีถังหรานซ้อมตัวเองไปยกหนึ่งนับว่าไม่สำคัญเลย คนที่ทำลายอนาคตน้องชายตัวเองต่างหากที่น่าแค้นจริงๆ!

เหมียวอี้แอบร้องในใจว่าซวยแล้ว ตั้งแต่ที่ตนโยนสมุนไพรเซียนซิงหัวให้คราวนั้น ก็ยังไม่เคยเห็นเจ้าหมีควายมองตนด้วยสายตาดุร้ายแบบนี้อีกเลย ดูท่าแล้วผู้หญิงที่นำคนมาสู้กับตนคงจะเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วจริงๆ เหมือนครั้งนี้จะยั่วโมโหเจ้าหมีควายอย่างรุนแรงอีกแล้ว

แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพื่อที่จะรักษาชีวิตของตัวเองไว้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่โต้ตอบ ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายโจมตีเข่นฆ่าได้ตามอำเภอใจ แบบนั้นก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ไปแล้ว เหมียวอี้ก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนในใจ  ทหารมาก็ใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาก็ใช้ดินต้าน เขาทำได้เพียงเท่านี้เหมือนกัน ถ้าให้คำนึงถึงทุกด้านเขาก็ทำไม่ไหว!

หลังจากโค่วเหวินหลานควบคุมอารมณ์ตัวเองได้และพูดปลอบใจไปสองสามคำ จู่ๆ โค่วเหวินหวงก็ก้าวมาแทรกข้างหน้า แล้วยื่นมือไปที่เหมียวอี้ “ได้นักโทษมาเท่าไร เอามาดูหน่อย”

เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ แต่พอลองคิดก็พอจะเดาออกว่าท่านนี้เป็นใคร แต่เขากลับแกล้งไม่เข้าใจและถามโค่วเหวินหลานว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ คนนี้คือใครขอรับ?”

โค่วเหวินหวงหน้าบึ้งทันที อารมณ์ซาบซึ้งเมื่อครู่นี้ของโค่วเหวินหลานถูกพี่สามทำให้หายไปแล้ว ตอบเสียงเรียบว่า “ลูกพี่ลูกน้องของข้า เป็นเจ้านายของพวกโฉวตั้งไห่ด้วย”

“เสียมารยาทแล้ว!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะโค่วเหวินหวงทันที แล้วเริ่มฟ้องว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ พวกโฉวตั้งไห่ลูกน้องของท่านก็ไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว ข้านำนักโทษสี่คนที่จับมาได้อย่างยากลำบากให้เขาไป แต่พอเห็นพวกเราประสบปัญหา ก็ไม่แม้แต่จะมาช่วยสกัดขวางศัตรูให้เลย คนคนนี้มีเจตนาไม่ดีแอบแฝง หวังว่าผู้บัญชาการใหญ่จะลงโทษให้หนัก”

“เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยคุยกันทีหลัง นำนักโทษมาให้ข้าดูก่อน” โค่วเหวินหวงกล่าวเสียงต่ำ

“เรื่องนี้ข้าน้อยตัดสินใจเองไม่ได้ ” เหมียวอี้เด็ดกระเป๋าสัตว์ตรงเอวออกมา แล้วยื่นให้โค่วเหวินหลานโดยตรง เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องของตระกูลโค่ว ให้โค่วเหวินหลานไปตัดสินใจเอาเอง ตัวเองไม่อยากเป็นคนร้ายๆ และเป็นไม่ไหวด้วย

ถ้าแม้แต่โค่วเหวินหลานเองยังไม่สนใจอันดับ งั้นเขาก็ยิ่งไม่มีความเห็นอะไรแล้ว ก่อนหน้านี้เชื่อฟังคำสั่งโค่วเหวินหลาน จึงมอบคนให้โฉวตั้งไห่ไป และเขาก็ไม่ได้คิดจะไปแย่งอะไรด้วย แต่เพราะตอนหลังเกิดเหตุสุดวิสัย เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าในมืออวี้ชิงหลางจะจับนักโทษได้มากมายขนาดนั้น จึงถือโอกาสเก็บกลับมา ส่วนโค่วเหวินหลานจะเอาหรือไม่เอาก็เรื่องของโค่วเหวินหลาน เขาไม่เข้าไปก้าวก่าย

พอโค่วเหวินหลานรับกระเป๋าสัตว์มาไว้ในมือ โค่วเหวินหวงก็ยื่นมือมาทันที แต่คาดไม่ถึงว่าโค่วเหวินหลานกลับยื่นมือห้าม พร้อมถามกลับว่า “อย่าบอกนะว่าพี่สามจะแย่งของต่อหน้าฝูงชน?”

โค่วเหวินหวงไม่สะดวกจะแย่งต่อหน้าฝูงชนจริงๆ มีเกาก้วนคอยมองอยู่ เขาไม่กล้าทำแบบนี้ แต่ก็ร้อนใจราวกับมีไฟลุก การทดสอบของตำหนักสวรรค์ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของตัวเองในตระกูลโค่ว จึงเก็บมือทันที แล้วถ่ายทอดเสียงอธิบาย “เจ้าหก นี่ไม่ใช่เวลามาโต้เถียงเพราะอารมณ์ส่วนตัว การปกป้องชื่อเสียงเกียรติยศของตระกูลโค่วต่างหากที่สำคัญที่สุด เจ้ากับข้ารวมกันถึงจะมั่นใจขึ้น”

ใช้หมวกใหญ่ใบนี้อีกแล้ว โค่วเหวินหลานก็เรียกได้ว่าแค้นจนกัดฟันกรอด ในฐานะที่เป็นลูกหลานของตระกูลโค่ว เขาจำเป็นต้องสวมหมวกใหญ่ใบนี้ไว้ เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ของตระกูล ผลประโยชน์ของเขานั้นเล็กน้อยจนไม่มีค่าให้เอ่ยถึง ไม่อย่างนั้นถ้าโดนตระกูลทอดทิ้งขึ้นมาจริงๆ อนาคตของเขาก็หมดแล้วเหมือนกัน

ขณะที่กำลังลังเลตัดสินใจลำบาก เขาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูนักโทษในกระเป๋าสัตว์

ตอนไม่ดูก็ยังไม่เป็นไร แต่พอได้ดูแล้วก็ตกใจทันที ดวงตาเบิกกว้างขึ้นหลายเท่า นี่มันเท่าไรกัน? สามสิบห้าเหรอ?

เมื่อลองนับใหม่อีกรอบ ก็พบว่านับไม่ผิดมีสามสิบห้าคนจริงๆ?

ในการทดสอบหนึ่งร้อยปีนี้ ไม่น่าเชื่อว่าคะแนนหนึ่งในสามจะมาอยู่ในมือตนแล้ว? โค่วเหวินหลานทำสีหน้าไม่ถูก หัวใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น เงยหน้าช้าๆ มองเหมียวอี้ด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อแวบหนึ่ง อย่าบอกนะว่าก่อนหน้านี้เขาปิดบังจำนวนนักโทษที่อยู่ในมือ?

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ พยักหน้าให้เขาเล็กน้อยพร้อมถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ข้าเองก็รู้สึกผิดคาดมากเหมือนกัน ทั้งหมดนี้ล้วนแย่งมาจากมืออวี้ชิงหลาง นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าในมือเจ้าบ้านั่นจะมีนักโทษมากมายขนาดนี้ ข้าน้อยถือโอกาสกอบโกยมาในตอนสุดท้ายแท้ๆ เลย”

“เจ้าหก เป็นอะไรไป?” โค่วเหวินหวงถามอีก

โค่วเหวินหลานไม่พูดพร่ำทำเพลง หันตัวเดินออกไปทันที ถือกระเป๋าสัตว์เดินไปใต้บันไดหน้าตำหนักโดยตรง

เมื่อเห็นฉากนี้ โค่วเหวินหวงก็ร้อนรนทันที ถ่ายทอดเสียงตะคอกว่า “เจ้าหก! เจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ? เจ้าหก! เจ้าหก…”

เรียกเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์ โค่วเหวินหลานไม่สนใจอีกฝ่ายเลย โค่วเหวินหลานไม่ใช่คนโง่ คะแนนหนึ่งในสามมาอยู่ในมือตัวเอง แสดงว่าหนีไม่พ้นสองอันดับแรกแล้ว แถมมีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะได้อันดับหนึ่ง ถ้ามัวสนใจพี่สามที่เอะอะก็เอาเรื่องตระกูลมาอ้าง นั่นก็แปลว่าสมองเขามีปัญแล้ว

สิ่งที่เขาเสียใจที่สุดตอนนี้ก็คือ ก่อนหน้านี้ไม่น่ายกนักโทษสี่คนให้โค่วเหวินหวงเลย ไม่อย่างนั้นคะแนนจะต้องสวยงามกว่านี้แน่นอน จะมีความมั่นใจที่จะได้อันดับหนึ่งมากกว่านี้!

แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ถ้าไม่ใช่เพราะเหมียวอี้นำคะแนนที่ได้มอบให้คนอื่นไป ก็คงไม่ทำให้ฮุยชิงเหยียนกับฝานอวี้เฟยสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย และคงไม่ทำให้ผู้บัญชาการใหญ่พวกนั้นบุกโจมตีพร้อมกันในเวลานั้น และอวี้ชิงหลางก็คงไม่วางค่ายกลรอในเวลานั้นด้วย ถ้าอวี้ชิงหลางไม่ได้วางค่ายกลตอนนั้น เหมียวอี้ก็คงไม่ได้คะแนนของอวี้ชิงหลางมาไว้ในมือ อย่างน้อยถ้าไม่สร้างความปั่นป่วนให้พวกฮุยชิงเหยียน ต่อให้ได้ของมาจากชิงอวี้หลาง แต่เหมียวอี้ก็ไม่มีทางกลับมาได้ง่ายๆ แน่

นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่ากงเกวียนกำเกวียน เพราะมีกรรมจึงมีผลที่ตามมา

จะบอกว่าโค่วเหวินหวง ‘วางแผนเก่งเกินไปจนทำให้ตัวเองเสียหาย’ ก็ได้เหมือนกัน การที่เหมียวอี้กอบโกยได้มากมายแบบนี้ ก็ต้องขอบคุณโค่วเหวินหวงจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้คงไม่มีใครไปครุ่นคิดถึงมูลเหตุและผลที่เกี่ยวเนื่องกันของสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

ดังนั้นโค่วเหวินหวงจึงได้แต่โกรธจนหน้าเขียว กำหมัดสองข้างไว้แน่น ได้แต่มองดูเจ้าหกเดินไปตรงตีนบันไดหน้าตำหนักโดยทำอะไรไม่ได้

“นายท่านผู้คุม ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าน้อยกลับมารายงานผลการทดสอบขอรับ!” โค่วเหวินหลานยืนกุมหมัดคารวะอยู่ตรงตีนบันได

เกาก้วนจ้องเขาหลายครั้ง จากนั้นก็เอียงหน้าไปข้างๆ จุยหย่วนเข้าใจทันที เหาะลงบันไดมาถามว่า “ตั้งใจกับการทดสอบหรือไม่?”

โค่วเหวินหลานใช้สองมือยื่นกระเป๋าสัตว์ให้ พร้อมบอกว่า “เชิญท่านพ่อบ้านตรวจสอบ!”

พอจุยหย่วนโบกมือ ก็มีคนหลายคนเดินเข้ามาทันที โค่วเหวินชิงกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ฉวยโอกาสถลันตัวเข้ามาเช่นกัน เพื่อแสดงความยุติธรรม จุยหย่วนถึงรับกระเป๋าสัตว์โค่วเหวินหลานต่อหน้าฝูงชน แล้วยื่นให้ลูกน้องตรวจนับเป็นพยาน ส่วนเขาก็คอบควบคุมอยู่ข้างๆ โค่วเหวินหวงและผู้บัญชาการใหญ่คนอื่นๆ ก็กรูกันเข้ามาดูอยู่ข้างๆ เช่นกัน

นักโทษที่ถูกมัดคนแรกถูกจับออกมา หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ทำให้ฟื้น ก็รวบดึงผมไปไว้ข้างหลัง พอเผยใบหน้าออกมาแล้ว ก็มีคนนำรายชื่อและภาพของนักโทษที่ต้องจับมาเทียบตรวจทันที หลังจากเทียบแล้วว่าเป็นนักโทษ ก็ทำการตรวจสอบยืนยันขั้นต่อไปทันที จากนั้นก็บังคับให้นักโทษลงตราอิทธิฤทธิ์เพื่อเทียบกับร่องรอยของนักโทษในปีนั้นซึ่งไม่รู้ว่าไปสืบค้นมาจากไหน หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ผิดพลาด ก็มีคนกุมหมัดรายงานจุยหย่วน “นักโทษกัวลี่ชุน ตรวจสอบแล้วไม่ผิดพลาด”

กัวลี่ชุนหลบหนีมาหลายปี เดิมทีนึกว่าจะปะปนใช้ชีวิตต่อไปได้ สุดท้ายตอนนี้ตกอยู่ในตาข่ายกฎหมาย เมื่อได้สัมผัสกับความน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์ ถึงได้รู้ว่าเจตจำนงของสวรรค์ยากจะฝ่าฝืน เรียกได้ว่าตกใจจนกน้าซีดเหมือนสีดิน คุกเข่าเอาหน้าโขกพื้นเพิ่อวิงวอนทันที

จุยหย่วนโบกมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทางซ้ายและขวามีคนพุ่งเข้ามาทันที โดนลากออกไปแล้ว ไม่มีความรู้สึกใดๆ ต้องอธิบาย!

จากนั้นก็เป็นนักโทษคนต่อไป นักโทษถูกลากออกไปคนแล้วคนเล่า บางก็เป็นศพ บางก็ยังเป็นๆ บ้างก็สาหัสปางตาย ทางจุยหย่วนย่อมมีวิธีการยืนยันตัวตนอยู่แล้ว พอถูกลากไปคนหนึ่ง จุยหย่วนก็ขีดฆ่าบนรายชื่อ

ตอนนี้นักโทษโดนดึงออกมาจากกระเป๋าสัตว์เกินสิบคน โค่วเหวินหวงก็หน้าเขียวแล้ว นึกไม่ถึงว่าในมือเจ้าหกจะมีนักโทษเยอะขนาดนี้

ผู้บัญชาการใหญ่คนอื่นๆ ก็สีหน้าแย่เช่นกัน เมื่อทางนี้มีนักโทษเพิ่มมาหนึ่งคน ก็หมายความว่าโอกาสที่ลูกน้องตัวเองจะต่อสู้ช่วงชิงให้ได้อันดับต้นๆ ก็น้อยไปส่วนหนึ่งแล้ว

1047

 

 

 

บทที่ 1048 นักโทษหลบหนีสามสิบห้าคน

สิบเอ็ดคน สิบสองคน สิบสามคน…

นักโทษถูกดึงออกมาคนแล้วคนเล่า เหมือนไม่ส่อเค้าว่าจะหมด มีหลายคนที่สีหน้ากำลังแย่ลงเรื่อยๆ

ความเจ็บปวดรวดร้าวบนใบหน้าสวีถังหรานหายไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยความตกตะลึง หันไปสบตาเลิกลั่กกับมู่หรงซิงหัวเป็นระยะ

ในหนึ่งร้อยปีมานี้ โดยเฉพาะสวีถังหราน เขาค่อนข้างรู้ดีว่าในมือเหมียวอี้จับนักโทษได้เท่าไร สี่คนที่ได้มาถูกส่งต่อไปให้โฉวตั้งไห่หมดแล้ว แทบไม่กล้าเชื่อว่าในมือเหมียวอี้จะมีนักโทษมากมายขนาดนี้

แต่ยังไม่ต้องไปสนใจเรื่องนี้ ในดวงตาสวีถังหรานฉายแววดีใจอย่างที่ปิดบังไม่มิด เขากับเหมียวอี้อยู่กลุ่มเดียวกัน คะแนนไม่ได้ตกเป็นของคนคนเดียว แต่เป็นของคนทั้งกลุ่ม ยิ่งจับนักโทษได้มาก ผลงานยิ่งก็ยิ่งมาก ผลประโยชน์ที่เขาจะได้กอบโกยก็ยิ่งมาก

ยี่สิบเจ็ด ยี่สิบแปด ยี่สิบเก้า…

นักโทษยังคงถูกดึงออกมาตรวจสอบคนแล้วคนเล่า ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่เฝ้าคอยให้หยุดลงไวๆ ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรกำลังตะโกนร้องในใจ พอได้แล้วมั้ง?

นอกจากโค่วเหวินหลานแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่คนอื่นๆ ก็เริ่มจะรับไม่ไหวแล้วจริงๆ ต่างก็หวังไม่ให้จำนวนเกินสามสิบ ในเวลานี้ตัวเลขนั้นคือน้ำหนักที่หัวใจพวกเขาไม่มีทางรับไหว

ทว่าความจริงมักจะโหดร้ายเสมอ หลังจากนักโทษคนที่สามสิบถูกดึงออกมา ก็มีคนไม่น้อยหันไปมองคนที่เข่นฆ่ากันอยู่บนท้องฟ้า กล้ามเนื้อบนใบหน้าโค่วเหวินหวงราวกับโดนตะคริวกิน รู้สึกเหมือนกำลังจะประสาทเสีย มองไปที่โค่วเหวินหลานด้วยแววตาเคียดแค้นปานจะกลืนกิน

ส่วนโค่วเหวินหลานก็อมยิ้ม ยืนดูการตรวจสอบนักโทษอย่างเงียบๆ

โค่วเหวินชิงที่อยู่ข้างๆ หันมามองเขาแวบหนึ่ง เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าหกถึงแน่วแน่ที่จะไม่สนใจแรงกดดันจากพี่สามแบบนี้ ที่แท้เจ้าสามก็มีความมั่นใจที่จะแข่งขันนี่เอง ไม่ต้องเกรงใจพี่สามอีกต่อไป!

เกาก้วนที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักแปลกใจมาก เป็นเพราะนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าโค่วเหวินหลานจะจับนักโทษได้มากขนาดนี้

สามสิบเอ็ด สามสิบสอง สามสิบสาม…

ตอนนี้ไม่ได้มีแค่โค่วเหวินหวงที่กำลังจะประสาทเสีย แต่ผู้บัญชาการใหญ่คนอื่นๆ ก็ใกล้จะประสาทเสียแล้วเช่นกัน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปทุกคนยังจะแข่งอะไรกันได้อีก!

คะแนนแบบนี้ ในใจมู่หรงซิงหัวย่อมปลาบปลื้ม แต่ภายนอกยังนับว่าสุขุมเยือกเย็น

สวีถังหรานมุมปากเฉียงขึ้น ยิ้มค้างจนเผยฟันออกมาครึ่งแถว ในใจกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง สำหรับการทดสอบหนึ่งร้อยปีนี้ เขาไม่ใช่แค่รักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ยังได้คะแนนดีขนาดนี้อีกด้วย เหนือความคาดหมายจริงๆ! กลับไปนออกจากจะได้เลื่อนขั้นร่ำรวยแล้ว อย่างน้อยตัวเองก็จะได้นั่งในตำแหน่งอย่างมั่นคง ตราบใดที่ไม่ทำอะไรผิดกฎ และมีคะแนนสูงแบบนี้มาอ้าง ก็ไม่มีใครที่จะแตะต้องข้าได้ตามใจชอบอีก ไม่ว่าใครที่คิดจะมาปะทะกับตำแหน่งของข้า ก็ต้องไตร่ตรองดูให้ดี เจ้าหมีควายเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่กล้าทำอะไรข้าอย่างโจ่งแจ้งแล้วเหมือนกัน ความรุ่งเรืองร่ำรวยนี้ควรค่าแก่การรอคอย!

สถานการณ์จริงก็เป็นแบบนั้น เขาเป็นขุนนางที่มีความดีความชอบในการสู้รบ มีผลงานการสู้รบที่แข็งแกร่ง ทั้งยังเป็นผลการรบจากการทดสอบที่ตำหนักสวรรค์จัดเองโดยตรง ไม่ว่าเวลาไหนผลงานการสู้รบก็ล้วนแข็งแกร่งที่สุด เพราะสิ่งนี้แลกมาด้วยการสู้สุดชีวิต ถ้าทำให้ขุนนางผู้มีคุณูปการที่สู้ศึกเลือดเพื่อตำหนักสวรรค์ท้อแท้ใจ ถ้าอย่างนั้นตำหนักสวรรค์ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าต่อไปนี้จะมีใครมาทุ่มเททำงานให้อีก ผลที่ตามมาร้ายแรงมาก ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมา ขุนนางผู้มีคุณูปการของตำหนักสวรรค์พวกนี้จึงได้รับสิทธิพิเศษอยู่เสมอ

และสวีถังหรานก็แอบเกิดความคิดอะไรบางอย่างแล้ว ถ้าถือผลงานนี้กลับไป อย่างน้อยภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ หวงฝู่จวินโหรวก็จะต้องหลีกทางให้เขาเช่นกัน หลังจากกลับไปครั้งนี้ เขาจะบังคับให้เสวี่ยหลิงหลงแห่งหอกลิ่นสวรรค์มานอนด้วย เขาอยากได้ผู้หญิงคนนั้นมานานแล้ว แต่จนใจที่ไม่กล้าแตะต้อง ครั้งนี้ไปสู้ศึกเลือดเพื่อตำหนักสวรรค์ สู้สุดชีวิตเพื่อสร้างผลงานใหญ่ จะนอนกับผู้หญิงสักคนเบื้องบนก็คงไม่ว่าอะไร ไม่มีเหตุผลที่เบื้องบนจะตำหนิขุนนางผู้มีคุณูปการของตำหนักสวรรค์เพื่อนางรำคนเดียว คาดว่าต่อให้หวงฝู่จวินโหรวไปร้องเรียนก็ไม่มีประโยชน์

พอนึกถึงตรงนี้ นึกถึงใบหน้าที่งามล่มเมืองของเสวี่ยหลิงหลง ทั้งยังมีเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นอีก คิดว่าในภายหลังนางจะต้องมาปรนนิบัติใต้หว่างขาให้ตนทุกเมื่อยามต้องการ จู่ๆ สวีถังหรานก็พบว่าตัวเองไม่เจ็บแผลแล้ว ทั้งยังรู้สึกร้อนตรงท้องน้อยด้วย รู้สึกว่าการการได้รับบาดเจ็บครั้งนี้คุ้มค่าสุดๆ

หลังจากตรวจสอบนักโทษคนที่สามสิบห้าเสร็จ สวีถังหรานก็ดีใจจนแทบบ้าแล้วจริงๆ โห่ร้องในใจอย่างบ้าคลั่ง สามสิบห้า สามสิบห้าเชียวนะ! ได้เกินสามส่วนของจำนวนนักโทษที่ต้องจับในการทดสอบครั้งนี้ไปแล้ว! นี่คือสัญญาณว่าจะได้อันดับหนึ่งนะ!

เหล่าผู้บัญชาการใหญ่ที่คอยดูอยู่รอบๆ แต่ละคนหันตัวเดินจากไปด้วยสีหน้าย่ำแย่ ส่วนโค่วเหวินหวงก็จ้องโค่วเหวินหลานอย่างไม่ละสายตา

ส่วนจุยหย่วนก็สื่อสารกับโค่วเหวินหลานอีก โค่วเหวินหลานจึงหันกลับมาถามพวกเหมียวอี้ที่อยู่ข้างกายต่อ “ท่านพ่อบ้านถาม ว่าหยางไท่กับเจิ้งหรูหลงอยู่กลุ่มเดียวกับพวกเจ้าหรือเปล่า?”

มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานสบตากันแวบหนึ่ง สงสัยจะพูดถึงผลงานของทั้งกลุ่ม หลังจากหยางไท่กับเจิ้งหรูหลงตายแล้วก็ยังต้องให้รางวัลตามไป ถ้าพวกเขามีครอบครัว คนในครอบครัวก็จะได้เสพสุขกับสิทธิพิเศษของตำหนักสวรรค์ นี่คือธรรมเนียมเก่าของตำหนักสวรรค์

เหมียวอี้ปฏิเสธไปตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ กล่าวเสียงเรียบว่า “ตอนที่เพิ่งเข้าร่วมการทดสอบ หยางไท่กับเจิ้งหรูหลงทรยศหนีออกจากกลุ่มไปแล้ว ตอนนี้เป็นตายอย่างไรไม่รู้ ดังนั้นการจับตัวนักโทษจึงไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับพวกเขา”

เขารายงานความจริงของเรื่องนี้กับโค่วเหวินหลานไปแล้ว แต่ที่โค่วเหวินหลานมาถามพวกเข ก็แสดงว่าอยากจะจัดการตามความประสงค์ของพวกเขา แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ในบรรดาเจ้าสองคนนั้น คนหนึ่งทรยศเขา อีกคนก็จะฆ่าเขา การที่เขาไม่ตามไปฆ่าถอนรากถอนโคนทั้งตระกูลก็นับว่าดีแล้ว จะยอมให้สองคนนั้นมีส่วนในผลงานได้อย่างไร

โค่วเหวินหลานหันมามองอีกสองคน มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานตอบทันทีว่า “ผู้บัญชาการหนิวพูดจริง” ตอนนี้ทั้งสองยกให้เหมียวอี้เป็นผู้นำ ทั้งยังยอมรับเลื่อมใส่จากใจด้วย แตกต่างกับตอนที่มาเข้าร่วมการทดสอบตอนแรกๆ ราวฟ้ากับดิน

โค่วเหวินหลานพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากอีก หันตัวไปบอกจุยหย่วนแล้ว

“รายงานนายท่านผู้คุม การทดสอบที่น่านฟ้าชวดอี่ หนิวโหย่วเต๋อ มู่หรงซิงหัวและสวีถังหรานที่อยู่ในกลุ่มนี้จับตัวนักโทษได้ทั้งหมดสามสิบห้าคนขอรับ ตรวจสอบแล้วไม่ผิดพลาด!” จุยหย่วนก้าวขึ้นบันได แล้วใช้สองมือยื่นรายชื่อที่ตรวจสอบแล้วให้ โดยได้ตัดผลงานของหยางไท่กับเจิ้งหรูหลงออกไปแล้ว

เกาก้วนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย หลังจากนำแผ่นหยกมาตรวจสอบ ก็ประทับตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไปบนนั้น คะแนนของพวกเหมียวอี้นับว่าผ่านการตรวจสอบและยืนยันอย่างเป็นทางการแล้ว แค่รอให้คะแนนของทุกคนออกมาและรับรางวัลตามผลงาน

ตรงนี้ไม่มีธุระอะไรของพวกเหมียวอี้แล้ว ผู้บัญชาการคนอื่นๆ ที่กลับมายังต้องรายงานผลการปฏิบัติงาน ไม่สะดวกจะขวางทาง หลังจากทำความเคารพเกาก้วนที่อยู่บนบันได พวกเขาก็ถอยออกมา

หลังจากออกมาจากตรงนั้นแล้ว พวกเหมียวอี้ก็ถอดเกราะรบ เหมียวอี้ยังดีหน่อย แต่แขนข้างหนึ่งของมู่หรงซิงหัว แล้วก็ขาข้างหนึ่งกับแขนข้างหนึ่งของสวีถังหราน ตอนนี้เลือดเนื้อปนกันเละเทะ สะเทือนกระดูกแตกเนื้อเละ ใช้งานไมได้แล้ว

ฉากนี้ทำให้โค่วเหวินหลานสะเทือนใจอีกครั้ง ทอดถอนใจด้วยความหดหู่

เหมียวอี้ลงดาบด้วยตัวเอง ฟันแขนและขาที่พิการให้ทั้งสอง แบบนี้จะได้งอกใหม่ได้สะดวก ผู้บาดเจ็บทั้งสองเลี่ยงความเจ็บปวดทรมานครั้งนี้ไปไม่ได้

ส่วนโค่วเหวินหลานก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงมือพันแผลให้ทั้งสองแล้ว เรื่องควักทรัพยากรมาเยียวยาให้ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง ให้ทั้งสองไปพักผ่อนเพื่อรักษาบาดแผล ส่งตัวไปที่ห้องถ้ำด้วยตัวเอง

“ผู้บัญชาการใหญ่!” จากนั้น เหมียวอี้ก็เดินตามโค่วเหวินหลานที่เพิ่งเดินออกมาจากประตูห้องถ้ำ

“มีอะไรเหรอ?” โค่วเหวินหลานตบบ่าเขาพร้อมถามด้วยรอยยิ้ม ท่าทีสนิทสนมมาก เพราะนี่คือขุนนางผู้สร้างคุณูปการใหญ่ของเขา! เห็นแล้วก็มีความสุข

เหมียวอี้กลับเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “มีบางอย่างที่ผู้บัญชาการใหญ่ยังไม่ทราบ ตอนแรกที่พวกเราเพิ่งเข้าร่วมการทดสอบ กลุ่มพวกเรามีคนน้อยด้อยกำลัง ภายใต้ความจำเป็นนี้ จึงทำได้เพียงหาคนมาช่วยเหลือ ตอนที่ไปหาเป้าหมายแรกที่ป่าลืมทุกข์ของดาววิงวอนชีพ…” หลังจากเขาเล่าเรื่องที่ตัวเองเกลี้ยกล่อมปานเย่วกงกับฮูหยินให้ฟังคร่าวๆ แล้ว ก็กุมหมัดคารวะกล่าวอย่างจริงใจว่า “ตอนนั้นข้าน้อยเพิ่งจะมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง กอปรกับความผิดของซูลู่เอ๋อร์สามารถให้อภัยได้จริงๆ เพื่อที่จะทำภารกิจที่ผู้บัญชาการใหญ่มอบหมายให้สำเร็จ ข้าน้อยจำเป็นต้องจัดการตามคววามเหมาะสม ตัดสินใจเองโดยพลการ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะมีสองสามีภรรยาช่วยคุ้มกันให้อย่างเต็มที่เป็นเวลาหนึ่งร้อยปี พวกข้าน้อยก็อาจจะไม่ได้กลับมาพบผู้บัญชาการใหญ่ก็ได้”

“พลิกคดีให้ซูลู่เอ๋อร์นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…” โค่วเหวินหลานลังเลนิดหน่อย แล้วขมวดคิ้วพลางกล่าวช้าๆ ว่า “แต่เจ้าต้องคิดดูให้ดีนะ ถ้าเรื่องที่สองสามีภรรยาสมคบคิดกับเจ้าเปิดเผยออกไป โทษของการสมคบกับนักโทษตำหนักสวรรค์ เกรงว่าเจ้าจะต้องรับผิดชอบคนเดียว”

เหมียวอี้เข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ อาศัยภูมิหลังของโค่วเหวินหลานก็ย่อมไม่ถึงคราวที่โค่วเหวินหลานจะได้รับผิดชอบเรื่องนี้ ย่อมมีเส้นสายให้ผลักความรับผิดชอบอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นคนที่ซวยก็จะมีแค่เหมียวอี้คนเดียว พวกสวีถังหรานไม่รู้เรื่องนี้ คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด

“ข้าน้อยรับปากพวกเขาไว้แล้ว พวกเขาสองสามีภรรยารักษาสัญญา แล้วข้าน้อยจะพูดจาไม่เป็นคำพูดได้อย่างไร!” เหมียวอี้กุมหมัดขอร้องอีกครั้ง

ในเวลานี้ ขอเพียงไม่ใช่คำขอร้องที่มากเกินไป โค่วเหวินหลานก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว กอปรกับเห็นเหมียวอี้มีคุณธรรมน้ำมิตร จึงไม่พูดอะไรมากอีก พยักหน้าตอบว่า “ได้! ข้าจะจำเรื่องนี้ไว้ กลับไปจะจัดการทันที จะรีบให้คำตอบเจ้าโดยเร็วที่สุด!”

“ขอบคุณผู้บัญชาการใหญ่ที่ช่วยให้สมปรารถนา!”

เหมียวอี้เพิ่งจะกล่าวขอบคุณ เงาคนคนหนึ่งก็ถลันเข้ามา เป็นโค่วเหวินหวงนั่นเอง กล่าวด้วยสีหน้าเผด็จการว่า “หนิวโหย่วเต๋อ นักโทษสามสิบห้าคนของเจ้า ใช่ที่โฉวตั้งไห่ให้เจ้าไว้ก่อนหน้านี้หรือเปล่า? โฉวตั้งไห่โยนกระเป๋าสัตว์ให้เจ้าต่อหน้าฝูงชน ทุกคนได้ยินสิ่งที่สั่งไว้หมดแล้ว!”

เมื่อได้ยินคำถามนี้ เหมียวอี้ก็ตะลึงงันทันที แต่โค่วเหวินหลานกลับหัวเราะ ในดวงตาฉายแววเดือดดาลอย่างปิดบังได้ยาก ตอบพร้อมรอยยิ้มแข็งทื่อว่า “พี่สาม อย่ามีนิสัยการกินมูมมามตะกละกะกลามเกินไป ท่านปู่ไม่ใช่คนโง่ เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่เปิดบังหูตาท่านปู่ไม่ได้หรอก ถ้าอยากจะแย่งผลงานนี้ ท่านก็ต้องถามท่านปู่ก่อนว่าสามารถง้างปากให้พวกโฉวตั้งไห่พูดความจริงได้หรือเปล่า ท่านปู่มีหนทางสืบหาความจริงอยู่แล้ว ถ้าท่านกล้าหลอกลวงแม้กระทั่งท่านปู่ กล้าเห็นท่านปู่เป็นคนโง่ งั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถ้าท่านเก่งนักก็แย่งไปได้เลย!”

ในดวงตาโค่วเหวินหวงฉายแววหวาดกลัว นึกไม่ถึงว่าเจ้าสามจะอ้างอ๋องสวรรค์โค่วมากดดันเขา ได้แต่กัดฟันและหันตัวเดินจากไปช้าๆ

ใครจะคิดว่าโค่วเหวินหลานจะไม่ยอมปล่อยไป ถามตามหลังไปว่า “พี่สาม ข้ามอบนักโทษให้ท่านสี่คน ถ้าท่านยังไม่ได้อันดับดีๆ อีก เช่นนั้นก็เป็นการทำผิดต่อน้ำใจของน้องชายแล้ว!”

นี่คือความอับอายขายหน้าที่ถูกเปิดโปงออกมาจนหมด! เมื่อมีความมั่นใจแล้ว การพูดจาก็ต่างไปจากเดิมทันที โค่วเหวินหวงหยุดชะงัก กำหมัดสองข้างไว้แน่น แล้วเดินจากไปอย่างช้าๆ

ใครจะคิดว่าพอโค่วเหวินหวงเพิ่งเดินออกไป ก็มีอีกคนเข้ามาถามแสกหน้าว่า “หนิวโหย่วเต๋อ นักโทษที่เจ้ามี เป็นนักโทษที่ได้มาจากมือของอวี้ชิงหลางหรือเปล่า?”

ผู้ที่มาก็คืออิ๋งเย่า ตอนนี้โกรธจนหน้าเขียว เหมียวอี้ไม่รู้จักเขา จึงมองไปทางโค่วเหวินหลานด้วยแววตาสงสัย

โค่วเหวินหลานหัวเราะตอบทันที “อิ๋งเย่า ลูกน้องข้าแย่งนักโทษมาจากมืออวี้ชิงหลางนิดหน่อย ทั้งหมดล้วนเป็นนักโทษที่อวี้ชิงหลางแย่งมาจากมือลูกน้องข้าในระหว่างการทดสอบหนึ่งร้อยปี ครั้งนี้แค่แย่งคืนมาก็เท่านั้นเอง”

นี่คือคำพูดที่อวี้ชิงหลางเคยตอบเก้ากวนตอนที่เปิดศึกแรกตรง ‘ประตูบ้าน’ ตอนนี้โค่วเหวินหลานรับมือด้วยวิธีการเดียวกัน เรียกได้ว่าตอบกลับด้วยคำพูดเดิม พูดประโยคเดียวก็ทำให้อิ๋งเย่าโมโหจนตัวสั่น แต่กลับโวยวายอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงแยกเขี้ยวยิงฟันหันหน้าเดินจากไป

โค่วเหวินหลานในตอนนี้มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ทหารมาก็ใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาก็ใช้ดินต้าน เหมียวอี้ไม่ต้องทำอะไรเลย

1048

 อันดับหนึ่ง

 ทว่าพอตรงนี้เพิ่งจะไล่ส่งไปอีกคน ก็มีอีกท่านถลันตัวเหาะเข้ามาแล้ว กลิ่นหออมโผเข้าจมูก ลักษณะท่าทางเย้ายวนใจ เรือนร่างอวบอัดกลมกลึง กระโปรงปลิวพลิ้ว นอกจากปี้เยว่ฮูหยินแล้วจะเป็นใครไปได้

เหมียวอี้กับโค่วเหวินหลานคำนับพร้อมกัน ปี้เยว่ฮูหยินยิ้มให้อย่างสนิทสนม พลางพยักหน้าบอกว่า “ผู้บัญชาการหนิว ลำบากเจ้าแล้ว! ได้ยินว่าเจ้าจับสัตว์เลี้ยงวิญญาณของข้าได้ ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า?”

ถ้านางไม่ถามถึง เหมียวอี้ก็เกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว หลังจากปีศาจจิ้งจอกพันหน้าโดนเขาจับตัวไป ผ่านไปหลายไปก็ไม่เคยได้ออกมาสูดอากาศเลย เรียกได้ว่าโดนขังหนึ่งร้อยปีโดยไม่ได้เห็นฟ้าเห็นตะวัน เขาจึงรีบหยิบกระเป๋าสัตว์ใบหนึ่งออกมา แล้วใช้สองมือยื่นให้นาง

เมื่อกระเป๋าสัตว์มาอยู่ในมือ ปี้เยว่ฮูหยินก็เรียกปีศาจจิ้งจอกพันหน้าออกมาทันที นางแก้มัดออก แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ปลุกให้ตื่น

พอลืมตามาเป็นปี้เยว่ฮูหยิน ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าก็ห่อเหี่ยวทันที แล้วก็เอียงหน้ามองไปที่เหมียวอี้อีก นางแค้นจนกัดฟันกรอด แล้วก็ฟ้องทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง กล่าวอย่างได้รับความไม่เป็นธรรมว่า “ฮูหยิน หนิวโหย่วเต๋อตีข้า ตีข้าจนเกือบตายแล้ว ฮูหยินต้องทวงความยุติธรรมให้ข้านะ!”

เหมียวอี้ตกใจทันที ใครจะไปคิดว่าปี้เยว่ฮูหยินจะทำเสียงฮึดฮัด แล้วบอกว่า “ตีก็ดีแล้ว! ถ้ากล้าหนีไปอีก ครั้งหน้าก็จะไม่ได้แค่ตีแล้ว! ยังไม่รีบกลับร่างเดิมแล้วกลับไปกับข้าอีก?”

โค่วเหวินหลานยิ้มบางๆ ในเวลานี้หนิวโหย่วเต๋อคือผู้ที่สร้างผลงานใหญ่ ไม่ว่าเทพหรือผีก็ไม่กล้าทำร้าย การนำ ‘เรื่องเล็กๆ’ มาฟ้องแบบนี้ถือเป็นเรื่องล้อเล่น ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก ใครมาฟ้องก็จะโดนเมินใส่ ผลงานการสู้รบที่ยอดเยี่ยมก็เห็นๆ กันอยู่!

ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าไม่รู้สถานการณ์ ได้แต่อึ้งพูดไม่ออก ก้มหน้าอย่างน้อยใจ จากนั้นร่างกายก็กะพริบแสงสีม่วง กลายร่างเป็นจิ้งจอกแสนสวยสีชมพูตัวหนึ่งและตกเข้าไปในอ้อมอกปี้เยว่ฮูหยิน ปี้เยว่ฮูหยินลูบขนของจิ้งจอก ส่งยิ้มเบาๆ ให้ทั้งสอง แล้วหันตัวเดินจากไป

ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้โล่งใจ กุมหมัดคารวะส่งโค่วเหวินหลานเดินออกไปอีกครั้ง จากนั้นถึงได้กลับเข้ามาในห้องถ้ำ

พอเห็นสวีถังหรานกำลังนอนอยู่บนเตียงหินและหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวต้นหนึ่งยัดใส่ปาก เหมียวอี้ก็นั่งลงข้างๆ แล้วพูดจิกกัดว่า “สวีถังหราน ทักษะการแสดงไม่ธรรมดาเลยนะ”

มู่หรงซิงหัวที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วหัวเราะ แอบส่ายหน้าพลางคิดในใจว่า เจ้าเองก็แสดงได้ไม่ธรรมดาเหมือนกัน

สวีถังหรานกลับตกอกตกใจ รีบร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดมองนอกถ้ำ เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร ถึงได้ยิ้มสู้พร้อมอธิบายว่า “น้องหนิว ข้าก็มีเจตนาดีเหมือนกันนะ ข้ายอมเสียหน้าก็เพื่อทุกคนไงล่ะ ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าในมือน้องหนิวจะมีนักโทษเยอะขนาดนั้น ถ้าข้ารู้แต่แรกนะ ข้าก็คงไม่ทำให้ตัวเองลำบากแบบนี้หรอก ผลงานอันยอดเยี่ยมก็มีให้เห็น ใครจะกล้าว่าอะไรล่ะ? แน่นอน ข้าเองก็อาศัยยารมีน้องหนิวเหมือนกัน…นี่คือของที่เก็บได้นิดหน่อยก่อนหน้านี้ พวกเราแบ่งเป็นสามส่วนเท่าๆ กันเถอะ”

เขานำเกราะรบผลึกแดงสองชุดที่ชุบมือเปิบไว้ก่อนหน้านี้ออกมา เหมือนอยากจะอุดปากเหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัว

เหมียวอี้เหลือบมองแวบหนึ่ง พ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “เจ้าเก็บไว้ใช้เองดีกว่า!” แล้วก็ดีดแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งให้มู่หรงซิงหัว

มู่หรงซิงหัวรับมาดูในมือ ข้างในมีเกราะรบผลึกแดงของผู้หญิงสองชุด ทั้งยังมีสมุนไพรเซียนซิงหัวสิบต้น รวมทั้งยาแก่นเซียนหนึ่งล้านเม็ด

นางเงยหน้ามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง เดาว่าเหมียวอี้คงจะเก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อย การได้นักโทษมาสามสิบห้าคนก็คือเครื่องพิสูจน์แล้ว แต่นางก็ไม่ได้ถามว่าเหมียวอี้ได้มาเท่าไร รู้ว่าต่อให้อีกฝ่ายไม่ให้ตนก็โวยวายไม่ได้อยู่ดี ถามไปก็ยิ่งไม่มีความหมาย นางไม่ได้ทำตัวอิดออดอะไร เพียงรับมาเก็บเอาไว้เงียบๆ

เดิมทีเหมียวอี้เตรียมจะแบ่งแหวนเก็บสมบัติให้สวีถังหรานวงหนึ่งอย่างเท่าเทียมกัน แต่เห็นว่าในเมื่อสวีถังหรานก็เก็บเกี่ยวมาได้บ้างนิดหน่อย งั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องมอบให้คนต่ำช้าคนนี้อีก

พอพูดถึงคนต่ำช้า ขนาดเหมียวอี้เองก็ยังรู้สึกขำ ตอนแรกที่อยู่ยอดเขาโอนเอนรวมทั้งตอนที่กลับมาแล้ว ตัวเองก็คิดที่จะเล่นงานคนต่ำช้าอย่างสวีถังหรานให้ตายมาโดยตลอด นึกไม่ถึงว่าทั้งสองยังจะเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาจนถึงวันนี้ได้ แต่จะว่าไปแล้ว สวีถังหรานคนนี้ เวลาที่ควรจะอ่อนก็ยอมอ่อนแบบไม่เกรงใจเลยสักนิด มีวิธีการเฉพาะของตัวเองในการเอาตัวรอด ขายชาตรีคนหนึ่งบทจะร้องก็ร้องเลย บทจะคุกเข่าก็คุกเข่าเลย ช่างน่าไม่อายจริงๆ ทำให้เจ้าไม่มีโอกาสเกิดความคิดที่จะสังหารเขาเลย

เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่ต้องการของของตน สวีถังหรานก็อึ้งนิดหน่อย แต่ก็เข้าใจดีมาก ว่าอีกฝ่ายคงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ไม่น้อยกว่าตนแน่นอน เขาอยู่เป็นมาโดยตลอด ไม่เหมือนตอนแรกที่กลับมาจากยอดเขาโอนเอนแล้วขอแบ่งสมบัติ ครั้งนี้เขาหุบปากแล้ว เก็บสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไว้ก็พอ อย่าหาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า

เหมียวอี้นั่งขัดสมาธิลงข้างๆ ร่ายอิทธิฤทธิ์เร่งสรรพคุณยาของสมุนไพรเซียนซิงหัวในท้อง อาการบาดเจ็บของเขาก็ยังไม่หายดีเหมือนกัน ส่วนข้างนอกก็ยังต่อสู้เข่นฆ่ากันต่อไป เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว นับว่าผ่านความทรมานของการทดสอบหนึ่งร้อยปีนี้มาแล้ว ต่อไปก็เหลือแค่กลับไปเสพสุขเกียรติยศความร่ำรวย

มู่หรงซิงหัวกลับเหลือบมองเขาหลายรอบ ในใจรู้สึกปลงมาก รู้สึกโชคดีกับการตัดสินใจในตอนนั้น ไม่อย่างนั้นก็คงจะรอดชีวิตกลับมาไม่ได้แล้วจริงๆ…

ท่ามกลางกลุ่มคนที่มุงดูการรายงานผลคะแนนด้านนอก ในใจโค่วเหวินหลานเรียกได้ว่าร่าเริง นอกจากพวกโฉวตั้งไห่ที่ยังต่อสู้เข่นฆ่าอยู่บนท้องฟ้า คนอื่นๆ ที่สามารถฝ่าวงล้อมกลับมาได้ก็กลับมากันหมดแล้ว กลับมาประมาณหนึ่งร้อยกว่าคน รวมๆ แล้วพวกเขานำนักโทษกลับมารายงานผลได้แค่สิบสามคนเท่านั้น ไม่ได้ครึ่งโค่วเหวินหลายด้วยซ้ำ

โค่วเหวินหลานคำนวณนับในใจ บวกจำนวนนักโทษที่ตัวเองส่งมอบไปสามสิบห้าคน ตอนนี้นักโทษก็ถูกจับไปแล้วสี่สิบแปดคน ไม่รู้เหมือนกันว่าในมือของคนสี่กลุ่มที่เข่นฆ่ากันอยู่บนฟ้ามีนักโทษอยู่เท่าไร ดูท่าแล้วมีหวังมากจริงๆ ที่ตัวเองจะได้อันดับหนึ่ง!

ตอนนี้เขาหวังให้คนสี่กลุ่มนั้นรีบหยุดต่อสู้กัน ขอเพียงนักโทษที่เหลืออยู่ไม่ไปรวมอยู่ในมือคนคนเดียว อันดับหนึ่งของเขาก็แทบจะเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว!

ที่จริงเขาก็ดวงเฮงมาก ผลลัพธ์ของเรื่องนี้เกิดขึ้นตามที่เขาเฝ้าหวังแล้ว

เมื่อไม่มีคนอื่นให้ล่าแล้ว ฮุยชิงเหยียนก็เลิกสู้กับฝานอวี้เฟยทันที รีบหนีเอาชีวิตรอดอย่างเร็วที่สุด พยายามอาศัยวรยุทธ์เร่งกลับสู่จุดหมายสุดท้าย

ก็ช่วยไม่ได้ เพราะคนในกลุ่มของนางโดนอีกสามฝ่ายร่วมมือกันสังหารทิ้งหมดแล้ว เหลือแค่นางคนเดียวที่พัวพันกับฝานอวี้เฟยไม่เลิก ทั้งยังไม่มีสัตว์พาหนะ แถมโฉวตั้งไห่กับผังลิ่งกงก็มองมาทางนี้ด้วยแววตาเหมือนหมาป่า รู้สึกได้ทันทีว่าท่าไม่ดีแล้ว จึงรีบหนีเอาชีวิตรอด!

ในที่สุดฝานอวี้เฟยก็รอดตัวแล้ว นางอยากจะฆ่าฮุยชิงเหยียนทิ้งใจจะขาด แต่ตอนนี้นางไม่มีสัตว์พาหนะ เพื่อนร่วมงานก็ตายจนเหลือแค่สามคน สัตว์พาหนะก็ตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้หมด กอปรกับในมือพวกโฉวตั้งไห่และผังลิ่งกงต่างก็มีอาวุธชั้นดี เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี มีความเป็นไปได้สูงว่าโฉวตั้งไห่กับผังลิ่งกงจะลงมือกับนาง จึงไล่ตามหลังฮุยชิงเหยียนไปทันที

เป็นอย่างที่คาดไว้ โฉวตั้งไห่กับผังลิ่งกงโจมตีตามมาติดๆ

ความเร็วสู้ทั้งสองไม่ได้ ภายใต้สภาวะคับขัน ฝานอวี้เฟยกัดฟันถ่ายทอดเสียงบอกตามหลังฮุยชิงเหยียนทันที “นางตัวดี! เจ้ากับข้ามาร่วมมือกัน ไม่อย่างนั้นก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะรอดกลับไป!”

ฮุยชิงเหยียนหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบทันที “ก็ได้!”

นางรู้ว่าในตอนนี้ฝานอวี้เฟยก็ไม่กล้าทำร้ายนางเช่นกัน ดังนั้นแล้ว สองคนที่เพิ่งจะสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายจึงร่วมมือกันทันที

ผู้หญิงสองคนนำลูกน้องที่เหลือพียงสามคนของฝานอวี้เฟยทั้งรุกทั้งถอยมาตลอดทาง ภายใต้การร่วมมือกัน แส้หนามของฝานอวี้เฟยคอยปกป้องพวกเขา ส่วนกระสวยสามมุมหนึ่งร้อยแปดอันของฮุยชิงเหยียนก็รับหน้าที่โจมตีศัตรูในระยะไกล ภายใต้การร่วมมือกันด้วยน้ำใสใจจริง ถ้าโฉวตั้งไห่กับผังลิ่งกงอยากจะจัดการทั้งสองให้ได้ไวๆ ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก

คนกลุ่มหนึ่งโจมตีกลับมาตลอดทาง เมื่อคนที่ถูกห่อด้วยแส้หนามเหยียบลงพื้นตรงจุดหมายสุดท้าย ก็เก็บของวิเศษเอาไว้ ฝานอวี้เฟยที่เก็บแส้สบตากับฮุยชิงเหยียนแวบหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เบนหน้าหนีและพ่นเสียงทางจมูกพร้อมกัน แตกคอกันอีกแล้ว!

โฉวตั้งไห่กับผังลิ่งกงที่ยังอยู่บนท้องฟ้าและยังไม่อยากเหยียบลงพื้นสบตากันแวบหนึ่ง แทบจะไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไรเลย เมื่อครู่ยังร่วมมือกันไล่สังหารอยู่แท้ๆ ตอนนี้เริ่มเข่นฆ่ากันเองทันที ต่อสู้กันขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง อยากจะคว้าโอกาสสุดท้ายเพื่อแย่งคะแนนในมืออีกฝ่ายมามาไว้ในมือตัวเอง

ลูกน้องของทั้งสองมีจำนวนพอๆ กัน ตอนที่กลับมาฝ่ายโฉวตั้งไห่มีเก้าคน ปรากฎว่าโดนลุกน้องของฮุยชิงเหยียนลอบจู่โจมตายไปสองคน ตอนหลังโดนเหมียวอี้ฆ่าไปอีกสองคน ตอนนี้เหลืออยู่เพียงห้าคน เนื่องจากหนึ่งในนั้นมอบสัตว์พาหนะให้โฉวตั้งไห่ ตอนนี้จึงมีสองคนที่นั่งบนสัตว์พาหนะตัวเดียวกัน

ส่วนลูกน้องของผังลิ่งกงก็ค่อนข้างห้าวหาญ ต่างก็มีชีวิตรอดกลับมาจากศึกเลือดก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่ามีศักยภาพไม่ธรรมดา ดังนั้นตอนกลับมามีสี่คน ตอนนี้ก็ยังเหลือสี่คน ล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น

ทั้งสี่คนสู้กับพวกโฉวตั้งไห่ที่มีห้าคนแบบฝีมือไม่ตกเลยสักนิด โฉวตั้งไห่กับผังลิ่งกงสู้กันแบบไม่รู้จักแพ้ไม่รู้จักชนะ ลูกน้องของทั้งสองก็กินกันไม่ลงเช่นกัน

แต่ตอนนี้ไม่มีใครสนใจผลลัพธ์ของทั้งสอง ทุกคนสนใจแค่คะแนนของฮุยชิงเหยียนกับฝานอวี้เฟยเท่านั้น ขอแค่นับคะแนนของทั้งสองออกมา ก็จะตัดสินได้แล้วว่าอันดับหนึ่งเป็นของฝ่ายไหน จากสถานการณ์ในตอนนี้ โค่วเหวินหวงกับก่วงจี๋ไม่สะดวกจะรบกวนลูกน้องที่กำลังต่อสู้เพื่อถามว่าในมือมีนักโทษอยู่กี่คน พวกเขาต่างจ้องมาที่ผู้หญิงสองคนนี้

ผ่านไปไม่นาน ผลคะแนนที่ผู้หญิงสองคนนี้รายงานก็ออกมาแล้ว

ในมือฝานอวี้เฟยมีนักโทษสิบสองคน ถ้าไม่ใช่เพราะเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นถูกเหมียวอี้ฆ่าตาย อาศัยพลังอภินิหารของเดรัจฉานเสียงสวรรค์ ก็เป็นไปได้สูงว่าจะไม่ได้จำนวนนักโทษแค่เท่านี้แน่

ในมือฮุยชิงเหยียนมีเพียงเก้าคน!

คำนวณได้ไม่ยากแล้วว่าดอกไม้ดอกแรกจะตกใส่บ้านใคร ในมือทั้งสองรวมกันแล้วได้ยี่สิบเอ็ดคน จำนวนรวมก่อนหน้านี้สี่สิบแปดคน เมื่อบวกกันแล้วได้หกสิบเก้าคน ด้านนอกอย่างมากก็มีแค่สามสิบเอ็ดคน เป็นไปไม่ได้ที่จะเยอะกว่าจำนวนสามสิบห้าของโค่วเหวินหลาน

“เจ้าหก! ยินดีด้วยนะ!” โค่วเหวินชิงมาโผล่อยู่ข้างกายโค่วเหวินหลานตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ นางถ่ายทอดเสียงแสดงความยินดีด้วยความจริงใจ

โค่วเหวินหลานอยากจะกลั้นยิ้มแต่กลั้นไม่ไหว กุมหมัดคารวะด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในใจกลับโห่ร้องอย่างบ้าคลั่ง ที่หนึ่ง! ข้าได้ที่หนึ่งโว้ย!

นี่คือผลลัพธ์ที่เขาไม่ได้นึกถึงตอนที่ส่งคนมาทดสอบในปีนั้น ในปีนั้นถูกเรียกไปจึงไม่มีทางเลือก การทดสอบของตำหนักสวรรค์ที่มาเยือนอย่างกะทันหัน รายชื่อก็ถูกร่างไว้ก่อนแล้ว เจ้าอยากจะรีบเปลี่ยนคนก็ทำไม่ได้ ทำได้เพียงแข็งใจส่งพวกเหมียวอี้ไปเดิมพันสักตั้ง ขอแค่ให้จับนักโทษได้สักสองสามคนเพื่อผ่านด่านและรักษาตำแหน่งตัวเองไว้ได้ก็พอ ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะช่วงชิงอันหนึ่ง แต่ตอนนี้อันดับหนึ่งดันตกเป็นของเขาแล้ว!

ขณะที่กำลังดีใจจนแทบบ้า ก็รู้สึกโชคดีที่ในปีนั้นรับหนิวโหย่วเต๋อไว้ใต้บังคับบัญชา!

หลังจากแสดงความยินดีกับโค่วเหวินหลานแล้ว โค่วเหวินชิงก็มองไปทางโค่วเหวินหวงที่กำลังหน้าซีด นางพูดในใจว่าช่วยไม่ได้ แรงสนับสนุนที่พี่สามได้รับจากตระกูล เกรงว่าจะต้องหลีกทางให้เจ้าหกแล้ว

เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของโค่วเหวินหวง ในใจนางก็รู้สึกเป็นทุกข์เช่นกัน ถึงอย่างไรก็เป็นพี่ชายแท้ๆ ของนาง

“ยินดีด้วยๆ!”

บรรดาผู้บัญชาการใหญ่กลุ่มหนึ่ง มีบางคนทำตัวใจกว้างแสดงความยินดีกับโค่วเหวินหลาน บางคนก็หันหน้าหนีด้วยความอิจฉา นอกจากจะไม่อยากหันมองแล้ว ลับหลังยังถ่ายทอดเสียงนินทาด้วยว่า “ทำบุญมาดีนี่ ขนาดเป็นไอ้ตุ้งติ้งก็ยังคู่ควรที่จะได้อันดับหนึ่งเลย!”

“เพราะโชคดีน่ะ! เพราะโชคดี!” โค่วเหวินหลานตอบกลับทุกคนที่มาแสดงความยินดีกับเขาอย่างสุภาพ เขาไม่สนว่าคนอื่นจะดีใจหรือไม่ดีใจ เพราะว่าเขาดีใจมากจริงๆ

ปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังอุ้มจิ้งจอกสีชมพูมองมาจากที่ไกลๆ ด้วยแววตาครุ่นคิด นางพึมพำว่า “ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ที่หนึ่งจริงๆ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด สงสัยตระกูลโค่วคงจะผลักดันให้เจ้าตุ้งติ้งขึ้นไปแสดงความสามารถในตำแหน่งหัวหน้าภาคเข้าสักวัน…”

จู่ๆ ก็มีใครบางคนเดินมาข้างกายโค่วเหวินหวงที่กำลังใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อีกฝ่ายตบบ่าเขาพร้อมบอกว่า “อันดับหนึ่งไม่มีแล้ว ต่อสู้กันต่อไปก็ไม่มีความหมาย ไม่สู้ถามพวกเขาดีกว่าว่าในมือมีนักโทษอยู่เท่าไร”

โค่วเหวินหวงหันกลับมามองแวบหนึ่ง เป็นก่วงจี๋นั่นเอง เขาพยักหน้ารับ แล้วทั้งสองก็เดินแยกตัวออกจากกลุ่มคน ต่างคนต่างนำระฆังดาราออกมา

ทั้งสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันอย่างสูสี ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรับข้อความ ก็เกรงว่าจะไม่สะดวกหยุดมือ แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายได้รับข้อความพร้อมกัน ก็จะแบ่งคนมาเฝ้าระวังฝ่ายตรงข้าม แล้วต่างคนต่างหยิบระฆังดาราออกมาตอบ

โฉวตั้งไห่แจ้งว่า ในมือมีนักโทษสิบเก้าคน ส่วนผังลิ่งกงอนาถหน่อย มีแค่เจ็ดคน

เดิมทีโฉวตั้งไห่มีแค่สิบเอ็ดคน พอได้จากมือเหมียวอี้มาสี่คน บวกกับดักฆ่าก่อนหน้านี้อีกสี่คน ถึงได้มีนักโทษสิบเก้าคน ผังลิ่งกงอนาถยิ่งกว่า หลายปีก่อนโดนอวี้ชิงหลางกับฮุยชิงเหยียนร่วมมือกันวางกับดัก เดิมทีในมือมีแค่สามคน เพิ่งได้มาเพิ่มสี่คนตอนที่ดักฆ่าก่อนหน้านี้

โค่วเหวินหวงบอกว่า : ไม่ต้องสู้กันแล้ว กลับมาเถอะ พวกเจ้าได้ที่สอง!

ก่วงจี๋กลับบอกว่า : ถ้าแย่งคนมาจากมือพวกเขาได้ พวกเจ้าก็จะได้ที่สอง!

โฉวตั้งไห่ที่รู้ถึงสถานการณ์โดยรวมตัดสินใจว่าจะถอยแล้ว ผังลิ่งกงอยากจะสู้สุดชีวิตก็ไร้ประโยชน์ ถ้าแย่งได้จริงๆ ก็คงแย่งไปนานแล้ว

ขณะกำลังเข่นฆ่ากัน โฉวตั้งไห่ก็นำคนถอยกลับไปที่จุดหมายสุดท้าย ผังลิ่งกงเองก็ทำได้เพียงกลับมาพร้อมความเสียดาย มองฮุยชิงเหยียนด้วยแววตาเหมือนอยากจะถลกหนังนางทั้งเป็น อวี้ชิงหลางตายไปแล้ว อยากจะแค้นก็ไม่มีที่ให้แค้น

ผลคะแนนสุดท้ายออกมาแล้ว อันดับหนึ่งและอันดับสองถูกตระกูลโค่วเหมาไป ฝานอวี้เฟยจากตระกูลเซี่ยโห้วได้อันดับสาม ฮุยชิงเหยียนจากตระกูลฮ่าวได้อันดับสี่ ผังลิ่งกงจากตระกูลก่วงได้อันดับห้า ส่วนตระกูลอิ๋งคนตายไปหมดแล้ว มีอันดับเป็นศูนย์

สามารถมองออกจากสิ่งนี้ ว่าอันดับบนๆ ล้วนถูกตระกูลใหญ่ผูกขาด เมื่อดูจากสถานการณ์โดยรวม นี่คือสิ่งที่ทุกคนคาดเดาไว้แล้ว เพียงแต่ว่า ถ้าไม่มีตัวแปรอย่างเหมียวอี้โผล่มา อันดับจะต้องไม่เป็นแบบนี้แน่นอน ใครจะอยู่หน้าใครจะอยู่หลังก็ยังไม่แน่

เมื่อได้ผลลัพธ์มา หลังจากพ่อบ้านจุยหย่วนตรวจดูจานอิทธิฤทธิ์แล้ว ก็กุมหมัดรายงานเกาก้วนที่อยู่บนบันไดหน้าตำหนักว่า “รายงานนายท่าน จำนวนผู้รอดชีวิตของการทดสอบรวมแล้วสองร้อยเก้าคน ทุกคนกลับมาหมด จับนักโทษได้ทั้งหมดเก้าสิบห้าคน ยังเหลืออีกห้าคนที่รอดไปได้!”

ผลลัพธ์นี้ทำให้คนบางคนทอดถอนใจ เพื่อที่จะจับคนหนึ่งร้อยคน ต้องมีคนตายไปแล้วเจ็ดร้อยกว่าคน ที่จริงในใจทุกคนต่างก็รู้ชัด ว่าคนที่ตายไม่ได้ตายด้วยน้ำมือของนักโทษ โดยส่วนใหญ่ตายเพราะน้ำมือคนของตำหนักสวรรค์ด้วยกันเอง คือผลลัพธ์ของการเข่นฆ่ากันเอง แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลต่างๆ คำนึงถึง สิ่งที่คำนึงถึงก็คือได้อะไรกลับมาจากสิ่งที่จ่ายไป?

เมื่อได้ยินผลลัพธ์นี้ เกาก้วนที่สีหน้าเรียบเฉยก็สะบัดเสื้อคลุม หันตัวเดินกลับเข้าตำหนักไปแล้ว บรรดาคนที่รักษาชีวิตไว้ได้แต่กลับมามือเปล่าเริ่มกังวลถึงจุดจบของตัวเองแล้ว…

ผ่านไปไม่นาน โค่วเหวินหลานก็วิ่งเข้าไปในห้องถ้ำที่พวกเหมียวอี้อยู่อย่างตื่นเต้นดีใจ แล้วตะโกนบอกเสียงดังว่า “ลุกขึ้นมาให้หมด ลุกขึ้นมา เร็วๆๆ!”

ทั้งสามได้ยินแล้วลุกพรวดขึ้นมาทันที สองคนนั้นขาดแขนและขาไปข้างหนึ่ง มีเพียงเหมียวอี้ที่ร่างกายครบสมบูรณ์ เหมียวอี้กุมหมัดคารวะถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ มีเรื่องอะไรหรือ?”

โค่วเหวินหลานกล่าวด้วยใบหน้าสดใสราวกับฤดูใบไม้ผลิว่า “นายท่านผู้คุมรายงานการทดสอบไปที่ตำหนักสวรรค์แล้ว ตอนนี้ได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ กำลังจะเป็นแทนตำหนักสวรรค์เพื่อมอบรางวัล จะตบรางวัลให้พวกเจ้าตามผลงานแล้ว! สั่งให้ทุกคนที่รอดชีวิตจากการทดสอบไปรวมตัวกันหน้าตำหนัก!”

“ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ทราบว่าคะแนนของพวกเราเป็นอย่างไรบ้าง?” สวีถังหรานถามหยั่งเชิง

โค่วเหวินหลานมองสวีถังหรานที่ขาขาดแวบหนึ่งแล้วก็ยิ้ม จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นกลั้นขำ แต่สุดท้ายก็หัวเราะลั่นออกมา พร้อมยื่นนิ้วออกมานิ้วหนึ่ง ตอบอย่างมีพลังว่า “อันดับหนึ่ง! พวกเราได้อันดับหนึ่ง!”

 

1049

 1050ตบราววัลหนัก

 หัเวราะอย่างถึงอกถึงใจ แต่ไม่นานรอยยิ้มก็ค่อยๆ แข็งทื่อ พบว่ามีตัวเองอยู่เราะอยู่คนเดียว สามคนที่อยู่ตรงข้ามกลับมองหน้ากันเลิกลั่ก มองเขาอย่างตะลึงงัน

ดังนั้นโค่วเหวินหลานจึงหัวเราะไม่ออกแล้ว ถามอย่างแปลกใจว่า “ได้อันดับหนึ่งแล้ว พวกเจ้าไม่ดีใจเหรอ?”

แต่ไม่ดีใจได้อย่างไรล่ะ แต่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเจ้าตุ้งติ้งหัวเราะอย่างกล้าได้กล้าเสียเหมือนผู้ชาย ต้องถือผ้าเช็ดหน้าป้องปากสิถึงจะเหมือนเขา แบบนี้รู้สึกไม่ค่อยชิน รู้สึกตกใจนิดหน่อย

หลังจากได้สติกลับมา ก็กลัวว่าเขาจะมองออก สวีถังหรานจึงไอแห้งๆ แล้วถามหยั่งเชิงอีกครั้งว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ได้ที่หนึ่งจริงๆ เหรอ?”

“ก็จริงน่ะสิ ข้าจะหลอกพวกเจ้าเชียวเหรอ?” โค่วเหวินหลานหันตัวแล้วโบกมือ “อย่าชักช้า รีบไปเถอะ พวกเราไม่มีสิทธิ์มาวางท่าให้นายท่านผู้คุมรอนาน”

สวีถังหรานโค้งมุมปากยิ้มทันที แม้จะขาดแขนขาดขาก็ยังเดินตามไป พลางซักต่อว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ จะได้รางวัลอะไรบางเหรอ?”

“ไม่รู้เหมือนกัน นายท่านผู้คุมเพิ่งรายงานเพื่อขอรางวัล รอประกาศแล้วกัน” โค่วเหวินหลานส่ายหน้าตอบ

เหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวสบตากันแล้วยิ้มไม่หยุด ได้อันดับหนึ่งย่อมต้องดีใจอยู่แล้ว

ตอนที่ทั้งสี่เดินมาถึงหน้าตำหนักท่ามกลางสายตาอิจฉาริษยาของฝูงชน โค่วเหวินหลานก็นับว่าสงบเสงี่ยม พาลูกน้องไปยืนอยู่ด้านหลังสุด

ปี้แยว่ฮูหยินที่กำลังลูบขนจิ้งจอกในอ้อมอกยืนมองอยู่ไกลๆ ดูเอาสนุก!

เก้าอี้บนบันไดหน้าตำหนักถูกเก็บไปแล้ว เพียงแต่มองไม่เห็นเงาของเกาก้วน หลังจากทุกคนรอได้สักพัก ถึงได้เห็นเกาก้วนที่แววตาดุจอินทรีกิริยาดังหมาป่าเหลียวหลังเดินก้าวยาวออกมาจากตำหนัก แล้วหยุดยืนอยู่บนบันไดสูง มองสำรวจกลุ่มคนที่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาเย็นเยียบ

จุยหย่วนที่ยืนอยู่ข้างล่างหันกลับไปมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นพอโบกมือ ก็มีกลุ่มคนพุ่งออกมาจากทางซ้ายและขวาทันที พวกเขาสวมเกราะรบที่เปล่งระระยิบระยับ ในมือถือทวนและดาบ เริ่มมาล้อมกลุ่มคนที่อยู่ข้างล่างเอาไว้ การจัดวางกำลังแบบนี้ทำให้ฝูงชนตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการจะทำอะไร

เกาก้วนยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง หลังจากจุยหย่วนรับมาอ่าน ก็ประกาศต่อทุกคนอย่างเป็นทางการด้วยเสียงอันดังก้อง “กรุณาธิคุณจากราชันสวรรค์! ผู้บัญชาการทุกคน เข้มงวดในกฏระเบียบ ไม่กลัวความเหน็ดเหนื่อย ปราบนักโทษหลบหนีหนึ่งร้อยปี รักษาความน่าเกรงขามของกฎสวรรค์ ราชันสวรรค์มีคำสั่ง มอบรางวัลตามผลงาน!” ประโยคสุดท้ายลากเสียงยาว

กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นกุมหมัดโค้งตัวทันที กล่าวพร้อมกันว่า “ขอบพระคุณสวรรค์!”

จุยหย่วนกวาดสายตามองกลุ่มคน แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวพวกโค่วเหวินหลาน “อันดับหนึ่ง หนิวโหย่วเต๋อ มู่หรงซิงหัว สวีถังหราน ก้าวขึ้นมารับรางวัล!”

โค่วเหวินหลานยิ้มพลางโบกมือให้สัญญาณทั้งสามคนทันที บอกให้รีบไปรับรางวัล

คนที่บังอยู่ตรงหน้าก็ไม่กล้าขวาง ยืนแยกเป็นสองฝั่งทันที หลีกทางให้พวกเขาเดินออกมา

เหมียวอี้ยื่นมือเชิญมู่หรงซิงหัวก่อน ตรงนี้นางวรยุทธ์สูงสุด มู่หรงซิงหัวกลับส่ายหน้า หลบไปยืนด้านข้างอย่างรู้ว่าอะไรควรไม่ควร

เช่นนั้นเหมียวอี้ก็ไม่เกรงใจแล้ว ไม่เกี่ยงงอนในเรื่องที่ควรกระทำ เดินก้าวยาวเข้าไปตรงกลางด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็น ฉากแบบนี้เป็นเรื่องเล็กสำหรับเขา ถึงอย่างไรเขาก็เคยนำกำลังพลนับหมื่นนับพันออกรบมาก่อน ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นฉากที่อลังการกว่านี้มาก่อน ทำตัวไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตัวเกินจนดูต่ำต้อย เป็นลักษณะท่าทางที่เกิดขึ้นเอง

มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานเดินตามอยู่ทางซ้ายและขวาอย่างรู้สำนึก ถึงแม้ทั้งสองจะวรยุทธ์สูง แต่ความจริงไม่เคยมีประสบการณ์กับฉากที่ยิ่งใหญ่แบบนี้มาก่อน โดนลูกหลานของตระกูลขุนนางมากมายขนาดนี้ดูอยู่ พวกเขาค่อนข้างตื่นเต้นกังวล กอปรกับขาดแขนขาดขา สวีถังหรานกึ่งกระโดดกึ่งลอยขึ้นด้วยขาข้างเดียว

หลังจากทั้งสามหยุดยืนทำความเคารพตรงตีนบันได จุยหย่วนก็กล่าวว่า “ด้วยมหากรุณาธิคุณของราชันสวรรค์! หนิวโหย่วเต๋อ มู่หรงซิงหัว สวีถังหรานได้อันดับหนึ่ง เลื่อนตำแหน่งเป็นกรณีพิเศษสองขั้น มอบยศแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบ มอบยาเม็ดม่วงทองคนละหนึ่งแสนเม็ด เมื่อพบขุนนางตำหนักสวรรค์ที่วรยุทธ์ต่ำกว่าพลังอิทธิฤทธิ์ระดับอนันตภาพ ไม่ต้องทำความเคารพ จบ!”

“ขอบพระคุณราชันสวรรค์!” ทั้งสามกล่าวขอบคุณ

เมื่อให้รางวัลแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่อยู่ตรงนั้นทำสายตาอิจฉา เรียกได้ว่าอิจฉาริษยาแทบแย่

ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เลื่อนยศสองขั้น จากยศทหารเลวเกราะทองห้าแถบกระโดดข้ามไปยศแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบ ต้องทราบไว้ว่าจากทหารเลวถึงแม่ทัพเป็นยศที่ห่างกันหนึ่งชั้น โดยทั่วไปนักพรตที่วรยุทธ์ยังไม่ถึงระดับบงกชรุ้งจะไม่ได้รับอนุญาตให้รับยศแม่ทัพ ถ้าอยากจะได้เป็นกรณีพิเศษ ก็ไม่มีทางอื่นนอกจากเบื้องบนจะอนุมัติ! ตอนนี้เบื้องบนของเบื้องบน ราชันสวรรค์ที่อยู่ระดับสูงสุดเอ่ยวาจาศักดิ์สิทธิ์อนุญาตเป็นพิเศษแล้ว ไม่มีใครว่าอะไรได้

ไม่รู้ว่าต้องใช้ทรัพยากรฝึกตนและเวลามากเท่าไรถึงจะผลักดันให้เกิดนักพรตระดับบงกชรุ้งได้ มีคนมากมายที่ทั้งชีวิตก็ไม่มีทางข้ามผ่านระดับนั้นได้ รู้สึกจนใจที่ไร้ปัจจัยสำหรับขึ้นไปถึงจุดนั้น  ตอนนี้ไม่น่าเชื่อว่านักพรตบงกชทองขั้นสามกับขั้นห้าจะโบยบินข้ามไปเป็นแม่ทัพเกราะม่วง ถึงแม้จะเป็นเพียงแม่ทัพหนึ่งแถบ เป็นแม่ทัพยศต่ำสุด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแม่ทัพ!

ส่วนสวัสดิการและทรัพยากรฝึกตนที่ตำหนักสวรรค์มอบให้ ก็ไม่ได้กำหนดตามความเล็กใหญ่ของตำแหน่งขุนนาง แต่กำหนดตามระดับวรยุทธ์ สวัสดิการของยศแม่ทัพย่อมไม่ใช่สิ่งที่ทหารเลวจะเทียบติดอยู่แล้ว และเมื่อระดับวรยุทธ์ถึงขั้น การเลื่อนขึ้นตำแหน่งขุนนางบางตำแหน่งที่จำเป็นต้องอาศัยระดับบวรยุทธ์ก็ไม่ยากแล้ว ทำให้กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นอิจฉาจนน้ำลายไหลจริงๆ

แม้แต่โค่วเหวินหลานเองก็ยังงุนงง แม่ทัพหนึ่งแถบ? แบบนี้ลูกน้องของตนก็ยศสูงกว่าตนน่ะสิ?

จะว่าไปแล้วแม้แต่โค่วเหวินหลานเองก็ยังไม่รู้ว่าวันไหนปีไหนถึงจะได้ไปอยู่ในขบวนแถวแม่ทัพเกราะม่วง วรยุทธ์ไม่สูงพอ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษก็เป็นไม่ได้! ตระกูลโค่วสามารถใช้ทรัพยากรสนับสนุนเขา แต่กลับไม่ยอมให้ทุกคนรู้ว่าตระกูลโค่วเดินเข้าประตูหลังกับเรื่องที่ชัดเจนโจ่งแจ้งแบบนี้

ยาเม็ดม่วงทองหนึ่งแสนเม็ด ความแตกต่างของยาเม็ดม่วงทองก็คือมีการเกาะตัวกันมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นของเหลวที่อยู่ในยาแก่นเซียน แต่ยาเม็ดม่วงทองกลับเป็นแก่นสารที่แท้จริงทั้งเม็ด จับต้องได้จริงเหมือนหินเหมือนเหล็ก ในยาเม็ดม่วงทองหนึ่งแฝงพลังจิตวิญญาณไว้เทียบเท่ากับยาแก่นเซียนหนึ่งร้อยเม็ด

ยาเม็ดม่วงทองหนึ่งแสนเม็ดก็เท่ากับยาแก่นเซียนสิบล้านเม็ด,สำหรับโค่วเหวินหลานไม่นับว่ามากมายอะไร แต่นี่คือสิ่งที่คนที่มีหน้าที่เฉพาะของตำหนักสวรรค์รวบรวมพลังจิตวิญญาณในจักรวาลมาหลอมปรุง  ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตทั่วไปจะใช้ได้ นอกจากจะมีให้ตำหนักสวรรค์ใช้โดยเฉพาะ ปกติก็จะนำมาเป็นรางวัลให้ขุนนางระดับสูงของตำหนักสวรรค์ ที่พวกเหมียวอี้ได้มาก็นับเป็นเกียรติยศพิเศษ

ยังมีเกียรติยศที่เจ๋งกว่านั้นอีก เมื่อพบขุนนางตำหนักสวรรค์ที่วรยุทธ์ต่ำกว่าพลังอิทธิฤทธิ์ระดับอนันตภาพ ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ต้องทำความเคารพ หรือพูดได้อีกอย่างว่าเวลาเจอนักขุนนางระดับบงกชรุ้งของตำหนักสวรรค์ ก็ไม่ต้องทำความเคารพก็ได้ แค่คิดก็รู้สึกเจ๋งแล้ว!

ตรงสองข้างทางของบันไดมีคนถือถาดเดินเข้ามาแล้ว นำเกราะม่วงของแม่ทัพหนึ่งแถบมอบให้ตรงหน้าทั้งสามคน โดยแบ่งเป็นชุดผู้ชายสองชุดและชุดผู้หญิงหนึ่งชุด บนเกราะม่วงยังมีแหวนเก็บสมบัติอีกหนึ่งวง ให้ทั้งสามตรวจนับต่อหน้าว่ามีผิดพลาดหรือไม่

หลังจากทั้งสามตรวจสอบยืนยันยาเม็ดม่วงทองหนึ่งแสนเม็ดและอาวุธในแหวนเก็บสมบัติแล้ว ก็กล่าวขอบคุณราชันสวรรค์อีกครั้งแล้วถอยออกมา

ทั้งสามเดินกลับมาอยู่ข้างกายโค่วเหวินหลานท่ามกลางฝูงชน ขนาดโค่วเหวินหลานยังอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบเกราะรบสีม่วงที่ทั้งสามถือประคองอยู่ รอบข้างมีคนไม่น้อยอิจฉาจนน้ำลายแทบไหล เกราะรบสีม่วงเชียวนะ เกราะรบสีทองที่ทุกคนสวมใส่นามปกติเป็นแค่เกราะรบขั้นสี่ แต่เกราะรบสีม่วงเป็นขั้นห้า เมื่อสวมเกราะรบชุดนี้ปรากฏตัวออกมา ก็เท่ากับอยู่ในอีกระดับหนึ่งแล้ว หลุดจากขบวนแถวทหารเลวไปอยู่ในระดับที่ต้องมองลงมา

พวกเหมียวอี้แอบปาดเหงื่อในใจนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้จะตบรางวัลหนักขนาดนี้ ไม่สนว่าจะได้ของเท่าไร แต่เกียรติยศที่มอบให้มันเยอะเกินไป ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกเลื่อนให้เป็นแม่ทัพโดยตรง แถมเวลาเจอนักพรตที่ระดับต่ำกว่าพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพก็ไม่ต้องคารว ช่างเป็นการตบรางวัลที่หนักอึ้งจริงๆ!

ทำเอาทั้งสามมองไปทางโค่วเหวินหลานด้วยความเกรงใจ ชั่วพริบตาเดียวก็เลื่อนขั้นสูงกว่าโค่วเหวินหลานแล้ว ต่อไปนี้เวลาพบกันในโอกาสและสถานที่ที่เป็นทางการจะทำตัวอย่างไร? จะกล้าสวมเกราะม่วงมาโอ้อวดตรงหน้าโค่วเหวินหลานเหรอ? แบบนั้นไม่ใช่การทำให้โค่วเหวินหลานอึดอัดหรอกเหรอ!

แต่จะว่าไปแล้ว ในใจของทั้งสามก็รู้อยู่แจ่มแจ้ง ถึงแม้การตบรางวัลครั้งนี้จะไม่เกี่ยวอะไรกับโค่วเหวินหลาน แต่โค่วเหวินหลานก็คงไม่สนใจการตบรางวัลเล็กน้อยนี่เหมือนกัน เพราะสิ่งที่โค่วเหวินหลานอยากได้ก็คือการสนับสนุนจากตระกูล ถ้าตระกูลให้ความสำคัญกับเขา ของที่จะได้รับมีมากกว่าของเล็กน้อยเพียงเท่านี้เป็นไหนๆ สิ่งที่ควรจะมีต่อไปก็จะได้มี

ทั้งสามยิ่งเข้าใจชัดเจนดี อาศัยวรยุทธ์ของพวกเขาสามคนถือว่าไม่ได้เข้าตาตำหนักสวรรค์เลย สำหรับตำหนักสวรรค์แล้ว ต่อให้อยากจะใช้งานเจ้า แต่ก็ส่งไปใช้ประโยชน์อะไรได้ไม่มาก ที่ตบรางวัลหนักแบบนี้ก็เพื่อจะซื้อใจคน ตบรางวัลเพื่อให้เหล่าผู้บัญชาการจำนวนนับไม่ถ้วนในใต้หล้าได้เห็น ว่าตำหนักสวรรค์ชอบคนที่มีภูมิหลังแข็งแรงและมีความสามารถในการทำงานเหมือนกับโค่วเหวินหลาน

ทั้งสามเพิ่งจะเก็บของไว้ จุยหย่วนก็เหมือนจะจงใจ หลังจากรอให้คนอื่นได้อิจฉาทั้งสามจนเต็มที่แล้ว ถึงได้กล่าวว่า “อันดับสอง โฉวตั้งไห่ ต่งเฟิง สื่อเทียนเจวี๋ย หนานอี้เปียว เหยียนเฟิ่งจวิน ก้าวขึ้นมารับรางวัล!”

ทั้งห้าคนก้าวขึ้นมาทันที สายตาของฝูงชนไปตกอยู่ที่ตัวพวกเขาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้ของรางวัลอะไร

หลังจากทั้งห้ามาถึงตีนบันไดและทำความเคารพแล้ว จุยหย่วนก็บอกว่า “ด้วยมหากรุณาธิคุณจากราชันสวรรค์! โฉวตั้งไห่ ต่งเฟิง สื่อเทียนเจวี๋ย หนานอี้เปียว เหยียนเฟิ่งจวิน มิอาจละเลยผลงาน เลื่อนขั้นหนึ่งขั้น ได้รับยศทหารเลวเกราะทองหกแถบ มอบยาเม็ดม่วงทองคนละหนึ่งแสนเม็ด จบ!”

รางวัลนี้โดนหั่นออกไปเยอะมากจริงๆ นอกจากเจอนักพรตที่ระดับต่ำกว่าพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพแล้วไม่ต้องคำนับ พวกเขาก็ไม่ได้ก้าวข้ามไปอยู่ในระดับแม่ทัพด้วย โอกาสดีๆ ในครั้งนี้แต่ไม่สามารถข้ามไม่ได้ ต่อไปก็ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไรแล้ว

“ขอบพระคุณราชันสวรรค์!” ทั้งห้ารับรางวัลแล้วกล่าวขอบคุณ ตอนที่หันตัวก็มองไปทางเหมียวอี้อีก ในใจของพวกโฉวตั้งไห่เหมือนมีเลือดไหล อันดับสองเชียวนะ! อันดับสอง! ห่างอีกก้าวเดียวก็ได้อันดับหนึ่งแล้ว! แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นก้าวเดียวที่ห่างไกลขนาดนี้!

ฝานอวี้เฟยที่ได้อันดับสามก็ยิ่งมองเหมียวอี้อย่างเคียดแค้น นางได้เลื่อนตำยศแค่ขั้นเดียว นั่นก็คือทหารเลวเกราะทองหกแถบ ยาเม็ดม่วงทองก็ได้คนละห้าหมื่นเม็ด

ส่วนคนที่อยู่หลังจากอันดับสามก็ไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการอีกแล้ว เรียกชื่อให้ก้าวขึ้นมารับรางวัลแล้วกล่าวขอบคุณก็พอ ไม่ได้มีการเลื่อนขั้น แค่ตบรางวัลเป็นยาเม็ดม่วงทองจำนวนหนึ่ง ขอเพียงจับตัวนักโทษหลบหนีได้ ต่อให้จับได้คนเดียวก็มีรางวัล แค่ดูว่าจะตบรางวัลเป็นยาเม็ดม่วงทองมากน้อยเท่าไรก็เท่านั้นเอง แล้วก็ถือเป็นเกียรติยศพิเศษเพราะได้รางวัลที่มาจากราชันสวรรค์โดยตรง แต่ใครจะไปรู้ว่าราชันสวรรค์หน้าตาเป็นอย่างไร

ตบรางวัลตามผลงาน ที่ควรจะมอบรางวัลก็มอบให้หมดแล้ว หลังจากจุยหย่วนกล่าวปลอบขวัญขุนนางที่รบตาย สีหน้าก็เคร่งขรึมทันที น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำ “ในเมื่อเป็นการทดสอบ ก็ย่อมมีทั้งการตบรางวัลและการทำโทษ คนที่ทำดีควรตบรางวัล ส่วนพวกที่ยามปกตินั่งตำแหน่งและรับค่าตอบแทนจากตำหนักสวรรค์ เสพสุขเกียรติยศความร่ำรวยแต่กลับไม่ทำงาน ให้ลงโทษอย่างร้ายแรง! ราชันสวรรค์มีคำสั่ง พวกที่นั่งครองตำแหน่งเป็นหมาหวงก้างแต่ไม่ยอมทำงาน ให้ขับไล่ออกจาตำแหน่งปัจจุบัน ลดขั้นเป็นทหารสวรรค์เกราะเงินสามแถบ ไปเป็นผีหลักเมือง เทพแห่งผืนดินเพื่อดูพฤติกรรมในภายหลัง ภายในสามพันปีนี้ ถ้าไม่มีคำสั่งพิเศษก็ห้ามเลื่อนขั้น!”

ภายใต้ความตกตะลึงงุนงของทุกคน ทหารสวรรค์ที่ล้อมอยู่รอบๆ พุ่งเข้ามาทันที เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาแล้ว มุ่งเข้าหาเหล่าผู้บัญชาการที่กลับมามือเปล่า เหล่าผู้บัญชาการใหญ่ที่ลูกน้องกลับมามือเปล่าก็รวมอยู่ในนั้นด้วย เหมือนจะถูกจัดเป็นพวกนั่งครองตำแหน่งเป็นหมาหวงก้างแต่ไม่ยอมทำงานเช่นกัน

“พวกเจ้าจะทำอะไร?” อิ๋งเหย้าอุทานถามอย่างตกใจ

พอถามมาแบบนี้ ก็มอาวุธมากมายจ่อมาที่คอของเขาทันที ทหารสวรรค์คนหนึ่งกล่าวเสียงต่ำ “ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงทหารสวรรค์เกราะเงินสามแถบ ส่งมอบของวิเศษและคำสั่งแต่งตั้งของผู้บัญชาการใหญ่ออกมา!”

พอมองอาวุธที่จ่ออยู่บนร่างกายตัวเองแวบหนึ่ง ด้วยฐานะอย่างอิ๋งเหย้า เคยรับความอัปยศขนาดนี้เสียที่ไหนกัน จึงถามอย่างเดือดดาลทันทีว่า “เจ้ากล้าขู่ข้าเหรอ? เบื้องล่างเสียผลประโยชน์ ต่อให้อยากจะโยงมาถึงข้า แต่ก็ต้องสืบสวนให้ชัดเจนก่อนสิ ทำไมลงโทษก่อนจะสืบสวน?”

“ลูกน้องมีแต่พวกไร้ประโยชน์ ถ้าเจ้าไม่ใช่หมาหวงก้างที่นั่งครองตำแหน่งแต่ไม่ยอมทำงาน แล้วจะเป็นใครไปได้? ราชันสวรรค์มีคำสั่ง หรือว่าเจ้าจะแก้ตัว เจ้ากล้าขัดคำสั่งต่อหน้าฝูงชนงั้นเหรอ? ช่างบังอาจนัก!” จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนเย็นเยียบสั่นสะท้านวิญญาณดังมาจากบนบันไดหน้าตำหนัก เห็นเพียงเกาก้วนกวาดสายตาเย็นเยียบ แล้วกล่าวสรุปคำที่ทำให้คนขวัญกระเจิงว่า “ประหาร!”

“เจ้า…” อิ๋งเหย้าเพิ่งจะส่งเสียงตื่นกลัว ทหารสวรรค์ที่อยู่ข้างๆ ก็ยกดาบขึ้นแล้ว ทำให้ศีรษะใบหนึ่งกระเด็นขึ้นมา

1050      

next-->

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น