หน้าเว็บ

room 772-006

 room 772-006

https://fiction-no-limit1.blogspot.com/p/room-772-006.html

1051-1100xx


1051

ดูมีเงื่อนงำนิดหน่อย

อิ๋งเหย้าที่โดนอาวุธจ่อไว้ไม่มีทางหลบได้เลย!

เมื่อพูดว่าฝ่าฝืนคำสั่งต่อหน้าฝูงชน ทหารสวรรค์ที่ลงโทษประหารชีวิตก็ลงมืออย่างไม่ลังเล เรียกได้ว่าไม่ให้โอกาสรอดชีวิตกับอิ๋งเหย้าเลยแม้แต่น้อย กะทันหัน ตรงไปตรงมา ประหารไปอย่างนี้เลยทหารสวรรค์!

คนอื่นๆ ตกตะลึงอ้าปากค้าง คำว่า ‘ประหาร’ ที่เย็นเยียบดุจน้ำแข็งของเกาก้วนยังดังก้องอยู่ในหูของทุกคน

เกาก้วนที่อยู่บนบันไดหน้าตำหนักยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายอำนาจสวรรค์ต่อหน้าฝูงชน เขาไม่เห็นฐานะภูมิหลังของอิ๋งเหย้าอยู่ในสายตา!

คนที่รู้จักฐานะของเกาก้วนล้วนเข้าใจ อีกฝ่ายมีอำนาจที่สามารถประหารก่อนแล้วค่อยรายงาน คนคนนี้มีหน้าที่รักษาความเกรงขามอันสูงส่งของราชันสวรรค์ เมื่อเจอคนที่ขัดคำสั่งและไม่เคารพอำนาจสวรรค์ ก็มีให้เพียงคำเดียวเท่านั้น ฆ่า!

ไม่เคยสนใจว่าถูกหรือผิด! ต่อให้ฆ่าผิดตัว…ที่จริงที่ฆ่าผิดตัวก็มีไม่น้อย หลังจากจบเรื่องราชันสวรรค์ก็แค่ปล่อยผ่านไปอย่างง่ายดาย ไม่ได้สืบสาวหาความเรื่องราว อำนาจสังหารของทูตตรวจการตำหนักสวรรค์ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเป็นผลจากการที่ราชันสวรรค์ให้ท้ายส่งเสริม!

ขณะที่มองเลือดสดของอิ๋งเหย้าพุ่งออกมา โค่วเหวินหลานก็เอามือลูบคอตัวเองโดยจิตใต้สำนึก เมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ตัวเองสั่งให้เหมียวอี้มอบนักโทษสี่คนให้โค่วเหวินหวง เขาก็รู้สึกกลัวนิดหน่อย ราชันสวรรค์ออกคำสั่งด้วยตัวเอง ให้ลดขั้นเป็นผีหลักเมืองกับเทพแห่งผืนดิน ภายในสามพันปีนี้ ถ้าไม่มีคำสั่งพิเศษก็ห้ามเลื่อนขั้น!

ตอนแรกที่ส่งคนมาเข้าร่วมการทดสอบ ก็รู้แค่ว่าถ้าคะแนนไม่ดีก็จะทำให้ตนพลิกสถานะในตระกูลได้ลำบาก แต่กลับนึกไม่ถึงว่าราชันสวรรค์จออกคำสั่งเอง เขาเกือบจะตายเพราะโค่วเหวินหวงแล้ว!

การลงโทษนี้ร้ายแรงกว่าที่เขาจินตนาการไว้ตั้งเยอะ รู้สึกโชคดีที่เหมียวอี้นำนักโทษกลับมาด้วยจำนวนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นถ้ากลับมามือเปล่า ผลลัพธ์ก็อนาถจนไม่อยากจะจินตนาการถึง อย่าว่าแต่พวกเหมียวอี้เลย แม้แต่เขาเองก็ต้องไปนั่งที่ศาลเจ้าแต่โดยดีด้วยเช่นกัน

เขาหันกลับมามองพวกเหมียวอี้ คิดว่าพวกเหมียวอี้เพิ่งจะได้รับรางวัลอย่างงาม แล้วก็มองดูการลงโทษที่ร้ายแรงของราชันสวรรค์อีก ในบรรดากลุ่มผู้บัญชาการใหญ่ที่โดนลดขั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกหลานจากตระกูลใหญ่! ลงมือกับลูกหลานของตระกูลใหญ่มากมายขนาดนี้ในรวดเดียว ดูท่าแล้วราชันสวรรค์คงจะไม่พอใจกับสภาพในปัจจุบันของตำหนักสวรรค์เป็นอย่างมาก นี่เป็นการอาศัยการทดสอบเพื่อส่งสัญญาณ!

อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าเชือดไก่ให้ลิงดู? ที่จริงแล้วนี่กำลังเชือดลิงให้ไก่ดูต่างหาก! แม้แต่หลานชายของอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ประหารอย่างไม่ปรานีเลยสักนิด แล้วคนอื่นๆ ยังจะกล้าโวยวายอีกเหรอ?

กลุ่มคนที่โดนลงโทษพากันกลืนน้ำลาย คำพูดที่จ่อขึ้นมาถึงปากถูกกลืนลงไปหมดแล้ว แต่ละคนกลัดกลุ้มทุกข์ใจ แอบทอดถอนใจไม่หยุด อิ๋งเหย้าคนนี้เกรงว่าจะต้องตายเปล่าแล้ว โดนข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งต่อหน้าฝูงชน เดี๋ยวต่อไปอ๋องสวรรค์อิ๋งคงจะต้องไปขออภัยโทษต่อหน้าราชันสวรรค์ด้วยตัวเองแน่นอน! ถึงแม้จะเป็นไปได้ยากที่ราชันสวรรค์จะลงโทษอ๋องสวรรค์อิ๋ง แต่อิ๋งเหย้าจะต้องตายเปล่าแล้วแน่นอน ดีไม่ดีแม้แต่พวกเขาเองก็อาจจะโดนที่บ้านสั่งสอนอย่างเข้มงวดด้วย ว่านี่คือจุดจบของการฝ่าฝืนอำนาจสวรรค์!

พวกเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกโชคดีไม่หาย โชคดีที่ตอนหลังแก้ไขปัญหาได้ ไม่อย่างนั้นถ้ากลับมามือเปล่าจริงๆ การนั่งอยู่ในศาลเจ้าคอยดูมนุษย์จุดธูปให้ตัวเองก็ยังดีหน่อย แต่ถ้าถูกลดขั้นให้ไปเป็นอากงเจ้าที่กับอาม่าเจ้าที่ในสถานที่เลวร้ายขึ้นมา นั่นต่างหากที่เรียกว่าอนาถของแท้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นนักพรตบงกชทองแล้วนะ!

พอเหลือบมองเกาก้วนที่อยู่บนบันไดหน้าตำหนักโดยจิตใต้สำนึก ทั้งสามก็ไม่รู้ว่าเจ้าบ้านี่มีที่มาที่ไปอย่างไร แค่รู้ว่าเขาโหดใช้ได้เลย แม้แต่หัวของหลานชายอ๋องสวรรค์อิ๋ง บทจะตัดทิ้งก็ตัดทิ้งได้!

คนทั้งงานถูกทำให้ตกใจจนเงียบกริบ เรื่องต่อมาก็จัดการสะดวกแล้ว ไม่มีใครที่เกิดความไม่ยุติธรรมในใจเพราะโดนลงโทษอีก เมื่อเทียบกับอิ๋งเหย้า การที่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว แต่ละคนส่งของที่ควรจะส่งคืนกลับมาให้แต่โดยดี ภายในสามปีนี้ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้พลิกสถานะ ราชันสวรรค์กล่าวไว้อย่างเด็ดขาดแล้ว!

ของที่มีประโยชน์บนตัวอิ๋งเหย้าถูกริบไปหมด ศพถูกลากออกไปแล้ว

ตอนแรกยังปะทะฝีปากกับซีเหมินจวิ้นอยู่เลย ทำเอาซีเหมินจวิ้นโดนแส้เฆี่ยนปางตาย ทุกคนยังจำได้ดีว่าตอนนั้นอิ๋งเหย้าลำพองใจขนาดไหน แต่ตอนนี้กลับไม่เหลือแม้แต่ศีรษะ จุดจบแย่กว่าซีเหมินจวิ้นด้วยซ้ำ มีบางคนแอบทอดถอนใจด้วยความหดหู่อีกครั้ง ว่ากันว่าอยู่ใกล้ราชันก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ พูดไว้ไม่ผิดเลยจริงๆ!

รางวัลที่ควรจะให้ก็ให้ไปแล้ว คนที่สมควรโดนลงโทษก็ถูกควบคุมตัวออกไปท่ามกลางฝูงชนหมดแล้ว จุยหย่วนประกาศเสียงดังอีกครั้งว่า “การทดสอบจบแล้ว!”

จนกระทั่งตอนนี้ การทดสอบหนึ่งร้อยปีนับว่าจบลงอย่างเป็นทางการแล้ว สถานที่ไร้ชีวิตที่ถูกปิดไว้ก็กำลังจะเปิดแล้วเช่นกัน!

ดังนั้นทุกคนจึงรวมกลุ่มกันจากไป หลังจากข้ามผ่านประตูดวงดาวของน่านฟ้าขาลติงออกไปแล้ว ทุกคนก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ต่างคนต่างกลับไปที่อาณาเขตตัวเอง

ดาราจักรยังคงกว้างใหญ่ระยิบระยับ แต่บรรดาคนที่กลับไปหลังจากการทดสอบจบลง กลับมีทั้งคนที่ดีใจและคนที่ทุกข์ใจ

โค่วเหวินหลานย่อมนำลูกน้องเหาะตามหลังปี้เยว่ฮูหยินอยู่แล้ว พอเหลือบมองปี้เยว่ฮูหยินทีเหาะนำอยู่ข้างหน้าแวบหนึ่ง โค่วเหวินหลานก็ถ่ายทอดเสียงบอกลูกน้องทั้งสามเงียบๆ ว่า “ต่อไปนี้ทุกคนต้องระวังตัวหน่อยนะ ที่จริงแล้วดาวเทียนหยวนที่พวกเราอยู่เป็นขอบเขตอำนาจที่แตกสาขามาจากตระกูลอิ๋ง ท่านโหวเทียนหยวนสามีของปี้เยว่ฮูหยินก็คือลูกน้องของอ๋องสวรรค์อิ๋ง การตายของอิ๋งเหย้าครั้งนี้เกี่ยวข้องกับพวกเรานิดหน่อย เดี่ยวกลับไปรอข้าติดต่อกับคนในตระกูลก่อน ข้าจะพยายามพาพวกเจ้าออกไปให้เร็วที่สุด!”

ไม่ใช่มั้ง? ทั้งสามพูดไม่ออก แต่ก็รู้สึกโชคดีอีกครั้ง โชคดีที่มีโค่วเหวินหลานอยู่ สามารถช่วยให้พวกเขาหลีกภัยได้

หลังจากโค่วเหวินหลานบอกทั้งสามแล้ว ก็ตามหลังปี้เยว่ฮูหยินไปกล่าวอำลา “ฮูหยิน การทดสอบที่นี่จบลงแล้ว ข้าน้อยอยากจะขอตัวลากลับบ้าน”

ปี้เยว่ฮูหยินที่อุ้มจิ้งจอกหันกลับมายิ้มบางๆ “ผู้บัญชาการใหญ่โค่วได้อันดับหนึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เกรงว่าคงจะอยู่กับข้าได้ไม่นานแล้วเหมือนกัน กลับไปเถอะ รีบกลับไปรายงานคนที่บ้าน รอให้ถึงตอนที่เจ้าย้ายออกไป ข้าจะไปส่งเจ้าด้วยตัวเอง”

“ขอให้เป็นมงคลตามปากฮูหยิน!” โค่วเหวินหลานกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็บอกลาพวกลูกน้อง แยกทางกันกลับไป

เมื่อโค่วเหวินไปแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็หันกลับมามองสามคนข้างหลัง แล้วยิ้มบางๆ ให้อีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เหาะนำอยู่ข้างหน้าพร้อมกระโปรงที่ปลิวสะบัด

ระหว่างทางยาวนาน บางครั้งมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานก็ใช้สมุนไพรเซียนซิงหัวมาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บเงียบๆ ของที่โค่วเหวินหลานให้เพียงพอให้พวกเขารักษาจนหายเป็นปกติก่อนจะกลับถึงดาวเทียนหยวน

เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับปานเยว่กงก่อน บอกว่าตัวเองผ่านการทดสอบได้อย่างราบรื่น ส่วนเรื่องของพวกเขาสองสามีภรรยา โค่วเหวินหลานรับประกันให้แล้ว ให้พวกเขาวางใจได้เลย

จากนั้นถึงได้ติดต่อกับอวิ๋นจือชิว บอกว่าการทดสอบจบแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทางกลับ ให้นางเตรียมตัวเต้นระบำมารสวรรค์เพื่อสร้างความบันเทิง

ส่วนเรื่องรางวัลกับอันดับของการทดสอบ เขายังไม่ได้บอกใครทั้งนั้น

ณ ดาวสองขั้ว ยังคงเป็นตรงตีนภูเขาไฟ ปานเยว่กงเก็บระฆังดารา แล้วหันตัวเดินมาบอกชิงเหมยที่อยู่ข้างหลังด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยิน ผู้บัญชาการหนิวผ่านการทดสอบแล้ว…” แล้วถือโอกาสพูดถึงเรื่องที่เหมียวอี้รับปากพวกเขาไว้

ชิงเหมยยิ้มบางๆ “หลังจากผ่านการทดสอบแล้วก็แจ้งให้พวกเรารู้ทันทีเลย ผู้บัญชาการหนิวคนนี้เป็นคนรักษาคำพูดจริงๆ สงสัยเรื่องพลิกคดีให้ข้าคงจะมาถึงในไม่ช้านี้”

“เรืองนี้แน่นอนอยู่แล้ว อาศัยภูมิหลังและกำลังของตระกูลโค่ว เรื่องในอดีตที่ไม่สำคัญแล้วก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย” ปานเยว่กงจูงมือนาง “ไป! ไปบอกหวงเสี้ยวเทียนให้รู้สักหน่อย”

หลังจากรู้ว่าพวกเหมียวอี้ผ่านการทดสอบได้อย่างราบรื่น หวงเสี้ยวเทียนก็เรียกได้ว่ากระโดดโลดเต้นอยู่ตรงประตูห้องถ้ำ “ไปๆๆ! ในเมื่อการทดสอบจบแล้ว พวกเราไปเดินเล่นที่ดาวเทียนหยวนกัน ไปแสดงความยินดีกับพวกเขา”

สวีถังหรานรับปากไปส่งเดชแล้วว่าจะหาร้านค้าให้เขาสักร้าน เขาตั้งตารอกับเรื่องนี้สุดๆ

สองสามีภรรยากลับสบตากันแวบหนึ่ง ปานเยว่กงบอกว่า “รออีกหน่อยแล้วกัน พวกเขาเพิ่งผ่านการทดสอบ ในมือยังมีเรื่องต้องจัดการแน่ๆ ไม่สู้รอให้พวกเขาว่างแล้วค่อยไปเยี่ยมดีกว่า!” สาเหตุที่แท้จริงก็คือ ชิงเหมยยังไม่พ้นคดี ถ้าตอนนี้โผล่หน้าเพ่นพ่านไปทั่วจะเป็นการรนหาที่ตาย

หวงเสี้ยวเทียนได้ยินแล้วชะงักทันที จากนั้นก็พยักหน้า “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล! งั้นก็รอก่อนแล้วกัน!” พูดจบแล้วก็ยังถูไม้ถูมืออย่างตื่นเต้นดีใจ

ณ ดาวเทียนหยวน ร้านโฉมเมฆา เรือนร่างอรชรอ่อนช้อยกำลังอยู่ภายใต้แสงจันทร์ อวิ๋นจือชิวที่เก็บระฆังดาราเอ่ยเรียก “มีใครอยู่มั้ย!”

โน้มตัวดมดอมดอกไห่ถัง เรือนร่างเย้ายวนงดงาม ใบหน้าเผยรอยยิ้มสวยหยาดเยิ้ม เมื่อรู้ว่าเหมียวอี้ได้กลับมาอย่างราบราบรื่น ความกังวลใจก็หายไปทันที

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์รีบเดินเข้ามา แล้วโค้งตัวคำนับพร้อมกัน “ฮูหยิน!”

ตอนนี้อวิ๋นจือชิวที่งดงามกว่าดอกไม้หันกลับมาบอกด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่านผ่านการทดสอบได้อย่างราบรื่นแล้ว กำลังอยู่ระหว่างทางกลับ ไปบอกพวกลูกน้องหน่อย เลิกเตรียมป้องกันได้แล้ว แล้วไปบอกหรูฮูหยินทั้งสองท่านด้วย เออใช่ เตรียมน้ำไว้ให้ข้าอาบด้วย ข้าจะพักผ่อนสักหลายๆ วัน บำรุงดูแลร่างกายให้งดงาม จะได้ปรนนิบัติให้เจ้าคนไม่รักดีนั่นให้ดีๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นคงจะโดนคนอื่นล่อลวงหนีไปสักวัน!”

ขณะที่หญิงรับใช้ทั้งสองกำลังดีใจ ก็พยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้ม พวกนางรู้ว่าฮูหยินอกสั่นขวัญแขวนมาตลอดหนึ่งร้อยปี ในที่สุดตอนนี้ก็คลายกังวลและจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว ทางด้านหรูฮูหยินสองท่านนั้นก็ไม่ต่างกันเท่าไร

หลังจากเหาะอยู่บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลได้สิบกว่าวัน จู่ๆ ปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังอุ้มจิ้งจอกก็หยิบระฆังดาราออกมา นางขมวดคิ้วทันที คนที่ส่งข่าวมาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นท่านโหวเทียนหยวนสามีของนางนั้นเอง

ในสถานการณ์ปกติ ถ้าไม่มีธุระอะไรผู้ชายของนางก็จะไม่ค่อยติดต่อมาหานาง เป็นสามีภรรยากันหลายปีจนเบื่อเซ็งกันแล้ว ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่าที่เขานำนางมาทิ้งไว้ที่ดาวเทียนหยวน ก็เพื่อจะได้หาความสำราญกับอะไรใหม่ๆ ได้สะดวก นางก็แค่ปิดตาข้างเดียวเท่านั้นเอง แต่ในใจรู้อยู่แจ่มแจ้ง สาเหตุหลักเป็นเพราะเทียนหยวนมีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมาก นางไม่มีทางระบายอารมณ์โกรธได้เหมือนภรรยาทั่วไป อยากจะควบคุมก็ควบคุมไม่ไหว ตอนนี้ติดต่อนางมาอย่างกะทันหัน ไม่รู้เหมือนกันว่ามีธุระอะไร

นางร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าระฆังดาราถามว่า : ผีบ้า คิดถึงเมียแก่อย่างข้าแล้วเหรอ?

เทียนหยวนไม่ต่อปากต่อคำกับนาง : ได้ยินว่าลูกน้องเจ้าสามคนได้อันดับสามในการทดสอบครั้งนี้เหรอ?

ปี้เยว่ฮูหยิน : ทำไมล่ะ? ตระกูลอิ๋งไม่พอใจแล้วเหรอ?

เทียนหยวน : เจ้ามาที่นี่สักเที่ยว สั่งให้สามคนนั้นไปหาเฉาว่านเสียง

ปี้เยว่ฮูหยิน : มีเรื่องอะไรกันแน่?

เทียนหยวน : ไม่ต้องถามมากแล้ว มีอะไรค่อยคุยกันตอนเจอหน้า แวะมาสักเที่ยวไม่ทำให้เจ้าเสียงานหรอก ถือว่าเป็นผลดีกับตัวเจ้าเองด้วย

หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาบอกสามคนข้างหลังว่า “ข้ามีธุระนิดหน่อย กลับไปพร้อมพวกเจ้าไม่ได้แล้ว พวกเจ้าไปรายงานผลการปฏิบัติงานกับเฉาว่านเสียงก่อน จากนั้นค่อยกลับดาวเทียนหยวน”

ไปรายงานผลการปฏิบัติงานกับเฉาว่านเสียง นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน? ดูมีเงื่อนงำ!

พวกเหมียวอี้มองหน้ากันเลิกลั่ก มู่หรงซิงหัวอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงกุมหมัดตอบว่า “รับทราบ!”

ปี้เยว่ฮูหยินเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรชัดเจน ที่จริงนางก็ไม่รู้ชัดว่าเรื่องเป็นอย่างไร จู่ๆ ก็เร่งความเร็วเหาะจากไปเพียงลำพัง

“ทำไมต้องไปหาเฉาว่านเสียงล่ะ?” สวีถังหรานพึมพำ แล้วมองสำรวจมู่หรงซิงหัวเงียบๆ

“จะทำลับๆ ล่อๆ ทำไม? ไม่ต้องกลัวข้าอึดอัดหรอก ขนาดข้ายังไม่สนใจเลย พวกเจ้าจะกังวลอะไรกัน ไม่ได้ทำให้พวกเจ้าสองคนเสียหน้าสักหน่อย” มู่หรงซิงหัวพูดเย้ยตัวเอง “ไปก็ไปเถอะ”

“ไม่กลัวไม่ได้หอรก! ชายชู้ของเจ้าอาจจะรอจัดการพวกเราสองคนอยู่ก็ได้” เหมียวอี้พูดหยอก

สวีถังหรานพยักหน้าซ้ำๆ “ใช่แล้ว! ใช่สุดๆ!”

มู่หรงมองบนใส่พวกเขา “พวกเจ้าสร้างผลงานใหญ่กลับมา ต่อให้เขาพุ่งเป้าไปที่พวกเจ้า แต่ก็ไม่กล้าตบหน้าราชันสวรรค์ในเวลานี้หรอกมั้ง?”

เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ระวังตัวไว้หน่อยจะดีกว่า ถ้าเป็นไปได้ เจ้าก็ช่วยไกล่เกลี่ยให้พวกเราสองคนด้วยนะ”

มู่หรงพยักหน้าเงียบๆ

1052

ไม่อาจทำตามใจ

เวลาในโลกมนุษย์ช่างแสนสั้น ครึ่งหนึ่งสามารถอยู่กับความเจริญรุ่งเรืองทางโลก ครึ่งหนึ่งสามารถอยู่กับอายุขัยที่ยืนยาว

นอกตำหนักที่สูงตระหง่าน ปี้เยว่ฮูหยินที่อุ้มจิ้งจอกเหาะลงมาจากฟ้า ทหารยามหน้าประตูตำหนักคารวะพร้อมกัน “ฮูหยิน!”

ปี้เยว่ฮูหยินเงยหน้ายืดอกพลางเดินลากกระโปรงยาวเข้าไป มีคนรีบเข้าไปรายงานแล้ว

ผ่านไปไม่นาน ด้านในตำหนักที่งดงามประณีต ชายรูปร่างผอมบางที่มีคิ้วกระบี่และหน้าผากกว้างเดินก้าวยาวออกมาต้อนรับ ถึงแม้จะตัวผอม แต่ท่วงท่ายามเดินดุจพยัคฆ์ดุจมังกร บุคลิกองอาจห้าวหาญ เสื้อผ้าหน้าผมหรูหรา มีลักษณะน่าเกรงขามเหมือนอยู่เหนือผู้อื่นมานาน เมื่อเดินไปถึงจุดไหนก็จะมีคนหลีกทางให้ แล้วยืนก้มหน้าปล่อยมือแนบลำตัว เขาก็คือท่านโหวเทียนหยวน หนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์

“ฮูหยิน…ฮูหยิน…”

ด้านนอกมีเสียงทำความเคารพดังไม่ขาดสาย ในที่สุดร่างของปี้เยว่ฮูหยินก็ปรากฏอยู่ตรงประตูด้านในตำหนัก เทียนหยวนหัวเราะเบาๆ ทันที รีบเร่งฝีเท้าเดิน แล้วก้าวเข้ามากุมหมัดทักทาย “ฮูหยินมาแล้วเหรอ”

ต่อให้มีอำนาจมากกว่านี้ ต่อให้ฐานะจะห่างกันมากกว่านี้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาก็ไม่มีอะไรมาเทียบได้ ย่อมไม่จำเป็นต้องวางมาดใส่อยู่แล้ว

ปี้เยว่ฮูหยินมองสำรวจเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วยื่นจิ้งจอกที่กำลังอุ้มไปให้ เทียนหยวนรับมาอุ้มไว้ในมือ หันตัวมาเดินอยู่ข้างกาย แล้วถามว่า “ไม่ได้พาลูกน้องมาเหรอ มาคนเดียว?”

“ก็โดนเจ้าไล่ไปหาเฉาว่านเสียงหมดแล้วไม่ใช่รึไง? เรียกข้ามามีธุระอะไร?” ปี้เยว่ฮูหยินถาม

เทียนหยวนมองดูปีศาจจิ้งจอกในมือตัวเอง แล้วโยนให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เพราะเขาไม่ได้สนใจการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเขายิ้มพร้อมถามว่า “เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากัน ถ้าไม่มีธุระอะไรข้าจะเรียกหาเจ้าไม่ได้เชียวเหรอ?”

ปี้เยว่ฮูหยินเหล่ตามองเขา “เจ้ายังรู้ด้วยเหรอว่าข้าเป็นภรรยาของเจ้า? เจ้าลองบอกมาซิว่าเจ้าไม่ได้ไปหาข้ามากี่ปีแล้ว”

เทียนหยวนถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าติดอยู่ระหว่างสองฐานะไง พอไปหาเจ้าที่นั้น ก็จะทำให้ทุกคนทางนั้นว้าวุ่นอยู่ไม่สงบ” เขารู้สึกกินปูนร้อนท้องขณะที่พูด

ปี้เยว่ฮูหยินขี้คร้านจะเถียงกับเขา พูดเปิดโปงไปก็ไม่มีความหมาย เดินตรงไปยังสวนของห้องนอนตัวเอง แล้วสั่งคนให้เตรียมน้ำให้อาบ เพื่อที่จะผิดบังความรู้สึกผิด ท่านโหวเทียนหยวนบุกเข้ามาในห้องอาบน้ำ ในขณะที่ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย เขาก็วางมาดของท่านโหวลง แล้วปรนนิบัติอย่างสุดความสามารถ

หลังจากผ่านเมฆฝนอันละมุนละไมจบลง ปี้เยว่ฮูหยินค่อนข้างพออกพอใจ ในที่สุดสีหน้าก็ผ่อนคลายลงแล้ว สวยหยาดเยิ้มยิ่งกว่าเดิม

หลังจากใส่เสื้อผ้าเสร็จและเดินประคองกันออกมา ทั้งสองก็เดินเล่นในสวนดอกไม้ด้วยกัน ในที่สุดก็คุยกันเป็นปกติแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินถามว่า “มีเรื่องอะไรกันแน่?”

เทียนหยวนกันคนนอกออกไป แล้วเอามือไขว้หลังเดินอยู่ข้างๆ ตอบว่า “พอผลการทดสอบครั้งนี้ออกมา ตำหนักสวรรค์ก็เตรียมจัดการทดสอบรอบต่อไปทันที กำลังจะเริ่มต้นแล้ว”

“กำลังจะเริ่มแล้ว?” ปี้เยว่ฮูหยินหยุดฝีเท้า แล้วถามอย่างตกใจว่า “ไม่ใช่ว่าหนึ่งพันปีจัดครั้งหนึ่งหรอกเหรอ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

เทียนหยวนหยุดฝีเท้าตาม “ครั้งนี้กติกาจะสูงขึ้นอีกหน่อย คนที่เข้าร่วมการทดสอบจะเป็นระดับผู้บัญชาการใหญ่ จำนวนคนก็เยอะขึ้นด้วยเช่นกัน เกี่ยวโยงไปถึงลูกหลานและลูกน้องของคนระดับหัวหน้าภาคและแม่ทัพภาคของตระกูลใหญ่ๆอ รายชื่อนักโทษหลบหนีที่ต้องจับกุมก็จะเพิ่มเป็นหนึ่งหมื่นคน รายชื่อของนักโทษและผู้เข้าร่วมทดสอบถูกกำหนดไว้แล้ว”

“เจ้าเป็นลูกน้องเก่าของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ที่เจ้าเรียกข้ามาแบบนี้เพราะจะบอกข้าใช่มั้ย ว่าข้าก็ถูกลากให้เข้าไปเกี่ยวด้วย? ลูกน้องข้าไม่มีใครแล้วนะ” ปี้เยว่ฮูหยินกล่าวอย่างงงงัน

“เจ้าคิดมากไปแล้ว!” เทียนหยวนยิ้มพร้อมบอกว่า “ข้าจะให้ฮูหยินของข้าไปเสี่ยงอันตรายได้อย่างไร ต่อให้ไม่ปกป้องคนอื่น แต่ถ้าปกป้องไม่ได้แม้แต่ฮูหยินของตัวเอง ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ”

ปี้เยว่โล่งใจลงเล็กน้อย ถามอีกว่า “ทดสอบติดต่อกันแบบนี้ผิดปกติมาก ตำหนักสวรรค์ต้องการจะทำอะไรกันแน่?”

เทียนหยวนยิ้มพร้อมบอกว่า “เจ้าคิดว่าทำไมผู้บัญชาการเล็กๆ ใต้สังกัดของเจ้าถึงได้รับรางวัลอย่างงามจากราชันสวรรค์ล่ะ? เพราะจะตบรางวัลให้ใต้หล้าได้เห็นไง ทั้งข้างล่างข้างบนสงบสุขมานานเกินไป มีเส้นสายความสัมพันธ์อยู่ทั่วทุกที่ กลายเป็นรากไม้ที่สอดสลับกันไปมาจนแก้ไขได้ยาก สับสนวุ่นวาย เป็นความเคยชินที่แก้ยาก นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเปลี่ยนได้ด้วยกำลังของราชันสวรรค์ท่านเดียว ต้องอาศัยโอกาสจากการทดสอบ รวบรวมกำลังของแต่ละตระกูลมากำจัดคนที่ฝ่าฝืนกฎสวรรค์มาหลายปีให้สิ้นซากสักรอบ เพื่อที่จะฟื้นความน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์กลับมาอีกครั้ง ดูจากเค้าที่ส่อให้เห็น นี่ยังเป็นแค่การเริ่มต้น อาจจะก้าวขึ้นไปทีละระดับ เดาว่าต่อไประดับแม่ทัพภาคกับหัวหน้าภาคก็หนีไม่พ้นเหมือนกัน สรุปก็คือราชันสวรรค์ไม่อาจปล่อยให้สถานการณ์แบบนี้ดำเนินต่อไปได้อีก ส่อเค้าว่าจะฟื้นกระแสการฝึกยุทธ์แล้ว ทางเจ้าเองก็ต้องเตรียมตัวเหมือนกัน พวกลูกน้องก็ต้องเลี้ยงคนที่มีความสามารถเอาไว้เตรียมรับเหตุไม่คาดคิด เวลาเกิดขึ้นเรื่องมาจะได้นำออกมาใช้ได้”

ปี้เยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “เจ้าก็พูดง่ายนี่ คนที่มีฝีมือ บทจะเลี้ยงก็เลี้ยงออกมาได้เหมือนที่ปากเจ้าพูดหรือไง? ตอนนี้ห่างเรื่องการรบมานาน กำลังคนที่มีก็เหมือนเอาลูกตาปลามาคลุกรวมกับไข่มุก ความสามารถไม่ใช่สิ่งที่มองออกได้จากวรยุทธ์ ถ้าไม่ผ่านเรื่องราวบางอย่าง จะสะท้อนออกมาให้เห็นได้ยังไง คงไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วไปหาเรื่องหรอกนะ? ลูกน้องข้าก็มีคนอยู่แค่นั้น รับหน้าที่คุมตลาดสวรรค์ จะหาเรื่องมาจากไหนมากมายล่ะ จะให้สร้างความวุ่นวายที่ตลาดสวรรค์ก็คงไม่ได้หรอกมั้ง?”

เทียนหยวนหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ลูกน้องเจ้ามีคนที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่เหรอ? ข้าได้ยินมาจากการทดสอบครั้งนี้แล้ว นี่ไม่ใช่คนที่ส่งมาถึงมือเจ้าหรอกเหรอ ให้เวลาสักระยะจนวรยุทธ์สูงขึ้นแล้ว จะต้องช่วยเจ้าได้มากแน่นอน ถือโอกาสรับมาเป็นลูกน้องคนสนิทของตัวเองสิ!”

“คนนี้เลิกคิดไปได้เลย!” ปี้เยว่โบกมือ “เขาคือคนของเจ้าเด็กตระกูลโค่ว ในการทดสอบครั้งนี้เจ้าเด็กตระกูลโค่วคนนั้นโดดเด่นเต็มที่ ตระกูลโค่วจะต้องย้ายเขากลับไปแน่นอน ถึงตอนนั้นจะต้องพาคนคนนี้ไปด้วยแน่”

เทียนหยวนยิ้มบางๆ “ที่นี่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของตระกูลโค่ว ใช่ว่าเขาอยากจะพาไปแล้วจะพาไปได้ ข้าเองก็เพิ่งกลับมาจากตำหนักสวรรค์เหมือนกัน เจ้ารองของตระกูลอิ๋งบอกข้ามาแล้ว ว่าอยากจะให้ข้าย้ายคนไปเป็นลูกน้องของลูกชายเขา แต่ข้าไม่ได้ตอบตกลง”

“ตระกูลอิ๋งอยากจะฉวยโอกาสล้างแค้นเหรอ?” ปี้เยว่ตะลึงงั้น

“ทำไมเจ้าฟังไม่เข้าใจล่ะ?” เทียนหยวนถามอย่างจนใจ อยากจะถามมากว่าสมองเจ้าคิดวนมาได้ยังไง

ที่จริงเขาเองก็รู้ ว่าเมียตัวเองมีความสามารถที่ธรรมดามาก ถ้าไม่ใช่เพราะนางเป็นเมียของเขา มีหรือที่จะได้นั่งตำแหน่งที่รายได้เยอะแบบนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ อาศัยฐานะของเขาก็ไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาแทรกเพื่อช่วยนางจัดการเรื่องนี้เลย แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะนางคือภรรยาเอกของเขา ไม่ช่วยก็ต้องช่วย

“เจ้าพูดแบบไม่มีต้นสายปลายเหตุ ข้าจะเข้าใจได้ยังไง? พูดตรงๆ ให้ชัดเจนเลยดีกว่า” ปี้เยว่กล่าว

เทียนหยวนหัวเราะแห้งๆ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ถ้าอยากจะล้างแค้นก็เป็นเรื่องปกติเหมือนกัน แต่ต่างคนก็ต่างมีเจ้านาย ถ้าอยากจะล้างแค้นก็ต้องไปหาเจ้าเด็กของตระกูลโค่วก่อนสิ? เจ้าหนิวโหย่วเต๋อนั่นก็แค่ฆ่าลูกน้องของอิ๋งเหย้า การฆ่าอิ๋งเหย้าไม่เกี่ยวกับเจ้าเด็กตระกูลโค่วด้วยซ้ำ อีกฝ่ายก็นึกไม่ถึงหรอกว่าอิ๋งเหย้าจะตายแบบนี้ คนที่ฆ่าอิ๋งเหย้าจริงๆ คนที่จะเอาชีวิตอิ๋งเหย้าให้ได้ก็คือเกาก้วน ถ้าตระกูลอิ๋งที่สง่าผ่าเผยรังแกคนที่อ่อนแอกว่า นั่นจะไม่ทำให้คนหัวเราะเยาะหรอกเหรอ ราชันสวรรค์เพิ่งประทานรางวัลให้เอง ตระกูลอิ๋งคงไม่แสดงความไม่พอใจต่อราชันสวรรค์เหมือนกัน แล้วอีกอย่าง อิ๋งเหย้าเป็นลูกชายของลูกชายคนที่สี่ ถ้าจะล้างแค้นจริงๆ ลูกชายคนที่สี่ก็ต้องมาหาข้า ลูกชายคนที่สองก็แค่ถูกใจในฝีมือของเจ้าเด็กนั่น อยากจะดึงตัวมาเป็นกำลังสำคัญให้ลูกชายตัวเอง ไม่เกี่ยวกับเรื่องล้างแค้นเลน”

“อย่างนี้เองเหรอ!” ในที่สุดปี้เยว่ก็เข้าใจแล้ว ถามอีกว่า “งั้นเจ้าปฏิเสธไปแล้ว ตระกูลอิ๋งอาจจะไม่พอใจหรือเปล่า?”

เทียนหยวนบอกว่า “เรื่องอื่นช่างมันเถอะ เรื่องการแข่งขันภายในของตระกูลอิ๋งเอง ข้าไม่เข้าไปก้าวก่ายหรอก ถ้าไปช่วยฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ก็จะทำให้คนอื่นๆ ของตระกูลอิ๋งไม่พอใจ มิหนำซ้ำลูกชายคนรองก็ไม่มีสิทธิ์มาควบคุมข้าด้วย ถ้าอ๋องสวรรค์เอ่ยปากเอง ข้าก็คงไม่มีทางเลือกเหมือนกัน แต่อ๋องสวรรค์ก็คงไม่เอ่ยปากเพื่อตัวละครที่ไม่สำคัญหรอก ใช่ว่าตระกูลอิ๋งจะไม่มีคนให้ใช้งานเสียเมื่อไร เบื้องล่างมีคนเยอะจะตาย ข้าก็เลยดึงเจ้ามาเป็นโล่ป้องกัน อ้างว่าในมือเจ้าขาดกำลังคน ข้ารับปากเจ้าไปก่อนแล้ว ลูกชายคนรองก็เลยพูดอะไรไม่ได้ แค่จะถือโอกาสบอกไว้สักหน่อย สรุปก็คือจะให้เจ้าเด็กตระกูลโค่วพาคนไปไม่ได้ ให้ฝ่ายพวกเรากักคนไว้ห้ามปล่อย! แบบนี้ก็ตรงกับเจตนาของข้าเหมือนกัน จะได้หาผู้ช่วยให้เจ้าได้พอดีเลย”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ปี้เยว่ฮูหยินก็อารมณ์ดีใช้ได้เลย ไม่ว่าจะยังไง ผู้ชายคนนี้ก็ยังใส่ใจเรื่องของนางอยู่ ถ้ามีเรื่องอะไรก็จะคิดถึงตนตลอด แต่ก็ถามอย่างปวดใจอีกว่า “เดี๋ยวถ้าเจ้าเด็กตระกูลโค่วมาขอคนจากข้าจะทำยังไงล่ะ? แบบนี้จะไม่ทำให้ข้าทำงานลำบากหรอกเหรอ?”

“ไม่ทำให้เจ้าทำงานลำบากหรอก เจ้าเสพสุขอยู่ที่ดาวเทียนหยวนก็พอแล้ว เดี๋ยวข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เจ้าเอง ถึงตอนนั้นเจ้าส่งต่อเรื่องนี้ให้เฉาว่านเสียงก็พอ เจ้าไม่ต้องเข้ามาแทรกแซง ข้าบอกทางเฉาว่านเสียงไว้เรียบร้อยแล้ว” เทียนหยวนกล่าว

ในที่สุดปี้เยว่ฮูหยินก็เข้าใจแล้วว่าทำไมต้องให้พวกเหมียวอี้ไปหาเฉาว่านเสียง สงสัยจะเตรียมการไว้ให้นางเรียบร้อยแล้ว…

ณ จวนหัวหน้าภาคของน่านฟ้าชวดอี่ เหมียวอี้กับสวีถังหรานที่ออกมาจากจวนขุนนางกำลังเดินไปทางลานบ้านรับแขก มือเท้าของสวีถังหรานงอกออกมาครบสมบูรณ์แล้ว ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บแล้วด้วย

เหตุการณ์ตอนเข้าพบเฉาว่านเสียงเหนือความคาดหมายนิดหน่อย ไม่เห็นเฉาว่านเสียงแสดงความไม่พอใจอะไรเลย ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ทรยศเจตนารมณ์ของเขาตอนอยู่ที่สถานที่ไร้ชีวิตด้วย กลับทำท่าดีใจมากด้วยซ้ำ กล่าวชมทั้งสามยกใหญ่ โดยเน้นชมเหมียวอี้ ทั้งยังบอกอีกว่ารอให้โค่วเหวินหลานย้ายออกไปแล้ว จะเลื่อนขั้นเหมียวอี้ให้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์

เหมียวอี้เพียงกล่าวขอบคุณกับสิ่งนี้ เขาไม่ได้มีความคิดที่จะอยู่ทำงานกับเฉาว่านเสียง ขาของเฉาว่านเสียงไม่ใหญ่เท่าขาของตระกูลโค่ว ตนต้องติดตามโค่วเหวินหลานไปอยู่แล้ว ดังนั้นภายนอกจึงแค่ตอบให้ผ่านๆ ไป

ทั้งสองไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ส่วนมู่หรงซิงหัวก็ถูกเฉาว่านเสียงรั้งตัวไว้ ‘ถามไถ่’ อีกครั้ง เดาได้ไม่ยากว่าต้องการจะทำอะไร

ทั้งสองรู้สึกหนักใจกับเรื่องนี้นิดหน่อย แต่ก็ไร้ความสามารถที่จะทำอะไรได้ นอกจากจะไม่มีอำนาจไปแตะต้องเฉาว่านเสียงแล้ว อาศัยแค่อีกฝ่ายเป็นนักพรตวรยุทธ์บงกชรุ้ง พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย ได้แต่มองสหายของตัวเองกลายเป็น…ในฐานะที่เป็นลูกผู้ชาย ในใจรู้สึกรับได้ยากจริงๆ

ความรู้สึกของสวีถังหรานอาจจะซับซ้อนยิ่งกว่าเหมียวอี้ รู้สึกแย่ยิ่งกว่า เพราะมู่หรงซิงหัวบาดเจ็บแขนพิการตอนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ ตอนนั้นเหมียวอี้ยังถูกขังอยู่ในเถาไม้ สัตว์พาหนะของสวีถังหรานถูกฆ่า แถมตัวเองยังได้รับบาดเจ็บ มู่หรงซิงหัวที่ปลีกตัวไปได้แล้วดันทุรังโจมตีฝ่ากลับมา แย่งตัวเขาหนีออกไปไปได้ นับว่าช่วยชีวิตเขาไว้ครั้งหนึ่งแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงตายไปแล้ว

ตอนหลังเมื่อได้พบเหมียวอี้อีกครั้ง เขาก็ได้รับบาดเจ็บอีก โดนคนโจมตีจนเกือบกระเด็นออกไป แต่เป็นมู่หรงซิงหัวที่ดึงเขาไว้ได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นจะยังรอดชีวิตอยู่เหรอ นับว่านางช่วยชีวิตเขาสองครั้งติดต่อกัน

ที่จริงเขานึกไม่ถึงเลยว่ามู่หรงซิงหัวจะเสี่ยงชีวิตช่วยเขาไว้ ถึงอย่างไรตอนแรกมู่หรงซิงหัวก็เคยทรยศพวกเขาเพื่อที่จะปกป้องชีวิตตัวเอง

แต่มู่หรงซิงหัวก็เสี่ยงชีวิตไปช่วยเขาไว้จริงๆ หัวใจคนเรามีเลือดมีเนื้อ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตและผลประโยชน์ เมื่อเห็นมู่หรงซิงหัวถูกเฉาว่านเสียงรั้งตัวไว้ต่อหน้าต่อตา แต่ตัวเองกลับทำอะไรไม่ได้ ในใจก็รู้สึกแย่นิดหน่อย ถึงขั้นเศร้าเสียใจด้วยซ้ำ

หลังจากกลับถึงเรือนพัก ทั้งสองต่างก็นั่งเงียบๆ ในศาลาอย่างรู้สึกอึดอัดกลุ้มใจ หลังจากผ่านไปนาน จู่ๆ สวีถังหรานก็บอกว่า “น้องหนิว ตอนอยู่ต่อหน้าผู้บัญชาการใหญ่คำพูดเจ้ามีน้ำหนักกว่าข้า รอให้ผู้บัญชาการใหญ่กลับมา พวกเราไปขอร้องผู้บัญชาการใหญ่ด้วยกันได้มั้ย ให้ผู้บัญชาการใหญ่พามู่หรงไปด้วยกัน?”


1053

เนื้อแท้เป็นคนดี

“ไม่ต้องรอให้กลับมาแล้ว พูดตอนนี้เลยแล้วกัน” เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกม่แล้ว ติดต่อกับโค่วเหวินหลานโดยตรง

เขาเองก็เก็บกดไม่สบายใจเหมือนกัน ขนาดช่วงที่อันตรายที่สุดของการทดสอบเขายังไม่ทิ้งมู่หรงซิงหัวไว้เลย แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาหันตัวเดินจากมา ภาพที่ทิ้งมู่หรงซิงหัวผู้หญิงตัวคนเดียวให้ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ความรู้สึกยากที่จะบรรยายออกมาได้จริงๆ แต่กลับต้องทิ้งมู่หรงไว้เพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง

สิ่งนี้ทำให้ทั้งสองรู้สึกเหมือนตัวเองให้ผู้หญิงคนหนึ่งไปขายตัวเพื่อปกป้องชีวิตพวกเขาและแลกเกียรติยศความร่ำรวยมาให้  ทำตัวไม่สมกับเป็นลูกผู้ชายเกินไปแล้ว ทำให้ความรู้สึกดีๆ ตอนที่ทั้งสองได้รับรางวัลกลับมาจากราชันสวรรค์ถูกกวาดหายไปหมดสิ้นถึงขั้นรู้สึกพ่ายแพ้อยู่บ้างด้วยซ้ำ

“ดี!” สวีถังหรานก็หยิบระฆังดาราออกมาเช่นกัน

ทั้งสองร่วมกันขอร้องโค่วเหวินหลาน แต่ก็ไม่ได้มีความมั่นใจอะไร ถึงอย่างไรมู่หรงซิงหัวก็เคยทรยศโค่วเหวินหลานมาครั้งหนึ่ง  และไม่รู้ด้วยว่าโค่วเหวินหลานจะยอมรับหรือไม่

ที่โชคดีก็คือ โค่วเหวินหลานเหมือนจะอารมณ์ดีมาก เขาไว้หน้าทั้งสองคนมาก รับปากทันทีโดยไม่พูดอะไรเยอะ ทำให้ทั้งสองโล่งใจแล้ว ถ้าสามารถช่วยให้มู่หรงซิงหัวหลุดพ้นจากเฉาว่านเสียงได้ ก็นับว่าได้ทำเรื่องที่สามารถจะทำได้แล้ว  ในใจจะได้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ใครใช้ให้มู่หรงไปมั่วอยู่กับเฉาว่านเสียงตั้งแต่แรกล่ะ

ตรงนี้เพิ่งจะโล่งใจ แต่ด้านนอกกลับมีกลุ่มคนเข้ามาโดยไม่ได้ผ่านการรายงาน สตรีวัยกลางคนที่นำหน้ามาดูสุขุมมีมารยาท ผิวเนื้อละเอียดอ่อน หน้าตาสวยสดงดงาม บนตัวมีปราณปีศาจเล็กน้อย ข้างหลังมีหญิงรับใช้ติดตามมาสองคน

สตรีวัยกลางคนกวาดมองทั้งสองที่นั่งอยู่ในศาลาแวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววเย็นเยียบพิศวง ถามเสียงเรียบว่า “พวกเจ้าคือหนิวโหย่วเต๋อกับสวีถังหรานเหรอ?”

เหมียวอี้กับสวีถังหรานสบตากับแวบหนึ่ง ทั้งคู่ไม่รู้จักนาง ได้แต่ยืนพร้อมกันด้วยแววตางงงวย

เป็นหญิงรับใช้ข้างกายสตรีวัยกลางคนที่เอ่ยว่า “เถาฮวาฮูหยินมาถึงแล้ว ยังไม่รีบคำนับอีก?”

เถาฮวาฮูหยิน? เหมียวอี้กับสวีถังหรานเข้าใจทันที นี่คือฮูหยินของหัวหน้าภาคเฉาว่านเสียง ว่ากันว่าดอกท้อที่ปลูกไว้เต็มจวนหัวหน้าภาคก็เกี่ยวข้องกับท่านนี้ ตอนนี้ได้พบกันถึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วเป็นนักพรตปีศาจ ขนาดทั้งสองยังนึกไม่ถึงเลยว่าภรรยาเอกของเฉาว่านเสียงจะเป็นปีศาจ

สวีถังหรานพึมพำในใจ มารดาเจ้าเถอะ ราชันสวรรค์เอ่ยวาจาศักดิ์สิทธิ์เองแล้ว ถ้าข้าเจอนักพรตที่พลังอิทธิฤทธิ์ต่ำกว่าอนันตภาพก็ยังไม่ต้องทำความเคารพเลย พวกเจ้านับว่าสำคัญอะไรล่ะ

แต่ก็ไม่มีทางเลือก ต่อให้คนหนุนหลังจะใหญ่กว่านี้ก็สู้คนในตำแหน่งไม่ได้ ราชันสวรรค์อยู่สูงเกินไป อยู่ห่างออกไปเก้าชั้นฟ้า ทั้งสองทำได้เพียงกุมหมัดคำนับพร้อมกัน “คำนับฮูหยิน!”

หลังจากทั้งสองคำนับแล้ว เถาฮวาฮูหยินที่เดินเนิบนาบเข้ามาถึงได้ถามว่า “ไม่ต้องมากพิธี ราชันสวรรค์ลั่นวาจาแล้ว ข้ารับไม่ไหวหรอก”

ชัดเจนว่ากำลังเอาเปรียบทั้งสอง ตอนแรกไม่บอก หลังจากรอให้ทั้งสองคำนับแล้วค่อยบอกตามทีหลัง

กระทั่งนางเข้ามานั่งในศาลา ทั้งสองก็ทำได้เพียงยืนอยู่สองข้าง เหมียวอี้กุมหมัดถามว่า “ไม่ทราบว่าฮูหยินมีอะไรจะกำชับ?”

เถาฮวาฮูหยินกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่กล้าเรียกว่ากำชับหรอก แค่อยากจะถามพวกเจ้าสักหน่อย หยางไท่ลูกชายบุญธรรมของข้าตายอย่างไรกันแน่? ข้าต้องการฟังความจริง!”

ลูกชายบุญธรรมก้นสุนัขอะไรล่ะ! สองคนที่ยืนอยู่ข้างล่างรู้สึกขำในใจ คาดว่าท่านนี้คงยังไม่รู้ว่าเรื่องฉาวโฉ่ระหว่างตัวเองกับหยางไท่ได้โดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเปิดโปงแล้ว

สงสัยท่านนี้จะถูกใจหยางไท่มากจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าหยางไท่เอาอกเอาใจนางอย่างไร! เหมียวอี้กับสวีถังหรานมองหน้ากันเลิกลั่ก ทั้งสองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหยางไท่ตายได้อย่างไร ทำได้เพียงบอกตามที่มู่หรงซิงหัวบอกมา

เถาฮวาฮูหยินแสยะยิ้ม “มู่หรงกับหยางไท่วรยุทธ์พอๆ กัน หยางไท่เองก็ไม่มีจุดไหนที่สู้นางไม่ได้? นางมีอาศัยอะไรถึงรอดพ้นอันตราย แต่หยางไท่กลับไม่รอด?”

หยางไท่จะมาเทียบกับมู่หรงได้อย่างไร! สวีถังหรานดูถูกในใจ ในสายตาเขาตอนนี้มู่หรงซิงหัวอยู่ในอีกระดับหนึ่งแล้ว หรือพูดได้อีกอย่างว่าสิ่งที่มู่หรงซิงหัวจ่ายไปนั้นได้สิ่งตอบแทนกลับมาแล้ว

สวีถังหรานถอนหายใจแล้วบอกว่า “สำหรับการตายของพี่หยาง พวกเราเองก็รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งเช่นกัน เพียงแต่ตอนที่พี่หยางตายพวกเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ สิ่งที่รู้มาจึงมีจำกัด”

เถาฮวาฮูหยินกวาดตามองไปรอบๆ แล้วถามว่า “แล้วมู่หรงผู้หญิงคนนั้นล่ะ ให้นางออกมาพบข้า”

พอพูดถึงเรื่องนี้ ทั้งสองก็เงียบแล้ว สวีถังหรานสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งก่อนจะตอบว่า “นายท่านหัวหน้าภาคมีธุระเรียกนางไปคุย ตอนนี้ไม่อยู่!”

“เชอะ! นางแพศยา!” เถาฮวาฮูหยินที่ถามไม่ได้ความอะไร สุดท้ายท้ายก็เดินออกไปอย่างเคียดแค้น เห็นได้ชัดว่ารู้เรืองของมู่หรงกับเฉาว่านเสียงอยู่แล้ว

ส่วนมู่หรงซิงหัวก็ไม่ได้กลับมาหนึ่งคืนเช่นกัน จนกระทั่งฟ้าสางของอีกวันถึงได้กลับมา

เหมียวอี้กับสวีถังหรานกังวลว่าเถาฮวาฮูหยินจะไปคิดบัญชีกับนาง เรียกได้ว่านั่งอยู่ในศาลาทั้งคืน ตอนนี้เห็นใบหน้ามู่หรงยังเจือด้วยความชื่นมื่นที่หลงเหลือจากเมื่อคืนนี้ ท่าทางเหมือนอารมณ์ปรารถนายังไม่หายไป เหมือนไม่ได้เกิดเรื่องอะไร พวกเขาก็ทั้งโล่งใจทั้งนึกเชื่อมโยงไปถึงอะไรบางอย่าง มองนางด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ปนกันอย่างซับซ้อน

มู่หรงซิงหัวในตอนนี้กลับสบายใจไร้กังวล เดินเข้ามาด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม พอเข้ามานั่งในนั้น ก็ถามว่า “พวกเจ้าสองคนมานั่งทำอะไรตรงนี้ตั้งแต่เช้าตรู่?”

“พวกเรารอเจ้ามาทั้งคืนไง” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม

“พวกเจ้าก็รู้เรื่องของข้ากับเฉาว่านเสียง เขารั้งข้าให้อยู่ต่อก็คงไม่ทำเรื่องอื่นหรอก  มีแค่ให้ข้าถอดเสื้อผ้าเท่านั้นแหละ พวกเจ้ารอข้าทั้งคืนทำไม มีเรื่องอะไรเหรอ?” มู่หรงซิงหัวแปลกใจ

สวีถังหรานถอนหายใจแล้วบอกว่า “เมื่อวานฮูหยินของหัวหน้าภาคมาหาพวกเรา ถามว่าหยางไท่ตายยังไง แล้วก็ถามหาคนที่รู้เบื้องลึกอย่างเจ้า พวกเรากังวลว่านางจะทำอะไรไม่ดีกับเจ้า”

มู่หรงซิงหัวส่ายหน้า “ข้าอยู่กับเฉาว่านเสียงมาตลอด แต่ก็ไม่เห็นว่านางจะมาหาเรื่องข้า”

“งั้นก็ดี” สวีถังหรานยันสองแขนลงบนโต๊ะ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “มู่หรง เจ้าวางใจเถอะ ข้ากับน้องหนิวติดต่อกับผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ได้รับการอนุญาตจากผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ครั้งนี้ผู้บัญชาการใหญ่จะพาเจ้าไปด้วยกัน ต่อไปเจ้าก็จะหลุดพ้นจากเฉาว่านเสียงแล้ว สิ่งที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรงพวกเรา พวกเราก็ช่วยเจ้าได้เท่านี้เหมือนกัน”

มู่หรงซิงหัวเงียบไปพักหนึ่ง หลังจากผ่านไปนาน นางก็พูดเบาๆ ว่า “ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของพวกเจ้าแล้ว แต่ข้าไม่ออกไปจากที่นี่หรอก และจะไม่ไปจากเฉาว่านเสียงด้วย”

สวีถังหรานอ้าปากเล็กน้อย ยังนึกว่าตัวเองฟันผิดไป

เหมียวอี้พลันเบิกตากว้าง บนตัวเผยกลิ่นอายดุร้ายเล็กน้อย กล่าวเสียงต่ำว่า “หรือว่าเฉาว่านเสียงกำลังบีบบังคับเจ้า? ในใต้หล้ามีผู้หญิงสวยตั้งเยอะตั้งแยะ อาศัยฐานะและตำแหน่งของเขา ต้องการผู้หญิงแบบไหนก็มีหมด ทำไมต้องพัวพันอยู่กับเจ้าไม่ยอมปล่อย? เขาทำแบบนี้รังแกกันเกินไปหรือเปล่า!”

มู่หรงซิงหัวยิ้มเบาๆ แล้วโบกมือกล่าวเสียงเรียบ “น้องหนิว ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด เขาไม่ได้บีบบังคับข้า เป็นข้าเองที่ไม่อยากไป”

“ทำไมล่ะ?” สวีถังหรานตกตะลึง

เหมียวอี้ก็แปลกใจมากเช่นกัน

มู่หรงซิงหัวตอบว่า  “ข้าเป็นดอกไม้โรยตกอับแล้ว ข้าไม่อยากย้อนนึกเรื่องบางอย่างที่เคยผ่านมา ในปีแรกๆ ข้าฐานะต่ำต้อย และเป็นเพราะหน้าตาสวยโดดเด่นจึงไปถูกใจเฉาว่านเสียง อาศัยฐานะและตำแหน่งของเฉาว่านเสียง ข้าไม่มีทางขัดขืนได้เลย ทำได้เพียงเชื่อฟัง แต่ที่ข้ามีวันนี้ได้ก็เป็นเพราะอาศัยการอุ้มชูสนับสนุนจากเฉาว่านเสียง และในบรรดาคนที่เข้าสู่ตำหนักสวรรค์พร้อมกันกับข้า บางคนยังเป็นทหารสวรรค์อยู่เลย มีเรื่องมากมายที่มีได้ก็ต้องมีเสีย ข้าเป็นคนเลือกเดินเส้นทางนี้เอง จะมาพูดเรื่องผิดถูกอีกก็สายไปแล้ว ตอนนี้ต่อให้ข้าจากเฉาว่านเสียงไปแล้วยังไงต่อล่ะ? คนที่รู้ว่าข้าเคยเป็นหญิงชู้ของเฉาว่านเสียงมีเยอะเกินไป เรื่องราวในช่วงนี้ลบออกไม่ได้ ต่อให้ไปได้ไกลกว่านี้ แต่ไม่ช้าก็เร็วคงมีคนเอ่ยถึง หลบเลี่ยงไม่พ้น”

เหมียวอี้จึงบอกว่า “งั้นอย่างน้อยก็ต้องหาคนที่ตัวเองชอบสิ ขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังนะ เฉาว่านเสียงหน้าตาสู้สวีถังหรานไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ขระที่พูดก็ชี้เปรียบเทียบกับสวีถังหราน “อาศัยฐานะและตำแหน่งของเจ้าในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ชายมาเลี้ยงเจ้าหรอก โดยเฉพาะการฝืนใจตัวเองแบบนี้ ไม่สู้เจ้าไปฝืนใจคนอื่นดีกว่า เจ้าสามารถหาใครสักคนที่ไม่ถือสาเรื่องผู้ชายคนก่อนของเจ้าได้อยู่แล้ว”

สวีถังหรานกลอกตามองบน ผลักมือของเขาออกไป “เจ้าชี้ไปที่ใคร? ข้าหน้าตาแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ? จำเป็นต้องเอาข้าไปเทียบกับคนเตี้ยล่ำอย่างเฉาว่านเสียงด้วยรึไง?”

“ข้าก็แค่เปรียบเทียบ” เหมียวอี้ตอบอย่างขอไปที

มู่หรงซิงหัวอดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมา แล้วบอกว่า “ข้าเข้าใจเจตนาของพกเจ้า เพียงแต่ว่า…คนอื่นไม่ถือสา แต่ข้าถือสานะ ข้าไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้ไปทั้งชาติ ไม่อยากโดนคนอื่นสะกิดปมด้อยมาวิจารณ์ลับหลังไปตลอด ในระหว่างการทดสอบหนึ่งร้อยปีนี้ข้าคิดเยอะมาก ข้ารู้ชัดแล้วว่าควรจะเดินในเส้นทางของตัวเองยังไง เรื่องบางอย่างในเมื่อหลบซ่อนไม่ได้แล้ว ก็ไม่สู้ไปเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญดีกว่า ลองเดินหน้าอย่างสง่าผ่าเผยก็ได้ ลบล้างชื่อเสียงสกปรกโสมมของตัวเอง ถ้าแม้แต่ตัวเองยังล้างให้สะอาดไม่ได้ แล้วจะไปอุดปากคนอื่นได้ยังไง หลบหลี่ยงไปก็ไร้ประโยชน์ จ้ามผ่านประตูที่อยู่มนใจตัวเองไม่ได้!”

“ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไป แบบนั้นต่างหากที่อุดปากคนอื่นไม่ได้ จะล้างตัวเองไม่สะอาดตลอดไป” สวีถังหรานพึมพำ

มู่หรงซิงหัวทำท่าอึกอัก เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ไม่รู้ว่าจะบอกทั้งสองดีหรือไม่ แต่เมื่อเห็นท่าทางที่ทั้งสองเป็นห่วงตน สุดท้ายก็ยืนขึ้นท่ามกลางความลังเล หันตัวไปเผชิญหน้าดอกท้อที่อยู่เต็มสวน รับลมเบาๆ ที่เย็นสดชื่น พร้อมกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ทำไมไม่ลองเปลี่ยนมุมมองความคิดดูบ้างล่ะ ทำไมข้าต้องเป็นหญิงชู้ของเขาไปทั้งชีวิตล่ะ เป็นภรรยาเอกของเขาไม่ได้เหรอ ?”

“…” ชั่วพริบตาเดียว สวีถังหรานกับเหมียวอี้ก็อ้าปากค้างพูดไม่ออกพร้อมกัน แล้วก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ในที่สุดก็เข้าใจเจตนาของมู่หรงซิงหัวแล้ว นี่นางกำลังอยากแทนที่เถาฮวาฮูหยิน!

ก่อนหน้านี้ทั้งสองยังไม่เคยคิดมาทางด้านนี้เลยจริงๆ ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง บางครั้งก็ไม่สามารถยืนครุ่นคิดปัญหาจากมุมมองของผู้หญิงได้เลยจริงๆ ตอนนี้มาลองคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ ยังมีวิธีการไหนที่สามารถลบล้างชื่อเสียงฉาวโฉ่ได้ดีกว่าการเป็นภรรยาเอกของเฉาว่านเสียงอีกล่ะ? ถ้าได้เป็นภรรยาเอกของเฉาว่านเสียงแล้ว ในภายหลังนางก็จะได้เป็นเฉาฮูหยินแล้ว

สวีถังหรานหัวเราะเจื่อนๆ แล้วบอกว่า “ที่จริงแล้วน่ะ ข้าก็ยังหวังให้เจ้าหาผู้ชายสักคนที่ตัวเองชอบ”

มู่หรงซิงหัวหันหลังให้พร้อมบอกว่า “เรื่องมาจนป่านนี้แล้วไม่มีคำว่าชอบหรือไม่ชอบ เส้นทางนี้ข้าเลือกเอง นี่คือราคาที่ข้าต้องจ่าย ต่อไปนี้เฉาว่านเสียงก็คือผู้ชายของข้าแล้ว ให้เขาเป็นผู้ชายของข้าไปทั้งชีวิตก็สิ้นเรื่อง เดี่ยวหัวใจก็ย่อมเต็มใจเอง”

“เนื้อแท้เป็นคนดี เหตุใด…” เหมียวอี้กล่าวอย่างลังเล ขณะที่มองภาพข้างหลังที่อรชรอ้อนแอ้นของนาง เขาก็คำพูดไม่น่าฟังที่อยู่ตอนท้ายออกมา เพียงแค่ขมวดคิ้ว นึกถึงเรื่องของตัวเองกับหวงฝู่จวินโหรว พบว่าที่จริงตัวเองก็ไม่ได้ดีกว่ากันไปสักเท่าไร ไม่มีสิทธิ์ไปว่าอีกฝ่ายเลยจริงๆ

ในวันนั้น ทั้งสามออกจากจวนหัวหน้าภาค กลับสู่ดาวเทียนหยวน…

ดาวหยกงาม ดาวเคราะห์ที่เสมือนภาพมายา เป็นของสี่อ๋องสวรรค์!

ดาวหยกงาม พื้นที่ต้องห้ามส่วนตัวของอ๋องสวรรค์โค่ว หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ ภูเขาไม่สูงมาก น้ำไม่ลึกมาก แสงอาทิตย์สว่างสดใส เมฆาเคลื่อนดุจความฝัน ทะเลสีเขียวคราวท้องฟ้าไร้ขอบเขต หนึ่งในสถานที่ที่งดงามที่สุดในโลก

ในจวนของอ๋องสวรรค์ที่มีปรากฏการณ์ที่สวยงามและหลากหลาย ยิ่งใหญ่อลังการเหมือนเจ้าของ หลังจากสตรีชุดขาวที่สวมหมวกผ้ามุ้งคนหนึ่งเดิมตามหลังชายชราเข้ามาในห้องหนังสือที่เรียบง่ายงามสง่า ชายชราหันมากล่าวว่า “รออยู่ที่นี่ก่อนแล้วกัน อีกประเดี๋ยว คุณชายสามก็จะมา”

“ค่ะ!” ผู้หญิงคนนั้นถอดหมวกที่ห้อยผ้ามุ้งปิดบังใบหน้า ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นฮวาหูเตี๋ยเถ้าแก่เนี้ยของโรงจำนำผีเสื้อแห่งดาววิงวอนชีพ



1054

เนื้อแท้เป็นคนดี

หลังจากชายชราออกไปแล้ว ฮวาหูเตี๋ยก็กวาดมองเครื่องเรือนที่จัดวางอยู่ในห้องหนังสือ แต่กลับยืนอยู่ที่เดิมไม่ล้าแตะต้อง ใครจะไปรู้ว่าที่นี่มีของต้องห้ามอะไรหรือเปล่า ถ้าไปกระตุ้นอาจจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร

สถานที่บางแห่งไม่จำเป็นต้องบอกอะไรก็สามารถทำให้คนทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อยได้!

ถึงแม้นางจะเป็นคนของตระกูลโค่ว แต่กลับไม่ได้ถูกควบคุมโดยโค่วเหมี่ยน คุณชายสามของตระกูลโค่ว ตลอดทั้งชีวิตนางนี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาจวนอ๋องสวรรค์ที่เขาร่ำลือกัน ย่อมมาเรือนพักของคุณชายสามตระกูลโค่วเป็นครั้งแรกเช่นกัน ไม่รู้ว่าคุณชายสามเรียกตนมาด้วยธุระอะไร

อ๋องสวรค์ที่สง่าภูมิฐาน  เป็นไปไม่ได้ที่จะเลอะเลือนกับเรื่องเกิดขึ้นภายนอก ถ้าอยากรู้ข่าวก็ต้องมีคนที่คอยสืบข่าวให้ ดังนั้นเบื้องล่างจึงต้องมีหูมีตาไว้บ้าง ตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน และนี่ก็คือกุญแจสำคัญที่ทำให้แต่ละตระกูลทราบตำแน่งที่แม่นยำของนักโทษหลบหนีในการทดสอบ

ทว่าการวางกำลังสายลับเป็นการส่วนตัวแบบนี้ คงไม่ดีที่จะทำอย่างเปิดเผยให้ทุกคนรู้ ดังนั้นต่อให้ยามปกติทุกคนจะรู้ว่านักโทษหลบหนีของตำหนักสวรรค์ซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่มีใครพูดออกมาอยู่ดี ไม่อย่างนั้นจะเท่ากับเป็นการเปิดโปงตัวเอง เรื่องบางเรื่องทุกคนรู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว ถ้าเปิดโปงออกมาไม่เพียงแค่จะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว แต่จะทำให้ตำหนักสวรรค์กลืนไม่เขาคายไม่ออกด้วยด้วย ยกตัวอย่างเช่นแบบอ๋องสวรรค์โค่ว จะให้ตำหนักสวรรค์ลงโทษหรือไม่ลงโทษดีล่ะ? ถ้าจะให้ลงโทษ คนอื่นๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ตำหนักสวรรค์จะต้องลงโทษด้วยหรือเปล่า?

ฮวาหูเตี๋ยก็คือหนึ่งในสายลับของอ๋องสวรรค์โค่ว นางเปิดเผยตัวเองต่อหน้าพวกเหมียวอี้แล้ว โรงจำนำผีเสื้อปิดกิจการแล้ว ทางดาววิงวอนชีพจะมีคนอื่นมารับงานต่อจากนางด้วยวิธีการอื่น สรุปก็คือนางต้องเปลี่ยนตัวตนย้ายไปที่อื่นแล้ว…

หอสามรากฐาน!

ท่ามกลางสวนที่อยู่รอบข้าง ดอกไม้ใบหญ้าเบ่งบานแข่งกัน ทุกอย่างอยู่ท่ามกลางเมฆบางๆ ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า สวยเกินคำบรรยาย แต่โค่วเหวินหวงที่ยืนอยู่ตรงตีนบันไดกลับไม่มีเวลามาคอยชื่นชม ตอนนี้เขากำลังเหม่อมองด้วยดวงตาที่ค่อนข้างไร้แวว บนแผ่นป้ายประตูมีอักษรตัวใหญ่ที่ดึงดูดใจคนเขียนไว้ว่า ‘หอสามรากฐาน’

เขาเคยได้ยินท่านพ่อเอ่ยถึงมาก่อน ว่าท่านปู่เป็นคนเขียนตัวอักษรสามตัวนี้เอง เขียนต่อหน้าลูกชายสามคนในปีนั้น แฝงความหมายถึงลูกชายสามคน ดังนั้นจึงเรียกว่าหอสามรากฐาน

ยามปกติเขาสามารถเข้าออกที่นี่ได้ ถ้ามีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องเบิกทรัพยากรก็จะมาที่นี่ แต่ครั้งนี้โค่วฉินบิดาของเขากลับให้เขารออยู่ด้านนอก ไม่ได้ให้เขาเข้าไป รสชาติและความหมายแฝงที่อยู่ในนั้น มีเพียงเขาที่รู้ชัดแจ่มแจ้ง

เขากับโค่วเหวินหลานออกเดินทางกลับมาแทบจะพร้อมกัน เพียงแต่โค่วเหวินหลานวรยุทธ์สู้เขาไม่ได้ ยังใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันเขาก็มาถึงก่อนแล้ว

เสียงฝีเท้าคนทำให้เขาได้สติกลับมา ใต้แผ่นป้ายประตูมีชายวัยกลางคนสองคนที่หน้าตาคล้ายกันห้าส่วนเดินออกมา ทั้งคู่เคราสั้นและหน้าตาไม่ธรรมดา ลักษณะสูงสง่าเหมือนกัน แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นพี่น้องกัน

ทั้งสองเดินลงบันได โค่วเหวินหวงรีบกุมหมัดคารวะ “ท่านพ่อ ท่านอาสาม!”

“อื้ม!” โค่วเหมี่ยนพยักหน้า ยื่นมือไปตบบ่าเขา ถอนหายใจแล้วบอกว่า “โอกาสยังมีเสมอ!”

เขาเดินจากไปโดยไม่ได้พูดอะไรมาก ไม่รบกวนสองพ่อลูก รู้ว่าตอนนี้สองพ่อลูกกำลังอารมณ์ไม่ดี

แต่กลับไม่เห็นว่าพอพูดคำนี้ออกมา โค่วเหวินหวงก็หน้าซีดลงในชั่วพริบตาเดียว

“ไปกันเถอะ!” โค่วฉินบอกลูกชาย โค่วเหวินหวงก้มหน้าเดินตามหลังไป

จนกระทั่งกลับถึงลานบ้านตัวเอง เมื่อเข้ามาถึงโถงรับแขกของบ้านตัวเองแล้ว โค่วเหวินหวงก็ถามอย่างรู้สคกไม่ยอมว่า “ท่านพ่อ ที่ท่านลุงใหญ่พูดหมายความว่ายังไง?”

โค่วฉินที่นั่งลงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วตอบเสียงเรียบว่า “ต่อไปนี้ถ้าไม่ได้รับอนุญาต…เจ้าก็ไม่ต้องเข้าไปที่หอสามรากฐานแล้ว ท่านลุงใหญ่ของเจ้ามีงานที่ต้องทำมากมาย ไม่ใช่คนว่างเหมือนข้ากับอาสามของเจ้า ไม่ต้องไปรบกวนเขาแล้ว”

โค่วเหวินหวงย่อมเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร ถามด้วยสีหน้าเจ็บแค้นทันทีว่า “เพราะอะไร? ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด? อย่างน้อยข้าก็ยังได้ที่สอง อันดับสูงกว่าตระกูลอื่นด้วย ไม่ได้ทำให้ตระกูลโค่วเสียหน้า ทำไมถึงปฏิเสธช้าง่ายๆ แบบนี้?”

โค่วฉินถามกลับ “แล้วเจ้าคิดว่าการปฏิเสธโค่วเหวินหลานที่ได้อันดับหนึ่งไว้นอกหอสามรากฐานเป็นเรื่องที่ยุติธรรมเหรอ?”

โค่วเหวินหวง “นั่นเป็นเพราะเขาโชคดีเฉยๆ หรอก เป็นเพราะลูกน้องของเขาชุบมือเปิบ!”

โค่วฉินกล่าวเสียงต่ำว่า “ลูกน้องเขามีแค่สองสามคน ตอนเริ่มแรกก็ได้ตัวนักโทษมาสี่คนแล้ว เจ้าสามารถบอกว่าเขาโชคดีได้ เขาจึงมอบให้เจ้าแล้ว! แต่ตอนหลังที่ลูกน้องเขาต่อสู้ท่ามกลางฝูงชน อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะเขาโชคดีอีก? ของที่วางอยู่ตรงหน้าทุกคน เขาสามารถคว้าไปได้ แต่ทำไมเจ้าคว้าไว้ไม่ได้ล่ะ? อย่าบอกนะว่าโชคจะอยู่ที่ตัวเขาตลอดไป? ถ้าโชคดีจะอยู่กับเขาจลอดไปจริงๆ เช่นนั้นเจ้าก็แข่งไม่ชนะหรอก แล้วก็ไม่มีอะไรน่าแข่งด้วย!”

โค่วเหวินหวงติบอย่างโมโหว่า “เจ้าหกให้ท้ายลูกน้องตัวเองให้ฆ่าคนของข้า ทำไมไม่ว่าบ้างล่ะ? ถ้าข้าทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการแบบเขา ให้ลูกน้องของข้าฆ่าคนของเขาบ้าง มีหรือที่ข้าจะไม่ได้อันดับหนึ่ง?”

“ต่ำช้า!” โค่วฉินตบโต๊ะลุกขึ้นยืน แล้วจ้องเขาพลางกล่าวด้วยเสียงดุดัน “เจ้าคิดว่าข้าตาบอดรึไง? เจ้าใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรท่ามกลางสายตาฝูงชน คิดว่าท่านปู่กับท่านลุงใหญ่ของเจ้าไม่รู้เหรอ? เจ้าทำอะไรไว้บ้าง ข้าถามเหวินชิงจนรู้กระจ่างหมดแล้ว! เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเมื่อครูท่านลุงใหญ่พูดอะไรกับข้า? ท่านลุงใหญ่เจ้าบอกว่า ภายในตระกูลโค่วสามารถแข่งขันกันได้ และอนุญาตให้แข่งกันได้ แต่ห้ามละเลยความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง ถ้าตระกูลโค่วไม่สามัคคีปรองดองกันเอง ก็ไม่ต้องรอให้คนอื่นลงมือหรอก เป็นตัวเองนี่แหละที่จะทำลายตัวเอง! ถ้าเจ้าไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของ ‘หอสามรากฐาน’ เช่นนั้นก็อย่าเข้ามาที่หอสามรากฐานอีกเลยตลอดไป!”

โค่วเหวินหวงฟังไม่เข้าหู เอาแต่ส่ายหน้ากล่าวอย่างเจ็บปวดอยู่อย่างนั้น “ข้าไม่เข้าใจ ก็แค่การทดสอบสนามเดียวเท่านั้น แล้วพวกเราก็ไม่ได้ลงมือด้วยตัวเองด้วย มีสิทธิ์อะไรมาอาศัยสิ่งนี้ตัดสินความสามารถพวกเรา? เจ้าหกก็แค่บังเอิญมีลูกน้องเก่งกล้าสามารถคนเดียวก็เท่านั้นเอง!”

โค่วฉินกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางเข้มงวด “แล้วทำไมเจ้าถึงไม่มีลูกน้องเก่งกล้าสามารถบ้างล่ะ? เจ้าได้ทรัพยากรของตระกูลโค่วไปเยอะกว่า หรือว่าเหวินหลานได้ไปเยอะกว่า? ใตบังคับบัญชาของตระกูลโค่วจะไม่มีลูกน้องให้เจ้าใช้งานเชียวเหรอ? ถ้าเจ้าจะขอกำลังคนที่มีฝีมือไป ท่านลุงใหญ่เจ้าจะไม่ยอมเชียวเหรอ? เหวินหลานมีปัจจัยแบบเจ้าหรือไง? แบบนี้แปลว่ายามปกติเจ้าไม่เอาใจใส่ในด้านนี้ รู้จักแต่เจาะหาช่องทางลัด เพราะอะไรตำหนักสวรรค์จึงต้องมีการทดสอบแบบปุบปับล่ะ ก็เพราะมีคนประเภทเจ้าอยู่นี่แหละ ท่านต้องการจะเปลี่ยนกระแสความนิยมนี้! และเหวินหลานก็คว้าโอกาสเอาไว้ แสดงว่าเขาเตรียมตัวอยู่ทุกขณะ แสดงว่ายามปกติเขาตั้งใจ ขนาดราชันสวรรค์ยังกล่าวชมเหวินหลานต่อหน้าท่านปู่เจ้าเลย!”

“นี่มันนับว่าหลักการอะไร! เขาแค่บังเอิญครั้งเดียว ก็กลายเป็นว่าเขามีความสามารถแล้วเหรอ?” โค่วเหวินหวงชี้นิ้วไปข้างนอก “เจ้าหกเป็นคนยังไง อย่าบอกนะว่าท่านพ่อไม่รู้? คนท่าทางตุ้งติ้งอย่างเขาเนี่ยนะ คู่ควรจะมาเข้าหอสามรากฐานด้วยเหรอ?”

“ใครบอกเจ้าว่าความสามารถคนเราดูกันจากหน้าตา? อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ว่าเหวินหลานเอาชนะเจ้าเด็กของตระกูลเซี่ยโห้วได้แล้ว?”

“ก็แค่คนไม่เอาถ่านอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิง ต่อให้เป็นหมูตัวเดียวก็เอาชนะเขาได้ แบบนี้นับว่าเป็นความสามารถด้วยเหรอ?”

“เขาได้หุ้นสองส่วนมาจากร้านขายของชำซื่อตรงด้วย เพิ่มรายรับให้ตระกูล เขาไม่ได้อาศัยเส้นสายของตระกูล อาศัยความสามารถของตัวเองขึ้นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ แล้วในการทดสอบของตำหนักสวรรค์ครั้งนี้ก็ได้อันดับหนึ่ง อันดับหนึ่งเชียวนะ ภายใต้สถานการณ์ที่มีปัจจัยและกำลังคนเทียบเจ้าไม่ติด แต่เขาก็ยังไขว่คว้าอันดับหนึ่งมาได้! เจ้ามีอะไรที่สู้เขาได้บ้างล่ะ? ถ้าแบบนี้ไม่เรียกว่าความสามารถแล้วจะเรียกว่าอะไร? อย่าบอกนะว่าเป็นโชคดีตามปากของเจ้า? อาสามของเจ้านำผลงานแต่ละเรื่องของเหวินหลานมาถกเถียงกันตามเหตุผลอย่างสง่าผ่าเผย แม้แต่ท่านปู่เจ้ายังพูดคำว่า ‘ไม่’ ไม่ออกสักคำ เจ้าตัวสร้างผลงานได้แล้วจริงๆ ผลงานที่เข้มแข็งก็เห็นๆ กันอยู่ ไม่ว่าเหตุผลคำพูดอะไรก็ไม่อาจมาทำให้สะเทือนได้!” หลังจากโค่วฉินแจกแจงเสร็จแล้ว ก็ชี้จมูกเขาพร้อมตะคอกว่า “โค่วเหวินหวง เจ้าฟังไว้ให้ดีนะ ‘โอกาสมีไว้ให้คนที่เตรียมพร้อมเสมอ เหวินหลานเตรียมตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นในช่วงเวลาสำคัญจึงนำออกมาใช้ได้ มีคุณสมบัติที่จะเข้า ‘หอสามรากฐาน’ นี่คือคำพูดของปู่เจ้า! เจ้าแก้ก็คือเจ้าแพ้ ไม่ต้องหาเหตุผลให้ตัวเอง ถ้าเจ้าไม่มีแม้แต่ความใจกว้างนี้…งั้นก็รีบถือโอกาสหยุดไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ต้องแข่งแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเป็นการทำร้ายตัวเอง!”

โค่วเหวินหวงโดนว่าจนอ้าปากค้างพูดไม่ออก รู้ว่าสำนึกผิดและแก้ตัวใหม่ไม่ได้แล้ว จิตใจเริ่มเซื่องซึมทีละนิด ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

คนเป็นพ่อย่อมไม่อาจเอาแต่ตำหนิลูกชายไม่หยุด หลังจากรอจนทั้งสองฝ่ายอารมณ์สงบลงแล้ว โค่วฉินก็ถอนหายใจแล้วบอกอีกว่า “แต่ก็อย่าท้อใจไปเลย ถึงยังไงครั้งนี้เจ้าก็ยังได้อันดับสอง อย่างน้อยก็ยังรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ได้ จะฝ่ามือหรือหลังมือก็เป็นเนื้อเหมือนกัน เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลโค่วจะตัดสินอนาคตลูกหลานของตระกูลคนหนึ่งอย่างสะเพร่าบุ่มบ่าม ถ้าเจ้ารู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถเหนือกว่าเหวินหลานจริงๆ…เหวินหลานสามารถเข้าหอสามรากฐานได้โดยไม่อาศัยทรัพยากรของตระกูล แล้วทำไมเจ้าจะทำบ้างไม่ได้ล่ะ? ถ้าหากว่าเจ้าทำไม่ได้ แล้วมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าตัวเองเก่งกว่า เหวินหลาน? เจ้ายังมีปัจจัยอยู่ ทั้งยังรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ได้ โอกาสยังไง ที่เหลือเจ้าก็จัดการเองตามเห็นสมควรก็แล้วกัน พ่อสามารถสนับสนุนเจ้าได้ไม่น้อยแน่!”

“เหวินหลานกำลังจะได้เลื่อนตำแหน่งแล้วใช่มั้ย?” โค่วเหวินหวงถามซื่อๆ

“กำลังดูว่าตำแหน่งแม่ทัพภาคของที่ไหนที่เหมาะจะให้เขาได้พัฒนาตัวเอง ท่านลุงใหญ่ของเจ้ากำลังเตรียมการแล้ว!” โค่วฉินตอบเสียงเรียบ

โค่วเหวินหวงฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวด พลาดโอกาสครั้งนี้ไปแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้การสนับสุนทรัพยากรจากตระกูล วรยุทธ์ยังไม่ถึงขั้น ไม่มีสถานการณ์พิเศษเหมือนในครั้งนี้ ถ้าอยากจะไต่ขึ้นตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ต้องใช้นักพรตบงกชรุ้งเท่านั้น เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก ต่อให้ไต่เต้าขึ้นไปได้แล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าสามารถเข้าหอสามรากฐานไปรับทรัพยาการสนับสนุนได้ หรือพูดอีกอย่างก็คือ ตอนนี้เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกับโค่วเหวินหลานแล้ว…

“เป็นยังไงบ้าง? เป็นอย่างไง?”

ที่ลานบ้านอีกแห่ง สตรีชุดขาวผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งที่มีใบหน้างดงามเหมือนลูกแอปเปิ้ลกำลังเดินไปเดินมา พอเห็นโค่วเหมี่ยนกลับมาแล้ว ก็ดึงแขนมาถามอย่างจู้จี้จุกจิกทันที

“มีอย่างที่ไหนมามาฉุดมาดึงต่อหน้าคนอื่น !” โค่วเหมี่ยนที่สีหน้าเคร่งขรึมสะบัดแขนแล้วเดินก้าวยาวจากไป แต่ก็ยังตอบโดยหันหลังให้ว่า “ลูกชายเจ้าเข้าหอสามรากฐานได้แล้ว กำลังจะได้เป็นแม่ทัพภาค!”

สตรีสูงศักดิ์ชุดขาวที่เดินตามหลังหน้าชื่นตาบานทันที ยิ้มเผยลักยิ้มลึกบุ๋มบนใบหน้า พอนางหยุดเดินตาม ก็สะบัดแขนเสื้อเบาๆ พร้อมบอกว่า “ก็ใช่น่ะสิ ให้มันรู้เสียบ้างว่าใครคลอดลูกชายให้เจ้า!” พูดจบก็หันหน้าเดินจากไป เตรียมจะไปหาคนโอ้อวดสักหน่อย

“ฮวนเหนียง คนที่ข้าอยากพบมาหรือยัง?” โค่วเหมี่ยนหันกลับมาถาม

“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง ไปถามผู้เฒ่าหลิวโน่น!” สตรีชุดขาวหันหลังโบกมือให้เขาอย่างรำคาญ แล้วยกกระโปรงวิ่งกระโดดโลดเต้นออกไป

นางไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นมารดาแท้ๆ ของโค่วเหวินหลาน ชื่อว่าซูฮวนเหนียง

โตจนป่านนี้แล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็กอีก! โค่วเหมี่ยนเห็นแล้วปวดประสาท เขารู้จักนิสัยของฮูหยินตัวเองดีเกินไป ตรงไปตรงมาไม่สนใจอะไร โดนอ๋องสวรรค์โค่วด่ามาก็หลายครั้ง แต่ก็ไม่สำนึกและปรับปรุงตัวเลย ที่ลูกชายโดนเรียกว่า ‘ไอ้ตุ้งติ้ง’ นางก็ไม่อาจผลักความรับผิดชอบนี้ได้ อีกประเดี๋ยวนางจะต้องไปหาใครสักคนเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจที่มีมานานแน่นอน!

หลังจากนั้นไม่นาน พ่อบ้านหลิวหรงก็โผล่มาตรงหน้าเขา แล้วกุมหมัดรายงานอย่างเคารพว่า “คุณชายสาม คนรออยู่ที่ห้องหนังสือแล้วขอรับ!”

โค่วเหมี่ยนพยักหน้า แล้วเดินตรงไปที่ห้องหนังสือแล้ว พอเจอฮวาหูเตี๋ยก็มองสำรวจศีรษะจดเท้าครู่หนึ่ง

เขาไม่รู้จักฮวาหูเตี๋ย สายลับของตระกูลโค่วล้วนถูกกุมอยู่ในมือผู้เฒ่าถัง ผู้เฒ่าถังก็คือบ่าวรับใช้เก่าแก่ข้างกายอ๋องสวรรค์โค่ว ครั้งนี้ก็เป็นผู้เฒ่าถังที่จงใจแนะนำเป็นพิเศษ บอกว่าหนิวโหย่วเต๋อคนของลูกชายตัวเองเป็นบุคคลมีฝีมือที่หาพบได้ยาก สามารถใช้งานได้!

โค่วเหมี่ยนรู้สึกแปลกใจทันที หนิวโหย่วเต๋อช่วยลูกชายตัวเองช่วงชิงอันดับหนึ่งมา เขาย่อมรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ตระกูลโค่วมีอำนาจมากขนาดนั้น ถ้าจะหาคนที่ต่อสู้เก่งๆ ก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก แค่หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวไม่นับว่าสำคัญอะไรเลย แต่พูดคำเดียวก็หาได้เยอะเป็นกอง คนที่สามารถทำให้ผู้เฒ่าถังถูกใจได้ เขาย่อมต้องอยากถามอะไรสักหน่อยอยู่แล้ว

ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาผู้เฒ่าถังก็ไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้ว ไม่ชอบเปลืองคำพูด ให้เขาไปถามฮวาหูเตี๋ยเอาเอง อีกประเดี๋ยวจะเรียกคนมาให้เขา


1055

ลูกน้องคนสนิทเชียวนะ

ในตอนนี้ พ่อบ้านหลิวหรงกล่าวเตือนเล็กน้อย ฮวาหูเตี๋ยรีบทำความเคารพทันที

“ไม่ต้องมากพิธี!” โค่วเหมี่ยนยิ้มบางๆ หันตัวนั่งลงหลังโต๊ะหนังสือ แล้วยื่นมือกล่าวว่า “นั่งลงคุยกัน!”

ท่าทีอ่อนโยนเข้ากับคนง่าย ดูเหมือนไม่มีมาด แต่ความเป็นจริงสำหรับคนบางคน การไม่วางมาดต่างหากที่เป็นการมีมาดมากที่สุด เป็นเพราะฐานะของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันเกินไป ต่อให้เขาไม่วางมาดกับเจ้า แต่เจ้าก็ต้องรู้ว่าตัวเองเป็นใคร สามารถได้รับชื่อเสียงดีๆ โดยไม่ล่วงเกินคนอื่น ทั้งยังทำให้คนอื่นเป็นฝ่ายมองขึ้นมาอย่างเคารพนอบน้อม แบบนั้นต่างหากที่เรียกว่ามีมาดของจริง มีมาดโดยไม่ต้องวางมาด

ฮวาหูเตี๋ยนั่งลงด้วยความเคารพนบนอบ ในใจสงสัยนิดหน่อยว่าคุณชายสามตระกูลโค่วท่านนี้เรียกหาตนด้วยธุระอะไร ตามหลักการแล้วนางไม่สะดวกจะที่ติดต่อกับตระกูลโค่วโดยตรง ถ้าไม่ใช่เพราะเบื้องบนเรียกพบ ก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะมาปรากฏตัวในจวนอ๋องสวรรค์โดยตรง

โค่วเหมี่ยนยิ้มน้อยๆ พออ้าปากพูดก็เอ่ยสื่อถึงความหมายนี้ “เจ้าเป็นคนในสังกัดของผู้เฒ่าถัง ตามหลักการแล้วข้าไม่มีสิทธิ์จะถามอะไรเจ้า แต่ในเมื่อสามารถเรียกให้เจ้ามาได้แล้ว คาดว่าในใจเจ้าก็คงจะเข้าในเช่นกัน เจ้าวางใจได้ เรื่องที่ไม่ควรถามข้าก็จะไม่ถามเยอะ ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากใจหรอก”

“ค่ะ!”ฮ วาหูเตี๋ยพยักหน้าเบาๆ “ผู้น้อยได้ยินที่กำชับแล้ว”

“งั้นข้าก็จะไม่อ้อมค้อมแล้ว” โค่วเหมี่ยนเอ่ยถามตรงประเด็น “ได้ยินว่าเจ้ารู้จักหนิวโหย่วเต๋อ?”

“หนิวโหย่วเต๋อ?” ฮวาหูเตี๋ยงงไปชั่วขณะ แล้วถามหยั่งเชิงว่า “คุณชายสามถามถึงหนิวโหย่วเต๋อที่ได้อันดับหนึ่งในการทดสอบครั้งนี้หรือคะ?”

“เป็นเขานั่นแหละ!” โค่วเหมี่ยนพยักหน้า

“เคยพบเพียงครั้งสองครั้ง ที่จริงแล้วไม่เคยคุยกัน ไม่นับว่ารู้จักกันสักเท่าไรค่ะ” ฮวาหูเตี๋ยตอบอย่างซื่อสัตย์ แต่ในใจกลับพึมพำว่าถามถึงหนิวโหย่วเต๋อไปทำไม?

พอพูดถึงหนิวโหย่วเต๋อคนนี้ หลังจากได้ทราบข่าวในใจนางก็รู้สึกสะเทือนอารมณ์เช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะสามารถคว้าอันดับหนึ่งในการทดสอบของตำหนักสวรรค์ได้ คนที่ไม่ธรรมดาถึงจะสามารถทำเรื่องที่ไม่ธรรมดาออกมาได้

โค่วเหมี่ยนรู้สึกฉงนในใจ ไม่เคยบอกกล่าวอะไรด้วยซ้ำ แบบนั้นหมายความว่าอะไร ผู้เฒ่าถังอยากให้ตนถามอะไร แต่ในเมื่อผู้เฒ่าถังบอกแล้วว่าสามารถใช้งานได้ นั่นก็แสดงว่ามีสาเหตุเช่นกัน ถึงได้อดทนเอาไว้ ถามว่า “เจ้ารู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนั้นเป็นอย่างไร?”

ฮวาหูเตี๋ยเผยสีหน้าลังเล คิดในใจว่านั่นเป็นลูกน้องของลูกชายท่าน ลูกชายท่านจะไม่รู้จักเขาดีว่าข้าหรอกเหรอ? ถามหยั่งเชิงว่า “คุณชายสามหมายถึงในด้านไหนคะ?”

โค่วเหมี่ยนมองพ่อบ้านหลิวหรงพร้อมยิ้มให้ หลิวหรงกล่าวต่อทันที “ไม่ต้องระมัดระวังตัวมากเกินไป พูดมาได้เลย พูดสิ่งที่เจ้ารู้”

“ค่ะ!” ฮวาหูเตี๋ยพยักหน้า ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างลังเลว่า “ข้าไม่ได้คลุกคลีอยู่กับคนคนนี้สักเท่าไร และเคยพบแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น แต่ความสามารถที่แสดงออกมาไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบติดเลยจริงๆ ถึงแม้วรยุทธ์จะไม่สูง แต่ก็กล้าหาญเจ้าแผนการ มีความกล้าเกินคนทั่วไป มีไหวพริบรู้จักพลิกแพลง มีความเด็ดขาดและปณิธานในการทำงานมาก ทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ เป็นอัจฉริยบุรุษจริงๆ!”

“อ้อ! ประเมินได้สูงถึงขนาดนี้เชียว!” โค่วเหมี่ยนตกตะลึงและประหลาดใจมาก ถามอย่างเกิดความสนใจทันที “ในเมื่อเจ้าไม่สนิทกับขา ไม่เคยคุยกันแม้แต่คำเดียว แล้วทำไมจึงประเมินเขาสูงขนาดนี้?”

“เรื่องเป็นอย่างนี้ค่ะ…” ฮวาหูเตี๋ยบรรยายเหตุการณ์ที่เจอกับพวกเหมียวอี้ครั้งแรกอย่างละเอียด บอกว่าตอนนั้นมองไม่ออกว่าเหมียวอี้มีจุดไหนพิเศษ จนกระทั่งเหมียวอี้บุกเข้าไปที่ป่าลืมทุกข์เพียงลำพัง ตอนนี้ถึงจะเป็นจุดที่เน้นความสำคัญ

ได้ยินว่าเหมียวอี้อาศัยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งไปเสี่ยงอันตรายเพียงลำพัง ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เคยเห็นและไม่รู้จักปานเยว่กงกับภรรยามาก่อน เขาใช้คำพูดปลุกปั่นหยั่งเชิงจุดอ่อนของสามีภรรยาได้อย่างฉลาดหลักแหลม แล้วก็ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งมากดดับปานเยว่กงกับภรรยา รับมือกับปานเยว่กงที่กำลังขู่ฆ่าอย่างสงบเยือกเย็น ใช้ชิงเหมยมาควบคุมปานเยว่กง เก็บนักพรตบงกชทองขั้นเก้ากับนักพรตบงกชทองขั้นห้ามาไว้ให้ตัวเองใช้งาน ให้มาเป็นกำลังส่วนหนึ่งของตัวเองสำหรับการทดสอบ

โค่วเหมี่ยนกับพ่อบ้านหลิวหรงอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันเลิกลั่ก เขาให้ไปจับตัวนักโทษหลบหนี แต่เจ้าหนุ่มนั่นกลับอาศัยบีบจุดอ่อนของนักโทษหลบหนีเพื่อเกลี้ยกล่อมให้นักโทษหลบหนีช่วยตนจับตัวนักโทษหลบหนี ในขณะที่ใช้กลยุทธ์ดึงมาเป็นพวก ก็แสดงฝีมือกับความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญออกมาจนหมด มีทั้งความกล้าและกลยุทธ์ ห้าวหาญเกินใคร!

ถ้าเปลี่ยนเป็นตอนนี้ ทั้งสองก็สามารถจินตนาการได้ว่าเหมียวอี้โดนกดดันจนหมดทางเลือกถึงได้ทำอย่างนั้น โค่วเหวินหลานใช้ทรัพยากรของตระกูลโค่วได้ไม่เยอะ แรงสนับสนุนมีจำกัด มีสมาชิกอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น ไม่เหมือนลูกน้องของโค่วเหวินหวงที่ใช้ทรัพยากรของตระกูลโค่วและติดต่อกลุ่มคนที่สถานที่ไร้ชีวิตให้ช่วยเหลือ แล้วพวกเหมียวอี้ก็วรยุทธ์ต่ำ ถ้าอยากจะจับเมียของนักพรตบงกชทองขั้นเก้าจะไม่ลำบากได้อย่างไร อีกฝ่ายไม่สู้ตายกับเจ้าก็แปลกแล้ว แต่หนิวโหย่วเต๋อคนนี้กลับใช้วิธีการตรงกันข้ามสยบสองสามีภรรยาไว้พร้อมกันเสียเลย ทำให้คนรู้สึกทึ่งและชื่นชมจริงๆ

จากนั้นฮวาหูเตี๋ยก็เล่าสถานการณ์ที่รู้ตอนที่ติดต่อกับชิงเหมยในตอนหลังอีก หลังจากปานเยว่กงและภรรยาออกไปแล้ว นางก็กังวลนิดหน่อยว่าเหมียวอี้จะใช้วิธีการล่อสองสามีภรรยาออกจากถ้ำแล้วค่อยลงมือฆ่าหรือ แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้ทราบข่าวจากปากชิงเหมย ว่าเหมียวอี้ไม่เพียงแค่ไม่กลืนคำพูดตัวเอง แต่ยังนำเกราะรบผลึกแดงที่โค่วเหวินหลานมอบให้ส่งต่อให้ปานเยว่กงไว้ปกป้องตัวเองอย่างใจกว้างและเด็ดเดี่ยว มอบทางหนีทีไล่ให้สองสามีภรรยา ทำให้สองสามีภรรยายอมสวามิภักดิ์อย่างถึงที่สุด และตั้งแต่นั้นมาทั้งสองก็เริ่มตัดสินใจช่วยเหลือเหมียวอี้ด้วยความจริงใจ

ส่วนเรื่องตอนซ่อนตัวที่ดาวสองขั้ว ชิงเหมยไม่ได้เอ่ยถึงสักเท่าไร ตอนนั้นเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของทุกคน ถ้าให้คนอื่นหาพบก็จะเกิดปัญหายุ่งยากมาก นางย่อมไม่ได้บอกฮวาหูเตี๋ยเช่นกัน

หลังจากได้ฟังเรื่องราวก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ โค่วเหมี่ยนก็ใช้นิ้วทั้งห้าเคาะผิวโต๊ะเบาๆ ราวกับความรู้สึกนึกคิดกำลังตกอยู่ในภาพเหตุการณ์ที่ฮวาหูเตี๋ยชี้แจ้งอย่างละเอียด หลังจากได้สติกลับมา เขาก็หยุดเคาะโต๊ะ แล้วถามพร้อมรอยยิ้มว่า “ยังมีอย่างอื่นอีกมั้ย? มีเท่านี้เหรอ?”

“คลุกคลีกันไม่เยอะจริงๆ เรื่องนี้ทราบจึงมีเพียงเท่านี้ ที่มากกว่านั้นก็ได้ยินเรื่องที่เขาได้อันดับหนึ่งในการทดสอบของตำหนักสวรรค์ ในด้านนี้คาดว่าคุณชายสามคงจะรู้ชัดกว่าข้า” ฮวาหูเตี๋ยตอบ

“รบกวนแล้ว!” โค่วเหมี่ยนพยักหน้ายิ้ม จากนั้นก็บอกใบ้พ่อบ้านหลิวหรง หลิวหรงนำแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งส่งให้ฮวาหูเตี๋ยทันที นับว่าเป็นการให้รางวัล

ฮวาหูเตี๋ยรู้ว่านี่เป็นการส่งแขกแล้ว ถึงได้ยืนขึ้นแล้วกล่าวอำลา หลิวหรงออกไปส่งด้วยตัวเอง

ตอนที่กลับมาอีกครั้ง ก็เห็นโค่วเหมี่ยนเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องหนังสือ หลิวหรงจึงรายงานว่า “คุณชายสาม ส่งตัวไปแล้วขอรับ”

โค่วเหมี่ยนพยักหน้าสื่อว่ารู้แล้ว จากนั้นก็ยืนถอนหายใจอยู่หน้าชั้นหนังสือ “เดิมทีนึกว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนั้นเชี่ยวชาญแค่เรื่องการค้าอย่างเดียว พอมาดูตอนนี้แล้ว สงสัยการที่เขาสามารถผลักดันร้านขายของชำซื่อตรงขึ้นมาได้จะไม่ใช่เรื่องที่ไร้เหตุผล คนที่มีพร้อมทั้งความกล้าหาญและสติปัญญาทั้งยังรู้จักพลิกแพลงแบบนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็สามารถยืนหยัดตั้งมั่นได้ ไม่แปลกใจที่ผู้เฒ่าถังตั้งใจแนะนำเป็นพิเศษ มีคนแบบนี้อยู่ข้างกายเหวินหลาน ในอนาคตต้องช่วยเหลือเหวินหลานได้มากแน่นอน มีคนคนนี้ช่วยเหลือเหวินหลาน จะมีประโยชน์กับเหวินหลานมาก!”

ในตอนนี้ พ่อบ้านหลิวหรงกล่าวเตือนเล็กน้อย ฮวาหูเตี๋ยรีบทำความเคารพทันที

ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงดีอกดีใจของซูฮวนแหนียงดังมา เหมือนอยากจะให้คนทั้งจวนอ๋องสวรรค์รู้กันหมด

หลิวหรงเงี่ยหูฟัง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “นายน้อยกลับมาแล้วขอรับ!”

“ให้เขามาที่นี่หน่อย” โค่วเหมี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

หลิวหรงออกไปบอก ผ่านไปไม่นาน ซูฮวนแหนียงกับโค่วเหวินหลานก็มาพร้อมกัน แม่กับลูกชายอารมณ์ดีทั้งคู่ ได้พบเจอเรื่องดีๆ ก็ย่อมสบายอกสบายใจ

หลังจากโค่วเหวินหลานคำนับแล้ว โค่วเหมี่ยนก็โบกมือบอกซูฮวนแหนียงว่า “เจ้าออกไปก่อน”

“ทำไมล่ะ?” ซูฮวนแหนียงที่ไม่ว่าจะมองลูกชายตัวอย่างไรก็ถูกชะตาพลันหุบยิ้ม แล้วถามอย่างหงุดหงิดว่า “จะพูดเรื่องน่าอายอะไรที่ข้าฟังไม่ได้?”

“เรื่องระหว่างผู้ชาย พวกผู้หญิงอย่าเข้ามายุ่งเลย” โค่วเหมี่ยนกล่าว

ซูฮวนแหนียงถลึงตาถาม “หมายความว่ายังไง?”

โค่วเหมี่ยนตอบว่า “ไม่ได้หมายความว่าอะไร แต่ด้วยปากอย่างเจ้า เรื่องที่ควรพูดหรือไม่ควรพูดเจ้าก็เผยแพร่จนคนรู้กันทั้งใต้หล้า ข้ากลัวเจ้าแล้วตกลงมั้ย?”

“กรี๊ด!” ซูฮวนแหนียงร้องกรี๊ด แล้วแล้วเริ่มยกความผิดมาบ่นด่าทีละข้อ

ผู้ชายสามคนที่อยู่ตรงนั้นรู้ว่าต้องรับมือกับนางอย่างไร ปล่อยให้นางพูดให้เต็มที่ สรุปก็คือไม่เถียงกลับเลย แต่ละคนยืนเงียบไม่สะทกสะท้าน รอให้นางระบายอารมณ์โกรธเสร็จแล้ว ก็เดินกระฟัดกระเฟียดจากไปอย่างที่คาดไว้

เมื่อผู้หญิงปากมากเดินออกไปแล้ว โค่วเหมี่ยนก็ถอนหายใจ มองลูกชายพร้อมถามด้วยรอยยิ้มว่า “คงไม่ต้องให้ข้าพูดหรอก แม่เจ้าคงบอกเจ้าแล้วใช่มั้ย?”

โค่วเหวินหลานพยักหน้ายิ้มอย่างเอียงอาย

โค่วเหมี่ยนบอกว่า “หลังจากไปฟังที่ท่านลุงใหญ่ของเจ้าเตรียม รีบไปมอบหมายงานที่ดาวเทียนหยวนไว้แต่เนิ่นๆ เถอะ อย่าลืมพาลูกน้องที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อคนนั้นไปด้วย ราชันสวรรค์มีเจตนาชัดเจนแล้ว มีลูกน้องที่ใช้งานได้ไว้หลายๆ คนก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย”

“ขอรับ! ย่อมต้องพาหนิวโหย่วเต๋อไปด้วยอยู่แล้ว ที่ได้อันดับหนึ่งในครั้งนี้ ไม่อาจละเลยผลงานของเขาได้ ส่วนอีกสองคนข้าก็จะพาไปด้วยเหมือนกัน เออใช่ ท่านพ่อ พอพูดถึงหนิวโหย่วเต๋อ ข้านึกได้ว่าเขาขอร้องข้าเรื่องหนึ่ง ข้ารับปากเขาไปแล้ว หวังว่าท่านพ่อจะช่วยให้สมปรารถนา!” โค่วเหวินหลานเล่าเรื่องที่เหมียวอี้ต้องการจะพลิกคดีของซูลู่เอ๋อร์ให้ฟังทันที

เมื่อได้ยินดังนั้น โค่วเหมี่ยนกับหลิวหรงก็มองหน้ากันแล้วยิ้ม

เมื่อเห็นทั้งสองยิ้มแปลกๆ โค่วเหวินหลานก็ถามอย่างประหลาดใจทันที “ท่านพ่อ ยิ้มทำไมเหรอ หรือว่ามีอะไรไม่เหมาะสม?”

โค่วเหมี่ยนยิ้มอย่างเบิกบานใจยิ่งขึ้น ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่มีอะไร แค่รู้สึกว่าลูกน้องคนนั้นของเจ้ามีไมตรีจิตมิตรภาพ ทั้งยังพูดจาคำไหนคำนั้น มีคนแบบนี้อยู่ข้างกายเจ้าข้าก็วางใจ” เสร็จแล้วก็หันมาบอกข้างๆ ว่า “ผู้เฒ่าหลิว เรื่องนี้เจ้าไปจัดการด้วยตัวเองตามเห็นสมควรเถอะ รีบจัดการให้เหวินหลานให้เรียบร้อย เขาจะได้กลับไปให้คำตอบกับหนิวโหย่วเต๋อได้ ในเมื่อต้องการจะรับมาทำงานด้วย ก็ต้องให้ความสำคัญกับธุระของเขา ต้องทำให้เขาสวามิภักดิ์ ลูกน้องคนสนิทเชียวนะ!”

“ขอรับ!” หลิวหรงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนนายน้อยจะกลับไปแน่นอน!”

ที่จวนอ๋องสวรรค์ในวันต่อๆ มา ความสุขสมหวังของของโค่วเหวินหลานกับความเงียบเหงาของโค่วเหวินหวงเกิดเป็นข้อเปรียบเทียบที่เห็นได้ชัดเจน ทำเอากลุ่มหลานสาวของตระกูลโค่วมาเกาะแกะถามนั่นถามนี่ไปเรื่อยๆ…

ดาวเทียนหยวน ตลาดสวรรค์ พ่อค้าที่สัญจรไปมาสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าวันนี้ที่นอกประตูเมืองตะวันออกต่างจากปกติ มีทหารสวรรค์จำนวนมากมาดักอยู่ตรงนี้ แต่ละคนสวมเกราะรบโปร่งแสง ดาบทวนเรียงรายราวกับต้นไม้ในป่า ทำเอาผู้คนตกใจไม่กล้าเข้าออก คนที่มีความผิดอยู่ในใจพากันหลบเลี่ยงคมอาวุธ

คนกลุ่มนี้ย่อมรอต้อนรับการกลับมาของพวกเหมียวอี้อยู่แล้ว ตอนนี้พวกเหมียวอี้ได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบ ข่าวที่ได้รางวัลจากราชันสวรรค์ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ข่าวแพร่ออกไปจนคนรู้กันหมดแล้ว ทางนี้เคยติดต่อกับพวกเหมียวอี้ จึงรู้ว่าวันนี้จะกลับมา ฉากต้อนรับยิ่งใหญ่อลังการมาก

บนหอประตูเมือง ผู้การสองหลันเซียงแห่งตำหนักคุ้มเมืองกำลังนั่งดื่มน้ำชาอย่างสงบอยู่ในตึก

ที่นางถูกเรียกว่าผู้การสอง ก็เป็นเพราะผู้การใหญ่อยู่ที่จวนท่านโหว อยู่ข้างกายท่านโหวเทียนหยวน ส่วนนางคอยรับใช้อยู่ข้างกายฮูหยิน ทำหน้าที่เป็นเหมือนพ่อบ้านของที่นี่

ไม่ง่ายเลยกว่าปี้เยว่ฮูหยินจะได้กลับจวนท่านโหวสักครั้ง เมื่อไปแล้วก็ต้องอยู่ที่นั่นสักระยะหนึ่ง ตัวนางยังไม่กลับมา แต่กลับส่งข่าวมาบอกผู้การสองหลันเซียง บอกให้นางมาต้อนรับพวกเหมียวอี้ด้วยตัวเอง ทั้งยังกำชับว่าห้ามเมินเฉยต้อนรับไม่ดี

สำหรับเรื่องนี้ ผู้การสองหลันเซียงเกิดความสงสัยในใจมาก ก็แค่ผู้บัญชาการเล็กๆ ใต้สังกัดคนเดียว จำเป็นต้องลดเกียรติลดฐานะตัวเองชนาดนี้เชียวเหรอ?

ถึงแม้จะสงสัยแต่ก็ยังต้องปฏิบัติตามคำสั่ง!


1056

กลับมาพร้อมเกียรติยศ

คนที่มาต้อนรับไม่ได้มีแค่ผู้การสองหลันเซียง ผู้ช่วยทั้งสองคนของโค่วเหวินหลาน เล่าหนานซงกับกงอวี่เฟย รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองคนก็กำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่ในตึกเช่นกัน

พวกฝูชิงที่อยู่บนหอประตูเมืองก็นำคนมารอแล้วเช่นกัน เงยน้ามองบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่เป็นระยะ กำลังพลของเขตเมืองทั้งสี่ที่ไม่ได้เข้าเวรก็แทบจะมารวมตัวรออยู่ที่ประตูเมืองตะวันออกทั้งหมด

“มาแล้ว! ผู้บัญชาการมาแล้ว!” หูเฟยที่สวมเกราะรบอยู่บนหอประตูเมืองพลันอุทานพลางชี้ไปบนท้องฟ้า

ทุกคนพากันมองไปบนท้องฟ้า ผู้การสองและคนอื่นๆ ที่อยู่ในตึกถลันตัวออกมา เห็นเพียงเงาคนสามคนเหาะลงมาจากท้องฟ้า เหมียวอี้และผู้บัญชาการอีกสองคนกลับมาแล้ว

ทุกคนที่อยู่บนหอประตูเมืองถลันตัวลงมาทันที บริเวณประตูเมืองตะวันออกถูกปิดล้อมในชั่วพริบตาเดียว ควบคุมพ่อค้าและผู้ที่สัญจรเข้าออก กลุ่มทหารสวรรค์ล้อมที่นี่ไว้แล้ว ไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้

“คารวะผู้บัญชาการ!” ทุกคนที่อยู่ตรงประตูเมืองคารวะเสียงดังพร้อมกันภายใต้การนำของพวกฝูชิง เสียงดังเกริกก้อง

พวกเหมียวอี้เผยรอยยิ้มบนใบหน้า ยกมือกันบอกใบ้ให้ทุกคนยืนตรง

“เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ จะมาต้อนรับพวกเราหรือจะมาจับกุมตัวพวกเรากันแน่” สวีถังหรานถือโอกาสพูดหยอกล้อ

“ผู้บัญชาการสวีกล่าวเกินไปแล้ว ได้อันดับหนึ่งจากราชันสวรรค์ ใครจะกล้าต้อนรับไม่ดี!” เสียงของผู้การสองหลันเซียงดังมา เล่าหนานซงกับกงอวี่เฟยตามอยู่ทางซ้ายและขวา เดินออกมาด้วยกันจากด้านหลังกลุ่มคนที่หลีกทางให้

พวกเหมียวอี้ชะงักเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าผู้การสองท่านนี้จะมาด้วย จึงกุมหมัดคารวะพร้อมกันทันที “คารวะผู้การสอง คารวะรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองท่าน!”

ผู้การสองหัวเราะเบาๆ แล้วผายมือเล็กน้อย “รับการคารวะจากพวกเจ้าไม่ไหวหรอก ไม่อย่างนั้นจะขัดกับเจตนารมณ์ของสวรรค์นะ!”

เจตนารมณ์ของสวรรค์บ้าอะไรล่ะ! ทั้งสามพึมพำในใจ ตลอดทางที่กลับมานี้ ถ้าเจอใครที่ควรทำความเคารพก็ไม่ละเลยสักคน ที่ราชันสวรรค์บอกว่าไม่ต้องทำความเคารพนักพรตที่ระดับต่ำกว่าพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ นั่นเป็นเพียงคําปราศรัยแท้ๆ เลย ถ้าเจอคนที่ตำแหน่งสูงกว่าแล้วเจ้าก็ลองไม่คารวะดูสิ!

และแน่นอน ต่อให้เจ้าไม่ทำความเคารพ อีกฝ่ายก็ไม่บังคับเจ้าเช่นกัน กลับจะพูดตอบตามมารยาทเหมือนที่ผู้การสองพูดเมื่อครู่นี้ด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรราชันสวรรค์ก็ได้ลั่นวาจาไว้แล้ว แต่ถ้าเจ้านำคำพูดของราชันสวรรค์ไปคิดเป็นจริงเป็นจัง ภาพลักษณ์เจ้าก็จะกลายเป็นคนหยิ่งผยองไร้มารยาทและไม่เห็นผู้บังคับบัญชาอยู่ในสายตาทันที จะไปล่วงเกินใครให้ไม่พอใจบ้างก็ยังไม่รู้เลย

ดังนั้นแล้ว ตอนแรกที่ได้รับรางวัลจึงรู้สึกดีใจมาก คิดว่าต่อไปนี้จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้ แต่เวลาปฏิบัติจริงขึ้นมาไม่สามารถทำตามคำพูดของราชันสวรรค์ได้เลย ต่อให้คนหนุนหลังจะใหญ่กว่านี้ก็สู้คนในตำแหน่งปัจจุบันไม่ได้ ยศสูงขึ้นก็แปลว่ารายได้และสวัสดิการเพิ่มสูงขึ้น แต่ในด้านอำนาจกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด สิ่งที่เรียกว่าอำนาจก็คือตำแหน่งขุนนางที่มีอำนาจที่แท้จริง ถ้าไม่มีอำนาจที่แท้จริงต่อให้ยศเจ้าสูงกว่านี้ก็เป็นเพียงความจอมปลอม ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ตำแหน่งขุนนางของเจ้าควรจะเป็นอย่างไร ก็ล้วนยังอยู่ในมือของผู้บังคับบัญชาอยู่ดี แล้วเจ้าจะกล้าเสียมารยาทใส่ผู้บังคับบัญชาของเจ้าเหรอ? อีกฝ่ายสามารถปรับตำแหน่งเจ้าได้ตลอดเวลา ยศระดับทหารสวรรค์ที่ถูกส่งให้ไปเป็นเทพเจ้าที่ก็ใช่ว่าจะไม่มี

ทั้งสามคนที่มารอบนี้นับว่าเข้าใจอย่างถึงที่สุดแล้ว การที่ราชันสวรรค์ให้รางวัลอย่างอึกทึกครึกโครม ก็แค่อยากจะแสดงให้คนอื่นดูเท่านั้น ให้คนอื่นรู้สึกว่ามีหน้ามีตา ถ้าทั้งสามเก็บไปคิดเป็นจริงเป็นจังก็แสดงว่าเป็นคนโง่แล้ว

และแน่นอน ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีอะไรเลย อย่างน้อยราชันสวรรค์ก็อนุญาตด้วยตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นชื่อเสียงเกียรติยศ ถ้าเจ้ายังทำความเคารพต่อไป ก็จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเจ้าเคารพเขาเป็นพิเศษ ดูมีน้ำหนักกว่าเวลาที่คนอื่นทำความเคารพนิดหน่อย และนี่ก็เป็นข้อดีเหมือนกัน

หลังจากพวกเขากล่าวตามมารยาทต่อหน้าฝูงชนแล้ว ผู้การสองหลันเซียงก็บอกว่า “นายท่านแม่ทัพภาคยังไม่กลับมาจากจวนท่านโหว สั่งให้ข้าจัดงานเลี้ยงฉลองที่ตำหนักคุ้มเมืองคืนนี้ เป็นตัวแทนเลี้ยงฉลองให้ทั้งสามคน รอให้นายท่านกลับมาก่อนแล้วค่อยเรียกพบอีกทีหนึ่ง”

“การเคารพเทียบไม่ได้กับทำตามคำสั่ง!” ทั้งสามเอ่ยรับ

ทางนี้ยังไม่ทันได้พูดอะไรกับพวกฝูชิง ทำได้เพียงพยักหน้าทักทาย จากนั้นก็เดินเคียงข้างผู้การสองหลันเซียงเพื่อเข้าไปในเมือง

พวกฝูชิงก็เข้าใจได้เช่นกัน เมื่อเข้ามาอยู่ในสถานภาพแบบนี้ก็ต้องทำตามธรรมเนียม เวลาส่วนใหญ่ทำตามใจตัวเองไม่ได้ ต่อให้ในใจจะไม่อยากประจบประแจง แต่ภายนอกก็ยังต้องประจบประแจง พวกเขาจึงเดินตามหลังไป

ในเมืองมีคนไม่น้อยมารวมตัวกันเพื่อรอดูความสนุกสนานคึกครื้นแล้ว

บนภัตตาคารที่อยู่ริมถนน อวิ๋นจือชิวกับหวงฝู่จวินโหรวกำลังนั่งพิงรั้วอยู่ในห้องส่วนตัว กำลังมองภาพกลุ่มทหารสวรรค์กันคนอยู่ตรงประตูเมือง การจัดวางกำลังเข้มงวดมาก

อวิ๋นจือชิวถูกหวงฝู่จวินโหรวดึงมา ‘ดื่มน้ำชา’ แท้ๆ เลย เพียงแต่การดื่มน้ำชาครั้งนี้อวิ๋นจือชิวรู้สึกเลี่ยนนิดหน่อย แต่นางก็ยังต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร

ผ่านไปครู่เดียว คนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาในเมืองภายใต้การล้อมของกลุ่มทหารสวรรค์ ท่านขุนนางเหมียวที่อยู่ท่ามกลางความเอิกเกริกแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีดำทั้งตัว ลักษณะห้าวหาญเหมือนวีรบุรุษ เรียกได้ว่าเป็นกระเรียนยืนกลางฝูงไก่ กอปรกับอยู่บริเวณตรงกลางของกลุ่มคน ดังนั้นเขาจึงดูโดดเด่นสะดุดตามาก

การปรากฏตัวนี้ อวิ๋นจือชิวกับหวงฝู่จวินโหรวต่างก็เพ่งมองอยู่พักหนึ่ง แววตาของหวงฝู่จวินโหรวค่อนข้างสื่ออารมณ์ซับซ้อน

“คนคนนั้น แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าตำแหน่งสูงอำนาจมาก เป็นใครกัน?”

“ไม่รู้สิ!”

ตรงประตูภัตตาคารมีพวกผู้หญิงที่มาซื้อของที่ตลาดสวรรค์กำลังกระซิบกระซาบกัน คนงานของภัตตาคาเดินเข้ามาใกล้ เห็นได้ชัดว่าเคยเจอเหมียวอี้มาก่อน จึงตอบอยู่ข้างๆ ว่า “จะเป็นใครไปได้ล่ะ? พื้นที่พวกเจ้าเหยียบอยู่ก็เป็นอาณาเขตของเขานี่แหละ ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกของตลาดสวรรค์ แม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบที่ราชันสวรรค์แต่งตั้ง หนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการหนิวที่เวลาเจอนักพรตที่วรยุทธ์ต่ำกว่าระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพก็ไม่ต้องทำความเคารพ นั่นคือบุคคลที่เข้าตาราชันสวรรค์ อนาคตยาวไกลไร้ขอบเขต!”

“คนนี้เองเหรอผู้บัญชาการหนิว?” ผู้หญิงคนนั้นตาเป็นประกายทันที

สิ่งที่ผู้คนกำลังพูดถึงทั่วทั้งตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวนในตอนนี้ ก็คือเรื่องของหนิวโหย่วเต๋อและผู้บัญชาการอีกสองคน พวกเขาแทบจะกลายเป็นประเด็นสนทนาที่น่าสนใจของทุกคน ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าพวกหนิวโหย่วเต๋อจะได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบครั้งนี้ ตอนนี้คนที่นี่ค่อนข้างภาคภูมิใจกับสิ่งนี้ รู้สึกเป็นเกียรติและโชคดี

ผู้หญิงอีกคนกล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย “ดูอายุน้อยขนาดนี้เชียวเหรอ!” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ นึกไม่ถึงว่าอายุเพียงเท่านี้ก็มีตำแหน่งสูงขนาดนี้แล้ว

พวกเหมียวอี้เองอาจจะไม่ได้รู้สึกว่ายิ่งใหญ่อะไร เบื้องบนมีคนที่อำนาจเยอะกว่าพวกเขาตั้งมากมาย แต่สำหรับนักพรตอิสระทั่วไป เหมียวอี้จัดเป็นประเภทคนที่มีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมากจริงๆ เพราะในมือกุมอำนาจที่แท้จริงเอาไว้ ทั้งยังได้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่รายได้เยอะอย่างที่ตลาดสวรรค์ด้วย กอปรกับได้รับแต่งตั้งจากราชันสวรรค์ ภายใต้การจงใจสร้างกระแสของตำหนักสวรรค์ แถมหน้าตาอยู่ในระดับบน นี่ก็คือลูกเขยเต่าทอง[1]ขนานแท้ ไม่รู้ว่าตรงนั้นมีผู้หญิงตั้งเท่าไรที่มองจนตาลุกวาว

ถ้าสามารถแต่งงานกับผู้ชายประเภทนี้ได้ อย่าว่าแต่แต่งงานเลย ต่อให้สามารถมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือนิดหน่อย แล้วอีกฝ่ายหาร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ให้เจ้าสักร้าน แบบนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ไปทั้งชาติแล้ว

แต่จนใจที่คนประเภทนี้ ใช่ว่าเจ้าอยากจะรู้จักก็รู้จักได้ ก็เหมือนที่คนงานข้างๆ พูดหยอก “เลิกน้ำลายไหลได้แล้ว ผู้ชายประเภทนี้ไม่ใช่คนที่ผู้หญิงทั่วไปจะคิดถึงได้ ผู้หญิงทั่วไปไม่ได้อยู่ในสายตาเขาหรอก ต่อให้พวกเจ้าเต็มใจ แต่ก็ต้องหาทางไปเข้าใกล้ตัวเขา ดูองครักษ์ที่อยู่ข้างกายเขาสิ แม้แต่เข้าใกล้พวกเจ้ายังไม่มีสิทธิ์เลย”

“ไป! ไปรินน้ำชาของเจ้าโน่น ไปรินน้ำของเจ้าไป!” ผู้หญิงที่โดนว่าให้อับอายโมโหสบถไล่ ต่อให้ไขว่คว้ามาไม่ได้ แต่ก็ขอฝันหน่อยไม่ได้รึไง? ที่น่ารำคาญที่สุดก็คือพวกคนทรามที่ชอบมาทำคนอื่นฝันสลายนี่แหละ ได้รินน้ำชาไปทั้งชีวิตก็สมน้ำหน้าแล้ว!

ที่หน้าต่างของชั้นบน หวงฝู่จวินโหรวได้ยินบทสนทนาข้างล่างแล้วเม้มปากหัวเราะ “นึกไม่ถึงว่าผู้บัญชาการหนิวจะกลับมาแล้ว ข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไมเอิกเกริกขนาดนี้ ท่านดูพวกผู้หญิงที่อยู่สองข้างทางสิ แต่ละคนจ้องเจ้าหมอนั่นตาเป็นมันแล้ว พี่อวิ๋น ผู้บัญชาการหนิวจริงใจกับท่านนะ ท่านดูสิว่ามีผู้หญิงมากมายขนาดไหนที่เฝ้าหวังแต่ไขว่คว้าไม่สำเร็จ ท่านยอมๆ เขาไปก็สิ้นเรื่องแล้ว ไม่อย่างนั้นต้องระวังนะ อาจจะมีวันไหนที่โดนคนอื่นแย่งไปก็ได้”

อวิ๋นจือชิวร้องเชอะในใจ ผู้ชายที่ใครบางคนเฝ้าคิดถึงอยู่ตลอด ที่จริงแล้วเป็นผู้ชายของข้าเอง ถ้าอยากจะคิดถึงก็ต้องถามข้าด้วยว่าอนุญาตหรือเปล่า ถ้าข้าไม่อนุญาตก็อย่าหวังเลยว่าจะได้แต่งงานเข้ามา ตอนนั้นคงเป็นเวลาที่ใครบางคนจะได้ร้องไห้!

แต่นางก็แค่ยิ้มเบาๆ เท่านั้น ยิ้มโดยไม่พูดอะไร สายตากำลังจ้องที่เหมียวอี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าผู้ชายของตัวเองดูดีที่สุด ได้เห็นเขากลับมากับตาตัวเอง ไม่ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร นางก็หายกังวลใจอย่างถึงที่สุดแล้ว

เหมียวอี้ไม่ได้สังเกตอวิ๋นจือชิวและคนอื่นๆ บนหอน้ำชา ยืนพูดอะไรตามมารยาทตรงหน้าประตูอกสองสามคำ หลังจากส่งพวกหลันเซียงไปแล้ว ถึงได้พาฝูชิงและคนอื่นๆ เหาะไป เขากับพวกสวีถังหรานต่างคนต่างกลับเขตเมืองของตัวเองแล้ว

เมื่อกลับถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เป่าเหลียนที่กลั้นสีหน้าดีใจเอาไว้ก็รีบนำน้ำชามาวางให้ เหมียวอี้บอกนางว่าไม่ต้องแล้ว จากนั้นก็นำนำฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋เข้าไปในชัยภูมิถ้ำสวรรค์

“หลังจากข้าไปแล้วไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่มั้ย?” เมื่อทั้งสามนั่งลงในศาลา เหมียวอี้ก็เอ่ยถาม

ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋สบตากันแวบหนึ่ง แล้วแอบพูดในใจว่า ไม่มีเรื่องอะไรก็แปลกแล้ว

เรื่องบางเรื่องทั้งสองรู้อยู่แก่ใจ โชคดีที่เหมียวอี้รอดชีวิตกลับมาแล้ว ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ทางฝั่งพวกเขาก็จำเป็นต้องมีการเคลื่อนไหวเช่นกัน เลี่ยงไม่ได้ที่จะเลิกเกรงใจอวิ๋นจือชิว กดดันให้อวิ๋นจือชิวส่งเส้นทางไปกลับระหว่างพิภพเล็กกับพิภพใหญ่ให้

ไม่ใช่ว่าพวกเขาคิดจะทำผิดกับพี่น้องตัวเอง แต่ถ้าพี่น้องตัวเองตายแล้ว เช่นนั้นก็ต้องคำนึงถึงพี่น้องคนอื่น เบื้องล่างมีลูกน้องมากมายที่ตามมาทำงานหาเลี้ยงชีพ

หลังจากได้รู้ข่าวว่าเหมียวอี้ได้อันดับหนึ่งกลับมา ทางฝั่งฝูชิงและฝั่งอวิ๋นจือชิวก็เรียกได้ว่าแอบโล่งใจ ถ้าไม่ถึงตอนสุดท้ายก็ไม่มีใครอยากทำอย่างนั้น เพราะทำอย่างนั้นไม่เป็นผลดีกับใครเลย

“ไม่มีเรื่องอะไร ตลาดสวรรค์จะมีเรื่องอะไรได้ เออใช่ เจ้าห้า รายได้กับของที่ร้านค้าต่างๆ นำมาแสดงความกตัญญูในแต่ละปี พวกเราส่งให้น้องสะใภ้ไปหมดแล้ว” ฝูชิงหาประเด็นอื่นมาสนทนา

ส่วนอิงอู๋ตี๋ก็กล่าวอย่างลังเลว่า “ถ้าจะบอกวาไม่มีเรื่องอะไรเลยก็เป็นไปไม่ได้ ทางฝั่งทะเลดาวนักษัตร พวกเราไม่ได้โผล่หน้าไปนานขนาดนี้ อาจจะทำให้หกปราชญ์สงสัยได้ มีคนมาสืบข่าวที่ทะเลดาวนักษัตรไม่หยุด แต่โดนคนของพวกเราจับได้แล้ว เจ้าห้า เจ้าลองดูหน่อยว่าเวลาไหนที่เหมาะสมจะให้พวกเรากลับไปโผล่หน้าสักครั้ง ไม่อย่างนั้นเกรงว่าเวลานานไปแล้วจะเกิดปัญหา ทางจีฮวนเรีบกพบหลายครั้ง เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะหาเหตุผลมาปฏิเสธได้ตลอด!”

เหมียวอี้พยักหน้า “ข้าเองก็กำลังคิดว่าจะกลับไปสักรอบเหมือนกัน เพียงแต่ช่วงนี้เกรงว่าจะปลีกตัวไปไม่ได้ เป็นไปได้สูงว่าโค่วเหวินหลานจะได้เลื่อนตำแหน่ง พวกเราอาจจะต้องย้ายที่อยู่แล้ว รอให้จัดการเรื่องนี้ก่อน แล้วพวกเราก็จะกลับไปพร้อมกัน”

ก็ดี!” ทั้งสองพยักหน้า

จากนั้นเหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะพร้อมบอกว่า “ลืมแจ้งข่าวดีไปเลย ได้ยินว่าพวกท่านบรรลุวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นสี่แล้วเหรอ?”

ทั้งสองตอบกลั้วหัวเราะว่า “พี่ใหญ่กับเจ้าสี่ก็บรรลุแล้วเหมือนกัน โชคดีที่น้องสะใภ้ใจกว้าง ทำเอาพี่ใหญ่กับเจ้าสี่รู้สึกเกรงใจ ไม่ต้องทำงานอะไรก็ได้ผลประโยชน์มาเปล่าๆ มากมายแบบนั้น” อวิ๋นจือชิวกลับไปส่งส่วยทุกปี มักจะนำของไปมอบให้ทางทะเลดาวนักษัตรบ่อยๆ

“นั่นเป็นเรื่องที่สมควร ทุกคนเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น เป็นครอบครัวเดียวกันไม่ต้องเกรงใจกัน!” เหมียวอี้โบกมือ

จากนั้นทั้งสองก็ถามถึงเรื่องการทดสอบ เหมียวอี้จึงเล่าส่งเดชเหมือนเป็นเรื่องตลก

จนกระทั่งทั้งสองกลับไปแล้ว เป่าเหลียนก็มาถามอีกว่า “นายท่าน ทางท่านปู่ข้าทราบข่าวดีของนายท่านแล้ว เลยฝากมาถามว่าเมื่อไรนายท่านจะมีเวลาว่างไปนั่งที่สำนักลมปราณสักหน่อย”

“ได้!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วรับปากอย่างสบายใจว่า “เพิ่งจะกลับมา รอให้จัดการธุระในมือเรียบร้อยก่อน จะต้องไปเยี่ยมคารวะแน่นอน!”

…………………………

[1] ลูกเขยเต่าทอง 金龟婿 อุปมาถึงลูกเขยที่มีฐานะสูงส่ง


1057

ชิงตัวบนถนน

เมื่อได้คำตอบจากเขาแล้ว เป่าเหลียนก็ดีใจมาก ออกไปตอบอวี้หลิงเจินเหรินแล้ว ทว่าเพิ่งจะออกไปได้ไม่นานก็กลับมาอีก มาแจ้งเหมียวอี้ว่ามีแขกมาหา บรรดาผู้จัดการจากร้านใหญ่ๆ ของเขตเมืองตะวันออกมาแสดงความยินดี

เหมียวอี้ถือระฆังดาราไว้ในมือ เพิ่งจะมาถึงอวิ๋นจือชิวก็ส่งข้อความมา ถามว่าเมื่อไรเขาจะไปที่นั่น

เดิมทีเขาคิดว่าจะไปที่นั่นทันที แต่ดูจากสภาพการณ์แล้วเกรงว่าจะยังไปไม่ได้ ผู้จัดการร้านร้านค้าใหญ่ๆ ที่สามารถมาแสดงความยินดีได้ก่อนใครล้วนมีอำนาจหนุนหลัง ไม่สะดวกจะไปล่วงเกินให้ไม่พอใจ ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายก็มาแสดงความยินดี แสดงว่าจะต้องมีของขวัญติดไม้ติดมือมาแน่นอน จึงออกไปพบโดยพุ่งเป้าไปที่ของขวัญ

เขาจึงเกาศีรษะอย่างจนใจพร้อมบอกว่า “เชิญเข้ามา!”

เป่าเหลียนเพิ่งจะเดินออกไป เขาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าระฆังดาราบอกอวิ๋นจือชิวอีก : ตอนนี้ยังไปไม่ได้ ผู้จัดการของร้านค้าต่างๆ มาหาแล้ว เจ้าจะอาศัยข้ออ้างนี้มาหามั้ย?

อวิ๋นจือชิว : ข้าไม่ไปแล้วกัน เสร็จงานแล้วเจ้าค่อยกลับมา ข้าเรียกสองพี่น้องโอวหยางมาด้วยแล้ว ตอนค่ำกินข้าวด้วยกันทั้งครอบครัว

เหมียวอี้ : ตอนค่ำไม่ได้ ผู้การสองบอกว่าต้องจัดงานเลี้ยงที่ตำหนักคุ้มเมือง

อวิ๋นจือชิว : งั้นรอให้เจ้าว่างค่อยมาก็แล้วกัน

ตรงนี้เพิ่งจะติดต่อกันเสร็จ ผู้จัดการของร้านค้าต่างๆ ก็ทยอยกันมาถึงแล้ว การทักทายปราศัยตามมารยาทเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้

ส่งแขกกลับไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า เพิ่งกลับมาถึงก็งานยุ่งสุดๆ แต่แบบนี้ไม่เป็นอะไรเลย ในเมื่อทำมาหากินที่นี่แล้ว นั่งยังนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ การเข้าสังคมบ้างเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ที่ยุ่งยากก็คือคนที่ไม่อยากเจอที่สุดมาหาอีกแล้ว

เป่าเหลียนมาแจ้งมา “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ของร้านค้าสมาคมวีรชนมาขอพบค่ะ”

ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้นใช่มั้ย? เหมียวอี้ปฏิเสธไปตรงๆ ว่า “ไม่พบ! บอกไปว่าข้ามีธุระ งดรับแขกชั่วคราว ถ้ามีแขกมาอีกให้ไล่ไปพบฝูชิงด้วยเหมือนกัน”

เป่าเหลียนย่อมไปตอบแขกตามคำสั่ง

ด้านนนอกจวนผู้บัญชาการ คนงานหามเกี้ยวที่ได้รับคำตอบเดินกลับมารายงานข้างๆ เกี้ยว

หวงฝู่จวินโหรวที่นั่งอยู่ในเกี้ยวแค้นจนกัดฟันกรอด กัดฟันตอบว่า “กลับ!”

ตอนค่ำ ตำหนักคุ้มเมืองจัดงานเลี้ยงฉลอง เหมียวอี้ สวีถังหรานและมู่หรงซิงหัวมาถึงงานเลี้ยงอย่างตรงเวลา ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็พามาด้วย คนอื่นๆ ก็พารองผู้บัญชาการของตัวเองมาด้วยเช่นกัน

แต่เรื่องที่น่าบังเอิญก็คือ พอเข้ามาในสวนดอกไม้ที่ตำหนักหลังของตำหนักคุ้มเมือง แค่มองปราดเดียวเหมียวอี้ก็ได้เห็นคนที่ไม่อยากเห็น หวงฝู่จวินโหรว!

ทำไมไปที่ไหนก็เจอแต่ผู้หญิงคนนี้! ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าผู้การสองหลันเซียง เหมียวอี้ก็บุ่มบ่ามหันหน้าเดินหนีไปแล้ว

แต่หวงฝู่จวินโหรวกำลังยืนคุยอยู่กับหลันเซียง เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาคำนับ หลันเซียงย่อมกล่าวทักทายตามมารยาท หวงฝู่จวินโหรวกลับกล่าวเหมือนอมยิ้มว่า “ผู้บัญชาการหนิว ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวได้ไหม!”

นางเอ่ยปากต่อหน้าผู้การสองอย่างสง่าผ่าเผย เหมียวอี้แสร้งกล่าวอย่างไม่รู้ไม่ชี้ “มีธุระอะไรที่พูดหน้าผู้การสองไม่ได้ล่ะ มีอะไรก็พูดกันตรงนี้ได้” เขาเองก็อยากจะอาศัยผู้การสองเพื่อหลบเลี่ยงความยุ่งยากเช่นกัน

“อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการหนิวกลัวข้าจะกิน? มีธุระส่วนตัวจะขอคำแนะนำสักหน่อย ไว้หน้าข้าสักครั้งไม่ได้เหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินว่าเป็นธุระส่วนตัว ผู้การสองก็ยิ้มและเป็นฝ่ายหลบเลี่ยงไปเอง “พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ!”

รอจนกระทั่งทางซ้ายและขวาไม่มีคนแล้ว เหมียวอี้ก็หน้าเครียดขรึมลงเล็กน้อย แอบถ่ายทอดเสียงถามว่า”หวงฝู่จวินโหรว เจ้าจะเอายังไงกันแน่?”

“คืนนี้ไปหาข้าสิ มีเรื่องจะคุยกับเจ้า” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวเสียงเรียบ

“มีเรื่องอะไรก็คุยกันตรงนี้” เหมียวอี้ปฏิเสธอย่างแน่วแน่ เคยได้รับบทเรียนจากผู้หญิงคนนี้มาแล้ว ไปที่นั่นแล้วไม่มีเรื่องดีอะไรหรอก เขาไม่อยากพัวพันอยู่กับนางอย่างคลุมเครือแล้วจริงๆ

หวงฝู่จวินโหรวจ้องมองมาด้วยสายตาเย็นเยียบทันที ถามเสียงเย็นว่า “เจ้าจะไปหรือไม่ไป?”

“ไม่ไป!” เหมียวอี้หันหน้าหนีเตรียมจะเดินออกไป

“เจ้าก็ลองไม่ไปดูสิ เจ้าเชื่อมั้ยว่าข้าจะบอกอวิ๋นจือชิวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน ดูซิว่าเจ้ายังจะจีบนางอีกได้ยังไง!” หวงฝู่จวินโหรวขู่ทันที

เหมียวอี้หยุดฝีเท้า หันกลับมามองพร้อมแสยะยิ้ม “เจ้าอย่ามาใช้มุกนี้เลย ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไปก็จะไม่เกิดผลดีอะไรกับเจ้าเหมือนกัน!”

“เจ้าไม่ต้องใช้อุบายนี้มาขู่ข้าหรอก ต่อให้ข้าบอกเรื่องของเจ้ากับข้าให้อวิ๋นจือชิวรู้ แต่เจ้าคิดว่านางจะกล้านำเรื่องของข้าไปเผยแพร่ซี้ซั้วเหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวถาม

ที่นางพูดนั้นไม่ผิด อวิ๋นจือชิวรู้แล้วต้องไม่แพร่ข่าวนี้ซี้ซั้วแน่ และเหมียวอี้ก็ไม่กลัวด้วยว่าถ้าอวิ๋นจือชิวรู้แล้วจะจีบนางติดหรือไม่ เพราะเขาไม่ต้องจีบนาง เดิมทีตำแหน่งฮูหยินภรรยาเอกก็เป็นของนางอยู่แล้ว แต่ประเด็นสำคัญคือเขาไม่กล้าให้อวิ๋นจือชิวรู้

เรื่องบางเรื่องก็เป็นแบบนี้ ถ้านำเรื่องนี้ไปบอกอวิ๋นจือชิวตั้งแต่แรกก็จบแล้ว แต่ประเด็นสำคัญคือเขาหลอกลวงอวิ๋นจือชิวมานานมาก ถ้าให้อวิ๋นจือชิวรู้ว่าเขาหลอกนางมาตลอด เช่นนั้นผลลัพธ์สุดท้ายก็ ‘งดงามเกินไป’ เหมียวอี้ไม่กล้าจินตนาการถึง

“ข้าไม่ตกหลุมพรางนี้หรอก!” เหมียวอี้หันหน้าเตรียมจะเดินออกไปอีกครั้ง

“ได้! นี่เจ้ากดดันข้าเองนะ ข้าไม่เข้าร่วมงานนี้แล้ว ข้าจะไปหาอวิ๋นจือชิวเดี๋ยวนี้เลย!” หวงฝู่จวินโหรวโมโหแล้วเช่นกัน หันหน้าเดินจากไปทันที

“หยุดนะ!” เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงตะโกน สีหน้าค่อนข้างแย่ โดนอีกฝ่ายบีบจุดอ่อนอย่างจริงจังแล้ว เขาพูดเน้นย้ำทีละคำว่า “ตอนนี้ข้ายังหาทางไปเจอเจ้าไม่ได้ รอให้งานเลี้ยงจบข้าค่อยไป!” แบบนี้เท่ากับแสร้งทำเป็นยอมอ่อนข้อ แค่หาบันไดให้ตัวเองลงจากเรื่องนี้เท่านั้น

สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์! หวงฝู่จวินโหรวทังโมโหทั้งอยากขำ ในใจเรียกได้ว่าเกิดความคับแค้นใหม่อีกรอบ การที่สามารถนำเรื่องนี้มาบีบจุดอ่อนอีกฝ่ายได้ ก็แสดงว่าอีกฝ่ายชอบเถ้าแก่เนี้ยคนนั้นจริงๆ จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร!

เหมียวอี้ที่กลับเข้ามาหากลุ่มคนรู้สึกเสียใจทีหลังเป็นอย่างมาก ตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่าไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะไปแตะต้องได้ ไปล่วงเกินผู้หญิงพวกนี้ไม่ได้เลย แค้นใจที่ตอนนั้นไม่สามารถควบคุมของที่อยู่ในเป้ากางเกงได้ ตอนนี้โดนเกาะแกะพัวพันไว้แล้ว อยากจะสลัดก็สลัดไม่หลุด ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเกรงว่าสักวันคงจะเกิดเรื่อง

ผ่านอุปสรรคอันตรายมาได้มากมายขนาดนั้น ถ้าจะมาจบเห่บนหนังท้องของผู้หญิงคนเดียว แบบนั้นมันใช่เรื่องเหรอ?

“น้องหนิว เป็นอะไรไป?” มู่หรงซิงหัวเดินมาถึงข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พบว่าเหมียวอี้สีหน้าดูไม่ดี จึงเหลือบมองหวงฝู่จวินโหรวแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “ผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรรึเปล่า?”

เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ “เรื่องเล็กๆ น่ะ ไม่เป็นไรหรอก!”

จนกระทั่งตอนที่งานเลี้ยงเริ่ม ในสวนดอกไม้ก็มีคนนั่งเต็มโต๊ะ ผู้การสองเป็นเจ้าภาพกล่าวคำปราศัยเล็กน้อย ทุกคนยกจอกสุราทันที ผลัดกันมาดื่มสุราฉลองให้ขุนนางผู้มีคุณูปการทั้งสาม นางรำของหอกลิ่นสวรรค์ที่อยู่บนเวทีก็ร้องระบำเพลงรักแล้วเช่นกัน

เมื่อถึงตอนที่เสวี่ยหลิงหลงขึ้นเวที สวีถังหรานที่ยกจอกสุราขึ้นมาก็เริ่มหรี่ตาเล็กน้อย จิบน้ำสุราช้าๆ จ้องมองเสวี่ยหลิงหลงไม่ละสายตาด้วยแววตาหิวกระหาย มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์…

หลังจากงานเลี้ยงเลิก ตอนที่หวงฝู่จวินโหรวเดินผ่านข้างกายเหมียวอี้ ก็แอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ข้าจะกลับไปรอเจ้าก่อน ถึงแล้วค่อยบอก ข้าจะได้ปิดค่ายกลป้องกัน”

เหมียวอี้กระตุกมุมปากเล็กน้อย นี่นางกำลังจะให้ตนปีนกำแพงกลางดึก

“ผู้บัญชาการ เป็นอะไรไป?” เมื่อเห็นคนแยกย้ายกันแล้ว แต่เหมียวอี้ยังอยู่นอกตำหนักคุ้มเมืองและไม่มีท่าทีว่าจะกลับ อิงอู๋ตี๋จึงเอ่ยถาม

“พวกท่านกลับไปก่อนเลย ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย” เหมียวอี้ตอบ

อิงอู๋ตี๋ไม่ได้ถามอะไรมากอีก กลับไปกับพวกฝูชิงก่อนแล้ว

ส่วนเหมียวอี้ก็หาโรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่ตลาดสวรรค์ เช่าห้องเดียวห้องหนึ่ง หลังจากปลอมตัวแล้วก็ทิ้งเหรียญผลึกไว้นิดหน่อย แล้วก็ออกมาข้างนอก

เมื่อมาถึงนอกร้านค้าสมาคมวีรชน ก็ฉวยโอกาสตอนไม่มีใครสังเกตเห็น ปีนกำแพงเข้าไปในชั่วพริบตาเดียว เมื่อเข้ามาที่สวนด้านหลังของร้านค้าสมาคมวีรชน ก็หลบเลี่ยงสายตาของคนในร้านค้าสมาคมวีรชนตามที่หวงฝู่จวินโหรววางแผนไว้ล่วงหน้า วิ่งเข้าไปในตึกแล้ว…

ณ ตำหนักคุ้มเมือง คณะนางรำของหอกลิ่นสวรรค์เก็บของเสร็จเรียบร้อย เมื่อรับค่าตอบแทนกับเงินรางวัลแล้วถึงได้กลับไป

ใครจะคิดว่าพอมาถึงครึ่งทาง จู่ๆ ก็มีคนมาขวางอาชามังกรที่ลากรถม้า ท่านแม่สวีแหวกผ้าม่านรถ ยื่นศีรษะออกมาดูพร้อมถามว่า “เป็นอะไรไป?”

แววตาฉายแววตะลึงงันไปชั่วขณะ พบว่าผู้ช่วยผู้บัญชาการหลี่ฉางแห่งจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกนำกำลังคนมาขวางทาง ท่านแม่สวีรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที ยามปกติไม่มีใครมาขวางทางพวกนางได้ที่ตลาดสวรรค์

“อ้าว! ที่แท้ก็เป็นขุนพลหลี่!” ท่านแม่สวีรีบกระโดดลงจากรถ บิดเอวอันชดช้อยมีเสน่ห์ของหญิงวัยกลายคนเดินเข้าไป เจียดรอยยิ้มออกมาเต็มใบหน้า โบกผ้าเช็ดหน้าในมือพร้อมถามว่า “ขุนพลหลี่ ดึกขนาดนี้ยังมาลาดตระเวนด้วยตัวเองอีก ลำบากท่านแล้วจริงๆ! น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ หาที่พักดื่มน้ำชาสักหน่อยเถอะ!” นางยัดแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่มือ

หลี่ฉางยกมือห้าม แล้วเดินไปข้างรถม้า ยื่นมือแหวกผ้าม่านมองเข้าไปข้างในแวบหนึ่ง เมื่อเห็นเสวี่ยหลิงหลงที่เรือนร่างอ้อนแอ้นนั่งนิ่งอยู่ในนั้น ก็เผยรอยยิ้มแปลกๆ ออกมา พอปิดผ้าม่าน ก็หันตัวมาพูดกับท่านแม่สวีว่า “ท่านแม่สวี เมื่อครู่นายท่านผู้บัญชาการได้เห็นดาวเด่นของหอกลิ่นสวรรค์ร้องระบำที่ตำหนักคุ้มเมือง รู้สึกติดลมยังไม่หายอยาก เลยตั้งใจให้ข้ามาเชิญเสวี่ยหลิงหลงไปร้องเพลงให้ฟังเป็นการส่วนตัว!”

พูดจบกฌโบกมือเบาๆ มีทหารสวรรค์สองคนกระโดดขึ้นรถม้าทันที ผลักคนขับรถม้าหนึ่งที บังคับให้คนขับรถม้าออกจากขบวน และเลี้ยวไปทางจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก

ท่านแม่สวีร้อนรนทันที รีบไล่ตาม แต่กลับโดนทหารสวรรค์สองแถวที่คุ้มกันรถม้าชี้อาวุธออกมา กดดันจนนางไม่กล้าเข้าใกล้รถม้า

ท่านแม่สวีทำได้เพียงเร่งฝีเท้าตามไปดึงแขนหลี่ฉาง แล้วกล่าวขอความเมตตาว่า “ขุนพลหลี่ ฟ้ามืดแล้ว ไม่สะดวกจะไปรบกวนผู้บัญชาการจริงๆ พรุ่งนี้ได้มั้ย?”

หลี่ฉางที่เดินเอามือไขว้หลังโบกแขนสะบัดนางออกไป แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่รบกวนหรอก ตราบใดที่นายท่านผู้บัญชาการมีอารมณ์สุนทรีก็พอแล้ว”

“งั้นข้าจะจัดนักดนตรีให้ร่วมเดินทางไปด้วย!” ท่านแม่สวีรีบโบกมือเรียกกลุ่มคนข้างหลังที่กำลังมองหน้ากันเลิกลั่ก “ยังมัวเหม่ออะไรกันอีก นายท่านผู้บัญชาการอยากชมการร้องระบำ ยังไม่รีบตามมาอีก!”

“ไม่ต้องแล้ว!” หลี่ฉางตะโกนห้าม “นายท่านผู้บัญชาการอยากฟังเสียงร้องชัดๆ ท่านแม่สวีเชิญกลับไปเถอะ เดี๋ยวจะจ่ายเงินให้ท่านไม่ขาดแน่” พูดจบก็เอียงหน้าส่งสัญญาณ มีคนหลายคนพุ่งเข้ามาทันที ขัดขวางไม่ให้ท่านแม่สวีตามมา

คนที่สัญจรไปมาบนถนนเห็นฉากนี้แล้วไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ต่อให้รู้ก็ไม่กล้ายุ่ง ถ้าทำแบบนั้นแปลว่าเบื่อหน่ายไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว

ขณะที่มองเสวี่ยหลิงหลงที่นั่งอยู่ในนั้นโดนพาตัวไป ท่านแม่สวีก็ร้อนใจจนกระทืบเท้า มันใช่เรื่องเงินเสียที่ไหนกัน นางทำมาหากินอยู่ในแวดวงบันเทิงมานาน มีหรือที่จะดูไม่ออกว่าผู้บัญชาการท่านนั้นอยากจะบังคับขืนใจ คืนนี้วางแผนไว้แล้วว่าจะเด็ดดอกไม้ที่เป็นดาวเด่นของหอกลิ่นสวรรค์!

แบบนี้จะทำอย่างไรดี! เสวี่ยหลิงหลงเกี่ยวข้องกับยี่ห้อของหอกลิ่นสวรรค์ ถ้าจะพูดให้ไม่น่าฟังหน่อยก็คือ ถ้าหอกลิ่นสวรรค์ไม่มีเสวี่ยหลิงหลงแล้ว ก็จะตกต่ำกลายเป็นโรงศิลปะระดับสามทันที ถ้าเป็นไปไม่ได้ที่จะทำการแสดงด้วยราคาสูงลิบลิ่วอีก คนทั้งหอกลิ่นสวรรค์เรียกได้ว่าทำมาหากินโดยฝากความหวังไว้ที่เสวี่ยหลิงหลง

ท่านแม่สวีเองก็ไม่ใช่คนโง่ ก่อนหน้านี้ผู้บัญชาการสวีถังหรานแห่งเขตเมืองตะวันตกไม่กล้าแตะต้องเสวี่ยหลิงหลง แต่วันนี้จู่ๆ ก็แข็งกร้าวขนาดนี้ ส่งคนมาชิงตัวกลางตลาด ชัดเจนว่ากำลังอาศัยวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ของราชันสวรรค์ เขาสร้างผลงานใหญ่กลับมา ตอนนี้ไม่อยากมีใครไปผิดใจกับขุนนางผู้มีคุณูปการที่ราชันสวรรค์แต่งตั้ง ไม่มีใครอยากทำให้สวีถังกรานไม่พอใจเพียงเพราะคนเต้นกินรำกินคนเดียว ภายใต้อานุภาพที่ยังหลงเหลือจากวาจาของราชันสวรรค์ การนอนกับผู้หญิงเต้นกินรำกินสักคนจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร? ถ้าพูดแบบน่าเกลียดหน่อยก็คือคิดเสียว่านี่เป็นรางวัล เกรงว่าแม้แต่หวงฝู่จวินโหรวก็คงขัดขวางไม่ไหว หรือว่าหวงฝู่จวินโหรวยังจะกล้าดันทุรังบุกเข้าจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก!


1058

ใส่ร้ายป้ายสีจริงๆ

ถึงอย่างไรหวงฝู่จวินโหรวก็ไม่ใช่คนของทางการ ถ้าบุกเข้าจวนผู้บัญชาการก็จะเป็นการทำผิดกฎสวรรค์ ต่อให้หวงฝู่จวินโหรวจะมีภูมิหลังและเส้นสาย แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับกฎสวรรค์ ต่อให้เชิญหวงฝู่จวินโหรวมา แต่ถ้าสวีถังหรานตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พบนาง หวงฝู่ก็ไม่มีหนทางเหมือนกัน

มีใครไม่รู้ว่าบ้างว่าเสวี่ยหลิงหลงมีหวงฝู่คุ้มครองอยู่ แต่ที่สวีถังหรานกล้าแตะต้องในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้กังวลฝ่ายหวงฝู่จวินโหรวเลย

แต่ก็ไม่มีทางเลือก ในเวลานี้นอกจากไปขอความช่วยเหลือหวงฝู่จวินโหรว ท่านแม่สวีก็ไม่รู้ว่าจะไปหาใครที่ไหนแล้ว นางเองก็รู้จักผู้การสองที่ตำหนักคุ้มเมืองเช่นกัน แต่นางไปมาหาสู่อยู่ระหว่างขุนนางตำแหน่งสูงพวกนี้มาหลายปี เข้าใจวิธีคิดของพวกนี้ดีเกินไป ก็ยังเป็นอย่างที่บอก ขุนนางผู้มีคุณูปการที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งเองอยากจะนอนกับผู้หญิงเต้นกินรำกินสักคน ถึงแม้ผู้การสองจะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่ก็ทำได้เพียงปิดตาข้างเดียว

ทำได้เพียงรักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น ท่านแม่สวีหยิบระฆังดาราออกมา รีบติดต่อกับหวงฝู่จวินโหรว หวังว่านางจะมีทางช่วยเหลือ

และหวงฝู่จวินโหรวในตอนนี้ก็กำลังอยู่ห้วงรักของชายหญิงต่างที่ต่างก็มีใจให้กัน นอกจากบังคับเหมียวอี้ให้มาหา นางยังจะทำอะไรได้อีก เป็นเพราะเกิดความเปลี่ยวเหงาหลังจากได้ลิ้มลองรสชาติอร่อย จึงเฝ้าคอยจะที่จะพลอดรักกับชายคนรัก

ที่จริงเหมียวอี้ถูกนางทำให้กลัวแล้ว เมื่อเจอกับผู้หญิงที่พัวพันไม่เลิกแบบนี้ ไม่ให้กลัวก็คงไม่ได้ ถ้าเขาตัวคนเดียวก็ยังไม่เป็นไร แต่ประเด็นสำคัญคือเขาเป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว

แต่ชายหญิงที่อยู่ในห้องเดียวกันตามลำพังสองต่อสอง ภายใต้การจงใจยั่วยวนของหวงฝู่จวินโหรว กอประกับเรือนร่างและหน้าตาที่เป็นต้นทุน นางมีจุดที่ดึงดูดเหมียวอี้จริงๆ มิหนำซ้ำเหมียวอี้ก็ไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้มาหนึ่งร้อยปี ล่อลวงง่ายๆ ก็อดใจไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็ยังกลิ้งอยู่บนเตียงด้วยกัน

พวกเขาอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าทั้งคู่แล้ว ขณะที่ลูกธนูกำลังขึ้นสายเต็มเหนี่ยวและเหมียวอี้กำลังจะควบม้าทะยาน หวงฝู่จวินโหรวที่ถูกส่งข้อความมารบกวนก็โมโหนิดหน่อย ไม่รู้ว่าใครมาทำลายเรื่องดีๆ ของนางแล้ว นางร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูในกำไลเก็บสมบัติ พบว่าท่านแม่สวีส่งข้อความมา

นางเองก็รู้ดี ว่าถ้าไม่มีธุระสำคัญ ท่านแม่สวีก็จะไม่ส่งข่าวมารบกวนนางตอนดึก

นางทำได้เพียงผละออกจากเหมียวอี้อย่างไม่เต็มใจ หลังจากหยิบระฆังดาราขึ้นมาและรู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางก็ตกใจมากเช่นกัน

นางเองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าสวีถังหรานจะลงมือกับเสวี่ยหลิงหลงในเวลานี้ พอลองใช้สมองคิดดูนิดหน่อย ก็รู้ว่าเจอปัญหายุ่งยากแล้ว เกรงว่าเสวี่ยหลิงหลงจะปกป้องตัวเองไม่ได้แล้ว!

สวีถังหรานกล้าลงมือในเวลานี้ ต่อให้นางไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ยอมให้เข้าจวนผู้บัญชาการไปพบหน้าสวีถังหรานเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น ผลของการละเลยกฎสวรรค์บุกเข้าจวนผู้บัญชาการนั้นร้ายแรงมาก แม้แต่คนที่มีภูมิหลังอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ยังต้องเจอบทเรียน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ไม่ได้เป็นขุนนางอย่างนางเลย

ถ้ารอให้สวีถังหรานจัดการเสวี่ยหลิงหลงจนข้าวสวยกลายเป็นข้าวสุกไปแล้ว ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะพูดอะไรก็สายเกินไป สวีถังหรานในตอนนี้สร้างผลงานใหญ่กลับมา หลังจากไม้หลายเป็นเรือแล้ว ต่อให้ไปฟ้องร้องกับใครก็ไร้ประโยชน์ หรือจะให้ผู้บังคับบัญชาของสวีถังหรานถอดสวีถังหรานออกจากตำแหน่งเพื่อผู้หญิงเต้นกินรำกินเพียงคนเดียวล่ะ? นั่นคือเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับความจริง มิหนำซ้ำราชันสวรรค์ก็เพิ่งเอ่ยปากยกย่องเขาไป!

ถ้าหากนอนด้วยกันไปแล้ว อย่างมากถ้าเห็นแก่หน้าหวงฝู่จวินโหรว ก็แค่ให้สวีถังหรานรับผิดชอบเท่านั้น ผลสุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ให้สวีถังหรานแต่งงานรับเสวี่ยหลิงหลงเป็นอนุภรรยา เห็นได้ชัดว่าสอดคล้องกับเจตนาของสวีถังหรานพอดี ช่างเป็นการยกประโยชน์ให้สวีถังหรานไปเปล่าๆ

เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนจากเบื้องบนบังคับให้สวีถังหรานแต่งงานรับนางคริกามาเป็นภรรยาเอก แบบนั้นไม่สอดคล้องกับค่านนิยมในสังคม ที่จริงแล้วนางคณิกาในยุคนี้ก็ไม่ได้สูงส่งกว่าพี่สาวน้องสาวของโสเภณีสักเท่าไร ก็แค่ขายศิลปะแต่ไม่ได้ขายร่างกายเท่านั้นเอง กดดันให้ผู้บัญชาการตำหนักสวรรค์แต่งงานรับผู้หญิงที่เต้นกินรำกินมาเป็นภรรยาเอกมันใช่เรื่องเสียที่ไหน

เรื่องแบบนี้อย่าว่าแต่ผู้บังคับบัญชาของสวีถังหรานที่จะไม่ทำ ต่อให้เป็นผู้หญิงทั้งโลกก็ไม่ตอบตกลงเหมือนกัน ให้นางคณิกาคนหนึ่งมีฐานะสูงกว่าผู้หญิงจากตระกูลดีๆ อย่างนั้นเหรอ ล้อเล่นอะไรกันอยู่ ต่อไปเวลาผู้ชายบ้านตัวเองไปเที่ยวเล่นที่หอโคมเขียวแล้วถูกนางจิ้งจอกที่ไหนยุยงเข้าสักหน่อยจะไม่แย่หรอกเหรอ! เดิมทีผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ไม่ถูกชะตากับนางคณิกาพวกนั้นอยู่แล้ว หวังให้นางคณิกาพวกนั้นทำได้แต่ขายตลอดไป ทั้งชีวิตนี้ไม่อาจพลิกสถานะได้ถึงจะดี อย่าลืมนะว่าดาวเทียนหยวนนี้มีผู้หญิงคุม!

ตอนนี้หวงฝู่จวินโหรวก็ร้อนใจแล้วเช่นกัน ถึงอย่างไรเสวี่ยหลิงหลงก็เป็นเพื่อนสาวที่นางรู้จักมาหลายปี แต่เจ้าคนต่ำทรามสวีถังหรานนั่นดันเลือกลงมือในเวลานี้ ถ้านางรู้จักไปเตือนสวีถังหรานไว้ล่วงหน้าสักหน่อย สวีถังหรานก็คงไม่ถึงขั้นหักหน้านางขนาดนี้

ถ้ารอให้นอนด้วยกันไปแล้ว ถ้าสวีถังหรานแกล้งทำเป็นเลอะเลือน เจ้าก็โวยวายอะไรกับเขาไม่ได้สักนิด ดีไม่ดีต่อไปยังต้องส่งของขวัญราคาแพงให้อนุภรรยาด้วย

พอมีเรื่องรบกวนแบบนี้ นางก็เอาแต่กลุ้มใจอยู่อย่างนั้น ส่วนเหมียวอี้ก็อารมณ์สงบลงแล้ว อยากจะตบปากตัวเองสักที รีบลุกจากเตียงแล้วเก็บเสื้อผ้าขึ้นมา

หวงฝู่จวินโหรวกำลังเปลือยร่างกายที่ทำให้คนเห็นเลือดลมสูบฉีด นางกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนและกวาดสายตามองมาแวบหนึ่ง ตอนที่หยุดมองเหมียวอี้นางก็ตาเป็นประกาย หนทางแก้ปัญหากำลังนั่งแก้ผ้าอยู่ข้างๆ ตนแล้วนี่ไง ตอนอยู่ที่งานเลี้ยงนางสังเกตเห็นว่าเวลาสวีถังหรานทำเรื่องต่างๆ จะมองสายตาเหมียวอี้ก่อนตลอด เห็นได้ชัดว่าสวีถังหรานกับมู่หรงซิงหัวยกให้เหมียวอี้เป็นหัวหน้า

นางจึงโผเข้ามาทันที เรือนร่างขาวเด้งเต่งตึงซบอยู่ที่แผ่นหลังของเหมียวอี้ ใช้แขนคล้องคอเหมียวอี้เอาไว้ไม่ยอมปล่อย “เจ้าจะไปไหน?”

“เจ้ามีธุระ ข้าไม่รบกวนแล้วกัน” เหมียวอี้อยากจะฉวยโอกาสหนีออกไป

เหมือนเป็นเนื้อที่มาถึงปากแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่อยากจะปล่อยเขาไป ตอนนี้มีเรื่องขึ้นก็ยิ่งไม่อยากปล่อยเขาไป กอดเขาไว้แน่นพร้อมพูดออดอ้อนว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าเจอปัญหาแล้ว เจ้าช่วยข้าสักครั้งได้มั้ย”

เหมียวอี้วรยุทธ์ไม่สูงเท่านาง ดึงแขนสองข้างของนางอย่างไรก็ดึงไม่ออก จึงกล่าวอย่างจนใจทันทีว่า “ล้อเล่นอะไรของเจ้า ถ้าเจ้าประสบปัญหาจริงๆ ขนาดอาศัยเส้นสายของเจ้าแล้วยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ แล้วข้าจะช่วยอะไรเจ้าได้ล่ะ”

“บางทีเจ้าอาจจะเหมาะสมที่สุดที่จะช่วยเหลือเรื่องนี้”

“อย่ามาล้อเล่น” เหมียวอี้ยังคงดิ้นรนอยากจะหนีไป

หวงฝู่จวินโหรวออกแรงจับเขานอนลง ขึ้นไปนอนหมอบบนตัวเขา พร้อมกล่าวอย่างจริงจังว่า “เสวี่ยหลิงหลงเจอปัญหาแล้ว ตอนเพิ่งออกจากตำหนักคุ้มเมืองเพื่อกลับมา นางโดนสวีถังหรานส่งคนไปดักชิงตัวกลางทาง ถูกชิงตัวไปที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกแล้ว”

เหมียวอี้งงมาก ตอนแรกยังคิดตามไม่ทัน “ชิงตัวนางไปทำไม? พวกเขาไม่ได้มีความค้นต่อกันนี่นา?”

เมื่อเห็นว่าเขาทำท่าเหมือนไม่ได้แกล้งไม่รู้ หวงฝู่ก็ทั้งโมโหทั้งอยากขำ ยามฉลาดคนคนนี้ก็ปราดเปรื่องมาก แต่ความฉลาดทางอารมณ์ต่ำจนน่าสงสาร นางจึงหยิกเขาพร้อมแสยะยิ้ม “ผู้ชายคนหนึ่งชิงตัวผู้หญิงคนหนึ่งกลับไปตอนดึกดื่น เจ้าคิดว่าเขาจะทำอะไรได้อีกล่ะ?”

“…” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ในที่สุดก็เข้าใจกระจ่างแล้ว จึงกล่าวกลั้วหัวเราะทันที “สวีถังหรานตาถึงเหมือนกันนะเนี่ย ความงามของเสวี่ยหลิงหลงนี่ไม่ตองพูดถึงแล้ว ทั้งยังมีความสามารถด้วย”

เขาคิดว่าสวีถังหรานรู้ว่าตัวเองกำลังจะย้ายออกไปพร้อมโค่วเหวินหลาน เนื้อที่ควรจะกินก็ต้องถือโอกาสกัดเข้าปากไว้ก่อน

“เจ้ายังหัวเราะออกอีกเหรอ! เจ้ากับสวีถังหรานต้องมีระฆังดาราไว้ติดต่อกันแน่นอน รีบบอกเขา บอกให้เขาหยุดเดี๋ยวนี้ ถ้าช้ากว่านี้จะไม่ทันแล้ว”

“สายไปแล้วก็สายไปสิ!” เหมียวอี้เอามือผลักนางออก แล้วลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง “ชายยังโสดหญิงยังโสด ทั้งสองต่างก็ยังไม่ได้แต่งงาน อยากทำอะไรก็ทำไปสิ ข้าเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก จะให้ไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกมันก็ฟังไม่ขึ้น อย่างมากก็ให้พี่สวีแต่งงานกับเสวี่ยหลิงหลงก็สิ้นเรื่องแล้ว ข้าว่าสวีถังหรานต้องยินดีมากแน่นอน”

“ไม่ได้! ถ้าเสวี่ยหลิงหลงจะต้องแต่งงานจริงๆ นางคงไปเป็นอนุภรรยาของคนระดับหัวหน้าภาคตั้งนานแล้ว จะตกมาถึงมือผู้บัญชาการเล็กๆ คนหนึ่งได้อย่างไร”

“ถ้าเจ้าดูถูกผู้บัญชาการเล็กๆ แล้วเจ้ายังจะมาหาข้าทำไมล่ะ” เหมียวอี้พูดดูถูก แล้วถือโอกาสสะบัดเสื้อผ้าในมือเตรียมจะใส่ ชัดเจนว่าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ช่วยเหลือเรื่องนี้

หวงฝู่จวินโหรวกลับดึงเสื้อผ้าในมือเขาโยนทิ้ง “ถือว่าข้าพูดผิดไปแล้วตกลงมั้ย? ถือเสียว่าช่วยข้าสักครั้ง ตกลงมั้ย?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะช่วยเจ้านะ แต่เรื่องนี้ข้าช่วยไม่ได้ ครั้งนี้สวีถังหรานเก็บชีวิตกลับมาจากการทดสอบได้ จะนอนกับผู้หญิงเต้นกินรำกินสักคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เกินไปหรอกมั้ง? ไม่ได้ไปชิงตัวผู้หญิงจากตระกูลดีๆ อะไรสักหน่อย เดิมทีก็มีไว้ขายอยู่แล้ว สุดท้ายไม่ว่าจะไปกับใครก็ต้องไปเหมือนกัน สวีถังหรานจะผ่อนคลายสักหน่อย ไม่ว่าใครจะห้ามก็ห้ามไม่อยู่หรอก แล้วอีกอย่าง เสวี่ยหลิงหลงคงจะร้องเพลงเลี้ยงชีพไปทั้งชีวิตไม่ได้หรอกมั้ง ถึงอย่างไรสวีถังหรานก็มีฐานะตำแหน่งอยู่บ้าง…ข้าจะแย้มให้เจ้ารู้สักหน่อยก็ได้ สวีถังหรานอาจจะได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่เร็วๆ นี้ ถ้าแต่งงานกับเสวี่ยหลิงหลงแล้ว ก็ไม่นับว่าทำให้นางอับอายหรอก อยู่กับสวีถังหรานก็ได้เงินไม่น้อยกว่าที่นางขายศิลปะเลย ต่อไปนี้ไม่ต้องโผล่หน้าไปประจบเอาใจคนอื่นแล้ว นี่เป็นเรื่องดีนะ! มีอะไรน่าขัดขวาง”

แนวคิดทั่วโลกก็เป็นแบบนี้ เหมียวอี้เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้ย ยามปกติเขาไม่ไปหอโคมเขียวเพราะอะไรล่ะ? เดิมทีก็ดูถูกคนในนั้นอยู่อยู่ เหมือนกับการตัดสินของคนทั่วไป เสวี่ยหลิงหลงมีฐานะสูงกว่าผู้หญิงในหอโคมเขียวพวกนั้นไม่เท่าไร

แล้วอีกอย่าง เขากับเสวี่ยหลิงหลงก็ไม่ได้สนิทอะไรกันเลย เคยเจอหน้ากันหลายครั้ง แต่ไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ ไม่ได้สนิทสนมกัน! ไม่จำเป็นต้องทำลายเรื่องดีๆ ของสวี่ถังหรานเพื่อเสวี่ยหลิงหลงคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ถึงอย่างไรก็เคยผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน เขาไม่ไปช่วยเหลือสวีถังหรานก็นับว่าดีแล้ว จะไปทำให้เสียเรื่องได้อย่างไร

“อย่าพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์พวกนั้น ข้าถามเจ้าคำเดียวว่าช่วยหรือไม่ช่วย?”

“ไม่ช่วย!”

“ได้! งั้นข้าจะให้อวิ๋นจือชิวมาช่วยขอร้องเจ้า” หวงฝู่จวินโหรวโมโหจนหยิบระฆังดาราออกมา

เหมียวอี้ทำสีหน้าไม่ถูก คว้าข้อมือนางเอาไว้ทันที “เจ้าอย่าทำเกินไปนักเลย!”

“เสวี่ยหลิงหลงเป็นเหมือนน้องสาวข้า ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าจะมองดูน้องสาวตัวเองประสบปัญหาโดยไม่สนใจได้เหรอ? เจ้าจะช่วยหรือไม่ช่วย?” หวงฝู่จวินโหรวถาม

ณ จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก หลังจากรถม้าถูกคุมเข้าไปในประตูใหญ่ของจวนผู้บัญชาการ ผู้ช่วยผู้บัญชาการหลี่ฉางก็จัดคนเพิ่มอีกสิบกว่าคนมาเฝ้าประตูใหญ่เอาไว้ พร้อมกำชับเสียงต่ำว่า “นายท่านผู้บัญชาการมีคำสั่ง ถ้ามีใครมาหาก็ไม่ให้พบทั้งนั้น ถ้าใครกล้าปล่อยคนเข้ามาโดยพลการ ระวังหัวตัวเองเอาไว้ด้วย!”

“รับทราย!” กลุ่มทหารเอ่ยรับคำสั่ง แล้วปิดประตูใหญ่ไว้อย่างแน่นหนาทันที

บนบันไดหน้าประตูใหญ่ของจวนขุนนาง สวีถังหรานเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดลำลอง ยืนเอามืไขว้หลัง มองดูรถม้าที่ถูกควบคุมมาพร้อมหรี่ตายิ้ม

หลี่ฉางถลันตัวเข้ามาก่อน แล้วกุมหมัดกล่าวประจบสอพลอ “นายท่าน ข้าน้อยทำภารกิจสำเร็จแล้ว เชิญดาวเด่นของหอกลิ่นสวรรค์มาให้แล้ว”

สวีถังหรานพยักหน้าเบาๆ เมื่อเห็นรถม้าหยุด ก็ตะคอกว่า “เฉยชาได้อย่างไร ยังไม่รีบเชิญมาอีก!”

หลี่ฉางถลันตัวไปข้างรถม้าทันที เปิดผ้าม่านออก พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางเสวี่ย นายท่านผู้บัญชาการเชิญ!”

เสวี่ยหลิงหลงไม่ใช่คนโง่ เดาออกแล้วว่ามีเรื่องอะไรกำลังรอตัวเองอยู่ ประสานสองมือที่สั่นเทิ้มไว้ด้วยกัน กัดริมฝีปากแน่น แล้วสุดท้ายก็แข็งใจมุดออกมาจากรถม้า เดินมาคำนับตรงตีนบันได ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คำนับนายท่านผู้บัญชาการ!”

“ไม่ต้องมากพิธี!” สวีถังหรานถลันตัวมาตรงหน้านาง ยื่นสองมือจะไปประคองด้วยตัวเอง

เสวี่ยหลิงหลงกลับรีบถอยหลังก้าวหนึ่ง หลบเงื้อมมือมารของใครบางคน นางหวังเพียงถ่วงเวลาต่อไปให้ได้มากที่สุด หวังว่าคนที่ช่วยเหลือนางจะมา นางฝากความหวังนี้ไว้ที่ตัวหวงฝู่จวินโหรวที่นางนับถือเป็นพี่สาว

เมื่อแตะต้องไม่ได้ สวีถังหรานก็กวาดมองดวงหน้างามล่มเมืองของนางแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจ หัวเราะเบาๆ แล้วเบี่ยงตัวยื่นมือเชิญ “เชิญด้านใน!”

เสวี่ยหลิงหลงไม่กล้าไม่ไว้หน้าเขา ร่างที่สวมชุดกระโปรงขาวเดินตามหลังเขาไปอย่างช้าๆ เขาไปในจวนขุนนางแล้ว

สวีถังหรานเองก็กลัวว่าเวลายิ่งยาวนาน อุปสรรคก็ยิ่งมีมาก ต้องฉวยโอกาสกินเข้าปากตัวเองก่อนถึงจะนับว่าเป็นของตัวเอง นำเสวี่ยหลิงหลงเดินผ่านลานบ้านที่งามประณีตมาเสียเลย มุ่งตรงมายังห้องนอนของตัวเอง

พอเดินมาถึงหน้าห้องนอน เสวี่ยหลิงหลงก็ไม่กล้าเดินเข้าไปแล้ว นางหยุดเดินพร้อมบอกว่า “นายท่านจะฟังเพลงไม่ใช่เหรอคะ? ในลานบ้านนี้สภาพแวดล้อมไม่เลวเลย”

“อ้อ! ร้องเพลงในห้องก็เหมือนกันนั่นแหละ” สวีถังหรานขี้คร้านจะเสแสร้งต่อไป พอหันตัวกลับมาก็ต้องการจะจับมือนาง

เสวี่ยหลิงหลงพลันถอยหลังหลบ ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง พร้อมกล่าวปฏิเสธว่า “นายท่าน ผู้น้อยขายศิลปะไม่ได้ขายตัว!”

สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาแล้ว “แม่นางมีหน้าตางดงามล่มเมือง ผู้บัญชาการคนนี้จะตัดใจให้เจ้าไปขายตัวได้อย่างไร เจ้าไม่ต้องห่วง ถ้าผ่านคืนนี้ไปแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องไปเผยโฉมในที่สาธารณะอีก มาเป็นอนุภรรยาของข้าเถอะ ข้าไม่ทำให้เจ้าเสียเปรียบแน่” พูดจบ ก็จะเข้าไปจับมือนางอีก

“นายท่านกรุณาสำรวมด้วย!” เสวี่ยหลิงหลงถอยหลังอีกครั้ง

สวีถังหรานสีหน้าดำมืดแล้ว “ถ้ากดดันจนผู้บัญชาการคนนี้ใช้ไม้แข็งก็จะไม่สนุกแล้ว มาถึงที่นี่แล้วเจ้ายังจะหนีพ้นอีกเหรอ?” เขายื่นมือไปอีกครั้ง

ชวิ้ง! เสวี่ยหลิงหลงพลันหยิบมีดสั้นออกมา จ่ออยู่บนคอตัวเอง พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าโศก “ผู้บัญชาการใหญ่ได้โปรดปล่อยผู้น้อยไป ไม่อย่างนั้นผู้น้อยยอมตายดีกว่า!”

“เฮอะ! สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์ ถ้าอยากตายก็ง่ายมาก ผู้บัญชาการคนนี้จะลากเพื่อนๆ ของเจ้าให้ตายไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วย!” สวีถังหรานเอามือไขว้หลัง แล้วตะโกนว่า “เด็กๆ!”

หลี่ฉางถลันตัวเข้ามาจากด้านนอกทันที มองการกระทำของเสวี่ยหลิงหลงอย่างแปลกใจแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะแกร่งกร้าวและหยิ่งในศักดิ์ศรีขนาดนี้ เขากุมหมัดคารวะ “นายท่านมีอะไรจะกำชับ?”

สวีถังหรานกล่าวเสียงต่ำว่า “ผู้บัญชาการคนนี้จะฟังเพลงอยู่ที่นี่ แต่มีคนเจตนาจะลอบสังหารข้า! ข้าสงสัยว่าหอกลิ่นสวรรค์จะเป็นแหล่งรวมกลุ่มโจรกบฏ เจ้าเรียกรมกำลังพลไปล้อมปราบหอกลิ่นสวรรค์ไว้เดี๋ยวนี้ ใครกล้าต่อต้าน ก็ฆ่าตรงนั้นได้เลย!”

“รับทราบ!” ขณะที่หลี่ฉางเอ่ยรับอย่างเด็ดเดี่ยว ก็พึมพำในใจว่า ใส่ร้ายป้ายสีกันจริงๆ!

“นายท่าน!” เสวี่ยหลิงหลงร้องเรียกอย่างเศร้าโศก คลายมีดสั้นในมือแล้ว มีดตกลงพื้นเสียงดังแกร๊ง ยืนก้มหน้าอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลอาบแก้ม

ชัดเจนมากแล้วว่าหมายความว่าอย่างไร เลิกขัดขืนแล้ว!

สวีถังหรานเลิกคิ้ว แล้วยกมือเบาๆ “สงสัยข้าจะเข้าใจผิดแล้ว อย่ามารบกวนเวลาข้าฟังเพลง!”

“รับทราบ!” หลี่ฉางเหลือบมองเสวี่ยหลิงหลงแวบหนึ่ง แล้วรีบถอยออกไป

ตอนที่สวีถังหรานเดินมาตรงหน้าเสวี่ยหลิงหลงที่น่าสงสารอีกครั้ง ขณะกำลังจะยื่นมือไปช้อนคางที่อ่อนนุ่มของนาง จู่ๆ สวีถังหรานก็หยุดชะงัก ระฆังดาราในกำไลเก็บสมบัติก็ดังแล้ว

เขาไม่อยากจะสนใจเลย มีคนมาหาในเวลาแบบนี้ได้ เกรงว่าคงจะเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนี้

แต่ก้ยังร่ายอิทธิฤทธิ์ดูว่าใครส่งข้อความมา ถ้าเป็นโค่วเหวินหลานขึ้นมา ก็คงไม่ดีหากจะไม่รับ

สิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเหมียวอี้ สวีถังหรานเกาศีรษะ รู้สึกปสดประสาทนิดหน่อย เจ้าคนโหดนั่นคงไม่ได้มาขอร้องเพื่อผู้หญิงคนนี้หรอกใช่มั้ย?

เขากะว่านอกจากข้อความของโค่วเหวินหลาน คืนนี้ก็จะไม่รับข้อความจากใครแล้ว รอให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่เขาเดาว่าต่อให้โค่วเหวินหลานจะไม่ช่วยให้เขาสมปรารถนา แต่ก็คงไม่ทำลายเรื่องดีๆ ของเช่นกัน ต่อให้คนอื่นไปหาโค่วเหวินหลานก็ไม่มีประโยชน์ แต่ต่อให้พิจารณาดีอย่างไร แต่ก็ลืมนึกถึงเหมียวอี้ไปได้

ในเวลาแบบนี้ เขาเองก็ไม่อยากสนใจเหมียวอี้ แต่เขาไม่กล้าหรอก เจ้าไปยั่วโมโหเจ้าบ้านั่นขึ้นมา เขาเองก็รับมือไม่ไหว อีกประเดี๋ยวอีกฝ่ายอาจจะมาด้วยตัวเองก็ได้ แบบนั้นตนก็ทำเรื่องนี้ไม่เสร็จอยู่ดี! ตนจะกล้าฟ้องหรือไงว่าเขาบุกเข้าจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก?

ภายใต้ความจนใจ เขาทำได้เพียงหยิบระฆังดาราออกมาถาม : น้องหนิว มีธุระอะไร?

เหมียวอี้ตอบเพียงว่า : เจ้าแม่งเป็นบ้าไปแล้วรึไง? หาเรื่องยุ่งยากให้ข้าซะแล้ว!

สวีถังหรานถามอย่างกินปูนร้อนท้อง : ทำไมน้องหนิวพูดแบบนั้น?

เหมียวอี้ : อย่ามาเล่นลูกไม้นี้กับข้า ปล่อยเสวี่ยหลิงหลงเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเจ้า! 


1059



1060



1061



1062




1063




1064




1065




1066



1067



1068

เจ้ากำลังขู่ข้าหรือ

มู่หรงซิงหัวกลับมาแล้ว พอกลับมาถึงตลาดสวรรค์ก็มารายงานตัวที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกก่อนเป็นอันดับแรก

เทียบกับเมื่อก่อนตอนมาที่นี่ไม่ได้ ตอนนี้ท่าทีของทุกคนที่มีต่อนางเปลี่ยนไปแล้ว แต่ละคนกุมหมัดคารวะด้วยความเคารพโดยเริ่มตั้งแต่ทหารยามเฝ้าประตู ต่างก็รู้ว่าท่านนี้กลายเป็นฮูหยินหัวหน้าภาคแล้ว

ในลานบ้าน เมื่อเจอนางอีกครั้ง เหมียวอี้ก็มองสำรวจแวบหนึ่ง แต่ไม่พบความเปลี่ยนแปลงอะไร การแต่งตัวและลักษณะท่าทางยังเป็นเหมือนที่ผ่านมา ไม่ได้มีความหยิ่งผยองหลังจากกลายเป็นฮูหยินหัวหน้าภาค

มู่หรงซิงหัวอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเบาๆ “ผู้บัญชาการใหญ่จ้องข้าแบบนี้ทำไม? อย่าบอกนะว่าข่าวลือที่บอกว่าผู้บัญชาการใหญ่ชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้วเป็นเรื่องจริงๆ?” นางพูดหยอก

เหมียวอี้โบกมือ บอกใบว่าเลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว จากนั้นหันตัวและยื่นมือเชิญ “ฮูหยินเชิญนั่ง!” ขณะเดียวกันก็บอกใบ้ให้เป่าเหลียนนำน้ำชามาวาง

“ทำไมผู้บัญชาการใหญ่ต้องเรียกอย่างนี้ ตอนอยู่ที่ตลาดสวรรค์ข้าน้อยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนายท่าน” หลังจากมู่หรงซิงหัวนั่งลงตามเขา ก็ตั้งใจชี้แจงอย่างเป็นทางการ วางตัวเองไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วถามว่า “ข้าวใหม่ปลามัน ทำไมแค่เดือนกว่าก็กลับมาแล้วล่ะ?”

มู่หรงซิงหัว “เรื่องของข้าก็ใช่ว่าผู้บัญชาการใหญ่จะไม่รู้ ข้าเป็นคนของเขาตั้งนานแล้ว ที่จัดงานแต่งงานแค่ต้องการสถานะและทำตามรูปแบบพอเป็นพิธี จะมีอารมณ์อาลัยรักไม่อยากแยกจากเหมือนตัวติดกาวเสียที่ไหนกัน ไม่อย่างนั้นเขาคงย้ายข้าไปอยู่ด้วยตั้งนานแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ไม่ได้อารมณ์เท่ากับตอนแอบลักลอบมีสัมพันธ์กันหรอก สามารถทำให้เขาแต่งงานกับข้าอย่างเป็นทางการได้ก็นับว่ฝืนใจพอแล้ว ความปวดใจที่อยู่ในนั้น ไม่มีค่าพอให้บ่นกับคนนอกหรอก!”

พูดจาตรงไปตรงมาเกินไปแล้ว เหมียวอี้ไม่รู้เลยว่าจะตอบนางอย่างไร

“ไม่ต้องพูดเรื่องยุ่งยากของเข้าแล้ว!” มู่หรงซิงหัวทิ้งเรื่องนี้ไว้ก่อน แล้วกล่าวอย่างลังเลว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ระหว่างทางได้ยินเฉาว่านเสียงส่งข่าวมา มีคนฟ้องเบื้องบนว่าท่านรับสินบนเหรอ เบื้องบนส่งคนมาแล้ว เตรียมจะตรวจสอบท่าน”

เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก “มีคนบางคนมันจ้องอยากได้ตำแหน่งของพวกเจ้าไง ข้าไม่ตอบตกลงพวกเขาก็เลยล้างแค้น! ถ้าตัวตรงก็ไม่กลัวเงาจะเอียงหรอก ให้พวกเขาตรวจสอบไปก็สิ้นเรื่อง”

มู่หรงซิงหัวอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไร ที่จริงนางอยากจะเตือน ว่าการไปทำให้คนพวกนั้นไม่พอใจไม่ใช่เรื่องดีอะไร แต่เมื่อเห็นเหมียวอี้ทำท่าเหมือนไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเลย นางก็เปลี่ยนความคิด ท่านนี้ก็ไม่ใช่คนโง่เลอะเลือนเช่นกัน เกรงว่าในใจคงจะมีแผนอยู่นานแล้ว ไม่ต้องให้ตนเปลืองคำพูด

เมื่อไม่มีธุระอย่างอื่น ทั้งสองก็คุยเรื่อยเปื่อยกันไม่กี่คำ ก่อนที่มู่หรงซิงหัวจะกล่าวอำลา

หลังจากนั้นหลายวัน อวิ๋นจือชิวก็กลับมาแล้วเช่นกัน พอกลับมาถึงก็มาหาเหมียวอี้ผ่านเส้นทางใต้ดินทันที นางไม่ค่อยเป็นฝ่ายมาหาก่อน แต่ปฏิกิริยาที่ผิดปกติของมู่ฝานจวินทำให้นางไม่สงบใจเลยจริงๆ นางตั้งปรึกษากับเหมียวอี้แบบต่อหน้าสักหน่อย

ขณะที่สองสามีภรรยากำลังปรึกษากันอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ จู่ๆ ด้านนอกกลับมีเสียงรายงานของเป่าเหลียน “นายท่าน ผู้บัญชาการสวีขอเข้าพบค่ะ”

“เจ้าบ้านี่ยังกล้ามาที่นี่อีก ข้าจะไปดูสักหน่อยว่ามีเรื่องอะไร” เหมียวอี้บอกอวิ๋นจือชิว แล้วลุกออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์ไป

สวีถังหรานสมกับเป็นชายชาตรีผู้มีคุณธรรมต่ำ เรียกได้ว่ายืดได้หดได้ พอเห็นเหมียวอี้ก็รีบก้าวเข้าไปในศาลาทันที แล้วกล่าวอย่างเคารพนบนอบทันที “ผู้บัญชาการใหญ่!”

“จับผู้ตองสงสัยที่ซ่อนของผิดกฎหมายอีกแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

เหงื่อแตก! สวีถังหรานเรียกได้ว่าอับอาย เขาเหลือบมองเป่าเหลียนที่ยืนอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง แล้วหยิบแผ่นหยกออกมายื่นให้ “ผู้บัญชาการใหญ่ เสียงตะโกนที่ตีกลางแสกหน้า ทำให้ข้าน้อยได้สติกลับมาเร็วมาก ไม่ถึงขั้นเป็นความผิดใหญ่โต! ของนี้มอบให้ผู้บัญชาการใหญ่จัดการ”

ของอะไร? เหมียวอี้สงสัย จึงรับแผ่นหยกมาไว้ในมือแล้วอ่านดู ทำให้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที ร้านค้าที่ได้มาเพราะร่วมวางแผนกับหวงเสี้ยวเทียน ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าชาติสุนัขนี่จะส่งต่อมาให้เขา จินตนาการได้ไม่ยากถึงความหมายที่อยู่ในนั้น

เจ้าชาติสุนัขนี่ช่างวางตัวเก่งจริงๆ! เหมียวอี้โยนกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าไม่เข้าใจว่าหมายความว่ายังไง อย่าดึงข้าเข้าไปเกี่ยวด้วย เรื่องน่าคาญใจของพวกเขา ข้าเองก็ไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย! แต่ข้าขอเตือนเจ้าอีกครั้งนะ เรื่องขาดคุณธรรมแบบนี้เพลาๆ ลงหน่อย ถ้ากล้าตบตาข้าอีก ก็ระวังหัวของเจ้าเอาไว้ให้ดี!” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินจากไป

ไม่รับไว้เหรอ? สวีถังหรานงุนงง แต่ก็เข้าใจได้ในชั่วพริบตาเดียว ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้โมโหที่ตนแย่งชิงร้านค้านี้มาด้วยเล่ห์กล แต่โมโหเพราะตนไปตบตาเขา

“ผู้บัญชาการสวี!” เป่าเหลียนยื่นมือส่งแขก

“ลำบากแล้ว ลำบากแล้ว!” สวีถังหรานพยักหน้าซ้ำๆ พร้อมกุมหมัดคารวะ

หลังจากออกจากจวนผู้บัญชาการใหญ่ เขาก็เรียกได้ว่าเดินตัวเบา เรื่องราวผ่านไปแล้ว สงสัยผู้บัญชาการใหญ่ยังมองเขาเป็นคนของตัวเองอยู่ และเข้าใจเจตนาของผู้บัญชาการใหญ่เช่นกัน ตราบใดที่ไม่ตบตาผู้บัญชาการใหญ่ ผู้บัญชาการใหญ่ก็จะไม่ขัดขวางช่องทางรายได้ของลูกน้อง เพียงแต่ช่องทางหาเงินของตนในครั้งนี้ไม่ถูกต้อง ต่อไปเวลาทำเรื่องแบบนี้จะต้องคิดให้รอบด้าน จะเผยพิรุธอะไรออกมาไม่ได้

เขาเองก็สบายใจแล้วเช่นกัน ในเมื่อผู้บัญชาการใหญ่มองเขาเป็นคนของตัวเอง เช่นนั้นชีวิตของเขาหลังจากนี้ก็จะไม่ลำบากแล้ว ตำแหน่งของตัวเองก็คงจะมั่นคงแล้วเช่นกัน

ตอนนี้ร่ำรวยแล้วเช่นกัน พึมพำร้องเพลงกลับไปตลอดทาง…

จากนั้นเหมียวอี้ก็กลับเข้าชัยภูมิถ้ำสวรรค์ อวิ๋นจือชิวมองเขาด้วยสีหน้าจนใจเล็กน้อย ถามว่า “เป็นอะไรไป?”

เหมียวอี้เล่าเรื่องที่สวีถังหรานทำให้ฟังทันที อวิ๋นจือชิวฟังจบแล้วค่อนข้างพูดไม่ออก แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “สภาพแวดล้อมของตำหนักสวรรค์ก็เป็นแบบนี้ อาศัยลงโทษตักเตือนสวีถังหรานคนเดียวไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าเจ้าตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงจริงๆ ก็ต้องรอให้เจ้ามีความสามารถที่จะเปลี่ยนได้อย่างเต็มที่ก่อน เจ้าเพิ่งจะรับตำแหน่งได้ไม่นาน รากฐานยังไม่แข็งแรง ถ้าลงดาบกับคนข้างกายตัวเอง ไม่เพียงแค่จะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ แถมจะไม่มีใครชมว่าเจ้าดีด้วย กลับจะทำให้คนข้างกายเอาใจออกห่างด้วยซ้ำ หนิวเอ้อร์ เจ้าต้องเข้าใจนะ ผู้ที่ทำการใหญ่จะไม่ทำอะไรเพราะความชอบของตัวเอง ข้างกายตัวเองต้องมีพวกลักเล็กขโมยน้อยไว้บ้าง ข้างกายต้องมีคนหลายประเภทเอาไว้ใช้งาน ถึงจะช่วยเหลือในสิ่งที่เจ้าทำไม่ได้ รอให้ประสบความสำเร็จก่อน ตอนที่เจ้าอยากจะเปลี่ยนแปลง ก็ค่อยเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล!”

ที่เหมียวอี้ไม่แตะต้องสวีถังหราน ล้วนเป็นเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ ถึงอย่างไรก็เคยผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่อยากทำให้เด็ดขาดจนเกินไป ไม่อย่างนั้นคนต่ำช้าที่ชิงตัวผู้หญิงกลางถนน ทั้งยังก่อเรื่องนี้อีก ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงตายไปนานแล้ว ไม่ได้คิดอะไรไกลเหมือนอวิ๋นจือชิวหรอก

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็ส่ายหน้าบอกว่า “ข้าเองก็ไม่ได้ทำอะไรเขา แค่ตักเตือนไปนิดหน่อย”

เพิ่งจะสิ้นเสียงตรงนี้ เป่าเหลียนก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ดังมาจากด้านนอกอีก “ผู้บัญชาการใหญ่ เย่สวินเกา ผู้จัดการเย่ร้านเจ็ดอารมณ์มาขอพบค่ะ”

เหมียวอี้หัยขวับ แล้วพึมพำเสียงต่ำ “ยังกล้ามาอีกเหรอ!” เขาร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนบอกทันที “เชิญเข้ามา!”

เมื่ออยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ ถ้าไม่ร่ายอิทธิฤทธิ์ เสียงก็ไม่มีทางเข้ามาได้

อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นตามเขา แล้วถามว่า “เป็นอะไรไป? ทำไมทำเหมือนมีความแค้นต่อกัน?”

“มีบางคนเห็นข้าเป็นลูกพลับอ่อนที่บีบง่าย เดี๋ยวข้าไปเจอเขาก่อน กลับมาค่อยว่ากัน!” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วถลันตัวออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์ไป

อวิ๋นจือชิวลังเลนิดหน่อย แต่ก็ตามออกไปเช่นกัน

ครั้งนี้เหมียวอี้นั่งตรงตำแหน่งเจ้าบ้านที่โถงหลัก วางมาดอันน่าเกรงขามของผู้บัญชาการใหญ่

ผ่านไปครู่เดียว ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมใบหน้าไร้หนวดคนหนึ่งก็ยกชายชุดคลุมยาวสีเทาก้าวผ่านประตูเข้ามา เดินตามหลังเป่าเหลียนเข้ามาแล้ว พอเห็นเหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะอย่างร่าเริงทันที “เย่สวินเกาเยี่ยมคารวะผู้บัญชาการใหญ่”

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “ผู้จัดการร้านเย่ ท่านทำการค้าอยู่ดีๆ ไม่ชอบ จะมัวมาหาข้าบ่อยๆ ทำไมกัน?” ไม่มีท่าทีว่าจะเชิญให้แขกนั่ง และไม่มีท่าทีว่าจะนำน้ำชามารับแขก

เดิมทีเย่สวินเกาก็อยากจะทำตัวสุภาพเกรงใจหน่อย แต่พอเห็นท่าทีแบบนี้ของเหมียวอี้ เขาก็ยืดอกเช่นกัน เชิดคางขึ้นสูงกว่าเดิมเล็กน้อย เดินมานั่งลงเองโดยไม่ต้องเชิญแล้ว

การกระทำนี้ทำให้ดวงตางามของเป่าเหลียนเบิกกว้าง ทำแบบนี้มองข้ามหัวผู้บัญชาการใหญ่เกินไปแล้ว นางกำลังจะกล่าวตำหนิ แต่กลับเป็นเหมียวอี้ที่ยกมือห้ามไว้

เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ เย่สวินเกาก็นึกว่าเหมียวอี้ยอมอ่อนให้แล้ว แอบกล่าวดูถูกในใจ แล้วนั่งกุมหมัดคารวะทักทาย “ผู้บัญชาการใหญ่ ข้าไม่มีเรื่องอื่นหรอก เป็นเรื่องที่คุยกันไว้ครั้งที่แล้วนั่นแหละ จาเหรินจวิ้น หลานชายของฮูหยินเทพประจำดาวฟ้าเถาะอยากจะทำงานรับใช้ตำหนักสวรรค์จริงๆ อยากจะติดตามผู้บัญชาการใหญ่ด้วยความจริงใจ ฮูหยินของเทพประจำดาวเคยได้ยินชื่อเสียงบารมีของผู้บัญชาการใหญ่มาบ้าง รู้สึกชื่นชมมาก ไม่อย่างนั้นผู้น้อยคงไม่กล้ามารบกวนผู้บัญชาการใหญ่เหมือนกัน ผู้บัญชาการใหญ่ได้โปรดให้โอกาสจาเหรินจวิ้นสักครั้ง!”

ที่เรียกว่าเทพประจำดาวฟ้าเถาะ ก็หมายถึงหนึ่งในสามสิบหกเทพประจำดาว

ตำหนักสวรรค์แบ่งเป็นสี่อ๋องสวรรค์ สิบสองจอมพล สามสิบหกเทพประจำดาว เจ็ดสิบสองโหว สิบสองจอมพลใช้ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ กุนสิบสองสายนี้มาเป็นตำแหน่ง ส่วนตำแหน่งของสามสิบหกเทพประจำดาวก็ใช้  ‘ฟ้า ดิน คน’ มาเติมข้างหน้าสิบสองสายนั้น ยกตัวอย่างเช่นเทพประจำดาวฟ้าเถาะที่เย่สวินเกาเอ่ยถึง ก็ใช้ ‘ฟ้า’ เป็นคำนำหน้าประสมกับ ‘เถาะ’

เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “ยินดีทำงานรับใช้ตำหนักสวรรค์นั้นเป็นเรื่องดี ข้าเองก็ไม่กล้าไม่ไว้หน้าฮูหยินของเทพประจำดาว ก็เป็นอย่างที่บอก ตราบใดที่เต็มใจมาที่นี่ ข้าก็ไม่ปฏิบัติด้วยอย่างขาดความยุติธรรมหรอก ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการของสี่เขตเมืองสามารถเลือกได้ตามใจชอบ”

ล้อเล่นอะไรกัน! เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการจะมีความหมายอะไรล่ะ ถ้าไม่ได้เป็นผู้บัญชาการแล้วมีทรัพย์สินอะไรให้ตักตวง จะมาทำอะไรที่ตลาดสวรรค์ทำไมล่ะ? เย่สวินเกาบ่นในใจ แต่สีหน้ายังคงยิ้มแย้ม “ผู้บัญชาการใหญ่ ความสามารถของจาเหรินจวิ้นเพียงพอที่จะรับตำแหน่งผู้บัญชาการสักเขตเมือง ให้เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการอาจจะไม่ได้แสดงความสามารถอย่างเต็ม ผู้บัญชาการใหญ่ได้โปรดเมตตาสักหน่อยเถอะ!”

เหมียวอี้ยิ้มตอบว่า “จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือไม่ ก็ต้องได้เห็นก่อนแล้วค่อยว่ากัน เริ่มจากเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการก่อนแล้วกัน ถ้ามีความสามารถจริงๆ คอยเลื่อนขั้นให้ก็ยังไม่สาย ไม่อย่างนั้นข้าจะอธิบายกับลูกน้องระดับล่างได้ยังไง แล้วจะคุมคนได้ยังไง?”

เย่สวินเกาสีหน้าเครียดลงเล็กน้อย อ้างชื่อฮูหยินของเทพประจำดาวมาแล้ว แต่ให้หลานชายตัวเองได้แค่ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการเนี่ยนะ แล้วจะให้ฮูหยินของเทพประจำดาวเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? อันดับแรกเลยคือตัวเองคงหนีความผิดที่จัดการธุระไม่สำเร็จไปไม่พ้น! จึงกุมหมัดกล่าวทันทีว่า “นายท่านได้โปรดพิจารณา!”

เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าแปลกใจแล้วนะ ตลาดสวรรค์ใต้สังกัดเทพประจำดาวฟ้าเถาะมีตั้งมากมาย อาศัยว่าเห็นแก่หน้าฮูหยินของเทพประจำดาว จาเหรินจวิ้นอะไรนั่นจะไปที่ไหนก็ไม่ไป ทำไมต้องมาหาข้าที่นี่ล่ะ! เรื่องนี้เจ้าสามารถไปหาท่านแม่ทัพภาคได้ ถ้าท่านแม่ทัพภาคถายทอดคำสั่งลงมา ข้าก็ย่อมปฏิบัติตามคำสั่ง”

เมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้ เย่สวินเกาก็แค้นจนคันฟัน คนที่สามมารถนั่งตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์ได้ ส่วนใหญ่ล้วนมีภูมิหลังทั้งนั้น เป็นได้ไม่ง่ายเลย แล้วก็มีแต่ตำแหน่งผู้บัญชาการใต้สังกัดของเจ้าเท่านั้นที่ไม่ต้องมีภูมิหลังอะไร ถ้าไปหาปี้เยว่ฮูหยินแล้วได้ผล ข้าจะยังมาหาเจ้าทำไมล่ะ! ปี้เยว่ฮูหยินผลักเรื่องนี้ไปให้เฉาว่านเสียง บอกว่าเจ้าเป็นคนที่เฉาว่านเสียงรั้งไว้ในตอนแรก ส่วนเฉาว่านเสียงก็เป็นเหมือนคนที่ถูกรังแกบ่อยๆ แต่ไม่มีใครทำอะไรได้ สามารถใช้ไม้อ่อนหว่านล้อมเจ้าได้

เย่สวินเกาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ถ้าใช้ไม้อ่อนไม่ได้ก็มีแต่ต้องใช้ไม้แข็งแล้ว จึงกล่าวชี้แนะว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ช่วงนี้ข้าได้ยินข่าวลือบางอย่างมา ได้ยินว่ามีคนฟ้องว่าผู้บัญชาการใหญ่บังคับให้พ่อค้าติดสินบน เบื้องบนส่งคนมาตรวจสอบแล้ว! ข้าน้อยยังได้ยินมาอีกว่า นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้รับการแก้ไข พ่อค้าบางคนที่เจตนาไม่ดีก็จะฟ้องขึ้นไปเบื้องบนกว่านั้นอีก! แต่สำหรับเรื่องนี้ผู้น้อยมีความเห็นที่แตกต่างออกไป สามารถเป็นพยานให้นายท่านได้ ไม่มีเรื่องนี้อยู่แน่นอน! ส่วนทางด้านจาเหรินจวิ้น ก็หวังว่านายท่านจะเมตตาสักหน่อย!”

ชัดเจนว่ากำลังบอกเหมียวอี้ว่า ขอเพียงแค่เจ้าตอบตกลงเงื่อนไขของข้า ข้าก็จะหาทางทำให้เรื่องนี้ผ่านไปได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็อย่านึกนะว่ามีท่านโหวเทียนหยวนหนุนหลังแล้วจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ง่ายๆ ฮูหยินของเทพประจำดาวไม่ได้ถูกหักหน้าได้ง่ายๆ ขนาดนั้น

“นี่เจ้ากำลังขู่ข้าเหรอ?” เหมียวอี้เลิกคิ้ว

“มิบังอาจ!” เย่สวินเกากุมหมัดตอบ “ผู้น้อยเพียงอยากแก้ไขความกังวลให้นายท่าน!”

“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร? เป็นผู้จัดการของร้านค้าร้านหนึ่งเท่านั้น เป็นแค่คนตัวเล็กๆ ที่ทำมาหากินอยู่ในอาณาเขตของข้า คู่ควรที่จะมาแก้ไขความกังวลให้ข้าเหรอ?” ครั้งนี้เหมียวอี้แตกคอกับเขาอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย ตะโกนไล่ตรงๆ เลยว่า “ไสหัวไป!”


1069

สอบสวนต่อหน้า

 เป่าเหลียนก้าวขึ้นมายยื่นมือส่งแขกทันที!

เย่สวินเกาที่ไม่ต่างอะไรกับการโดนตบบ้องหูแรงๆ พลันยืนขึ้น ในฐานะที่เป็นขุนนางของเทพประจำดาวฟ้าเถาะ เคยได้รับความอับอายขนาดนี้ต่อหน้าคนนอกเสียเมื่อไรกัน จึงเลิกเกรงใจทันที กล่าวด้วยสีหน้าดำมืดว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้ามาหาเจ้าพร้อมความจริงใจ หวังว่าจะได้คุยกันดีๆ สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์ ถึงตอนนั้นถ้ามานึกเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว!”

“ไสหัวไป!” เหมียวอี้พ่นคำนี้ออกมาอีกรอบ ในน้ำเสียงเผยเจตนาสังหารหลายส่วน ยื่นคำขาดสุดท้ายแล้ว ถ้ายังไม่ไสหัวไปก็เกรงว่าจะไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว

“เฮอะ!” เย่สวินเกาทำเสียงฮึดฮัด สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปแล้ว

ส่วนเหมียวอี้ก็เก็บกลั้นไฟโกรธเอาไว้ในใจเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ภูมิหลังของอีกฝ่าย ไม่สามารถทำซี้ซั้วโดยไร้เหตุผลได้ ตอนนี้เขาคงจะปลิดชีพอีกฝ่ายไปแล้ว

ตอนที่ลุกขึ้นเดินอ้อมไปที่โถงด้านหลังก็อึ้งนิดหน่อย เห็นอวิ๋นจือชิวกำลังยืนอยู่ที่โถงด้านหลังพร้อมมองเขาด้วยสีหน้ากังวล เห็นได้ชัดว่าได้ฟังบทสนทนาเมื่อครู่นี้แล้ว

นี่ไม่ใช่สถานที่ที่นางจะพูดอะไรได้ นางตามเหมียวอี้กลับไปที่ชัยภูมิถ้ำสวรรค์ หลังจากนั่งลงในศาลาถึงได้ถามว่า “มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมเบื้องบนส่งคนมาตรวจสอบเจ้า?”

“จะมีเรื่องอะไรได้อีกล่ะ นอกเสียจากจะมีคนจับจ้องตำแหน่งผู้บัญชาการใต้สังกัดข้า…” เหมียวอี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังรอบหนึ่ง

“เจ้า…” อวิ๋นจือชิวไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี  นางถามอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “ในเมื่อเจ้าไม่อยากช่วยพวกเขาจัดการธุระ แล้วเจ้าจะรับของขวัญของพวกเขาทำไม?”

เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าจะรับของขวัญจากพวกเขาหรือไม่ก็ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือถ้าแม่แต่กลุ่มผู้จัดการร้านพวกนั้นยังวิ่งมาขู่คุกคามข้าที่นี่ได้ ถ้าข้าก้มหัวให้ ต่อไปจะเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์นี้ได้ยังไง? อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการใหญ่อย่างข้าต้องโดนผู้จัดการร้านพวกนั้นบงการ?”

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ “พยายามเอาชนะเรื่องแบบนี้มีความหมายเหรอ? เจ้าเองก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรอยู่ดี มีแต่จะสร้างความยุ่งยากให้ตัวเอง ทำไมไม่ลองเปลี่ยนมุมมองความคิดดูบ้าง ว่าหลังจากรับลูกหลานของตระกูลพวกนั้นไว้แล้ว เวลาเจ้าจัดการเรื่องต่างๆ จะสะดวกขนาดไหน ให้พวกฝูชิงหลีกทางตำแหน่งผู้บัญชาการให้ชั่วคราวก็ไม่เป็นอะไรเสียหน่อย ยอมถอยก้าวหนึ่ง เรื่องทุกอย่างก็จะราบรื่น รอให้เจ้าได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นอีก ยังจะกลัวว่าใต้บังคับบัญชาจะไม่มีตำแหน่งดีๆ จัดให้พวกเขาอีกเหรอ? คุยกับพวกฝูชิงให้ชัดเจน พวกเขาก็จะเข้าใจได้เหมือนกัน!”

ขณะที่พูดก็ถือโอกาสรินน้ำชาให้เหมียวอี้ “หนิวเอ้อร์ ขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังสักหน่อยนะ ก็เป็นอย่างที่บอก เจ้าน่ะมีความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ก็ยังมีจุดอ่อน เวลาทำอะไรมักจะไม่คิดถึงผลระยะยาว ตอนนี้เจ้าไปทำให้กลุ่มคนที่มีภูมิหลังไม่พอใจ ถ้าต่อไปมีคนมาหาเรื่องเจ้า เจ้าจะทำยังไง?”

เป็นคำพูดที่ฟังไม่เข้าหูจริงๆ เหมียวอี้ทำสีหน้าเคร่งขรึม โบกมือบอกว่า “การวางแผนรอบคอบคิดการณ์ไกลเป็นเรื่องสำหรับคนอย่างหยางชิ่ง ข้าเองก็ไม่มีความสามารถนั้น เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้ามีวิธีการรับมือของข้าเอง!”

เพล้ง! ถ้วยน้ำชาในมืออวิ๋นจือชิวตบลงบนโต๊ะ “เจ้าทำสีหน้าอะไรใส่ข้า? สิ่งที่ข้าพูดไปก็เพราะหวังดีกับเจ้าไม่ใช่เหรอ!”

ไฟโกรธสุมในอกเหมียวอี้แล้ว เขายกมือสองข้าง แล้วกล่าวอย่างค่อนข้างตรงไปตรงมาว่า “งั้นเจ้าจะให้ข้าทำยังไง? จะให้ข้าเชิญเย่สวินเกากลับมาแล้วขอโทษ ก้มหัวยอมรับผิด แล้วแสดงออกว่าข้ายินดีเชื่อฟังเขางั้นเหรอ? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องพวกนี้ข้าสามารถประนีประนอมได้ แต่ข้าไม่ยอมให้เกิดเรื่องจาบจ้วงเบื้องบนกับข้าเด็ดขาด!”

อวิ๋นจือชิวโมโหจนลุกขึ้นยืน เบิกตาโพลงมองเขา แต่จะพูดอะไรตอนนี้ก็สายไปแล้ว เพราะเหมียวอี้ได้ทำไปแล้ว ถ้าตอนนี้ก้มหน้าให้เย่สวินเกาอีกก็ไม่ต่างอะไรกับการสร้างความอัปยศให้ตัวเอง  แบบนั้นก็ไม่มีทางเป็นผู้บัญชาการใหญ่ได้แล้วจริงๆ

โดนเหมียวอี้ทำท่าดุใส่ นางเองก็โมโหเหมือนกัน หันตัวเดินจากไปทันที

เหมียวอี้ที่กระดกน้ำชากรอกปากไปคำหนึ่งชะงักงัน ตะโกนถามว่า “เจ้าจะไปไหน?”

“ไปดูตัวสักหน่อยว่าผู้ชายบ้านไหนดี ถ้าเจ้าโดนเล่นงานจนตายขึ้นมา ข้าจะได้พาพวกอนุภรรยาของเจ้าไปแต่งงานใหม่ได้สะดวก!” อวิ๋นจือชิวหันหลังให้และโบกมือตอบเขา

“…” เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที รู้ว่านางพูดไปเพราะอารมณ์โกรธ

กำลังพลที่ได้รับร้องเรียนให้มาตรวจสอบ หลังจากนั้นไม่กี่วันมาถึงแล้วเช่นกัน พวกเขามากันทั้งหมดสามสิบกว่าคน กระบวนทัพไม่ใช่เล็กๆ เป็นช่วงเวลาที่ตำหนักสวรรค์เปลี่ยนแปลงทิศทางการพัฒนาพอดี การกระทำแบบนี้ของท่านโหวเทียนหยวนก็เพื่อแสดงการเอาจริงเอาจังเช่นกัน

เมื่อกำลังพลมาถึง ติงกุ้ยที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็ไปคำนับฮูหยินของท่านโหวที่ตำหนักคุ้มเมืองก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามาสืบคดีบนอาณาเขตของฮูหยินท่านโหว อย่างน้อยสถานะของฮูหยินของท่านโหวก็เห็นๆ กันอยู่

ที่สวนดอกไม้ด้านหลังของตำหนักคุ้มเมือง เป็นสถานที่ที่ปี้เยว่ฮูหยินมักใช้พบปะแขก ติงกุ้ยกำลังยืนเงียบๆ อยู่ที่นั่น

ผ่านไปครู่เดียว ปี้เยว่ฮูหยินก็อุ้มปีศาจจิ้งจอกสีชมพูออกมา เดินเนิบนาบออกมาโดยมีผู้การสองหลันเซียงและหญิงรับใช้สองคนคอยติดตาม

“ติงกุ้ยคำนับฮูหยิน!” ติงกุ้ยก้มหน้ากุมหมัดคำนับ

“ไม่ต้องมากพิธี!” ปี้เยว่ฮูหยินขานรับพลางนั่งลง จากนั้นหรี่ตายิ้มถามว่า “ติงกุ้ย เจ้ามาไกลขนาดนี้ด้วยธุระอะไร?”

เจ้าเข้าใจดีอยู่แล้วแต่ยังแกล้งโง่ไม่ใช่เหรอ! ติงกุ้ยพำพำในใจ เขาไม่เชื่อหรอกว่าปี้เยว่ฮูหยินจะไม่รู้

แน่นอน ภายนอกเขาก็ยังต้องสุภาพนอบน้อมและอธิบายเรื่องราวให้ฟังอย่างละเอียด

“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ!” ปี้เยว่ฮูหยินทำท่าประหลาดใจ “เป็นไปไม่ได้มั้ง! ข้ารู้จักการวางตัวของผู้บัญชาการใหญ่หนิวดี ไม่ถึงขั้นทำเรื่องแบบนี้หรอก มีอะไรเข้าใจผิดกันหรือเปล่า?”

ติงกุ้ยยิ้มสู้ “ในเมื่อมีคนร้องเรียนแล้ว ท่านโหวก็กำชับลงมาด้วย ตรวจสอบสักหน่อยก็ดีเหมือนกันขอรับ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรจะได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้สะดวก”

“พูดจามีเหตุผล!” ปี้เยว่ฮูหยินพยักหน้า “ข้าเดาว่าคงไม่มีเรื่องอะไรหรอก ไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ป้องกันไม่ให้เรื่องนี้แพร่ออกไปแล้วเกิดผลกระทบไม่ดี ผู้บัญชาการใหญ่หนิวคนนี้เดิมทีควรจะพักอยู่ที่ตำหนักหน้าของตำหนักคุ้มเมือง แต่หญิงชายมิควรอยู่ใกล้ชิดกัน ถึงอย่างไรข้าก็พักอยู่ที่นี่ เพื่อไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัย เขาจึงพักอยู่ที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกมาโดยตลอด…ถ้าพวกเจ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องไปที่จวนผู้บัญชาการเขตมืองตะวันออกแล้ว ไปหาพยานคำพูดจากร้านค้าที่ร้องเรียนให้ชัดเจนก่อน แล้วค่อยสืบสวนหนิวโหย่วเต๋ออีกที ถึงตอนนั้นข้าจะเรียกหนิวโหย่วเต๋อมาที่นี่ พวกเจ้าคิดว่ายังไง?”

เจ้าพูดถึงขนาดนี้แล้วว ข้ายังจะพูดอะไรได้อีก? ติงกุ้ยค่อนข้างพูดไม่ออก ดูจากท่าทีของฮูหยินท่านโหว ชัดเจนมากว่าต้องการจะเข้าข้างลูกน้องตัวเอง! จึงตอบพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ ทันทีว่า “ค่ะ! จัดการตามความประสงค์ของฮูหยินแล้วกัน”

“ดูพูดเข้าสิ จะเรียกว่าจัดการตามความประสงค์ของข้าได้อย่างไร? พวกเจ้าควรจะตรวจสอบอย่างไรก็ตรวจสอบไปเถอะ เรื่องนี้ข้าไม่ไปก้าวก่าย เอาตามนี้แล้วกัน!” ปี้เยว่ฮูหยินพูดจบแล้วยืนขึ้นเดินออกไป

ติงกุ้ยกุมหมัดน้อมส่ง…

ดังนั้น พนักงานสืบคดีจึงรีบไปค้นหาหลักฐานจากร้านค้าที่ร้องเรียน งานยุ่งติดต่อกันหลายวัน ทว่าแม้แต่ประตูบ้านของเป้าหมายหลักที่จะมาสอบสวนลงโทษก็ไม่ได้เข้าไปเลย

ทว่าเรื่องแบบนี้ ต่อให้อยากจะปิดบังก็ปิดบังไม่ไหวเหมือนกัน ภายใต้การจงใจแพร่ข่าวของใครบางคน ข่าวที่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์โดนเบื้องบนตรวจสอบเพราะรับสินบนก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองราวกับพายุฝน ทำให้เกิดข่าวลือต่างๆ ขึ้นมาทันที มีคนไม่น้อยที่จับจ้องที่นี่ รอให้เหมียวอี้ลงจากตำแหน่ง

แม้แต่ในบรรดาทหารสวรรค์ใต้สังกัดเหมียวอี้เอง ก็ยังมีคนไม่น้อยที่ทอดถอนใจด้วยความปลง ถ้าไม่มีอำนาจและภูมิหลังอะไร ก็เป็นเรื่องยากที่จะนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ได้อย่างมั่นคง เกรงว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวคงจะพ้นภัยครั้งนี้ไปได้ยาก

ข่าวลือแพร่ไปถึงหูของสองพี่น้องโอวหยางแล้ว พวกนางก็กังวลมากเช่นกัน วิ่งไปหาอวิ๋นจือชิวอยู่บ่อยครั้ง

แต่เหมียวอี้กลับหลบอยู่ในจวนผู้บัญชาการเขตมืองตะวันออก ไม่ออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง ไม่พบหน้าใครทั้งนั้น

มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานที่ร้อนรนกระวนกระวายมาขอเข้าพบหลายครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธให้อยู่นอกประตูทั้งคู่

หวงฝู่จวินโหรวมาหาหลายครั้ง แต่ก็ถูกกันไว้เช่นกัน

หลังจากนั้นหลายวัน จนกระทั่งตำหนักคุ้มเมืองเรียกพบ เหมียวอี้ถึงได้สวมเกราะรบเหมือนจะไปมีเรื่องกับใคร สวมเกราะม่วงหนึ่งแถบที่ตำหนักสวรรค์มอบให้อย่างดี แต่งเนื้อแต่งตัวเป็นพิเศษ ก้าวออกจากประตูอย่างน่าเกรงขามเพื่อไปที่ตำหนักคุ้มเมือง

พอเข้ามาในตำหนัก แค่มองปราดเดียวเหมียวอี้ก็เห็นเย่สวินเกาที่กำลังจ้องตนด้วยสีหน้าแสยะยิ้ม ทั้งยังมีกลุ่มผู้จัดการร้านคนอื่นๆ ที่ทำท่าเหมือนมาดูตัวตลกด้วย

เหมียวอี้เพียงกวาดมองคนกลุ่มนี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ นับจำนวนคนพวกนี้เอาไว้คร่าวๆ แล้วร่างที่สวมเกราะรบสีม่วงทั้งตัวก็ก้าวยาวเข้าไปที่ตำหนักหลังอย่างมั่นใจในตัวเอง

ในสวนดอกไม้ด้านหลังที่ปี้เยว่ฮูหยินชอบใช้รับแขก เจ้านายกำลังนั่งอุ้มจิ้งจอกสีชมพูอยู่ในศาลา มือข้างหนึ่งกำลังถือพยานคำพูดที่พวกติงกุ้ยไปสืบค้นมา

ส่วนติงกุ้ยก็นำลูกน้องหลายคนยืนอย่างเคร่งขรึมอยู่ด้านข้าง สายเหลือบมองคนที่เดินดุจพยัคฆ์ดุจมังกรมาจากด้านนอก  ถึงแม้จะไม่เคยเห็นหน้ากัน แต่กลับเดาออกแล้วว่าผู้ที่มาเป็นใคร ในใจแอบชื่นชม องอาจผึ่งผาย สมกับเป็นบุคคลที่ได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบ ท่วงท่างดงามจริงๆ!

เหมียวอี้ที่เดินก้าวยาวมาถึงนอกศาลาพลันหยุดเดิน แล้วกุมหมัดคำนับ “ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ของดางเทียนหยวนคำนับท่านแม่ทัพภาค!”

ปี้เยว่ฮูหยินเหลือบตาขึ้นเล็กน้อย สายตาที่เหลือบลงเหลือบขึ้นอีกครั้ง นางมองเหมียวอี้อีกครั้งด้วยความตะลึงงัน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเหมียวอี้ตั้งใจแต่งตัวเต็มยศ ช่างสง่าโดดเด่นจริงๆ เผยพลังอำนาจของผู้บัญชาการใหญ่ออกมาจนหมดอย่างไม่ต้องสงสัย!

แม้แต่จิ้งจอกสีชมพูในอ้อมกอดนางก็ยังเงยหน้าจ้องตาไม่กะพริบ

“แค่กๆ!” ปี้เยว่ฮูหยินไอแห้งๆ “ไม่ต้องมากพิธี! ผู้บัญชาการใหญ่ มีคนฟ้องว่าเจ้าอาศัยอำนาจข่มขู่ขอสินบนกับร้านค้าใหญ่ๆ เจ้ามาดูเองแล้วกัน!”

“ขอรับ!” เหมียวอี้ก้าวยาวเข้ามาในศาลาทันที ใช้สองมือรับแผ่นหยก ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอ่าน ขณะที่ดูคำให้การแต่ละฉบับคร่าวๆ ก็จดจำชื่อร้านค้าต่างๆ เอาไว้เช่นกัน มีทั้งหมดสิบหกร้าน!

ติงกุ้ยที่อยู่ข้างๆ พูดไม่ออกมาก มีอย่างที่ไหนกันที่เอาคำให้การของพยานมาให้ผู้ต้องสงสัยที่ต้องโดนสอบสวนอ่านล่วงหน้า ตอนหลังยังจะสอบสวนอะไรได้อีก? แต่ปี้เยว่ฮูหยินดึงดันจะทำอย่างนี้ เขาจะทำอย่างไรได้อีก?

หลังจากอ่านเสร็จ เหมียวอี้ก็ใช้สองมือวางแผ่นหยกลงบนโต๊ะ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เป็นการใส่ร้ายทั้งนั้น ไม่มีเรื่องแบบนี้เลยจริงๆ!”

ตอนนี้ปี้เยว่ฮูหยินถึงได้บอกติงกุ้ยว่า “เจ้าต้องการจะซักถามแบบต่อหน้าไม่ใช่เหรอ? เรียกผู้จัดการของร้านค้าเหล่านั้นมาสิ ข้าจะคอยดูอยู่ตรงนี้ จะไม่พูดอะไรทั้งนั้น”

“รัขอรับ!” ติงกุ้ยเอ่ยรับ หลังจากเก็บแผ่นหยกที่อยู่บนโต๊ะ ก็เอียงศีรษะให้สัญญาณลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างๆ ทันที

ผ่านไปไม่นาน เย่สวินเการวมทั้งผู้จัดการทั้งสิบหกร้านก็เข้ามาพร้อมกัน มายืนคำนับพร้อมกัน “ผู้น้อยคำนับท่านแม่ทัพภาค คำนับผู้ตรวจสอบติง!”

ปี้เยว่ฮูหยินหรี่ตายิ้มพลางโบกมือ “ไม่ต้องมากพิธี! ติงกุ้ย เริ่มเลยสิ”

ติงกุ้ยพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ถือแผ่นหยกพร้อมจ้องเหมียวอี้ “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว! ร้านค้าในสังกัดของเจ้าร้องเรียน ว่าหลังจากเจ้าได้ขึ้นรับตำแหน่ง ก็ข่มขู่กดดันให้ร้านค้าใหญ่ๆ ติดสินบนเจ้า มีเรื่องแบบนี้หรือเปล่า?”

“ไม่มีเรื่องแบบนี้จริงๆ เป็นการใส่ร้ายป้ายสีทั้งนั้น!” เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบ

เขาถูกใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรมจริงๆ ถึงแม้เขาจะรับของขวัญไว้ แต่ไม่ได้กดดันให้ร้านค้าใหญ่ๆ ติดสินบนแน่นอน

ติงกุ้ยอ่านเนื้อหาในแผ่นหยก แล้วเอียงหน้ามองผู้จัดการร้านทุกคนที่ยืนอยู่นอกศาลา “ผู้จัดการร้านหวง หวงลี่สิ้ง ผู้บัญชาการใหญ่หนิวไม่ยอมรับเรื่องนี้ เจ้ามีอะไรจะพูดมั้ย?”

ชายชราอ้วนที่สวมชุดสีเหลืองทั้งตัวลุกขึ้นยืน กุมหมัดคารวะกล่าว่า “ท่านผู้ตรวจสอบ ผู้บัญชาการใหญ่หนิวกำลังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ…”

ยังพูดไม่ทันจบ เหมียวอี้ก็ตะคอกตัดบทแล้วว่า “โจรเฒ่า! อย่ามาพูดจาซี้ซั้วเรื่อยเปื่อย ถ้าอยากจะใส่ร้ายข้าก็ต้องหาหลักฐานมา ข้าจะยอมให้เจ้าใส่ร้ายป้ายสีปากเปล่าตามอำเภอใจได้อย่างไร!”

เขาอ่านคำให้การล่วงหน้าแล้ว รู้ว่าคนพวกนี้ไม่มีหลักฐาน ส่วนของที่นำมามอบให้เขา เขาก็เอาไปซ่อนไว้ตั้งนานแล้วด้วย ในเมื่อหาหลักฐานไม่ได้ เขาก็ย่อมมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม

ติงกุ้ยกวาดสายตาเย็นเยียบ แอบด่าในใจว่า นี่เจ้าหรือข้ากันแน่ที่เป็นคนสอบสวน?

แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่มีปี้เยว่ฮูหยินอยู่ด้วย ทั้งยังแสดงออกชัดเจนว่าลำเอียง เขาจึงไม่สะดวกจะพูดอะไร ทำได้เพียงถามตามไปว่า “หวงลี่สิ้ง เจ้ามีหลักฐานหรือเปล่า?”

1069


 อำนาจในการดูหมิ่น

หวงลี่สิ้งกุมหมัดคารวะทันที “ท่านผู้ตรวจสอบ ตอนแรกที่โดนบังคับให้มอบของขวัญ คนงานในร้านค้าของข้าก็ไปด้วยกัน พวกเขาสามารถเป็นพยานได้”

ปรากฏว่าเหมียวอี้พูดแทรกขึ้นมาโดยไม่รอให้ถาม “ล้อเล่นอะไรของเจ้า? ให้คนงานในร้านเจ้ามาเป็นพยานงั้นเหรอ? งั้นใต้สังกัดข้าก็สามารถเรียกกำลังพลนับร้อยมาเป็นพยานได้เหมือนกันว่าข้าไม่ได้รับของจากเจ้า จะแข่งกันมั้ยล่ะว่าพยานของใครเยอะกว่า?”

ติงกุ้ยรู้สึกนิดหน่อยว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน ในใจกลัดกลุ้มอยู่บ้าง ถามเสียงเรียบว่า “หวงลี่สิ้ง มีพยานคนอื่นอีกหรือเปล่า?”

“ท่านผู้ตรวจสอบ ผู้บัญชาการใหญ่กำลังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ” หวงลี่สิ้งกล่าว

ในขณะนี้เอง เย่สวินเกาก็ก้าวขึ้นมากุมหมัดพร้อมกล่าวว่า “ท่านผู้ตรวจสอบ สามารถทำการตรวจค้นผู้บัญชาการใหญ่ได้ขอรับ! ตอนแรกที่โดนเขาบังคับให้มอบสินบน ด้วยความโมโหชั่ววูบของข้า ข้าจงใจประทับตราไว้บนของขวัญที่มอบให้เขา ขอเพียงตรวจค้นเจอสิ่งของ ก็จะใช้เป็นหลักฐานที่แน่นหนาได้!”

เหมียวอี้กวาดสายตาเย็นเยียบมองมาทันที รู้สึกแค้นจนกัดฟันกรอดนิดหน่อย เจ้าชาติสุนัขนี่มันเตรียมแผนสำรองไว้สู้กับข้าตั้งแต่แรกแล้ว เดี๋ยวพวกเรามาคอยดูกัน!

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ไม่ว่าจะเป็นติงกุ้ยหรือปี้เยว่ฮูหยิน ต่างก็ขมวดคิ้วทันที ไม่มีขุนนางตำหนักสวรรค์คนไหนชอบคนประเภทนี้ ถ้าเจอคนประเภทนี้มามอบของขวัญให้ จะไม่เป็นการโดนวางกับดักให้อยู่ในอันตรายตลอดเวลาหรอกเหรอ

ติงกุ้ยมองเหมียวอี้ “ผู้บัญชาการใหญ่กล้ารับการตรวจค้นนี้หรือไม่!”

“ถ้าค้นบนตัวข้าแล้วไม่เจอของที่เจ้าบอก เจ้าจะทำอย่างไรล่ะ?” เหมียวอี้ถามเย่สวินเกา

“ถ้าของไม่ได้อยู่บนตัว บางทีก็อาจจะซ่อนไว้ที่จวนผู้บัญชาการก็ได้” เย่สวินเกาตอบ

เขาเองก็ไม่หวังว่าจะค้นเจอของอะไรบนตัวเหมียวอี้ แล้วก็ไม่ได้เล่นตุกติกอะไรบนสิ่งของด้วย เขาจะกล้าทำเรื่องต้องห้ามแบบนี้ได้อย่างไรกัน นี่เป็นเพียงการล้อเหมียวอี้เล่นเท่านั้น ขอเพียงเหมียวอี้ถูกค้นตัว หรือจวนผู้บัญชาการถูกค้นทั่วทุกซอกทุกมุม ไม่นานข่าวก็จะแพร่จนคนรู้กันทั้งตลาดสวรรค์ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือต้องการทำให้เหมียวอี้ดูแย่

ทว่าเหมียวอี้เอาแต่จ้องเขา “ถ้าค้นไม่เจออะไร เจ้าควรจะรับผิดชอบยังไง?”

เย่สวินเกากุมหมัดคารวะติงกุ้ย “ถึงตอนนั้นแล้วแต่ท่านผู้ตรวจสอบจะจัดการ!”

เขาไม่มีอะไรให้กลัว อาศัยภูมิหลังของเขา เดี๋ยวกลับไปก็มีคนคุยให้ เขาเชื่อว่าติงกุ้ยก็ไม่กล้าทำอะไรเขาเช่นกัน

ที่จริงก็ไม่ใช่แค่เขา ผู้จัดการร้านกลุ่มนี้ไม่มีใครที่หวาดกลัวเลย ทั้งหมดล้วนมีอำนาจที่แข็งแกร่งหนุนหลัง ไม่อย่างนั้นจะกล้าต่อกรกับบุคคลสำคัญอันดับหนึ่งของตลาดสวรรค์ได้อย่างไร ถ้าเปลี่ยนเป็นโค่วเหวินหลานก็คงไม่มีทางเกิดสถานการณ์แบบนี้ หรือพูดอีกอย่างก็คือ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ถ้าไม่เลือกคนที่มีภูมิหลังมานั่งตำแหน่งนี้ ก็ไม่มีทางคุมร้านค้าทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ได้เลย ต่อให้เป็นบุคคลที่เก่งกาจกว่านี้ แต่ก็ทนไม่ไหวหากมีพวกชนชั้นสูงร่วมมือกันรังแกอยู่เบื้องหลัง

ที่อวิ๋นจือชิวบอกว่าเหมียวอี้ก็ใช่ว่าจะมี่มเหตุผล เรื่องราวปรากฏอย่างชัดแจ้งอยู่แล้ว เหมียวอี้ไม่สามารถต้านทานชนชั้นสูงมากมายขนาดนี้ไหวเลย!

ปี้เยว่ฮูหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย นางนับว่าดูออกแล้ว ว่าทาสของบุคคลที่มีอำนาจอิทธิพลพวกนี้ไม่เห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตาเลย นางสามารถจินตนาการได้เลย ว่าต่อให้เหมียวอี้จะผ่านด่านนี้ไปได้ แต่ชีวิตที่ตลาดสวรรค์ต่อจากนี้ก็เกรงจะมีปัญหาเข้ามาพัวพันไม่หยุด ยากที่จะทำอะไรได้!

ต้องทราบไว้ว่าหากอำนาจที่หนุนหลังคนพวกนี้ร่วมมือกันขึ้นมา แม้แต่นางเองก็ยังต้องหลีกทางให้! ตอนนี้นางนึกเสียใจทีหลังนิดหน่อยที่ให้เหมียวอี้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ เป็นเพราะตอนแรกนางนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะแข็งข้อกับคนกลุ่มนี้ ไม่อย่างนั้นการที่มีนางหนุนหลังให้ ก็ใช่ว่าเหมียวอี้จะเป็นผู้บัญชาการใหญ่ต่อไปไม่ได้!

แต่มีหรือที่เหมียวอี้จะยอมให้อีกฝ่ายสมดังใจ กุมหมัดคารวะติงกุ้ยเช่นกัน “ถึงตอนนั้นถ้าตรวจค้นแล้วไม่เจออะไร ก็ไม่ต้องรบกวนท่านผู้ตรวจสอบหรอก ส่งประชาชนเจ้าเล่ห์นี่มาให้ข้าน้อยจัดการก็พอแล้ว!”

ล้อเล่นอะไรกัน ถ้าส่งให้เจ้าจัดการจะไม่เป็นการหาเหาใส่หัวข้าหรอกเหรอ! เย่สวินเกาโต้กลับทันที “ผู้บัญชาการใหญ่ เจ้าพูดแบบนี้มันน่าสงสัยนะว่าเจ้าทำเกินหน้าที่ ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ถูกสอบสวน ก็ควรจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัย ไม่อย่างนั้นใครจะไปรู้ว่าเจ้าจะอาศัยอำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัวหรือเปล่า!”

อาศัยอำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัว? เหมียวอี้แสยะยิ้มในใจ เจ้าก็กลัวการอาศัยอำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัวเหมือนกันเหรอ? เขาบอกว่า “จากความหมายที่เจ้าสื่อ ประชาชนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าสามารถเหยียบย่ำขุนนางผู้นี้ได้ตามใจชอบ แต่ขุนนางตำหนักสวรรค์อย่างข้ากลับทำอะไรเข้าไม่ได้งั้นเหรอ?”

“ข่าไม่ได้พูดอย่างนั้นเสียหน่อย เหตุใดผู้บัญชาการใหญ่ต้องสาดโคลนใส่ตัวข้า!” เย่สวินเกากล่าวกลั้วหัวเราะ

เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก “ถ้าตรวจค้นเจอว่าข้ามีปัญหาจริงๆ หนิวคนนี้ก็จะยอมรับบทลงโทษทุกอย่าง แต่ถ้าตรวจไม่พบว่าข้ามีปัญหา ข้าก็จะเอาหัวเจ้า! เย่สวินเกา ในเมื่อเจ้าแน่ใจแล้วว่าจะค้นเจอของ เจ้ากล้าตอบตกลงมั้ยล่ะ!”

เย่สวินเกาจะยอมเดิมพันแบบนี้ได้อย่างไรกัน ขนาดคนโง่ยังรู้เลยว่าจะค้นไม่เจออะไรบนตัวเหมียวอี้ จึงกุมหมัดบอกติงกุ้ยว่า “ท่านผู้ตรวจสอบ ขอบังอาจถามสักคำ นี่ท่านกำลังสืบคดี หรือว่าผู้บัญชาการใหญ่ที่ถูกสอบสวนเป็นคนสืบคดี?” พูดจบก็หันไปมองคนที่อยู่ข้างหลังทางซ้ายและขวา

ผู้จัดการร้านสิบกว่าคนกุมหมัดขานรับพร้อมกันทันที “ท่านผู้ตรวจสอบได้โปรดตัดสินอย่างยุติธรรม!” พวกเขากำลังเป็นตัวแทนอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเพื่อรวมตัวกันกดดันติงกุ้ย

“พอแล้ว! เถียงอะไรกันนักหนา!” ปี้เยว่ฮูหยินตบโต๊ะยืนขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ไม่ยอมให้พ่อค้าพวกนี้มาล้มคนที่นางเลื่อนตำแหน่งขึ้นมากับมือต่อหน้าต่อตานาง เพิ่งจะขึ้นรับตำแหน่งได้ไม่นาน ต่อให้โดนกดดันจนต้องดึงเหมียวอี้ลงจากตำแหน่ง แต่ก็ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ท่านโหวเทียนหยวนสามีนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน “ติงกุ้ย! ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ให้ความสำคัญกบหลักฐานทั้งนั้น ถ้ามีหลักฐานควรจะทำอย่างไรก็ทำไปเถอะ ถ้าไม่มีหลักฐานก็ถือโอกาสจบเรื่องเสียแต่เนิ่นๆ อย่ามายืดเยื้ออยู่ที่นี่!”

“ขอรับ!” ติงกุ้ยขานรับด้วยความเคารพ

คดีนี้ไม่มีทางสืบต่อได้แล้ว ถามพวกพ่อค้าว่ามีหลักฐานหรือไม่ ปากหลายปากก็ย่อมละลายทองได้ พอถามเหมียวอี้ เหมียวอี้ก็ปากแข็งไม่ยอมรับ แบบนี้ใครถูกใครผิดล่ะ?

ติงกุ้ยไม่รู้จะไปซ้ายดีหรือจะไปขวาดี เจ้าบอกว่าถ้าไม่มีหลักฐานก็แปลว่าคนพวกนี้ใส่ร้าย แต่เขาก็ไปมีเรื่องกับอำนาจที่หนุนหลังคนพวกนี้ไม่ไหว แถมฝั่งเหมียวอี้ก็มีปี้เยว่ฮูหยินคุ้มครองอีก เขาเป็นลูกน้องของท่านโหวเทียนหยวน มีหรือที่จะทำให้ปี้เยว่ฮูหยินไม่พอใจ

สุดท้าย เจ้าบ้านี่ก็ไม่ล่วงเกินใครทั้งนั้น ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า “สืบไม่เจอหลักฐานที่น่าเชื่อถือ รอขอคำชี้แนะจากเบื้องบนก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”

บทสรุปนี้ทำให้กลุ่มพ่อค้าประท้วงทันที

ติงกุ้ยกลับไม่อยากตกอยู่ในวังวนนี้อีก กล่าวอำลาปี้เยว่ฮูหยินเสียตรงนั้นเลย บอกว่าต้องกลับไปรายงานผลการปฏิบัติงาน! นำคนหนีออกไปทันที ไม่อยากอยู่ต่อแม้เพียงครู่เดียว!

รอจนกระทั่งกลุ่มพ่อค้าที่กระฟัดกระเฟียดออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะปี้เยว่ฮูหยินทันที “ขอบคุณที่ฮูหยินดูแล!”

ปี้เยว่ฮูหยินเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี บอกเพียงว่า “เจ้าจัดการเรื่องของตัวเองให้ดีเถอะ!” นางเดาว่ากลุ่มพ่อค้าพวกนั้นไม่หยุดแค่นี้แน่ ถ้าอำนาจที่หนุนหลังมากมายขนาดนั้นร่วมมือกันขึ้นมา แม้แต่นางเองก็ปกป้องเหมียวอี้ไม่ไหวเช่นกัน นางถอนหายใจ แล้วนำคนหันตัวเดินจากไป

พอออกจากตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้ถึงได้พบว่ากลุ่มพ่อค้ายังไม่ไป แต่ยังรอเขาอยู่นอกตำหนักคุ้มเมือง เย่สวินเกาแสยะยิ้มใส่เขาแล้วบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ การแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ไม่ใช่แผนที่ยั่งยืนหรอกนะ ขุนนางระดับเจ้าน่ะ พวกเราเห็นมาเยอะแล้ว แต่ไม่เคยเห็นใครอ่านสถานการณ์ไม่ออกอย่างเจ้ามาก่อนเลย! ข้าขอแนะนำสักคำ อย่านึกว่ามีปี้เยว่ฮูหยินหนุนหลังแล้วจะทำอะไรตามใจชอบได้ นี่เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อย ละครดีๆ ยังอยู่ตอนท้าย ก้มหน้าสักครั้ง อ่อนน้อมสักครั้ง บางทีกลับไปทุกคนอาจจะพบว่าที่แท้แล้วนี่คือการเข้าใจผิดกันก็ได้  เรื่องนี้ก็จะผ่านไปเหมือนกัน แบบนี้จะดีกับเจ้ากับข้าแล้วก็ดีกับทุกคน ในเมื่อเป็นเรื่องน่ายินดีแบบนี้ แล้วทำไมยังไม่ทำ!”

เหมียวอี้ยังทำสีหน้าเรียบเฉย ไม่เถียงอะไรสักคำ ไม่มองพวกเขาแม้แต่หางตาด้วยซ้ำ เหาะขึ้นฟ้าไปโดยตรงเลย

“ถุย! ยังอวดดีซะด้วย สงสัยถ้าไม่เห็นโลงศพคงไม่หลั่งน้ำตา!” มีบางคนพูดเหน็บแนม

บางคนก็บอกว่า “ชัดเจนว่าเรื่องนี้มีปี้เยว่ฮูหยินหนุนหลัง อีกฝ่ายไม่เกรงกลัวอะไรเพราะมีคนหนุนหลัง!”

หวงลี่สิ้งหันกลับมามองที่ตำหนักคุ้มเมือง แล้วพูดดูถูกว่า “พวกเราแค่ไม่อยากทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเกินไปเฉยๆ หรอก! ไม่อย่างนั้นก็มีทางจัดการกับเขาอยู่แล้ว ถ้ายังไม่รู้จักอ่านสถานการณ์อีก นางช่วยเหลือหนิวโหย่วเต๋อสุดกำลังแบบนี้ ถ้าเป็นเหมือนเฉาว่านเสียงกับมู่หรงซิงหัวขึ้นมา ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ถ้ามีข่าวสกปรกอะไรแพร่ออกไป งั้นก็จะมาโทษพวกเราไม่ได้แล้วนะ!”

มีบางคนหลุดขำ “นางเองก็ต้องการศักดิ์ศรีหน้าตาเหมือนกัน ไม่ว่ายังไงก็ต้องปกป้องไว้สักหน่อย ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนเลื่อนขั้นให้เองต่อหน้าฝูงชน เกรงว่าภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้นางจะยังไม่ยอมให้หนิวโหย่วเต๋อลงจากตำแหน่งหรอก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการตบหน้าตัวเอง!”

เย่สวินเกาแสยะยิ้มอีก “ช่างเถอะ! ถ้าไปทำให้ท่านโหวเทียนหยวนไม่พอใจจริงๆ มันก็อาจจะยุ่งยากอยู่บ้าง พวกเราว่ากันไปตามสถานการณ์ก็แล้วกัน ทำให้หนิวโหย่วเต๋อนั่นรู้ตัวก่อนว่าตัวเองเป็นใคร ไม่อย่างนั้น ค้างคาวที่เอาขนไก่มาเสียบบนตัวมันจะหลงนึกว่าตัวเองเป็นนกไปแล้วจริงๆ! ทุกคนไปติดต่อให้ทั่ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้ร้านค้าเล็กใหญ่ทั้งตลาดสวรรค์หยุดให้ผลประโยชน์และมอบของขวัญแสดงความกตัญญูให้กับทหารชั้นต่ำพวกนั้น ถ้าใครกล้าไม่ยืนฝั่งเดียวกับพวกเรา พวกเราก็จะทำให้มันไม่มีที่ยื่นในตลาดสวรรค์ รอให้ป่วนจนลูกน้องหนิวโหย่วเต๋อพากันบ่นร้องเรียน รอให้ทุกคนเอาใจออกห่างเขาหมด รอให้ลูกน้องของเขามาฟ้องร้องร่วมกับพวกเรา เมื่อไม่มีใครกล้าสนับสนุนเขา เจ้าว่าเขาจะยังเป็นผู้บัญชาการใหญ่ได้มั้ยล่ะ? ถ้าไม่มีหนังเสือนี้คลุมแล้ว พวกเราค่อยทำให้เขาทรมานจนอยากตาย!”

“ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็กุมอำนาจไว้มาก การที่พวกเราทำแบบนี้ ถ้าไปยั่วโมโหจนเขาจงใจหาโอกาสก่อเรื่องจะทำยังไงล่ะ?” บางคนถามอย่างกังวล

“ถ้ากล้าก่อเรื่อง นั่นจะไม่เป็นการนำหลักฐานมาส่งถึงมือพวกเราหรอกเหรอ!” หวงลี่สิ้งยิ้มตอบ

กลุ่มพ่อค้าพยักหน้าเห็นด้วยทันที ต่างก็รู้สึกว่าวิธีการนี้ไม่เลว เรียกได้ว่าปรึกษาเรื่องจัดการผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ที่นอกตำหนักคุ้มเมืองกันอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง จะไม่บอกว่ากำเริบเสิบสานก็ไม่ได้ แต่ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อมีเงินและมีอำนาจในระดับหนึ่ง หลังจากคิดว่าตัวเองใหญ่ขึ้นแล้ว ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องการอำนาจในการดูหมิ่นกฏหมาย เป็นผู้กุมอำนาจที่อยากควบคุมและโอ้อวด เพื่อเติมเต็มความทะยานอยากของตัวเอง!

“ผู้บัญชาการใหญ่ เรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง?”

เมื่อถูกเรียกพบ สวีถังหรานที่มาถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกและเห็นเหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างร้อนใจ

เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว สวีถังหรานก็รู้เช่นกัน มีคนอยากได้ตำแหน่งผู้บัญชาการที่ตลาดสวรรค์ จึงเกิดความขัดแย้งกับเหมียวอี้ กำลังจงใจเล่นงานเหมียวอี้

เขาก็กังวลใจเหมือนกัน! เพราะเขาไม่มีภูมิหลังอะไรเหมือนกัน! ถ้าเหมียวอี้ถูกถอดจากตำแหน่งขึ้นมา ตำแหน่งของเขาก็คงจะอยู่ได้ไม่นานเหมือนกัน สง่าราศีที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งก็ไม่อาจใช้ได้ผลตลอดไป โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับผู้มีอำนาจกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ นั่นเป็นพวกที่แม้แต่ราชันสวรรค์ก็ยังต้องปวดหัว แล้วเขาจะต่อต้านได้อย่างไร ย่อมต้องร้อนใจอยู่แล้ว!

เหมียวอี้ถอดเกราะรบแล้ว นั่งดื่มน้ำชาอยู่ในศาลาอย่างปลอยภัยไร้กังวล ตอบอย่างสบายใจว่า “มีปี้เยว่ฮูหยินอยู่ด้วย ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก สืบไม่เจอหลักฐานที่น่าเชื่อถือ คนตรวจสอบก็ไปแล้ว”

“ผู้บัญชาการใหญ่ เรื่องนี้ไม่ได้จบง่ายๆ ขนาดนั้น ท่านอย่าไปมองนะว่ายามปกติเจ้าพวกนั้นมันสุภาพเกรงใจและเคารพเชื่อฟัง ถ้าไม่ได้ผลประโยชน์ที่ต้องการ พวกนั้นจะยอมเลิกราง่ายๆ ได้ยังไง!” สวีถังหรานกล่าวอย่างร้อนใจมาก

“จำเป็นต้องให้เจ้าเตือนด้วยเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลับ

“ใช่ขอรับ!” สวีถังหรานรีบพยักหน้า “งั้นผู้บัญชาการใหญ่มีวิธีการรับมือแล้วเหรอ?” หลังจากผ่านเรื่องราวพร้อมกับเหมียวอี้มาหลายครั้ง ในตอนนี้เขายังมีความหวังสุดท้ายกับเหมียวอี้อยู่

เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้เป่าเหลียน เป่าเหลียนที่กำลังทำสีหน้ากังวลเข้าใจว่าเขาต้องการจะคุยธุระส่วนตัว จึงถอยออกไปทันที!

จากนั้นเหมียวอี้ก็นำขวดผลึกใสใบเล็กที่บรรจุของเหลวสีดำออกมา เป็น ‘ความปรารถนาร้าย’ ที่สวีถังหรานนำมาตบตาเขาครั้งก่อน เขาวางมันบนโต๊ะแล้วถามว่า “ของสิ่งนี้เจ้าหามาจากไหน? ปกติเจ้ารวบรวมไว้หลังจากใช้ลูกแก้วพลังปรารถนา?”

1070

เพิ่มรายชื่อเข้าไปอีก

ยังจะเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกทำไม?

สวีถังหรานที่ทำสีหน้าไม่ถูกรู้สึกอับอายนิดหน่อย แต่หลังจากที่เสียเปรียบเพราะเหมียวอี้มาครั้งแล้วครั้งเล่า คิดไปคิดมาก็ไม่กล้าปิดบัง เพราะไม่รู้ว่าเหมียวอี้รู้มากน้อยแค่ไหน กลัวว่าถ้าโดนเปิดโปงจะยิ่งซวยกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็รู้สึกว่าเหมียวอี้ไม่น่าจะมาคิดบัญชีนี้กับตนในเวลานี้

หลังจากไตร่ตรองแล้ว สวีถังหรานก็ยิ้มแห้ง “ที่ตัวเองสะสมไว้ตอนฝึกตน ข้าจะกล้านำออกมาเสียที่ไหนกัน ตำหนักสวรรค์สั่งห้ามไม่ให้มีไว้ในครอบครอง เดี๋ยวตอนหลังจะไม่มีทางอธิบายได้ ของแบบนี้ตำหนักสวรรค์จะรับซื้อไว้ หลังจากใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาเสร็จแล้ว มักจะมีคนนำมันไปขายในจุดที่ตลาดสวรรค์กำหนดให้ ซักถามตตรงประตูเมืองนิดหน่อยก็รู้แล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าเห็นมีคนทำตัวเหมือนโจร ตอนสอบสวนจึงถือโอกาสสกัดยึดเอาไว้ ลืมไปชั่วขณะจึงไม่ได้ส่งมอบขึ้นมาให้”

ได้! ไม่ต้องถามเหมียวอี้ก็รู้เหมือนกัน เจ้าคนที่ถูกเรียกว่า ‘ทำตัวเหมือนโจร’ เมื่อเจอคนใจดำอำมหิตอย่างสวีถังหราน ก็เป็นไปได้สูงว่าจะไม่มีชีวิตเหลืออยู่แล้ว เกรงว่าของที่ ‘ลืมไปชั่วขณะจึงไม่ได้ส่งมอบขึ้นมาให้’ ก็คงไม่ได้มีแค่สิ่งนี้เหมือนกัน

แต่นี่ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนี้ เหมียวอี้ชี้ไปยัง ‘ความปรารถนาร้าย’ ที่วางอยู่บนโต๊ะ “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะใช้วิธีการอะไร ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน เจ้าหามาให้ข้าอีกสิบหกชุด! จำไว้นะ จัดการเรื่องนี้ให้เชื่อถือได้หน่อย อย่าเผยพิรุธให้ใครรู้ว่าเจ้าเป็นคนนำของสิ่งนี้มา!”

“สิบหกชุด?” สวีถังหรานถามอย่างระแวงสงสัย “ผู้บัญชาการใหญ่ มันมากไปหน่อยหรือเปล่า นี่ถ้ามีข่าวหลุดออกไป มันจะเกิดปัญหาใหญ่ได้นะ! ผู้บัญชาการใหญ่ ท่าจะต้องการเยอะขนาดนั้นไปทำไม? ของแบบนี้ต่อให้ใส่เข้าไปในอาวุธ แต่ก็ไม่กล้านำออกมาใช้อยู่ดี! ไม่อย่างนั้นตำหนักสวรรค์ไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่!”

เหมียวอี้กวักมือเรียก ให้เขาเอาหูเข้ามาใกล้ๆ แล้วถ่ายทอดเสียงกระซิบบอกไม่กี่ประโยค

“หา!” หลังจากสวีถังหรานได้ฟัง ก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด “เอ่อ…นี่มันไม่เหมาะสมมั้ง! ภูมิหลังของสิบหกร้านนั้นก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าอยากจะใช้วิธีปั้นเรื่องใส่ร้ายไปสู้ก็เกรงว่าจะไม่ง่าย เบื้องหลังจะต้องมีคนกระโดดออกมาชี้แจงเหตุผลให้แน่นอน ดีไม่ดีความซวยอาจจะตกมาอยู่ที่พวกเราด้วยซ้ำ”

เหมียวอี้พยักหน้า “เจ้าไม่ทำใช่มั้ย? ได้! ทำไมพวกเขาถึงมาหาเรื่องข้า ข้าไม่เชื่อหรอกว่าตอนนี้เจ้าจะไม่รู้สาเหตุ ข้าแตกคอกับพวกเขาก็เพื่อเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ทำ สงสัยข้าจะทำดีแต่กลับไม่ได้รับผลดีตอบ ก็ได้ ขนาดเจ้ายังไม่อยากได้ตำแหน่งนี้เลย แล้วข้ายังจะมีอะไรต้องพูดอีกล่ะ” เขาชี้ที่กำไลเก็บสมบัติบนมือสวีถังหราน “นำของที่สมควรต้องส่งมอบออกมาเถอะ สละตำแหน่งของเจ้าซะ ข้าจะได้ไปเจรจากับพวกเขา”

“ข้า…” สวีถังหรานทำสีหน้าขื่นขม กุมหมัดกล่าวว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนี้ เพียงแต่อยากขอให้ผู้บัญชาการใหญ่ไตร่ตรองถึงผลที่จะตามมาให้ดี ทำแบบนี้ไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อพวกเขาเลย พวกเขากระดูกแข็งเกินไป ใช้วิธีการนี้กัดไม่เข้าหรอก ถ้าเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมา พวกเราจะต้องซวยมากแน่นอน!”

เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่แยแส “ไม่กลัวว่าเรื่องราวจะใหญ่โตหรอก กลัวก็แต่เรื่องราวจะไม่ใหญ่โต ต้องใหญ่โตจนราชันสวรรค์รู้สิถึงจะดี ไม่อย่างนั้นใครจะยอมล่วงเกินชนชั้นสูงมากมายไปฟ้องราชันสวรรค์เพื่อตัวละครเล็กๆ อย่างพวกเราล่ะ? ต่อให้ไปขอร้องโค่วเหวินหลาน แต่ตระกูลโค่วก็ไม่ล่วงเกินคนมากมายขนาดนั้นเพื่อพวกเราหรอก”

สวีถังหรานชะงักทันที เอามือลูบคางทำท่าทางครุ่นคิด แล้วลองถามอีกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ทำแบบนี้จะได้ผลเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจหรอกว่าจะได้ผลหรือไม่ได้ผล ต่อให้ไม่ได้ผล ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาเจ้าก็ต้องซวยอยู่ดี เจ้าอยากจะทิ้งโอกาสสุดท้ายในการพลิกสถานะเหรอ? เจ้าเคยคิดถึงผลที่ตามมาหลังจากสูญเสียอำนาจไปหรือเปล่า? เจ้าอยู่ที่ตำหนักสวรรค์มานานขนาดนี้ คงเห็นภาพสุนัขจมน้ำโดนเหยียบมาไม่น้อยหรอกมั้ง? แล้วอีกอย่าง ถ้าเกิดเรื่องขึ้นคนที่ซวยคนแรกก็คือข้า ข้าจะเอาชิตตัวเองมาล้อเล่นเหรอ?”

สวีถังหรานแวบตาวูบไหวอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็กัดฟัน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว ยอมทุ่มสุดตัวแล้ว กุมหมัดตอบว่า “ผู้บัญชาการใหญ่วางใจได้ ไม่ต้องใช้เวลาสามวันหรอก ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยภายในครึ่งวัน!”

เหมียวอี้อึ้งอยู่บ้าง ยังกังวลว่าให้เวลาเขาสามวันแล้วจะไม่พอ ดังนั้นจึงออกคำสั่งเด็ดขาดว่าให้เวลาเขาเพียงสามวัน ใครจะคิดว่าเจ้าชาติสุนัขจะรับประกันว่าจะจัดการได้ภายในครึ่งวัน สงสัยเจ้าเวรนี่จะมีประสบการณ์ในการทำเรื่องแบบนี้จริงๆ! แต่ก็ยังต้องเตือนอีกครั้งว่า “เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ ทำให้เชื่อถือได้หน่อย อย่าให้อุดปากถ้ำฝั่งนี้แล้วมีโพรงถ้ำฝั่งโน้นโผล่ออกมาอีก จะอุดก็อุดไม่ไหว ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ระวังว่าข้าจะเอาหัวเจ้าไปอุดแทน”

“ข้าน้อยรู้ชัดอยู่แก่ใจ ผู้บัญชาการใหญ่รอข่าวดีจากข้าได้เลย!” สวีถังหรานพูดจบแล้วเดินออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว

เหมียวอี้แอบเดาะลิ้นหลายครั้ง ตอนนี้พอมาลองคิดถึงคำพูดอวิ๋นจือชิวแล้ว ถึงแม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไร แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำพูดของอวิ๋นจือชิวมีเหตุผลอยู่หลายส่วน เก็บพวกพวกลักเล็กขโมยน้อยไว้ข้างกายก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป เห็นได้ชัดว่าสวีถังหรานเหมาะสมที่จะทำเรื่องน่าไม่อายแบบนี้ที่สุด อีกฝ่ายมีประสบการณ์โชกโชน นอกจากง่ายดายสบายมือแล้ว เวลาทำขึ้นมาก็ไม่รู้สึกหนักใจด้วย นี่คือการใช้ประโยชน์ได้ในเวลาที่จำเป็น!

จากนั้น เหมียวอี้ก็รีบเรียกฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋มาร่วมกันวางแผนลับ การเตรียมตัวถอยกลับพิภพเล็กหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นคือสิ่งที่ขาดไม่ได้

หลังจากวางแผนลับเสร็จแล้ว สำหรับเรื่องที่เหมียวอี้ดึงดันจะทำให้ได้ ทั้งสองค่อนข้างจนใจ เดิมทีทั้งสองเตรียมจะสละตำแหน่งตัวเองแล้ว ถอยหนึ่งก้าวเพื่อให้เรื่องราวราบรื่น ในภายหลังยังมีโอกาส แต่เหมียวอี้ไม่ยอมถอยแม้แต่นิดเดียว จะประลองกับกลุ่มพ่อค้าพวกนั้นให้ได้ จะพิสูจน์ให้ได้ว่าใครมีอำนาจตัดสินใจที่ตลาดสวรรค์ ทั้งสองจึงทำได้เพียงให้ความร่วมมือ

เมื่อคิดหน้าคิดหลังแล้ว อิงอู๋ตี๋ก็กล่าวอย่างกังวลอยู่บ้างว่า “ให้สวีถังหรานไปทำเรื่องนี้ เขาจะไม่ทำข่าวหลุดเหรอ? ถ้าเขาเห็นท่าไม่ดีขึ้นมา จะไปขอพึ่งพิงพ่อค้าพวกนั้นเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองหรือเปล่า?”

“ไปพึ่งพิงพ่อค้าพวกนั้นก็แปลว่าจะปกป้องตำแหน่งของเขาได้เหรอ? ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ว่าพ่อค้าพวกนั้นต้องการอะไร แล้วอีกอย่าง ในมือข้าก็มีจุดอ่อนของเขาอยู่ ต่อให้เขาไปพึ่งพิงอีกฝ่ายแล้วยังไงล่ะ?” เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในศาลาลุกขึ้นยืน แสยะยิ้มแล้วแสยะยิ้มอีก “ถ้าเขากล้าทำแบบนั้นจริงๆ ข้าก็จะจัดการเขาก่อน แล้วค่อยถือหัวเขาไปล้างเลือดตลาดสวรรค์!”

ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋มองหน้ากันเลิกลั่ก แม้แต่คำว่าล้างเลือดตลาดสวรรค์ก็ยังพูดออกมาได้ สงสัยเจ้าห้าจะตัดสินใจแล้วว่าจะเปิดฉากสังหารที่ตลาดสวรรค์!

ที่ประตูเขตเมืองตะวันตก ทหารสวรรค์ที่เฝ้าประตูมองดูสวีถังหรานที่จู่ๆ ก็โผล่อยู่บนหอประตูเมืองและกำลังเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา พวกเขาสงสัยนิดหน่อย ไม่รู้ว่าท่านผู้บัญชาการโผล่ออกมาทำอะไรในเวลานี้…

ทว่าสวีถังหรานบอกไว้ว่าใช้เวลาครึ่งวัน ก็ใช้เวลาครึ่งวันจริงๆ ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวันก็รีบร้อนมาที่ผู้บัญชาการใหญ่แล้ว

พอเห็นเขามา เหมียวอี้ก็โบกมือให้เป่าเหลียนทันที บอกใบ้ให้นางถอยไปก่อน

ถึงแม้เป่าเหลียนจะถอยออกไปแล้ว แต่ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจ ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้เห็นนางเป็นคนของตัวเองหรอกเหรอ

เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีใครแล้ว สวีถังหรานก็ไม่พดพร่ำทำเพลง นำขวดผลึกใบเล็กที่บรรจุ ‘ความปรารถนาร้าย’ สีดำขึ้นมากองบนโต๊ะ ในจำนวนนั้นยังมีหลายใบที่เป็นวดขนาดใหญ่ด้วย “ผู้บัญชาการใหญ่ นำของมาแล้ว มีทั้งเล็กทั้งใหญ่ยี่สิบสองขวด พอใช้รึเปล่า?”

เหมียวอี้ตรวจสอบครู่หนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ผิดพลาด เขาก็รู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย เจ้าชาติสุนัขนี่มันคล่องจริงๆ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันก็ทำภารกิจสำเร็จสำเร็จแบบเกินจำนวนแล้ว ไม่พูดไม่ได้แล้วว่าเขาประเมินเจ้านี่ต่ำไป

“นี่คือรายชื่อร้านค้าสิบหกร้าน…” เหมียวอี้โยนแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้เขา แล้วถ่ายทอดเสียงสั่ง

สวีถังหรานพยักหน้า หลังจากจำได้แล้วก็รีบเก็บขวดทั้งใบเล็กใบใหญ่ แล้วก้าวยาวออกไป!

เห็นได้ชัดเจนมาก ขอเพียงไม่ใช่เรื่องต่อสู้เข่นฆ่า ลักษณะการทำงานของสวีถังหรานก็รวดเร็วเด็ดขาดมาก!

หลังจากสวีถังหรานไปได้ไม่นาน ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็มาอีกครั้ง

“เจ้าห้า สืบมาชัดเจนแล้ว! ร้านค้าที่เกี่ยวข้องหรือเป็นเจ้าของอยู่เบื้องหลังร้านค้าสิบหกร้านนี้ มีทั้งหมดสองร้อยห้าร้าน รวมกับสิบหกร้านนั้นด้วยก็เป็นสองร้อยยี่สิบเอ็ดร้าน!” ฝูชิงยื่นแผ่นหยกให้เหมียวอี้

“เงินเยอะแล้วเสียงดังกว่าคนอื่นจริงๆ ด้วย!” หลังจากเหมียวอี้รับมาอ่านในมือแล้ว ก็ถามอีกว่า “ในเวลานิดเดียวแค่ก็รู้ชัดแล้วเหรอ? พี่รอง มีอะไรตกหล่นหรือเปล่า?”

ฝูชิงตอบว่า “ร้านค้าพวกนี้อยู่ที่ตลาดสวรรค์มาหลายปีแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างกันก็เปิดเผยโจ่งแจ้ง พวกเราก็แค่รวบรวมข้อมูลนิดหน่อย ไม่มีผิดพลาดหรอก นอกเสียจากจะยังแอบซ่อนอะไรเอาไว้ไม่ให้คนอื่นรู้อีก ถ้ามีจริงๆ อีกฝ่ายจงใจปิดบังแบบนี้ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสืบได้ภายในเวลาสั้นๆ”

“ได้!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วมองทั้งสองพร้อมบอกว่า “พี่รอง พี่สาม เอาตามนี้แล้วกัน พรุ่งนี้หลังจากฟ้าสางแล้วมารวมตัวกันที่นี่ ก่อนหน้านั้นอย่าปล่อยข่าว ป้องกันไม่ให้รู้กันหลายปากแล้วข่าวหลุด!”

ทั้งสองเอ่ยรับแล้วออกไป

เป่าเหลียนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าการที่พวกผู้บัญชาการเข้าออกที่นี่บ่อยขนาดนี้หมายความว่าอะไร ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ยังไม่เคยเห็นผู้บัญชาการพวกนี้เข้าออกที่นี่ซ้ำไปซ้ำมาภายในวันเดียว เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยปกติ กอปรกับสถานการณ์ใช่ช่วงนี้ นางรู้สึกได้รางๆ ว่ากำลังจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

พอตกเย็น เหมียวอี้ที่กำลังฝึกตนอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ได้รับข้อความจากอวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์  มาหาข้าที่นี่สักรอบ

เหมียวอี้ตอบว่า : ข้ามีธุระ ไปไม่ได้ มีเรื่องสำคัญอะไร?

อวิ๋นจือชิว : มีคนจากสมาคมร้านค้ามาบอกข้า มาเตือนว่าตั้งแต่นี้ไปให้ข้าเลิกมอบผลประโยชน์และมอบของขวัญทุกอย่างกับขุนนางทหารที่เฝ้าเมือง ไม่อย่างนั้นสมาคมร้านค้าก็มีหนทางที่จะสู้กับพวกเราแน่ หลางหลางกับหวนหวนก็ได้รับข่าวนี้เหมือนกัน สงสัยคนพวกนั้นคงจะเริ่มลงมือกับเจ้าแล้ว!

เหมียวอี้ : ไม่ต้องคิดมากแล้ว เดี๋ยวจะมีคนออกหน้ามาแก้ปัญหาให้! ไม่คุยแล้ว ข้ายังมีแขก

ไม่ได้พูดอะไรมากอีก และไม่ได้ไปหาด้วย เหมียวอี้กลัวว่าอวิ๋นจือชิวจะเผยเบาะแสเสียก่อน ทั้งสองมีแนวคิดในการทำงานไม่ค่อยเหมือนกัน ถ้าปล่อยให้อวิ๋นจือชิวรู้ นางจะต้องห้ามไว้แน่ ดังนั้นจึงเตรียมจะปิดบังไว้ เตรียมจะทำก่อนแล้วค่อยบอก

ไม่ใช่แค่อวิ๋นจือชิวที่มาฟ้อง ท่าวแม่สวีแห่งหอกลิ่นสวรรค์และหวงฝู่จวินโหรวก็ทยอยสั่งให้คนนำจดหมายที่ปิดผนึกแน่นมาส่งเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้ทั้งสองสะดวกจะไปมาหาสู่กับเหมียวอี้โดยตรง พอเหมียวอี้ฉีกจดหมายอ่าน ก็เป็นอย่างที่คาดไว้ เป็นอย่างที่อวิ๋นจือชิวบอก กำลังพูดถึงเรื่องนั้นเช่นกัน

“หึหึ!” เหมียวอี้แสยะหัวเราะ พลิกฝ่ามือเผาจดหมายทิ้งในชั่วพริบตาเดียว จากนั้นเอามือไขว้หลังเดินมาตรงประตู “เป่าเหลียน เชิญผู้บัญชาการฝูมาที่นี่หน่อย!”

“ค่ะ!” เป่าเหลียนเอ่ยรับแล้วออกไป

ผ่านไปไม่นาน ฝูชิงก็มาถึงแล้ว ภายนอกก็ทำความรพผู้บัญชาการใหญ่ แต่พอเดินขึ้นบันไดไปแล้วก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้าห้า นี่มันเรื่องอะไร?”

เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “พี่รอง นอกจากรายชื่อเมื่อตอนกลางวัน ช่วยร่างราชื่อให้ข้าอีกสักฉบับ ร้านค้าร้อยอันดับแรกของตลาดสวรรค์ อย่าให้ขาดไปแม้แต่ร้านเดียว เพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งร้อยร้าน!”

ฝูชิงตกใจ “พื้นที่กว้างเกินไปหรือเปล่า ร้านค้าหนึ่งร้อยอันดับแรก…นี่เจ้าต้องล่วงเกินชนชั้นสูงทั้งหมดของตำหนักสวรรค์เลยนะ! ตระกูลโค่วก็อยู่ในนั้นเหมือนกัน ถึงตอนนั้นเกรงว่าแม้แต่คนช่วยเจ้าพูดสักคนก็จะไม่มี!”

เหมียวอี้ตอบเพียงคำเดียวว่า “ตอนนี้ข้ายังต้องกลัวว่าเรื่องราวจะไม่ใหญ่โตเกินไปอีกเหรอ? พี่รอง นำรายชื่อมาให้ข้าก่อนฟ้าสว่าง”

“เฮ้อ!” ฝูชิงถอนหายใจ แล้วพยักหน้าเดินออกไป…

หลังจากฟ้าสาง ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ สวีถังหราน มู่หรงซิงหัว ผู้บัญชาการของเขตเมืองทั้งสี่มาถึงจวนผู้บัญชาการใหญ่แล้ว

เมื่อก้าวเข้ามาในจวนผู้บัญชาการใหญ่ ก็เห็นเหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่ลำพังบนหลังคาที่โค้งขึ้นสวยงาม เงยหน้ามองแสงแดดยามเช้าที่อ่อนโยน สีหน้าเรียบเฉย ชุดคลุมปลิวสะบัดเบาๆ อยู่ท่ามกลางสายลมอ่อน ทำให้คนรู้สึกว่าอยู่บนที่สูงแต่ไม่หนาว บางทีอาจเป็นเพราะตอนนี้สภาพจิตใจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ จึงเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา

มู่หรงซิงหัวย่อมรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่ดีต่อเหมียวอี้ นางมองไปที่อีกสามคน ไม่รู้ว่าทำไมผู้บัญชาการใหญ่จึงเรียกพบในเวลานี้ ทว่าไม่พบคำตอบใดๆ จากใบหน้าของทั้งสามคนเลย

ทั้งสี่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ในลานบ้าน แล้วกล่าวทำความเคารพพร้อมกัน “คำนับผู้บัญชาการใหญ่!”

1071

ยามอาทิตย์สาดส่องจากที่สูง

เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนหลังคาไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ เหมือนเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าพวกเขามาถึงแล้ว

เมื่อหายเหม่อลอย และมองทั้งสี่อยู่ในลานบ้าน เขาก็ลอยตัวลงมาแล้วกวักมือเรียก “เข้ามาเถอะ!”

จากนั้นทั้งสี่ก็เดินตามเขาเข้าไปที่โถงหลักด้านในของจวนผู้บัญชาการใหญ่

เหมียวอี้ที่เดินมาถึงตำแหน่งของตัวเองยังไม่ได้นั่งลง แต่พลันหันขวับมามองทั้งสี่คน แล้วโบกมือโยนแผ่นหยกสี่แผ่นให้ทั้งสี่คน

ทั้งสี่คนรับมาอ่านในมือ ทั้งหมดเป็นร้านค้าในอาณาเขตของทั้งสี่ ร้านค้าบางร้านยังถูกวงไว้ด้วยกันด้วย แสดงให้เห็นว่าต้องเน้น ‘ดูแล’ เป็นพิเศษ

อีกสามคนที่เหลือยังดีหน่อย ต่างก็มีข้อมูลอยู่ในใจแล้ว เพียงแต่สวีถังหรานแปลกใจว่าทำไมร้านค้าสิบหกร้านจึงกลายเป็นจำนวนมากขนาดนี้ได้ แค่ในแผ่นหยกบนอาณาเขตของตนคนเดียวก็นับได้เกินสิบหกร้านแล้ว

ส่วนมู่หรงซิงหัวก็งุนงงเหมือนโดนหมอกลงสมอง ไม่เข้าใจว่านี่มันสถานการณ์อะไรกันแน่ เมื่อนับจำนวนร้านค้าบนแผ่นหยก ก็นับได้เกือบแปดสิบร้านแล้ว นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? นางเงยหน้าถาม “ผู้บัญชาการใหญ่ มีเจตนาอะไรเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “มีร้านค้าบางร้านไม่อยู่ในความสงบ! นึกว่าตัวเองมีเงินมีอำนาจมีคนหนุนหลัง จึงกล้าฝ่าฝืนอำนาจของตำหนักสวรรค์ ดูหมิ่นขุนนางตำหนักสวรรค์ ต่อต้านผู้บัญชาการใหญ่ที่คุมที่นี่อย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย กำเริบเสิบสานจริงๆ! ข้าเองก็ไม่มีเวลามาเล่นลิ้นคุยเรื่องเส้นสายภูมิหลังกับพวกเขา ในเวลาจำเป็นก็ต้องใช้วิธีการที่เหมือนฟ้าผ่า ข้าเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าคอของพวกเขาแข็ง หรือว่าดาบของผู้บัญชาการใหญ่คนนี้จะแข็งกว่า หนึ่งคนไม่ยอมก็ฆ่าหนึ่งคน สองคนไม่ยอมก็ฆ่าสองคน ถ้าหนึ่งกลุ่มไม่ยอม…ผู้บัญชาการใหญ่คนนี้ก็ไม่ถือสาที่จะฆ่าให้หมดสิ้น!”

“…” มู่หรงซิงหัวฟังออกถึงเจตนาสังหารในคำพูดเขา ริมฝีปากแดงอ้าค้างด้วยความอึ้ง ในดวงตาฉายแววเหลือเชื่อ เจ้าคนบ้านี่คิดจะทำอะไร?

จนกระทั่งเหมียวอี้อธิบายแผนออกมาทั้งหมดอย่างไม่รีบร้อน ขณะที่คำพูดแต่ละคำที่เหมือนย้อมด้วยกลิ่นคาวเลือดกรอกเข้าหู ดวงตางามทั้งคู่ของมู่หรงซิงหัวก็เบิกกว้าง แล้วก็มองดูรายชื่อในมือของตัวเองอีกครั้ง คนที่หนุนหลังร้านค้าพวกนี้เป็นใครบ้างล่ะ?

นางคุมเขตเมืองเหนือมานานมาก แค่มองปราดเดียวก็ย่อมรู้ถึงเครือข่ายเส้นสายที่อยู่เบื้องหลังร้านค้าพวกนี้ ไม่มีร้านไหนธรรมดาเลย นี่ยังเป็นแค่ร้านค้าบนอาณาเขตของตนนะ พอเงยหน้ามองแผ่นหยกในมือคนอื่นอีก นี่ต้องการจะลงมือกี่ร้านกัน?

โอ้สวรรค์! มู่หรงซิงหัวร้องในใจอย้างบ้าคลั่ง ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าบ้านี่ต้องการจะเปิดฉากสังหารร้านค้าของชนชั้นสูงที่ตลาดสวรรค์ บ้าไปแล้ว! บ้าไปแล้ว! เจ้าเวรนี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ!

“ผู้บัญชาการใหญ่ไตร่ตรองดูให้ดีนะ!” พอเหมียวอี้พูดจบ มู่หรงซิงหัวก็กุมหมัดกล่าวอย่างร้อนใจทันที “ทำเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด เบื้องหลังร้านค้าพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นบุคคลสำคัญที่สามารถเข้าร่วมประชุมขุนนางที่ตำหนักสวรรค์ได้ ถ้าทำเรื่องนี้ออกมาจริงๆ ถึงตอนนั้นต่อให้ผู้บัญชาการใหญ่จะมานึกเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว! ข้าน้อยวิงวอนจากใจ…”

“ผู้บัญชาการมู่หรง!” เหมียวอี้พูดตัดบทด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ถึงอย่างไรก็เห็นแก่หน้าหัวหน้าภาคเฉา ถ้าเจ้ารู้สึกว่าไม่สะดวกจะลงมือ ข้าเองก็ไม่บังคับ เจ้าให้รองผู้บัญชาการสองคนของตัวเองทำแทนเถอะ! แต่ก่อนที่เรื่องนี้จะถูกแก้ไข ก็ขอให้เจ้าให้ความร่วมมือสักหน่อย พักอยู่ในผู้บัญชาการใหญ่นี้ชั่วคราวก่อน!”

ตอนที่เพิ่งรับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ เขาก็จับราชาปีศาจของทะเลดาวนักษัตรสองคนเข้าไปเป็นรองผู้บัญชาการของมู่หรงซิงหัวแล้ว ปล่อยคนของตัวเองเข้าไป ก็เพื่อกันไว้ดีกว่าแก้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนนำเคลื่อนกองกำลังของเขตเมืองเหนือ

นี่ก็คือข้อดีของการมีคนของตัวเองอยู่ใต้บังคับบัญชา ไม่อย่างนั้นต่อให้มีกำลังพลมากกว่านี้ เหมียวอี้ก็ไม่มีทางปฏิบัติการตามแผนครั้งนี้ได้เลย

มู่หรงซิงหัวได้ยินแล้วรีบมองฝูชิง อิงอู๋ตี๋และสวีถังหรานที่อยู่ทางซ้ายและขวา เดิมทีอยากจะโน้มน้าวอีกสามคนให้ช่วยกันเกลี้ยกล่อมผู้บัญชาการใหญ่ ผลก็คือพบว่าทั้งสามกำลังจ้องนาง ราวกับไม่ตกใจกับการตัดสินใจของผู้บัญชาการใหญ่เลยแม้แต่น้อย มีแต่นางคนเดียวที่มีท่าทางกระวนกระวายมาก

ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็ไม่เป็นไรหรอก ทำไมแม้แต่คนที่รักตัวกลัวตายอย่างสวีถังหรานก็ไม่กลัวล่ะ? นี่…มู่หรงซิงหัวชะงักงัน นางเข้าใจแล้ว เจ้าสามคนนี้รู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว

ขนาดสวีถังหรานยังไม่กลัว พอนึกดูอีกก็พบว่าเหมียวอี้ไม่ใช่คนบุ่มบ่าม นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นตัวเองก็แค่ปฏิบัติตามคำสั่ง ไม่เชื่อมโยงมาถึงตัวนาง ต่อให้ฟ้าถล่มก็ยังมีคนตัวสูงคอยคุ้มกะลาหัวให้ ตนก็มมีอะไรต้องกลัวเหมือนกัน!

ที่จริงนางก็ไม่กลัวหรอก เพียงแต่กังวลแทนเหมียวอี้เท่านั้น ไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขา แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว…มู่หรงซิงหัวเม้มริมฝีปากแน่น แล้วกุมหมัดกล่าวว่า “ผู้บัญชาการใหญ่คิดมากไปแล้ว ในเมื่อผู้บัญชาการใหญ่ถ่ายทอดคำสั่งลงมา ไม่ว่าข้าน้อยจะเป็นเฉาฮูหยินหรือไม่ แต่ก็ควรเชื่อฟังคำสั่งเหมือนกัน ไม่ฝ่าฝืนคำสั่งแน่นอน!”

เหมียวอี้ส่งสายตาให้ฝูชิงทันที ฝูชิงพยักหน้าเล็กน้อย เข้าใจความหมายที่เขาสื่อ นี่เป็นการป้องกันเหตุไม่คาดคิด อีกประเดี๋ยวให้รองผู้บัญชาการทั้งสองของมู่หรงซิงหัวคอยจับตาดูมู่หรงซิงหัวให้ดี เมื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากลก็ให้ติดต่อที่นี่ทันที

“ดีมาก!” เหมียวอี้ที่ได้ข้อคิดเห็นเป็นเอกฉันท์พยักหน้า แล้วกเตือนอย่างจริงจังอีกครั้ง “สินค้าในร้านค้าทุกร้านบนรายชื่อ ให้กำหนดเป็นของผิดกฎหมายที่ต้องยึดทั้งหมด แม้แต่ขนเส้นเดียวก็ห้ามเหลือไว้! พนักงานทุกคนในร้านค้าให้กำหนดเป็นผู้ต้องสงสัยที่ต้องจับกุมให้หมด ถ้ามีใครขัดขืน ก็ให้ประหารตรงนั้นทันที! สั่งปิดร้านค้าทั้งหมดบนรายชื่อให้ข้า ยึดทรัพย์เป็นของทางการให้หมด!”

“รับทราบ!” ทั้งสี่คนที่ค่อนข้างอกสั่นขวัญแขวนกุมหมัดเอ่ยรับ เล่นใหญ่เกินไปจริงๆ

“ผู้บัญชาการใหญ่…” หลังจากได้รับคำสั่ง สู่ๆ สวีถังหรานก็เรียกด้วยเสียงอ่อนปวกเปียก ก่อนหน้านี้เขานึกไม่ถึงว่าจะเล่นใหญ่ขนาดนี้ ใหญ่เกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้ไกลมาก จากสิบหกร้านเปลี่ยนเป็นเยอะขนาดนี้ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยทำเรื่องบ้าบิ่นขนาดนี้มาก่อนเลย

เหมียวอี้กวาดสายตาเย็นเยียบมองมา พร้อมถามเสียงเย็น “เจ้ายังมีความเห็นอะไรอีก?”

“ไม่ใช่ขอรับ! เพียงแต่อยากจะถามสักหน่อย” สวีถังหรานแผ่แผ่นหยกที่อยู่ในมือ “ร้านขายของชำซื่อตรง ผู้บัญชาการใหญ่มาจากที่นั่น จะตรวจสอบและสั่งปิดเหมือนกันเหรอ?”

ร้านขายของชำซื่อตรงในตอนนี้ผ่านการพัฒนามาหลายปีแล้ว ด้วยศักยภาพที่มีสามารถจัดให้อยู่ในร้อยอันดับแรกของตลาดสวรรค์ได้ ดังนั้นจึงอยู่บนรายชื่อที่ต้องตรวจสอบ

เหมียวอี้ไม่สะทกสะท้าน ตอบเพียงว่า “จัดการตามนั้น!”

“แล้ว…ร้านค้าสมาคมวีรชนล่ะ?” สวีถังหรานถามหยั่งเชิงอีก ถ้าจำไม่ผิด และไม่มีทางที่จะจำผิด ครั้งก่อนตอนที่ชิงตัวเสวี่ยหลิงหลง ท่านนี้ก็เคยออกหน้าให้เพราะหวงฝู่จวินโหรวไปหา อย่าก่อเรื่องแล้วมาระบายความโกรธกับข้าอีกนะ

ร้านค้าสมาคมวีรชนกับร้านขายของชำซื่อตรงอยู่บนพื้นที่เขตเมืองตะวันตกของเขาทั้งคู่

แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว การก่อเรื่องในครั้งนี้จะไม่แตะต้องร้านค้าสมาคมวีรชนไม่ได้ มีเพียงการแตะต้องร้านค้าสมาคมวีรชนเท่านั้น เรื่องนี้จึงจะไปถึงหูราชันสวรรค์อย่างรวดเร็ว สวีถังหรานไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่อยู่ในนั้น แต่กลับเข้าใจชัดเจน ดังนั้นหวงฝู่จวินโหรวจึงผ่านภัยครั้งนี้ไปได้ยาก!

ยิ่งไปกว่านั้น นโยบายใหญ่ก็ถูกร่างออกมาแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ง่ายๆ รายชื่อในหนึ่งร้อยอันดับแรก ครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยไปสักร้าน ไม่มีหลักการเลือกที่รักมักที่ชัง

กลุ่มร้านค้าอยากจะร่วมมือกันต่อต้านไม่ใช่เหรอ? เช่นนั้นก็ทำให้คนทั้งตลาดสวรรค์ได้เห็นสักหน่อยว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่ามหาอำนาจ ให้คนทั้งตลาดสวรรค์ได้เห็นชัดๆ ว่าใครกันแน่ที่มีอำนาจตัดสินใจที่นี่ แค่กลุ่มพ่อค้ากระจอกไ ยังคิดจะมาพลิกฟ้าอีกเหรอ!

ดังนั้น…เหมียวอี้จึงกล่าวด้วยแววตาที่เด็ดเดี่ยวว่า “ปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน!”

“รับทราบ!” สวีถังหรานกุมหมัดเอ่ยรับ ไม่มีคำถามแล้ว

เหมียวอี้ออกคำสั่ง “กลับไปเรียกรวมกำลังพลแล้ววางแผนเดี๋ยวนี้ หลังจากนี้ครึ่งชั่วยาม ดวงอาทิตย์ก็น่าจะส่องสว่างจากที่สูงแล้วเหมือนกัน ถึงตอนนั้นกำลังพลของสี่เขตเมืองเคลื่อนไหวพร้อมกัน ต้องทำอย่างรวดเร็ว กวาดล้างร้านค้าทั้งหมดบนรายชื่ออย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด เคลื่อนพล!”

“รับทราบ!” ทั้งสี่เอ่ยรับคำสั่งแล้วรีบออกไป

ในห้องโถงที่ว่างเปล่า มีเพียงเหมียวอี้ที่ยืนหลับตาเงียบๆ อยู่คนเดียว

จนกระทั่งในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกมีเสียงเกราะรบเคลื่อนไหว ทั้งยังมีเสียงระดมกำลังดังอึกทึกครึกโครม เหมียวอี้ถึงได้พลันลืมตาสองข้าง เดินเข้าไปในลานบ้าน แล้วเอนกายลงบนเก้าอี้ใต้เพิงเถาวัลย์ หลับตพักผ่อนร่างกายอยู่อย่างนั้น

ผ่านไปไม่นาน เป่าเหลียนที่หวาดระแวงกลัวก็เข้ามาในลานบ้าน มารายงานอยู่ข้างกายเข้าว่า “นายท่าน ฝูชิงผู้บัญชาการเหมือนจะระดมกำลังพลของเขตเมืองตะวันออกค่ะ”

“อืม! ข้าได้ยินแล้ว ไม่มีอะไรหรอก! เจ้าไปรินน้ำชามาให้ข้าหน่อย” เหมียวอี้โบกมืออย่างสงบเยือกเย็น

เป่าเหลียนนำน้ำชาร้อนๆ มาส่งถึงมืออย่างรวดเร็ว เหมียวอี้ลืมตามองนางพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าติดตามอยู่กับข้ามาหลายปีแล้ว นั่งลงเถอะ เรามานั่งคุยกันสักหน่อย”

หลังจากเป่าเหลียนนั่งลงบนม้านั่งยาวใต้รั้วของเพิงเถาวัลย์ตามที่เขาบอก เหมียวอี้ที่จิบน้ำชาไปคำหนึ่งถึงได้ยิ้มพร้อมบอกว่า “ครั้งก่อนรับปากว่าจะไปสำนักลมปราณแต่ก็ไม่มีเวลาเลย หวังว่าเจ้าจะช่วยอธิบายกับเจ้าสำนักอวี้หลิงแทนสักหน่อย”

“ท่านปู่ของข้าก็รู้สถานการณ์ทางนี้ ผู้บัญชาการใหญ่มีธุระตลอดจึงปลีกตัวไปไม่ได้” เป่าเหลียนพยักหน้า

เหมียวอี้พยักหน้าแล้วถอนหายใจ “เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ นะ! นึกถึงตอนที่พวกเราเจอกันครั้งแรก เจ้าน่ะปลิ้นปล้อนอันธพาลมาก ถือกระบี่มากดดันให้ข้าประลองด้วย”

“ตอนนั้นเป่าเหลียนไม่รู้ความ หวังว่าผู้บัญชาการใหญ่จะไม่ถือสา” เป่าเหลียนกล่าวอย่างอับอายเล็กน้อย

“มันผ่านไปแล้ว จะไปคิดเล็กคิดน้อยเรื่องนี้ได้ยังไง เพียงรู้สึกว่าตอนนั้นที่อยู่สำนักลมปราณสงบสุขมาก ไม่ได้มีเรื่องน่ารำคาญใจมากมายมาหาถึงประตูบ้าน ไม่อาจทำตามใจตัวเองได้!” เหมียวอี้กล่าวอย่างจนใจพลางโบกมือ จากนั้นนำป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งออกมา แล้วยื่นให้ “นี่คือป้ายคำสั่งสำหรับเปิดใช้งานชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของข้า อีกประเดี๋ยวอาจจะมีคนของตำหนักคุ้มเมืองมาหาข้า เจ้าเชิญแขกเข้ามานั่งในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ได้เลย…”

ที่ประตูเมืองของเขตเมืองตะวันออก เงาคนคนหนึ่งเหาะจากฟ้ามาเหยียบลงบนหอประตูเมือง ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหูเฟยที่สวมเกราะรบสีทอง

เมื่อหัวหน้าที่เฝ้ากำแพงเมืองเห็นนาง ก็รีบเข้ามาคำนับทันที แต่คาดไม่ถึงว่าหูเฟยจะชูมือโยนแผ่นหยกให้ แล้วแสยะยิ้มพร้อมตวาดเสียงแหลม “ผู้บัญชาการฝูมีคำสั่ง ให้ปิดประตูเมืองตะวันออกเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการ ไม่ว่าใครก็ห้ามเปิดประตูเมืองโดยพลการ ใครฝ่าฝืนคำสั่ง ประหาร!”

หลังจากหัวหน้าได้ตรวจอ่านเนื้อหาในคำสั่ง ก็กุมหมัดคารวะทันที “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่งของผู้บัญชาการ!”

จากนั้นก็ถลันตัวไปโบกมือตะโกนสั่งลูกน้องที่อยู่ข้างกำแพง “ผู้บัญชาการมีคำสั่ง ปิดประตูเมืองตะวันออกเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าออกโดยพลการ ใครขัดคำสั่ง ประหาร!”

ทหารที่เฝ้าอยู่นอกประตูเมืองรับคำสั่งทันที ทำไล่คนที่เข้าออกประตูให้กระจัดกระจายไปอย่างรวดเร็ว ประตูใหญ่ปิดลงพร้อมเสียงดังครืน

ค่ายกลของทั้งประตูเมืองกับค่ายกลที่ปิดตลาดสวรรค์เชื่อมติดกัน พอประตูเมืองปิด ค่ายกลที่อยู่ตรงปากทางเข้าออกจองประตูเมืองตะวันออกก็ปิดตามไปด้วย

หูเฟยที่สวมเกราะหนักทั้งตัวเดินส่ายเอวไปมาอยู่บนหอประตูเมือง นางรับผิดชอบเฝ้าที่นี่

บนหอประตูเมืองของเขตเมืองตะวันตก ราชาปีศาจทะเลครามเหาะลงมาจากฟ้า เผยคำสั่งพร้อมประกาศว่า “ผู้บัญชาการสวีมีคำสั่ง ปิดประตูเมืองตะวันตกเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการ ไม่ว่าใครก็ห้ามเปิดทางเข้าออกที่ประตูเมืองโดยพลการ ใครฝ่าฝืนคำสั่ง ประหาร!

ในขระเดียวกันนี้เอง บนหอประตูเมืองของเขตเมืองเหนือ ราชาปีศาจกระดูกขาวเหาะลงมาจากฟ้า แล้วเผยคำสั่ง “ผู้บัญชาการมู่หรงมีคำสั่ง ปิดประตูเมืองฝั่งเหนือเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการ ไม่ว่าใครก็ห้ามเปิดทางเข้าออกที่ประตูเมืองโดยพลการ…”

บนฟ้ามีกลุ่มทหารสวรรค์กระจายกันไปสี่ทิศ

เขตเมืองใต้ อิงอู๋ตี๋ที่ใบหน้าดุร้ายและจมูกงุ้มเหมือนเหยี่ยวสวมเกราะทองเหาะลงมาจากฟ้า นำกำลังพลเหาะมาเหยียบลงที่ประตูของร้านค้าร้านหนึ่งด้วยตัวเอง

สวนเทพเซียน! อิงอู๋ตี๋เงยหน้ามองป้ายที่อยู่ตรงประตูร้านด้วยแววตาเย็นเยียบ

“ผู้บัญชาการอิง เอ่อคือ…” พนักงานคนหนึ่งวิ่งออกมาถาม

ตุ้บ! ยังพูดไม่ทันขาดคำ อิงอู๋ตี๋ไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่อธิบายแม้แต่ประโยคเดียว เตะพนักงานไปหนึ่งที เป็นความรวดเร็วอันไร้ที่เปรียบ เตะโดนหน้าอกเข้าอย่างจัง

อั้ก! พนักงานกระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ยังไม่ทันจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เป็นเพราะอิงอู๋ตี๋ลงมือรวดเร็วมากจริงๆ ทั้งตัวกระเด็นเข้าไปในร้านโดยตรง ตกกระแทกลงในโต๊ะคิดเงินด้านใน เสร็จแล้วถึงได้ส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมา

“ค้น!” อิงอู๋ตี๋สั่งด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบพร้อมโบกมือ กำลังพลพุ่งตัวเข้าไปอย่างดุร้ายราวกับเสือและหมาป่าทันที


 1072

วางแผนก่อกฏบอย่างลับๆ

ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนยังคงตกใจกับความเร็วของฝีเท้าอิงอู๋ตี๋ มีคนไม่น้อยแอบบอกว่า ดูท่าแล้วผู้บัญชาการของตลาดสวรรค์ก็ไม่ใช่ไก่อ่อนเหมือนกัน

ส่วนอิงอู๋ตี๋ที่เดินเข้าไปข้างในก็ยืนเอามือไขว้หลังอยู่กลางร้าน แววตาดุจอินทรีกิริยาดังหมาป่าเหลียวหลังกำลังกวาดมองโดยรอบอย่างเย็นเยียบ มองดูกลุ่มลูกน้องพลิกกล่องล้มตู้อยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่ากำลังค้นหาอะไร

“ร้านนี้หยุดกิจการชั่วคราว!” มีทหารสวรรค์ไล่แขกในร้านออกมา

“ทั้งหมดไสหัวไปคุกเข่าตรงนั้น!” แล้วก็มีทหารสวรรค์ไล่พนักงานทั้งหมดในร้านไปไว้ด้วยกันเพื่อเฝ้าจับตาดู

สวนเทพเซียนเป็นร้านที่ขายพวกสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์และสมุนไพรเซียนโดยเฉพาะ มีสีสันหลากหลายวางแสดงอยู่ในตู้เต็มไปหมด ทั้งร้านมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ทำให้สดชื่นผ่อนคลาย ทว่าในเวลานี้กลับเจอภัยพิบัติแล้ว โดนกลุ่มทหารสวรรค์ที่ดุเหมือนเสือทุ่มพังแล้ว

ท่ามกลางเสียงดังโครมคราม มีพนักงานบางคนทนมองต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ตะโกนอย่างร้อนรนว่า “พวกเจ้ากำลังทำอะไร อา…”

ยังพูดไม่ทันขาดคำก็ร้องโอดโอยแล้ว เพิ่งจะพูดไปประโยคเดียว ก็โดนผู้ช่วยผู้บัญชาการของอิงอู๋ตี๋ใช้ทวนกระแทกจนล้มคว่ำลงพื้น แล้วก็มีคนมาลากไปโยนให้คุกเข่าในกลุ่มคนบนพื้น

ล้อเล่นอะไรกัน นายท่านผู้บัญชาการออกหน้านำทัพด้วยตัวเองแล้ว ท่านผู้บัญชาการเคยสั่งไว้เอง ย่อมต้องแน่วแน่ที่จะแสดงให้เห็นว่าได้ทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ

ผู้คนที่สัญจรไปมาด้านนอกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น รีบเข้ามาอุดทางมุงดู แต่กลับโดนทหารสวรรค์ที่เฝ้าประตูขวางไว้ ไม่สามารถเข้าไปได้ ทำได้เพียงชะเง้อมองภาพเหตุการณ์อยู่ด้านนอก

สะเทือนไปถึงผู้จัดการร้านที่อยู่ด้านในอย่างรวดเร็ว รีบวิ่งออกมาจากโถงด้านหลัง พอเห็นสภาพในร้านค้า แล้วเห็นอิงอู๋ตี๋กำลังยืนเอามือไขว้หลัง เขาก็เข้าใจในทันที ว่ากำลังมีคนใช้อำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัว จึงตะคอกถามเสียงต่ำทันที “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหวงลี่สิ้งนั่นเอง เรียกได้ว่าพุ่งเข้ามาตรงหน้าอิงอู๋ตี๋ เผชิญหน้าพร้อมใช้วาจาและท่าทางดุดัน แทบจะชี้หน้าด่าอิงอู๋ตี๋แล้ว อาศัยภูมิหลังของเขา ทำให้ไม่กลัวการล้างแค้นของทหารสวรรค์พวกนี้เลยจริงๆ!

อิงอู๋ตี๋มองเขาด้วยแววตาดุร้ายปนเล่นสนุกอยู่หลายส่วน พึมพำในใจว่า ยังกล้าหนีอีกเหรอ ข้าจะดูว่าเจ้าจะหนีได้สักกี่ครั้ง มิน่าล่ะเจ้าห้าจึงต้องใช้บทโหด!

“ผู้บัญชาการคนนี้ได้รับรายงานมา ว่ามีคนซ่อนของผิดกฎหมายเอาไว้ เลยมาตรวจค้นเป็นพิเศษ!” อิงอู๋ตี๋กล่าวเสียงเย็น เขาเป็นคนที่หน้าตาท่าทางดุร้ายโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

“พวกเราซ่อนของผิดกฎหมายเหรอ? ตลกน่า!” หวงลี่สิ้งกล่าวดุด้วยเสียงเกรี้ยวโกรธ “นี่พวกเจ้ากำลังใช้อำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัว!”

เป้าหมายหลักออกมาแล้ว ใกล้จะเสร็จแล้ว! อิงอู๋ตี๋ไม่มีเวลามาจู้จี้จุกจิกกับเขา เพียงเหลือบมองแวบหนึ่ง ส่งสายตาให้ราชาปีศาจคนหนึ่งที่ตัวเองพามาจากทะเลดาวนักษัตร

ราชาปีศาคนนั้นเข้ามาในกลุ่มคนที่พลิกกล่องล้มตู้ ยื่นมือไปเลิกเปิดหลังโต๊ะคิดเงินตัวหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ชี้ไปที่ด้านล่างของโต๊ะคิดเงิน ชี้ขวดผลึกใสใบหนึ่งที่บรรจุของเหลวสีดำที่ติดอยู่ใต้โต๊ะคิดเงิน พร้อมถามเสียงดัง “สิ่งนี้คืออะไร? ทำไมมันดูคุ้นๆ จัง?”

มีคนก้าวเข้าไปแกะขวดผลึกใสที่ติดอยู่ใต้โต๊ะคิดเงินลงมาทันที หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบ ก็อุทานอย่างตกใจว่า “นี่คือ ‘ความปรารถนาร้าย’ ที่ตลาดสวรรค์สั่งห้ามไม่ให้มีไว้ในครอบครอง!”

กลุ่มคนที่ล้อมดูตรงประตูร้านส่งเสียงฮือฮาทันที แต่หวงลี่สิ้งกลับงุนงง

ราชาปีศาจคนนั้นรีบรับมาดูในมือ หลังจากตรวจดูแล้วก็พยักหน้าให้อิงอู๋ตี๋ “ผู้บัญชาการ เป็นความปรารถนาร้ายจริงๆ ขอรับ!”

อิงอู๋ตี๋กางนิ้วทั้งห้า ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูดมาไว้ในมือโดยตรง หลังจากตรวจดูแล้ว ก็เผยตรงหน้าหวงลี่สิ้งพร้อมกล่าวเสียงต่ำ “จับได้ทั้งคนทั้งของกลาง เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกมั้ย?”

หวงลี่สิ้งเองก็ไม่ใช่คนโง่ นี่เป็นการเล่นที่ชัดเจนเกินไป เขาโมโหทันที ตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดว่า “พวกเจ้าตั้งใจยัดของใส่ร้ายข้า!”

“เจ้านับว่าเป็นตัวอะไร คู่ควรให้พวกเรายัดของใส่ร้ายด้วยเหรอ!” อิงอู๋ตี๋แสยะยิ้มอย่างน่ากลัว แล้วหันกลับมามองทางซ้ายและขวาพร้อมตะโกนว่า “ยึดสินค้าทั้งหมดของร้านนี้ไปรอตรวจสอบ จับทุกคนไปให้หมด ปิดร้าน!”

“เจ้ากล้าเหรอ!” หวงลี่สิ้งชี้อิงอู๋ตี๋อย่างเกรี้ยวกราด ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหก วรยุทธ์เหนือกว่าอิงอู๋ตี๋สองขั้น

ในดวงตาเหยี่ยวของอิงอู๋ตี๋ฉายแววสังหารทันที พยักหน้าบอกว่า “เจ้าใจกล้าไม่เบา บังอาจต่อต้านทหารสวรรค์ ทั้งยังกล้าลงมือกับต่อหน้าฝูงชนอีกเหรอ?”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา หวงลี่สิ้งก็ทำสีหน้าไม่ถูก ข้อหานี้เขารับไม่ไหว ไม่อย่างนั้นจากที่มีเหตุผลจะกลายเป็นไร้เหตุผล เส้นตายของกฎกติกาบางอย่างก็ยังต้องปฏิบัติตาม ถึงอย่างไรทหารสวรรค์พวกนี้ก็เป็นตัวแทนของตำหนักสวรรค์ การฝ่าฝืนต่อหน้าฝูงชนก็เท่ากับดูหมิ่นอำนาจสวรรค์แล้ว

เขาเพิ่งจะวางมือลง แต่อิงอู๋ตี๋กลับลงมือแล้ว เรียกได้ว่าเงากรงเล็บขยับยุ่งเหยิง หวงลี่สิ้งตกใจมาก จิตใต้สำนึกอยากจะป้องกัน แต่กลับพบว่าคนวรยุทธ์บงกชทองขั้นหกอย่างตนไม่เร็วเท่าอีกฝ่ายที่วรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่ ในระยะใกล้แบบนี้ป้องกันไม่ชนะจริงๆ

ผ่านไปไม่นาน เขาไม่เพียงแค่ได้รับรู้ถึงความเร็วของอิงอู๋ตี๋ ได้รับรู้ถึงความแหลมคมของกรงเล็บอิงอู๋ตี๋ด้วย

รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่แขนสองข้าง “อา!” หวงลี่สิ้งกรีดร้องโหยหวน

แขนสองข้างถูกกรงเล็บขยุ้มจนเลือดเนื้อกระเด็น ตรงกระดูกข้อต่อที่ไหล่สองข้างถูกอิงอู๋ตี๋ที่ถลันตัวมาอยู่ข้างหลังขยุ้มจนแตกกระจายแล้ว แขนสองข้างถูกฉีกกระเด็นออกไปโดยตรง

ท่ามกลางเลือดเนื้อที่กระจายออกมา อิงอู๋ตี๋หยุดมือ แล้วค่อยๆ กางนิ้วทั้งสองข้างออก เศษกระดูกและเนื้อที่เหลวเละกองหนึ่งตกลงพื้น

หวงลี่สิ้งไม่กล้าขัดขืน ข่มกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ พอหันหน้ามาโดยที่ยังไม่ทันพูดอะไร อาวุธหลายชิ้นก็มาจ่ออยู่บนตัวแล้ว หลังจากใช้เชือกมัดเซียนมัดเขาไว้ตรงนั้น ก็มีคนลงมือปิดผนึกวรยุทธ์ของเขาโดยตรง แล้วเตะล้มลงพื้น คนหลายคนที่พุ่งเข้ามาตะลุมบอนสู้กันอย่างไร้ระเบียบพักหนึ่ง ทำให้มีเสียงกระดูกหักดังมาอย่างต่อเนื่อง

“พอแล้ว อย่าตีให้ถึงตาย!” อิงอู๋ตี๋ส่งเสียงหยุด แล้วเอียงหน้าส่งสัญญาณ

กลุ่มทหารสวรรค์กำเริบเสิบสานยิ่งกว่าเดิมทันที ค้นหาทั้งข้างในข้างนอก จับกุมพนักงานสิบกว่าคนในร้านไปหมด พวกแหวนเก็บสมบัติและกำไลเก็บสมบัติที่อยู่บนตัวถูกรูดไปจนหมดเกลี้ยง ทั้งหมดถูกปิดผนึกวรยุทธ์และมัดไว้ ก่อนจะโยนเข้าไปในกระเป๋าสัตว์

จากนั้นก็กวาดล้างพวกสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์กับสมุนไพรเซียนที่อยู่ในร้านไปพร้อมกันทีเดียว ของที่มีราคาถูกปล้นจนหมดเกลี้ยง

กลุ่มคนที่ล้อมดูอยู่ตรงประตูถูกไล่ตะเพิดออกไป อิงอู๋ตี๋นำคนเดินก้าวยาวออกมาจากร้าน ข้างหลงมีคนรีบวางค่ายกลปิดร้านค้าอย่างรวดเร็ว เสาหินหยกต้นหนึ่งเสียบไว้ตรงประตูร้านที่ปิดสนิท พอร้ายพลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งเข้าไปกระตุ้น บนเสาหินหยกปรากฏตัวอักษรสีแดงสะดุดตาทันที ‘ปิด’

อิงอู๋ตี๋เหลือบมองทางซ้ายและขวาแวบหนึ่ง แล้วก็โบกมือนำคนเหาะขึ้นฟ้าไป เร่งไปยังร้านถัดไป…

แหล่งรวมเจ็ดอารมณ์!

ณ เขตเมืองตะวันตก สวีถังหรานที่สวมเกราะรบแม่ทัพหนึ่งแถบนำกำลังพลมาด้วยตัวเอง ตอนนี้กำลังเงยหน้ามองป้ายร้านที่ติดอยู่ตรงประตู โค้งปากยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาค่อนข้างชอบทำเรื่องแบบนี้ โบกมือวางท่าสั่งการทันที “ค้นให้ข้า!”

กำลังพลที่อยู่ข้างหลังเข้ามาล้อมทั้งร้านค้าไว้อย่างรวดเร็ว กลุ่มคนพุ่งเข้าไปโดยตรง ชั่วพริบตาเดียวข้างในก็มีเสียงของกระแทกโครมคราม กลุ่มลูกค้าวิ่งหนีออกมาข้างนอกท่ามกลางเสียงร้องตกใจ

“สวีถังหรานที่เอามือไขว่หลังเดินอย่างมั่นใจเข้ามามองดูร้านค้าที่ล้มระเกะระกะ เขารู้สึกเหมือนประสบความสำเร็จ ไม่นาน

ผู้จัดการร้านเย่สวินเกาก็ตกใจจนเดินออกมา ถามด้วยน้ำเสียงแกรี้ยวกราดเช่นกันว่า “สวีถังหราน เจ้าทำอะไร?”

สวีถังหรานแสยะยิ้ม “ผู้บัญชาการคนนี้ได้รับรายงาน บอกว่าร้านของเจ้าซ่อนของผิดกฎหมายที่ตำหนักสวรรค์ห้ามเอาไว้ จะไม่ตรวจสอบได้อย่างไร!”

เย่สวินเกาย่อมรู้ว่าไม่มีเรื่องแบบนี้แน่นอน ชัดเจนว่ามีคนกำลังล้างแค้น จึงยิ้มเหยียดพร้อมบอกว่า “อยากลงโทษใคร ก็ย่อมหาข้ออ้างได้เสมอ เจ้าฟังข้าให้ดีนะ พวกเจ้าจะต้องชดใช้สิ่งที่ตัวเองทำลงไปในวันนี้!” จากนั้นก็หันซ้ายหันขวา “ทุกคนอย่าขยับ ปล่อยให้พวกเขาค้นไป!”

เขารู้ผลลัพธ์ของการต่อต้านทหารสวรรค์ต่อหน้าฝูงชน จากที่มีเหตุผลจะกลายเป็นไม่มีเหตุผล

สวีถังหรานหัวเราะหึหึ เขาเดินไปด้านข้างอย่างไม่เกรงใจ เตะตู้ตัวหนึ่งจนล้มคว่ำทันที ดึงขวดผลึกใสขนาดใหญ่เท่ากำปั้นออกมาใบหนึ่งท่ามกลางสายตาประชาชี ข้างในย่อมบรรจุของเหลวสีดำเอาไว้เช่นกัน เขาแสร้งทำท่าร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบเล็กน้อย แล้วยื่นให้ตรงหน้าเย่สวินเกา “ของนี่มันคืออะไรกัน?”

เย่สวินเกาคิ้วกระตุกเล็กน้อย ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่รู้!”

สวีถังหรานพลันสีหน้าเปลี่ยน ตะคอกเสียงดุดันว่า “บังอาจซ่อน ‘ความปรารถนาร้าย’ เอาไว้ ทหาร! ค้นร้าน ปิดร้าน จับผู้ต้องสงสัยไปให้หมด!”

เย่สวินเกาไม่ได้ขัดขืน ได้แต่มองดูตัวเองโดนเชือกมัดเซียนมัดไว้ แล้วก็มองดูตัวเองโดนผนึกวรยุทธ์โดยทำอะไรไมได้ ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “บังอาจใช้ล่ห์เหลี่ยมต่ำช้ายัดของโจรใส่ร้าย เดี๋ยวข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะได้ร้องไห้อย่างไร!”

“ยังกล้าปากแข็งอีก!” สวีถังหรานหันตัวมาชกหนึ่งหมัด

ตุ้บ! ปากและจมูกของเย่สวินเกามีเลือดเนื้อปนกันเละเทะทันที ฟันหักปนเลือดกระเด็นออกมาจากปาก ทั้งตัวกระเด็นไปทุ่มใส่แท่นโต๊ะตัวหนึ่ง แล้วตกลงพื้นจนมึนศีรษะ

“อย่าเอาให้ถึงตาย!” สวีถังหรานโบกมือสั่ง มีคนหลายคนพุ่งเข้าไปล้อมปราบเย่สวินเกาทันที มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

ก็ช่วยไม่ได้ ผู้บัญชาการใหญ่หนิวเคยสั่งไว้ว่าให้ดูแลท่านนี้เป็นพิเศษ

ผ่านไปไม่นาน ร้านค้าเจ็ดอารมณ์เจ็ดอารมณ์ก็ถูกกวาดล้างจนหมดเกลี้ยง สวีถังหรานยืนเอามือไขว้หลังอยู่ตรงประตูร้านที่ถูกปิด กวาดสายตาลำพองใจมองกลุ่มคนที่กำลังล้อมดูตนด้วยสีหน้าเคารพยำเกรง ในใจรู้สึกถึงอกถึงใจเป็นพิเศษ

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าผลที่จะตามมาหลังจากวันนี้เป็นอย่างไร ร้านค้าที่ก่อนหน้านี้ดูมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง ขนาดตนยังต้องเกรงใจและระมัดระวัง ยังไม่เคยสะใจเหมือนอย่างวันนี้มาก่อนเลย อยากจะตีก็ตี อยากจะทุ่มก็ทุ่ม ไม่ว่าภูมิหลังเจ้าจะเป็นอย่างไร แต่ก็ต้องแหลกลาญอยู่ภายใต้หมัดของข้า โคตรสะใจ!

เมื่อได้ระบายอารมณ์แล้ว สวีถังหรานที่ค้นพบความรู้สึกพึงพอใจก็โบกมือ นำคนไปยังร้านถัดไป…

ร้านขายของชำซื่อตรง! กลุ่มทหารสวรรค์พุ่งเข้ามาล้อม คนที่กำลังซื้อขายอยู่ข้างในถูกไล่ตะเพิดออกมา โต๊ะคิดเงินที่ปิดสนิทถูกพังจนเปิดออก กลุ่มทหารพุ่งเข้าไปตรวจค้นและจับกุมคนโดยตรง

อวี้ซวีเจินเหรินที่นั่งคุมที่นี่ย่อมตกใจจนต้องออกมา พอลงมาด้านล่างก็ถูกอาวุธหลายชิ้นจ่อทันที อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ แล้วถามอย่างระแวงสงสัยว่า “ขุนนางสวรรค์ทุกท่าน ทำแบบนี้มีเจตนาอะไร?”

คนที่เป็นแกนนำเดินออกมา แล้วตอบกลั้วหัวเราะว่า “เจินเหรินไม่ต้องกลัว! พวกเราได้รับรายงาน ว่าสมาคมร้านค้าของตลาดสวรรค์กำลังร่วมมือกับร้านค้าน้อยใหญ่ในตลาดสวรรค์เพื่อเตรียมวางแผนก่อกบฎอย่างลับๆ ร้านขายของชำซื่อตรงที่อยู่ในรายงานก็ถูกโยงเข้าไปด้วยเช่นกัน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวม ผู้บัญชาการใหญ่สั่งให้สอบสวนและลงโทษอย่างเข้มงวด! ผู้บัญชาการใหญ่ฝากมาบอกเจินเหรินเป็นพิเศษ ว่าขอให้เจินเหรินให้ความร่วมมือในการตรวจสอบ จะไม่เกิดปัญหาอะไรแน่นอน”

วางแผนก่อกบฎอย่างลับๆ? ล้อเล่นอะไรกัน? อวี้ซวีเจินเหรินเงียบไป เขาเองก็รู้ว่าสถานการณ์ของเหมียวอี้ช่วงนี้ไม่ค่อยดี และรู้ด้วยว่าสมาคมร้านค้ากำลังร่วมมือกันต่อต้านเหมียวอี้ แต่ในเมื่อเหมียวอี้บอกว่าจะไม่มีปัญหาอะไร ก็เดาว่าเหมียวอี้คงไม่ทำอะไรซี้ซั้วกับพวกเขาเช่นกัน เพียงแต่ทำไมไม่ได้ข่าวจากเป่าเหลียนล่วงหน้าเลยสักนิด?

“ทุกคนอย่าขยับซี้ซั้ว ให้ความร่วมือเถอะ!” อวี้ซวีเจินเหรินถอนหายใจ

ไม่นานก็มีคนเข้ามาลงมือผนึกวรยุทธ์ของพวกเขา รูดกำไลเก็บสมบัติและแหวนเก็บสมบัติบนตัวไปหมด ไม่ให้ตกหล่นแม้แต่คนเดียว ทั้งหมดถูกจับตัวไปแล้ว ร้านขายของชำซื่อตรงก็ถูกยึดของไปหมดเช่นกัน ร้านค้าก็ถูกปิดแล้วเช่นกัน…

1073

ผู้บัญชาใหญ่โกรธมาก

ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนยังคงตกใจกับความเร็วของฝีเท้าอิงอู๋ตี๋ มีคนไม่น้อยแอบบอกว่า ดูท่าแล้วผู้บัญชาการของตลาดสวรรค์ก็ไม่ใช่ไก่อ่อนเหมือนกัน

ส่วนอิงอู๋ตี๋ที่เดินเข้าไปข้างในก็ยืนเอามือไขว้หลังอยู่กลางร้าน แววตาดุจอินทรีกิริยาดังหมาป่าเหลียวหลังกำลังกวาดมองโดยรอบอย่างเย็นเยียบ มองดูกลุ่มลูกน้องพลิกกล่องล้มตู้อยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่ากำลังค้นหาอะไร

“ร้านนี้หยุดกิจการชั่วคราว!” มีทหารสวรรค์ไล่แขกในร้านออกมา

“ทั้งหมดไสหัวไปคุกเข่าตรงนั้น!” แล้วก็มีทหารสวรรค์ไล่พนักงานทั้งหมดในร้านไปไว้ด้วยกันเพื่อเฝ้าจับตาดู

สวนเทพเซียนเป็นร้านที่ขายพวกสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์และสมุนไพรเซียนโดยเฉพาะ มีสีสันหลากหลายวางแสดงอยู่ในตู้เต็มไปหมด ทั้งร้านมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ทำให้สดชื่นผ่อนคลาย ทว่าในเวลานี้กลับเจอภัยพิบัติแล้ว โดนกลุ่มทหารสวรรค์ที่ดุเหมือนเสือทุ่มพังแล้ว

ท่ามกลางเสียงดังโครมคราม มีพนักงานบางคนทนมองต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ตะโกนอย่างร้อนรนว่า “พวกเจ้ากำลังทำอะไร อา…”

ยังพูดไม่ทันขาดคำก็ร้องโอดโอยแล้ว เพิ่งจะพูดไปประโยคเดียว ก็โดนผู้ช่วยผู้บัญชาการของอิงอู๋ตี๋ใช้ทวนกระแทกจนล้มคว่ำลงพื้น แล้วก็มีคนมาลากไปโยนให้คุกเข่าในกลุ่มคนบนพื้น

ล้อเล่นอะไรกัน นายท่านผู้บัญชาการออกหน้านำทัพด้วยตัวเองแล้ว ท่านผู้บัญชาการเคยสั่งไว้เอง ย่อมต้องแน่วแน่ที่จะแสดงให้เห็นว่าได้ทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ

ผู้คนที่สัญจรไปมาด้านนอกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น รีบเข้ามาอุดทางมุงดู แต่กลับโดนทหารสวรรค์ที่เฝ้าประตูขวางไว้ ไม่สามารถเข้าไปได้ ทำได้เพียงชะเง้อมองภาพเหตุการณ์อยู่ด้านนอก

สะเทือนไปถึงผู้จัดการร้านที่อยู่ด้านในอย่างรวดเร็ว รีบวิ่งออกมาจากโถงด้านหลัง พอเห็นสภาพในร้านค้า แล้วเห็นอิงอู๋ตี๋กำลังยืนเอามือไขว้หลัง เขาก็เข้าใจในทันที ว่ากำลังมีคนใช้อำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัว จึงตะคอกถามเสียงต่ำทันที “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหวงลี่สิ้งนั่นเอง เรียกได้ว่าพุ่งเข้ามาตรงหน้าอิงอู๋ตี๋ เผชิญหน้าพร้อมใช้วาจาและท่าทางดุดัน แทบจะชี้หน้าด่าอิงอู๋ตี๋แล้ว อาศัยภูมิหลังของเขา ทำให้ไม่กลัวการล้างแค้นของทหารสวรรค์พวกนี้เลยจริงๆ!

อิงอู๋ตี๋มองเขาด้วยแววตาดุร้ายปนเล่นสนุกอยู่หลายส่วน พึมพำในใจว่า ยังกล้าหนีอีกเหรอ ข้าจะดูว่าเจ้าจะหนีได้สักกี่ครั้ง มิน่าล่ะเจ้าห้าจึงต้องใช้บทโหด!

“ผู้บัญชาการคนนี้ได้รับรายงานมา ว่ามีคนซ่อนของผิดกฎหมายเอาไว้ เลยมาตรวจค้นเป็นพิเศษ!” อิงอู๋ตี๋กล่าวเสียงเย็น เขาเป็นคนที่หน้าตาท่าทางดุร้ายโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

“พวกเราซ่อนของผิดกฎหมายเหรอ? ตลกน่า!” หวงลี่สิ้งกล่าวดุด้วยเสียงเกรี้ยวโกรธ “นี่พวกเจ้ากำลังใช้อำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัว!”

เป้าหมายหลักออกมาแล้ว ใกล้จะเสร็จแล้ว! อิงอู๋ตี๋ไม่มีเวลามาจู้จี้จุกจิกกับเขา เพียงเหลือบมองแวบหนึ่ง ส่งสายตาให้ราชาปีศาจคนหนึ่งที่ตัวเองพามาจากทะเลดาวนักษัตร

ราชาปีศาคนนั้นเข้ามาในกลุ่มคนที่พลิกกล่องล้มตู้ ยื่นมือไปเลิกเปิดหลังโต๊ะคิดเงินตัวหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ชี้ไปที่ด้านล่างของโต๊ะคิดเงิน ชี้ขวดผลึกใสใบหนึ่งที่บรรจุของเหลวสีดำที่ติดอยู่ใต้โต๊ะคิดเงิน พร้อมถามเสียงดัง “สิ่งนี้คืออะไร? ทำไมมันดูคุ้นๆ จัง?”

มีคนก้าวเข้าไปแกะขวดผลึกใสที่ติดอยู่ใต้โต๊ะคิดเงินลงมาทันที หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบ ก็อุทานอย่างตกใจว่า “นี่คือ ‘ความปรารถนาร้าย’ ที่ตลาดสวรรค์สั่งห้ามไม่ให้มีไว้ในครอบครอง!”

กลุ่มคนที่ล้อมดูตรงประตูร้านส่งเสียงฮือฮาทันที แต่หวงลี่สิ้งกลับงุนงง

ราชาปีศาจคนนั้นรีบรับมาดูในมือ หลังจากตรวจดูแล้วก็พยักหน้าให้อิงอู๋ตี๋ “ผู้บัญชาการ เป็นความปรารถนาร้ายจริงๆ ขอรับ!”

อิงอู๋ตี๋กางนิ้วทั้งห้า ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูดมาไว้ในมือโดยตรง หลังจากตรวจดูแล้ว ก็เผยตรงหน้าหวงลี่สิ้งพร้อมกล่าวเสียงต่ำ “จับได้ทั้งคนทั้งของกลาง เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกมั้ย?”

หวงลี่สิ้งเองก็ไม่ใช่คนโง่ นี่เป็นการเล่นที่ชัดเจนเกินไป เขาโมโหทันที ตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดว่า “พวกเจ้าตั้งใจยัดของใส่ร้ายข้า!”

“เจ้านับว่าเป็นตัวอะไร คู่ควรให้พวกเรายัดของใส่ร้ายด้วยเหรอ!” อิงอู๋ตี๋แสยะยิ้มอย่างน่ากลัว แล้วหันกลับมามองทางซ้ายและขวาพร้อมตะโกนว่า “ยึดสินค้าทั้งหมดของร้านนี้ไปรอตรวจสอบ จับทุกคนไปให้หมด ปิดร้าน!”

“เจ้ากล้าเหรอ!” หวงลี่สิ้งชี้อิงอู๋ตี๋อย่างเกรี้ยวกราด ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหก วรยุทธ์เหนือกว่าอิงอู๋ตี๋สองขั้น

ในดวงตาเหยี่ยวของอิงอู๋ตี๋ฉายแววสังหารทันที พยักหน้าบอกว่า “เจ้าใจกล้าไม่เบา บังอาจต่อต้านทหารสวรรค์ ทั้งยังกล้าลงมือกับต่อหน้าฝูงชนอีกเหรอ?”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา หวงลี่สิ้งก็ทำสีหน้าไม่ถูก ข้อหานี้เขารับไม่ไหว ไม่อย่างนั้นจากที่มีเหตุผลจะกลายเป็นไร้เหตุผล เส้นตายของกฎกติกาบางอย่างก็ยังต้องปฏิบัติตาม ถึงอย่างไรทหารสวรรค์พวกนี้ก็เป็นตัวแทนของตำหนักสวรรค์ การฝ่าฝืนต่อหน้าฝูงชนก็เท่ากับดูหมิ่นอำนาจสวรรค์แล้ว

เขาเพิ่งจะวางมือลง แต่อิงอู๋ตี๋กลับลงมือแล้ว เรียกได้ว่าเงากรงเล็บขยับยุ่งเหยิง หวงลี่สิ้งตกใจมาก จิตใต้สำนึกอยากจะป้องกัน แต่กลับพบว่าคนวรยุทธ์บงกชทองขั้นหกอย่างตนไม่เร็วเท่าอีกฝ่ายที่วรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่ ในระยะใกล้แบบนี้ป้องกันไม่ชนะจริงๆ

ผ่านไปไม่นาน เขาไม่เพียงแค่ได้รับรู้ถึงความเร็วของอิงอู๋ตี๋ ได้รับรู้ถึงความแหลมคมของกรงเล็บอิงอู๋ตี๋ด้วย

รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่แขนสองข้าง “อา!” หวงลี่สิ้งกรีดร้องโหยหวน

แขนสองข้างถูกกรงเล็บขยุ้มจนเลือดเนื้อกระเด็น ตรงกระดูกข้อต่อที่ไหล่สองข้างถูกอิงอู๋ตี๋ที่ถลันตัวมาอยู่ข้างหลังขยุ้มจนแตกกระจายแล้ว แขนสองข้างถูกฉีกกระเด็นออกไปโดยตรง

ท่ามกลางเลือดเนื้อที่กระจายออกมา อิงอู๋ตี๋หยุดมือ แล้วค่อยๆ กางนิ้วทั้งสองข้างออก เศษกระดูกและเนื้อที่เหลวเละกองหนึ่งตกลงพื้น

หวงลี่สิ้งไม่กล้าขัดขืน ข่มกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ พอหันหน้ามาโดยที่ยังไม่ทันพูดอะไร อาวุธหลายชิ้นก็มาจ่ออยู่บนตัวแล้ว หลังจากใช้เชือกมัดเซียนมัดเขาไว้ตรงนั้น ก็มีคนลงมือปิดผนึกวรยุทธ์ของเขาโดยตรง แล้วเตะล้มลงพื้น คนหลายคนที่พุ่งเข้ามาตะลุมบอนสู้กันอย่างไร้ระเบียบพักหนึ่ง ทำให้มีเสียงกระดูกหักดังมาอย่างต่อเนื่อง

“พอแล้ว อย่าตีให้ถึงตาย!” อิงอู๋ตี๋ส่งเสียงหยุด แล้วเอียงหน้าส่งสัญญาณ

กลุ่มทหารสวรรค์กำเริบเสิบสานยิ่งกว่าเดิมทันที ค้นหาทั้งข้างในข้างนอก จับกุมพนักงานสิบกว่าคนในร้านไปหมด พวกแหวนเก็บสมบัติและกำไลเก็บสมบัติที่อยู่บนตัวถูกรูดไปจนหมดเกลี้ยง ทั้งหมดถูกปิดผนึกวรยุทธ์และมัดไว้ ก่อนจะโยนเข้าไปในกระเป๋าสัตว์

จากนั้นก็กวาดล้างพวกสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์กับสมุนไพรเซียนที่อยู่ในร้านไปพร้อมกันทีเดียว ของที่มีราคาถูกปล้นจนหมดเกลี้ยง

กลุ่มคนที่ล้อมดูอยู่ตรงประตูถูกไล่ตะเพิดออกไป อิงอู๋ตี๋นำคนเดินก้าวยาวออกมาจากร้าน ข้างหลงมีคนรีบวางค่ายกลปิดร้านค้าอย่างรวดเร็ว เสาหินหยกต้นหนึ่งเสียบไว้ตรงประตูร้านที่ปิดสนิท พอร้ายพลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งเข้าไปกระตุ้น บนเสาหินหยกปรากฏตัวอักษรสีแดงสะดุดตาทันที ‘ปิด’

อิงอู๋ตี๋เหลือบมองทางซ้ายและขวาแวบหนึ่ง แล้วก็โบกมือนำคนเหาะขึ้นฟ้าไป เร่งไปยังร้านถัดไป…

แหล่งรวมเจ็ดอารมณ์!

ณ เขตเมืองตะวันตก สวีถังหรานที่สวมเกราะรบแม่ทัพหนึ่งแถบนำกำลังพลมาด้วยตัวเอง ตอนนี้กำลังเงยหน้ามองป้ายร้านที่ติดอยู่ตรงประตู โค้งปากยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาค่อนข้างชอบทำเรื่องแบบนี้ โบกมือวางท่าสั่งการทันที “ค้นให้ข้า!”

กำลังพลที่อยู่ข้างหลังเข้ามาล้อมทั้งร้านค้าไว้อย่างรวดเร็ว กลุ่มคนพุ่งเข้าไปโดยตรง ชั่วพริบตาเดียวข้างในก็มีเสียงของกระแทกโครมคราม กลุ่มลูกค้าวิ่งหนีออกมาข้างนอกท่ามกลางเสียงร้องตกใจ

“สวีถังหรานที่เอามือไขว่หลังเดินอย่างมั่นใจเข้ามามองดูร้านค้าที่ล้มระเกะระกะ เขารู้สึกเหมือนประสบความสำเร็จ ไม่นาน

ผู้จัดการร้านเย่สวินเกาก็ตกใจจนเดินออกมา ถามด้วยน้ำเสียงแกรี้ยวกราดเช่นกันว่า “สวีถังหราน เจ้าทำอะไร?”

สวีถังหรานแสยะยิ้ม “ผู้บัญชาการคนนี้ได้รับรายงาน บอกว่าร้านของเจ้าซ่อนของผิดกฎหมายที่ตำหนักสวรรค์ห้ามเอาไว้ จะไม่ตรวจสอบได้อย่างไร!”

เย่สวินเกาย่อมรู้ว่าไม่มีเรื่องแบบนี้แน่นอน ชัดเจนว่ามีคนกำลังล้างแค้น จึงยิ้มเหยียดพร้อมบอกว่า “อยากลงโทษใคร ก็ย่อมหาข้ออ้างได้เสมอ เจ้าฟังข้าให้ดีนะ พวกเจ้าจะต้องชดใช้สิ่งที่ตัวเองทำลงไปในวันนี้!” จากนั้นก็หันซ้ายหันขวา “ทุกคนอย่าขยับ ปล่อยให้พวกเขาค้นไป!”

เขารู้ผลลัพธ์ของการต่อต้านทหารสวรรค์ต่อหน้าฝูงชน จากที่มีเหตุผลจะกลายเป็นไม่มีเหตุผล

สวีถังหรานหัวเราะหึหึ เขาเดินไปด้านข้างอย่างไม่เกรงใจ เตะตู้ตัวหนึ่งจนล้มคว่ำทันที ดึงขวดผลึกใสขนาดใหญ่เท่ากำปั้นออกมาใบหนึ่งท่ามกลางสายตาประชาชี ข้างในย่อมบรรจุของเหลวสีดำเอาไว้เช่นกัน เขาแสร้งทำท่าร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบเล็กน้อย แล้วยื่นให้ตรงหน้าเย่สวินเกา “ของนี่มันคืออะไรกัน?”

เย่สวินเกาคิ้วกระตุกเล็กน้อย ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่รู้!”

สวีถังหรานพลันสีหน้าเปลี่ยน ตะคอกเสียงดุดันว่า “บังอาจซ่อน ‘ความปรารถนาร้าย’ เอาไว้ ทหาร! ค้นร้าน ปิดร้าน จับผู้ต้องสงสัยไปให้หมด!”

เย่สวินเกาไม่ได้ขัดขืน ได้แต่มองดูตัวเองโดนเชือกมัดเซียนมัดไว้ แล้วก็มองดูตัวเองโดนผนึกวรยุทธ์โดยทำอะไรไมได้ ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “บังอาจใช้ล่ห์เหลี่ยมต่ำช้ายัดของโจรใส่ร้าย เดี๋ยวข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะได้ร้องไห้อย่างไร!”

“ยังกล้าปากแข็งอีก!” สวีถังหรานหันตัวมาชกหนึ่งหมัด

ตุ้บ! ปากและจมูกของเย่สวินเกามีเลือดเนื้อปนกันเละเทะทันที ฟันหักปนเลือดกระเด็นออกมาจากปาก ทั้งตัวกระเด็นไปทุ่มใส่แท่นโต๊ะตัวหนึ่ง แล้วตกลงพื้นจนมึนศีรษะ

“อย่าเอาให้ถึงตาย!” สวีถังหรานโบกมือสั่ง มีคนหลายคนพุ่งเข้าไปล้อมปราบเย่สวินเกาทันที มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

ก็ช่วยไม่ได้ ผู้บัญชาการใหญ่หนิวเคยสั่งไว้ว่าให้ดูแลท่านนี้เป็นพิเศษ

ผ่านไปไม่นาน ร้านค้าเจ็ดอารมณ์เจ็ดอารมณ์ก็ถูกกวาดล้างจนหมดเกลี้ยง สวีถังหรานยืนเอามือไขว้หลังอยู่ตรงประตูร้านที่ถูกปิด กวาดสายตาลำพองใจมองกลุ่มคนที่กำลังล้อมดูตนด้วยสีหน้าเคารพยำเกรง ในใจรู้สึกถึงอกถึงใจเป็นพิเศษ

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าผลที่จะตามมาหลังจากวันนี้เป็นอย่างไร ร้านค้าที่ก่อนหน้านี้ดูมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง ขนาดตนยังต้องเกรงใจและระมัดระวัง ยังไม่เคยสะใจเหมือนอย่างวันนี้มาก่อนเลย อยากจะตีก็ตี อยากจะทุ่มก็ทุ่ม ไม่ว่าภูมิหลังเจ้าจะเป็นอย่างไร แต่ก็ต้องแหลกลาญอยู่ภายใต้หมัดของข้า โคตรสะใจ!

เมื่อได้ระบายอารมณ์แล้ว สวีถังหรานที่ค้นพบความรู้สึกพึงพอใจก็โบกมือ นำคนไปยังร้านถัดไป…

ร้านขายของชำซื่อตรง! กลุ่มทหารสวรรค์พุ่งเข้ามาล้อม คนที่กำลังซื้อขายอยู่ข้างในถูกไล่ตะเพิดออกมา โต๊ะคิดเงินที่ปิดสนิทถูกพังจนเปิดออก กลุ่มทหารพุ่งเข้าไปตรวจค้นและจับกุมคนโดยตรง

อวี้ซวีเจินเหรินที่นั่งคุมที่นี่ย่อมตกใจจนต้องออกมา พอลงมาด้านล่างก็ถูกอาวุธหลายชิ้นจ่อทันที อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ แล้วถามอย่างระแวงสงสัยว่า “ขุนนางสวรรค์ทุกท่าน ทำแบบนี้มีเจตนาอะไร?”

คนที่เป็นแกนนำเดินออกมา แล้วตอบกลั้วหัวเราะว่า “เจินเหรินไม่ต้องกลัว! พวกเราได้รับรายงาน ว่าสมาคมร้านค้าของตลาดสวรรค์กำลังร่วมมือกับร้านค้าน้อยใหญ่ในตลาดสวรรค์เพื่อเตรียมวางแผนก่อกบฎอย่างลับๆ ร้านขายของชำซื่อตรงที่อยู่ในรายงานก็ถูกโยงเข้าไปด้วยเช่นกัน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวม ผู้บัญชาการใหญ่สั่งให้สอบสวนและลงโทษอย่างเข้มงวด! ผู้บัญชาการใหญ่ฝากมาบอกเจินเหรินเป็นพิเศษ ว่าขอให้เจินเหรินให้ความร่วมมือในการตรวจสอบ จะไม่เกิดปัญหาอะไรแน่นอน”

วางแผนก่อกบฎอย่างลับๆ? ล้อเล่นอะไรกัน? อวี้ซวีเจินเหรินเงียบไป เขาเองก็รู้ว่าสถานการณ์ของเหมียวอี้ช่วงนี้ไม่ค่อยดี และรู้ด้วยว่าสมาคมร้านค้ากำลังร่วมมือกันต่อต้านเหมียวอี้ แต่ในเมื่อเหมียวอี้บอกว่าจะไม่มีปัญหาอะไร ก็เดาว่าเหมียวอี้คงไม่ทำอะไรซี้ซั้วกับพวกเขาเช่นกัน เพียงแต่ทำไมไม่ได้ข่าวจากเป่าเหลียนล่วงหน้าเลยสักนิด?

“ทุกคนอย่าขยับซี้ซั้ว ให้ความร่วมือเถอะ!” อวี้ซวีเจินเหรินถอนหายใจ

ไม่นานก็มีคนเข้ามาลงมือผนึกวรยุทธ์ของพวกเขา รูดกำไลเก็บสมบัติและแหวนเก็บสมบัติบนตัวไปหมด ไม่ให้ตกหล่นแม้แต่คนเดียว ทั้งหมดถูกจับตัวไปแล้ว ร้านขายของชำซื่อตรงก็ถูกยึดของไปหมดเช่นกัน ร้านค้าก็ถูกปิดแล้วเช่นกัน…

1074

ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา

บนพื้นที่ว่างนอกจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก กำลังพลสี่เขตเมืองมารวมตัวกันที่นี่อย่างรวดเร็ว

ผลลัพธ์จากการรวมตัวก็คือ ผู้ต้องสงสัยที่จับมาจากร้านค้าต่างๆ ถูกโยนออกมาแล้ว กระแทกตกลงปนกันเหมือนเนื้อและผักในอาหาร

ชั่วพริบตาเดียวก็มีคนสี่พันห้าพันคนถูกคุมตัวออกมา แต่ละคนสภาพจนตรอกสะบักสะบอม มีคนไม่น้อยที่เปื้อนเลือดเต็มตัว ถูกซ้อมจนมีบาดแผลไปทั่วไป

ณ ที่ตรงนั้น ถ้ารวมกับทหารสวรรค์หลายพันคน ก็ทำให้คนเยอะจนเกลื่อนกลาดไปยันถนนใกล้เคียง

“คุกเข่า!”

“คุกเข่า!”

กลุ่มทหารสวรรค์เดินผ่ากลางระหว่างกลุ่มผู้ต้องสงสัย เกราะรบสว่างจ้าตาอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ควงดาบโบกทวนชี้ไปทั่วราวกับเป็นอันธพาลชั่วร้าย เสียงตะคอกดังขึ้นเป็นระลอก บังคับให้ผู้ต้องสงสัยคุกเข่าลงหน้าประตูใหญ่ของจวนผู้บัญชาการ

มีบางคนแข็งข้อไม่ยอมคุกเข่า “อา!” เสียงกรีดร้องเจ็บปวดดังขึ้นทันที มีคนควงดาบฟันแล้ว ฟันจนขาสองข้างกระเด็น ดูซิว่าเจ้าจะคุกเข่าหรือไม่คุกเข่า!

บางคนก็ยิ่งกว่านั้น พอแสงสะท้อนคมดาบกะพริบ เลือดสดก็พุ่งขึ้นฟ้า ศีรษะถูกตัดกระเด็น ไม่มีที่ว่างให้เจรจากันเลย กลุ่มพ่อค้าพากันคุกเข่าเป็นแถบๆ ถึงอย่างไรชีวิตก็สำคัญกว่า ทุกคนคุกเข่าพร้อมกันก็ไม่นับว่าเสียหน้าอะไร

แม้แต่อวี้ซวีเจินเหรินที่ลังเลและคุดเข่าช้านิดหน่อย ก็ถูกคนเตะให้คุกเข่าลงกับพื้นเหมือนกัน

หลังจากถูกจับออกมาจากกระเป๋าสัตว์ หวงฝู่จวินโหรวที่ผมงามยุ่งสยายก็ตกใจกับภาพเห็นการณ์ที่เห็น แต่ใครจะคิดว่าข้างหลังจะมีคนจับคอนางกดทันที พร้อมทั้งมีคนเตะที่ข้อพับหลังเข่าในนั่งลง ไม่คุกเขาก็ต้องคุกเข่า คุกเข่าลงพื้นอย่างมั่นคง ความเดือดดาลในใจนางยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ พลังอิทธิฤทธิ์ถูกผนึกจึงไม่มีทางขัดขืน

หารู้ไม่ว่านางยังได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นศีรษะของหายไปนานแล้ว เมื่อมองดูศีรษะและขาหลายข้างที่โดนฟันกระเด็นอยู่รอบๆ อย่างต่อเนื่องก็จะรู้เอง

เพียงแต่ความโกรธแค้นในใจหวงฝู่จวินโหรวยากจะสลายหายไปจริงๆ ตลอดชีวิตนางไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรก!

ทว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว คุกเข่าก็คุกไปแล้ว ไม่คุกเข่าก็คงไม่ได้ ทำได้เพียงปะปนอยู่ในกลุ่มคนและคุกเข่ากัดฟันอยู่อย่างนั้น มีอารมณ์วู่วามอยากจะกัดเหมียวอี้ให้ตาย

ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัว สวีถังหราน ผู้บัญชาการทั้งสี่คนมาเจอกัน พวกมองดูภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่อลังการจริงๆ บังคับทาสประจำตระกูลของชนชั้นสูงสี่ห้าพันคนให้คุกเข่า กวาดล้างผู้มีอำนาจระดับบนของตำหนักสวรรค์จนแทบไม่เหลือ!

ทั้งสี่คนหันกลับมามองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร แต่อาศัยแค่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญนี้ ทั้งสี่ก็แอบทอดถอนใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้แล้ว!

ทั้งสี่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการ สวีถังหรานกับมู่หรงซิงหัวก็อยู่ในนั้นด้วย ไม่ว่าทั้งสองจะเป็นลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้หรือไม่ อย่างน้อยภายนอกทั้งสองก็มียศเป็นแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบ ส่วนฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็แยกยืนเป็นแถวอยู่ทางซ้ายและขวา

ภายใต้การถ่ายทอดเสียงคุยกันของทั้งสี่ ร้านค้าสองร้อยกว่าร้านที่อยู่อันดับต้นๆ ในรายชื่อถูกคุมตัวมาอยู่ข้างหน้า คนของร้านค้าหนึ่งร้อยร้านที่เหมียวอี้เพิ่มเข้าไปตอนหลังเพราะความโมโหคุกเข่าอยู่ด้านหลัง กันคนสองกลุ่มออกจากกัน แบ่งแยกความแตกต่างชัดเจน

ส่วนเย่สวินเกาและผู้จัดการของสิบหกร้านค้า ก็ถูกลากออกมาท่ามกลางกลุ่มคน มาแยกคุกเข่าเป็นสี่แถวตรงจุดหน้าสุดที่มองเห็นได้ง่ายที่สุด แต่ละคนคุกเข่าอยู่อย่างนั้นด้วยสภาพที่ถูกซ้อมจนสาหัสยับเยินถึงขีดสุด

ก็ช่วยไม่ได้ เหมียวอี้กำหนดให้ดูแลสิบหกคนนี้เป็นพิเศษ

ผู้จัดการทั้งสิบหกคนมองประตูใหญ่ของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกอย่างแววตาลุกเป็นไฟ กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดอะไร บุรุษที่แท้จริงต้องยอมลดราวาศอกได้ชั่วคราว เอาไว้รอคิดบัญชีกับขุนนางสุนัขนี่ทีหลัง!

ฝูชิงและผู้บัญชาการอีกสามคนไม่แยแสแววตาดุร้ายของพวกเขา ยืนรอคอยอย่างนิ่งสงบอยู่ตรงนั้น

ส่วนรอบข้างก็ยิ่งมีคนมารวมตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหัวซอยท้ายซอย ทั้งยังมีบนหลังคารอบๆ จวนผู้บัญชาการ กลุ่มคนที่เบียดเสียดทว่าเงียบเชียบไร้เสียงกำลังเบิกตากว้างมามองตรงนี้ มีแต่ความรู้สึกตกใจ ประหลาดใจ เหลือเชื่ออยู่บนใบหน้าพวกเขา

อวิ๋นจือชิว สองพี่น้องโอวหยาง เชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์เบียดกันอยู่บนหลังคาและกำลังมองภาพเหตุการณ์ตรงนี้อย่างงุนงง พวกนางกังวลเรื่องทางนี้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะดูจนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนช่างไม้กับช่างหินก็คอยยื่นมือกันข้างหลังให้พวกนาง กันไม่ให้คนอื่นๆ เข้าใกล้พวกนาง

คนหลายพันคนนั่งคุกเข่า ภาพนี้ยิ่งใหญ่อลังการเกินไปจริงๆ โอวหยางหลางหันกลับมา แล้วถ่ายทอดเสียงถามอย่างไม่เข้าใจ “พี่สาว นี่นายท่านกำลังจะทำอะไร?นี่เป็นคำสั่งของนายท่านจริงเหรอคะ?”

อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม “จะทำอะไรได้ล่ะ? ก็เพื่อจะเอาชนะไง ผู้ชายบ้านเราเป็นบ้าไปแล้ว! สงสัยพวกเราคงต้องรีบแอบหนีกลับพิภพเล็กเร็วๆ นี้แล้วล่ะ! ไม่ใช่สิ บางทีอาจจะมีแค่เขาที่หนีกลับไป พวกเรายังอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ถึงอย่างไร…”

สายตานางหยุดชะงัก บังเอิญไปเห็นคนที่คุ้นตาคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน หวงฝู่จวินโหรวของร้านค้าสมาคมวีรชน!

ตอนแรกนางยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป แต่หลังจากเห็นพนักงานหลายคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาของร้านค้าสมาคมวีรชน ถึงได้กล้าแน่ใจว่าเป็นเรื่องจริง

เมื่อเห็นหวงฝู่จวินโหรวนั่งคุกเข่าด้วยสภาพสะบักสะบอมผมยุ่งสยาย อวิ๋นจือชิวก็ทำสีหน้างุนงง ทำไมแม้แต่นางก็จับมาคุกเข่าด้วย หนิวเอ้อร์ทำกับนางแบบนี้ได้ด้วยเหรอ? หรือว่าสิ่งที่ตนคาดเดาผิดพลาดมาตลอด? ใส่ร้ายเขาอย่างไม่เป็นธรรมมาตลอด?

ตรงริมหน้าต่างของภัตตาคารแห่งหนึ่ง ท่านแม่สวีกับเสวี่ยหลิงหลงและนางรำคนอื่นๆ ของหอกลิ่นสวรรค์เบียดกันดูอยู่ตรงหน้าต่างเช่นกัน แต่ละคนตกตะลึงอ้าปากค้าง ตรงนั้นมีผู้จัดการร้านที่มีภูมิหลังแข็งแกร่งมากมายที่พวกนางคุ้นหน้าคุ้นตา แต่ละคนกำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพวกเขา

สำหรับคนที่รู้จักภูมิหลังของผู้จัดการพวกนั้น นี่คือเหตุการณ์ที่เขย่าขวัญมาก สำหรับผู้จัดการร้านค้าที่โชคดีไม่เป็นอะไร เหตุการณ์นี้สะเทือนใจสุดๆ!

ส่วนคนที่ผ่านทางมาชั่วคราวก็แค่ประหลาดใจเท่านั้น กำลังสุมหัวกระซิบกระซาบสืบข่าวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

แกรก! แกรก!

เสียงฝีเท้าที่มั่นคงแผ่วเบาทว่ามีจังหวะดังมาจากในจวนผู้บัญชาการ

ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัวและสวีถังหรานหันกลับมามองแวบหนึ่ง จากนั้นก็หลีกทางถอยไปทางซ้ายและขวาทันที กุมหมัดคารวะไปทางประตูใหญ่

ทหารสวรรค์ที่เฝ้าอยู่ทางซ้ายและขวาของประตูใหญ่ก็รีบกุมหมัดคารวะเช่นกัน

การเปลี่ยนแปลงของตรงนี้ทำให้รอบข้างเงียบสงัดทันที สายตาของทุกคนมองไปยังทิศทางเดียว เงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่ดังมาอย่างชัดเจน

ภายใต้แสดงอาทิตย์ที่สว่างสดใส ร่างสูงตระหง่านที่สวมเกราะรบสีม่วงค่อยๆ ก้าวมาปรากฏตัวอยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการ ย่างก้าวมั่นคงหนักแน่น ภายใต้แสงแดดที่สาดส่องลงมา เกราะม่วงบนตัวถูกปกคลุมด้วยรัศมีสวยวิจิตรตระการตาหนึ่งชั้นอันเกิดจากการประสมของสีทองและสีม่วง บางทีฝูงชนอาจจะได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมของสถานที่ตรงนั้น การปรากฏตัวของผู้ที่มาทำให้คนรู้สึกเคารพเลื่อมใสตามไปด้วย

รองท้ายาวโลหะสีม่วงตรงเท้าของเหมียวอี้หยุดเดิน เขาหยุดอยู่นอกประตูจวนผู้บัญชาการ องอาจผึ่งผาย แววตาเย็นเยียบดุร้าย สีหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ ลักษณะอันทรงพลังของผู้บัญชาการใหญ่แผ่คลุมคนทั้งพื้นที่ ทำให้ทุกคนรู้สึกได้เพียงคำเดียวว่า…ไม่เห็นใครอยูในสายตา!

คนที่ไม่เคยเห็นเขามาก่อน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาคือใคร

ส่วนผู้หญิงที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น สายตาที่จ้องอยู่บนตัวเหมียวอี้ฉายแววเคลิบเคลิ้มในชั่วพริบตาเดียว  แต่ละคนร้องอุทานในใจ ช่างเป็นผู้บัญชาการตลาดสวรรค์ที่ทั้งหล่อและมีความสามารถ มีรสชาติของความเป็นลูกผู้ชาย ช่างมีพลังอำนาจ!

ส่วนพวกผู้ชายก็หวาดกลัวในใจ ผู้บัญชาการใหญ่ท่านนี้มีสง่าราศีไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย!

แม้แต่อวิ๋นจือชิวก็ไม่เคยเห็นเหมียวอี้ตอนตั้งใจแต่งตัวแบบนี้ ขณะที่กำลังอึ้งงัน ก็มองไปที่ภาพเหตุการณ์ตรงนั้นอีก ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะยุติเรื่องนี้อย่างไร เรียกได้ว่าทั้งรักทั้งเกลียด!

ส่วนสองพี่น้องโอวหยางและคนอื่นๆ ที่ดวงตาฉายแววทึ่งก็กำลังรู้สึกลุ่มหลงมัวเมา นี่คือผู้ชายของพวกนาง รู้สึกค่อนข้างเคลิบเคลิ้ม!

ช่างไม้กับช่างหินมองหน้ากันเลิกลั่ก พบว่ายิ่งเหมียวอี้มีอำนาจเพิ่มขึ้น ลักษณะท่าทางก็ยิ่งน่าเกรงขามจริงๆ!

ส่วนหวงฝู่จวินโหรวที่ทั้งรักทั้งเกลียดเหมียวอี้ ในตอนนี้ก็คุกเข่ามองด้วยความตะลึงงันเช่นกัน

ท่านแม่สวีที่อยู่ตรงหน้าต่างเห็นแล้วส่ายหน้าเบาๆ ยากที่จะจินตนาการได้ว่านี่คือเจ้าหนุ่มที่เคยมานั่งดื่มน้ำชาที่หอกลิ่นสวรรค์บ่อยๆ!

แกรก! เสียงเกราะรบที่ขยับพร้อมกันเป็นแถบๆ ดึงดูดความสนใจของทุกคนให้กลับมา ทุกคนกวาดสายตามองสถานที่เกิดเหตุ เห็นเพียงทหารสวรรค์ทุกคนกุมหมัดคารวะไปทางคนที่ยืนอยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการ

วิธีการที่ทหารสวรรค์หลายพันที่ทำความเคารพพร้อมกันโดยไร้เสียงยิ่งเพิ่มพลังอำนาจ กอปรกับคนหลายพันที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ภายใต้ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจน ทำให้ความน่าเกรงขามทั้งหมดไปรวมอยู่บนตัวของผู้ที่ยืนอยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการ พลังอำนาจแบบนั้นทำให้คนที่มาล้อมดูรู้สึกกดดันมหาศาล ราวกับคนคนนั้นคือศูนย์กลางของโลกใบนี้!

เหมียวอี้โบกมือส่งๆ บอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี จากนั้นก็ได้ยินเสียงเกราะรบขยับอีกพักหนึ่ง ดังเสร็จแล้วก็เงียบ ทุกคนหยุดทำความเคารพแล้ว

เหมียวอี้เอียงศีรษะมองฝูชิง แล้วก็มองไปทางตำหนักคุ้มเมือง

ฝูชิงพยักหน้าเล็กน้อย บอกใบ้ให้เขาวางใจได้ เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้ตามแผนการที่วางไวก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงปี้เยว่ฮูหยินปรากฏตัว กำลังพลที่อยู่ทางนี้ก็จะรู้ทันที จะไม่ส่งผลกระทบกับเรื่องนี้

เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอกอีกว่า “เดี๋ยวกลับไปควบคุมของที่ยึดได้ทันที นี่คือทางหนีทีไล่สุดท้ายของพวกเรา ถ้ากู้สถานการณ์ทางนี้ไม่ได้ พวกเราก็จะนำของกลับพิภพเล็กทันที ถ้ายังสามารถถ่วงเวลาได้อีก ก็ยึดให้ได้มากๆ หน่อย”

ฝูชิงอึ้งไปชั่วขณะ ที่แท้ก็ยังทำแบบนี้ได้ เขาพยักหน้าอีกครั้ง บอกใบ้ว่าทราบแล้ว

ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้ก้าวไปข้างหน้า ส่วนพวกฝูชิงก็ติดตามอยู่ทางซ้ายและขวาข้างหลังเขา

พวกเย่สวินเกาที่โดนซ้อมจนสภาพอนาถเกินทนมองเงยหน้าขึ้นมา แต่ละคนมองเขาด้วยแววตาดุร้าย จากนั้นก็ก้มหน้าลงอีก ไม่อยากเห็นใครบางคนมันทำท่าเหิมเกริมมองต่ำลงมา

เหมียวอี้กลับเดินไปข้างกายทหารที่เฝ้าคุม ยื่นมือชักกระบี่ออกมาจากเอวอีกฝ่าย แล้วใช้คมกระบี่เสยแตะที่คางของเย่สวินเกาสองครั้ง เสยศีรษะที่ก้มอยู่ให้เงยขึ้น แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เมื่อวานยังหยิ่งผยองอยู่เลยนี่ ตอนนี้เห็นผู้บัญชาการใหญ่แล้วทำไมหน้าม่อยคอตกกันเป็นแถวเลยล่ะ?”

กระบี่ยาวในมือย้ายไปบนหน้าหวงลีสิ้งที่อยู่ข้างๆ คมกระบี่เสยไปตรงรูจมูกของเขา เขี่ยใบหน้าให้เงยขึ้นมา “เมื่อวานยังพูดเสียงดังอยู่เลยนี่? ตอนนี้เป็นใบ้แล้วเหรอ?”

ในบรรดาผู้จัดการร้านทั้งสิบหกคน หวงลีสิ้งสภาพยับเยินที่สุดแล้ว แขนสองข้างถูกอิงอู๋ตี๋ฉีกขาด ตอนนี้กำลังจ้องเหมียวอี้อย่างดุร้ายอำมหิต “หนิวโหย่วเต๋อ! เจ้าอาศัยอำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัว!”

“ผิดแล้ว! นี่ไม่ใช่การใช้อำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัว พ่อค้ากระจอกๆ อย่างเจ้ากับผู้บัญชาการใหญ่คนนี้มีคำว่า ‘ส่วนรวม’ เสียที่ไหน ตอนนี้ผู้บัญชาการใหญ่กำลังลงโทษเจ้าอยู่ต่างหาก!” พอพูดจบ คมกระบี่ในมือเหมียวอี้ก็ปาดขึ้นมา แววตาสะท้อนเงาเลือด

“เอื้อ…” หวงลีสิ้งทำสีหน้าขื่นขมทันที เจ็บปวดจนอวัยวะบนใบหน้าขมวดย่น ตรงจมูกมีเลือดไหลราวกับน้ำกรอก ถูกเหมียวอี้ปากจมูกทิ้งแล้ว

ไอ้เวรนี่มันบ้าไปแล้ว! ผู้จัดการสิบกว่าร้านที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้วยกันเรียกได้ว่าอกสั่นขวัญแขวน ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึง เมื่อวานยังชักสีหน้าใส่เหมียวอี้อยู่ตรงตำหนักคุ้มเมืองอยู่เลย วันนี้ดันกลายสภาพเป็นแบบนี้ไปแล้ว ต่างก็นึกไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนแปลงเร็วขนาดนี้ และยิ่งนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะกล้าลงมือกับพวกเขาที่ตลาดสวรรค์ บ้าไปแล้ว!

เย่สวินเกาที่ทำเหมือนโดนกระบี่ปาดหน้าตัวเองแยกเขี้ยวยิงฟันกล่าวว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอย่ากำเริบเสิบสายเกินไปนัก! ข้าแนะนำให้เจ้าวางมือดีกว่า อย่าทำเรื่องนี้ให้เลยเถิด ไม่อย่างนั้นเจ้าได้เจอดีแน่!”

เหมียวอี้กำลังใช้คมกระบี่ชี้ผู้จัดการสิบหกคนอยู่ไกลๆ เมื่อได้ยินแล้วก็เก็บกระบี่กลับมา แล้วใช้ตัวกระบี่เคาะศีรษะเย่สวินเกาอีก “ใครใช้ให้เจ้าบังอาจมาพูดจากับข้าแบบนี้ล่ะ? เจ้าไม่กลัวข้าจะฆ่าเจ้าเหรอ?”

ภายใต้การใช้กำลังขู่คุกคาม เย่สวินเกาก็กลัวเหมือนกัน เขาสีหน้าซีดเผือด กล่าวอย่างหอยหายใจเล็กน้อยว่า “ข้าเป็นขุนนางประจำตระกูลของเทพประจำดาวฟ้าเถาะ ถ้าเจ้าบุ่มบ่ามแตะต้องข้า เทพประจำดาวไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”

เพี้ยะ! เหมียวอี้พลิกเปลี่ยนด้านกระบี่ในมือแล้วตบหลังศีรษะเขา ตบจนเขาล้มคะมำลงพื้น

เหมียวอี้ยกเท้าอย่างเด็ดเดี่ยว รองเท้ายาวโลหะสีม่วงข้างหนึ่งเหยียบบนใบหน้าด้านข้างของเย่สวินเกา เหยียบศีรษะจนติดแหง็กบนพื้นอย่างเย่อหยิ่งไร้ที่เปรียบต่อหน้าฝูงชน ใช้มือข้างเดียวจับกระบี่ค้ำพื้น พร้อมถามอย่างเย็นชาว่า “บอกข้ามาซิ ว่าเกราะม่วงหนึ่งแถบบนตัวผู้บัญชาการใหญ่คนนี้ได้รับรางวัลมาจากใคร?”


1075

ประหาร

การเหยียบลงไปครั้งนี้ ไม่รู้ว่าทำให้คนตั้งมากมายเท่าไรรู้สึกสะเทือนอารมณ์เหมือนโดนเหยียบหัวใจ!

ขนาดอีกฝ่ายอ้างชื่อเจ้านายตัวเองมาแล้วนะ ว่ากันว่าจะตีสุนัขก็ยังต้องดูเจ้าของก่อน แต่ท่านนี้กลับดูหมิ่นท่ามกลางฝูงชน!

สวีถังหรานที่อยู่ข้างๆ ยกมุมปากเล็กน้อย พบว่าคนเราช่างเทียบกันไม่ติดจริงๆ รู้สึกว่าวิธีการวางมาดของตัวเองก่อนหน้านี้ช่างอ่อนด้อยจริงๆ อะไรคือสิ่งที่เรียกว่ามาดอันน่าเกรงขาม? นี่ต่างหากล่ะที่เรียกว่ามาดอันน่าเกรงขาม! บทจะจับผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ก็จับเลย บทจะเหยียบก็เหยียบเลย ไม่ไว้หน้าเลยสักนิด ถ้าเปลี่ยนเป็นตนก็คาดว่าคงไม่กล้าทำแบบนี้

ตอนนี้นับว่าเขาเข้าใจแล้วว่าตนกับผู้บัญชาการใหญ่หนิวแตกต่างกันขนาดไหน โชคชะตากำหนดให้ตนเป็นแค่ลูกน้องอีกฝ่ายเท่านั้นเป็นเจ้านายของอีกฝ่ายไม่ได้ อาศัยแค่ลักษณะการทำงานที่ใจกล้าคับฟ้าของอีกฝ่าย ต่อให้ตนเป็นหัวหน้าของอีกฝ่าย แต่ก็ควบคุมอีกฝ่ายไม่ไหวอยู่ดี

มู่หรงซิงหัวมองดูพฤติกรรมของเหมียวอี้อย่างจนใจ ขอถามสักคำเถอะ เจ้าไม่รู้ถึงราคาที่ต้องจ่ายหลังจากวางมาดน่าเกรงขามแบบนี้จริงเหรอ?

การเหยียบลงไปครั้งนี้ ไม่รู้ว่าทำให้คนมากมายเท่าไรกังวลแทนเหมียวอี้ แม้แต่หวงฝู่จวินโหรวที่กำลังคุกเข่าอยู่ตอนนี้ก็ลืมความอับอายไปแล้ว ตกตะลึงอ้าปากค้างกับสิ่งนี้ นี่เป็นการตบหน้าเทพประจำดาวฟ้าเถาะท่ามกลางฝูงชนชัดๆ! จะให้เทพประจำดาวฟ้าเถาะทนความรู้สึกได้อย่างไร?

ศีรษะถูกเหยียบติดพื้น เย่สวินเการู้สึกเหมือนใกล้จะโดนเหยียบแหลก ร่างกายกำลังดิ้นรนอย่างเจ็บปวดอยู่อย่างนั้น แต่กลับไม่มีทางดิ้นหลุด ถึงแม้วรยุทธ์ของเขาจะสูงกว่าเหมียวอี้ แต่ในตอนนี้พลังอิทธิฤทธิ์ถูกผนึกไว้ เมื่อเผชิญหน้ากับเหมียวอี้จึงไม่มีแรงโต้ตอบเลย

คมกระบี่ขูดพื้นจนเกิดประกายไฟ ขูดมาหยุดอยู่ตรงหน้าเย่สวินเกา เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำอีกครั้งว่า “ตอบข้ามา ว่าเกราะม่วงหนึ่งแถบบนตัวผู้บัญชาการใหญ่คนนี้ได้มาจากใคร!”

ร่างที่กำลังดิ้นรนของเย่สวินเกาหยุดนิ่ง จ้องคมดาบที่อยู่ตรงหน้า พร้อมตอบปนเสียงหอบหายใจว่า “ถึงแม้ราชันสวรรค์จะมอบให้ แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะทำตามอำเภอใจได้”

เหมียวอี้ก้มหน้ามองลงที่เท้า แล้วตะคอกถามอีกครั้ง “ตลาดสวรรค์แห่งนี้เป็นตลาดสวรรค์ของราชันสวรรค์ หรือเป็นตลาดสวรรค์ของตระกูลเจ้านายเจ้า?”

ถึงแม้เย่สวินเกาจะเจ็บปวด แต่เห็นได้ชัดว่าตระหนักได้ว่าถูกคำพูดของเหมียวอี้พาออกนอกประเด็น จึงแกล้งดิ้นรนอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง จะได้หลบเลี่ยงไม่ต้องตอบ

คมกระบี่ที่กระทุ้งอยู่บนพื้นยกขึ้น ไปจ่ออยู่ที่ขมับของเขาแล้วจิ้มลงไปช้าๆ เลือดสดเริ่มซึมออกมา

เย่สวินเกาเบิกตากว้างทันที หอบหายใจตอบว่า “ราชันสวรรค์!”

ในขณะนี้เอง เป่าเหลียนวิ่งออกมาจากจวนผู้บัญชาการด้านหลังแล้ว พอเห็นภาพเหตุการณ์ก็ตกใจมากจริงๆ นางเดินมาข้างหลังเหมียวอี้แล้วถ่ายทอดเสียงบอก “นายท่าน ผู้การสองเร่งเร้าอยากจะพบท่าน ข้าถ่วงเวลาไม่ไหวแล้ว!”

เหมียวอี้ยกกระบี่ในมือขึ้นมา พร้อมถือโอกาสเตะเย่สวินเกาออกไป จากนั้นโบกกระบี่ชี้ไปรอบๆ พร้อมตะโกนพูดอย่างฮึกเหิม “ข้าไม่สนใจว่าใครอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า ไม่สนว่ามีภูมิหลังอะไร ทุกแห่งในใต้หล้านี้ มิมีที่ใดไม่ใช่ผืนดินของราชัน ที่เชิญมาเป็นผู้นำของท้องที่ต่างๆ มิมีผู้ใดมิใช่ขุนนางของราชัน ข้าคือแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบที่ราชันสวรรค์แต่งตั้ง แต่พ่อค้าเล็กๆ อย่างพวกเจ้าบังอาจมาข่มขู่ข้า บังอาจดูหมิ่นอำนาจสวรรค์ ควรจะโดนโทษฐานอะไร!”

ข้อหานี้ร้ายแรงเกินไป เย่สวินเกาที่โดนเตะกลิ้งแก้ตัวทันที “ผู้บัญชาการใหญ่ พวกเราไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นอำนาจสวรรค์เลย เจ้าอย่ามายัดเยียดข้อหา ใครถูกใครผิดมีแค่สองฝ่ายที่รู้ ตำหนักสวรรค์ย่อมตัดสินอย่างยุติธรรม!”

กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นก็รู้เช่นกันว่าข้อหานี้ร้ายแรงเกินไป การดูหมิ่นอำนาจสวรรค์มีโทษตาย ถ้าไม่แก้ตัวและยอมรับโดยดุษณี แบบนั้นก็แย่แล้ว

“พวกเราไม่ได้ดูหมิ่นอำนาจสวรรค์แน่นอน!”

“ใช่! ตำหนักสวรรค์ย่อมตัดสินอย่างยุติธรรมอยู่แล้ว!”

“ใช่! ตำหนักสวรรค์ได้โปรดสืบสวนอย่างละเอียดและตัดสินอย่างยุติธรรม!”

กลุ่มผู้จัดการร้านค้าตะโกนเสียงดังต่อเนื่องเป็นระลอกทันที

เหมียวอี้กวาดมองกลุ่มคนอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง พ่นเสียงทางจมูกอย่างไม่แยแส ก่อนจะบอกว่า “ตำหนักสวรรค์ย่อมตัดสินอย่างยุติธรรมอยู่แล้ว! ผู้บัญชาการใหญ่คนนี้คุมพื้นที่ให้ตำหนักสวรรค์ อยู่ที่นี่…ผู้บัญชาการใหญ่คนนี้เป็นตัวแทนของตำหนักสวรรค์!” พูดจบก็สะบัดมือไปข้างหลัง ทำให้กระบี่ยาวบินออกมา

เสียงดังพรึ่บ กระบี่ยาวบินกลับไปเสียบลงในฝักกระบี่ข้างเอวทหารผู้คุมอย่างแม่นยำ! เหมียวอี้ที่สะบัดมือกลับไปข้างหลังอย่างส่งเดช ท่าทางง่ายดายราวกับบีบมดฝูงหนึ่งให้ตาย จากนั้นร่ายอิทธิฤทธิ์กล่าวออกมาเบาๆ ทว่าเสียงดังก้องว่า “ประหาร!”

ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัว สวีถังหรานทำตามแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้ทันที พวกเขาลงมือพร้อมกัน ถึงแม้มู่หรงซิงหัวจะโบกดาบอย่างลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยังโบกดาบลงไปแล้ว

ทหารสวรรค์ที่เฝ้าคุมคนที่นั่งคุกเข่าพุ่งเข้าไปอย่างดุร้ายราวกับเสือทันที ควงดาบทวนกระบี่ขวานไปฟันสังหารอย่างบ้าระห่ำ!

“หนิวโหย่วเต๋อ…” เย่สวินเการ้องอย่างตระหนก อารมณ์หวาดกลัวยากจะบรรยายได้ มานึกเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว ศีรษะของเขากระเด็นออกไปคนแรก

“ไว้ชีวิตด้วย!”

“ผู้บัญชาการใหญ่ไว้ชีวิตด้วย!”

“ข้าผิดไปแล้ว…”

ผู้จัดการร้านสิบหกคนนั้นเป็นคลื่นระลอกแรกที่ประสบหายนะ ร้องขอชีวิตไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่ละคนศีรษะกับร่างกายแยกกันอยู่คนละที่แล้ว

“อา…” ตรงนั้นมีเสียงอุทานตกใจและเสียงกรีดร้องดังขึ้น

คนที่นั่งคุกเข่าถูกผนึกวรยุทธ์ไว้ทั้งหมด ทั้งถูกมัดทั้งไม่มีกำลังโต้ตอบ เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มทหารสวรรค์ที่มีวรยุทธ์ ก็ไม่มีหวังที่จะหลบหนีเลยแม้แต่น้อย แต่ละคนตื่นตระหนกราวกับแพะรอเชือด ลนลานไปรวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน

ในขณะนี้ คนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่ล้มลงเพิ่งจะรู้ซึ้งถึงคำว่าเสียใจทีหลัง!

ในขณะนี้ คนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่หวาดผวาเพิ่งจะรู้ว่าการต่อต้านผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ท่านนี้จะมีมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร!

ในขณะนี้ คนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่สิ้นหวังเพิ่งจะรู้ว่าประเมินตัวเองสูงเกินไป ระหว่างมีเงินมีอิทธิพลกับมีอำนาจที่แข็งแกร่ง เมื่อเทียบกันแล้วช่างเป็นเหมือนไก่กระเบื้องสุนัขดินเผาจริงๆ!

ในขณะนี้ แพะรอเชือดฝูงแล้วฝูงเล่าเพิ่งจะรู้ว่าผลลัพธ์ของการต่อต้านอำนาจที่แข็งแกร่งนั้นน่ากลัวขนาดไหน!

ศีรษะลอยขึ้นใบแล้วใบเล่า เลือดสดสาดกระจายกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า พรตปีศาจที่โดนตัดหัวล้มล้งพื้นและกลับคืนสู่ร่างเดิม ส่วนนักพรตผีก็กลายเป็นหมอกสีเทา

ท่ามกลางเสียงกรีดร้องที่ดังอย่างต่อเนื่อง กลุ่มคนที่ล้อมดูตกใจจนเริ่มหดตัวไปข้างหลัง ถอยหลังไปแล้ว!

หวงฝู่จวินโหรวที่ปะปนอยู่ในกลุ่มคนก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ หญิงงามภายใต้มีดเชือดอะไรกัน นางตกใจจนหน้าซีดแล้ว โดนกลุ่มคนที่กำลังถอยหลังเทเข้ามาใส่จนล้มลง นางจึงถอยไปข้างหลัง! ร่างกายที่โดนมัดกำลังเหยียดขาเพื่อให้ตัวถอยไปข้างหลัง!

แค่จะอยากจะหลบหลีกการสังหาร แต่ละคนแค่อยากจะมีชีวิตรอด!

แต่ถูกทหารสวรรค์ล้อมไว้ ถูกอาวุธกดดัน ทั้งยังหนีไม่พ้น สุดท้ายก็เบียดมารวมเป็นก้อนเดียวกัน ความตายที่น่าหวาดกลัวมาถึงตัว คนที่ขี้ขลาดตกใจจนร้องไห้แล้ว!

แต่ไม่นานพวกเขาก็พบว่าตัวเองไม่ได้จัดอยู่ในเป้าหมายที่จะถูกเชือด หลังจากคนกลุ่มใหญ่ที่นั่งคุกเข่าแยกกับพวกเขาอยู่ข้างหน้าล้มจมกองเลือดหมดแล้ว ทหารสวรรค์ดุร้ายที่เหมือนจะโดนกลิ่นคาวเลือดกระตุ้นให้สังหารจนเสียสติก็ไม่ได้มาลงมือกับพวกเขาอีก แต่สวมเกราะรบที่เปื้อนเลือดทั้งตัวถืออาวุธเดินเหยียบบนร่างศพ เดินค้นหาไปทั่วท่ามกลางกองเลือดว่ายังมีใครรอดชีวิตอยู่หรือไม่

คนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและโชคดีรอดชีวิตมาได้ ก็คือคนของร้านค้าหนึ่งร้อยร้านที่เหมียวอี้ใส่ชื่อเข้ามาทีหลัง

ศพที่ล้มอยู่บนพื้นคือคนจากร้านค้าสองร้อยร้านที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับร้านค้าสิบหกร้านนั้น

ร้านค้าสองร้อยกว่าร้าน ศีรษะสามพันกว่าใบ ถูกตัดทิ้งจนหมดเกลี้ยงในชั่วพริบตาเดียว ถูกฆ่าจนไม่เหลือสักคน

หรือพูดได้อีกอย่างว่า คนของร้านค้าที่เป็นตัวแทนของสิบหกตระกูลชนชั้นสูงถูกเหมียวอี้สั่งฆ่าตายหทดแล้ว!

ศพนอนกองกันเต็มพื้น ศีรษะที่ถูกฟันกลิ้งไปทั่ว เลือดไหลกลายเป็นแม่น้ำ กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นอบอวลอยู่ในอากาศ

ศีรษะของคนมากมายตกอยู่พื้น เหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่ตรงนั้น กำลังมองดูด้วยสายตาเย็นเยียบ เลือดสดไหลมาถึงใต้เท้าของเขา เขาไม่กะพริบตาเลยแม้แต่น้อย

คนที่ไม่ได้ถูกสังหาร คนที่ยังรอดชีวิตมาได้ ทั้งยังมีคนที่มาล้อมดูรอบๆ แต่ละคนมองเหมียวอี้ด้วยสายตาที่เหมือนเห็นปีศาจมารร้าย ดวงตาฉายแววหวาดผวา!

เสวี่ยหลิงหลงที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างตกใจจนเอามือปิดปาก ส่วนท่านแม่สวีก็อ้าปากกว้าง!

เป่าเหลียนที่ยืนอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ตกใจจนเหม่อค้าง ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ!

ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋มองดูภาพเหตุการณ์ แล้วสบตากันโดยจิตใต้สำนึก ทั้งสองต่างเข้าใจความคิดของกันและกัน ว่าถ้าเจ้าห้าคิดจะสังหารใครขึ้นมา ก็โหดใช้ได้เลย!

ถึงแม้จะรู้ตั้งแต่แรกว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้ แต่สวีถังหรานก็ยังขนหัวลุกอยู่บ้าง ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าเย่สวินเกาจะต้องตายอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้เขาก็คงจะไม่กล้าลงมือกับเย่สวินเกาเช่นกัน เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะมาล้างแค้นตอนหลัง ตอนนี้กำลังพึมพำในใจว่า นี่…นี่จะยุติเรื่องราวได้จริงเหรอ?

มู่หรงซิงหัวพึมพำในใจ คนเสียสติ!

ขณะมองเหมียวอี้ที่กำลังยืนอย่างเลือดเย็น หวงฝู่จวินโหรวก็ทำสีหน้าหวาดกลัวเช่นกัน  พึมพำในใจเหมือนกันว่า คนเสียสติ!

อวิ๋นจือชิวและพวกที่อยู่บนหลังคาเรียกได้ว่าตะลึงจนตาค้างแล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้นึกว่าเหมียวอี้แค่จับคนพวกนี้มาคุกเข่าเพื่อระบายความโมโห แต่ใครจะคิดว่าผลที่เกิดขึ้นจะร้ายแรงกว่าที่พวกนางจินตนาการไว้พันเท่า ศีรษะสามพันกว่าใบตกอยู่บนพื้น ศีรษะสามพันใบของทาสประจำตระกูลชนชั้นสูงของตำหนักสวรรค์ตกอยู่บนพื้น ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะสั่งให้ฆ่าทั้งหมดนี้!

อวิ๋นจือชิวที่กำลังเผยอริมฝีปากแดงค่อยๆ ย้ายสายตาจากศพที่เกลื่อนเต็มพื้นไปบนตัวเหมียวอี้

ในวันนี้ นางจำเป็นต้องยอมรับ ว่านางไม่ได้รูจักผู้ชายของตัวเองดีสักเท่าไร

ในวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้นางมองเห็นอีกด้านหนึ่งของผู้ชายของนาง นี่คือคนที่หากกุมอำนาจมหาศาลไว้ในมือ ก็จะตัดสินใจสังหารหมู่ได้อย่างไม่ลังเล!

สองพี่น้องโอวหยางมองเหมียวอี้ด้วยความหวาดผวาเล็กน้อย นับว่าได้ทำความรู้จักใหม่แล้วเช่นกัน

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กลับทำท่าเหมือนพฤติกรรมของเหมียวอี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกนาง ที่จริงตอนที่เห็นคนพวกนี้คุกเข่าอยู่เต็มพื้น พวกนางก็เริ่มสงสัยแล้วว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบนี้

ทั้งสองติดตามเหมียวอี้มาตั้งแต่ตอนที่เหมียวอี้ยังมีตำแหน่งต่ำต้อย รู้จักนิสัยและลักษณะการทำงานของเหมียวอี้ดีเกินไป ขอเพียงเหมียวอี้ได้เลื่อนตำแหน่ง ขอเพียงมีคนมาท้าทายเหมียวอี้ เขาก็จะใช้วิธีการสังหารหมู่มาแก้ปัญหา ภาพเหตการณ์ที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ทำให้ทั้งสองรู้สึกผิดคาดเลย

ถ้าเปลี่ยนให้เหยียนซิวมาอยู่ตรงนี้ ก็คงจะไม่รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน

“หนิวเอ้อร์คนนี้ทำอะไรไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาสักนิดเลยจริงๆ!” ช่างไม้หันมาถ่ายทอดเสียงบอกช่างหินด้วยความปลง

เมื่อรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ข้างกาย อวิ๋นจือชิวก็ได้สติกลับมา นางหันกลับมาถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ถ้าผู้มีอำนาจมากมายขนาดนี้ร่วมมือกันล้างแค้นขึ้นมา เกรงว่าคนที่เกี่ยวข้องกับนายท่านจะต้องโชคร้ายกันหมด ทุกคนกลับไปเตรียมตัว เตรียมหนีกลับพิภพเล็ก!”

แต่ใครจะคิดว่าเชียนเอ๋อร์กลับตอบว่า “ฮูหยิน บางทีอาจจะไม่ต้องกังวลเกินไปก็ได้เจ้าค่ะ นายท่านเป็นคนที่หยาบช้าอย่างแยบยล ไม่ใช่คนไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่แน่อาจจะเตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ที่นายท่านทำแบบนี้ จะต้องมีเหตุผลแน่นอนเจ้าค่ะ”

อวิ๋นจือชิวอึ้งไปชั่วขณะ มองไปที่นาง…

เขย่าขวัญ! ฉากเหตุการณ์ตรงนั้นเขย่าขวัญทุกคนอย่างรุนแรง ภาพที่ศีรษะปลิวว่อนฟ้าเมื่อครู่นี้ ภาพที่เลือดสดพุ่งกระฉูดไปทั่วยังปรากฏซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวของทุกคน

“คนของร้านค้าพวกนั้นยังมีใครรอดไปอีกมั้ย?” จู่ๆ เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำเลือดก็เอ่ยถาม

สวีถังหรานตอบอย่างเคารพว่า “ตอบผู้บัญชาการใหญ่ มีบางคนไม่อยู่ในร้านค้า ออกจากร้านค้าไปทำธุระข้างนอก ตอนนี้ยังจับตัวไม่ได้ พวกเรารวมจำนวนไว้แล้ว มีรอดไปประมาณสามสิบสี่สิบคนขอรับ”

“ประตูเมืองปิดหมดแล้วใช่มั้ย?” เหมียวอี้ถามอีก

“ปิดหมดแล้ว!” ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัว สวีถังหรานตอบพร้อมกัน

เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ถ้านักโทษพวกนั้นมามอบตัว ตราบใดที่ยินดีให้การว่าคนพวกนี้มีพฤติกรรมร่วมมือกันก่อกบฏ ก็จะพ้นโทษ จะไว้ชีวิตพวกเขาสักครั้ง! พร้อมทั้งถ่ายทอดคำสั่งไปยังสี่เขตเมืองของตลาดสวรรค์ด้วย ถ้าใครกล้าให้ที่พักกับนักโทษ หรือว่าพบร่องรอยนักโทษแล้วปิดบังไม่ยอมรายงาน ก็จะมีความผิดร่วมกัน!”

“รับทราบ!” ทั้งสี่เอ่ยรับ

คนมากมายที่กำลังล้อมดู พอได้ยินแบบนี้ก็สูดหายใจปนกลิ่นคาวเลือดด้วยความตกตะลึง นี่ต้องแค้นมากขนาดไหนกัน! ขนาดฆ่าไปหลายพันคนแล้ว แม้แต่ไม่กี่สิบคนที่เหลือก็ไม่ยอมปล่อยไปเหรอ? ประตูของสี่เขตเมืองถูกปิดหมดแล้ว ทั้งตลาดสวรรค์ถูกปิดหมดแล้ว และตลาดสวรรค์ก็เจริญเกินไปจนมีคนอยู่ทั่วทุกที่ ร่องรอยคนคนไม่กี่สิบคนนั้นปิดบังสายตาของทุกคนไม่ได้เลย ภายใต้การใช้โทษตายข่มขู่ คาดว่าคงไม่มีใครอยากหาเรื่องใส่ตัว อีกไม่กี่สิบคนที่เหลือนั่นจะยังหนีรอดอีกเหรอ?

“ข้ามอบตัว!”

ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ ท่ามกลางกลุ่มคนที่ล้อมดูก็มีคนวิ่งออกมาคุกเข่าทันที คนที่รู้จักสังเกตเห็นทันทีว่าเป็นพนักงานของร้านค้าบางร้าน

“ข้ามอบตัว!”

เมื่อมีคนหนึ่งนำ ก็มีคนที่สองวิ่งออกมาคุกเข่าทันที ตามด้วยคนที่สามและสี่…


1076

ปี้เยว่ฮูหยินปวดหัว

“ผู้น้อยมอบตัว!”

ใช้เวลาแค่ชั่วพริบตาเดียว ก็มีปลาลอดแหออกมาคุกเข่ามอบตัวสิบกว่าคนแล้ว แต่ละคนตัวสั่นด้วยความหวาดระแวงกลัว ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้จะรักษาคำพูดหรือเปล่า

เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่คนพวกนี้หลบอยู่ท่ามกลางฝูงชนและเห็นฉากที่เพิ่งเกิดขึ้นแล้ว รู้ว่าตลาดสวรรค์ปิดทางเข้าออกทำให้หนีไปข้างนอกได้ยาก จึงต้องมอบตัวเพื่อที่จะรอดชีวิต

ส่วนพวกที่ไม่ได้แสดงตัวออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จึงไม่รู้ ก็คงจะยังกอดความหวังว่าจะโชคดีรอดชีวิต

เหมียวอี้เอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อบอกใบ้อิงอู๋ตี๋ อิงอู๋ตี๋โบกมือเรียกลูกน้องให้นำตัวพวกที่มอบตัวออกไปทันที ย่อมต้องอยากได้คำให้การอยู่แล้ว

จากนั้นเหมียวอี้ก็ออกคำสั่งอีกครั้ง “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามจัดตั้งสมาคมร้านค้าใดๆ ที่ตลาดสวรรค์เป็นการส่วนตัว ผู้ใดฝ่าฝืน ประหาร! สมาคมร้านค้าที่มีตอนนี้แบ่งเป็นสี่ส่วน แบ่งตามเขตเมืองที่มี แบ่งเข้ามาให้จวนผู้บัญชาการของสี่เขตเมืองควบคุม แล้วแต่ละเขตก็แบ่งพื้นที่ย่อยอีกที ให้ผู้ช่วยผู้บัญชาการของแต่ละจวนผู้บัญชาการทำหน้าที่ควบคุมตรวจตราพื้นที่ ควบคุมอย่างเข้มงวด! นี่คือตลาดสวรรค์ของตำหนักสวรรค์ ไม่ใช่ตลาดสวรรค์ของผู้มีอำนาจตระกูลไหนทั้งนั้น ถ้าเกิดเรื่องประเภทร่วมมือกันออกนอกลู่นอกทางอีก ผู้ที่รับผิดชอบดูแลเขตนั้นก็ถือหัวมันมาหาข้าได้เลย! เดี๋ยวกลับไปผู้บัญชาการสี่เขตเมืองนำระเบียบข้อบังคับรายงานขึ้นมาด้วย!”

“รับทราบ!” ฝูชิงและอีกสามคนเอ่ยรับคำสั่ง

สวีถังหรานเรียกได้ว่าแอบดีใจ มีอำนาจที่ถูกต้องชอบธรรมในการเข้าไปแทรกแซงแล้ว ไม่ต่างอะไรกับการได้ช่องทางทำเงินเพิ่มขึ้นอีกช่องทาง

ผู้ช่วยผู้บัญชาการของสี่เขตเมืองก็พากันตาเป็นประกายเช่นกัน สภาพจิตใจย่อมเหมือนกับสวีถังหรานอยู่แล้ว เบื้องบนกินเนื้อ พวกเรากินน้ำ ทุกคนล้วนมีกิน แน่นอนว่าสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บัญชาการใหญ่จากใจจริง

กลุ่มผู้ช่วยผู้บัญชาการตื่นเต้นดีใจจนตะโกนเสียงดังว่าผู้บัญชาการใหญ่ปราดเปรื่อง! พวกเขามองไปยังศพที่เกลื่อนเต็มพื้นอีกครั้ง รู้สึกว่าการฆ่าครั้งนี้เหมาะสมมาก!

แต่ในใจทุกคนก็มีความกังวลเหมือนกัน ไม่รู้ว่าผู้บัญชาการใหญ่จะผ่านด่านนี้ไปได้หรือเปล่า ไม่อย่างนั้นก็อาจจะดีใจเร็วเกินไปหน่อย!

ร้านค้าใหญ่ๆ แต่ละร้านได้ยินแล้วแอบร้องในใจ ต่อไปนี้จะต้องนำของมามอบให้เบื้องบนเพื่อแสดงความกตัญญูมากขึ้นแล้ว!

เหมียวอี้กวาดสายตามองคนนับพันจากร้านค้าหนึ่งร้อยร้านที่ถูกจับมา แล้วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “คุมตัวพ่อค้าที่ต้องสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับการร่วมมือก่อกบฏไปที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกให้หมด แล้วสอบสวนทันที ถ้ากล้ามีคนไม่สารภาพเรื่องพฤติกรรมออกนอกลู่นอกทางแต่โดยดี ประหาร! ส่วนร้านค้าร้านอื่นๆ ของตลาดสวรรค์ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการนี้ ต่างคนต่างไปสารภาพผิดต่อจวนผู้บัญชาการของเขตตัวเองทันที คนที่มายอมรับเองจะได้รับอภัยโทษ ส่วนคนที่ปิดบังไม่ยอมรายงาน ถ้าตรวจสอบแล้วเจอ โดนข้อหาวางแผนก่อกบฏอย่างลับๆ ประหาร!”

“รับทราบ!” พวกฝูชิงเอ่ยรับอีกครั้ง จากนั้นก็เรียกลูกน้องให้คุมตัวคนหนึ่งพันกว่าคนไปที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกทันที

ฆ่าคนไปมากมายขนาดนั้น ทั้งยังมี ‘คำสั่งประหาร’ ที่บ้าเลือดตามมาอีกเป็นชุด ทำเอาสมาชิกของร้านค้าที่มุงดูอยู่รอบๆ รู้สึกได้ถึงอันตราย แต่ละคนหวาดระแวงกลัว มีคนไม่น้อยแอบด่าพวกเย่สวินเกาว่าสมน้ำหน้าที่ไม่ตายดี พวกเจ้าตายก็ตายไปสิ ยังจะลากพวกเราลงน้ำไปด้วยอีก ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อควบคุมร้านค้าทุกร้านที่ตลาดสวรรค์อย่างเข้มงวด ทุกคนเลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้อิสระเหมือนเมื่อก่อน

สรุปว่าตั้งแต่ตำหนักสวรรค์ก่อตั้งตลาดสวรรค์ขึ้นมา นับว่านี่เป็นครั้งแรกที่กลุ่มผู้จัดการร้านค้าได้รัรู้ถึงผลลัพธ์ของการต่อต้านผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ สังหารจนโลหิตไหลกลายเป็นสายน้ำ! สะเทือนขวัญเกินไปแล้ว!

คนที่ก่อนหน้านี้นึกว่าตัวเองมีคนหนุนหลังอยู่บ้างนิดหน่อย ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าต่อให้คนหนุนหลังใหญ่กว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ อยู่ที่นี่มีดาบมาจ่อคอได้ทุกเมื่อ จะโดนปลิดชีวิตได้ทุกเมื่อ!

และนี่ก็คือมาดที่เหมียวอี้ตั้งใจจะแสดงออกมา สาเหตุหลักที่ลงโทษประหารแบบเปิดให้ทุกคนได้เห็น ก็เพราะต้องการให้ทุกคนข้าใจ ว่าอย่าคิดว่าการที่พวกเจ้ามีคนหนุนหลังแล้วข้าจะทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้ ต่อให้ข้าต้องตายข้าก็จะดึงพวกเจ้ามารับกรรมด้วยกัน ถ้าข้าโดนกดดันให้จนตรอกเมื่อไร ก็คอยดูแล้วกันว่าใครที่จะซวย!

หลังจากถ่ายทอดคำสั่งชุดนี้เสร็จ เหมียวอี้ก็หันตัวเดินจากไป พอหันหน้ามาก็อึ้งไปชั่วขณะ

สาเหตุไม่ใช่เพราะอะไร ไม่รู้ว่าผู้การสองหลันเซียงโผล่ออกมาตั้งแต่เมื่อไร กำลังยืนอยู่ตรงประตู มองดูภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าซีดขาว

เหมียวอี้เอียงหน้ามองเป่าเหลียนที่ยังคงเหม่อลอย เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ต้องพูดเลย ทิ้งหลันเซียงไว้ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์คนเดียวโดยไม่สนใจ ถ้าเจ้าตัวไม่ออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นก็แปลกแล้ว

เป่าเหลียนที่หันหน้ามองตามสีหน้าเปลี่ยนทันที พบว่าตัวเองเสียอาการจนสร้างปัญหาให้ผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ!

เหมียวอี้ที่สีหน้าเย็นเยียบดุร้ายรีบเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้ม เดินก้าวยาวเข้าไปกุมหมัดคารวะ “ผู้การสอง ขออภัยที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับ หนิวกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ไปต้อนรับไม่ทัน โปรดให้อภัยด้วย!”

นี่เรียกว่าปฏิบัติหน้าที่เหรอ? หลันเซียงโมโหจนตัวสั่นเล็กน้อย ตอนที่นางออกมา ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว เหมียวอี้ฆ่าคนไปหมดเกลี้ยงแล้ว!

แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดผิด กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่จริงๆ แต่ปฏิบัติหน้าที่นี้มันสะเทือนขวัญไปหน่อย!

“เจ้า…” หลันเซียงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี นางชี้เขา พลางพยักหน้าด้วยความโมโหสุดขีด ทำท่าเหมือนบอกว่า นับว่าเจ้ากล้าหาญ!

ไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้แล้ว ก่อเรื่องจนมาถึงขั้นนี้ นางเองก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้เช่นกัน ถลันตัวออกไปทันที ไปที่ตำหนักคุ้มเมืองแล้ว

เหมียวอี้เอียงหน้ามองไปทางตำหนักคุ้มเมือง นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินก้าวยาวต่อไป

เป่าเหลียนเดินตามหลัง กล่าวอย่างหวั่นเกรงว่า “นายท่าน คือว่าข้า…ข้าเห็นอวี้ซวีเจินเหรินก็อยู่เหมือนกัน ตอนที่ข้ากังวลก็เลย…”

“ครั้งหน้าก็ระวังหน่อย!” เหมียวอี้กล่าวขณะที่หันหลังให้ ไม่ได้สืบสาวเอาความอีก

เรื่องบางเรื่องไม่ช้าก็เร็วที่จะต้องได้เผชิญหน้า ถ้าจะผลักเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไปให้เป่าเหลียน ก็จะฟังดูเหลวไหลเช่นกัน เป่าเหลียนยังไม่มีคุณสมบัติที่จะรับผิดชอบเรื่องที่ใหญ่ใหญ่ขนาดนี้

แต่เป่าเหลียนกลับแอบตำหนิตัวเองแทบแย่ ฆ่าคนไปมากมายขนาดนั้น ฆ่าทาสของตระกูลผู้มีอำนาจไปมากมายขนาดนั้น นี่ต้องเป็นเรื่องราวที่ใหญ่โตขนาดไหนกัน แผนที่ผู้บัญชาการใหญ่วางไว้อาจจะพังด้วยน้ำมือตนก็ได้ แบบนี้จะทำอย่างไรดี!

คนที่ล้อมดูอยู่นอกจวนผู้บัญชาการพากันทอดถอนใจ ทยอยกันแยกย้ายจากไปด้วยสภาพจิตใจที่ยังไม่มั่นคง

อวิ๋นจือชิวที่อยู่บนหลังคาสังเกตเห็นปฏิกิริยาของผู้การสองเมื่อครู่นี้แล้ว ขณะจ้องมองทิศทางที่ผู้การสองมุ่งไป สีหน้าและดวงตาก็เต็มไปด้วยความร้อนใจ หันกลับมาสั่งคนที่อยู่ข้างหลังว่า “สิ่งที่ควรเตรียมตัวก็ยังต้องเตรียม ไปกันเถอะ!”

กลุ่มคนทยอยกันแยกย้าย เหล่าทหารสวรรค์กำลังจัดการเก็บกวาดศพที่กองอยู่เต็มพื้น

ผ่านไปไม่นาน ปี้เยว่ฮูหยินนั่งไม่ติดที่แล้ว เหาะด้วยความเร็วสูงมายังจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกด้วยตัวเอง โดยมีผู้การสองหลันเซียงติดตามมาด้วย

ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง นางก็ไม่มีทางเชื่อว่าเหมียวอี้จะทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้

หลังจากได้เห็นกับตาตัวเอง สีหน้าก็ซีดลงทันที ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น ศพเกลื่อนเต็มพื้น! ฆ่าจนเลือดกลายเป็นแม่น้ำ!

ศีรษะหลายใบที่กลิ้งอยู่บนพื้น เมื่อวานนางยังเจออยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองอยู่เลย แต่ละคนยังฟ้องความผิดเหมียวอี้อย่างโอหังอวดดี ผลปรากฏว่าวันนี้เมื่อเจอกันอีกครั้ง ทุกคนก็กลายเป็นศพไปเสียแล้ว โดนเหมียวอี้ตัดหัวหมดแล้ว! พวกติงกุ้ยยังอยู่ระหว่างทางกลับจวนท่านโหวอยู่เลย คนที่มาร้องเรียนที่นี่ถูกคนที่ตัวเองร้องเรียนฆ่าทิ้งหมดเกลี้ยงแล้ว!

ภาพนี้ฉากนี้ ทำให้ร่างกายของปี้เยว่ฮูหยินโอนเอนครู่หนึ่ง ปวดเศียรเวียนเกล้าเล็กน้อย แบบนี้จะทำอย่างไรดี!

นางไม่มีทางจินตนาการถึงผลลัพธ์ของเรื่องนี้ได้เลย เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจมากมายขนาดนี้ แถมส่วนใหญ่ยังมีตำแหน่งสูงกว่าท่านโหวเทียนหยวนอีก ถ้าพวกนั้นร่วมมือกันมาเล่นงาน เหมียวอี้ย่อมสมควรตายอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นแม้แต่นางก็จะหนีไม่พ้น อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่ท่านโหวเทียนหยวนสามีของนางก็จะได้รับผลเสียไปด้วยเช่นกัน สามารถกระตุกจากข้างบนลงมาข้างล่างได้เลย ทั้งข้างบนข้างล่างจะซวยต่อกันเป็นทอด!

มีจุดหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนมาก เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้อยู่ใต้หนังตานาง สร้างสถานการณ์ใหญ่โตขนาดนี้ เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ ประหารคนไปเป็นพันคน ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายก็จะบอกว่าทำไมนางไม่ออกมาห้าม จะให้บอกว่าไม่ทันสังเกตเห็นแล้วให้เรื่องผ่านไปเหรอ แบบนั้นใครจะเชื่อล่ะ!

ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายก็จะบอกว่า ความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้เกิดอยู่ใต้หนังตาแท้ๆ แต่เจ้ายังไม่สังเกตเห็น แล้วเจ้าจะไปนั่งทำมาหากินอะไรที่นั่น?

เมื่ออีกฝ่ายถามมาแบบนี้ แม้แต่แก้ตัวเจ้าก็ไม่มีทางแก้ตัวได้

คนเสียสติ! นี่ต้องเสียสติถึงขั้นไหนถึงจะทำเรื่องนี้ออกมาได้!

ปี้เยว่ฮูหยินหันหน้าหนี แล้วถลันตัวเข้าไปในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ทหารยามจะขวางนางได้เสียที่ไหนกัน

นางบุกตรงไปที่ลานบ้านด้านหลังของจวนเหมียวอี้ สิ่งที่ทำให้ปี้เยว่ฮูหยินอยากจะชูนิ้วให้ก็คือ เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบและยังมีรอยเลือดติดรองเท้า ในตอนนี้กำลังเอามือไขว้หลังดมดอกดอกไม้ริมสระน้ำ ในความองอาจกล้าหาญเผยความสง่างามไปอีกแบบ

เหมียวอี้ที่ได้ยินเสียงและหันกลับมาแทบจะชนกับปี้เยว่ฮูหยิน ชั่วพริบตาเดียวทั้งสองก็แทบจะยืนชนหน้ากันแล้ว

“คำนับฮูหยิน!” ยืนใกล้กันเกินไป พอกุมหมัดคารวะมือก็เลยชนกับหน้าอกอิ่มเอิบที่เผยออกมาครึ่งหนึ่งของนาง เหมียวอี้รีบถอยหลังไปคำนับอีกรอบ “กำลังจะไปพบฮูหยินที่ตำหนักคุ้มเมืองพอดี นึกไม่ถึงว่าฮูหยินจะมาเยือนก่อนแล้ว ข้าน้อยขออภัยที่ไม่ได้ต้อนรับ!”

ปี้เยว่ฮูหยินที่ใบหน้าชมพูดระเรื่อเปลี่ยนเป็นซีดขาวเพราะความโมโห ตอนนี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วจริงๆ นางพ่นออกมาอย่างชัดเจนทีละคำว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าช่างใจกล้านัก! บังอาจปิดบังอำพรางการรับรู้ของฮูหยินคนนี้ สมควรจะโดนข้อหาอะไร!”

“ฮูหยินโมโหที่ข้าสังหารคนด้านนอกพวกนั้นเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลั้วหัวเราะ ในใจกำลังครุ่นคิดว่าต้องรีบระงับความโกรธของนาง ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะทำเรื่องอะไรขึ้นมา สำหรับเขาแล้ว นางต่างหากที่เป็นอันตรายที่อยู่ตรงหน้าสุด เขารีบเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยน โค้งเอวค้างไว้นานๆ แล้วกุมหมัดคารวะกล่าวปลอบโยน “ฮูหยินคิดมากไปแล้ว เรื่องนี้ดูเหมือนเสี่ยงอันตราย แต่ที่จริงแล้วไม่มีอะไรทั้งนั้น!”

“เหลวไหลเหมือนผายลม!” ปี้เยว่ฮูหยินด่าตรงๆ สตรีชั้นสูงที่งดงามหยาดเยิ้มเย้ายวนใจ ตอนนี้ถูกใครบางคนทำให้โมโหจนสบถคำหยาบคายแล้ว

“สามวัน!” เมื่อเห็นนางวู่วามจะลงไม้ลงมือ ตนใช่คู่ต่อสู้ของนางเสียที่ไหนกัน เหมียวอี้รู้สึกเครียดในใจ รีบรับมือให้นางสงบลง ชูสามนิ้วขึ้นมาอย่างแน่วแน่ พร้อมบอกว่า “ฮูหยิน ให้เวลาข้าแค่สามวันเท่านั้น หลังจากนี้สามวันก็จะทราบเหตุผล ถึงตอนนั้นฮูหยินจะไม่ใช่แค่จะไม่ผิดพลาด แต่กลับจะมีผลงานด้วย!”

จะทราบเหตุผลภายในสามวันคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาต้องพูดเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ต่อให้จะเป็นคำพูดเหลวไหลไร้สาระ แต่การทำให้ผู้หญิงคนนี้สงบลงก็คือเรื่องที่ต้องทำเป็นอันดับแรกเช่นกัน!

ที่จริงเขาเองก็ไม่มีความมั่นใจเลย ครั้งนี้เป็นการเดิมพันภายใต้ความโมโหเท่านั้น เดิมพันแล้วชนะก็ไม่เป็นไร สามารถทำให้ตนนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ได้อย่างมั่นคง แต่เดิมพันแพ้ก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน ร้านค้าระดับบนของตลาดสวรรค์นับร้อยร้านถูกเขารีดไถจนหมดเกลี้ยง ถึงตอนนั้นหอบของหนีกลับพิภพเล็กก็ยังมีกินไปอีกหลายปี

อย่างไรเสีย ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาก็ขาดทุนอยู่ดี แล้วทำไมจะไม่ทำล่ะ? สรุปก็คือเขาไม่มีทางยอมรับการโดนพวกพ่อค้าควบคุมอยู่ตลอดตอนที่เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ เจ็บสั้นดีกว่าเจ็บยาว!

ส่วนปี้เยว่ฮูหยินจะพบปัญหาอะไรหลังจากที่เขาหนีไปแล้ว นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขากังวล ตั้งแต่เมื่อวานที่ปี้เยว่ฮูหยินพูดออกมาว่าให้เขาจัดการเรื่องของตัวเองให้ดี เขาก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ทิ้งเขา เช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงสนใจตัวเอว ถึงได้ตัดสินใจลงมืออย่างไม่ลังเล!

คำพูดนี้ค่อนข้างหลอกลวง แต่ก็ได้ผลพอสมควร! เมื่อเห็นเขาแน่ใจขนาดนี้ ถึงแม้ปี้เยว่ฮูหยินยังจะยังโมโห แต่อย่างน้อยไฟโกรธก็ไม่ได้พุ่งพล่านขนาดนั้นแล้ว นางอยากจะรู้เหตุผลเหมือนกัน หมัดที่ง้างขึ้นมาเล็กน้อยค่อยๆ วางลง กัดฟันถามว่า “ภายในสามวันจะไปหาเหตุผลมาจากไหน?”

สามารถคุยกันดีๆ ได้ก็พอแล้ว เขากลัวแค่ว่าจะไม่มีโอกาสได้คุยกันดีๆ !

เหมียวอี้ทำท่าเหมือนโน้มน้าวด้วยเจตนาดีทันที กุมหมัดกล่าวอีกครั้งว่า “ฮูหยิน! ถึงแม้ชีวิตหนิวโหย่วเต๋อจะไร้ค่า แต่ข้าก็เป็นคนรักชีวิตเช่นกัน จะนำชีวิตตัวเองไปล้อเล่นง่ายๆ ได้อย่างไร ฮูหยินได้โปรดตรวจสอบให้ชัดเจน!”

1077

เบื้องบนตื่นตระหนก

อีกด้านหนึ่ง หลังจากมู่หรงซิงหัวรีบกลับไปที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือของตัวเอง เรื่องแรกที่ทำก็คือติดต่อกับเฉาว่านเสียงทันที

ไม่สนใจว่ารักหรือเกลียด ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ในตอนนี้ทั้งสองก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ถ้าไม่บอกเฉาว่านเสียงสักหน่อยก็จะฟังดูเหลวไหล ถ้าถ่วงให้เวลานานไปแล้วค่อยบอก เฉาว่านเสียงจะต้องตำหนิว่าทำไมนางไม่บอกตั้งแต่เนิ่นๆ ขณะเดียวกันก็อยากจะขอความคิดเห็นด้วย

ณ จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดอี่ เฉาว่านเสียงกำลังนั่งสมาธิฝึกตน พอได้ยินข่าวก็ตะลึงค้างทันที!

ตอบกลับอย่างร้อนใจว่า : ฮูหยินเอ้ย จะเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นไม่ได้นะ จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง เจ้าอย่ามาทำให้ข้าตกใจสิ!

มู่หรงซิงหัว : ข้าจะเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นได้ยังไง มิหนำซ้ำเรื่อแบบนี้ก็ปิดบังได้ไม่นานด้วย ต่อให้ข้าไม่บอก ท่านก็จะได้รู้ในเร็วๆ นี้เช่นกัน

เฉาว่านเสียงร้อนรนทันที ถามด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า : ทำไมเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้?

มู่หรงซิงหัว : ข้าเองก็โดนคนจับตาดูอยู่เหมือนกัน หาโอกาสบอกท่านไม่ได้!

เฉาว่านเสียง : ก่อนจะลงมือทำเรื่องนี้ ปี้เยว่ฮูหยินรู้หรือเปล่า?

มู่หรงซิงหัว : ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่านางรู้หรือเปล่า คาดว่ามีโอกาสสูงที่จะไม่รู้ ตอนนี้จะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี?

เฉาว่านเสียง : ข้าจะไปรู้เหรอว่าจะทำยังไง? หัวหน้าภาคเล็กๆ อย่างข้าจะทำอะไรได้? พวกเจ้าก็ซวยไปพร้อมกับข้าแล้วกัน!

เขาอาจจะซวย แต่มู่หรงซิงหัวกลับไม่แน่ โลกภายนอกต่างก็รู้ว่าเขาเป็นคนรั้งเหมียวอี้มาจากมือของโค่วเหวินหลาน ส่วนมู่หรงซิงหัวก็เป็นแค่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ปฏิบัติตามคำสั่งเหมียวอี้เท่านั้น เมื่อฟ้าถล่มก็จะมีคนตัวสูงคอยค้ำให้ แต่เฉาว่านเสียงที่เป็นคนค้ำกลับเกิดปัญหาใหญ่แล้ว

จากนั้นไม่ว่ามู่หรงซิงหัวจะติดต่อเฉาว่านเสียงอย่างไรก็ไม่มีเสียงตอบกลับ เมื่อเป็นแบบนี้ มู่หรงซิงหัวก็ยิ่งเริ่มกระวนกระวายใจอยู่ไม่สุขแล้ว

เพล้ง! ขวดหยกใบหนึ่งแตกกระจาย

เฉาว่านเสียงที่โมโหจนกระหืดกระหอบราวกับเสียสติไปแล้ว จับอะไรได้ก็ทุ่มหมด พังข้าวของในห้องแตกกระจายเป็นกอง ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะประสบภัยอย่างไร้เค้าลางแบบนี้ เขาอยู่ในสภาพประสาทเสียเล็กน้อย เรียกได้ว่าแค้นท่านโหวเทียนหยวนกับปี้เยว่ฮูหยินมาก ที่จริงเรื่องของเหมียวอี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย แต่สองผัวเมียนั่นกลับยัดเขาให้ไปเป็นท่อนไม้อยู่ตรงกลาง ดึงเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ตอนนี้จบกัน อย่านึกเลยว่าเขาจะปลีกตัวพ้น

ตอนนี้เขาอยากจะถ่ายทอดคำสั่งให้ฉีกร่างเหมียวอี้ให้แหลกเป็นชิ้นๆ แต่นั้นคือลูกน้องจองปี้เยว่ฮูหยิน ยังไม่ถึงคราวที่เขาจะควบคุม

“ไม่ได้!” หลังจากดึงผมเดินไปเดินมาอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ เฉาว่านเสียงก็หยุดฝีเท้า รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อท่านโหวเทียนหยวน พอติดต่อได้ คำแรกที่เอ่ยก็คือ “ช่วยชีวิตด้วย”

ที่จวนของเทียนหยวน ท่านโหวเทียนหยวนที่กำลังนั่งสมาธิฝึกตนได้รับข้อความที่ค่อนข้างประหลาด ย่อมต้องถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

หลังจากรู้สถานการณ์ชัดเจนแล้ว เทียนหยวนก็นั่งไม่ติดที่เช่นกัน ลุกพรวดขึ้นยืนทันที โมโหจนหน้าดำเป็นก้นหม้อ ถามว่า : เจ้าแน่ใจนะว่าสถานการณ์เป็นแบบนี้?

เฉาว่านเสียงแทบจะเป็นลมแล้ว สงสัยเมียเจ้าก็คงไม่รู้เรื่องเหมือนกัน! เขายังกอดความหวังสุดท้ายเอาไว้ หวังให้นี่เป็นการเตรียมการของท่านโหวเทียนหยวน ไม่อย่างนั้นผู้บัญชาการใหญ่ตัวเล็กๆ คนเดียวจะใจกล้าคับฟ้าทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร แต่ใครจะคิด…

จบเห่แล้ว! เฉาว่านเสียงรู้สึกเหมือนฟ้าหมุนแผ่นดินพลิก ใช้มือข้างหนึ่งยันเสาเอาไว้ ใช้มือข้างหนึ่งถือระฆังดาราตอบ : คงจะจริงขอรับ เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ฮูหยินของข้าบอกมา…ท่านโหว…ท่านโหว…

ไม่มีเสียงตอบกลับจากท่านโหวเทียนหยวน ไม่ว่าเขาจะเรียกอย่างไรก็ไม่มีการตอบกลับ

เทียนหยวนกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องอย่างโมโห เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ จะมีอารมณ์จากไหนมาสนใจเฉาว่านเสียง

“แผนลับ! แผนลับ! ต้องเป็นแผนลับของใครบางคนแน่นอน! ตระกูลโค่วเหรอ? ไม่อย่างนั้นผู้บัญชาการใหญ่คนเดียวจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร…” เทียนหยวนที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมากำลังพึมพำวิเคราะห์ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม สุดท้ายก็หยุดฝีเท้า ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพึมพำอีกว่า “ใช่แล้ว! ผู้บัญชาการใหญ่แค่คนเดียวจะทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง? แม้แต่ร้านค้าที่มีตระกูลโค่วหนุนหลังก็ยังถูกจับไปด้วย ทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้ได้…”

บนใบหน้าฉายแววฉงนใจก่อน จากนั้นก็ฉายแววระแวงสงสัย เอามือลูบเคราใต้ปาก ครุ่นคิดอย่างช้าๆ แววตาวูบไหวไม่หยุดนิ่ง

ชั่วพริบตาเดียวก็นึกขึ้นได้ว่าพลาดเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งไป ลืมหาหลักฐานพิสูจน์จากปี้เยว่ฮูหยิน จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที

ดาวเทียนหยวน ตลาดสวรรค์ ในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกยังคงคุมเชิงกันอยู่

“ตรวจสอบให้ชัดเจนบ้าอะไรล่ะ!”

ปี้เยว่ฮูหยินพอออ้าปากก็พ่นคำหยาบ ไม่พ่นก็แปลกแล้ว ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ยังจะให้นางตรวจสอบให้ชัดเจนอีก จะให้นางตรวจสอบให้ชัดเจนอย่างไร? ครอบครัวของนางโดนลากลงน้ำไปด้วยแล้ว ตอนนี้เรียกได้ว่าอยากจะฆ่าเขาให้ตาย ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าฆ่าเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ นางก็คงลงมือไปแล้ว

“นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ข้าอยากฟัง!” นางตะคอกอย่างโมโห

“ฮูหยินผ่อนผันให้ข้าสามวันได้หรือไม่ แค่สามวัน” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้มเจื่อน

“สามวัน?” ปี้เยว่ฮูหยินโมโหจนหัวเราะออกมา “ให้ข้าผ่อนผันให้เจ้าสามวันเหรอ? ถ้าเบื้องบนถามข้าว่าเพราะอะไร แล้วข้าให้คำอธิบายไม่ได้ ใครจะมาขยายเวลาให้ข้าสามวัน? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ…” เสียงพูดหยุดชะงัก แล้วหยิบระฆังดาราออกมา

ผู้ที่ส่งข้อความมา นอกจากท่านโหวเทียนหยวนก็ไม่มีใครแล้ว เป็นอย่างที่ปี้เยว่ฮูหยินคาดไว้ ผู้ชายของนางรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่แล้วจริงๆ ขณะที่โดนสอบถาม นางแยกตัวออกจากเหมียวอี้ เดินไปตอบข้อความอีกด้าน : มีเรื่องนี้จริงๆ!

เทียนหยวน : ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้?

ปี้เยว่ฮูหยิน : ถ้าข้ารู้ตั้งแต่แรกจะมีเรื่องให้บอกเหรอ? ข้าก็ต้องห้ามไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ให้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้หรอก ที่สำคัญคือหนิวโหย่วเต๋อสร้างสถานการณ์ตบตาข้า ทำให้ข้าเพิ่งจะรู้เรื่องราว ตอนนี้ข้ากำลังอยู่กับเขา เตรียมจะคิดบัญชีกับเขา!

เทียนหยวน : เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวม เจ้าอย่าทำซี้ซั้วเชียวนะ ต่อให้เจ้าฆ่าเขาทิ้งตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์! เขาทำเรื่องนี้เพราะมีเจตนาอะไร?

ปี้เยว่ฮูหยิน : เขายังไม่ออกอะไร เอาแต่ปิดบังอำพราง ขอให้ข้าผ่อนผันเวลาให้สามวัน บอกว่าหลังจากสามวันนี้ก็จะรู้เอง!

เทียนหยวน : ได้ยินว่าคนจากร้านค้าสิบหกร้านที่ฟ้องร้องเขา รวมทั้งสองร้อยยี่สิบเอ็ดร้านที่เกี่ยวข้องถูกฆ่าทิ้งหมดเลยสามพันกว่าคน ทั้งยังจับคนจากร้านค้าร้อยอันดับแรกไปพันกว่าคน แม้แต่คนของร้านค้าสมาคมวีรชนกับคนของร้านค้าที่ตระกูลโค่วหนุนหลังก็จับไปด้วย มีเรื่องแบบนี้จริงหรือเปล่า?

ปี้เยว่ฮูหยินอึ้งเล็กน้อย นางยังไม่รู้รายละเอียดชัดเจน ประเด็นสำคัญคือผู้การสองหลันเซียงก็โดนตบตาเหมือนกัน กลับไปรายงานได้ไม่ชัดเจนเท่าไร จึงหันกลับมาถามเหมียวอี้ทันทีว่าเป็นแบบนี้หรือไม่

เรื่องนี้ไม่มีทางปิดบังได้ เหมียวอี้เองก็ไม่อยากจะปิดบังเช่นกัน เขาตอบว่าใช่!

ปี้เยว่ฮูหยินตอบทันที : ใช่!

เทียนหยวน : ตอนที่พวกติงกุ้ยไปตรวจสอบ เจ้าได้ปกป้องหนิวโหย่วเต๋อรึเปล่า?

ปี้เยว่ฮูหยิน : ข้าก็ต้องปกป้องอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นถ้ามีแรงกดดันนิดหน่อยแล้วข้าวางมือไม่สนใจ พวกเราสองสามีภรรยาจะเอาหน้าไปไว้ไหน? ถึงแม้จะรู้ว่าจะปกป้องไม่ไหว แต่ก็ยังต้องลำเอียงเข้าข้างสักหน่อย แต่ในเมื่อเขาสู้กับคนพวกนั้นแล้ว คาดว่าเขาก็คงรู้เหมือนกันว่าจะไม่มีจุดจบที่ดี ข้าแขะเกลี้ยกล่อมให้เขาจัดการเรื่องของตัวเองให้ดี แต่ใครจะคิดว่าเขาจะทำเรื่องแบบนี้ได้…นี่มันเวลาไหนแล้ว เจ้ายังมีกะจิตกะใจมาถามเรื่องนั้นอีกเหรอ? จะผ่านด่านที่อยู่ตรงหน้าไปได้ยังไง เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว!

ท่านโหวเทียนหยวนที่กำลังถือระฆังดาราไว้ในมือทำสีหน้าครุ่นคิด ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วตอบว่า : ปี้เยว่! เจ้าน่ะเจ้า จะให้ข้าว่าเจ้ายังไงดี! เจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาของเขาแท้ๆ ต่อให้เจ้าปกป้องเขาไม่ได้ แต่เจ้าไปแสดงความคิดตัวเองให้เขารู้ได้ยังไงว่าเจ้าจะทิ้งเขา? เจ้าจะให้ลูกน้องคิดยังไง? ขนาดเจ้ายังหนุนหลังให้เขาไม่ได้เลย เขาก็ต้องหาวิธีปกป้องตัวเองสิ ตัวเจ้าอยู่ที่นั่นแท้ๆ อย่าบอกนะว่าดูไม่ออกว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังคิดหาทางปกป้องตัวเอง? ช่างเถอะ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น แกล้งทำเป็นไม่รู้ต่อไป!

ปี้เยว่ฮูหยิน : เจ้าล้อเล่นใช่มั้ย! เรื่องที่เกิดใต้หนังตาข้า จะเสแสร้งต่อไปได้เหรอ? อีกประเดี๋ยวถ้ามีการถามหาความรับผิดชอบ ข้าต้องไม่รอดตัวแน่!

เทียนหยวน : ผลลัพธ์ในตอนนี้พูดยาก คอยดูไปก่อน! ถ้ามีเรื่องขึ้นมา ข้าจะหาทางผลักเฉาว่านเสียงออกมารับผิดชอบ

เมื่อได้ยินว่าเขามีหนทาง ปี้เยว่ฮูหยินก็สงบใจลงเล็กน้อย ถึงแม้ผู้ชายคนนี้จะเจ้าชู้ลับหลังนาง แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่นางแน่ใจได้ นั่นก็คือเขายังเห็นความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ไม่ทอดทิ้งนางเอาไว้โดยไม่สนใจ แต่ก็ยังถามเพิ่มอีกว่า : เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ อย่าบอกนะว่ายังมีผลลัพธ์อีกอย่าง?

เทียนหยวน : สมองเจ้าไปงอกบนหน้าอกหมดแล้ว ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวก็อธิบายให้เจ้าเข้าใจไม่ได้หรอก สรุปว่าข้ายังยืนยันอะไรไม่ได้ ยังต้องรอดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน จำไว้นะ! เจ้าไม่ต้องเข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้ แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรต่อไป ถ้ามีเรื่องอะไรก็บอกข้าล่วงหน้า อย่าเข้าไปก้าวก่ายซี้ซั้ว อย่าช่วยแล้วทำให้เรื่องยุ่งกว่าเดิม!

ชัดเจนว่ากำลังด่านางว่าหน้าอกใหญ่แต่ไร้สมอง! ปี้เยว่ฮูหยินก้มหน้ามองหน้าอกขาวอิ่มเอิบที่โผล่ออกมาครึ่งหนึ่งของตัวเอง แล้วจตอบว่า : ไปตายไป๊!

เมื่อเลิกติดต่อกันแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็หันกลับมาจ้องเหมียวอี้ครู่หนึ่ง

เหมียวอี้ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ แต่ใครจะคิดว่าปี้เยว่ฮูหยินกลับตะคอกว่า “พวกเรากลับ!”

นางพาผู้การสองหลันเซียงกลับไปแบบนี้เสียเลย ทำเอาเหมียวอี้ยืนงงอยู่ที่เดิม นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? คำพูดหลอกลวงที่เขาครุ่นคิดขึ้นมา ยังไม่ทันได้พูดออกมาด้วยซ้ำ

ผ่านไปไม่นาน เป่าเหลียนก็มาแล้ว ในมือถือกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งมายื่นให้เขา คนที่ตามหลังนางมายังมีหวงฝู่จวินโหรวด้วย ผมงามยุ่งสยาย บนกระโปรงเปื้อนฝุ่นดินและรอยเลือด สูญเสียความสง่าภูมิฐานหมือนในวันเก่าๆ ดูค่อนข้างสะบักสะบอม

เหมียวอี้ดูกำไลเก็บสมบัติในมือนิดหน่อย แล้วบอกเป่าเหลียนด้วยรอยยิ้มว่า  “ไปผู้บัญชาการฝูแล้วคุยเรื่องอวี้ซวีเจินเหรินสักหน่อยเถอะ ฝูชิงรู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร”

“ค่ะ!” เป่าเหลียนพยักหน้าซ้ำๆ แล้วรีบออกไป ไม่อย่างนั้นก็กลัวว่าพวกลูกน้องจะไม่บันยะบันยังทำให้อวี้ซวีเจินเหรินได้รับความลำบาก

ในลานบ้านเหลือคนอยู่แค่สองคน เหมียวอี้มองสำรวจหวงฝู่จวินโหรวที่สภาพสะบักสะบอมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ส่วนหวงฝู่จวินโหรวก็ทำท่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันราวกับไฟจะลุกออกจากดวงตา กล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ช่างมีความเด็ดขาดในการตัดสินใจ พอสั่งคำเดียว ศีรษะคนก็ตกลงพื้นหลายพัน พวกเราอุตส่าห์ยอมให้จับมาแต่โดยดี ช่างน่าเกรงขามจริงๆ!”

เหมียวอี้กลับถามด้วยรอยยิ้มว่า “เขียนคำให้การว่าสมคบคิดกันหรือยัง?”

หวงฝู่จวินโหรวแสยะยิ้ม “ดาบจ่ออยู่ที่คอข้า ข้าจะกล้าไม่เขียนเหรอ? หนิวโหย่วเต๋อ วันนี้ข้านับว่าเห็นชัดแล้วว่าเจ้าเป็นคนยังไง ไม่มีความเป็นมนุษย์เลยสักนิด ไม่นึกถึงความรักใคร่ต่อกันเลยสักนิด!”

“ดีกว่าที่เจ้าให้ปีศาจโลหิตมาสังหารข้าหรอกน่า? อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้เอาชีวิตเจ้า ครั้งนี้นับว่าบุญคุณความแค้นของพวกเราจบลงแล้ว!” เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใช้มือกดบ่านาง คลายผลึกพลังอิทธิฤทธิ์ให้นาง จากนั้นเผยกำไลเก็บสมบัติออกมา “คืนของให้เจ้า ข้าไม่ได้แตะต้องของข้างในเลยสักอย่าง ข้ามีน้ำใจพอมั้ยล่ะ?”

หวงฝู่จวินโหรวแย่งกลับมา รีบตรวจดูครู่หนึ่ง เมื่อประเมินแล้วว่าไม่มีอะไรหายไป ถึงได้นำกลับมาสวมไว้บนข้อมือ “ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่ว่าใครก็ปิดบังไว้ไม่อยู่หรอก ข้าจะดูว่าครั้งนี้เจ้าจะตายยังไง!”

“เจ้าไม่ต้องลำบากมาเป็นห่วงหรอก!” เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ “เห็นแก่ไมตรีเก่า เจ้าสามารถพาพนักงานของร้านเจ้ากลับไปด้วยได้!”

“เจ้าคิดจะไล่ข้ากลับไปอย่างนี้เหรอ? ร้านค้าของข้าที่โดยสั่งปิด ของที่ยึดจากร้านค้าข้าไปล่ะยึด!” หวงฝู่จวินโหรวตะคอก

“ร้านค้าน่ะ เวลาที่ควรจะเปิดก็ย่อมเปิดได้ โรงเตี๊ยมที่ตลาดสวรรค์ไม่ขาดที่ให้เจ้าพักหรอก ส่วนของที่ยึดไว้ ก่อนที่จะสืบเรื่องนี้ให้รู้ชัดอย่างถึงที่สุด พวกนั้นล้วนเป็นของโจร ตอนนี้ยังเอากลับคืนไปไม่ได้!” เหมียวอี้ส่ายหน้า เมื่อเห็นนางทำท่าจะเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ ก็เอาสองมือไขว้หลังแล้วขู่ไปเสียเลยว่า “ถือโอกาสพาพนักงานของเจ้ากลับไปก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ ถ้าช้ากว่านี้จะได้เอากลับไปแต่หัวนะ หัวไม่กี่พันหัวยังดับไฟโกรธในใจข้าไม่ได้เลย ข้าไม่ถือสาที่จะฆ่าเพิ่มอีกสักหน่อย!”

ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน หวงฝู่จวินโหรวก็คงจะพูดว่า “เจ้ากล้าเหรอ” แต่วันนี้หลังจากได้เห็นภาพศีรษะคนปลิวว่อนฟ้า นางก็ไม่สงสัยเลยว่าเจ้าคนเสียสตินี่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ นางไม่กล้าเอาชีวิตลูกน้องมาเสี่ยงอันตราย ทำได้เพียงกล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “วันนี้เจ้าบังคับให้ข้าคุกเข่ารับความอัปยศ วันหลังข้าจะคืนให้เจ้าแน่!” แล้วกันหน้าเดินจากไป


1078

ผู้หญิงโง่เง่า

คำพูดนี้ ช่างเป็นสิ่งที่เหมียวอี้ปรารถนาแต่ไม่เคยสมหัวงสักที!

ขณะที่มองตามหวงฝู่จวินโหรวจากไป เหมียวอี้ก็แอบสะใจ เฝ้ารอให้หวงฝู่จวินโหรวรีบไปร้องเรียนเบื้องบนไวๆ สมาคมวีรชนเป็นหูเป็นตาให้ราชันสวรรค์ คงจะช่วยตนรายงานเรื่องนี้ให้ถึงหูเบื้องบนสุดได้โดยดเร็ว คาดว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แม้แต่ของของสมาคมวีรชนยังถูกตนยึดไว้แล้ว หวงฝู่จวินโหรวน่าจะไม่มีทางปิดบังได้

ข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ ครั้งนี้ล่วงเกินผู้หญิงคนนี้อย่างโหดเหี้ยมพอสมควร เดาว่าในที่สุดก็จะได้หลุดพ้นจากการพัวพันของผู้หญิงคนนี้แล้ว ไม่อย่างนั้นตนก็ทนความยั่วยวนจากความงามล่มเมืองของผู้หญิงคนนี้ไม่ไหว เอาแต่ตัดไม่ขาดจนใจว้าวุ่นอยู่เสมอ

จากนั้นเขาก็หันตัวกลับมา ถอดชุดเกราะ นั่งลงใต้เถาวัลย์สีเขียว ยกกาน้ำชารินดื่มเพียงลำพัง

เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็ไม่มีทางควบคุมได้แล้ว สิ่งที่สามารถทำได้ก็มีแค่รอต่อไป ปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรมอย่างแท้จริง ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็หนีไป

รอปสักประเดี๋ยว เป่าเหลียนก็มารายงานอีก บอกว่าอวี้ซวีเจินเหรินขอพบ เหมียวอี้พยักหน้าเชิญ

จนกระทั่งนำอวี้ซวีเจินเหรินมาถึง เหมียวอี้ก็รีบลุกขึ้นและก้าวขึ้นมา ก่อนจะโค้งตัวค้างไว้ “เจินเหรินโปรดระงับโทสะ ดูหมิ่นเจินเหรินแล้ว เป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ไร้มารยาท ขออภัยเจินเหริน!”

อวี้ซวีเจินเหรินยิ้มเจื่อน “คุกเข่าพร้อมกับทุกคน ข้าไม่เป็นอะไรหรอก เพียงแต่ผู้บัญชาการใหญ่เปิดฉากสังหารหมู่ใหญ่โตขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการใหญ่ไม่เคยพิจารณาถึงผลที่ตามมาจริงๆ?”

“เจินเหรินเชิญนั่งแล้วค่อยๆ คุยกันเถิด!” เหมียวอี้ยื่นแขนเชิญเข้ามานั่งข้างโต๊ะหินใต้เพิงเถาวัลย์ หลังจากรินน้ำชาเพื่อขอโทษด้วยตัวเอง ถึงได้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “สถานการณ์ของข้าก่อนหน้านี้ เจินเหรินเองก็รู้เช่นกัน  ข้าเองก็โดนร้านค้าพวกนั้นกดดันจนหมดทางเลือก ครั้งนี้ทำให้เจินเหรินลำบากไปด้วยแล้ว ข้าหมดหนทางแล้วจึงได้ทำแบบนี้ ส่วนผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ก็ทำไปดูไปทีละขั้นตอนแล้วกัน!”

เมื่อเห็นว่าเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้มาก อวี้ซวีเจินเหรินก็ไม่ได้ถามอีก เพียงแต่แววตาที่มองเหมียวอี้ค่อนข้างซับซ้อนหลากอารมณ์ ตอนแรกที่เข้าสำนักลมปราณ เป็นคนหนุ่มที่ดีขนาดไหน ศิษย์พี่ถึงขั้นอยากรับเข้ามาเลี้ยงให้เป็นผู้สืบทอดสำนัก ตอนนี้พอเข้ามาอยู่ในวงการขุนนาง เมื่ออยู่ในถังย้อมขนาดไหน ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ ชีวิตคนหลายพันคนก็สามารถสั่งประหารได้โดยไม่กะพริบตา ฆ่าคนหัวคนกลิ้งเต็มพื้น เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ แค่คิดก็รู้แล้วว่าใจดำอำมหิตขนาดไหน

สิ่งเดียวที่ทำให้เขาปลื้มใจก็คือ อีกฝ่ายยังคงเคารพนอบน้อมเขาเหมือนเดิม จะเห็นได้ว่าสันดานเดิมยังไม่ถูกกลบไป…

ณ ตลาดสวรรค์ ไม่ได้มีแค่มู่หรงซิงหัวเท่านั้นที่ติดต่อกับเฉาว่านเสียง ผู้จัดการของร้านค้าใหญ่ๆ ที่มาล้อมดูการสังหารหมู่ พอต่างคนต่างกลับมาถึงร้านค้าของตัวเองแล้ว ก็รีบติดต่อกับเจ้าของร้านที่อยู่เบื้องหลังเช่นกัน พากันเล่าสถานการณ์ของที่นี่ให้ฟัง

ส่วนจะปฏิบัติตามคำสั่งโดยการสารภาพเรื่องที่สมาคมร้านค้ามาขอความร่วมมือฝ่ายตัวเองเพื่อต่อต้านหนิวโหย่วเต๋อหรือไม่ ก็ยังต้องฟังความคิดเห็นของเจ้าของร้านที่อยู่เบื้องหลัง เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่เพียงประเดี๋ยวเดียว ตอนนี้แพร่กระจายลึกไปยังอวกาศอันไร้ขอบเขตอย่างรวดเร็ว

ณ ร้านโฉมเมฆา ในศาลาที่ถูกภูเขาจำลองขับให้เด่น อวิ๋นจือชิวนั่งเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็นิ่งเงียบไปนานมากเช่นกัน เชียนเอ๋อร์ถามหยั่งเชิงว่า “ฮูหยิน จะถามนายท่านดีมั้ยเจ้าคะว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่?”

“ไม่ถามแล้ว รอให้ถึงเวลาที่เขาเต็มใจจะบอกข้าก่อนแลวค่อยว่ากัน!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ ดูใจคอแห้งเหี่ยว ส่ายหน้าเล็กน้อย ไม่นานในดวงตางามก็ฉายแววเหม่อลอยอีกครั้ง

ณ จวนเทพประจำดาวฟ้าเถาะ ใหญ่โตมโหฬาร ในนั้นมีป่าไม้ที่เขียวชอุ่มผืนหนึ่ง ชายวัยกลางคนจำนวนมากกำลังเดินร่วมทางช้าๆ อยู่บนทางเล็กในป่า ที่ทั้งสูงเตี้ยอ้วนผอม แต่ละคนมีสง่าราศีไม่ธรรมดา มีลักษณะเหมือนอยู่เหนือคนอื่นมานาน

ชายหนุ่มหนวดสั้นที่กำยำล่ำสันและสวมชุดผ้าแพรอยู่ตรงกลางก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือผังก้วน เทพประจำดาวฟ้าเถาะนั่นเอง

ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ สรุปก็คือสุดท้ายกุมหมัดกล่าวอำลากัน คนที่เดินร่วมทางมาด้วยกันทยอยกันออกไปจากตรงนั้น

หลังจากกกุมหมัดคารวะส่งเพื่อนร่วมงานแล้ว ผังก้วนที่เอามือไขว้หลังก็นำบ่าวชราเดินไปข้างหน้าต่อ

เดินออกจากป่าที่เขียวชอุ่ม ในทุ่งดอกไม้ตรงหน้าที่เบ่งบานตระการตาราวกับผ้าแพรมีศาลาที่งดงาม ชายหญิงกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางดอกไม้ที่แปลกตานานาชนิด สตรีวัยกลางคนที่งามเลิศล้ำคนหนึ่งถูกให้ความสำคัญ มีคนเดิมติดตามกันเป็นกลุ่ม ท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่

เมื่อเห็นคนกลุ่มนี้ ผังก้วนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หาทางเบี่ยงอีกทาง หมายจะเดินอ้อมออกไปข้างหน้า แต่ใครจะคิดว่าสตรีชั้นสูงคนนั้นจะตาแหลม ตะโกนเสียงดังมาแต่ไกลๆ “นายท่าน! นายท่านหยุดก่อน!”

ผังก้วนหยุดฝีเท้า ฮูหยินที่แต่งกายหรูหราหันหน้ากลับมาโบกมือเช่นกัน ไล่ชายหญิงกลุ่มนั้นให้แยกย้ายกันออกไป พาแค่ชายหนุ่มรูปงามหน้าขาวปากแดงคนหนึ่งเดินเข้ามา

พอเดินเข้ามาใกล้ สตรีที่แต่งกายหรูหราก็วางมือย่อเข่าทำความเคารพ พร้อมกล่าวเรียกด้วยรอยยิ้มสนิทสนม “นายท่าน!”

ชายหนุ่มที่เดินตามมาด้วยกุมหมัดคารวะเช่นกัน “ท่านอาเขย!”

สตรีที่แต่งกายหรูหราไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือจาหรูเยี่ยนฮูหยินภรรยาเอกของผังก้วน รูปร่างละมุนละไม ใบหน้างดงามดุจดอกไห่ถัง สวยเพริศพริ้งที่สุด ที่จริงคนที่อยู่ตำแหน่งระดับเดียวกับผังก้วน มีภรรยาของใครบ้างที่ไม่สวยเพริศพริ้ง ผู้หญิงสวยธรรมดาไม่อยู่ในสายตาพวกเขาอยู่แล้ว ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล เวไนยสัตว์เหลือคณานับ อาศัยฐานะตำแหน่งของพวกเขา หญิงงามที่คนธรรมดาทั่วไปใฝ่ฝันแต่เอื้อมไม่ถึง แต่สำหรับพวกเขาเป็นเรื่องปกติธรรมดา ขอเพียงถูกใจ การได้พวกนางมาก็เป็นแค่เรื่องที่ง่ายดายเหมือนสั่งได้ในคำเดียว

ส่วนชายหนุ่มที่ติดตามอยู่ข้างหายจาหรูเยี่ยน ก็คือจาเหรินจวิ้น ผู้ที่เย่สวินเกาอยากแนะนำให้ไปทำงานเป็นลูกน้องของเหมียวอี้

“อืม!” ผังก้วนพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหลือบมองทั้งสองอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง มอไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน ในดวงตาฉายแววล้ำลึกอยู่บ้าง หันตัวเดินจากไปแล้ว

“ฮูหยิน นายน้อยเหรินจวิ้น!” หลังจากบ่าวชราเฉินหวยจิ่วคำนับทั้งสองแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เดินตามหลังผังก้วนต่อไป

“นายท่าน หม่อมฉันมีเรื่องจะบอกค่ะ” จาหรูเยี่ยนเร่งฝีเท้าเดินตาม

ผังก้วนเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไร อ้างอย่างขอไปที “ถ้ามีเรื่องอะไรรอให้ข้ากลับมาจากตำหนักสวรรค์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

“ไอ๊หยา นายท่านของข้า มีคนรังแกมาถึงหัวพวกเราแล้ว เรื่องนี้ต้องให้ท่านออกหน้าจริงๆ หม่อมฉันจะรอไหวได้อย่างไรกัน” จาหรูเยี่ยนดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้เสียเลย

ผังก้วนทำได้เพียงหยุดฝีเท้า สะบัดแขนเสื้อ แล้วกล่าวอย่างทนรำคาญไม่ไหวนิดหน่อย “ข้ายังมีธุระสำคัญ มีอะไรก็รีบพูดมา”

“กินยาผิดมาเหรอคะ? ข้าไปยั่วโมโหท่านเหรอ?” จาหรูเยี่ยนกลอกตาใส่เขาอย่างหงุดหงิด “ข้าจะบอกท่านให้นะ ร้านค้าของตระกูลเราที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนถูกตรวจค้นและยึดทรัพย์แล้ว ของในร้านก็ถูกปล้นไปหมด พนักงานในร้านก็โดนฆ่าจนหมดเกลี้ยง ถ้าท่านไม่ทวงความยุติธรรมให้เรื่องนี้ พวกเราเสียหน้ากับเรื่องนี้ไม่ได้ ท่านเป็นขุนนางตำหนักเดียวกับเทพประจำดาวคนฉลู สนิทสนมกัน ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไม่ไว้หน้า เรื่องนี้ท่านต้องออกหน้าบอกด้วยตัวเอง!”

เทพประจำดาวคนฉลูชื่อว่าหมิงเย่าคง เป็นผู้บังคับบัญชาของท่านโหวเทียนหยวน ดาวเทียนหยวนย่อมอยู่ในขอบเขตการควบคุมของหมิงเย่าคง

ตอนยังไม่พูดเรื่องนี้ก็ยังดีอยู่ แต่พอพูดเรื่องนี้ ผังก้วนกลับแสยะยิ้มแล้วเอาสองมือไขว้หลังอีกครั้ง ถามกลับว่า “ข้าก็อยากจะถามเจ้าอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินว่ากลุ่มสตรีก็ร้องเรียนอะไรกับหมิงเย่าคง เจ้าเองก็มีส่วนเหมือนกันรึเปล่า? ได้ยินว่าเจ้าเป็นคนริเริ่ม?”

จาหรูเยี่ยนทำตัวไม่เป็นธรรมชาตินิดหน่อย แต่ก็ดึงมือจาเหรินจวิ้นที่อยู่ข้างหลังออกมา “เหรินจวิ้นก็นับว่าเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถเหมือนกัน หน้าตาก็โดดเด่นเกินใคร ตอนนี้วรยุทธ์ก็ถึงขั้นแล้วด้วย ข้าบอกท่านหลายครั้งแล้วว่าให้ช่วยหาตำแหน่งที่เหมาะสมให้เขา ท่านบอกมาตลอดว่าเดี๋ยวช่วยเตรียมให้ แต่รอมาหลายสิบปีแล้วก็ยังไม่เห็นทำอะไรสักที ข้าก็เลยบอกผู้จัดการร้านที่ตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวน ให้เขานำของขวัญไปมอบเพื่อให้อีกฝ่ายจัดหาตำแหน่งให้ ไม่ทำให้เจ้าเสียหน้าอะไรด้วย ใครจะคิดล่ะว่าในเมล็ดแตงโมจะมีหนอน ใครจะคิดว่าผู้บัญชาการเล็กๆ คนหนึ่งจะใจกล้าคับฟ้า กล้ารับของขวัญพวกเราแต่ไม่ยอมจัดการธุระให้ ข้าย่อมต้องสั่งสอนเขาสักหน่อยอยู่แล้ว”

จาเหรินจวิ้นที่ถูดถึงออกมา เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างหวาดกลัวผังก้วน ไม่กล้าหายใจแรง ถึงอย่างไรผังก้วนก็มีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมาก ลักษณะท่าทางก็ทำให้คนหวาดกลัวด้วย

ผังก้วนถามเหมือนแปลกใจว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเรื่องของเหรินจวิ้นยังไม่เหมาะจะจัดการตอนนี้ รอให้ผ่านไปสักช่วงหนึ่งก่อนแล้วค่อยว่ากัน เจ้ายังจะทำเรื่องนี้ลับหลังข้าอีก เจ้าเห็นคำพุดข้าเป็นเหมือนลมผ่านหูใช่มั้ย?”

จาหรูเยี่ยนกระทืบเท้าสองสามที “ทำไมท่านยังไม่เข้าใจอีก ข้าบอกว่าตลาดสวรรค์ ตำแหน่งของตลาดสวรรค์แต่ละที่มีแต่เส้นสาย ปกติเวลายัดคนไปเบียดตำแหน่งคนอื่นจะล่วงเกินคนอื่นได้ง่าย มีโอกาสที่ดาวเทียนหยวนพอดี ถ้าข้าไม่ฉวยโอกาสนี้ไว้แล้วโดนคนอื่นแย่งไปล่ะ เดี๋ยวมานึกเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว ใครจะไปคิดว่าจะเจอกับเจ้าชาติสุนัขที่ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งแล้วไม่ได้ผล กล้าวางอำนาจบาตรใหญ่ฝ่าฝืนกฎ ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว!”

ผังก้วนเงยหน้ามองฟ้า ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง พยายามสงบสติอารมณ์ แล้วถามว่า “เจ้าไม่รู้เชียวเหรอว่าคนที่พวกเจ้าต้องการจะเล่นงานเป็นใคร? นั่นคือแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบที่ราชันสวรรค์เพิ่งแต่งตั้งให้ได้ไม่นาน บนทิศทางลมแบบนี้ พวกเจ้าจะไปเล่นงานเขาเหรอ? ผู้หญิงอย่างพวกเจ้าโดนหมากินสมองไปหมดแล้วหรือไง หรือว่ากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ เลยหาเรื่องใส่ตัวเอง?”

“ผังก้วน ทำปากท่านให้มันสะอาดๆ หน่อย!” จาหรูเยี่ยนเดือดดาลแล้ว โดนสามีตัวเองด่าแบบนี้ต่อหน้าหลานชาย นางทนเสียหน้าไม่ไหวแล้วจริงๆ กล่าวด้วยเสียงที่ดังขึ้นหลายส่วน “ก็แค่แม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบไม่ใช่เหรอ คนที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งให้เองมีตั้งเยอะ ที่พวกเจ้าเล่นงานลับหลังมีน้อยเสียที่ไหนล่ะ? คิดว่าข้าไม่รู้เหรอ? เจ้าช่างมีน้ำใจจริงๆ นะ ตระกูลพวกเราเสียเปรียบแล้ว เจ้าไม่กู้หน้ากลับมา แถมมาระบายความโกรธใส่ข้าด้วย…”

เสียงเปาะแปะดังไม่หยุด ผังก้วนโดนตบแก้มหลายครั้ง

เพี้ยะ! ไม่มีปี่มีขลุ่ย ตบบ้องหูอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบ เรียกได้ว่าเสียงดังชัดเจน

ผังก้วนระงับไฟโกรธไม่ไหว ในที่สุดก็ฟาดฝ่ามือออกมากหนึ่งที พอสิ้นเสียงจาหรูเยี่ยนก็ล้มลงพื้น ที่มุมปากมีเลือดซึม นั่งมึนงงอยู่บนพื้น โดนตบจนมึนแล้ว

จาเหรินจวิ้นที่อยู่ข้างๆ ตกใจจนตัวสั่น ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

บ่าวชราเฉินหวยจิ่วรีบก้าวขึ้นมาประคองเขา

ผังก้วนกลับยังไม่หายโมโห ชี้จาหรูเยี่ยนพร้มอตะคอกอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าไม่รู้เหรอว่าอยู่ใกล้ราชันก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ? พอไม่ระวังก็ตายทั้งตระกูลได้เลย เจ้าจะเอาให้โดนประหารทั้งบ้านเลยใช่มั้ยถึงพอใจ? ผู้หญิงโง่เง่า! โง่เง่าไร้ที่เปรียบ!”

“ผังก้วน เจ้ากล้าตบข้าเหรอ!” จาหรูเยี่ยนที่ได้สติกลับมาเช็ดรอยเลือดที่ริมฝีปาก นางประสาทเสียทันที สะบัดบ่าวชราที่เข้ามาประคองออก แล้วพุ่งเข้าไปดึงคอเสื้อผังก้วน ผลักเขาไม่หยุดพร้อมโวยวายว่า “เจ้ามันคนไร้มโนธรรม ที่เจ้ามีวันนี้ได้ ตระกูลจาของข้ามีคนตายไปตั้งกี่คน! หมดกำลังทรัพย์ไปมากมายท่าไร เสียเลือดเสียเนื้อไปเท่าไรกว่าจะผลักดันเจ้าขึ้นมาได้ ตอนนี้หลานชายของข้าแค่คนเดียวไม่มีที่พึ่งพิง แค่เข้าไปรับตำแหน่งผู้บัญชาการสักตำแหน่งจะเป็นไรไป? เจ้ายังกล้าตบข้าด้วย! ข้าจะสู้ตายกับเจ้า! ข้า…”

เสียงโวยวายร้องไห้พลันหยุดลง ผังก้วนบีบคอนางไว้แล้ว พร้อมตะคอกด้วยสีหน้าเดือดดาลว่า “จาหรูเยี่ยน ถ้าหาเรื่องอีก เจ้าเชื่อมั้ยว่าข้าจะทิ้งเจ้า!”

จาหรูเยี่ยนใช้สองมือแกะมือใหญ่ที่คอตัวเอง แต่ไม่มีทางแกะออกได้ โดนบีบคอจนตาเหลือก

“นายท่าน! ฮูหยินกระวนกระวายร้อนใจ ถึงได้ใช้คำพูดไม่ถูก!” บ่าวชราเฉินหวยจิ่วรีบเข้ามาขอวิงวอน

“เฮอะ!” ผังก้วนผลักคนที่อยู่ในมือจนล้มลงพื้น แล้วหันกลับมาบอกว่า “จับตาดูนางไว้ให้ดี! อย่าให้นางเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้อีก ไม่ต้องไปหาเส้นสายที่ดาวเทียนหยวนหรอก ร้านที่โดนปิดกับของที่โดนยึดก็ไม่ต้องเอาแล้ว สรุปว่าห้ามเข้าไปยุ่งอะไรอีก!”

“ขอรับ!” บ่าวชราเอ่ยรับ

จาหรูเยี่ยนที่นั่งล้มอยู่บนพื้นกลับร้องไห้สะอึกสะอื้นลุกขึ้นมา แล้วบอกว่า “ท่านพ่อ! ท่านแม่! พวกท่านจากไปเร็วเกินไป ข้าโดนรังแกแต่ไม่มีคนให้ฟ้องด้วยซ้ำ เขาทำร้ายข้า ทั้งยังบอกว่าจะทิ้งข้าด้วย คำพูดหวานไพเราะที่พูดตอนแต่งงานกับข้าเป็นแค่คำหลอกลวงทั้งนั้น เสียแรงที่พวกท่านสละชีวิตเพื่อเขา ลูกสาวช่างชะตาลำเค็ญนัก!”

“…” ผังก้วนที่ได้ยินดังนั้นกระตุกมุมปากอย่างรุนแรง รู้สึกเหมือนทำให้ถูกพ่ายแพ้ ทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว สะบัดแขนเสื้อถลันตัวจากไปทันที

1079

เงียบสงบมาก

เรื่องบางอย่างเมื่อได้ทำไปแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ก็มักจะเกิดผลกระทบบางอย่างที่ไม่ค่อยดีอยู่เสมอ

เหมียวอี้ที่รออย่างเงียบๆ อยู่ที่จวนผู้บัญชาการใหญ่ ปัญหาแรกที่ประสบไม่ได้มาจากทางตำหนักสวรรค์ แต่เป็นความเดือดดาลที่มาจากโค่วเหวินหลาน

ที่โค่วเหวินหลานเดือดดาลก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ข้าเพิ่งจะออกจากตลาดสวรรค์ได้ไม่นาน แต่เจ้าก็มาค้นและยึดร้านค้าของตระกูลโค่ว จับตัวคนของตระกูลโค่ว แบบนี้หมายความว่าอย่างไร?

โค่วเหวินหลานสั่งเพียงคำเดียวว่า เปิดร้านค้าของตระกูลโค่วเดี๋ยวนี้ คืนของในร้านค้าให้ตระกูลโค่ว แล้วข้าจะทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่ไมตรีเก่า!

ส่วนคนของร้านค้าตระกูลโค่วที่ถูกจับมา ก็ส่งคำให้การที่เกี่ยวข้องกับขบวนการและถูกปล่อยตัวไปแล้ว และก็เป็นเพราะถูกปล่อยออกไป ทางโค่วเหวินหลานถึงได้ข่าวเร็วมาก ผู้จัดการร้านค้ารู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างโค่วเหวินหลานกับเหมียวอี้ จึงบอกให้โค่วเหวินหลานรู้สักหน่อย

เหมียวอี้ที่ถือระฆังดาราอยู่ใต้เพิงเถาวัลย์ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก่อนที่ผลการตรวจสอบจะออกมา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสั่งเปิดร้านค้าที่โดนตรวจสอบและอายัด ของก็ยังคืนให้ไม่ได้เช่นกัน

ผ่านไปไม่นาน ฝูชิงและผู้บัญชาการอีกสี่คนที่ถูกเรียกพบก็เข้ามาทำความเคารพพร้อมกัน “ผู้บัญชาการใหญ่!”

เหมียวอี้เก็บระฆังดารา แล้วถามว่า “ร้านค้าพวกนั้นที่ถูกจับมาได้มอบคำให้การของขบวนการนี้รึยัง?”

“ส่งมอบให้หมดแล้ว คนก็ปล่อยไปแล้ว แต่ทุกคนถามว่าเมื่อไรจะสั่งเปิดร้านค้าให้พวกเขา จะคืนของที่ตรวจค้นและยึดไปให้เขาเมื่อไร” ฝูชิงตอบ

สวีถังหรานตอบว่า “ผู้ต้องสงสัยที่หนีรอดไปได้มามอบตัวแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง หลังจากที่ร้านค้าใหญ่ๆ รายงานมา พวกเราก็จับได้แล้วเช่นกัน”

เหมียวอี้พยักหน้า “คนที่มอบตัวเอง ขอแค่เป็นคนที่สารภาพแล้ว ก็กักตัวไว้ก่อนชั่วคราว ส่วนคนที่ถูกจับได้ให้ลากไปประหาร! ในเมื่อคนที่ควรจับก็จับไปแล้ว เปิดประตูเมืองทั้งสี่ไปเลยแล้วกัน”

“รับทราบ!” ทั้งสี่เอ่ยรับ

เหมียวอี้ถามอีกว่า “ร้านค้าร้านอื่นๆ มีปฏิกิริยายังไงบ้าง?”

ฝูชิง “ร้านค้าใหญ่ๆ แต่ละร้านกระตือรือร้นเป็นฝ่ายส่งคำให้การว่าสมาคมร้านค้าร่วมมือกันต่อต้านนายท่าน”

เหมียวอี้พยักหน้า แอบโล่งใจลงบ้างนิดหน่อย ปฏิกิริยาของร้านค้าใหญ่ๆ ก็คือเครื่องวัดที่เขาใช้หยั่งเชิงปฏิกิริยาของเบื้องบน ร้านค้าพวกนั้นจะต้องติดต่อกับเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังก่อนแน่นอน ในเมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังแล้ว ความเป็นไปได้ที่เรื่องราวจะดำเนินไปในทางแย่ก็จะยิ่งลดน้อยลง

อันที่จริงแล้ว มู่หรงซิงหัวค่อนข้างประหลาดใจกับปฏิกิริยาของบรรดาร้านค้าใหญ่ๆ ของตลาดสวรรค์ แน่นอนว่านางรู้ว่าท่าทีของร้านค้าใหญ่ๆ ก็คือท่าทีของเจ้าของที่อยู่เบื้องหลัง พวกเขายอมอ่อนข้อให้หนิวโหย่วเต๋อหมดแล้วงั้นเหรอ? หรือว่ากำลังครุ่นคิดถึงมรสุมที่ใหญ่กว่านี้?

สวีถังหรานเองก็ไม่ใช่คนโง่ สถานการณ์ปัจจุบันเป็นประโยชน์กับพวกเขา ในใจเรียกได้ว่าแอบกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริง

ร้านโฉมเมฆา ในศาลาที่ถูกขับให้เด่นด้วยภูเขาจำลอง อวิ๋นจือชิวถามอย่างแปลกใจมาก “ร้านค้าแต่ละร้านเป็นฝ่ายไปมอบคำให้การสารภาพผิดที่จวนผู้บัญชาการทั้งสี่เขตเมืองเองเลยเหรอ?”

ช่างไม้กับช่างหินที่ไปสืบข่าวกลับมาพยักหน้าตอบ “เป็นอย่างนี้ขอรับ”

อวิ๋นจือชิวยืนขึ้นอย่างช้าๆ ยืนพิงรั้วเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร…

ณ ตำหนักคุ้มเมือง ถึงแม้ท่านโหวเทียนหยวนจะสั่งไว้แล้วว่าไม่ให้เข้าไปแทรกแซง แต่เกิดเรื่องขึ้นใหญ่โตขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ปี้เยว่ฮูหยินจะไม่สนใจ

หลังจากได้ทราบปฏิกิริยาของร้านค้าใหญ่ๆ ของตลาดสวรรค์ ปี้เยว่ฮูหยินก็แปลกใจอยู่บ้างเช่นกัน ขมวดคิ้วเดินไปเดินมาอยู่ในสวนดอกไม้ ถึงขั้นเรียกได้ว่ามหัศจรรย์ใจไม่หยุด

เจ้าของที่อยู่เบื้องหลังบรรดาร้านค้าที่โดนค้นยึดและประหาร นอกจากจะไม่มีคนมาเอาเรื่องแล้ว ร้านค้าที่เป็นทั่วแทนของผู้มีอำนาจทุกร้านกลับมายอมศิโรราบต่อหนิวโหย่วเต๋อด้วยซ้ำ หัวคนหลายพันหัว สังหารทาสของผู้มีอิทธิพลของตำหนักสวรรค์จนเลือดนองกลายเป็นแม่น้ำ แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาอย่างที่จินตนาการไว้เลยสักนิด เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?

หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง ก็หยิบระฆังดาราออกมาอีก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นางก็ต้องรายงานสถานการณ์ของที่นี่ให้ท่านโหวเทียนหยวนรู้ในทันที จะได้ให้ผู้ชายของตัวเองรู้การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และตัดสินใจได้สะดวก

หลังจากบอกเล่าสถานการณ์ของทางนี้อย่างคร่าวๆ ปี้เยว่ฮูหยินก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า : ทางนั้นมีใครกดดันเจ้าหรือเปล่า?

เทียนหยวน : เงียบสงบมาก แม้แต่เทพประจำดาวก็ถามแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนิดหน่อย ไม่มีท่าทีว่าจะเข้ามาแทรกแซงเลย

ปี้เยว่ฮูหยินแปลกใจ: เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? หนิวโหย่วเต๋อหน้าใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? อย่าบอกนะว่าอ๋องสวรรค์โค่วออกหน้าให้แล้ว?

เทียนหยวน : เจ้านี่นะ! ตอนนี้อธิบายไปเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก ถ้าเรื่องยังไม่ถึงตอนสุดท้ายก็พูดยาก ก็อย่างที่บอก เรื่องที่เกิดขึ้นที่ตลาดสวรรค์ เจ้ายังไม่ต้องมายุ่งอะไรทั้งนั้น หนิวโหย่วเต๋อนั่นฉลาดกว่าเจ้า เจ้าไม่ต้องไปปล่อยไก่ที่นั่นแล้ว!

เมื่อโดนดูถูกเหยียดหยาม ปี้เยว่ฮูหยินก็โมโหเช่นกัน : เทียนหยวน อย่ามาเล่นลูกไม้ให้สับสน พวกเจ้ากำลังเล่นบ้าอะไรกันแน่?

เทียนหยวน : บอกเจ้าไปตอนนี้ก็บอกได้ไม่ชัดเจน รอหลังจากประชุมที่ตำหนักสวรรค์เสร็จ เรื่องราวก็น่าจะชัดเจนแล้ว ก่อนจะได้รับแจ้งอะไรจากข้า เจ้าอยู่เฉยๆ น่ะถูกแล้ว ไม่อย่างนั้นไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรก็อาจจะผิดได้!

ดาวหยกงาม จวนอ๋องสวรรค์ หอสามรากฐาน ข้างหลังโต๊ะยาว ชายชราที่ผมหงอกขาวเต็มศีรษะกำลังนั่งโน้มกายอยู่บนเก้าอี้ กำลังพลิกแผ่นหยกบนโต๊ะอ่านทีละแผ่น

เขาดูอายุเยอะ แต่โครงกระดูกกลับใหญ่มาก ใบหน้าที่เหี่ยวย่นเล็กน้อยยังทำให้มองออกรางๆ ถึงความหล่อเหลาในวัยหนุ่ม ลักษณะท่าทางเงียบขรึมเก็บตัว มองดูเหมือนชายชราธรรมดา มีเพียงตอนขยับสายตาในบางครั้ง ที่ดวงตาจะยิงรังสีน่าหวาดกลัวออกมา มองออกเลยว่าภายในไม่ธรรมดา ตรงหว่างคิ้วมีลายเมฆสีทองจุดหนึ่ง ไม่ใช่รอยสัก ไม่ใช่ไฝปาน แต่เป็นสัญลักษณ์ของแท่นจิตที่ลักษณะอิทธิฤทธิ์กลายสภาพเป็นของจริง

คนผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือโค่วหลิงซวี อ๋องสวรรค์โค่ว หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์

คนที่ยืนเก็บมืออยู่ข้างๆ ก็คือผู้เฒ่าถัง บ่าวชราของเขา ใบหน้าเหมือนผ่านความทุข์ยากมาโชกโชน สงบนิ่งเหมือนน้ำตาย แท่นจิตตรงหว่างคิ้วมีลักษณะอิทธิฤทธิ์ที่กลายสภาพเป็นของจริงเช่นกัน เป็นลายและสีของน้ำ

ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องล่างตรงข้ามโต๊ะยาวก็คือสามพี่น้องโค่วเจิง โค่วฉิน โค่วเหมี่ยน แต่ละคนยืนอย่างสงบนิ่งเช่นกัน กำลังเฝ้าสังเกตการกระทำของโค่วหลิงซวีผู้เป็นบิดา

ผ่านไปพักใหญ่ หลังจากอ่านงานที่ลูกชายคนโตต้องจัดการในช่วงนี้หมดแล้ว โค่วหลิงซวีก็นำแผ่นหยกแผ่นสุดท้ายกลับมาวางไว้บนโต๊ะ มองดูลูกชายทั้งสามคนที่ยืนอยู่เบื้องล่าง แล้วเอียงหน้ามองบ่าวชราที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะถามว่า “ผู้เฒ่าถัง ครั้งก่อนเหวินหลานทดสอบได้อันดับหนึ่ง เหมือนเจ้าจะเอ่ยขึ้นว่าลูกน้องคนนั้นของเหวินหลานฝีมือไม่เลวเลย”

“ขอรับ!” ผู้เฒ่าถังตอบพร้อมโค้งกายเล็กน้อย “ชื่อหนิวโหย่วเต๋อ”

“ข้าให้เจ้าบอกเจ้าสามแล้ว เจ้าได้บอกหรือเปล่า?” อ๋องสวรรค์โค่วเอียงกายถาม

“บอกคุณชายสามแล้วขอรับ ผู้ที่เกี่ยวข้องก็เรียกมาให้คุณชายสามถามแล้วเช่นกัน” ผู้เฒ่าถังตอบ

อ๋องสวรรค์โค่วที่นั่งพิงเก้าเงยหน้ามองเพดาน แล้วถามเสียงเรียบว่า “ลูกสาม คนที่ผู้เฒ่าถังแนะนำให้เหวินหลาน เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร?”

โค่วเหมี่ยนกุมหมัดตอบทันทีว่า “เป็นคนมีฝีมือที่ควรค่าแก่การฝึกเลี้ยง”

อ๋องสวรรค์โค่วขานรับ แล้วเอียงหน้ามองมา “เหมือนเขาจะยังอยู่ที่ดาวเทียนหยวนไม่ได้ติดตามเหวินหลานไปด้วยใช่มั้ย? ข้าได้ยินว่าช่วงนี้เขาก่อเรื่องที่ดาวเทียนหยวนนิดหน่อย ค้นและยึดของที่ร้านค้าตระกูลเราไปหมดแล้ว มีเรื่องแบบนี้จริงมั้ย?”

โค่วเจิงลูกชายคนโตกุมหมัดตอบแทนทันที “ท่านพ่อ! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าสาม ตอนแรกเจ้าสามมาขอให้ข้าช่วยเหวินหลานดึงตัวลูกน้องคนนั้นมา ข้ายังออกหน้าไปคุยกับคนของตระกูลอิ๋งเอง แต่ตระกูลอิ๋งไม่ยอมปล่อยตัวมา ต้องการจะยัดคนมารับตำแหน่งหัวหน้าภาคที่ฝ่ายเราให้ได้ เป็นการเสนอราคาที่สูงเกินไป ข้าจึงปฏิเสธไปแล้ว”

อ๋องสวรรค์โค่วเหล่ตามองลูกชายคนโต มือข้างหนึ่งวางพาดบนเก้าอี้ นิ้วทั้งห้าเคาะตรงที่วางแขนเบาๆ ถามว่า  “ร้านค้าของพวกเราโดนเจ้าเด็กนั่นตรวจค้นและยึดของไปแล้ว เจ้าเตรียมจะใช้วิธีการไหนนำของกลับมา?”

โค่วเจิงตอบว่า “ลูกชายถ่ายทอดคำสั่งไปแล้ว ถ้าทางนั้นยินดีเป็นฝ่ายนำของมาคืนให้พวกเราเอง พวกเราก็จะเอา แต่ถ้าไม่ยอมคืน เช่นนั้นก็ปล่อยไป ก็แค่ได้รับความเสียหายแต่พูดไม่ออกเท่านั้นเอง ในเวลานี้มีเรื่องน้อยดีกว่ามีเรื่องเยอะ เสียเปรียบนิดหน่อยอาจไม่ใช่เรื่องแย่ขอรับ”

“อื้ม!” อ๋องสวรรค์โค่วมองลูกชายคนโตด้วยแววตาชื่นชมพลางพยักหน้าเบาๆ เหมือนจะค่อนข้างพอใจกับวิธีการจัดการปัญหาของโค่วเจิง ถามอีกว่า  “ผู้บัญชาการใหญ่คนหนึ่งที่ไร้อำนาจอิทธิพลไร้คนหนุนหลัง สามารถกดดันจนตระกูลโค่วเสียเปรียบแต่พูดไม่ออก สามารถกดดันจนผู้มีอำนาจทั้งตำหนักสวรรค์ไม่กล้าพูดอะไร สามารถกดดันจนไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา เอาตำแหน่งหัวหน้าภาคไปแลกกับคนแบบนี้ ในเจ้ารู้สึกว่าอีกฝ่ายเสนอราคาสูงเกินไป เช่นนั้นเจ้าคิดว่าต้องแลกกับตำแหน่งไหนถึงจะเหมาะสม?”

โค่วเจิงยิ้มเจื่อน “ตอนนี้ลูกชายมานึกเสียดายทีหลังแล้ว พอมาดูตอนนี้แล้ว พบว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นเหมาะสมกับราคานี้จริงๆ เพียงแต่เรื่องบางอย่างไม่ได้ผ่านการตรวจสอบ ราคาเป็นอย่างไรกันแน่ก็ตัดสินใจ ถึงอย่างไรวรยุทธ์ก็เห็นๆ กันอยู่”

อ๋องสวรรค์โค่วใช้สองมือยันที่วางแขนแล้วยืนขึ้น แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “น่าเสียดายแล้ว!”

โค่วเจิงกุมหมัดกล่าวว่า “เดี๋ยวข้าจะไปเจรจากับตระกูลอิ๋งอีกที”

อ๋องสวรรค์โค่วโบกมือ “ช่างเถอะ! ตอนนี้ต่อให้เจ้าตอบตกลงเอาตำแหน่งหัวหน้าภาคไปแลก แต่ตระกูลอิ๋งก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี ถ้าไปหาอีกฝ่ายอีกครั้ง ราคาก็จะพุ่งสูงขึ้นแล้วจริงๆ ไม่จำเป็นต้องถ่อไปสร้างความอับอายให้ตัวเอง ให้ทางเหวินหลานรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมค่อยดูอีกทีว่าจะสามารถดึงตัวมาได้หรือไม่” เขาส่ายหน้า แล้วเอามือไขว้หลังนำผู้เฒ่าถังออกจากหอสามรากฐานไป

เมื่อได้ฟังบทสนทนานี้ โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนก็มองหน้ากันเลิกลั่ก แค่หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวจะมีราคาเท่าตำแหน่งหัวหน้าภาคหนึ่งตำแหน่ง? ถ้าสูงขึ้นกว่าหัวหน้าภาคอีกก้าวก็เป็นเทพเซียนระดับท่านโหวแล้ว

โค่วฉินยังดีหน่อย แต่โค่วเหมี่ยนนึกเสียใจทีหลังแทบแย่ ลูกชายตัวเองมีแรงช่วยเหลือมหาศาลขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าตนจะทำให้พลาดไป ถ้ารู้แต่แรกคงจะเชื่อลูกชายแล้วยืนหยัดสักหน่อย พอมาดูตอนนี้แล้ว สงสัยลูกชายจะตามีแววกว่าตน…

ท้องทุ่งนาผืนไร่ ชาวนากำลังทำนา ย่อมไม่มีอะไรให้อัศจรรย์ใจอยู่แล้ว แต่น่าแปลกที่ไร่นาเขียวชอุ่มผืนใหญ่ขนาดนี้ ผู้ที่ทำนากลับเป็นสตรีกลุ่มหนึ่ง ทั้งยังเป็นกลุ่มสตรีที่งดงามปานเทพธิดาอีกด้วย

ยอดหญิงงามปานเทพธิดาเป็นร้อยๆ คน ผิวเนื้อละเอียดอ่อน ถอดชุดที่หรูหราออก กำลังสวมชุดที่ทำจากผ้าทอหยาบๆ พับแขนเสื้อขึ้นมา กำลังทำนาด้วยท่าทางชำนาญอยู่ในนาข้าวที่มีทางตัดสลับไปมา

ภาพเหตุการณ์แบบนี้ เมื่อทอดสายตามองไป ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์พบเห็นได้ยาก

ในทุ่งนาก็ไม่ใช่ผู้หญิงเสียทั้งหมด มีผู้ชายด้วยหนึ่งคน มีเพียงผู้ชายที่สวมชุดสีเขียวคราม รูปร่างสูงใหญ่ มือยาวเท้ายาว เกล้าผมที่มีเส้นผมสีขาวแซมอย่างง่ายๆ ไว้เครายาวสามช่อ คิ้วเข้มตาโต แววตาล้ำลึก ตรงหว่างคิ้วมีลายเมฆอัสนีบาตสีเขียวคราม ในมือกลับถือจอบขุดดินอย่างชำนาญ ถ้าไม่ใช่เพราะมีสง่าราศีที่กลบปิดได้ยาก ไม่ว่าใครก็คงเข้าใจผิดว่าเป็นชาวนาธรรมดา

เงาคนสองคนเหาะลงมาจากฟ้า แวบมาเหยียบลงใต้ร่มไม้ผืนหนึ่งที่อยู่ระหว่างทุ่งนา หนึ่งในนั้นใบหน้าผมอเล็กและขาวหมดจด ที่บ่าคลุมผ้าสีดำ บนศีรษะสวมหมวกสูงสีดำ สีหน้าเย็นเยียบ ไม่ใช่ใครที่ไหน ทูตขวาตรวจการของตำหนักสวรรค์เกาก้วน

ส่วนอีกคนที่มาด้วยก็คือท่านโหวเทียนหยวน

ทั้งสองยืนเคียงบ่ากันอยู่อย่างนั้น มองดูผู้ชายที่กำลังทำนาอยู่ในทุ่งนา

หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วคราม ชายชุดเขียวครามที่ขุดดินเสร็จก็แบกจอบเดินขึ้นไปบนคันนา แล้วเดินมายังป่าไม้ที่อยู่ทางฝั่งนี้ ผู้หญิงในนาผืนติดกันคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงผ้าดิบเหมือนหญิงสาวชาวบ้านเงยหน้ามองมาแวบหนึ่ง แล้ววางงานที่อยู่ในมือทันทีเช่นกัน นางถือตะกร้าใบหนึ่งพลางเร่งฝีเท้าเดินตามไป

1080


บทที่ 1081 ประมุขชิง

ผู้หญิงคนอื่นๆ ในทุ่งนาเพียงทยอยกันหันหน้ามามองทางนี้แวบหนึ่ง และยังคงทำงานของตัวเองต่อไป

พอผู้ชายที่แบกจอบกับผู้หญิงที่ถือตะกร้าก้าวเข้ามาในป่าผืนเล็ก เกาก้วน เทียนหยวนก็กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ฝ่าบาท พระนาง!”

ชายหญิงคู่นี้หน้าตาไม่นับว่าโดดเด่น เพียงแต่สง่าราศีที่ดูสูงส่งกลับไม่ใช่สิ่งที่เครื่องแต่งกายธรรมดาจะบดบังได้ โดยเฉพาะผู้ชาย ลักษณะพลังที่ฉายในดวงตาให้ความรู้สึกเหมือนมองสรรพสิ่งในใต้หล้าราวกับมด มองทุกสิ่งข้างกายราวกับเป็นหมอกควันที่ผ่านตาไป

ชายหญิงที่ดูเหมือนหน้าตาธรรมดาคู่นี้ สามารถถูกเกาก้วนและเทียนหยวนเรียกว่าฝ่าบาทกับพระนางได้ นอกจากคู่หงส์มังกรของตำหนักสวรรค์ก็ไม่มีใครแล้ว เป็นราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์นั่นเอง หรือเรียกอีกชื่อว่าประมุขชิงกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่

ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักพวกเขา เมื่อได้พบก็ยากที่จะเชื่อว่านี่คือตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในภาพนี้ฉากนี้

ประมุขชิงที่สายตามองตรงเดินผ่ากลางเกาก้วนกับเทียนหยวนที่หลีกทางให้

กลับเป็นราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วที่ยิ้มบางๆ พร้อมกล่าวทักทายขณะที่เดินผ่ากลางทั้งสอง  “ทูตขวาเกา ท่านโหวเทียนหยวนมาแล้วเหรอ”

“ขอรับ!” ทั้งสองกุมหมัดคารวะอีกครั้ง แสดงความเคารพนับถือ

ในป่าจัดวางโต๊ะและเก้าอี้ไม้ธรรมดาเอาไว้ชุดหนึ่ง เรียบง่ายจนไม่รู้จะเรียบง่ายอย่างไรแล้ว

ประมุขชิงวางจอบลงบนต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ จากนั้นนั่งลงตรงข้างโต๊ะไม้ แล้วมองสำรวจกลุ่มผู้หญิงที่กำลังทำงานอยู่ในนา

เกาก้วนกับเทียนหยวนไม่กล้าบังสายตา หลบไปยืนอยู่ใต้ต้นไม้ข้างๆ อย่างรู้สำนึก

ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้ววางตะหร้าลงแล้วส่งน้ำชาไปข้างกายประมุขชิง “ฝ่าบาท!”

ชาเป็นชาหยาบๆ ปกติ จอกสุราก็เป็นจอกกระเบื้องธรรมดา

ประมุขชิงไม่สนใจ แต่ลุกขึ้นยืนและเอามือไขว้หลังเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ไปหยุดยืนอยู่ข้างกายเกาก้วนและเทียนหยวน แล้วจ้องมองกลุ่มสตรีที่งามเลิศล้ำในทุ่งนา พร้อมใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำถามอย่างเรียบนิ่งว่า “พวกเจ้ารู้สึกว่าผู้หญิงที่ยามปกติกินอยู่หรูหรามาปรากฏตัวที่นี่เข้ากันหรือเปล่า?”

เกาก้วนเอียงหน้ากวาดมองที่คันนาแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมายืนนิ่งๆ ไม่ได้ตอบอะไร

เทียนหยวนแอบมองราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วแวบหนึ่ง แล้วตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เป็นทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดขอรับ”

“แต่ทำไมข้ารู้สึกยิ่งมองยิ่งไม่สบอารมณ์ล่ะ?” ประมุขชิงถาม

ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้ววางถ้วยน้ำชาลง เดินมาข้างกายแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกหม่อมฉันอยากจะแสดงน้ำใจ ยินดีร่วมทุกข์ร่วมสุขกับฝ่าบาทเพคะ!”

เทียนหยวนพึมพำในใจว่า ร่วมทุกข์ร่วมสุขเสียที่ไหนกันล่ะ อยากจะใช้เล่ห์เลี่ยมเพทุบายเพื่อให้ได้ความโปรดปรานเท่านั้นแหละ

หลักการนี้ไม่ต้องพูดออกมาเลย เกาก้วนก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน อย่างน้อยเขาก็ไปมาหาสู่กันที่ตำหนักสวรรค์บ่อยๆ เข้าใจชัดเจนยิ่งกว่าเทียนหยวนเสียอีก

วังหลังของราชันสวรรค์มีสาวงามมากมาย ต่อใหไม่ถึงสิบส่วนก็ปาไปแล้วแปดส่วน มีไม่น้อยที่เคยได้ร่วมห้องกับราชันสวรรค์เพียงครั้งเดียว ก็ถูกผึ่งทิ้งไว้ข้างๆ แล้ว ส่วนใหญ่อยากจะพบหน้าราชันสวรรค์สักครั้งก็ยังยาก เมื่อได้โอกาสนี้จึงแห่กันออกมาดัดจริตทำงานเท่านั้นเอง ยามปกติแต่ละคนทีมีฐานะสูงส่ง ใครจะถ่อออกมาทำงานแบบนี้ ตอนนี้ก็แค่อยากจะโผล่หน้ามาให้ราชันสวรรค์เห็นก็เท่านั้นเอง เฝ้าคอยให้ราชันสวรรค์เกิดความสนใจแล้วไปปรนนิบัติก็เท่านั้นเอง

ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ บางคนหลังจากถูกถวายตัวขึ้นไปแล้ว ราชันสวรรค์ไม่เคยแตะต้องเลยก็มี

ที่จริงเกาก้วนเองก็สงสารผู้หญิงพวกนี้มาก ถ้านำไปไว้ที่อื่นทุกคนล้วนเป็นยอดหญิงงามที่ผู้ชายยื้อแย่งกัน แต่พอมาที่ตำหนักสวรรค์กลับต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปทั้งชาติ แต่กลับต้องแบกรับภารกิจ หวังว่าจะใช้เรือนร่างแย่งชิงความโปรดปรานจากราชันสวรรค์ เฝ้ารอว่าวันไหนที่ได้รับความโปรดปรานขึ้นมา ก็จะสามารถทำให้ทั้งตระกูลได้ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงได้โดยไม่เปลืองแรง และยิ่งเฝ้าหวังว่าจะได้กลายเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพสูงสุดท่ามกลางหมู่ผู้หญิง

ทว่าไม่ว่าจะเป็นพระราชวังในโลกมนุษย์หรือจะเป็นตำหนักสวรรค์ สถานที่ที่รวมผู้หญิงไว้เป็นกลุ่มก้อนนั้นมีไม่เยอะ แต่ไหนแต่ไรมาการใช้เล่ห์เลี่ยมเพทุบายในวังหลังเพื่อให้ได้ความโปรดปรานคือเรื่องที่โหดร้ายสุดๆ ไม่รู้ว่ามียอดหญิงงามตั้งเท่าไรที่ตายไปพร้อมกับความสวย คนในวังหลังที่ไม่มีภูมิหลังหรือชาติตระกูลเลย ถ้าอยากจะเงยหน้าอ้าปากก็เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ คิดว่าแค่สวยก็จะได้เงยหน้าอ้าปากแล้วเหรอ? ราชันสวรรค์ขาดผู้หญิงสวยหรือไว? ทำไมราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วที่หน้าตาธรรมดาจึงกลายเป็นราชินีสวรรค์ได้ล่ะ นั่นก็คือหลักการเดียวกัน แต่ผู้หญิงที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงพวกนั้นดันเอาแต่ฝันกลางวันอยู่ได้

ในเมื่อราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเอ่ยปากแล้ว เกาก้วนกับเทียนหยวนก็ย่อมไม่พูดอะไรมากอีก

ประมุขชิงไม่ได้จับผิดต่อ แต่ทอดสายตามองไปไกลๆ “เฉิงอวี่ ข้าได้ยินว่าร้านค้าของตระกูลเจ้าถูกผู้บัญชาการใหญ่คนหนึ่งค้นและยึดทรัพย์เหรอ มีเรื่องแบบนี้หรือเปล่า?”

ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเหลืองมองเทียนหยวนแวบหนึ่ง แล้วตอบด้วยรอยยิ้มฝืนๆ “เหมือนจะมีเรื่องแบบนี้จริงๆ เพคะ”

ประมุขชิงพ่นเสียงทางจมูก “เป็นใครกันที่ใจกล้าขนาดนี้ แม้แต่ข้าก็ไม่ไว้หน้า บังอาจตรวจค้นยึดทรัพย์ธุรกิจของตระกูลราชินีสวรรค์!”

เกาก้วนเงียบไป แต่เทียนหยวนกลับจ้องสีหน้าของประมุขชิงเงียบๆ อยากจะดูว่าเขาโมโหจริงหรือแกล้งโมโห สิ่งที่เรียกว่าอยู่ในราชาก็เหมือนอยู่ใกล้เสือก็เป็นแบบนี้ ถ้าเข้าใจเจตนาผิดก็จะไม่ใช่เรื่องดีอะไร

ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วตึงเครียดในใจ ขนาดข้ายังรู้เลย หูตาของเจ้ามีอยู่ทั่วหล้า เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ เจ้ายังไม่รู้อีกเหรอว่าใครทำ? นางรีบบอกว่า “เรื่องนี้หม่อมฉันไปถามมาแล้ว ล้วนเป็นลูกน้องในตระกูลหม่อมฉันที่ทำตัวเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ สำหรับเรื่องนี้หม่อมฉันเคยลงโทษไปอย่างรุนแรงแล้ว บอกว่าให้ตรวจค้นและยึดของไปก็ดี ต้องการให้พวกเขาได้รับบทเรียนยาวๆ ต่อไปจะได้ไม่ทำเรื่องที่ที่ไม่เกรงกลัวกฎระเบียบอีก”

“เกาก้วน ไปสืบมา เป็นใครกันที่ใจกล้าขนาดนี้!” ประมุขชิงกลับพูดเหมือนไม่เห็นด้วย

“ไม่ต้องสืบ คนคนนี้ฝ่าบาทเคยได้ยินชื่อมาแล้วขอรับ” เกาก้วนกุมหมัดตอบ

“ผู้บัญชาการเล็กๆ คนเดียว ข้าเคยได้ยินชื่อด้วยเหรอ? หรือว่าเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่ที่ไหน?” ประมุขชิงถาม

“หนิวโหย่วเต๋อ คนที่ได้อันกับหนึ่งจากการทดสอบหนึ่งร้อยปีครั้งก่อน เป็นแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบที่ฝ่าบาทแต่งตั้งให้เองขอรับ” เกาก้วนตอบ

ประมุขชิงตอบ ”อ้อ” แล้วบอกอีกว่า “ที่แท้ก็เป็นเขา! นึกว่าได้รับรางวัลจากข้าแล้วจะไม่สนกฎระเบียบ ไม่เห็นแม้แต่ราชินีสวรรค์ของข้าอยู่ในสายตางั้นเหรอ? เกาก้วน!”

“ขอรับ!” เกาก้วนก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะทันที

“สั่งคนไปตรวจสอบเจ้าเด็กที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเดี๋ยวนี้ จะได้ให้คำอธิบายกับราชินีสวรรค์!” ประมุขชิงกล่าวเสียงเรียบ

“รับทราบ!” เกาก้วนเอ่ยรับคำสั่ง

“ช้าก่อน!” ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วกล่าวห้าม ก้าวขึ้นมาอยู่ตรงหน้าประมุขชิง แล้วขอร้องว่า “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ! ความผิดไม่ได้อยู่ที่หนิวโหย่วเต๋อ หม่อมฉันกลับคิดว่าพวกที่โดนตรวจค้นและยึดทรัพย์มีความผิดสมควรตายด้วยซ้ำ กลุ่มพ่อค้าที่อาศัยว่าตัวเองมีคนหนุนหลังบังอาจต่อต้านผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่เฝ้าดูแลอาณาเขตให้ฝ่าบาทอย่างโจ่งแจ้ง ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ความน่าเกรงขามของตำหนักสวรรค์จะไปอยู่ที่ไหน! หม่อมฉันขอความเมตตาให้หนิวโหย่วเต๋อ และขอให้ฝ่าบาทตรวจสอบพ่อค้าที่ไม่รักดีพวกนั้นอย่างเข้มงวดเพคะ!”

เกาก้วนกับเทียนหยวนมองราชินีสวรรค์เงียบๆ แวบหนึ่ง

ส่วนราชินีสวรรค์เอง ดูเผินๆ เหมือนมีหน้ามีตามาก แต่มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ถึงความปวดใจของตัวเอง เมื่อถึงเวลาจำเป็นนางต้องพิสูจน์ว่าตัวเองยืนอยู่ฝ่ายราชันสวรรค์ ไม่ได้ยืนอยู่ฝ่ายตระกูลเซี่ยโห้ว

“ในเมื่อราชินีสวรรค์ขอความเมตตา เช่นนั้นก็รอหลังจากประชุมราชสำนักก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” ประมุขชิงโบกมือ ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเข้าใจความหมาย จึงถือตะกร้าเดินออกไป ไปยังที่นาผืนนั้นอีกครั้ง

ส่วนประมุขชิงก็กลับมานั่งบนม้านั่งไม้ แล้วถามว่า “เกาก้วน เรื่องทดสอบเป็นอย่างไรบางแล้ว?”

เกาก้วนกับเทียนหยวนก็เดินเข้าไปเช่นกัน ไปยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของเขา เกาก้วนตอบว่า “ดำเนินการอย่างราบรื่นขอรับ”

ความคิดของเทียนหยวนเพิ่งจะไปจดจ่ออยู่ที่การทดสอบ แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ ประมุขชิงจะถามว่า “เทียนหยวน ถ้าข้าจำไม่ผิด ดาวเทียนหยวนนี้ตั้งชื่อมาจากชื่อของเจ้าใช่มั้ย?”

“ขอรับ!” เทียนหยวนรีบตอบ

“ได้ยินว่าฮูหยินของเจ้าคุมอยู่ที่นั่น นางนั่งรักษาการณ์อยู่ที่ตลาดสวรรค์ตลอดเลยหรือ?” ประมุขชิงถาม

เทียนหยวนตึงเครียดในใจอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเจตจำนงของสวรรค์เป็นอย่างไร เรื่องนี้ไม่มีทางปิดบังได้ จึงตอบด้วยความเคารพว่า “ขอรับ! ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นสถานที่ที่ข้าน้อยได้รับความเมตตาจากฝ่าบาท ไม่อาจทำใจทอดทิ้งได้ ถึงได้ให้คนของตัวเองไปคุมขอรับ”

ประมุขชิงถือโอกาสหยิบถ้วยน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะ ย้ายมาจ่อปากอย่างช้าๆ พร้อมถามว่า “หัวคนหลายพันหัว ร้านค้าหลายร้อยล้านถูกค้นและยึดทรัพย์ ผู้บัญชาการใหญ่ต่ำต้อยคนเดียวเอาความกล้าขนาดนี้มาจากไหน? เกิดเรื่องนี้ขึ้นใต้หนังตา ทำไมฮูหยินของเจ้าไม่ห้ามไว้ให้ทันเวลา?”

เกรงว่านี่คงจะเป็นสาเหตุที่เกาก้วนเรียกให้เขามาด้วยกัน! ในใจเทียนหยวนหวาดระแวงไม่หาย ในหัวมีภาพที่ราชินีสวรรค์ขอความเมตตาเมื่อครู่นี้แวบเข้ามา จึงรีบยกชุดคลุมยาวขึ้นมา แล้วคุกเข่าเสียตรงนั้นเลย “ฝ่าบาทโปรดตรวจสอบอย่างชัดเจน! ข้าน้อยมีความผิด! สาเหตุที่หนิวโหย่วเต๋อกล้าทำเช่นนี้ ที่จริงเป็นเพราะฮูหยินของข้าน้อยให้ท้ายอยู่เบื้องหลัง!”

มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาเข้าใจชัดเจนมาก ว่าเจตนาของราชันสวรรค์เป็นอย่างไร เกรงว่าคงไม่มีใครรู้ดีไปกว่าราชินีสวรรค์ที่นอนเคียงหมอนกันแล้ว ขนาดราชินีสวรรค์ยังขอความเมตตาให้หนิวโหย่วเต๋อ…ดังนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายช่วยเมียตัวเองช้อน ‘ความรับผิดชอบ’ ใส่ตัว

ประมุขชิงที่จิบน้ำชาไปคำหนึ่งวางถ้วยน้ำชาลง “มีความผิดหรือไม่มีความผิด หลังจากทุกคนนิยามตอนประชุมราชสำนักแล้วค่อยว่ากัน ลุกขึ้นเถอะ!”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” เทียนหยวนลุกขึ้นยืน

ใครจะคิดว่าเกาก้วนจะกุมหมัดคารวะอีก  “ฝ่าบาท ทางฝ่ายตรวจการกำลังต้องการคนที่สามารถออกคำสั่งได้ผลอยู่พอดี ข้าน้อยขอให้ย้ายหนิวโหย่วเต๋อมาจากท่านโหวเทียนหยวนขอรับ”

เห็นได้ชัดว่าประมุขชิงค่อนข้างใจกว้างกับท่าทีของเขา เผยรอยยิ้มอย่างที่พบเห็นได้ยากออกมา พร้อมกล่าวว่า “ผู้บัญชาการเล็กๆ คนหนึ่ง ให้ข้าเอ่ยปากเองจะไม่เหมาะสมกระมัง? นั่นคือผู้ใต้บังคับบัญชาของเทียนหยวน เรื่องนี้เจ้าไปปรึกษากับเทียนหยวนเองแล้วกัน”

“ท่านโหวมีความเห็นอย่างไร?” เกาก้วนหันมาถาม

เทียนหยวนกุมหมัดคารวะ ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ทูตขวาเกา ไม่ใช่ว่าโหวคนนี้ไม่ไว้หน้าท่านนะ สาเหตุที่ฮูหยินของข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อปรับปรุงจัดระเบียบตลาดสวรรค์ใหม่ ก็เพราะอยากกวาดล้างพวกลูกน้องที่ไม่ได้เรื่อง ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้คนที่ใช่ประโยชน์ได้มาสักคน ท่านจะเอาไปจากข้า ต่อให้ข้ารับปาก แต่ฮูหยินของข้าคงไม่รับปากหรอก!”

เกาก้วนได้ยินแบบนั้นแล้วก็ไม่พูดอะไรมากอีก

ประมุขชิงกล่าวด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “นึกไม่ถึงว่าเทียนหยวนจะเป็นคนที่กลัวผู้หญิงในบ้าน ข้าได้ยินว่าอยู่นอกบ้านเจ้ามีผู้หญิงไม่น้อย”

เมื่อเห็นราชันสวรรค์มีอารมณ์มาหยอกล้อตน เทียนหยวนก็รู้ทันทีว่าตนเดิมพันถูกต้องแล้ว ทำตามเจตนารมณ์ของสวรรค์ ตอบด้วยสีหน้าขื่นขมว่า “ฝ่าบาท ไม่ได้กลัวผู้หญิงในบ้านขอรับ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสามีภรรยากัน”

“นั่นก็ยังแปลว่ากลัวผู้หญิงในบ้านไม่ใช่เหรอ!” ประมุขชิงกล่าวกลั้วหัวเราะพลางส่ายหน้า แล้วโบกมือบอกว่า “พอแล้ว! ถ้าไม่มีธุระก็กลับไปเถอะ”

“ข้าน้อยขอตัวอำลา!” เทียนหยวนกุมหมัดอำลา ถอยออกจากป่าผืนเล็กแล้วถึงได้เหาะขึ้นฟ้าไป

รอจนเขาออกไปแล้ว ประมุขชิงก็ยืนขึ้นอีกครั้ง เอามือไขว้หลังเดินช้าๆ อยู่ในป่า ถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อคนนั้นที่ได้อันดับหนึ่ง ตรวจสอบที่มาที่ไปชัดเจนหรือยัง?”

เกาก้วนเดินตามหลัง ตอบว่า  “สืบชัดเจนแล้วขอรับ! อาจารย์ของเขา ฝ่าบาทเองก็รู้จัก”

“ข้ารู้จักเหรอ?” ประมุขชิงหยุดฝีเท้า แล้วถามอย่างฉงนใจ “เป็นใครกัน?”

“อสุราอัคนี!” เกาก้วนตอบ

ประมุขชิงอุทานอย่างแปลกใจ “ในปีนั้นอสุราอัคนีตายด้วยน้ำมือเจ้าสามไป๋แล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังมีลูกศิษย์โผล่มาได้อีก?”

เกาก้วนตอบว่า “ที่จริงก็ไม่นับว่าเป็นลูกศิษย์ของอสุราอัคนีอย่างจริงจังหรอกขอรับ เพียงแต่เขาบังเอิญได้รับสมบัติของอสุราอัคนี ตอนที่ยังเป็นมือใหม่มาเผชิญโลกกว้าง เขามีวรยุทธ์แค่ระดับบงกชแดงเท่านั้น เขาเข้าไปอยู่ที่สำนักลมปราณของดาวไร้ลักษณ์ กลายเป็นเสนาบดีต่างถิ่นของสำนักลมปราณ ตอนหลังสัตว์เลี้ยงของเทียนหยวนฮูหยินหายตัวไปที่ดาวไร้ลักษณ์ แล้วถูกเขาหาพบ จึงช่วยสำนักลมปราณให้ได้ร้านค้าที่ตลาดสวรรค์หนึ่งร้าน แล้วก็ไปช่วยสำนักลมปราณประคับประคองร้านขายของชำซื่อตรงที่ตลาดสวรรค์อีก…”

เขาอธิบายที่มาที่ไปของเหมียวอี้อย่างละเอียด แล้วสุดท้ายก็สรุปว่า “ภูมิหลังนับว่าสะอาดบริสุทธิ์ ใช้งานได้ขอรับ!”

ประมุขชิงที่กำลังยืนเอามือไขว้หลังเงยหน้าเล็กน้อย แล้วทำท่าครุ่นคิดพร้อมพึมพำว่า “ในปีนั้นอสุราอัคนีนับว่าเป็นตัวละครที่วางอำนาจบาตรใหญ่ มีเคล็ดวิชาประจำตัวที่ไม่ธรรมดา แต่จนใจที่มาเจอกับฝีมือของเจ้าสามไป๋ มิน่าล่ะเจ้าเด็กนี่ถึงได้อันดับหนึ่งในการทดสอบครั้งนี้ สิ่งนี้ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ!”


1081


บทที่ 1082 การมาของเกาก้วน

“หนิวโหย่วเต๋อนั่นมีวรยุทธ์เท่าไร?” ประมุขชิงหันกลับมาถามอีก

ถึงแม้เขาจะเคยฟังรายงานมาก่อน แต่เหมียวอี้ผู้ต่ำต้อยคนเดียวไม่มีทางอยู่ในสายตาเขาได้ ถ้าไม่ใช่เพราะมีข่าวโผล่มาต่อเนื่องกัน กอปรกับก่อเรื่องใหญ่โตในครั้งนี้ ก็ไม่มีค่าพอให้เขาถามถึงสักเท่าไร

“บงกชทองขั้นสามขอรับ” เกาก้วนตอบอย่างเคารพนอบน้อม

ประมุขชิงส่ายหน้า แล้วเอามือไขว้หลังเดินไปข้างหน้าต่อ “ต่ำไปหน่อย ยังใช้ไปทำงานอะไรไม่ได้ รอให้เขาเดินไปถึงขั้นนั้นให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถึงอย่างไรก็มีข้าทาสของผู้มีอำนาจตายไปมากมายขนาดนั้น ถ้าข้าไม่ถามถึงเลยก็จะฟังดูเหลวไหล เจ้านำคนไปตรวจสอบด้วยตัวเอง รู้ใช่มั้ยว่าให้เจ้าไปตรวจสอบอะไร?”

เกาก้วนที่เดินตามหลังเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทได้โปรดเปิดเผย”

ประมุขชิง : “ข้าอยากจะรู้ว่าเป็นเจ้าหนิวโหย่วเต๋อนั่นที่คิดเองเออเอง หรือว่าฮูหยินของเทียนหยวนจงใจให้ท้าย เรื่องในครอบครัวเทียนหยวนข้าเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน ฮูหยินของเขาคนนั้นดูไม่เหมือนคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองขนาดนี้ ไปสืบมาให้ชัดเจนว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่”

“ขอรับ!” เกาก้วนเอ่ยรับ แล้วถามหยั่งเชิงอีกว่า “ถ้าในการประชุมราชสำนักมีกลุ่มขุนนางฟ้องร้อง ฝ่าบาทต้องการจะลงโทษหนิวโหย่วเต๋อนั่นจริงๆ หรือขอรับ?”

“ผู้บัญชาการเล็กๆ คนเดียวควรค่าให้ข้าจัดทัพใหญ่ไปสู้เหรอเหรอ?” ประมุขชิงพ่นเสียงทางจมูก “ที่ข้ารอตัดสินใจหลังจากประชุมราชสำนัก เพราะแค่อยากจะเห็นว่าจะมีสักกี่คนที่กระโดดออกมา!”

เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้ว ว่ากลุ่มขุนนางยังหวาดหวั่นประมุขชิง ไม่มีใครกล้าพูดสักคน การประชุมราชสำนักที่ตำหนักสวรรค์ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องนี้ ราวกับไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้นมาก่อนเลย

การประชุมราชสำนักที่ตำหนักสวรรค์จบลง เมื่อได้เห็นสถานการณ์ที่การประชุม ในใจเทียนหยวนก็มีความมั่นใจแล้ว พอออกจากตำหนักสวรรค์มา ระหว่างทางก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับปี้เยว่ฮูหยินทันที

เมื่อได้ทราบว่าผู้ชายของตนผลักเรื่องใหญ่ขนาดนี้มาให้ตนต่อหน้าราชันสวรรค์ ปี้เยว่ฮูหยินก็ร้อนใจทันที ตำหนิทันทีว่า : เทียนหยวน เจ้าบ้าไปแล้วรึเปล่า เจ้าอยากจะเปลี่ยนเมียใหม่ก็บอกมาตรงๆ เถอะ ไม่จำเป็นต้องมาทำร้ายข้าอย่างนี้หรอก!

เทียนหยวน : พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า! ข้าบอกว่าเจ้าไม่มีสมองเจ้าก็ไม่เชื่อ เจ้าดูสิว่าทำไมหนิวโหย่วเต๋อถึงกล้าก่อเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ แต่เจ้ากลับอยากจะผลักความรับผิดชอบ เจ้าฟังให้ดีนะ หนิวโหย่วเต๋อเกือบจะโดนเกาก้วนพาตัวไปต่อหน้าราชันสวรรค์แล้ว ทางตระกูลอิ๋งแสดงท่าทีชัดเจนว่าอยากจะรับตัวหนิวโหย่วเต๋อไว้ เป็นข้าที่หาข้ออ้างดันทุรังขัดขวางไว้ให้เจ้า ไม่ง่ายเลยกว่าจะรั้งผู้ช่วยไว้ให้เจ้าได้ แต่เจ้ากลับไม่รู้จักใช้งาน ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ต่อไปถ้าเจอปัญหาอะไรก็ถามความเห็นเขาให้มากๆ หน่อย สมองเขาใช้งานได้ดีกว่าเจ้า ถ้าอยากจะรับเขาไว้เป็นลูกน้องคนสนิท ก็ต้องแสดงความจริงใจออกมา ไม่ใช่เวลาเจอปัญหา ตัวเองยังไม่ทันรู้ชัดว่าเรื่องเป็นยังไงก็เลอะเลอะผลักไสเขาไปแล้ว…

รอจนกระทั่งเข้าใจเจตนาของสามีตัวเองชัดเจนแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินพูดสำออยว่า : ใช้งานคนแบบนี้เหรอ? ข้าทนความตกใจต่อไปไม่ไหวแล้ว

เทียนหยวน : พอแล้ว! เจ้าไม่ใช้เดี๋ยวข้าใช้เอง รอให้คลื่นลมลูกนี้ผ่านไปก่อน เดี๋ยวข้าจะย้ายเขามาไว้ข้างกายข้า

ปี้เยว่ฮูหยินแตกคอทันที : เจ้านี่ใช้ได้เลยนะ! แม้แต่คนของเมียก็ยังจะมาแย่ง อยากจะแย่งก็ไปแย่งที่อื่นไป อย่ามาคิดอยากได้คนของข้า!

เทียนหยวนพูดไม่ออก ไม่มีทางคุยกับผู้หญิงคนนี้ด้วยเหตุผลได้เลย…

ณตลาดสวรรค์ ร้านค้าสามร้อยกว่าร้านยังคงอยู่ในสภาพถูกปิด ร้านค้าแต่ละร้านของตลาดสวรรค์เหมือนได้ครอบครองพื้นที่กว้าง ไม่ใช่สิ่งที่ร้านค้าทั่วไปจะเทียบติดร้

ส่วนผลลัพธ์สุดท้ายในการลงโทษร้านค้าเหล่านั้น เหมียวอี้ที่หลบอยู่ในจวนผู้บัญชาการใหญ่ก็กำลังรอข่าวจากทางตำหนักสวรรค์ หัวใจอยู่ในสภาพกังวลอยู่ตลอด

เวลาสั่งคำเดียวแล้วศีรษะหลายพันตกลงพื้น ถึงแม้จะรู้สึกสะใจ แต่ความกดดันหนักอึ้งที่พ่วงมาด้วยก็ไม่ใช่สิ่งที่คนนอกจะเข้าใจได้ อยู่ท่ามกลางความทรมานวันแล้ววันเล่า ที่จริงตอนนี้เขาอยากจะหาผู้หญิงสักคนมาระบายอารมณ์สักหน่อย แต่ปิดบังทางอวิ๋นจือชิวเพื่อทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ก่อนที่ผลลัพธ์จะออกมาเขาก็ไม่อยากไปที่นั่น กับสองพี่น้องโอวหยางก็เหตุผลเดียวกัน

เขานึกถึงหวงฝู่จวินโหรว แต่ก็ได้ล่วงเกินผู้หญิงคนนั้นก็นางแค้นไปแล้ว

พอนึกถึงหวงฝู่จวินโหรว เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะแอบทอดถอนใจ อันที่จริง ในเมื่อมีความสัมพันธ์กับหวงฝู่จวินโหรวแบบนั้นแล้ว วิธีการที่ดีที่สุดก็คือดึงหวงฝู่จวินโหรวมาเป็นพวก รักษาความสัมพันธ์กับหวงฝู่จวินโหรวเอาไว้ แบบนั้นจะสามารถรับข่าวสารที่เป็นประโยชน์จากนางได้มากมาย อย่างน้อยก็ไม่ต้องขาดความมั่นใจอยู่อย่างนี้ แต่พอนึกถึงความรู้สึกของพวกอวิ๋นจือชิว ก็ปล่อยไปดีกว่า

เหมียวอี้ค้นพบว่าตัวเองกลายเป็นตัวละครที่มีความเห่อเหิมทะเยอทะยานไม่ไหว คนที่คิดจะทำการใหญ่ไม่ถูกจำกัดด้วยเรื่องหยุมหยิมแบบนี้แน่นอน ตราบใดที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ก็จะไม่ปล่อยไป ในจุดนี้ตนยังสู้อวิ๋นจือชิวไม่ได้

เขาเองก็ไม่รู้ว่าการที่ตัวเองทำแบบนี้นั้นถูกหรือผิด เพียงแต่พอคิดไปคิดมา จู่ๆ ก็พบว่าถึงแม้ข้างกายตัวเองมีผู้หญิงเยอะ แต่ทำไมบางครั้งก็ยังรู้สึกเหงาอยู่ล่ะ?

เขาเอนกายพักผ่อนอยู่ใต้เพิงเถาวัลย์ จู่ๆ ก็ได้กลิ่นกายหอมที่คุ้นเคย เขาลืมตาเล็กน้อย พบว่าเป่าเหลียนกำลังช่วยรินน้ำชาให้เขา

สายตากลอกกลิ้งบนร่างกายเป่าเหลียนแวบหนึ่งอย่างอดไม่ได้ พบว่าที่จริงแล้วเป่าเหลียนรูปร่างดีมาก ในหัวมีความคิดบางอย่างที่ไม่สมควรแวบเข้ามา พอเกิดความคิดนี้ขึ้นมา มันก็ลุกลามอยู่ในร่างกายทันที สุดท้ายก็บังเอิญไปสบตากับเป่าเหลียนโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้นางรีบหลบสายตา เขาแอบด่าตัวเองในใจว่าสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็รีบกำจัดความคิดชั่วร้ายนั่นทันที

ในตอนนี้ เอาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงชีวิตตอนที่ยังไม่ได้แต่งงาน ชีวิตตอนที่มีแค่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์อยู่ข้างกายนั้นสบายใจขนาดไหน อยากจะครอบครองตอนไหนก็ได้ ไม่เคยต้องกังวลอะไรเลย แต่พอแต่งงานมีภรรยาแล้ว ก็มีหญิงรับใช้แต่งเข้ามาด้วยอีกหนึ่งกลุ่ม เมื่อมีผู้หญิงเยอะแล้ว กลับไม่ได้ทำอะไรตามใจตัวเองสักเท่าไร วันนี้จะไปหาคนไหน พรุ่งนี้จะไปหาคนไหน ในใจยังต้องชั่งน้ำหนักให้สมดุลสักหน่อย กลัวว่าลำเอียงมาหาคนนี้แล้วคนนั้นจะไม่พอใจ แต่พอลำเอียงไปหาคนนั้นก็จะทำให้คนนี้ไม่พอใจอีก นี่มันเรื่องอะไรกัน

ไม่คิดแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งอึดอัด เขากลัวว่าถ้าคิดมากไปแล้วจะอดใจไม่ไหวทำอย่างนั้นกับเป่าเหลียนจริงๆ ยังคงนอนหลับตารอต่อไป

ปรากฏว่าทางตำหนักสวรรค์ยังไม่ทันส่งข่าวมา แต่ปี้เยว่ฮูหยินกลับส่งข่าวมาแล้ว เรียกเขาไปพบที่ตำหนักคุ้มเมือง

ในช่วงเวลานี้ ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยสนใจตนเลย จู่ๆ เรียกเข้าตำหนักแบบนี้ คิดจะทำอะไรกัน?

เหมียวอี้มาถึงตำหนักคุ้มเมืองพร้อมความระแวดระวังและความสงสัยเต็มอก

ที่สวนดอกไม้ด้านหลัง หลังจากเหมียวอี้ทำความเคารพแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็ยื่นสัตว์เลี้ยงที่กำลังอุ้มให้กับผู้การสองหลันเซียง และกำชับว่า “ข้ากับผู้บัญชาการใหญ่หนิงมีเรื่องคุยกันนิดหน่อย ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องที่อยู่ในสวนนี้ออกไปให้หมด”

“ค่ะ!” ผู้การสองหลันเซียงโบกมือไปทางซ้ายและขวา ไล่คนในสวนดอกไม้ออกไปหมดแล้ว

รอจนกระทั่งคนอื่นๆ ไปหมดแล้ว จู่ๆ ปี้เยว่ฮูหยินก็เผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “ผู้บัญชาการใหญ่ เดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ”

เหมียวอี้กุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง แล้วเดินตามหลังนาง ระหว่างนั้นก็ครุ่นคิดว่ารอยยิ้มนี้ของนางหมายความว่าอย่างไร เป็นการแสดงออกว่าเกิดเรื่องขึ้น หรือเป็นการแสดงออกว่าไม่มีเรื่องอะไร

เดินไปทางนั้นทีเดินไปทางนี้ที ปี้เยว่ฮูหยินเดี๋ยวเด็ดดอกไม้ดอกนั้นเดี๋ยวเด็ดดอกไม้ดอกนี้ พอเด็ดมาแล้วก็ถือโอกาสยื่นให้เหมียวอี้ช่วยถือ

ใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว ในอ้อมอกเหมียวอี้ก็มีดอกไม้กองใหญ่ ถ้าให้อวิ๋นจือชิวเห็นคงจะหึงแน่นอน

พอเด็ดดอกไม้ไปพอสมควรแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็ปัดไม้ปัดมือ ตอนนี้หยุดเด็ดแล้ว ขณะที่ดึงกระโปรงยาวเดินไปข้างหน้า นางก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ครั้งนี้เจ้าก่อเรื่องใหญ่แล้ว เจ้ารู้จักเกาก้วนใช่มั้ย ตำหนักสวรรค์ส่งเกาก้วนมาตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว!”

เกาก้วน? เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ ฉากที่เจ้าคนหน้าเย็นชาเหี้ยมโหดสั่งฆ่าอิ๋งเหย้ายังชัดอยู่ในความทรงจำ แค่พูดผิดไปประโยคเดียว ก็สามารถสั่งฆ่าได้แม้กระทั่งหลานชายของอ๋องสวรรค์อิ๋ง การคบค้ากับคนแบบนี้เป็นเรื่องที่อันตราย

เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไร ปี้เยว่ฮูหยินที่หันกลับมามองแวบหนึ่งก็บอกอีกว่า  “เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลหรอก เดี๋ยวพอเกาก้วนมาตรวจสอบเรื่องนี้ เจ้าแค่ผลักความรับผิดชอบมาให้ข้าก็พอแล้ว บอกว่าข้าเป็นคนบงการทุกอย่าง”

เจ้ามีน้ำใจแบบนี้เป็นด้วยเหรอ?  “แบบนี้ไม่ค่อยเหมาะกระมัง?” เหมียวอี้ถามอย่างเชิง

“ไม่เหมาะแล้วจะทำยังไงได้อีกล่ะ? ห้ามไม่ให้เจ้าทำ แต่เจ้าก็ทำไปแล้วอยู่ดี!” ปี้เยว่ฮูหยินถอนหายใจอย่างดัดจริต “ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นคนที่ข้าเลื่อนตำแหน่งให้ด้วยตัวเอง เรื่องใหญ่ขนาดนี้เจ้ารับผิดชอบไม่ไหวหรอก ต่อให้รอดพ้นโทษตายไปได้ แต่ก็ยากที่จะหนีโทษเป็น ข้าจะช่วยเจ้ารับผิดชอบเรื่องนี้เอง อีกเดี๋ยวต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทางท่านโหวก็จะไปหาอ๋องสวรรค์อิ๋งให้ช่วยออกหน้าคุยให้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้ากับตระกูลอิ๋งนอกจากจะเคยขัดแย้งกันแล้ว ตระกูลอิ๋งก็ไม่จำเป็นจะต้องไปมีเรื่องกับคนอื่นเพื่อเจ้าอยู่ดี แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นข้าก็อาจจะไม่แน่”

มีคนยินดีจะรับผิดชอบให้ เหมียวอี้ย่อมปรารถนาอยู่แล้ว จึงกล่าวขอบคุณแบบกึ่งยอมรับกึ่งปฏิเสธ

หลังจากทั้งสองเดินวนอยู่ในสวนดอกไม้สองสามรอบ เหมียวอี้ก็หอบดอกไม้สดเดินออกจากตำหนัก ปี้เยว่ฮูหยินให้เป็นรางวัล

ตรงประตูตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้มองดูดอกไม้สดที่อยู่ในอ้อมกอด ของประเภทนี้จะมีหรือไม่มีก็ได้ จึงถือโอกาสยื่นให้ทหารยามที่เฝ้าประตู แล้วจากไปด้วยความสงสัยเต็มอก ทำเอาทหารยามงุนงงเหมือนหมอกลงสมอง…

เกาก้วนมาแล้ว นำคนมาที่นี่แล้วจริงๆ!

คนที่รู้ข่าวนี้ล่วงหน้าไม่ได้มีแค่ปี้เยว่ฮูหยินกับเหมียวอี้ พ่อค้าจำนวนมากในเมืองก็รู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วเช่นกัน ต่างก็ให้ความสนใจ ทุกคนต่างก็รู้ว่าเรื่องที่เกิดที่ตลาดสวรรค์ครั้งนี้ เกาก้วนเป็นผู้ตัดสินใจลงโทษขั้นสุดท้าย

แต่ก่อนที่เกาก้วนจะมา ก็ไม่ได้แจ้งใครไว้ว่าตัวเองจะมาถึงเมื่อไร

เขาสวมหมวกทรงสูงสีดำและผ้าคลุมบ่าสีดำ นำผู้ติดตามยี่สิบกว่าคนเหาะลงมาจากฟ้า แล้วมุ่งตรงเข้าไปในเมืองทันทีโดยไม่หยุดพัก

หลังจากเข้ามาในเมือง ผู้ที่ติดตามมาก็แบ่งเป็นสี่กลุ่ม แยกย้ายกันไปที่จวนผู้บัญชาการทั้งสี่เขตเมือง ส่วนเกาก้วนก็นำคนไม่กี่คนมุ่งตรงไปยังตำหนักคุ้มเมือง

“ใครกัน!” ทหารยามที่เฝ้าตำหนักคุ้มเมืองตะคอกถามมาแต่ไกลๆ

ทางซ้ายและขวาของเกาก้วนมีคนถลันตัวออกไปทันที แล้วเผยป้ายคำสั่งออกมาโดยตรง

ป้ายของทูตตรวจการตำหนักสวรรค์ทำให้ทหารยามตกใจ นี่คือกลุ่มคนที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายที่สามารถประหารก่อนแล้วค่อยรายงานความผิด

เกาก้วนไม่ชายตามองและไม่หยุดฝีเท้า เดินก้าวยาวตรงเข้าไปในตำหนัก ไม่เห็นกลุ่มทหารยามของตำหนักคุ้มเมืองอยู่ในสายตา ลักษณะเย็นเยียบบนใบหน้าที่ดุร้ายทำให้คนรู้สึกกลัวทันทีที่ได้เห็น

ภาพเหตุการณ์นี้แทบจะเกิดพร้อมกันที่จวนผู้บัญชาการของเขตเมืองทั้งสี่ คนสี่กลุ่มไม่เห็นทหารยามอยู่ในสายตา เผยป้ายคำสั่งแล้วบุกเข้าไปโดยตรง ขี้เกียจแม้แต่จะพูดบอก

ณ ตำหนักคุ้มเมือง ปี้เยว่ฮูหยินอกสั่นขวัญแขวน ความงามและรอยยิ้มที่หยาดเยิ้มใช้กับเกาก้วนไม่ได้ผล

ตอนที่ได้ข่าวแล้วรีบมาต้อนรับ ต่อให้จะยิ้มสวยกว่านี้ ต่อให้หน้าอกขาวอวบจะเปิดเผยออกมาเยอะกว่านี้ แต่เกาก้วนก็ไม่มองนางตรงๆ เลย เดินเฉียดร่างนางไปพร้อมกับผ้าคลุมบ่าสีดำที่ปลิวสะบัดอยู่ข้างหลัง ผ้าคลุมที่ปลิวสะบัดนั่นถึงขั้นฟาดหน้านางด้วยซ้ำ

ปี้เยว่ฮูหยินที่โดนเมินเฉยเย็นชาใส่ พอได้สติกลับมาก็รีบเร่งฝีเท้าเดินตาม มีคนเข้ามาขวางผู้การสองหลันเซียงและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหลังนางทันที ไม่ให้ตามเข้าไป

ปี้เยว่ฮูหยินหยุดฝีเท้าและหันตัวมา อยากจะถามสักหน่อยว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ทางซ้ายและขวาก็มีคนเข้ามาขนาบข้างแล้ว หนึ่ในนั้นดึงแขนนางลากไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง โดนลากตามหลังเกาก้วนเข้าไปข้างใน

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? ปี้เยว่ฮูหยินที่เจอกับเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรกตกใจจนใบหน้างามถอดสี ยังนึกว่ามีเรื่องอะไรเปิดโปงเข้าแล้ว  ตกใจจนปัสสาวะแทบราด!

ภาพที่เกาก้วนฆ่าคนใช่ว่านางจะไม่เคยเห็นมาก่อน เจ้าบ้านี่ฆ่าคนได้โดยไม่มีกฎหมาย เจ้าตัวเป็นตัวแทนของกฎสวรรค์!

ผู้การสองหลันเซียงและคนอื่นๆ ที่ถูกขวางไว้ เมื่อเห็นภาพฮูหยินถูกลากไปแบบนี้ ก็ตกใจแทบแย่เหมือนกัน!

เริ่มจากปี้เยว่ฮูหยิน เหมียวอี้ ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัวและสวีถังหราน พวกเขาโดนคนที่บุกเข้ามาควบคุมตัวเอาไว้แทบจะพร้อมกัน เมื่อเผยป้ายคำสั่งทูตตรวจการตำหนักสวรรค์ ก็ไม่มีใครจะเคลื่อนไหวซี้ซั้ว ถูกกันแยกกับคนอื่นๆ อย่างรวดเร็ว เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ก็ทำเอาทหารทั้งตลาดสวรรค์หวาดระแวงไม่หาย


1082


บทที่ 1083 ศิษย์ของอสุราอัคนี

ตำหนักคุ้มเมือง ในโถงหลักของตำหนักหลัง เกาก้วนนั่งอย่างสง่าผ่าเผย จ้องตาปี้เยว่ฮูหยินด้วยสายตาเย็นเยียบ จ้องจนปี้เยว่ฮูหยินที่ยืนอยู่เบื้องล่างหลบสายตา ไม่กล้ามองตรงๆ

ลูกน้องหลายคนที่อยู่สองฝั่งของเกาก้วนกำลังยืนเรียงแถวตรงข้ามกันสองแถว ปี้เยว่ฮูหยินที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงกลางรู้สึกเหมือนกลายเป็นนักโทษ รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว

หลังจากผ่อนคลายอารมณ์ลงเล็กน้อย ในที่สุดปี้เยว่ฮูหยินก็รวบรวมความกล้าพูดไปว่า “สามีข้าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ เหตุใดทูตขวาเกาจึงไร้มารยาทเช่นนี้!”

เกาก้วนไม่สนใจจะปฏิเสธหรือแก้ตัวกับนางเลย กล่าวเสียงเรียบว่า “ว่ามาเถอะ! ตลาดสวรรค์ที่เจ้ารักษาการณ์มีศีรษะของคนหลายพันตกลงพื้น ร้านค้าสามร้อยกว่าร้านโดนสั่งปิด ต้นสายปลายเหตุ รายละเอียดที่อยู่ในนั้น บอกสิ่งที่เจ้ารู้ออกมาให้หมด ถ้ามีการปิดบัง ก็อย่าหาว่าข้าลงดาบอย่างไร้ความปรานี!”

ก็ยังนึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็ถามเรื่องนี้! ปี้เยว่ฮูหยินที่ตกใจไม่เบาแอบโล่งใจ ย่อมต้องอธิบายตามที่สามีตัวเองกำชับอยู่แล้ว

ถึงแม้ผลของของการหลอกลวงราชันสวรรค์จะร้ายแรง แต่สำหรับคนที่ตำแหน่งสูงในระดับหนึ่งแล้ว ราชันสวรรค์ก็มีไว้หลอกลวงไม่ใช่เหรอ

ความจริงแล้ว คนทั้งข้างบนทั้งข้างล่างก็ล้วนกำลังหลอกลวงราชันสวรรค์ ต่างก็ต่อต้านราชันสวรรค์กันทั้งนั้น และแน่นอนว่าไม่ได้ต่อต้านโดยใช้วิธีการก่อกบฏ

ราชันสวรรค์ไม่ให้รับสินบน แต่คนทั้งข้างล่างข้างบนกลับทำเช่นเดิม ราชันสวรรค์ไม่ให้เล่นพรรคเล่นพวก แต่ลับหลังทุกคนก็แอบทำอยู่ดี ไม่อย่างนั้นจะไต่เต้าขึ้นข้างบนได้อย่างไร ราชันสวรรค์ไม่ให้ใช้เล่ห์กลแย่งชิงทรัพย์สิน แต่ความจริงก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงเรื่องแบบนี้ได้เลย ถ้าไม่ทำแบบนี้แล้วพวกผู้มีอำนาจอิทธิพลจะร่ำรวยได้อย่างไร?

เมื่อขึ้นมาถึงตำแหน่งอย่างราชันสวรรค์ เมื่ออยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า ก็เท่ากับว่าถูกจัดวางให้คนในใต้หล้าหลอกลวง ต่อให้เป็นในสังคมมนุษย์ธรรมดา มีใครบ้างที่ไม่เคยด่าว่าท่านปู่สวรรค์สมควรตาย ราชันสวรรค์แล้วยังไงล่ะ?

ในทางกลับกัน ถ้าพูดทุกอย่างออกมาหมดจริงๆ เกรงว่าพวกชนชั้นสูงของตำหนักสวรรค์คงจะตายกันหมดแล้ว และคงไม่มีอำนาจอิทธิพลของฝ่ายต่างๆ คงอยู่ด้วย เรื่องบางเรื่องราชันสวรรค์ก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน

แล้วอีกอย่าง สามีของตนก็พูดต่อหน้าราชันสวรรค์ไปแล้ว ถ้าตนพูดความจริงออกไป นั่นจะต่างหากที่จะจบเห่ของจริง

ถามนางแล้วไม่ได้คำตอบอะไรที่แตกต่าง ต่อให้ตีให้ตายนางก็ไม่พูดความจริงอยู่ดี

ถึงแม้เหมียวอี้จะรู้ว่าปี้เยว่ฮูหยินมีเรื่องอะไรปิดบัง แต่ก็ยังพูดตามที่ปี้เยว่ฮูหยินบอก ไม่สามารถฝ่าฝืนคำสั่ง ถ้าสามารถกระโดดผ่านปี้เยว่ฮูหยินที่อยู่ตรงหน้าไปได้ แล้วจะกระโดดผ่านเฉาว่านเสียงที่อยู่ข้างบนได้เหรอ? ถึงอย่างไรข้างบนเฉาว่านเสียงก็ยังมีท่านโหวเทียนหยวนอีกคน ถึงอย่างไรในภายหลังก็ยังต้องทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาของอีกฝ่าย

ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัวและสวีถังหรานก็ถูกเหมียวอี้สั่งไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกัน ไม่ได้ให้พวกเขาโกหกหรือรับผิดชอบอะไร ให้พูดความจริงไปเท่านั้น

ต่อให้มู่หรงซิงหัวจะพูดความจริงไป แต่ก็ไม่ได้ความเท่าไรนัก เดิมทีนางก็รู้อะไรไม่มากอยู่แล้ว ถูกกดดันให้ไปปฏิบัติหน้าที่ทั้งที่ตัวเองไม่ถนัด

บางสิ่งบางอย่างฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็ย่อมไม่พูดอยู่แล้ว สิ่งที่พูดได้ก็มีแค่เหตุการณ์ที่ทุกคนประสบร่วมกันเกี่ยวเรื่องในครั้งนี้

สวีถังหรานเองก็ไม่พูดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์กับตัวเองอยู่แล้ว

สรุปก็คือพูดตามเหตุการณ์จริง เท่ากับว่าผลักความรับผิดชอบทุกอย่างไปให้เหมียวอี้

ส่วนเหมียวอี้ก็ผลักความรับผิดชอบไปให้ปี้เยว่ฮูหยิน บอกว่าก่อนทำได้ปรึกษากับปี้เยว่ฮูหยินแล้ว ได้รับอนุญาตจากปี้เยว่ฮูหยินแล้ว

เกาก้วนพักอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองชั่วคราว ตรวจสอบคำให้การที่ส่งขึ้นมาทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดหย่อน

ตั้งแต่แม่ทัพภาคไปจนถึงผู้บัญชาการในสังกัดถูกแยกตัวและจับตาดูชั่วคราว การสอบสวนก็เริ่มตั้งแต่สามระดับนี้ไปจนถึงรองผู้บัญชาการกับผู้ช่วยผู้บัญชาการใต้สังกัด แล้วขยายไปที่ทหารสวรรค์คนอื่นๆ ผู้จัดการร้านค้าของตลาดสวรรค์ก็เลี่ยงการสอบสวนจากคนพวกนี้ไม่พ้นเช่นกัน

จัดการร้านค้าพวกนั้นย่อมพูดความจริง ส่วนพวกทหารสวรรค์ก็แค่ปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น จะไปรู้เงื่อนงำที่อยู่ภายในได้อย่างไร

บรรดาบุคคลระดับหัวหน้าของตลาดสวรรค์ถูกควบคุมไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอกเป็นเวลาสิบกว่าวัน

ส่วนตลาดสวรรค์ก็เริ่มเกิดข่าวลืออย่างเลี่ยงใมได้ ข่าวลือประมาณว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวกำลังจะซวยแล้ว

สำหรับเรื่องนี้ อวิ๋นจือชิวเป็นกังวลมาก คอยสืบข่าวตั้งแต่เช้ายันค่ำ สองพี่น้องโอวหยางกับพวกเยารั่วเซียนถูกนางย้ายไปซ่อนตัวที่ดาวไร้ลักษณ์ล่วงหน้าแล้ว

หลังจากนั้นครึ่งเดือน หลังจากรวบรวมข้อมูลของสถานการณ์ทุกอย่างแล้ว เกาก้วนก็ออกคำสั่งให้คืนอิสระแก่ปี้เยว่ฮูหยินและพวกเหมียวอี้

ในตอนนี้ท่านโหวเทียนหยวนก็รีบกลับมาที่ตำหนักคุ้มเมืองของดาวเทียนหยวนเช่นกัน หลังจากได้รับรายงานจากผู้การสองหลันเซียง เขาก็รีบมาที่นี่ทันที

เมื่อเห็นว่าสุดท้ายปี้เยว่ฮูหยินถูกปล่อยตัวออกมาจากเรือนเล็ก ท่านโหวเทียนหยวนที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ข้างนอกก็เข้าไปรับนางทันที จับมือสองข้างของปี้เยว่ฮูหยินพร้อมถามว่า “ฮูหยิน เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

ปี้เยว่ฮูหยินรับรู้ถึงความหมายแฝงที่อยู่ในคำพูด รู้ว่ากำลังถามว่านางได้พูดซี้ซั้วหรือไม่ นางส่ายหน้าตอบ “ไม่เป็นอะไร! แค่ถามเกี่ยวกับเรื่องที่ตลาดสวรรค์ครั้งนี้”

ท่านโหวเทียนหยวนโล่งใจ กังวลว่าผู้หญิงคนนี้จะพลั้งปาก แล้วแอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เกาก้วนไม่ได้เล่นไม่ซื่ออะไรกับเจ้าใช่มั้ย?”

ปี้เยว่ฮูหยินคิดไปคิดมา ก่อนจะตอบว่า “แค่ตอนแรกดูน่าตกใจมาก ข้าตกใจจนปัสสาวะแทบราด ข้าก็ยังนึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วเขาจะมาเอาชีวิตข้าซะอีก แต่ตอนหลังก็ยังดีหน่อย ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่จินตนาการไว้”

“ดูท่าแล้วเกาก้วนคงจะไม่ได้ทำเรื่องนี้รุนแรงเกินไป ข้าก็ยังกังวลว่าเนื้อหนังเจ้าจะได้ความทรมานอะไร” เทียนหยวนกลับแปลกใจ

ชั่วพริบตาเดียวเขาก็ไอแห้งๆ แล้วยิ้มพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “หลังจากมาถึงข้าอยากจะพบเกาก้วน แต่เกาก้วนปฏิเสธไม่ให้พบเลย คาดว่าตอนนี้คงพบได้แล้ว ไปกันเถอะ! พวกเราสองสามีภรรยาไปแสดงไมตรีของเจ้าบ้านให้เต็มที่!” พูดจบทั้งสองก็เดินไปด้วยกัน

เมื่อเดินมาถึงเรือนพักชั่วคราวของเกาก้วน ทั้งสองก็เจอกับเกาก้วนที่สีหน้าเย็นเยียบพอดี เจ้าตัวกำลังนำกลุ่มลูกน้องเดินก้าวยาวออกมาจากลานบ้าน

เทียนหยวนกุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้มทันที  “ทูตขวาเกา นับว่าได้พบหน้าท่านแล้ว”

“ท่านโหวมีธุระอะไรเหรอ?” เกาก้วนพยักหน้าเบาๆ

เทียนหยวนกล่าวกลั้วหัวเราะ “ในเมื่อพี่เกามาที่นี่แล้ว พวกเราสองสามีภรรยาก็ต้องแสดงไมตรีของเจ้าบ้านสิ!”

“ไม่ต้องแสดงไมตรีของเจ้าบ้านหรอก ข้ายังต้องไปตรวจสอบคำให้การของหนิวโหย่วเต๋อแบบต่อหน้าอีก!” เกาก้วนกล่าวเสียงราบเรียบ ไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด นำลูกน้องเดินจากไปโดยไม่สนใจสิ่งใด

ขณะที่มองกลุ่มคนหายลับไป ปี้เยว่ฮูหยินก็พึมพำว่า “คนนี้นี่ยังไงกันแน่?”

เทียนหยวนพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “สุนัขรับใช้ประจำตัวของประมุขชิงไงล่ะ เจ้าตัวอยากจะเป็นขุนนางโดดเดี่ยวก็ย่อมต้องทำตัวให้เหมือนขุนนางโดดเดี่ยวอยู่แล้ว! แต่คนแบบนี้มักจะมีจุดจบที่อนาถมาก จะเป็นหรือจะตายก็ล้วนขึ้นอยู่กับความคิดเจ้านายทั้งนั้น ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ตัวเองผิดใจกับคนอื่นหมดแล้ว ถึงตอนนั้นเขาก็จะไม่มีแม้แต่คนที่ช่วยพูดให้ ผู้คนกลับจะพากันเหยียบซ้ำอีกต่างหาก”

ปี้เยว่ไม่สนใจเรื่องนี้ แต่กลับกังวลอีกเรื่องหนึ่ง “แล้วเขายังจะไปหาหนิวโหย่วเต๋อทำไมอีก? ทางหนิวโหย่วเต๋อคงไม่เผยพิรุธอะไรใช่มั้ย?”

เทียนหยวนส่ายหน้า “คิดมากไปแล้ว! แค่เขาอาศัยอำนาจเปิดฉากสังหารหมู่ ก็น่าจะรู้ผลลัพธ์ของการทรยศเจ้าแล้วนะ ภายใต้อนาคตที่ไม่แน่นอน ถ้าเปลี่ยนคนอื่นมารับตำแหน่งแม่ทัพภาคของดาวเทียนหยวน เขาก็อาจจะรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้ ถ้าไม่มีข้ากับเจ้าคอยกันให้ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ก็วนไปไม่ถึงเขาหรอก? ตราบใดที่เขาไม่มั่นใจว่าเจ้ากับข้าจะล้มพร้อมกัน เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรแน่ ไม่อย่างนั้นถ้าเราไม่ปล่อยคนไป เขาก็ไปไม่ได้อยู่ดี ในภายหลังยังต้องเผชิญหน้ากับพวกเราอีก มิหนำซ้ำการล้มพวกเราก็ไม่เกิดผลดีอะไรกับเขา เขาไม่มีเส้นสายอะไรที่ตำหนักสวรรค์ การหลบอยู่ใต้ปีกของเจ้ากับข้าชั่วคราวคือทางเลือกที่ดีที่สุด อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะเงยหน้าอ้าปาก ตำแหน่งที่สูงกว่านี้ยังวนมาไม่ถึงเขาหรอก ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้จักข้อพกพร่องของตัวเอง แต่จะว่าไปแล้ว หลังจากจบเรื่องนี้เขาก็ถูกมัดให้ลงเรือลำเดียวกับเราแล้ว หลอกลวงตบตาเบื้องบนร่วมกับพวกเรา จะไม่เป็นคนของพวกเราก็ไม่ได้ พวกเราสามารถใช้งานได้อย่างวางใจ!”

“คนในราชสำนักอย่างพวกเจ้านี่ช่างเจ้าเล่ห์นัก” ปี้เยว่ฮูหยินกลอกตามองเขาอย่างหยาดเยิ้ม “

ณ จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เกาก้วนและพรรคพวกบุกเข้ามาอีกแล้ว มุ่งตรงมายังจวนขุนนางของเหมียวอี้

เมื่อเห็นเกาก้วนนำคนมา เหมียวอี้ก็งุนงงนิดหน่อย เพิ่งจะได้รับอิสระมาแท้ๆ ยังไม่ทันได้หายใจเต็มปอด ทำไมมาอีกแล้วล่ะ?

โดยเฉพาอย่างยิ่ง การที่เกาก้วนนำคนมาด้วยตัวเอง ทำให้เหมียวอี้รู้สึกกดดันไม่น้อยเลย กังวลว่าโดนฝ่ายปี้เยว่ฮูหยินวางกับดักแล้วหรือเปล่า นี่กำลังจะมาจับตนเหรอ

แต่คิดไปคิดมาก็พบว่าไม่ถูก ฝ่ายปี้เยว่ฮูหยินไม่มีอะไรให้ต้องวางกับดัก เพราะตนผลักความรับผิดชอบไปให้ปี้เยว่ฮูหยินแล้ว

ตอนนี้เขาพบว่าแผนเตรียมตัวหลบหนีที่ตัวเองวางไว้ก่อนหน้านี้ไม่มีประโยชน์กับคนพวกนี้เลย เพราะอีกฝ่ายเป็นประเภทเข้าออกที่ไหนโดยไม่บอกล่วงหน้า ถ้าอยากจะมาหาเจ้าก็จะมาหาตรงๆ เลย อยากจับเจ้าก็จับไปตรงๆ เลย ไม่ให้เวลาเจ้าตอบโต้อะไรทั้งนั้น กฎกติกาของตำหนักสวรรค์ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่คนพวกนี้ต้องปฎิบัติตาม ไม่ไหวเลย! ตอนนี้ต่อให้คิดจะใช้ทางใต้ดินในบ่อหลบหนีแต่ก็สายไปแล้ว

เรื่องนี้คิดไปคิดมาแล้วก็เหงื่อออกหลัง พบว่าตัวเองยังไม่รู้เรื่องของตำหนักสวรรค์ไม่มากพอ นึกเสียใจทีหลังที่ไม่เชื่อฟังอวิ๋นจือชิว ทำอะไรวู่วามเกินไปแล้ว

มาคิดมากตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เหมียวอี้รีบก้าวขึ้นมาต้อนรับ กุมหมัดคำนับอีกฝ่าย “ข้าน้อยคำนับทูตขวาเกา!”

เกาก้วนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ มีลักษณะแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร สนใจแค่เบิกทางเดินไปข้างหน้า กดดันจนเหมียวอี้ต้องถอยไปหลบอีกข้าง แต่กลับยกมือเล็กน้อย ทำให้กลุ่มลูกน้องหยุดอยู่ในลานบ้านทันที ไม่ได้เข้าไปข้างในต่อ หยุดยืนเรียงแถวอยู่สองฝั่ง

เหมียวอี้หันหลังกลับไปมอง แล้วรีบเดินตามหลังเกาก้วนเข้าไปข้างใน

พอเข้ามาในโถงหลัก เกาก้วนก็โบกมือสะบัดผ้าคลุม หันตัวไปนั่งลงบนตำแหน่งที่ยามปกติมีเพียงเหมียวอี้ที่นั่งได้

พอเขาไปนั่งลงตรงนั้น บรรยากาศทั้งโถงก็เปลี่ยนไปหมด เปลี่ยนเป็นกดดันถึงขีดสุด

ส่วนเหมียวอี้ก็ทำได้เพียงยืนอยู่เบื้องล่าง ใช้สายตาบอกใบ้ให้เป่าเหลียนที่ค่อนข้างหวาดกลัวรีบนำน้ำชามาวาง

เป่าเหลียนเพิ่งจะยกน้ำชามา เกาก้วนก็กล่าวเสียงเรียบแล้วว่า “ไม่ต้องแล้ว! ตอนสืบคดีข้าไม่พบผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง เจ้าออกไปก่อน!”

เป่าเหลียนจะกล้าพูดมากได้อย่างไร นางมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่มีความเห็นอะไร ก็ถอยไปทันที

รอไปได้ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเกาก้วนได้แต่ใช้สายตาจ้องประเมินตนศีรษะจดเท้าไม่หยุด เหมียวอี้ก็แข็งใจกุมหมัดกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าทูตขวาเกามีเรื่องอะไรจะถามขอรับ ขอเพียงข้าน้อยรู้ ก็จะตอบให้หมดแน่นอน”

เกาก้วนกล่าวว่า “ต้องปิดคดีนี้ได้แล้ว เจ้าว่ายังมีตรงไหนต้องแก้ตัวอีกมั้ย คดีนี้เกิดจากที่ผู้จัดการของร้านค้าเจ็ดอารมณ์และร้านอื่นๆ อีกสิบห้าร้านมอบของขวัญให้เจ้า หวังจะขอตำแหน่งผู้บัญชาการของตลาดสวรรค์ ข้าพูดผิดหรือไม่?”

นี่คือสิ่งที่ตนเคยตอบไปแล้วอย่างซื่อสัตย์ เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่ผิดขอรับ!”

“ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้นตามคำให้การของพวกเจ้า ล้วนเป็นแผนการที่เจ้าไปขอให้ปี้เยว่แม่ทัพภาคของดาวเทียนหยวนเสนอแนะ สุดท้ายก็เป็นผลการตัดสินใจของปี้เยว่ เป็นแบบนี้ใช่มั้ย?” เกาก้วนถาม

เหมียวอี้กลุ้มใจแล้ว ในคำรับสารภาพของข้ามีบอกเหรอว่าข้าขอคำเสนอแนะแผนการจากปี้เยว่ฮูหยิน? เหมือนข้าจะบอกไปว่าเป็นความคิดของปี้เยว่ฮูหยินทั้งหมดนะ นี่กำลังจงใจบิดเบือนไม่ใช่เหรอ?

เขากุมหมัดคารวะและเน้นย้ำอีกครั้ง “ข้าน้อยทำตามแผนที่ท่านแม่ทัพภาควางไว้ทั้งหมดขอรับ”

เกาก้วนถามกลับว่า “เจ้านึกว่าพวกเราไม่รู้เหรอว่าปี้เยว่เป็นคนอย่างไร? ถ้าไม่มีคนยุยง ปี้เยว่จะกล้าตัดสินใจทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน? เจ้าคิดว่าพวกเราหลอกง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ? ถ้าพวกเจ้าพูดอะไรแล้วเป็นอย่างนั้น ยังจะให้พวกเรามาตรวจสอบอะไรอีกล่ะ?”

กับเรื่องแบบนี้ เหมียวอี้จำเป็นต้องเน้นย้ำอีกครั้ง “ทุกสิ่งที่ข้าน้อยทำ ล้วนเป็นการทำตามคำสั่งของท่านแม่ทัพภาคจริงๆ ขอรับ”

เกาก้วนไม่ตกหลุมพรางนี้เลย ถามอีกว่า  “หนิวโหย่วเต๋อ ยินดีจะมารับตำแหน่งที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์มั้ย?”

“…” เหมียวอี้คิดตามเขาไม่ค่อยทัน มาสืบคดีไม่ใช่เหรอ ทำไมกระโดดมาประเด็นนี้แล้ว

เขายังกำลังครุ่นคิดว่าจะตอบอย่างไรดี แต่เกาก้วนก็นำระฆังดาราสองอันวางไว้บนโต๊ะแล้ว “รอให้ถึงตอนที่เจ้าเต็มใจจะมา ก็ติดต่อข้าได้โดยตรง” ขณะที่พูดก็ชี้ไปที่ระฆังดาราสองอันนั้น

เหมียวอี้พูดไม่ออก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ดูถูกเขา เขาก็ไม่สะดวกจะหักหน้าอีกฝ่ายเช่นกัน ก้าวขึ้นไปลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองบนระฆังดาราสองอันนั้น

จากนั้นเกาก้วนก็หยิบเอาไว้หนึ่งอัน แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าในมือ หลังจากเห็นว่ามีปฏิกิริยากับระฆังอีกอันหนึ่งแล้ว เขาถึงได้เก็บระฆังไว้ แล้วพลิกฝ่ามือโยนแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกไป

เหมียวอี้รับมาไว้ในมือด้วยสีหน้าสงสัย แต่เกาก้วนพูดแล้วว่า “นี่คือภูมิหลังเกี่ยวกับเจ้าที่ข้าสืบมา เจ้าดูว่ามีตรงไหนผิดพลาดหรือเปล่า?”

แม้แต่ภูมิหลังของข้าเจ้าก็ไปสืบมาได้เหรอ? เหมียวอี้คิดในใจว่าจะเป็นไปได้อย่างไร จึงรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูเนื้อหาข้างใน

ทว่าแค่เจอส่วนแรกเขาก็อ่านไม่เข้าใจแล้ว เขาพึมพำในใจว่า อสุราอัคนี? อสุราอัคนีเป็นใคร? ข้ากลายเป็นลูกศิษย์ของอสุราอัคนีตั้งแต่เมื่อไรกัน

เมื่ออ่านเนื้อหาตอนท้าย เขาก็แอบตกใจไม่หาย เริ่มตั้งแต่ที่ตัวเองเป็นเสนาบดีต่างถิ่นของสำนักลมปราณ พออ่านมาถึงตอนหลัง ก็เจอเรื่องที่ตัวเองเคยทำเขียนอยู่บนนั้น แต่พออ่านให้ละเอียด ก็พบว่าทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่ไม่ทำให้ตัวเองเสียหาย เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเรื่องน่าไม่อายเขียนอยู่บนนั้น

สิ่งที่ทำให้เขาเคลือบแคลงที่สุดก็ยังเป็นอสุราอัคนี ขนาดเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาจารย์ของตัวเองเป็นใคร ทำไมท่านนี้ถึงรู้ได้ล่ะ? เขาอดไม่ได้ที่จะกอดแผ่นหยกและถามหยั่งเชิงว่า “ทูตขวาเกาทราบได้อย่างไรว่าข้าน้อยเป็นศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนี?”

“ดูออกตอนที่เจ้าลงมือ” เกาก้วนเพียงอธิบายอย่างเรียบง่ายประโยคเดียว แล้วถามว่า “สถานการณ์ของเจ้า ข้าสืบมาผิดหรือไม่?”

เหมียวอี้อึกอักนิดหน่อย กำลังครุ่นคิดว่าท่านนี้คงไม่ได้กำลังทดสอบตนหรอกใช่มั้ย?

ใครจะคิดว่าเกาก้วนกลับไม่ยอมให้เขาคิดเยอะ พูดสรุปให้ทันทีว่า “ไม่ตอบแสดงว่าข้อมูลที่ข้าสืบมาไม่ผิดพลาด ถ้าตอนหลังข้ารู้ว่าเจ้ากลับคำพูด ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน!” พูดจบก็กางนิ้วทั้งห้า ดูดแผ่นหยกกลับไปไว้ในมือเขา จากนั้นลุกออกจากที่นั่งแล้วเดินลากผ้าคลุมอกไป

เหมียวอี้อ้าปากค้าง นี่มันอะไรกัน? นี่ไม่ใช่การบังคับให้ข้ากลายเป็นลูกศิษย์ของอสุราอัคนีหรอกเหรอ? มารดาเจ้าเถอะ ที่สำคัญคือข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอสุราอัคนีมันคือตัวอะไร!


1083


บทที่ 1084 วังสวรรค์

ชั่วขณะแรกยังคิดอะไรมากไม่ทัน ท่านนี้กำลังจะไปแล้ว ถ้าไม่ไปส่งก็จะฟังดูเหลวไหล เขาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะรีบหันตัวเดินตามไป

ไม่กล่าวอะไรตามมารยาทเลยสักคำ เกาก้วนทำให้คนรู้สึกว่าไร้อารมณ์ของความเป็นมนุษย์อยู่ตลอดเวลา มองข้ามเหมียวอี้ที่มาส่ง แม้แต่หน้าก็ไม่หันมาเลยสักนิด บุกเข้ามาทื่อๆ แล้วก็นำคนจากไปทื่อๆ

เหมียวอี้ยืนเงียบอยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกครู่หนึ่ง ฝูชิงเดินย่องมาข้างกาย แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้าห้า ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”

“ใครจะไปรู้ล่ะ น่าจะไม่เป็นอะไรล่ะมั้ง ทางปี้เยว่กล้าทำแบบนี้ เดาว่าคงมีความมั่นใจพอสมควร” เหมียวอี้ส่ายหน้าแล้วหันตัวเดินกลับไป

พอกลับมาถึงโถงหลักในเรือน เห็นระฆังดาราที่อยู่บนโต๊ะ เหมียวอี้ก็เดินไปหยิบมาถือครุ่นคิดอยู่ในมือพักหนึ่ง แลวจู่ๆ ก็เริ่มยิ้ม

ใช่แล้ว คงจะไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นเกาก้วนจะพูดเรื่องให้ตนเข้าไปทำงานในหน่วยตรวจการฝ่ายขวาได้อย่างไร

สิ่งที่ทำให้เข้ากลัดกลุ้มที่สุดก็ยังเป็นอสุราอัคนีอะไรนั่น เขานึกขึ้นได้ว่าตัวเองฝึกวิชาอัคนีดารา มีคำว่า ‘อัคนี’ เหมือนกัน เกาก้วนบอกว่าเห็นตนลงมือจึงมองออกว่าตนคือผู้สืบทอดของอสุราอัคนี อย่าบอกนะว่าเคล็ดวิชาที่ตนฝึกเกี่ยวข้องกับอสุราอัคนีอะไรนั่น? แล้วเคล็ดวิชานี่มาโผล่อยู่ที่พิภพเล็กได้ยังไง? เกี่ยวข้องอะไรกับเผ่าปีศาจรวมทั้งสมบัติที่เจอในตอนหลัง ทั้งยังมีภาพสตรีทะยานฟ้านั่นอีก?

คิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ ก็เลยขี้เกียจคิดอีก นี่ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ประวัติภูมิหลังของตน เดิมทีก็พูดได้ไม่ชัดเจนอยู่แล้ว ตอนนี้เกาก้วนดึงดันจะกำหนดให้ตนเป็นลูกศิษย์ของอสุราอัคนีอะไรนั่นให้ได้ งั้นตนเป็นศิษย์ของอสุราอัคนีไปเลยก็สิ้นเรื่อง เวลามีคนถามถึง ตนก็จะตอบไปอย่างนี้ ต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่เป็นไร อย่างมากเมื่อถึงตอนนั้นก็แค่ผลักความรับผิดชอบไปให้เกาก้วน เป็นเกาก้วนที่ดึงดันจะคิดอย่างนี้เอง ทั้งยังไม่ให้ตนกลับคำพูดด้วย

แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาอยากจะรู้ให้แจ่มแจ้ง อสุราอัคนีเป็นใครกันแน่?

พอนึกถึงคนที่อยู่รอบข้าง เขาก็พบว่าคงไม่ดีหากจะเอ่ยปากถามเรื่องนี้ ถ้าตนเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี แต่ไม่รู้แม้กระทั่งประวัติความเป็นมาของอาจารย์ตัวเองทั้งยังต้องไปถามคนอื่น แบบนี้จะไม่ค่อยเหมาะสมหรือเปล่า?

เกาก้วนไม่ได้กลับตำหนักคุ้มเมือง และไม่ได้มาบอกกล่าวอะไรด้วย แค่จากไปทื่อๆ อย่างนั้น เหมือนกับตอนที่เขามา มาถึงโดยไม่บอกกล่าว กลับไปโดยไม่บอกกล่าว

หลังจากได้ข้อมูลกลับมาจากทางประตูเมือง ปี้เยว่ฮูหยินและเหมียวอี้ถึงได้รู้ว่าเกาก้วนพาคนกลับไปแล้ว…

ตำหนักสวรรค์วังสวรรค์!

สถานที่ที่คนส่วนใหญ่ของจักรวาลไม่มีทางมาเหยียบได้ คนส่วนใหญ่ถึงขั้นทั้งชีวิตนี้ไม่เคยได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำ สถานที่นี้คือสิ่งที่อยู่ในตำนานสำหรับคนส่วนใหญ่

ตามตำนาน นี่ก็คือสถานที่รวบรวมสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในจักรวาล เป็นสถานที่ที่ฟุ้งเฟ้อที่สุด

ซึ่งความเป็นจริงก็เป็นอย่างนั้น

ดาราจักรที่อยู่รอบข้างมีสีสันแพรวพราวราวกับภาพมายา ดาวเคราะห์ที่ตั้งมั่นอยู่สี่ทิศมีทหารสวรรค์กลุ่มใหญ่คอยโอบล้อมพิทักษ์วังสวรรค์ที่อยู่ตรงกลาง อาณาเขตดาวผืนนี้ห้ามไม่ให้ใครรุกล้ำโดยพลการ และดาวเคราะห์สี่ดวงนั้นก็คือพื้นที่ต้องห้ามส่วนตัวของสี่อ๋องสวรรค์

ในเวลาเดียวกัน บนดาวเคราะห์สี่ดวงต่างก็มีกองกำลังกลุ่มหนึ่งเกาะออกมา เป็นการแลกเวรของทหารยามที่เฝ้าตรงประตูฟ้าทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเหนือ

ทหารยามเฝ้าอยู่ตรงฝั่งซ้ายและขวาของประตูฟ้า ถืออาวุธยืนอย่างเคร่งขรึม วรยุทธ์ต่ำที่สุด ยศต่ำที่สุด เป็นแม่ทัพที่สวมเครื่องแบบเกราะม่วงหนึ่งแถบ ส่วนผู้ที่นำกองกำลังเดินไปเดินมาก็คือแม่ทัพที่สวมเกราะรบสีแดง กำลังกวาดสายตาระแวดระวังมองรอบด้าน ฟ้องกันไม่ให้มีใครเข้ามาใกล้โดยพลการ

เงาคนคนหนึ่งแวบเข้ามา เหยียบลงนอกประตูฟ้าทิศใต้ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเกาก้วนนั่นเอง

เมื่อแสดงป้ายคำสั่งพิสูจน์ตัวตน เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่ตัวปลอม เกาก้วนถึงได้เดินเข้าไปข้างใน

ใหญ่โตมโหฬาร กว้างใหญ่ไพศาล ทุกที่เป็นศาลาพลับพลาที่ประณีตยิ่งกว่าเนรมิต เมื่อตัวอยู่ในตำหนักสวรรค์ ถ้าไม่ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง ก็ถึงขั้นมองไม่เห็นริมขอบของสิ่งปลูกสร้างที่เรียงติดต่อกันยาวเหยียดเลยด้วยซ้ำ

แสงสีขาวบริสุทธิ์ที่แผ่รัศมีครอบคลุมบางๆ หนึ่งชั้น แสงสว่างที่เป็นมงคล บนฟ้ามีสัตว์เทพในตำนาน หงส์ร่อนมังกรรำ วิหคเซียนนานาชนิดบินติดตาม

สิ่งปลูกสร้างทุกชนิดสีขาวบริสุทธิ์ดุจหยก แต่กลับไม่ใช่ศิลาหยก แต่เป็นสิ่งปลูกสร้างที่เกิดจากการรวบรวมพลังปรารถนาของสรรพสิ่งนับไม่ถ้วนในจักรวาล

บนเสารูปมังกรที่สูงใหญ่ มีมังกรทองตัวหนึ่งที่หน้าตาดุร้ายมีพลังจนทำให้คนที่เห็นต้องกลั้นหายใจพันขดอยู่ ในรังหงส์มีหงส์ขนสีรุ้งที่งดงามตระการตาจนทำให้คนใจสั่น เกาก้วนเดินไปข้างหน้าโดยไม่ชายตามองด้านข้าง หงส์และมังกรที่อยู่ทางซ้ายและขวาเพียงลืมตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็หลับตาลงเหมือนเดิม

ระหว่างสระหยกที่มีอยู่ทั่วตำหนักสวรรค์ ดอกไม้ใบหญ้าแปลกตากำลังเบ่งบาน สัตว์ประหลาดนานาชนิดกำลังแหวกว่ายอยู่ในสระหยก เด็กน้อยที่ฝึกตนจนแตกฉานกำลังเล่นอยู่ในนั้น ตอนที่เกาก้วนเดินผ่าน เด็กน้อยก็รีบไปหลบอยู่ใต้ใบบัวสีเขียวหยก กลายเป็นปลาหลี่สีทองตัวหนึ่งสั่นหัวส่ายหางว่ายเข้าไปในน้ำสีเขียวหยก

มีตำหนักงดงามหรูหราขนาดนี้ แต่งานอดิเรกของราชันสวรรค์กลับเป็นการทำนาอยู่ในท้องนาที่มีโคลนเลน ทำให้คนมากมายร่ำร้องในใจ สิ่งที่ตัวเองเอื้อมไม่ถึง แต่ราชันสวรรค์กลับไม่สนใจ

เมื่อก้าวขึ้นบันไดสูงเข้ามาในวังสวรรค์ ทิวทัศน์ของแดนสวรรค์ข้างในก็ยิ่งทำให้คนละลานตาจนมองไม่หมด บางครั้งก็จะเห็นกลุ่มเทพธิดาที่เป็นสนมสวรรค์เดินแห่กันมาเป็นกลุ่ม

ถึงแม้เกาก้วนจะมีตำแหน่งไม่สูง แต่กลับเป็นขุนนางที่อยู่ใกล้ชิดข้างกายราชันสวรรค์ การปรากฏตัวของเขาดึงดูดความสนใจของเหล่าสนมสวรรค์ ไม่แคล้วต้องมีคนคิดอยากจะสานสัมพันธ์อันดีกับเกาก้วน

ในวังสวรรค์ นางสนมของราชันสวรรค์มีเยอะเกินไป ต่อให้ไม่ถึงหนึ่งหมื่นก็ถึงแปดพัน แต่ละคนงดงามเลิศล้ำ ผู้หญิงจำนวนมากมายขนาดนี้ ถ้าอยากจะได้รับหยาดน้ำฝนแห่งความเมตตาจากราชันสวรรค์ทุกคน ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เกรงว่านางสนมส่วนใหญ่แค่จะให้ราชันสวรรค์จำชื่อตัวเองได้ก็ยังยากเลย อยากจะได้รับความโปรดปรานต่อหน้าราชันสวรรค์ก็ยิ่งยากเข้าไปอีก

อยู่ดีๆ ใครจะไปจดจำชื่อคนเป็นหมื่น มิหนำซ้ำยังเป็นกลุ่มผู้หญิงที่ไม่ได้สำคัญอะไรต่อราชันสวรรค์ด้วย สำหรับราชันสวรรค์แล้ว บางทีการเอานางสนมหนึ่งพันคนมารวมกัน ก็ยังไม่สำคัญเท่าขุนนางหนึ่งคนเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงมีเพียงผู้หญิงที่ชาติกำเนิดดี ที่เมื่อเข้าวังสวรรค์มาแล้วถึงจะมีโอกาสได้รับฐานะที่ดีกว่าเดิม ต่อให้ทำไปเพื่อบำรุงขวัญขุนนางก็ตาม เมื่อมีฐานะในวังหลังสูงขึ้น โอกาสในการคลุกคลีกับราชันสวรรค์ก็จะมีมากตามไปด้วย เมื่อมีโอกาสคลุกคลีมากถึงจะมีโอกาสได้รับความโปรดปราน

ในโลกนี้มีหญิงงามมากมายเสียที่ไหนกัน แต่ราชันสวรรค์กลับไม่ขาดหญิงงามคอยปรนนิบัติ ภูมิหลังชาติกำเนิดไม่ดี ถ้าอยากจะให้ราชันสวรรค์คิดถึงก็มีแต่ต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น อันดับแรกย่อมต้องให้ราชันสวรรค์มีภาพความประทับใจกับชื่อของตน ถ้าราชันสวรรค์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนชื่อนี้อยู่ท่ามกลางนางสนมของตัวเอง แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่ราชันสวรรค์จะเรียกให้ไปปรนนิบัติ

ถ้าขุนนางที่ใกล้ชิดข้างกายราชันสวรรค์อย่างเกาก้วนสามารถเอ่ยชื่อตัวเองขึ้นมาสักครั้ง ก็จะต้องดึงดูดความสนใจของราชันสวรรค์แน่นอน เป็นไปได้สูงว่าราชันสวรรค์จะต้องอยากเห็น ว่าใครกันที่ทำให้เกาก้วนเอ่ยถึงได้ แบบนี้จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้ตัวเองได้ใกล้ชิดราชันสวรรค์แล้ว

ดังนั้นจึงมีคนอยากจะทักทายเกาก้วน แต่เกาก้วนยังคงมองไม่เห็นใครในสายตา เอาแต่มองตรงไปเบื้องหน้า นางสนมที่พยักหน้ายิ้มอยู่สองข้างทางเพราะอยากจะหาโอกาสคุยจึงเสียแรงเปล่า ต่อให้สวยกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ ในใจเคียดแค้นจนกัดฟันกรอด แต่กลับไม่กล้าล่วงเกินเกาก้วน

อย่านึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงของราชันสวรรค์แล้วจะทำอะไรก็ได้ ผู้หญิงของราชันสวรรค์มีตั้งเยอะ จะเพิ่มหรือลดลงสักคนก็ไม่ส่งผลอะไร แต่คนที่สามารถกลายเป็นลูกน้องคนสนิทของราชันสวรรค์ได้กลับมีไม่เยอะ ผู้หญิงที่ถูกส่งเข้าตำหนักเย็นเพื่อปลอบขวัญขุนนางมีตั้งเยอะ โดนประหารเพราะมีความผิดก็ใช่ว่าจะไม่มี ราชินีสวรรค์ที่คุมวังหลังชอบ ‘ช่วย’ ราชันสวรรค์ทำเรื่องแบบนี้ที่สุดแล้ว

ถึงแม้จะมีหลายคนปวดใจ แต่เก้าอี้ที่อยู่ใต้ก้นราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วก็ยังเป็นความฝันของผู้หญิงมากมายในวัง พวกนางหวังว่าตัวเองจะได้กลายเป็นที่เคารพท่ามกลางสตรีในโลกนี้ ความมีหน้ามีตาแบบนั้นมีแรงดึงดูดอย่างร้ายแรงต่อผู้หญิง การเฝ้ารอให้ถูกผู้หญิงทุกคนอิจฉาคือนิสัยธรรมชาติของผู้หญิง

ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยังมีคนส่วนใหญ่แอบปลอบใจตัวเอง ว่าอาศัยหน้าตาอย่างราชินีสวรรค์ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องโดนราชันสวรรค์ทอดทิ้งแน่ ผู้หญิงสวยมักจะมีความมั่นใจในตัวเองอย่างหน้ามืดตามัว

ท่ามกลางศาลาพลับพลาที่งดงามหรูหรา ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วที่สวมมงกุฎหงส์และแต่งกายสูงส่งจนหาคำพูดมาบรรยายไม่ได้ ตอนนี้กำลังเดินพูดคุยอยู่กับประมุขชิง ข้างหลังมีเทพธิดาสิบกว่าคนเดินตาม

ประมุขชิงที่เอามือไขว้หลังเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เผยรอยยิ้มบนใบหน้าอยู่เป็นระยะ เหมือนจะถูกคำพูดของราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วหยอกล้อให้ขำแล้ว

ประมุขชิงในเวลานี้ไม่ได้แต่งกายเหมือนชาวนาแล้ว บนศีรษะสวมพระมาลาห้อยลูกปัดเก้าสาย บนตัวสวมชุดสีทองที่องอาจผ่าเผยและสูงส่งหรูหรามาก บนนั้นมีภาพมังกรเก้าตัวที่ปักเอาไว้ราวกับใช้กาวติด มีชีวิตชีวิตราวกับเป็นของจริง เหมือนมีมังกรตัวจริงย่อขนาดติดอยู่บนเสื้อผ้า

เมื่อเดินออกจากศาลาพลับพลาเข้ามาในสวน เกาก้วนก็กำลังยืนรออยู่แล้ว

เมื่อเห็นเขามา ประมุขชิงก็โบกมือเบาๆ ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วก็ย่อกายคำนับ แล้วนำเหล่าเทพธิดาถอยออกไป

“สืบสวนเป็นอย่างไรบ้าง?” ประมุขชิงเอามือไขว้หลังเดินไปข้างหน้าต่อ

หลังจากกุมหมัดคารวะแล้ว เกาก้วนก็เดินตามอยู่ข้างกาย พร้อมตอบว่า “สถานการณ์โดยรวมไม่ต่างกับที่รู้ก่อนหน้านี้ขอรับ ร้านค้าสิบหกร้านนั้นอยากจะยัดคนเข้าไปนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการจริงๆ หลังจากทำไม่สำเร็จ คนที่หนุนหลังพวกเขาจึงไปร้องเรียนกับเทพประจำดาวคนฉลู พอร้องเรียนไม่สำเร็จ ก็ร่วมมือกับพ่อค้าของตลาดสวรรค์กดดันให้หนิวโหย่วเต๋อลงจากตำแหน่ง ผลก็คือยั่วโมโหจนหนิวโหย่วเต๋อใช้วิธีการที่เด็ดขาดรวดเร็ว หลังจากเกิดเรื่อง หนิวโหย่วเต๋อก็ได้คำให้การที่พ่อค้ารายใหญ่ร่วมมือกันทำเป็นขบวนการแล้ว พ่อค้าที่เข้าร่วมด้วยมีประมาณหกหมื่นกว่าคน ข้าน้อยนำคำให้การทั้งหมดมาแล้วขอรับ เป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ลงมือได้รวดเร็ว ไม่ให้เวลาพวกเขาได้เตรียมตัวสักเท่าไร ไม่อย่างนั้นคนที่ร่วมมือกันต่อต้านผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อก็คงไม่ได้มีแค่หกหมื่นคนแน่”

“ดี! ช่างดีจริงๆ!” ประมุขชิงแสยะยิ้ม “ตอนนี้กลุ่มพ่อค้ามีความสามารถที่จะบงการขุนนางของตำหนักสวรรค์แล้ว ทั้งยังเป็นคนที่ข้าเพิ่งแต่งตั้งและมอบรางวัลให้ด้วย เจ้าว่าคนพวกนั้นสมควรถูกฆ่ามั้ย?”

“สมควรฆ่าขอรับ!” เกาก้วนตอบเสียงเรียบ

ประมุขชิงพ่นเสียงทางจมูก แล้วถามอีกว่า “สถานการณ์ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

มีร้านค้าของสมาคมวีรชนอยู่ที่นั่น เกาก้วนไม่เชื่อว่าทางนี้จะไม่รู้สถานการณ์ แต่ก็ยังตอบตามความจริงว่า “หลังจากหนิวโหย่วเต๋อรักษาการณ์ที่นั่น ก็สั่งห้ามไม่ให้พ่อค้าจัดตั้งสมาคมร้านค้าส่วนตัว แต่ให้แบ่งสมาคมร้านค้าเป็นสี่ส่วน ให้อยู่ในการคุมของสี่เขตเมืองในตลาดสวรรค์โดยตรง แล้วก็แบ่งย่อยอีกที ให้ผู้ช่วยผู้บัญชาการในสังกัดแบ่งกันรับผิดชอบขอรับ”

“เขาไม่กลัวว่าจะทำให้อำนาจที่อยู่เบื้องหลังคนพวกนั้นโต้กลับเหรอ?” ประมุขชิงถาม

“วิธีการของเขาเรียบง่ายมาก เบื้องบนควบคุมไม่ได้ แต่ถ้าเบื้องล่างกล้ามีคนต่อต้าน ฆ่า!” เกาก้วนตอบ

“ช่างเรียบง่ายจริงๆ! เรื่องที่ให้เจ้าไปสืบมาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

“เป็นอย่างที่ฝ่าบาทคาดไว้ นี่ไม่ใช่ความคิดของปี้เยว่ คนที่ออกความคิดยังเป็นหนิวโหย่วเต๋อคนนั้น ปี้เยว่เพียงให้ท้ายเขาเท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นใต้หนังตาแบบนี้ ไม่มีทางที่นางจะไม่รู้ ถึงแม้ปี้เยว่จะไม่ยอมรับ แต่ข้าน้อยก็สามารถแน่ใจได้แล้ว เบื้องหลังปี้เยว่มีท่านโหวเทียนหยวนแนะนำให้ทำแน่นอน ถ้าไม่ใช่แบบนี้ ปี้เยว่ก็ไม่ได้มีความกล้ามากขนาดนั้น ดังนั้นผลลัพธ์ที่แท้จริงก็คือ หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนออกความคิดนี้ ส่วนท่านโหวเทียนหยวนกับฮูหยินคอยเล่นไปตามน้ำอยู่เบื้องหลัง เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง หนิวโหย่วเต๋อจึงลงมือได้เด็ดขาดขนาดนี้ พูดให้ชัดก็คือท่านโหวเทียนหยวนและภรรยามีความตั้งใจที่จะทำแบบนี้ ไม่อย่างนั้นตั้งแต่ครั้งแรกที่คนพวกนั้นมาร้องเรียน หนิวโหย่วเต๋อก็คงลงจากตำแหน่งไปแล้ว เป็นสองสามีภรรยาที่ปกป้องอยู่เบื้องหลัง”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ก่อนหน้านี้ข้ายังแปลกใจ ว่าผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์คนหนึ่งจะเอาความกล้าจากไหนมาต่อต้านผู้มีอำนาจอิทธิพลของตำหนักสวรรค์ นึกไม่ถึงว่าเทียนหยวนก็ใจกล้าไปแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าเขาตบตาข้า ดูท่าแล้วคงเป็นคนที่มีหลักการ”


1084


บทที่ 1085 ฮุบของหลวงไว้เอง

เทียนหยวนกำลังหลอกตบตาราชันสวรรค์หรือไม่ เกาก้วนไม่อยากพูดมาก

อย่างน้อยก็มีอยู่จุดหนึ่งที่เกาก้วนเข้าใจ นั่นก็คือต่อให้รู้ว่าเทียนหยวนกำลังหลอกตบตา แต่ก็เกรงว่าราชันสวรรค์คงจะไม่ทำอะไรเทียนหยวน

คนที่สามารถดึงความรับผิดชอบในการตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้มีอิทธิพลของตำหนักสวรรค์มาไว้ที่ตัวเองได้ ถ้าราชันสวรรค์ยังทำโทษเทียนหยวนอีก เช่นนั้นในภายหลังก็คงม่มีใครกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้มีอิทธิพลของตำหนักสวรรค์แล้วจริงๆ ต่อให้ราชันสวรรค์จะรู้ความจริง แต่ตราบใดที่ไม่เปิดโปงแบบคาหนังคาเขา หลังจากจบเรื่องราชันสวรรค์ก็แค่ปิดตาข้างเดียว เพียงเพราะถึงอย่างไรเทียนหยวนก็อยากจะประจบเขา ในตอนนี้ไม่ว่าจะทำอย่างไร ตราบใดที่เทียนหยวนกล้าดึงความรับผิดชอบมาไว้ที่ตัวเอง ตราบใดที่เป็นไปตามแนวโน้มที่ราชันสวรรค์ต้องการ นั่นก็แปลว่ามีผลงานแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ถึงเจตนาของราชันสวรรค์ ต่อให้เทียนหยวนใจกล้ากว่านี้อีกหนึ่งร้อยเท่า แต่ก็ไม่กล้าดึงความรับผิดชอบมาไว้ที่ตัวเองเหมือนกัน

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ราชันสวรรค์แค่อยากจะรู้ว่าเทียนหยวนได้หลอกตบตาเขาหรือเปล่า

จากนั้นประมุขชิงก็สั่งอีกว่า “เจ้าเป็นคนเสนอแนะเรื่องการทดสอบ จับตาดูให้ดีอย่าให้เกิดความวุ่นวายอะไร”

“ขอรับ!” เกาก้วนเอ่ยรับ

เขายังคงเป็นผู้รับผิดชอบการทดสอบครั้งนี้ แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องเฝ้าอยู่ที่นั่นตลอดเหมือนกัน

ผ่านไปไม่นาน บทสรุปการลงโทษจากตำหนักสวรรค์ที่มีต่อคดีตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวนก็ออกมาแล้ว

ถึงแม้ประมุขชิงจะอยากฆ่าทุกคนที่ขัดเจตนาให้ตายให้หมด แต่สุดท้ายก็ยังลงโทษและผ่อนผันผู้มีอิทธิพลของตำหนักสวรรค์ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพลิกเรือให้ทุกคนบนเรือตกน้ำหมด ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครพายเรือให้เขาแล้ว

ร้านค้าที่ถูกล้างเลือดไปล้ว ในเมื่อทำโทษไปแล้วส่วนหนึ่ง เช่นนั้นก็ทำโทษต่อไปอีก ร้านค้าที่ถูดปิดรวมทั้งของที่ถูกยึดให้ริบเป็นของหลวงทั้งหมด คนที่โดนฆ่าไปแล้ว ถึงตายก็ไม่สาสมกับความผิด ส่วนร้านค้าอีกหนึ่งร้อยร้านที่ถูกสั่งปิด ก็ให้สั่งเปิดและคืนให้เจ้าของ ของที่ยึดได้ก็ให้ส่งกลับคืนเช่นกัน

และแน่นอน ราชันสวรรค์ยังคงไม่ได้เข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ ในเมื่อไม่มีเหล่าขุนนางใหญ่ๆ คนไหนเอ่ยถึงตอนประชุมราชสำนัก เขาก็จะไม่เอ่ยถึงเช่นกัน ควรเหลือไมตรีระหว่างกันไว้สักหน่อย เหล่าขุนนางใหญ่ไม่ทำให้ราชันสวรรค์หาทางลงจากเรื่องนี้ไม่ได้ ราชันสวรรค์ก็ไม่ทำให้ขุนนางใหญ่พวกนั้นลำบากใจเช่นกัน นี่คือสิ่งที่ท่านโหวเทียนหยวนสนอแนะให้ปี้เยว่ฮูหยินทำ

แต่ชัดเจนมากว่าราชันสวรรค์มีเจตนาอะไร เขามีคำสั่งไปที่ตำหนักคุ้มเมืองของดาวเทียนหยวน ให้เลื่อนยศปี้เยว่ฮูหยินเป็นแม่ทัพเกราะม่วงสี่แถบ!

ที่ได้เลื่อนยศไม่ใช่เพราะสาเหตุใหญ่โตอะไร แค่บอกว่าปี้เยว่ฮูหยินสร้างผลงานตอนรักษาการณ์ที่ดาวเทียนหยวน แบบนี้หมายความว่าอย่างไร คนอื่นๆ แค่ลองคิดดูก็รู้แล้ว

ปี้เยว่ฮูหยินที่ได้รับรางวัลดีอกดีใจมาก ทั้งยังส่งข่าวไปชื่นชมท่านโหวเทียนหยวนด้วย ท่านสามีช่างยอดเยี่ยมนัก ขนาดทำแบบนี้ยังช่วยช้อนผลงานมาให้ข้าได้ ราชันสวรรค์แต่งตั้งยศให้ด้วยตัวเอง ออกไปคุยที่ไหนก็มีหน้ามีตามาก!

ท่านโหวเทียนหยวนกลับมีความขื่นขมที่พูดออกมาไม่ได้ คงไม่ดีที่จะให้ภรรยาดูถูกตน ไม่สะดวกจะอธิบายความจริงที่ซ่อนอยู่ในนั้น ทำได้เพียงยิ้มเจื่อนในใจ

เขาเพียงอยากให้ราชันสวรรค์รู้ว่าเขามีความจงรักภักดี ไม่ได้อยากให้ราชันสวรรค์มอบรางวัลอะไรให้ภรรยาตัวเองเลย ถ้าอยากจะเลื่อนขั้นก็มีเขาคุ้มครองอยู่ มีโอกาสให้ภรรยาตัวเองอยู่แล้ว ใครจะคิดว่าราชันสวรรค์กลับเปิดเผยเรื่องนี้ตรงๆ พอทำแบบนี้แล้ว ถ้าไม่อยากให้ผู้มีอิทธิพลคนอื่นๆ ของตำหนักสวรรค์เข้าใจผิดก็คงยาก

เขารู้สึกเหมือนยกหินก้อนหินมาทุ่มใส่เท้าตัวเอง เขาไม่อยากเอาเยี่ยงอย่างเกาก้วนที่เป็นขุนนางโดดเดี่ยว แต่ราชันสวรรค์กลับเหมือนจะมีเจตนานั้น

เดิมทีตำหนักคุ้มเมืองเป็นจวนขุนนางของผู้บัญชาการใหญ่ ในนั้นก็มีคนของเหมียวอี้เหมือนกัน หลังจากเหมียวอี้ได้ข่าวก็เข้าใจแล้ว สงสัยการที่ตนเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงขนาด แต่ก็ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรทั้งนั้น สุดท้ายก็ทำให้ปี้เยว่ฮูหยินได้ชุบมือเปิบ

ลานบ้านที่ลึกยาว เหมียวอี้ที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้านกลุ้มใจมาก!

แม่ทัพเกราะม่วงสี่แถบ ถ้าได้เลื่อนยศอีกขั้น ก็มีคุณสมบัติที่จะถูกย้ายไปเป็นหัวหน้าภาคแล้ว ตอนนี้เขานับว่าเข้าใจแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมปี้เยว่ฮูหยินแย่งรับผิดชอบเรื่องนี้ สงสัยจะอยากแย่งผลงานของเขา

ถ้าบอกว่าไม่โมโหก็คงโกหก แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน เขาตำแหน่งต่ำต้อยเกินไป ไม่ได้รับความเท่าเทียมเรื่องข่าวสาร ไม่รู้สถานการณ์ของตำหนักสวรรค์ จะมีคุณสมบัติอะไรไปแย่งผลงานกับคนอื่นเขา ไม่มีทางดำเนินการได้เลย

และเขาก็ยิ่งไม่รู้ ว่าการที่ปี้เยว่ฮูหยินสามารถแย่งผลงานนี้มาได้ เป็นการร่วมมือกันดำเนินการของท่านโหวเทียนหยวนกับเกาก้วน ลดบทบาทของเหมียวอี้ในเรื่องราวครั้งนี้ให้ต่ำที่สุด ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเหมียวอี้แล้ว

เหมียวอี้ที่ถอดทอนใจไม่หยุดอยู่ในลานบ้าน หลังจากเดินไปเดินไม่กี่รอบก็คิดได้แล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ การที่เขาไม่เป็นอะไรก็นับว่าเป็นความโชคดีมหาศาลในความโชคร้ายแล้ว ผลงานประเภทนี้ ถ้าไม่มีภูมิหลังของปี้เยว่ฮูหยินก็รับไม่ไหวเหมือนกัน ให้ความสนใจของทุกคนไปอยู่ที่ปี้เยว่ฮูหยิน ให้คิดว่าปี้เยว่ฮูหยินเป็นคนยุยงก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร

แน่นอน ปี้เยว่ฮูหยินก็ไม่ทำให้เขาเสียเปรียบเหมือนกัน ไม่นานก็เรียกเขาไปพบที่ตำหนักคุ้มเมือง

ในสวนดอกไม้ด้านหลัง ทั้งสองเดินเล่นด้วยกันอีกครั้ง ปี้เยว่ฮูหยินกำลังเด็ดดอกไม้เหมือนกัน เหมียวอี้ยังคงช่วยนางถือดอกไม้อยู่ข้างๆ ทำเหมือนเป็นสามีภรรยากัน โชคดีที่อวิ๋นจือชิวไม่ได้เห็นภาพนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะพูดจาอะไรแปลกๆ ออกมาอีก

หลังจากบอกผลการลงโทษร้านค้าหนึ่งร้อยร้านนั้นให้เหมียวอี้รู้แล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็แอบเตือนว่า “ของที่ยึดไปจากร้านค้าสองร้อยกว่าร้านที่เหลือ ยึดเป็นของหลวงครึ่งหนึ่งแล้วกัน! ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง ทุกคนก็จะเหนื่อยเปล่าไม่ได้ ถึงอย่างไรก็อกสั่นหวาดกลัวไปด้วยกัน ต่อให้ไม่มีผลงานแต่ก็มีความลำบาก เจ้าไปแบ่งสรรตามสมควรสักหน่อย”

น่าอับอาย! นี่ไม่ได้มองว่าตนเป็นของนอกจริงๆ เหรอ ไม่น่าเชื่อว่าจะเปิดเผยกับเขาว่าจะฮุบของหลวงเอาไว้ส่วนตัว! เหมียวอี้ที่กำลังหอบดอกไม้ถามหยั่งเชิงว่า “ถ้าข่าวนี้หลุดไปจะมีปัญหาหรือเปล่าขอรับ?”

“เอ๋! ผู้บัญชาการใหญ่ที่ตัดสินใจสั่งฆ่าได้อย่างไม่ลังเลคนนั้นไปไหนเสียแล้วล่ะ? เจ้าเป็นคนใจกล้ามากไม่ใช่เหรอ? ทำไมความกล้าเล็กลงเท่าหนูอีกแล้วล่ะ?” ปี้เยว่ฮูหยินพูดหยอก หันกลับมามองเขาแวบหนึ่ง แล้วพูดเสียงต่ำว่า “เดี๋ยวกลับไปประกาศผลการลงโทษสักหน่อย คนที่ฉลาดล้วนรู้ถึงเจตนาของราชันสวรรค์ เจ้าของที่ได้รับความเสียหายอยู่เบื้องหลัง ยังมีใครกล้าสืบสาวหรอกว่าตำหนักสวรรค์ริบของไปเท่าไร ถึงอย่างไรของก็ไม่ใช่ของพวกเขาแล้ว ภายนอกพวกเราทำอะไรร้านค้าไม่ได้ แต่จำนวนสินค้าในร้านคือสิ่งที่เรามีอำนาจตัดสินใจ พวกขวดพวกอ่างที่พังไปตอนที่ตรวจค้นและยึดของในร้านค้า ตอนที่พวกลูกน้องไปเก็บกวาดของพวกนั้นมา ถ้ามือเท้าจะไม่สะอาดจนเกิดความเสียหายบ้างก็เป็นเรื่องปกติ อาศัยอำนาจบารมีของราชันสวรรค์ ถ้าไม่ลงมือตอนโอกาสดีๆ แบบนี้ แล้วเมื่อไรจะได้ลงมือ? ครั้งก่อนที่โค่วเหวินหลานวางกับดักเซี่ยโห้วหลงเฉิงไปครึ่งหนึ่ง เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เหรอ? นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกหรอกมั้งที่พวกเจ้าทำเรื่องประเภทนี้?”

“…” เหมียวอี้ไอแห้งๆ แล้วตอบว่า “ข้าน้อยจะพยายามหาวิธีจัดการขอรับ”

“พยายามหาวิธีจัดการอะไรกัน นี่คือรางวัลที่มอบให้เจ้า ถ้าเจ้าไม่อยากได้ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน เดี๋ยวกลับไปอย่ามาว่าข้าไม่ยุติธรรมต่อเจ้านะ” ปี้เยว่ฮูหยินเล่นหูเล่นตายั่วยวน ดวงตาชุ่มฉ่ำเหมือนบ่อน้ำ แล้วก็เหมือนจงใจยืดหน้าอกขาวอวบอิ่มที่โผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง เสน่ห์ของความสุกงอมโตเต็มวัยช่างเย้ายวนใจจริงๆ เหมือนลูกท้อที่สุกเต็มที่ ทำให้คนที่เห็นอยากจะกัดสักคำ

เอาสิ! ไม่เอาก็แปลกแล้ว!

แต่ไม่ได้จะเอาดอกไม้สดที่อยู่ในมือ พอเหมียวอี้ออกจากตำหนักมา ก็ถือโอกาสยื่นดอกไม้ให้ทหารยามที่เฝ้าประตูอีก

สายตาของผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างยั่วยวน แฝงความหมายลึกซึ้ง! กอปรกับชอบส่งดอกไม้ให้เขาบ่อยๆ รู้สึกว่านางกำลังบอกความนัยบางอย่างกับเขา…แต่เขาไม่อยากกลายเป็นเหมือนมู่หรงซิงหัวกับหยางไท่ จุดจบของสองคนนั้นก็มีให้เห็นเป็นบทเรียนแล้ว ต้องใช้ความกล้าขนาดไหนกัน ถึงจะไปสวมเขาให้ท่านโหวได้!

พอกลับมาถึงจวนขุนนาง เหมียวอี้ก็จัดการเรื่องนี้ทันที

ผ่านไปไม่นาน ร้านค้าร้อยอันดับแรกของสี่เขตเมืองก็ถูกสั่งเปิดแล้ว และติดประกาศเช่นกันว่า ให้มารับของที่ถูกยึดไว้คืนกลับไป

ส่วนร้านค้าสองร้อยกว่าร้านที่เกือบถูกฆ่าตายหมด สินค้าครึ่งหนึ่งของร้านให้ริบเป็นของหลวง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือกก็จัดการตาม ‘ธรรมเนียมของบุคคลในอาชีพเดียวกัน’ หั่นแบ่งไปมอบให้ปี้เยว่ฮูหยินครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งผู้บัญชาการใหญ่อย่างเหมียวอี้ก็เก็บไว้ ที่เหลือก็ให้กำลังระดับล่างไปแบ่งกันตามธรรมเนียม แต่ละคนล้วนมีส่วนแบ่ง แต่จะได้มากได้น้อยก็ขึ้นอยู่กับระดับยศเท่านั้นเอง

ทรัพย์สินของร้านค้ายี่สิบกว่าร้านตกอยู่ในมือของเหมียวอี้แล้ว ไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ เลย นี่ไม่ใช่ร้านค้าเล็กๆ ทั่วไปของตลาดสวรรค์ด้วย ล้วนเป็นร้านของตระกูลผู้มีอิทธิพลของตำหนักสวรรค์ แน่นอน ปี้เยว่ฮูหยินได้ของส่วนใหญ่ไป เป็นทรัพย์สินของร้านค้าห้าสิบกว่าร้านเชียวนะ

ใครๆ ก็บอกว่าตลาดสวรรค์เป็นแหล่งที่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ พูดจริงไม่ได้หลอก!

ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆา เหมียวอี้ทุ่มผลการเก็บเกี่ยวก้อนใหญ่ลงตรงหน้าอวิ๋นจือชิว หลังจากนางตรวจนับแล้ว ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

ร่ำรวยใหญ่แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เห็นสีหน้าปลาบปลื้มดีใจของนางเหมือนก่อนหน้านี้เลย

“เป็นอะไรไป? ยังโกรธข้าอยู่อีกเหรอ?” เหมียวอี้ที่นั่งตรงข้ามโต๊ะม้าหินถามอย่างแปลกใจ

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “ที่แท้ทุกอย่างก็เป็นเจตนาของปี้เยว่ฮูหยิน ทำเอาข้าหวาดกลัวไปเปล่าๆ โดยใช่เหตุ ทำให้ข้าส่งตัวหวนหวนกับหลางหลางไปแล้ว”

เหมียวอี้เบิกตากว้าง “เจตนาของนาง? ถุยสิ! นางมาชุบมือเปิบมากกว่า…” เขาเล่าเรื่องที่ปี้เยว่ฮูหยินแย่งผลงานและเอาส่วนแบ่งจำนวนมากไปให้ฟังทันที

ใครจะคิดว่าหลังจากอวิ๋นจือชิวฟังจบแล้วจะเงียบยิ่งกว่าเดิม เรื่องมาถึงป่านนี้แล้ว นางเองก็พอจะรู้ถึงที่พึ่งที่ทำให้เหมียวอี้ทำอย่างนั้นในตอนแรก นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเหมียวอี้จะมีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและมีความคิดเป็นของตัวเองมากขนาดนั้น! นางถอนหายใจเบาๆ แล้วถามว่า “ทำไมเจ้าไม่บอกข้าตั้งแต่แรก?”

เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ถ้าข้าบอกเจ้าตั้งแต่แรก เจ้าได้อนุญาตเหรอ? เจ้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางแน่นอน ถ้าเจ้าคิดหาวิธีการทุกอย่างจนลำบาก เกรงว่าต่อให้ข้าจะไม่อยากจะเชื่อฟังก็ต้องเชื่อฟัง อวิ๋นจือชิว ที่จริงแล้ว ข้ารู้สึกว่าเจ้า…” คำพูดตอนท้ายเหมือนจะพูดไม่ค่อยออก

อวิ๋นจือชิวกะพริบตา เหมือนจะมองออกว่าเขามีคำพูดที่จริงใจจะบอก จึงลุกขึ้นเดินไปข้างหลังเขา หมอบตรงบ่าเขาจากข้างหลัง แล้วพ่นลมหายใจที่หอมสดชื่นข้างหู “เจ้ารู้สึกว่าข้าเป็นยังไง?”

หลังจากเหมียวอี้ลังเลอีกครั้ง ก็ยังถามไปว่า “หรือเป็นเพราะเจ้ากับข้ามีพื้นเพชาติกำเนิดแตกต่างกัน ในจิตใต้สำนึกของเจ้ากำลังรู้สึกว่าในบางด้านของข้าไม่น่าโอ้อวด?”

อวิ๋นจือชิวตกใจทันที นี่กำลังจะบอกว่านางดูถูกเขางั้นเหรอ?

นางรีบจับให้เขาหันตัวมา ใช้มือรวบกระโปรงตรงบั้นท้ายแล้วนั่งลงบนตักของเขา ใช้สองมือกอบใบหน้าเขา พร้อมกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “หนิวเอ้อร์ ทำไมเจ้าถึงมีความคิดแบบนี้ได้? เขาว่ากันว่าแต่งกับไห่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข ในเมื่อข้าแต่งงานกับเจ้าแล้ว ข้าก็เป็นคนของเจ้า จะรู้สึกว่าเจ้าไม่น่าโอ้อวดได้อย่างไร? ถ้ามีความคิดแบบนี้จริงๆ ข้าคงไม่แต่งงานกับเจ้าหรอก ภูมิลังชาติกำเนิดสำคัญอะไร พวกกษัตริย์และขุนนางเหล่านั้นไม่ได้เป็นเมล็ดพันธุ์จากสวรรค์หรอก หกปราชญ์ไม่ได้เกิดมาแล้วเป็นหกปราชญ์เลยเสียเมื่อไร ผู้ชายของข้าทำอะไรเด็ดขาดมาตลอด มาสนใจเรื่องภูมิหลังชาติกำเนิดตั้งแต่เมื่อไร?”

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “ไม่รู้สิ แค่มีความรู้สึกแบบนี้ เริ่มตั้งแต่ตอนที่เจ้าบังคับให้ข้าคัดอักษร จนถึงตอนที่เจ้าตำหนิอะไรบางอย่างในตัวข้า เจ้ามักจะคัดค้านข้าตลอด เจ้าไปดูเมียบ้านอื่นสิ มีสักกี่คนที่จะเหมือนเจ้า”

“เอ๋!” อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้ว แสดงความไม่สบอารมณ์ออกมาบนใบหน้าโดยตรง ยังนึกว่าเรื่องอะไรที่ทำให้เขาเกิดความคิดที่ทำให้นางไม่สบายใจแบบนี้ นางจึงแสยะยิ้มแล้วบอกว่า “คัดค้านเจ้าแล้วจะทำไม? ก็ข้าเต็มใจ ตราบใดที่ข้าคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อตัวเจ้า ข้าก็ยังจะคัดค้านเจ้าอยู่ดี ไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ อย่างไรเสียข้าก็เต็มใจ รู้สึกว่าเมียของบ้านอื่นดีล่ะสิ! ขอโทษด้วยนะ ข้าอวิ๋นจือชิวไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนโยนว่าง่ายขนาดนั้น ตอนนี้เป็นยังไง ต่อไปก็จะเป็นอย่างนั้น อะไรที่ควรบอกควรคุมก็จะทำเหมือนเดิม”


1085


บทที่ 1086 มารดาเจ้าเถอะ!

 

“เหมียวอี้พูดไม่ออก ยังนึกว่าจะสามารถทำให้นางซาบซึ้งสักหน่อย สงสัยจะพูดไปโดยไม่ได้อะไร!

นึกถึงในปีนั้น! เขารู้ถึงนิสัยประหลาดของผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่ตอนอยู่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุแล้ว เอะอะอะไรก็ใช้เท้าเตะ

ไม่ใช่สิ น่าจะเป็นที่วัดเมี่ยวฝ่าตอนที่เขาเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์ ตอนนั้นก็ได้รับรู้แล้ว ตอนนั้นนางปั่นหัวเขายับเยิน

แต่พรหมลิขิตเป็นสิ่งที่พูดให้ชัดเจนได้ยากจริงๆ บางทีอาจจะถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ตอนที่เขากอดนางที่วัดเมี่ยวฝ่าในปีนั้นแล้ว การกอดนั้นได้ตีตราความรู้สึกเอาไว้ในใจ เขาไม่รู้ว่าการกอดครั้งนั้นได้ทิ้งอะไรไว้ให้อวิ๋นจือชิวเหมือนกันหรือเปล่า อาจจะกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้นางยอมรับเขาก็ได้ อย่างไรเสียถึงแม้จะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เจ้าอารมณ์ แต่เขาก็ยังปีนขึ้นเตียงนางอยู่ดี

ตอนนี้พอนึกย้อนกลับไป นี่ไม่ใช่การแส่หาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ เจอกับผู้หญิงแบบนี้นับว่าตัวเองดวงซวย!

ยังไม่จบแค่นั้น อวิ๋นจือชิวดึงหูเขามาบิดเสียเลย “ถ้าเจ้าไม่พูดถึงเรื่องคัดตัวอักษร ข้าก็แทบจะลืมไปแล้ว ตอนนี้อยู่ห่างกันนานๆ ข้าก็ควบคุมเจ้าไม่ได้ พอผู้บัญชาการหนิวไม่สบอารมณ์ขึ้นมา แม้แต่ประตูบ้านเจ้าข้าก็เข้าไปไม่ได้ ช่างน่าเกรงขามนักนะ! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เก็บเรื่องคัดอักษรขึ้นมาอีกครั้ง ต่อไปนี้เอามาให้ข้าตรวจทุกวัน!”

นี่ไม่ใช่การแกว่งเท้าหาเสี้ยนหรอกเหรอ ทำไมโยงไปถึงเรื่องคัดอักษรได้ล่ะ! เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ แล้วถือโอกาสยื่นมือไปลูบไล้ภูเขาสองลูกของนาง ดีดเด้งจนน่าทึ่ง สัมผัสมือช่างดีจริงๆ ยังจะมีกะจิตกะใจมาพูดมากอะไรอีก “เอ่อคือ วันนี้ไม่พูดเรื่องคัดอักษรแล้ว!” พูดจบก็อุ้มนางขึ้นมาเสียเลย แล้วเดินก้าวยาวไปที่ห้อง

“รู้สึกว่าเมียคนอื่นดีกว่าไม่ใช่เหรอ? อุ้มข้าแล้วฝืนใจขนาดไหน ปล่อยข้านะ!” อวิ๋นจือชิวดิ้นรนขัดขืน

สองหูของเหมียวอี้โดนบิดจนแทบหลุด เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน แต่ต่อให้ตีให้ตายเขาก็ไม่ยอมปล่อย

ช่วงนี้มีความกดดันสูงมาก อยากจะหาคนมาระบายอารมณ์อยู่ตลอด แต่น่าเสียดายที่ไม่เจอเป้าหมายที่เหมาะสม ทำเอาเรือนร่างที่สุกงมเย้ายวนของปี้เยว่ฮูหยินโผล่เข้ามาในหัวหลายครั้ง ตนมีหญิงงามยั่วราคะอยู่ในมือ เรือนร่างนั้นร้อนแรงยิ่งกว่าปี้เยว่ฮูหยิน ที่บอกว่าเคยฝึกระบำมารสวรรค์มาก่อนไม่ใช่เรื่องโกหก มีผลทำให้เกิดเสน่ห์ดึงดูดจากภายใน กอปรกับทั้งสองฝ่ายเป็นสามีภรรยากันอย่างเป็นทางการ หากจะเสพสุขก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามธรรมชาติ ในเมื่อมาแล้วจะไม่ผ่อนคลายสักหน่อยได้อย่างไร วันนี้ไม่เมาไม่เลิก!

“ไอ้เวรนี่! กล้าไม่อ่อนโยนกับข้าเหรอ ข้าจะสู้กับเจ้า…ไอ้บ้า เสื้อผ้าที่ข้าซื้อมาใหม่…”

ในห้องมีเสียงฉีดเสื้อผ้าดังมาพักหนึ่ง ตามด้วยเสียงร้องวี้ดว้ายของอวิ๋นจือชิว

ตอนนี้เหมียวอี้วรยุทธ์สูงกว่านางแล้ว ไปเทียบกับตอนแรกไม่ได้ ตอนนี้เรื่องบางอย่างนางทำตามใจตัวเองไม่ได้ ขัดขืนไปก็ไร้ประโยชน์…

คลื่นลมที่ตลาดสวรรค์จบลงแล้ว ผลที่ตามมาหลังจากเด็ดศีรษะไปหลายพัน ก็คือไม่มีใครกล้าอยากได้ตำแหน่งผู้บัญชาการของสี่เขตเมืองอีก ถ้าทำแบบนั้นอีก ก็ชัดเจนว่ากำลังตั้งตัวเป็นศัตรูกับตลาดสวรรค์ ราชันสวรรค์ไม่ได้ใจดีเหมือนพระโพธิสัตว์นะ

เฉาว่านเสียงที่อยู่น่านฟ้าชวดอี้โลง่ใจแล้ว เขาตกใจแทบตาย สงสัยตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องจะไม่มีอะไรเกี่ยวกับเขาเลย ในเมื่อเฉาว่านเสียงไม่เป็นอะไร มู่หรงซิงหัวก็ย่อมไม่เป็นอะไรเช่นกัน นางเองก็โล่งใจตามไปด้วย

เวลาไม่มีงานอะไร บางครั้งสวีถังหรานก็จะเดินเอามือไขว้หลังวางมาดอยู่บนถนน โดยมีเขี้ยวเล็บที่โอ้อวดแสนยานุภาพติดตามอยู่ข้างหลังกลุ่มหนึ่ง

ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องกลัวร้านค้าที่มีคนหนุนหลังใหญ่โตพวกนั้นอีกแล้ว ที่เขตเมืองตะวันตกนี้เขามีอำนาจตัดสินใจอย่างแท้จริง ไม่มีผู้จัดการร้านคนไหนที่เจอเขาแล้วจะไม่สุภาพเกรงใจ

เขาคิดเองเออเองว่า ตั้งแต่ที่เขาติดตามเหมียวอี้ไปทำเรื่องน่าไม่อาย เขาก็ได้กลายเป็นลูกน้องคนสนิทของผู้บัญชาการใหญ่แล้ว รู้สึกว่าตัวเองได้นั่งตำแหน่งนี้อย่างมั่นคงแล้ว เรียกได้ว่าอารมณ์ผ่อนคลายมาก ความรู้สึกยามได้เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของเขตเมืองตะวันตกช่างดีจริงๆ รายได้ไม่น้อยกว่าการได้ไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่อื่นเลย

ส่วนปี้เยว่ฮูหยินก็ได้รับคำชี้แนะจากท่านโหวเทียนหยวน จึงเรียกเหมียวอี้เข้าตำหนักอีก เจ้าของที่อยู่เบื้องหลังร้านค้าสองร้อยกว่าร้านที่ถูกสั่งปิดอยากจะออกเงินซื้อร้านกลับคืนมาอีก ให้เหมียวอี้อนุโลมผ่อนผัน อย่าต่อต้านอีกเลย

ปี้เยว่ฮูหยินในตอนนี้ เรียกได้ว่าเวลามีเรื่องอะไรก็จะปรึกษากับเหมียวอี้ดีๆ ต้องสื่อสารให้เหมาะสมเรียบร้อย ไม่อย่างนั้นนางกลัวว่าเหมียวอี้จะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก กอปรกับได้รับคำชี้แนะจากท่านโหวเทียนหยวน ให้นางให้ความสำคัญเหมียวอี้ ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้องคู่นี้จึงค่อนข้างปรองดอง ให้ความรู้สึกเหมือน ‘ผิดที่เราเจอกันช้าไป’

เหมียวอี้เองก็ไม่ใช่คนที่อ่านสถานการณ์ไม่ออก รู้ว่าถ้าทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเกินไปจะไม่เป็นผลดีกับตัวเอง ย่อมต้องปฏิบัติตามคำพูดของปี้เยว่ฮูหยินอยู่แล้ว

ก็เป็นอย่างนั้น ร้านค้าสองร้อยกว่าร้านที่โดนค้นและยึดทรัพย์กลับคืนสู่มือเจ้าของคนเดิมอีกครั้ง อ้อมไปรอบหนึ่งก็ยังวนกลับมาสภาพเดิม เจ้าของร้านคนเดิมแค่เสียทรัพย์สินจำนวนหนึ่งกับข้าทาสไปหลายพันคนเท่านั้นเอง คนที่ตายไปก็ตายเปล่า เป็นเพียงเครื่องสังเวยในการต่อสู้ ตัวละครเล็กๆ ไม่ส่งผลกับคนระดับบน จะลำบากทำตัวเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือไปทำไม!

คลื่นลมก็สงบลงไปแบบนี้ บางครั้งที่เหมียวอี้บังเอิญเจอหวงฝู่จวินโหรวแล้วโดนอีกฝ่ายมองด้วยสายตาอยากจะจับกินทั้งเป็น นอกนั้นที่ตลาดสวรรค์ก็ไม่มีเรื่องอะไรอย่างอื่นแล้ว

รอไปได้สองสามเดือน เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้สงบลงอย่างถึงที่สุดแล้ว เหมียวอี้ก็ตัดสินใจจะกลับพิภพเล็กล่วงหน้า

นี่คือคำแนะนำของอวิ๋นจือชิว รู้สึกว่าถ้าเขากลับไปพร้อมพวกฝูชิง ถ้าปรากฏตัวที่พิภพเล็กพร้อมกันจะทำให้คนสงสัยได้ง่าย แยกกันกลับจะดีกว่า จึงให้เขากลับไปก่อน ส่วนฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ค่อยกลับไปพร้อมนางตอนส่งส่วยประจำปี ถึงอย่างไรนางก็เอ่ยปากให้ทั้งสองเข้ากระเป๋าสัตว์ได้สะดวกกว่า

เหมียวอี้ไปหาปี้เยว่ฮูหยินเพื่อขอลาพักไปทัศนาจร ทั้งสองกำลังอยู่ในช่วงปรองดองกัน ปี้เยว่ฮูหยินย่อมไม่มีอะไรที่คุยยาก อนุญาตแล้ว!

จากนั้น หลังจากเหมียวอี้ปลอมตัวแล้ว ก็พาเป่าเหลียนออกจากตลาดสวรรค์ด้วยกัน เขารับปากไว้แล้วว่าถ้ามีเวลาว่างจะไปหาเจ้าสำนักอวี้หลิง และมีเรื่องจะขอคำชี้แนะจากอวี้หลิงเจินเหรินด้วย

เมื่อกลับมาที่สำนักลมปราณอีกครั้ง สำนักลมปราณที่มีการรื้อซ่อมแซมตามปกติยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่คนไม่เหมือนเดิมแล้ว

เหมียวอี้ที่กลับมาอีกครั้งมีสิทธิ์นั่งเสมอกับอวี้หลิงเจินเหรินและถึงขั้นถูกยกย่องให้เป็นแขกผู้มีเกียรติ เขาพบว่าลูกศิษย์ส่วนใหญ่ของสำนักลมปราณเป็นคนที่เขาไม่รู้จักแล้ว

ทิวทัศน์ตามแนวเทือกเขารอบๆ ไม่เลวเลย เขาเดินเล่นช้าๆ กับอวี้หลิงเจินเหรินอยู่ในสำนักลมปราณ กำลังคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ อวี้หลิงเจินเหรินค่อนข้างทอดถอนใจ บางครั้งก็หันกลับไปมองเป่าเหลียนที่เดินตามหลังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเป็นระยะ

เขาเฝ้ามองหลานสาวตัวเองเติบโตมาตลอด มีหรือที่จะไม่เข้าใจ เขามองออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเหมียวอี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้ไม่ถูกใจหลานสาวตนหรือว่าอย่างไร

จากข่าวที่เป่าเหลียนส่งกลับมา ยังไม่เคยเห็นเหมียวอี้มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนไหนเลย เขาแปลกใจนิดหน่อย คนที่ยังหนุ่มยังแน่นจะไม่สนใจผู้หญิงได้อย่างไร โดยเฉพาะคนที่กุมอำนาจมากมายไว้ในมือแบบนี้ ต้องไม่ขาดผู้หญิงสิถึงจะถูก ถ้าไม่เคยแตะต้องผู้หญิงเลยก็อาจจะผิดแปลกธรรมชาติเกินไปแล้ว

ที่จริงแล้ว นี่ก็คือสิ่งที่คนมากมายที่ตลาดสวรรค์แอบเคลือบแคลงอยู่ในใจ ต่างก็สงสัยว่าเหมียวอี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า

แต่สำหรับอวี้หลิงเจินเหริน นี่คือเรื่องดี คนที่รักษาตัวเองให้บริสุทธิ์แบบนี้ คือตัวเลือกที่เหมาะสมที่จะเป็นหลานเขยของตน

เขาถึงได้ตัดสินใจเปิดเผยตรงๆ ขณะที่คุยกันก็ถามว่า “ตอนนี้ผู้บัญชาการใหญ่ก็นับว่าประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง เคยคิดถึงเรื่องแต่งงานบ้างหรือเปล่า?”

ในป่าไผ่เขียวชอุ่ม เหมียวอี้ที่เหยียบขึ้นบนเรือนไม้ไผ่และกำลังนึกถึงวันเก่าๆ พอได้ยินแล้วชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ก็คิดวางแผนอยู่เหมือนกันขอรับ คาดว่าเจินเหรินคงจะได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับข้ามาเหมือนกัน ข้าถูกใจเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆาของตลาดสวรรค์ แต่จนใจที่ดอกไม้อันเลื่องชื่อมีเจ้าของแล้ว”

อวี้หลิงเจินเหรินส่ายหน้า “ผู้บัญชาการใหญ่ ข้าขอพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดก็แล้วกันนะ ผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ถ้าพัวพันกับนางต่อไป จะไม่ดีต่อชื่อเสียงของผู้บัญชาการใหญ่ ควรเลือกคู่ใหม่”

เรื่องนี้เหมียวอี้คิดไปคิดมาก็รู้สึกขำ ถามเหมือนสนใจว่า “อย่าบอกนะว่าเจินเหรินจะเป็นพ่อสื่อให้ข้า?”

อวี้หลิงเจินเหรินเอามือลูบเครา พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้บัญชาการใหญ่รู้สึกว่าเป่าเหลียนเป็นอย่างไร?”

เป่าเหลียนที่เดินตามหลัง เมื่อได้ยินคำถามนี้ก็ลนลานทันที เรียกได้ว่าทำอะไรไม่ถูก

“เหมียวอี้งุนงงนิดหน่อย ชายชราผู้นี้ช่างวางใจจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะฝากฝังหลานสาวให้ข้าได้ลงคอ แต่เขาก็ตอบพร้อมรอยยิ้มทันที “”เจินเหรินพูดแบบนี้ทำให้เป่าเหลียนอึดอัดแล้ว เรื่องแบบนี้ เจินเหรินควรจะถามเป่าเหลียนสักหน่อยนะว่าตกลงหรือไม่ตกลง””

อวี้หลิงเจินเหรินหัวเราะลั่นทันที “ขอเพียงผู้บัญชาการใหญ่ตกลง เรื่องเป็นคนกลางติดต่อเป่าเหลียนก็ส่งให้ตาแก่คนนี้เถอะ”

ตาเฒ่าผู้นี้…เหมียวอี้ถูกทำให้พูดไม่ออกแล้ว ตอบตกลงเหรอ…ประเด็นสำคัญคือเป็นไปไม่ได้ที่จะตอบตกลง ต่อให้ตัวเองยินดีจะรับไว้ แต่เป่าเหลียนก็จะได้เป็นอนุภรรยา เลี้ยงดูอนุภรรยาเพิ่มสักคนก็ใช่ว่าตนจะเลี้ยงไม่ไหว แต่เกรงว่าอวี้หลิงเจินเหรินจะไม่เต็มใจ แต่ถ้าไม่ตอบตกลง จะทำให้เป่าเหลียนที่อยู่ตรงนี้ด้วยทนความรู้สึกได้อย่างไร

ทำเอาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นึกถึงปีนั้นที่ตัวเองยังยากจน ไปสู่ขอเมียถึงประตูบ้านก็ยังโดนดูถูกเหยียดหยาม ตอนนี้พอมีฐานะตำแหน่งขึ้นมาบ้าง ก็เรียกได้ว่ามีผู้หญิงมาหาถึงที่ไม่หยุดหย่อน ตอนที่อยู่ตลาดสวรรค์ ก็มีลูกน้องช่วยเชื่อมสัมพันธ์อยู่เสมอ บอกว่าลูกสาวบ้านไหนหน้าตาอย่างไรสวยอย่างไร คุณสมบัติประจำตัวเป็นอย่างไร ทรัพย์สินในบ้านก็อุดมสมบูรณ์ พ่อแม่ของอีกฝ่ายพูดประมาณว่ายินดีจะยกลูกสาวให้แต่งงานด้วยถ้าเขาตอบตกลง

เหมียวอี้เกาศีรษะ แล้วประกาศตรงๆ อย่างจริงใจว่า “เจินเหริน เรื่องนี้ข้าไม่ถือสาที่จะเปิดเผยให้ท่านรู้ ที่จริงข้ามีภรรยาแล้ว”

เขาพูดสิ่งนี้ให้อวี้หลิงเจินเหรินฟัง และพูดให้เป่าเหลียนฟังด้วย จะได้ไม่ทำให้เจ้าตัวหาทางลงไม่ได้

เป่าเหลียนที่กำลังมีสีหน้าอับอาย พอได้ยินแบบนี้ก็หน้าซีดทันที พลันเงยหน้าขึ้นมาแล้ว

อวี้หลิงเจินเหรินชะงักไป “ท่านจะไปมีภรรยาจากไหน ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย? อย่าบอกนะว่าจงใจหาข้ออ้างเพื่อปฏิเสธ? ผู้บัญชาการใหญ่ ถ้าไม่ชอบเป่าเหลียนก็บอกมาตรงๆ ได้ ตาแก่คนนี้ไม่ถึงขั้นโมโหผู้บัญชาการใหญ่เพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรอก” ที่จริงในน้ำเสียงก็เจือด้วยความโมโหเล็กน้อย ต่อให้เจ้าไม่ชอบ แต่ก็ไม่ต้องใช้คำพูดประเภทนี้มาขายผ้าเอาหน้ารอดก็ได้หรอกมั้ง?

เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ที่จริงตอนแรกหลังจากร้านขายของชำซื่อตรงขยายร้าน ครั้งนั้นที่ข้าจากไปข้าก็ได้พบคนตามวาสนาแล้ว จึงตัดสินใจอยู่ร่วมกัน เดิมทีก็อยากจะประกาศให้รู้ แต่ข้าเป็นศัตรูกับปีศาจโลหิต กลัวภรรยาตัวเองจะโดนปีศาจโลหิตทำอันตราย ถึงได้ปิดเป็นความลับมาตลอด เรื่องราวในตอนหลังท่านเองก็รู้ ข้าโดนกดดันจนหมดหนทาง ถึงได้เข้าตำหนักสวรรค์ การแข่งขันในตำหนักสวรรค์ ต่อให้ข้าไม่พูดแต่เจินเหรินก็น่าจะทราบ เป็นเพราะข้าไม่อยากให้ภรรยาตัวเองพลอยลำบากไปด้วย ถึงได้เก็บเป็นความลับต่อไป และเพื่อที่จะปฏิเสธการแนะนำจากคนอื่นอย่างอ้อมๆ เลยทำได้เพียงใช้เถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆามาเป็นข้ออ้างเพื่อปิดบัง เจินเหรินไม่ต้องห่วง ขอเพียงมีโอกาสเหมาะสม ข้าจะพาภรรยามาพบเจินเหรินแน่นอน ถึงตอนนั้นเจินเหรินก็จะได้รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้โกหก เพียงแต่ก่อนจะถึงตอนนั้น เจินเหรินได้โปรดรักษาความลับเพื่อข้าด้วย ก็อย่างที่บอก ข้าไม่อยากให้วังวนความขัดแย้งของตัวเองมาทำให้ภรรยาลำบากไปด้วย ข้าแค่อยากให้นางใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”

“แบบนี้…ภรรยาได้รับการปกป้องจากผู้บัญชาการใหญ่ขนาดนี้ แสดงว่าเป็นความรักที่แท้จริงจากผู้บัญชาการใหญ่!” อวี้หลิงเจินเหรินหันกลับไปมองเป่าเหลียนที่กัดริมฝีปากเงียบๆ แวบหนึ่ง แล้วยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “สงสัยเป่าเหลียนของเราจะไม่มีวาสนานั้น!

“เจินเหรินกล่าวเกินไปแล้ว ผู้ชายดีๆ ในโลกนี้มีตั้งเยอะ คนที่ดีกว่าข้ามีเยอะเหมือนปลาในแม่น้ำ และหนิวโหย่วเต๋อคนนี้ก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษคนดีอะไร ไม่คู่ควรกับเป่าเหลียนหรอก””เหมียวอี้กุมหมัดขออภัย ไม่สะดวกจะพูดคุยประเด็นที่น่าอึดอัดต่อไป จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “เจินเหริน การมาเยี่ยมสหายเก่าคือหนึ่งในจุดประสงค์ของข้า จุดประสงค์รองคืออยากจะขอคำชี้แนะจากเจินเหรินสักเรื่อง”

“อวี้หลิงเจินเหรินแอบถอนหายใจ แล้วก็เปลี่ยนใบหน้าเป็นยิ้มแย้ม “ว่ามาได้เลย”

“ขอบังอาจถามว่าเจินเหรินเคยได้ยินชื่อ ‘อสุราอัคนี’ หรือเปล่า?” เหมียวอี้ถาม

“อสุราอัคนี?” อวี้หลิงเจินเหรินอึ้งไปชั่วขณะ หลังจากลูบเคราครุ่นคิดไปพักหนึ่ง ก็กล่าวอย่างลังเลว่า “เคยได้ยินท่านอาจารย์เอ่ยถึงบุคคลนี้นะ ตอนนั้นยังไม่มีการตั้งตำหนักสวรรค์ ยังเปป็นใต้หล้าของหกมหาราชัน นั่นเป็นบุคคลในอดีตที่นานมากแล้ว ตายไปนานแล้ว ท่านถามถึงเขาทำไมหรือ”

“ตายไปนานแค่ไหนแล้ว?” เหมียวอี้ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “เจินเหรินได้โปรดรักษาความลับให้ข้าด้วย ตอนที่เข้าร่มการทดสอบของตำหนักสวรรค์ มีคนบอกว่าข้าลงมือเหมือนกับอสุราอัคนี ข้าสงสัยว่าข้าได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากอสุราอัคนี เป็นไปได้สูงว่าอสุราอัคนีจะเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณที่อยู่ต่างยุคกับข้า ดังนั้นข้าจึงอยากจะทำควารู้จักคนคนนี้สักหน่อย”

“…” อวี้หลิงเจินเหรินอ้าปากค้าง ครั้งนี้ถูกทำให้ตกใจแล้วจริงๆ “อสุราอัคนีอยู่ในยุคที่หกมหาราชันยังไม่ได้สร้างระเบียบขึ้นมา และเป็นบุคคลสำคัญที่วางอำนาจบาตรใหญ่ไปทั่วเช่นกัน ท่านจะเป็นลูกศิษย์ต่างยุคของเขาได้อย่างไร? เอ๋…แต่ก็เหมือนจะมีความเป็นไปได้นี้จริงๆ นะ!”

เหมียวอี้ตาเป็นประกายทันที รีบถามว่า “ทำไมถึงคิดว่ามีความเป็นไปได้?”

อวี้หลิงเจินเหรินมองไปรอบๆ ก่อนจะอธิบายว่า “ข้าจำได้ว่าท่านอาจารย์เคยบอก ว่าอสุราอัคนีเคยสู้กับประมุขไป๋ที่ดาวไร้ลักษณ์ ตายด้วยน้ำมือประมุขไป๋ เป็นไปได้สูงว่าจะทิ้งสมบัติอะไรไว้ที่ดาวไร้ลักษณ์ ส่วนท่านก็เกิดที่ดาวไร้ลักษณ์ เก็บวัตถุที่ทำให้ฝึกตนด้วยตัวเองได้จากนักพรตนิรนาม ไม่รู้ว่าอาจารย์มาจากไหน…พอเปรียบเที่ยบกันแบบนี้แล้ว เกรงว่านี้คงจะไม่ใช่ความบังเอิญ การที่ท่านเป็นศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนี ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน! ถ้าเป็นความจริง เช่นนั้นท่านก็ได้รับโอกาสที่ทำให้คนอิจฉา! อสุราอัคนีเป็นบุคคลที่สามารถต่อสู้กับประมุขไป๋ได้เชียวนะ!”

มารดาเจ้าเถอะ! นั่นยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้! เหมียวอี้ลูบคาง ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่ถูก ตนเข้าใจดีกว่าใครว่านำเคล็ดวิชาฝึกตนของตัวเองมาจากไหน ไม่เกี่ยวข้องกับดาวไร้ลักษณ์เลย!


1086


บทที่ 1087 กลับพิภพเล็กอีกครั้ง

แปลกประหลาดอัศจรรย์จริงๆ แบบนี้ก็โยงมาเกี่ยวได้เหรอ!

แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกเหมือนเห็นผีก็คือ คำพูดของอวี้หลิงเจินเหรินสามารถเป็นพยานให้คำพูดของเกาก้วนได้จริงๆ และยิ่งพิสูจน์ว่าเหมียวอี้คือศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนี

ตอนไม่ถามก็ยังดีๆ อยู่ แต่ยิ่งถามก็ยิ่งสับสนเลอะเลือน แต่เหมียวอี้ก็ยังอยากพิสูจน์อีกสักหน่อย ถามว่า “ไม่ทราบว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของอสุราอัคนีคืออะไร?”

อวี้หลิงเจินเหรินส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าจะรู้ได้อย่างไร ยามปกตินอกจากเป็นเพราะคนในสำนักปากมากพูดไปเรื่อย คนทั่วไปก็ไม่มีใครเปิดเผยออกมาง่ายๆ ว่าตัวเองฝึกเคล็ดวชาอะไร ก็เหมือนทุกวันนี้ที่ข้ายังไม่รู้ว่าท่านฝึกเคล็ดวิชาอะไรนั่นแหละ ในปีนั้นอสุราอัคนีเป็นตัวละครที่ไปไหนมาไหนอย่างอิสระคนเดียว ไม่ยอมรับการควบคุมจากหกมหาราชัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าไปยั่วโมโหอะไรประมุขไป๋ โดนประมุขไป๋ไล่สังหารมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ที่จริงก่อนหน้านี้ประมุขไป๋ก็ยังไม่เป็นที่รู้จัก หลังจากสังหารอสุราอัคนีแล้วถึงได้มีชื่อเสียง”

เหมียวอี้ปาดเหงื่อเล็กน้อย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนประมุขไป๋ยังไม่โด่งดัง นั่นต้องเป็นเรื่องที่นานขนาดไหนกัน

จากนั้นก็ได้ยินอวี้หลิงเจินเหรินกล่าวกลั้วหัวเราะอีกว่า “ถ้าท่านเป็นศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนีจริงๆ จะว่าไปแล้วประมุขไป๋ก็เป็นศัตรูที่ฆ่าอาจารย์ท่านนะ ท่านได้รับวาสนาบุญคุณมาจากอสุราอัคนี ก็มีหน้าที่ต้องล้างแค้นให้อสุราอัคนีสิ!”

รู้ว่าเขากำลังล้อเล่น เหมียวอี้จึงกล่าวกลั้วหัวเราะเช่นกัน “ไม่จำเป็นต้องให้ข้าล้างแค้นแล้วล่ะ ได้ยินว่าประมุขไป๋ถูกประมุขชิงและประมุขพุทธะร่วมมือกันกำจัดทิ้งแล้วนี่?”

อวี้หลิงเจินเหรินได้ยินแล้วลังเลครู่หนึ่ง เหมือนมีความลับอะไรที่ยากจะเอ่ยออกมา

เหมียวอี้เห็นแบบนี้แล้วอดแปลกใจไม่ได้ “เจินเหริน เหตุใดจึงอึกอักอย่างนั้นล่ะ?”

อวี้หลิงเจินเหรินพลันกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้ากับพระอาจารย์แสงทองที่เป็นราชครูแคว้นต้าเยี่ยนมีความสนิทสนมกันอยู่บ้าง มีครั้งหนึ่งที่ไปเยี่ยมคารวะและแข่งหมากล้อมกัน พวกเราก็พูดคุยกันไปเรื่อย บางครั้งก็เคยได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องประมุขไป๋ เหมือนประมุขไป๋จะยังไม่ตาย แต่ถูกกดอัดไว้ใต้เจดีย์สยบปีศาจที่ภูเขาเขาหลิงซาน”

ภูเขาเขาหลิงซานเหมียวอี้ก็รู้จัก ในแดนฝึกตนมีใครบ้างที่ไม่รู้จักภูเขาเขาหลิงซาน นั่นคือที่ฝึกตนของประมุขพุทธะที่แดนสุขาวดี แคว้นต้าเยี่ยนเหมียวอี้ก็รู้จัก ตอนที่เขามาที่ดาวไร้ลักษณ์ครั้งแรก ก็ได้คบค้ากับคนของแคว้นต้าเยี่ยนแล้ว สำนักลมปราณก็อยู่ในอาณาเขตของแคว้นต้าเยี่ยนเช่นกัน เพียงแต่คนที่ชื่อพระอาจารย์แสงทองคือใคร เขากลับไม่เคยได้ยิน ได้ยินว่าฝ่าฮ่าวกับสงเวยก็มีลูกน้องชื่อนี้เหมือนกัน

เขาอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ “ประมุขไป๋ยังไม่ตายเหรอ? ข้าได้ยินว่าประมุขพุทธะกับประมุขชิงค่อนข้างระแวงประมุขไป๋ ทั้งสองจะปล่อยให้คนแบบนี้มีชีวิตรอดอยู่ได้อย่างไร? แล้วพระอาจารย์แสงทองนี่เป็นใครกัน คำพูดเชื่อถือได้หรือไม่?”

อวี้หลิงเจินเหรินยื่นมือเชิญ แล้วทั้งสองก็เหยียบพื้นที่เต็มไปด้วยใบไผ่ เดินเข้าไปในป่าภูเขาต่อ ขณะที่พูดก็กล่าวว่า “จะจริงหรือโกหกข้าเองก็ยืนยันไม่ได้ แต่พระอาจารย์แสงทองเป็นศิษย์พุทธะที่มาจากภูเขาเขาหลิงซาน จากคำพูดที่เขาบอก ไม่ใช่แค่ประมุขไป๋ที่ยังไม่ตาย ประมุขปีศาจก็ยังไม่ตายเช่นกัน เจดีย์สยบปีศาจนั่นสร้างขึ้นมาเพื่อสยบประมุขปีศาจ เพียงแต่ตอนลังถือโอกาสสยบประมุขไป๋ไปด้วยกันเลย”

เหมียวอี้ได้ฟังแล้วยังตกใจ “เก็บประมุขไป๋ไว้คนเดียวก็ถือว่าเป็นภัยแล้ว ประมุขพุทธะกับประมุขชิงจะเก็บประมุขปีศาจไว้อีกทำไม?”

อวี้หลิงเจินเหรินส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบด้วยแล้ว เดาว่าพระอาจารย์แสงทองคงรู้ความจริงที่ซ่อนอยู่ในนั้น เพียงแต่เขาไม่อยากบอก ข้าจึงไม่สะดวกจะถามมาก”

เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับประมุขพุทธะ พระอาจารย์แสงทองไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก็พอจะเข้าใจได้ “ข้าได้ยินว่าเดิมทีประมุขพุทธะ ประมุขชิง ประมุขไป๋และประมุขปีศาจมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีต่อกัน ตอนหลังประมุขไป๋กับประมุขปีศาจอยากจะครองใต้หล้าเพียงผู้เดียว ประมุขพุทธะกับประมุขชิงถึงต้องร่วมมือกันกำจัดสองคนนั้น ถ้าประมุขไป๋กับประมุขปีศาจยังไม่ตาย นี่ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน บางทีประมุขพุทธะกับประมุขชิงอาจจะเห็นแก่ไมตรีในปีนั้นก็ได้”

อวี้หลิงเจินเหรินที่เอามือไขว้หลังช้าๆ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เรื่องนี้ใครจะพูดได้ชัดเจนล่ะ ประมุขพุทธะ ประมุขชิงและประมุขไป๋เดิมทีเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน เห็นแก่ไมตรีเก่าก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่กับประมุขปีศาจเหมือนจะไม่ได้สนิทสนมกันสักเท่าไร ที่จริงตอนแรกก็ไม่ได้มีสี่มหาราชันอะไรเลย หลังจากประมุขพุทธะ ประมุขชิงและประมุขไป๋ร่วมมือกันกำจัดหกมหาราชัน เดิมทีใต้หล้าเป็นของพวกเขาสามคน ได้ยินว่าประมุขปีศาจคือผู้ที่ประมุขไป๋ดึงตัวเข้ามาตอนหลัง ตอนนี้ถึงได้มีสี่มหาราชัน มีบางคนบอกว่านี่ต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้นบุญคุณความแค้นของทั้งสี่คน ถึงอย่างไรก็มีตำนานเรื่องเล่าแตกต่างกันไป ถ้าไม่ใช่คนที่ผ่านเรื่องราวในปีนั้นมา ไม่ว่าใครก็พูดได้ไม่ชัดเจน”

จากนั้นก็หัวเราะแล้วบอกอีกว่า “เรื่องในอดีตนานมากแล้ว ต่อให้ประมุขไป๋ยังมีชีวิตอยู่แล้วอย่างไรล่ะ อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการใหญ่คิดจะล้างแค้นให้อสุราอัคนีจริงๆ?”

เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “ถ้าข้าเป็นศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนีจริงๆ อย่างมากก็จุดธุปบูชาเขาเยอะๆ หน่อย ขนาดในปีที่เขาเฟื่องฟูยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประมุขไป๋เลย ข้าจะนับว่าสำคัญอะไร จะมีคุณสมบัติอะไรไปประสมโรงด้วย เกรงว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เจดีย์สยบปีศาจนั่นด้วยซ้ำ”

ทั้งสองพูดคุยยิ้มแย้มกันไปตลอดทาง ส่วนเป่าเหลียนที่อยู่ข้างหลังก็ก้มหน้าเงียบๆ

เป็นเพราะนักพรตเต๋าเฒ่าอวี้หลิงเปิดเผยความจริงแล้ว เหมียวอี้รับปากไว้แล้วว่าจะพักอยู่ที่นี่หลายวัน แต่รู้สึกว่าถ้าให้เป่าเหลียนคอยรับใช้อีกจะอึดอัดนิดหน่อย ไม่สู้แยกกันให้สงบลงสักหน่อย เขาเลยปล่อยให้เป่าเหลียนหยุดพัก

อวี้หลิงเจินเหรินเองก็เข้าใจ จึงส่งคนคุ้นเคยมาดูแลรับใช้เหมียวอี้ เป่าหนิงและเป่าซิ่น ยังคงพักที่เรือนเล็กในป่าไผ่ผืนนี้

วันต่อมา เหมียวอี้ถือสุราไปเยี่ยมท่านนักพรตเต๋าเต๋อสือที่สวนสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ หรือท่านตาเหล่ที่คอยดูแลสวนสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง ในปีนั้นที่เหมียวอี้มาที่นี่ใหม่ๆ ก็มักจะมาอยู่กับท่านตาเหล่ที่นี่ ในเมื่อมาแล้วก็ต้องไปเยี่ยมสักหน่อย

คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นนักพรตเต๋าที่มอมแมมสกปรกอีกคนอยู่ในรังของท่านตาเหล่ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นนักพรตเต๋าเต๋อหมิงผู้ที่สร้างผลงานตอนเปิดร้านค้าแรกๆ และเป็นลูกชายของอวี้หลิงเจินเหริน พ่อของเป่าเหลียน ผู้จัดการร้านคนแรกของร้านขายของชำซื่อตรง ตอนหลังสมคบกับหวงฝู่จวินโหรวหมายจะปล้นอำนาจเจ้าสำนัก จึงถูกลดตำแหน่งมาอยู่ที่นี่

เรื่องราวประเภทหลอกลวงอาจารย์เป็นข้อห้ามร้ายแรงในสำนัก เหมียวอี้รู้ว่าทั้งชีวิตนี้เต๋อหมิงไม่มีทางลืมตาอ้าปากได้แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี อีกฝ่ายจะผิดหวังท้อใจจนกลายสภาพเป็นแบบนี้ เป็นขี้เมาที่สกปรกมอมแมมไปทั้งตัว ผมเผ้ายุ่งเหยิง จะเหลือสภาพของผู้จัดการร้านเต๋อหมิงที่จิตใจเร่าร้อนฮึกเหิมได้อย่างไรกัน แทบจะจำไม่ได้แล้ว

ท่านตาเหล่กลับตื่นเต้นดีใจ เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเหมียวอี้มา เพียงแต่ฐานะของทั้งสองไม่ค่อยเท่ากัน เขาไม่สะดวกจะไปเคาะประตูหาเหมียวอี้ ถึงอย่างไรก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยังเห็นตนอยู่ในสายตาหรือเปล่า นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะไม่ได้ดูถูกคนอื่นเพราะมีฐานะตำแหน่งสูงขึ้น ยังคิดถึงเขาอยู่ ยังรู้จักมาหาเขาเพื่อดื่มเหล้า

การดื่มสุราครั้งนี้ท่านตาเหล่ย่อมดื่มอย่างเบิกบานใจมากอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงบุญคุณความแค้นในอดีต ทั้งสามล้อมโต๊ะดื่มกันอย่างถึงอกถึงใจ

ขณะที่ดื่มสุรากันอย่างถึงอกถึงใจ ท่านตาเหล่ก็ชี้เหมียวอี้พร้อมตำหนิว่าในปีนั้นที่ปลูกสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์เหมียวอี้โง่ทึ่มขนาดไหน จากนั้นก็ทอดถอนใจอีก นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวเหมียวอี้จะกลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่คุมตลาดสวรรค์แล้ว จากทหารเลวคนหนึ่งกลายเป็นผู้มีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมาก แต่เขายังคงขุดดินอยู่ที่นี่

จะเห็นได้ว่าถึงแม้จิตใจของเขาจะสงบ แต่ก็รู้สึกไม่ยอมที่ต้องอยู่อย่างไร้ชื่อเสียงที่นี่ไปทั้งชีวิต

ทั้งสามดื่มสุรากันจนดึกดื่นพระจันทร์ขึ้นสูง เหมียวอี้ถึงได้ลุกขึ้นแล้วกล่าวอำลา

ตอนที่กำลังจะออกประตูไป จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกตามหลัง “หนิวโหย่วเต๋อ!”

เหมียวอี้หันกลับไปมอง เห็นเพียงเต๋อหมิงที่เมามายสกปรกมอมแมม จู่ๆ ก็มองเขาด้วยสายตาแจ่มชัดได้สติ “เรื่องของเจ้ากับเป่าเหลียน ข้าได้ยินพ่อข้าพูดถึงแล้ว ทำดีกับเป่าเหลียนหน่อย!”

เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นักพรตเฒ่าอวี้หลิงพูดอะไรไป? แต่เขาก็ยังพยักหน้า อาศัยความสัมพันธ์ของตนกับสำนักลมปราณ เขาจะไม่ปฏิบัติกับเป่าเหลียนอย่างขาดความยุติธรรม จากนั้นก็เดินออกจากประตูมาพร้อมกลิ่นสุราติดเต็มตัว

ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากสำนักลมปราณ พักอยู่ที่สำนักลมปราณไม่กี่วัน เหมียวอี้ก็กล่าวอำลาแล้ว ไม่ได้พาเป่าเหลียนไปด้วย ไม่สะดวกจะพาเป่าเหลียนกลับพิภพเล็ก ให้เป่าเหลียนอยู่ที่สำนักลมปราณ นัดกันแล้วว่าหลังจากเขากลับมาจากเที่ยวทัศนาจรค่อยพานางกลับตลาดสวรรค์ด้วยกัน…

แดนเซียน สายมะโรง ยอดเขาหยกนครหลวง ฉินเวยเวยที่เป็นตัวแทนอำนาจของท่านทูตกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะยาวและตรวจอ่านแผ่นหยกที่เบื้องล่างรายงานขึ้นมา หน้าตาดีงามดุจภาพวาดเจือด้วยความน่าเกรงขามอยู่หลายส่วน ว่ากันว่าที่อยู่เปลี่ยนนิสัย การบำรุงเปลี่ยนร่างกาย เมื่อครองตำแหน่งสูงมานาน ลักษณะท่าทางก็เปลี่ยนไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

หลังจากอนุมัติและตอบลงบนแผ่นหยกแล้ว ฉินเวยเวยก็ยื่นให้ “ส่งไปให้ผู้การใหญ่ดูหน่อย เผื่อมีอะไรไม่เหมาะสม”

“เจ้าค่ะ!” ลู่หลิ่วเพิ่งจะรับแผ่นหยกมาไว้ในมือ ฉินเวยเวยก็ขมวดคิ้วอีก จากนั้นก็ทำสีหน้าดีใจทันที พลิกมือหยิบระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง

เป็นข้อความจากเหมียวอี้ : ปากทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลสาบหยก บนเรือโหลวฉวนที่เรียบง่ายลำหนึ่ง เหมียวอี้อยู่ที่นี่ รอการมาเยือนของอนุภรรยาสุดที่รัก!

ฉินเวยเวยลุกพรวดอย่างตื่นเต้นดีใจ ก่อนหน้านี้เหมียวอี้ไม่ได้บอกอะไรนางเลย เรียกได้ว่าสร้างความตื่นเต้นประหลาดใจใหญ่โตมาก นางตอบกลับทันทีว่า : จะไปเดี๋ยวนี้!

นางเก็บระฆังดารา แล้วกล่าวพร้อมใบหน้าสดใสดุจฤดูใบไม้ผลิ “นายท่านกลับมาแล้ว! ลู่หลิ่วรีบไปเชิญผู้การใหญ่มาพบข้าเร็ว!”

หงเหมียน ลู่หลิ่วก็ทำสีหน้าตื่นเต้นยินดีเช่นกัน ท่านเขยผู้นั้นก็เหลวไหลเกินไปแล้ว ทิ้งคุณหนูไว้หลายปีขนาดนี้ ยังนึกว่าลืมคุณหนูไปแล้วเสียอีก ลู่หลิ่วย่อมรีบออกไปทำตามคำสั่ง

ผ่านไปครู่เดียว หยางชิ่งก็รีบร้อนมาหา แต่พอมาถึงหน้าประตูก็ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง แล้วกุมหมัดคารวะ “หยางชิ่งคำนับท่านผู้แทน!”

“ท่านพ่อ! เหมียวอี้กลับมาแล้วค่ะ กำลังรอข้าอยู่ที่ทะเลสาบหยก ข้าต้องส่งต่อที่นี่ให้ท่านดูแลแล้ว” ฉินเวยเวยรีบร้อนพูดทิ้งไว้แล้วทำท่าจะไป

หยางชิ่งขมวดคิ้ว “ลุกลี้ลุกลนแบบนี้ไม่เรียบร้อยเลย ตอนนี้เจ้าเป็นผู้แทนอำนาจของท่านทูต ถ้าให้คนเห็นเป็นตัวตลก แล้วจะเอาความน่าเกรงขามมาจากไหน?”

ฉินเวยเวยสีหน้าชะงักเล็กน้อย แต่ยังคงกล่าวอย่างอดใจรอไม่ไหว “ท่านพ่อ! ข้าต้องไปก่อนแล้ว ถ้าช้ากว่านี้เดี๋ยวเหมียวอี้จะรอจนร้อนใจ”

หยางชิ่งรู้สึกจนใจทันที แต่ก็ยังยื่นมือห้าม “เวยเวย! ในเมื่อนายท่านไม่อยากโผล่หน้ามาที่นี่โดยตรง บางทีอาจจะไม่อยากเปิดเผยให้ใครรู้ เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าปลอมตัวก่อนสักหน่อย ออกไปแบบนี้สะดุดตาเกินไป เดี๋ยวข้าจะหาคนมาคุ้มกันอีก ทางที่ดีอย่าให้คนอื่นรู้ว่าเจ้าจะลงจากเขาแล้ว”

เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฉินเวยเวยก็พบว่าตัวเองไม่ค่อยมีระเบียบแบบแผนจริงๆ ยังเป็นหยางชิ่งที่พิจารณาได้รอบด้าน จึงทำได้เพียงปฏิบัติตามที่หยางชิ่งบอก

ตรงปากน้ำน้ำทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลสาบหยก เรือโหลวฉวนที่หน้าตาเรียบง่ายลำหนึ่งลอยอยู่บนคลื่นสีหยก ไม่โดดเด่นสะดุดตาเหมือนเรือดอกไม้ลำอื่น เหมียวอี้กำลังเอามือไขว้หลังยืนพิงรั้ว ขณะกำลังทอดสายตาชมทิวทัศน์เมืองหลวง ตู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤท จึงพลันหันกลับไปมอง

จ๋อมแจ๋มๆ! เงาคนหลายคนฝ่าน้ำขึ้นมา หยางชิ่ง ฉินเวยเวย หงเหมียนและลู่หลิ่วเหยียบลงบนตึกเรือพร้อมกัน

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ ในดวงตางามของฉินเวยเวยสดใสเป็นพิเศษ นางถลันตัวเข้ามาโดยตรง โผเข้าไปกอดราวกับเป็กนกนางแอ่นน้อยบินเข้าป่า ทั้งสองโอบกอดกัน กอดแล้วไม่อยากแยกจากกัน

“นายท่าน!” หยางชิ่งที่ยิ้มบางๆ เดินเข้ามาคำนับ

ถึงแม้ในตอนนี้ตำแหน่งของเขาที่ยอดเขาหยกนครหลวงจะสูงกว่าที่ปรึกษาอย่างเหมียวอี้ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเสียมารยาทเพราะไม่รู้จักชั่งน้ำหนักความสำคัญ

“นายท่าน!” หงเหมียน ลู่หลิ่วก้าวขึ้นมาคำนับด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อยเช่นกัน

เหมียวอี้ตบหลังฉินเวยเวยเบาๆ คลายกอดนาง แล้วกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้การใหญ่สบายดีมั้ย!”

“ลำบากให้นายท่านเป็นห่วงแล้ว ไม่เจอกันหลายปี นายท่านยังคงสง่างามเช่นเดิม!” หยางชิ่งกุมหมัดคารวะ จากนั้นกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าท่านทูตอยู่หรือไม่ขอรับ?”

“ท่านทูตไม่อยู่ กำลังเก็บตัวฝึกตน ข้ามาที่นี่เพราะเตรียมจะพาเวยเวยนั่งเรือล่องแม่น้ำ เที่ยวชมธรรมชาติไปตลอดทาง เรื่องที่ยอดเขาหยกนครหลวง เกรงว่าต้องขอให้ผู้การใหญ่ทำแทนแล้ว” เหมียวอี้ถือโอกาสยื่นมือไปช้อนเอวฉินเวยเวย

“เอ่อ…” หยางชิ่งค่อนข้างลำบากใจ “ท่านทูตไม่อยู่ ถ้าท่านผู้แทนก็ไม่อยู่…”

“ท่านพ่อ!” ฉินเวยเวยกระทืบเท้า รู้สึกไม่ค่อยเต็มใจ ชีวิตนางง่ายเหรอ เพิ่งแต่งงานได้ไม่นานก็ไม่เห็นผู้ชายของตัวเองแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าผู้ชายของตัวเองจะกลับมาสักครั้ง ทั้งยังจะพานางไปท่องเที่ยวตามลำพังด้วย เป็นเรื่องที่งดงามขนาดไหน แต่พ่อตัวเองกลับไม่ยอม จะให้นางตอบตกลงได้อย่างไร

เมื่อเห็นแววตาคับแค้นใจแบบนั้นของลูกสาว หยางชิ่งก็ยิ้มเจื่อนในใจ ลูกสาวโตแล้วรั้งไว้ไม่อยู่จริงๆ จึงกุมหมัดคารวะพร้อมบอกว่า “เวยเวย ดูแลนายท่านให้ดีๆ นะ! ข้าน้อยขอตัว!”

“ผู้การหยางช้าก่อน!” เหมียวอี้ตะโกนเรียก แล้วสั่งว่า “เดี๋ยวกลับไปแล้วเชิญจ้าวเฟยกับภรรยา ซือคงอู๋เว่ยกับภรรยา แล้วก็กู่ซานเจิ้ง ถานเล่า เย่ซิน ให้พวกเขารอข้าที่ปากทางออกทะเลของแม่น้ำสายนี้ เก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วย!”

“ข้าน้อยจะเตรียมการเดี๋ยวนี้!” หยางชิ่งกุมหมัดรับคำสั่ง แล้วหันตัวเดินออกไป ก่อนจะกระโดดหายไปในทะเลสาบอีกครั้ง



1087



บทที่ 1088 ลุ่มหลงในหญิงงามและดนตรี

เมื่อไม่มีหยางชิ่งรบกวนแล้ว เหมียวอี้ก็ใช้มือช้อนคางที่อ่อนนุ่มของฉินเวยเวย พลางมองแล้วยิ้มตาหยี

ในชั่วพริบตาเดียวกก็ทำให้ฉินเวยเวยเขินอายหยาดเยิ้ม นางหลบสายตาเล็กน้อย แพขนตายาวสั่นไหว เหมียวอี้กำลังมองกดดัน ทำให้นางไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

นางกับเหมียวอี้ผ่านช่วงเวลาของคู่แต่งงานใหม่มาแล้ว ได้เป็นสามีภรรยากันแล้วจริงๆ โดยพฤตินัย แต่ก็ยังค่อนข้างเขินอายกับเรื่องระหว่างชายหญิง ยังปรับตัวไม่ค่อยได้กับการยั่วเย้ากลางวันแสกๆ แบบนี้ มิหนำซ้ำหงเหมียน ลู่หลิ่วก็ยังคอยมองอยู่ข้างๆ ด้วย

นางถอยหลังก้าวหนึ่งทันที แล้วกล่าวอย่างเหนียมอายว่า “นายท่าน ให้ข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะค่ะ”

ฉินเวยเวยเดินไปที่บันไดด้านข้างเรือทันที หงเหมียน ลู่หลิ่วหัวเราะคิกคักเดินตามลงไป ทั้งสามไปยังห้องที่อยู่ข้างล่างพร้อมกัน

ผ่านไปไม่นาน ตอนที่ขึ้นมาอีกครั้ง ฉินเวยเวยก็แต่งตัวด้วยชุดกระโปรงยาวสีขาวเหมือนอย่างเคยแล้ว สดใสมีชีวิตชีวา ผิวขาวดุจหิมะ ผมดำขลับถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยใหญ่ นางย่อเข่าคำนับอย่างเป็นทางการ “หม่อมฉันคำนับนายท่าน”

เหมียวอี้เกาศีรษะ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อได้ยินผู้หญิงคนนี้ถ่อมตัวเรียกแทนตัวเองว่าหม่อมฉันแล้วรู้สึกแปลกๆ จึงยื่นมือไปจูงมือนาง แล้วพาเดินไปพิงระเบียงข้างเรือเพื่อชมทิวทัศน์ทะเลสาบหยกและเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรืองด้วยกัน เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “หลายปีมานี้ข้าทำให้เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว!”

“ไม่หรอกค่ะ!” ฉินเวยเวยมองเขาด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้มแวบหนึ่ง ก่อนจะลองเอาตัวเองเข้าไปซุกในอ้อมกอดของเขาอย่างช้าๆ วางศีรษะพิงที่บ่าของเขา ส่วนเขาก็ถือโอกาสยื่นมือไปช้อนเอวนาง ทำให้ใบหน้านางฉายแววสุขสันต์ทันที ในที่สุดหัวใจก็รู้สึกสงบลงแล้ว

ทั้งสองรับชมทิวทัศน์

ส่วนหงเหมียน ลู่หลิ่วก็กำลังงานยุ่ง กำลังจัดวางถาดผลไม้และสุรา พวกนางยกโต๊ะยาวตัวหนึ่งมาวางข้างๆ ทั้งสอง แล้วก็วางเก้าอี้เอนที่ประณีตงดงามมาไว้ข้างหลังอีกหนึ่งตัว

“นายท่าน ฮูหยิน บ่าวจะลงไปควบคุมเรือข้างล่างนะเจ้าคะ” พวกนางรู้ว่าทั้งสองแยกจากกันไปนานหลังจากจากแต่งงานกันใหม่ๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมารบกวน

และก่อนที่ฉินเวยเวยจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อครู่นี้ ทั้งสองก็ได้ตรวจสอบทั้งตัวเรือแล้ว จึงรู้ว่าบนเรือไม่มีคน แม้แต่คนขับเรือก็ไม่มีสักคน ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้หาเรือมาจากไหน เช่นนั้นก็ย่อมมีแต่พวกนางแล้วที่ต้องไปควบคุมเรือ เพียงแต่อาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ของพวกนางในตอนนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องพายกรรเชียงเรือ แค่ร่ายอิทธิฤทธิ์นิดหน่อยก็สามารถขี่ลมฝ่าคลื่นได้แล้ว

เหมียวอี้โบกมือชี้ไปยังปากทางน้ำไหลของทะเลสาบหยก “ลงไปตามแม่น้ำ!”

“เจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้ทั้งสองเอ่ยรับ

ฉินเวยเวยในเวลานี้เรียกได้ว่าอ่อนโยนไร้ที่เปรียบ นางเชิญเหมียวอี้ให้นั่งลง ส่วนตัวเองก็รินน้ำชามาวางให้ด้วยเอง

ขณะกำลังรู้สึกชื่นชมสตรีที่มีจิตใจงดงาม เหมียวอี้ก็รับถ้วยน้ำชามาวางไว้อีกด้าน จากนั้นโบกมือร่ายพลังอิทธิฤทธิ์กวาด ทำให้ผ้าม่านที่อยู่รอบตัวเรือม้วนลงมาทันที จากนั้นก็จูงมือนางให้เอนกายลงบนเก้าอี้นอน

แบบนี้สามารถชดเชยคืนให้ได้หรือยัง? ฉินเวยเวยที่กำลังกัดริมฝีปากไม่เคยรู้เลยว่าต้องปฏิเสธเขาอย่างไร เพียงตอบเบาๆ ว่า “ค่ะ”

หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ใบหน้าแดงเรื่อ หัวใจเต้นถี่ นางย่อมรู้ว่าต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ได้แต่มองดูเหมียวอี้จูบบนริมฝีปากตัวเองตาปริบๆ ขณะที่กำลังตื่นเต้นจนตัวสั่น ก็รู้สึกได้ว่ามีมือข้างหนึ่งกำลังถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก

ผ่านไปไม่นาน เสื้อผ้าของคนสวยที่สง่าภูมิฐานก็หลุดลงมาครึ่งหนึ่ง เผยทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิอันน่าเย้ายวนใจ ผิวเนื้อขาวใสเผยออกมา ยอดภูเขาหิมะที่ยืดตระหง่านถูกย่ำยีจนอ่อนนุ่ม น่าอายที่สุด…

เมื่อบนตึกเรือมีเสียงแปลกๆ ที่คุ้นเคยดังมา หงเหมียน ลู่หลิ่วที่ร่ายอิทธิฤทธิ์คุมเรืออยู่ใต้ตึกเรือก็สบตากันด้วยใบหน้าแดงเรื่อ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าข้างบนกำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ลู่หลิ่วที่หน้าแดงเรื่อหันตัวมาเตรียมน้ำอุ่นสำหรับอาบน้ำแล้ว

เรือออกจากทะเลสาบหยก แล่นเข้ามาในแม่น้ำ เรือไหลไปตามกระแสน้ำตลอดทาง หญิงรับใช้ทั้งสองแค่ต้องร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมทิศทางก็พอ

จนกระทั่งเสียงแปลกๆ บนตึกเรือเงียบลงสักพักใหญ่ ด้านบนก็มีเสียงที่เจือด้วยความเขินอายของฉินเวยเวยดังมา “หงเหมียน ลู่หลิ่ว!”

หญิงรับใช้ทั้งสองรู้ว่าต่อไปต้องทำอะไร จึงนำน้ำอุ่นขึ้นไปส่งทันที…

ทิวทัศน์ภูเขาและสายน้ำงดงามตลอดทาง สองฝั่งของแม่น้ำบางครั้งก็กว้างโล่ง บางครั้งก็เป็นเหวสูงอันตราย ส่วนน้ำในแม่น้ำบางครั้งก็ไหลเอื่อยสงบนิ่ง แต่บางครั้งก็เป็นคลื่นลูกใหญ่ไหลเชี่ยว เรือโหลวฉวนฝ่าคลื่นอย่างไม่สะทกสะท้าน แสงรุ่งอรุณสาดส่องสลายม่านหมอก คู่รักที่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกกำลังกอดกัน ชี้ภูเขาแม่น้ำ รักใคร่กลมเกลียว ต้นสนเขียวชอุ่มที่อยู่บนผาสูงชันสองฝั่งควรค่าแก่การกล่าวชื่นชม สองข้างทางมีเสียงชะนีร้องไม่หยุด เรือเล่นผ่านขุนเขานับหมื่นอย่างรวดเร็ว

อารมณ์ที่นุ่มนวลของฉินเวยเวยราวกับสายน้ำ สำหรับเหมียวอี้แล้ว นี่คือความความสุขที่หาพบได้ยากจริงๆ ความรู้สึกน่ารักออดอ้อนเหมือนนกน้อยพึ่งพาคนแบบนี้หาไม่ได้จากตัวอวิ๋นจือชิว

เขาหยอกล้อท่าทางที่เย็นชาของฉินเวยเวยในปีนั้น ทำให้สาวงามกอดเขาพลางขบคิดเงียบๆ ด้วยความเขินอาย

เหมียวอี้ที่กำลังอยู่ในอารมณ์สดชื่นก็ไม่ปล่อยให้เวลาผ่อนคลายที่หายากแบบนี้เสียเปล่า เลี่ยงไม่ได้ที่จะลุ่มหลงในหญิงงามและดนตรี จะได้คลายความทรมานจากความคะนึงหาหลายปีของฉินเวยเวย เพียงแต่ลำบากหงเหมียน ลู่หลิ่วที่ต้องนำน้ำอุ่นขึ้นมาส่งเป็นระยะ บางวันมากหน่อยก็ขึ้นมาส่งห้าหกรอบ เสียงสะดีดสะดิ้งยั่วยวนก็ยิ่งดังไม่ขาดหู ทำให้คนฟังทนรับไม่ไหว

เพียงแต่หงเหมียนกับลู่หลิ่วจินตนาการไม่ออก ว่าทำไมคุณหนูที่ยามปกติอ่อนโยนเรียบร้อยถึงได้ส่งเสียงร้องลามกแบบนั้นได้ ตอนแรกก็ยังรู้จักเก็บอาการ แต่ตอนหลังก็ค่อยๆ ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแล้ว

ในคืนหนึ่งที่ดวงดาวพร่างพรายเต็มท้องฟ้า ฉินเวยเวยจูงมือเหมียวอี้เดินลงมาชั้นล่างอย่างมีพิรุธ

“ทำอะไรเหรอ?” เหมียวอี้แปลกใจนิดหน่อย

ขณะที่เดินอยู่ตรงทางเดิน ฉินเวยเวยก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่หยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง เปิดประตูและผลักเหมียวอี้เข้าไปโดยตรง จากนั้นก็ปิดประตูเอาไว้

เหมียวอี้ที่เข้ามาข้างในเหม่อไปชั่วขณะ เห็นเพียงหงเหมียนที่อาบน้ำแต่งตัวใหม่กำลังนั่งอยู่ข้างเตียงด้วยความตื่นเต้นกังวลสุดขีด ใบหน้าแดงก่ำจนแทบจะมีเลือดไหลออกมาแล้ว

ชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ก็เข้าใจเจตนาของฉินเวยเวยแล้ว

ไม่มีอะไรน่าเกรงใจ เดิมทีก็เป็นหญิงรับใช้ที่แต่งงานตามเจ้านายมาอยู่แล้ว ถ้าตนไม่ใช่งาน คนอื่นก็แตะต้องไม่ได้อยู่ดี ประเพณีนิยมของสังคมก็เป็นเช่นนี้ ทำไมต้องทำให้อีกฝ่ายลำบาก คืนนั้นเหมียวอี้จึงค้างที่ห้องของหงเหมีย

วันต่อมาย่อมเป็นเวลาสุขสำราญของลู่หลิ่ว เป็นแบบนี้ต่อเนื่องกันสองวัน เขาครอบครองสาวใช้ทั้งสองทีละคน ในที่สุดพวกนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณหนูถึงส่งเสียงร้องแปลกๆ แบบนั้น

หลังจากนั้น เหมียวอี้ก็ให้รางวัลพวกนางเป็นยาแก่นเซียนคนละหนึ่งล้านเม็ด

หลังจากได้ทำหน้าที่ของผู้หญิงและลิ้มรสชาติความเป็นหญิงอย่างแท้จริง ความเขินอายก็ติดอยู่บนใบหน้าหงเหมียนกับลู่หลิ่วหลายวัน บ่อยครั้งที่มองเหมียวอี้ด้วยแววตาออกอ้อน ทำให้ฉินเวยเวยพูดล้อพวกนางได้สะดวก ทำเอาพวกนางอับอายแทบแย่

บนแม่น้ำสายนี้ เหมียวอี้สลับเดินไปเดินมาระหว่างห้องของหนึ่งนายหญิงกับสองบ่าวรับใช้ กำเริบเสิบสานมาก ยามไม่มีการควบคุมจากอวิ๋นจือชิวนั้นช่างสบายอกสบายใจจริงๆ เป็นเวลาแห่งความสำราญของเขาอย่างแท้จริง

ไม่เร่งรีบและไม่เชื่องช้า หลังจากเรือแล่นไปได้หนึ่งเดือนกว่า ในที่สุดก็มาถึงปากแม่น้ำที่จะออกทะเลแล้ว

หงเหมียน ลู่หลิ่วยืนต้อนรับแขกอยู่ที่หัวเรือ เมื่อคนที่ซ่อนตัวอยู่ตรงปากแม่น้ำเห็นทั้งสอง ก็เข้าใจว่าเป้าหมายที่แท้จริงมาถึงแล้ว จึงพากันเหาะมาเหยียบลงบนเรือ

จ้าวเฟย อูเมิ่งหลัน ซือคงอู๋เว่ย เถาชิงหลี กู่ซานเจิ้ง ถานเล่า เย่ซิน กลุ่มสหายเก่ามาถึงครอบแล้ว พอฉินเวยเวยที่อยู่บนตึกเรือม้วนม่านไม่ไผ่โผลหน้าออกมา ทุกคนก็คำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน “คำนับท่านผู้แทน!”

สำหรับพวกเขา ฉินเวยเวยในตอนนี้มีฐานะไม่ธรรมดาแล้ว ไม่ใช่คนที่พวกเขาอยากจะพบในยามปกติแล้วจะพบได้ มีเพียงเถาชิงหลีที่ได้เจอปีละครั้งตอส่งส่วยประจำปี

ฉินเวยเวยก็แสดงพลังอำนาจออกมาแล้วเช่นกันวางตัวอยู่เหนือผู้อื่น ยกมือเบาๆ อย่างเป็นธรรมชาติ “ไม่ต้องมากพิธี!”

ไม่นานเหมียวอี้ก็ปรากฏตัวข้างหลังนาง ยืนพิงระเบียงพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เตรียมสุราอาหารไว้รอต้อนรับทุกคนนานแล้ว ยังไม่รีบขึ้นมาอีก”

ตอนแรกทุกคนอึ้งไปชั่วขณะ เพราะหยางชิ่งเก็บความลับดีมาก ไม่ได้เปิดเผยล่วงหน้าว่าให้พวกเขามาพบเหมียวอี้

ผ่านไปประเดี๋ยวเดี๋ยว พวกเขาก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะ สหายคนนี้ฝ่าฟันไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญตลอดทาง ชื่อเสียงโด่งดังสะเทือนใต้หล้า ปรากฏว่าพอแต่งเมียมาก็ทำเสียเรื่องหมดแล้ว ถูกเมียปล้นอำนาจไปโดยตรง ขนาดอนุภรรยาก็ยังมีตำแหน่งสูงกว่าเขาเลย ดังนั้นจึงหายหน้าหายตาไปหลายปี ไม่รู้ว่าไปหลบซ่อนตัวที่ไหน นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเจอกันที่นี่

ถ้ามีแต่ฉินเวยเวยอยู่ที่นี่ พวกเขาก็ยังประหม่านิดหน่อย แต่พอเหมียวอี้ปรากฏตัว พวกเขาก็ผ่อนคลายทันที ต่อให้ฉินเวยเวยจะมีตำแหน่งสูงกว่า แต่ถึงอย่างไรเมื่ออยู่ต่อหน้าเหมียวอี้ก็ยังเป็นเพียงอนุภรรยาของเหมียวอี้ ตรงนี้เหมียวอี้ยังมีอำนาจตัดสินใจ กอปรกับเป็นสหายกันมาหลายปี แต่ละคนถึงถลันตัวขึ้นไปบนตึกเรือทันที

ที่นั่งถูกจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้กับฉินเวยเวยนั่งเคียงกันตรงหัวโต๊ะ ส่วนสหายเก่าคนอื่นๆ แยกนั่งเป็นสองฝั่ง พูดคุยหัวเราะและชนจอกสุรากันไม่หยุด

ฉินเวยเวยได้แต่นั่งข้างกายเหมียวอี้เงียบๆ ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเลย นางรู้ว่าถ้าตัวเองพูดอะไรออกมา คนพวกนี้ก็จะอึดอัดไม่เป็นธรรมชาติ ในตอนนี้เหมียวอี้เป็นเจ้าภาพหลัก นางเพียงได้นั่งอยู่ข้างกายเหมียวอี้เงียบๆ ก็พอใจแล้ว เพียงยิ้มบางๆ ขณะที่ฟังทุกคนพูดคุยหัวเราะกัน คอยถือกาสุรารินให้เหมียวอี้เป็นระยะ ที่จริงนางไม่ได้สนใจเรื่องอำนาจพวกนี้

คนอื่นๆ แอบวิจารณ์ฉินเวยเวยในใจ การที่นางได้แต่งงานกับเหมียวอี้แบบนี้ ก็เหมือนนกนางแอ่นที่พอบินขึ้นกิ่งไม้ก็ได้กลายเป็นหงส์

ลมทะเลพัดเย็น เรือลอยออกจากแม่น้ำ แล่นอยู่บนมหาสมุทรสีมรกต ตอนที่เรือแล่นไปข้างหน้าและอยู่ห่างจากชายฝั่งไม่ไกล เหมียวอี้ก็ยกจอกสุราชนกับถานเล่าและเย่ซิน แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าสองคนเป็นยังไงบ้างแล้ว?”

จ้าวเฟยส่ายหน้า ซือคงอู๋เว่ยหัวเราะแห้งๆ ส่วนกู่ซานเจิ้งก็ดื่มสุราเงียบๆ ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว บนใบหน้าของเขาก็ยังทำให้คนมองไม่ออกเหมือนเดิมว่าอยู่ในอารมณ์ไหน

เย่ซินค่อนข้างกระอักกระอ่วน

เมื่ออยู่ต่อหน้าเหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร ทกคนต่างก็รู้เรื่องนี้ ถานเล่ายิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “จะเป็นยังไงได้ล่ะ? ก็ได้แต่หลบๆ ซ่อนๆ ไม่กล้าเจอใครมาตลอด น่าหงุดหงิดจริงๆ เดิมทียังคิดจะขอให้เจ้ามาช่วย แต่เจ้ากันทำตัวลึกลับเหมือนมังกรที่เห็นแต่หัวไม่เห็นหาง ครั้งนี้ในเมื่อเจ้ามาแล้ว เจ้าจะไม่สนใจใยดีไม่ได้นะ! ชีวิตการแต่งงานของสหายฝากไว้ที่ตัวเจ้าแล้ว”

“ก็ได้! เรื่องนี้ให้หยางชิ่งจัดการเหมาะสมที่สุด” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ แล้วหันกลับมามองฉินเวยเวยที่นั่งอยู่ข้างๆ “เดี๋ยวกลับไปเจ้าคุยกับผู้การหยางสักหน่อยสิ ให้เขาเป็นคนกลางคุยกับเจ้าสำนักดิรัจฉานหลวงกับพรรคดรุณีหยกให้สักหน่อย เรื่องนี้ต่อให้สองสำนักจะไม่ยินยอมแต่ก็ต้องยินยอม”

สำหรับเขาในตอนนี้ เรื่องนี้ไม่นับว่าใหญ่โตอะไร ทั้งสองสำนักไม่กล้าไม่ไหวหน้า ไม่อย่างนั้นลูกศิษย์ของสองสำนักก็ยากที่จะมีที่ยืนในสายมะโรง

“ได้!” ฉินเวยเวยรับปากด้วยรอยยิ้ม

“ดูท่าจะได้ดื่มสุรามงคลของพวกเจ้าสองคนซะแล้วสิ!” ซือคงอู๋เว่ยตบโต๊ะพลางหัวเราะเสียงดัง

ถานเล่ากับเย่ซินสบตากันแวบหนึ่ง ในดวงตาฉายแววดีใจ ขอเพียงยอดเขาหยกนครหลวงออกหน้า เรื่องนี้จะต้องสำเร็จแน่นอน ทั้งสองยืนขึ้นกุมหมัดขอบคุณพร้อมกัน

เรือโหลวฉวนขี่ลมฝ่าคลื่นอยู่บนทะเล ตรงชายฝั่งทะเลไกลๆ มีแนวเทือกเขาหนาตา ท่ามกลางเสียงคลื่นลม ทุกคนดื่มสุราและพูดคุยหัวเราะกันไม่หยุด ยังไม่ต้องพูดถึงว่าสหายเก่าได้มาพบกันอีกรอบ อย่างน้อยการที่เหมียวอี้พาอนุภรรยามาที่นี่ด้วย ก็ถือว่าเป็นการรับประกันอนาคตสำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขาย่อมดีใจ เพราะดูเหมือนอนุภรรยาคนนี้จะเชื่อฟังเหมียวอี้มาก ในภายหลังคงไม่ทำให้พวกเขาลำบากแน่

บนใบหน้าเหมียวอี้มีรอยยิ้ม แต่ในใจกลับทอดถอนใจ เมื่อครู่ตอนที่สหายพวกนี้มาถึงเขาก็สังเกตเห็นแล้ว แต่ละคนยังมีวรยุทธ์บงกชแดงอยู่เลย เทียบกับหลายปีก่อนถือว่าวรยุทธ์ยังไม่คืบหน้าเท่าไร ยังใช้ให้ทำงานสำคัญอะไรไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงให้เป็นแรงสนับสนุนช่วยเหลือตนไปแล้ว

ตอนนี้เขาไม่สะดวกจะมอบยาแก่นเซียนให้ทุกคนเพื่อเร่งเพิ่มวรยุทธ์ ถ้ายังไม่ถึงเวลา เขาก็จะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ง่ายๆ

ตั้งแต่กลางคืนจนฟ้าสาง พวกเหมียวอี้และคนอื่นๆ ต้องนั่งเรือไปทางใต้ต่อ พวกจ้าวเฟยที่ได้มารวมตัวกันจึงกล่าวอำลา แล้วแต่ละคนก็เหาะขึ้นฟ้าจากไป โดยที่เหมียวอี้ยืนมองส่งอยู่บนเรือ

หลังจากมองส่งคนกลุ่มนั้นกลับไปแล้ว เหมียวอี้ก็หันมากวักมือให้ฉินเวยเวย นางโบกแขนสื้อกวาดร่ายอิทธิฤทธิ์ย้ายเก้าอี้นอนไปไว้ที่หัวเรือทันที

“บอกหงเหมียน ลู่หลิ่ว ข้าจะกลับเมืองฉางเฟิงบ้านเกิดสักครั้ง” เหมียวอี้บอกนางพลางเอนกายลง

ไปเมืองฉางเฟิงคือข้ออ้าง เขาอยากจะไปเห็นความจริงที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง เขาอยากรู้ว่าตอนนี้ตัวเองสามารถเข้าไปที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งได้หรือไม่ ภาพสตรีทะยานฟ้าบนหินก้อนใหญ่ก้อนนั้น ทั้งยังมีกู่ฉินหลังใหญ่นั่นด้วย ไม่รู้ว่าซ่อนความลี้ลับอะไรเอาไว้ ถึงอย่างไรประสบการณ์ก่อนหน้านี้ก็ได้บอกเขา ถ้าสถานที่เก็บภาพสตรีทะยานฟ้านั่นมีความแปลกประหลาด


1088



บทที่ 1089 เล่นใหญ่เกินไปแล้ว

หลังจากกำชับหงเหมียน ลู่หลิ่วแล้ว ฉินเวยเวยก็หันกลับมา เมื่อเห็นว่าไม่มีคนนอก ก็โค้งมุมปากยิ้มอย่างซุกซน

เห็นเพียงนางถอดปิ่นปักผมออก หันหน้าสะบัดผมยาวดุจน้ำตกให้ปลิวรับลม คลายผ้าไหมรัดเอว ถอดถุงเท้าออก เปลือยเท้าขาวดุจหยกสองข้างเหยียบบนดาดฟ้าเรือ กึ่งเดินกึ่งลอยรับกับสายลม ราวกับเป็นเทพธิดา นางนั่งลงข้างกายเหมียวอี้แล้วเอนกายลง ก่อนจะเบียดซุกเข้าไปในอ้อมอกของเขา นี่ก็คือข้อดีของการถอดปิ่นปักผมออก

เหมียวอี้กอดนางไว้ครึ่งตัว แต่สายตากลับมองก้อนเมฆบนฟ้าพลางทำท่าครุ่นคิด ยังคงคิดเรื่องแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง

เมื่อเห็นเขาเหม่อลอย ฉินเวยเวยจึงคว้าผมช่อเล็กๆ ของตัวเองเกาที่จมูกของเขา

เหมียวอี้ยิ้มเล็กน้อย แล้วยื่นมือไปช้อนข้างล่าง ดึงต้นขาที่อยู่ใต้กระโปรงของนางขึ้นมาโดยตรง แล้วจับฝ่าเท้านางมาเกาพักหนึ่ง

“ฮ่าๆ…” ฉินเวยเวยขำกลิ้งแล้ว พยายามหดเท้ากลับมาอย่างสุดชีวิต แต่กลับสู้วรยุทธ์ของเหมียวอี้ไม่ได้ ไม่มีทางหนีพ้นเลย จั๊กจี้แทบแย่แล้วจริงๆ บิดตัวไปมาพลางขอร้องว่า “หม่อมฉันผิดไปแล้ว นายท่านให้อภัยด้วยค่ะ!”

เหมียวอี้หยุดมือแล้ว แต่กลับพลิกฝ่าเท้าของนางพร้อมกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ผู้หญิงคนหนึ่งที่หัวโปราณมาก ยามปกติแม้แต่ส่วนคอก็ไม่เปิดเผยให้ใครเห็น วันนี้กลับกล้าแต่งตัวตามสบายขนาดนี้ ทั้งยังเปลือยเท้าเดินเพ่นพ่านไปทั่ว ไม่กลัวคนอื่นจะมาเห็นเหรอ?”

ฟันขาวกัดขูดริมฝีปากแดง ถามเสียงต่ำอย่างค่อนข้างอับอายว่า “ไม่มีคนนอกแล้ว…หม่อมฉันสะเพร่าเกินไปใช่มั้ยคะ?”

เป็นเพราะช่วงนี้ทั้งสองสนิทกันเกินไปจริงๆ ร่างกายของนางถูกเหมียวอี้สำรวจจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว ผ่านด่านผู้หญิงที่อับอายยามอยู่ต่อหน้าผู้ชายไปแล้ว ฟ้าสูงทะเลกว้างทำให้จิตใจผ่อนคลาย อดไม่ได้อยากจะปล่อยตัวตามใจสักครั้ง

“สะเพร่าต่อหน้าข้าคนเดียวก็พอ ถ้ากล้าให้ผู้ชายคนอื่นเห็น ก็คอยดูแล้วกันว่าข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร!” เหมียวอี้ที่ตอบพร้อมเสียงหัวเราะดึงฝ่าเท้านางมาเกาอีก

“อ๊า…ให้อภัยด้วย…หม่อมฉันไม่กล้าแล้ว!” ฉินเวยเวยที่โวยวายไม่หยุดถูกกลั่นแกล้งจนร้องอย่างน่าสงสาร

ทำเอาหงเหมียน ลู่หลิ่วตื่นตกใจจนอดไม่ได้ที่จะวิ่งขึ้นมาดู เมื่อได้เห็นฉากหยอกล้อนี้ สาวใช้ทั้งสองก็เม้มปากหัวเราะ นี่เป็นเรื่องดี จึงไม่รบกวนแล้ว ถอยกลับไปอีกรอบ

เมื่อเสียงของฉินเวยเวยที่จั๊กจี้จนหอบหายใจเงียบสงบลงแล้ว ก็พลิกตัวขึ้นไปนอนคว่ำบนตัวเหมียวอี้ ลมทะเลเป่าให้เส้นผมกวาดไปกวาดมาบนหน้าเหมียวอี้ เหมียวอี้หลับตาดื่มด่ำกับกลิ่นหอมอ่อนๆ จากผมนาง

“ถ้าได้อยู่แบบนี้ไปทั้งชีวิตโดยไม่ต้องทำอะไร จะดีขนาดไหนกันนะ” ฉินเวยเวยที่หลับตาดื่มด่ำด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขกล่าวพึมพำ ง่ามเท้าที่ขาวใสดุจหยกงอกระดิกเบาๆ รู้สึกสดชื่นยามลมพัดผ่านระหว่างง่ามเท้า

“เหอะๆ!” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ คิดในใจว่านี่ก็เป็นความหวังของเขาเหมือนกัน แต่จะเป็นไปได้เหรอ?

ถ้าไม่ทำอะไรเลย มู่ฝานจวินและคนอื่นๆ ที่อจะยอมเหรอ? เฟิงเป่ยเฉินและพวกจีฮวนจะปล่อยตนไปเหรอ? เหยียนซิวและลูกน้องคนอื่นๆ จะทำอย่างไรล่ะ? หลบอยู่ที่พิภพใหญ่ก็ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าไม่งานอะไรเลย พวกที่ตนเคยไปล่วงเกินไว้จะปล่อยตนไปเหรอ ฆ่าคนที่ตลาดสวรรค์ไปมากมายขนาดนั้น ฆ่าคนตอนการทดสอบไปมากมายขนาดนั้น ถ้าตนไม่มีอำนาจแล้ว คนกลุ่มใหญ่ก็จะมาหาเรื่องตน

นอกเสียจากจะฆ่าพวกทะเลดาวนักษัตรที่รู้ความลับเรื่องพิภพใหญ่กับพิภพเล็กให้หมด จากนั้นก็กลับมาพิภพเล็กเพื่อสู้กับหกปราชญ์แล้วตั้งตนเป็นใหญ่ บางทีอาจจะได้อยู่อย่างเงียบสงบและสบายหน่อย แต่ทำแบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์ นอกเสียจากพิภพเล็กจะไม่มีนักพรตอยู่แล้วเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ต้องมีสักวันที่มีคนผงาดขึ้นมาหาเรื่องเขา จากนั้นเขาก็ต้องทำอะไรสักหน่อยอีกเพื่อรับประกันความปลอดภัยให้ตัวเอง อย่างเช่นถักทอเครือข่ายเพื่อควบคุมทั้งใต้หล้า อ้อมไปรอบหนึ่งก็ยังต้องวนกลับมาที่เดิม ยังต้องทำแบบนี้ต่อไป

ในเมื่อเลือกเดินบนเส้นทางนี้ ก็ไม่มีทางให้กลับแล้ว!

ขณะที่เหมียวอี้กำลังลูบคลำก้นของฉินเวยเวยเพื่อดื่มด่ำสัมผัสมือ จู่ๆ ก็ลืมตามองไปข้างหน้า แล้วบอกว่า “มีเรือแล่นเข้ามาแล้ว”

“หา!” ฉินเวยเวยที่หันกลับมามองแวบหนึ่งร้องตกใจ เท้าสองข้างที่กำลังเปลือยไม่มีที่ให้หลบ ให้เหมียวอี้ดูคนเดียวก็ยังพอไหว หนังหนาของนางยังไม่ด้านพอที่จะทำให้นางเปลือยเท้าให้ผู้ชายคนอื่นดู แนวคิดบางอย่างได้ฝังรากลึกแล้ว นางจึงรีบถลันตัวเข้าไปหลบในห้องโดยสารเรือ

เรือสินค้าลำหนึ่งเฉียดผ่านไป คนบนเรือยื่นศีรษะมามองทางนี้ แล้วจู่ๆ ก็ผิวปาก แล้วเรือสินค้าก็เลี้ยวตามมาทันที ใต้แคมเรือมีคนโผล่ออกมาแถวหนึ่ง แล้วสะบัดเชือกตะขอ มาเกี่ยวกับแคมเรือทางนี้เอาไว้

“มีคนถือธนูขึ้นมาง้างแล้ว เล็งมาหาเหมียวอี้ที่เอนกายอยู่บนหัวเรือ

คงจะเป็นโจรสลัดที่ปลอมตัวเป็นเรือสินค้า! ฉากนี้ทำให้เหมียวอี้นึกถึงภัยพิบัติบนทะเลตอนที่ตัวเองยังเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์

ซวบ! เสียงธนูยิงเข้ามา ทว่ากลับหยุดอยู่ตรงหน้าและยากที่จะเข้าใกล้เหมียวอี้ได้

คนที่ยิงธนูงุนงงทันที ส่วนเหมียวอี้ก็เหลือบมองด้วยสายตาเย็นเหยียบ พอสะบัดมือลวกๆ หนึ่งที ลูกธนูก็ยิงกลับไป

บึ้ม! ทั้งตัวเรือสินค้าอยู่ภายใต้การบีบอัดของแรงระเบิดมหาศาล ระบิดจนพังคาที่ เศษเรือลอยตกบนลงผิวทะเล เลือดสดสาดตกลงบนผิวทะเลราวกับน้ำฝน ย้อมจนน้ำกลายเป็นสีแดง

วรยุทธ์ที่สามารถทำให้ภูเขาถล่มแผ่นดินแยกได้เพียงแค่โบกมือ มีหรือที่มนุษย์ธรรมดาพวกนั้นจะต้านทานไหว ชั่วพริบตาเดียวก็ไม่เหลือผู้รอดชีวิตแล้ว

หงเหมียน ลู่หลิ่วที่ออกมาดูกลับเข้าไปโดยไม่พูดอะไร กลุ่มโจรสลัดตายถือเป็นเรื่องดี เท่ากับได้ช่วยชีวิตคนได้อีกมากมาย

ฉินเวยเวยที่ออกมาอีกครั้งรวบผมใหม่ สวมรองเท้าเรียบร้อย กลับสู่สภาพผู้หญิงเรียบร้อยสง่างาม เหมียวอี้มองนางแวบหนึ่งแล้วรู้สึกขำ ผู้หยิงคนนี้ไม่ใช่คนที่สามารถปล่อยตัวปล่อยใจได้เลย…

เรือลอยอยู่บนทะเลตลอดก็ไม่มีอะไรน่าสนุก ตอนหลังหงเหมียนลู่หลิ่วจึงเร่งความเร็วเรือ

จนกระทั่งเข้าสู้แม่น้ำใหม่อีกครั้ง ขณะที่เข้ามาในทางน้ำที่เป็นภูเขา ทิวทัศน์ภูเขาสองฝั่งที่คุ้นเคยทำให้เขานึกถึงภาพตอนที่นั่งเรือกับเหล่าไป๋ในปีนั้น ราวกับเป็นเมื่อวาน ตอนนั้นเขาผ่านแม่น้ำสายนี้พอดี ภูเขาหลายจุดที่มีเอกลักษณ์พิเศษเป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว ตั้งตระหง่านพันปีโดยไม่สูญสลาย

ทั้งสี่ลงเรือตอนที่เรือแล่นเข้ามาในป่าภูเขาได้ครึ่งทาง ส่วนเรือโหลวฉวนก็ทำภารกิจเพื่อให้พวกเขาท่องเที่ยวตามธรรมชาติเรียบร้อยแล้ว จึงปล่อยให้มันลอยกลับไปตามน้ำ ใครเก็บได้ก็ถือเป็นของคนนั้นไป

ฉินเวยเวย หงเหมียน ลู่หลิ่วแต่งตัวเป็นผู้ชายแล้ว จากนั้นก็เหาะไปตามป่าภูเขา พอเหยียบลงนอกเมืองฉางเฟิง ถึงได้เดินเท้าเข้าไปในเมือง

ในเมืองมีสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นไม่น้อย มีเยอะจนเหมือนเป็นการพลิกโฉมใหม่หมดสำหรับเหมียวอี้ สาเหตุย่อมเป็นเพราะประชากรเพิ่มขึ้น เมืองฉางเฟิงเปลี่ยนไปจนทำให้เขาหาร่องรอยใดๆ ในปีนั้นไม่พบแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะพบคนรู้จัก

เหมียวอี้ที่เดินเล่นอยู่ที่หัวถนนพบปัญหาอย่างหนึ่ง สาวกที่พิภพเล็กใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเกินไปแล้ว ไม่เคยถูกคุกคามจากสงครามเลย ประชากรแทบจะอยู่ในสภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ มาโดยตลอด ไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดาที่พิภพใหญ่ที่ไม่ได้ถูกควบคุมจากนักพรต แต่มีระบบกษัตริย์ปกครอง ผู้คนล้วนวางแผนจะประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่และได้บรรดาศักดิ์ชั้นสูง  ดังนั้นภายใต้การทำสงคราม ประชากรจึงเริ่มมีลดมีเพิ่ม เป็นการรักษาสมดุลเอาไว้

เหมียวอี้สงสัย ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป จะต้องมีสักวันที่จำนวนสาวกของพิภพเล็กจะทำให้พิภพเล็กไม่มีทางรองรับได้ สิ่งนี้ทำให้คนที่ยืนอยู่สูงขึ้นอีกระดับอย่างเขาเริ่มครุ่นคิดถึงปัญหาข้อดีข้อเสียระหว่างพิภพใหญ่กับพิภพเล็ก

เดินเล่นไปทั่วเมืองจนมืดค่ำ เขาหาห้องที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หลังจากจัดแจงที่พักให้พวกฉินเวยเวยแล้ว เหมียวอี้ก็สั่งอะไรไว้นิดหน่อยแล้วออกไปข้างนอกเพียงลำพัง

เมืองโบราณฉางเฟิงกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสักเท่าไร เพราะไม่มีใครอาศัยอยู่ เป็นเพราะบางครั้งมีการปรับปรุงให้เหมือนใหม่ จึงรักษาสภาพเดิมไว้ตลอด ไม่น่าเชื่อว่าต้นหลิวโบราณนั่นจะยังมีชีวิตอยู่

เมื่อเหยียบที่ยอดกำแพงเมืองแล้วมองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง สายตาเหมียวอี้ก็จ้องไปยังหมอกแดงที่เชื่อมต่อฟ้าดินและดูค่อนข้างดำทึบภายใต้ม่านราตรี ก่อนจะถลันตัวไปเหยียบลงนอกหมอกแดงผืนนั้น

เขาจับไก่ตัวผู้ขนห้าสีขนาดใหญ่ตัวหนึ่งออกมา เป็นไก่ซื้อมาจากในเมืองเมื่อตอนกลางวัน ตอนนั้นฉินเวยเวยไม่เข้าใจว่าเขาซื้อไก่ตัวนี้มาทำอะไร

เห็นได้ชัดว่าไก่ตัวผู้ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะเผชิญชะตากรรมอะไร หลังจากดิ้นรนสองสามครั้งก็ยอมรับชะตากรรมแล้วเช่นกัน แต่ไม่นานเรื่องที่ทำให้มันตื่นตกใจก็เกิดขึ้นแล้ว มันพบว่าตัวเองกำลังลอยอยู่กลางอากาศ เหมือนมันจะชินกับการถูกคนจับมากกว่า เหมือนจะรับกับสภาพนี้ไม่ค่อยได้ ก็เลยกระพือปีกขึ้นมาอีก ทว่ามีหรือที่จะหนีจากพันธนาการของพลังอิทธิฤทธิ์จากเหมียวอี้ได้

ในฝ่ามือของเหมียวอี้ที่กำลังกางอยู่ เพลิงจิตกลุ่มหนึ่งพรั่งพรูขึ้นมา ครอบไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่ไว้กลางอากาศ พอใช้ฝ่ามือผลักเบาๆ ไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่ที่กระพือปีกอยู่กลางอากาศก็ลอยช้าๆ เข้าไปในหมอกเลือดลึกลับที่ไหลกลิ้งอย่างประหลาดทันที

เคล็ดวิชาอัคนีดาราของตนสามารถแก้ได้สารพัดพิษ พลังป้องกันของเพลิงจิตในตอนนี้ก็ยิ่งเหนือกว่าในอดีต ที่เขาทำแบบนี้เพราะอยากจะทดสอบพลังป้องกันของเพลิงจิตที่มีต่อหมอกเลือดพวกนี้ เพราะเขาอยากจะเข้าไปค้นหาที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งจริงๆ ตอนที่เขาหาสมบัติเจอตามแผนที่ซ่อนสมบัติก่อนหน้านี้ ทุกที่ล้วนมีภาพสตรีทะยานฟ้า และในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งก็ดันมีเหมือนกัน แค่คิดก็รู้แล้วว่ามีแรงดึงดูดขนาดไหน

ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้เริ่มดีใจแล้ว ไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่ที่โดนผลักเข้าไปในหมอกเลือดกลับมาอย่างปลอดภัย พอร่ายอิทธิฤทธิ์ดึงให้เข้ามาใกล้ ก็พบว่ามันไม่เป็นอะไรจริงๆ ยังคงกระพือปีกอยู่ในเพลิงจิต สิ่งนี้อธิบายได้ว่าเคล็ดวิชาอัคนีดาราของตนมีความสามารถในการสกัดกั้นหมอกเลือดอันน่าหวาดกลัวจริงๆ

เพื่อที่จะทดสอบว่าผิดพลาดหรือไม่ เพลิงจิตที่ครอบไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่หดหายไปอย่างรวดเร็ว

“กุกๆ…” ไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่พลันส่งเสียงร้องพวาดกลัว ก่อนจะตกลงดิ้นรนบนพื้น แล้วหลอมละลายอย่างรวดเร็วจนตาเปล่าเห็นได้

ไม่ผิดหรอก! มันกำลังหลอมละลายจริงๆ ท่ามกลางการกัดกร่อนของหมอกเลือด เสียงไก่ร้องดังไม่หยุด ชั่วพริบตาเดียวทั้งตัวทั้งขนก็กลายเป็นน้ำสีดำที่มีกลิ่นเหม็นคาว

เหมียวอี้ที่สูดหายใจอย่างตกตะลึงทำสีหน้าไม่ถูก พิษของหมอกเลือดโหดไม่ธรรมดาจริงๆ

แต่โชคดีที่เพลิงจิตของตนสามารถสกัดกั้นได้ เหมียวอี้พลิกฝ่ามือนำเกราะรบสีแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงออกมา เขาสวมเกราะรบไว้บนร่างกาย ในมือถือทวนเกล็ดย้อน ใช้เพื่อป้องกันตั๊กแตนทมิฬในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง

ขณะกำลังจะร่ายอิทธิฤทธิ์ปล่อยเพลิงจิตปกป้องร่างกายเพื่อบุกเข้าไป จู่ๆ เขาก็ชะงัก นึกขึ้นได้ถึงเรื่องบางอย่าง

พอโบกมือหนึ่งครั้ง ตั๊กแตนที่ใหญ่เท่าวัวตัวผู้ก็บินออกมา นี่คือตั๊กแตนที่เขาพกติดตัวเอาไว้ป้องกันตัวตลอดเวลา มันกระพือปีกบินเสียงดังหึ่งๆ อยู่บนท้องฟ้า ดวงตาสีเขียวขลับน่ากลัวอยู่ภายใต้ม่านราตรี

ตั๊กแตนทมิฬสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งได้ เหมียวอี้ไม่รู้ว่าตั๊กแตนที่ตัวเองเลี้ยงจะเข้าไปข้างในได้หรือเปล่า เขาจำได้ว่าเหล่าไป๋เคยบอก ว่าตั๊กแตนที่ฟักไข่ออกมาจากวิธีการที่สอนก็คือตั๊กแตนหยินหยาง เขาอยากจะทดลองมาก

เพียงแต่การทดสอบนี้ค่อนข้างอันตรายกับตั๊กแตนที่ตัวเองเลี้ยง ถ้าเกิดเหตุการณ์เหมือนกับไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่เมื่อครู่นี้ขึ้นมา นั่นก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว ในตอนนี้ตั๊กแตนหนึ่งตัวสามารถช่วยเขาหาเงินได้ไม่น้อยเลย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็จะมีความเสียหายเยอะมาก

เมือ่คิดไปคิดมา ก็ยังตัดสินใจว่าจะลองดู อยากมากก็แค่ต้องระมัดระวังหน่อย

เหมียวอี้ปักทวนลงพื้น พอกวักมือนิดหน่อย วูบ! ตั๊กแตนตัวหนึ่งก็เหาะลงตรงหน้าทันที

พอเหมียวอี้กอดแขน ตั๊กแตนที่ตัวใหญ่ราวกับวัวทว่าหนักกว่าก็ถูกเขาอุ้มขึ้นมาได้อย่างสบายๆ ตัวหนึ่ง

ตั๊กแตนที่ถูกอุ้มขึ้นมาตกใจอย่างเห็นได้ชัด มันดิ้นรนขาทั้งสี่ โบกสะบัดหนวดสัมผัส หันหัวมามองเหมียวอี้ ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะเอามันไม่ทำอะไร ให้ความรู้สึกคล้ายๆ ชายหญิงห้ามอยู่ใกล้ชิดกัน ตั๊กแตนที่ขาทั้งสี่ลอยอยู่กลางอากาศหันหัวมาจ้องเหมียวอี้ เห็นได้ชัดว่ามองแล้วไม่เข้าใจ

“อย่าขยับ!” เหมียวอี้ตะคอก หลังจากทำให้ตั๊กแตนว่าง่ายแล้ว จับขาข้างหนึ่งของมันให้ตรงแล้วยื่นเข้าไปในหมอกเลือด ไม่กล้าปล่อยเข้าไปหมด

ผลลัพธ์ทำให้คนดีใจ ตั๊กแตนไม่มีความผิดปกติใดๆ ทั้งนั้น ข้อขาน่าเกลียดน่ากลัวที่ยื่นเข้าไปในหมอกเลือดก็ไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย เหมียวอี้ดีใจมาก จากนั้นก็ลองค่อยๆ ปล่อยตั๊กแตนเข้าไปทั้งตัว หลังจากเข้าไปเกินครึ่งตัวแล้วไม่เป็นอะไร เหมียวอี้ก็ใช้แขนดัน โยนมันเข้าไปทั้งตัว

ไม่เป็นอะไร ตั๊กแตนกระพือปีกบินอยู่ในหมอกเลือด แล้วก็แฉลบออกมาอีก มันส่ายหน้าสั่นหัว ยังคงมองเหมียวอี้อย่างไม่เข้าใจ

พอเหมียวอี้โบกมือ ตั๊กแตนทั้งห้าตัวก็บินเข้าไป ดวงตาสีเขียวขลับขยับอยู่ในหมอกเลือด บินไปบินมาอย่างเป็นปกติมาก

“จุๆ!” เหมียวอี้ร่าเริงแล้ว แบบนี้ดีแน่นอน พอร่ายอิทธิฤทธิ์ เพลิงจิตก็พรั่งพรูออกมาครอบตัวเอง และเตรียมตัวจะเข้าไป…

“บึ้ม! จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น ทำให้ผิวดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หมอกเลือดที่อยู่ตรงหน้าเริ่มหมุนขึ้นหมุนลงอย่างรุนแรง ตั๊กแตนห้าตัวรีบบินออกมาราวกับเห็นผี

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เหมียวอี้ที่กำลังจ้องหมอกเลือดค่อนข้างงุนงง เล่นใหญ่เกินไปแล้ว!

เห็นเพียงแสงมันวาวสีเขียวเข้มขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในหมอกเลือด ถ้าดวงตาของตั๊กแตนห้าตัวขนาดมีขนาดเท่าโคมไฟอันเล็ก เช่นนั้นดวงตาประกายสีเขียวเข้มที่ปราฏรางๆ อยู่ในหมอกเลือดก็ต้องมีขนาดเท่าโต๊ะตัวใหญ่ตัวหนึ่งแน่นอน สิ่งนี้ทำให้คนขนลุกซู่


1089



บทที่ 1090 เรือคว่ำในคลองแคบ

มองไม่ชัดว่ามีอะไรหลบอยู่ในหมอกเลือด แต่ไม่ต้องคิดเยอะเลย ในหัวมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา เหมียวอี้เดาออกแล้วว่าในนั้นมีผีอะไร จึงรีบเหาะถอยหลังอย่างรวดเร็ว พร้อมพลิกมือคว้าทวนเกล็ดย้อนที่ปักอยู่บนพื้น

การกระทำของเขาทำให้ดวงตาใหญ่เขียวขลับที่อยู่ข้างในเป็นประกาย วูบ! เงาดำที่เหมือนภูเขาข้างในหมอกเลือดโผล่ออกมาทันที

เป็นวัตถุที่มีขนาดใหญ่เท่าภูเขาลูกเล็ก พุ่งออกมาด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด แค่คิดก็รู้ถึงอานุภาพของมันแล้ว ขาหน้าที่หยาบแข็งแรงเหมือนต้นไม้ใหญ่ดีดออกมาราวกับสายฟ้า ชนอย่างเหี้ยมโหดไปทางเหมียวอี้ที่เหาะหนีด้วยความเร็ว

ความเร็วในการหนีของเหมียวอี้ เมื่อเทียบกับเจ้าตัวที่กำลังจู่โจมเข้ามา ก็เรียกได้ว่ารุ่นใหญ่ปะทะรุ่นเล็ก ไม่มีทางหลบพ้นได้เลย

เหมียวอี้ที่ฉุกละหุกดูดทวนเกล็ดย้อนมาไว้ในมือพยายามเร่งความเร็วสุดชีวิต ใช้สองมือจับทวนในแนวขวางเพื่อต้านทาน หมายจะต้านทานการโจมตีนี้

บึ้ม! เสียงดังอื้ออึงหนวกหู

ทวนเกล็ดย้อนที่กวาดในแนวขวางระเบิดแสงสีทองออกมา แต่กลับไม่มีทางต้านทานการโจมตีที่ดุดันได้ สะเทือนกลับมา สะเทือนจนสองมือของเหมียวอี้กางออก

ปั้ง! เสียงสะเทือนดังอีกครั้ง สะเทือนจนทวนเกล็ดย้อนเด้งใส่หน้าอกเหมียวอี้ พังกระเด็นแล้ว

บึ้ม! เกิดเสียงดังสนั่นอีกครั้ง ขนาดแผ่นดินยังสั่นสะเทือน เหมียวอี้ที่กระอักเลือดสดออกมาอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้สะเทือนจนลอยออกไปราวกับผีพุ่งใต้ แสงสีทองบนเกราะรบผลึกแดงบริสุทธิ์อับแสงลงในชั่วพริบตาเดียว กำแพงที่หนาแข็งแรงอีกด้านของเมืองโบราณฉางเฟิงพังทลายลงในชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ที่ปลิวเข้ามาชนจนดินหินปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า

แต่แบบนี้กลับไม่สามารถยับยั้งทิศทางการไปของเหมียวอี้ได้ เหมียวอี้เหมือนกับอุกกาบาตที่ตกลงมาจากฟ้า พุ่งชนจนกำแพงเมืองพัง ทำลายสิ่งปลูกสร้างหลายหลังในเมืองโบราณ เกิดรอยไถลลึกบนพื้น ไปหยุดอยู่ตรงกลางเมืองโบราณ แล้วก็ถูกบ้านหลังหนึ่งที่ถล่มลงมาฝังกลบ

ตั๊กแตนห้าตัวบินเข้ามาทันที บินวนอยู่บนฟ้าเหนือบ้านที่ฝังกลบเหมียวอี้ไว้

ตั๊กแตนทมิฬร่างยักษ์ตัวหนึ่งที่สีดำขลับทั้งตัว กระดองสีดำบนตัวสะท้อนเป็นมันวาวอยู่ภายใต้แสงจันทร์ มันเกาะอยู่บนพื้น ปรากฏตัวอยู่นอกแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง ร่างกายยาวอย่างน้อยสิบกว่าจั้ง มันกำลังขยับปากแมลงที่มีฟันแหลมคม ดวงตาขนาดใหญ่สีเขียวขลับเปล่งประกาย ในปล้องขามีหนามที่เหมือนตะขอแหลมคม ใต้ท้องกว้างจนม้าเข้าไปวิ่งได้ หน้าตาดุร้ายน่ากลัว

เนื่องจากมันฝ่าออกมาอย่างกะทันหัน หมอกเลือดพิศวงที่อยู่ข้างหลังมันยังคงหมุนขึ้นหมุนลงอย่างรุนแรง

กรอบแกรบ! จู่ๆ อิฐหินที่ฝั่งกลบก็เปิดออก เหมียวอี้ที่ทั้งหน้าเต็มไปด้วยเลือดสดกระอักเลือดคำใหญ่ออกมาไม่หยุด ร่างกายพลิกไปพลิกมาอยู่ในหลุมอย่างยากลำบาก ตั๊กแตนห้าตัวเกาะอยู่ข้างกายเขาแล้ว

และเป็นเพราะเสียงถล่มของอิฐดิน ที่นอกเมืองโบราณ ตั๊กแตนทมิฬยักษ์ที่หยุดเกาะอยู่นอกแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งส่ายหัวไปมา ดวงตายักษ์สีเขียวกะพริบแสงอีกครั้ง มันย่อเข่าที่พื้นเล็กน้อยและดีดตัวออกไป หายไปจากที่เดิมในชั่วพริบตาเดียว

โครมคราม! ในเมืองโบราณ บนเส้นทางเดิมที่เหมียวอี้สะเทือนกระเด็นออกมา บ้านเรือนฝั่งซ้ายและขวาที่ยังไม่ได้ถล่มลงมา เมื่อถูกตั๊กแตนทมิฬพุ่งโจมตี สิ่งของจำพวกหลังคาอิฐหินก็ระเบิดปลิวเต็มฟ้า ฝุ่นควันกระจายอย่างบ้าคลั่ง

ชั่วพริบตาเดียวตั๊กแตนทมิฬก็เกาะที่พื้น แล้วจ้องไปยังเหมียวอี้ที่อยู่บนพื้น มันง้างขาที่แหลมคมออกมาข้างหนึ่ง ต้องการจะโจมตีเขาให้ตาย

เหมียวอี้หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างถี่กระชั้น เขาอาเจียนเป็นเลือดไม่หยุด ขณะมองดูร่างใหญ่มหึมาตรงหน้า ใบหน้าก็ฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวด การโจมตีครั้งเดียวของตั๊กแตนทมิฬเกือบจะทำให้เขาร่างพัง เมื่อเผชิญกับตั๊กแตนทมิฬตัวที่อยู่ตรงหน้า อาศัยวรยุทธ์ของเขาไม่มีแรงที่จะโต้ตอบได้เลย ถ้าไม่ใช่เพรามีเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงต้านทานไว้ เขาก็คงกลายเป็นคนตายไปแล้ว

ขณะมองดูมันชูขาหน้าขนาดยักษ์อันแหลมคมขึ้นมา เขาก็ไม่มีความสามารถใดๆ ที่จะหลบหลีกได้อีก จู่ๆ เขาก็รู้สึกขำขึ้นมา ตอนนี้เล่นใหญ่เกินไปจริงๆ พอได้ไปพิภพใหญ่มารอบหนึ่ง เขาก็ดูถูกสิ่งที่อยู่ในพิภพเล็กนิดหน่อย ตอนนี้ได้ลิ้มรสความขื่นขมแล้ว นับว่าเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าทำไมแม้แต่หกปราชญ์ก็ไม่กล้าเหยียบเข้ามาในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งง่ายๆ และเขาเองก็เคยได้ยินเรื่องความน่าหวาดกลัวของตั๊กแตนทมิฬในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งมานานแล้วเช่นกัน แต่ยังกลับถ่อเอาชีวิตมาทิ้ง ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ

แต่ก็นับว่าเขาจะได้ตายไปพร้อมกับความเข้าใจ การนำชีวิตมาแลกทำให้เขาได้เข้าใจแล้ว ว่าพลังของสัตว์ประหลาดชนิดนี้อยู่เหนือระดับบงกชทองไกลมาก ต่อให้เป็นพลังระดับบงกชทองขั้นเก้า แต่ก็ไม่สามารถโจมตีครั้งเดียวให้เขาตายได้ในขณะที่สวมเกราะผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงชุดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเขาเองจะต้านทานไม่ได้แม้แต่การโจมตีครั้งเดียวของตั๊กแตนทมิฬ พลังของสัตว์ประหลาดชนิดนี้ต้องน่ากลัวขนาดไหนกัน?

ทั้งชีวิตนี้นับว่าผ่านอุปสรรคความลำบากมาไม่น้อย แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเรือจะมาคว่ำในคลองแคบ[1] ไม่น่าเชื่อว่าจะตายภายใต้ความประมาทเลินเล่อ แบบนี้ยุติธรรมมั้ย?

ขณะที่ในหัวมีความคิดเศร้าสลดพวกนี้แวบผ่านเข้ามา ใบหน้าเหมียวอี้ก็เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยต้อนรับความตาย

“หึ่งหึ่ง…”

ถึงแม้ตั๊กแตนห้าตัวจะตื่นตระหนกเพราะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทระนงองอาจบนตัวของตั๊กแตนทมิฬ แต่ในเวลานี้กลับสู้ไม่คิดชีวิตแล้ว พวกมันส่งเสียงร้องพร้อมพุ่งเข้าไป ไปจับตั๊กแตนทมิฬเอาไว้อย่างสับสนวุ่นวาย แล้วกัดเคี้ยวจนเกิดเสียงและเกิดประกายไฟ กรงเล็บที่แหลมคมของพวกมันใช้ไม่ได้ผลกับกระดองของตั๊กแตนทมิฬเลย ทำให้มันบาดเจ็บไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เมื่อเทียบร่างกายของทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็ถึงขั้นทำให้คนรู้สึกขำด้วยซ้ำ

ตั๊กแตนห้าตัวเปลี่ยนเป็นพุ่งไปที่ดวงตาของตั๊กแตนทมิฬ โจมตีที่จุดอ่อนของมัน นั่นคือจุดที่อ่อนแอของตั๊กแตนแน่นอน

แต่พลังของพวกมันเมื่อเทียบกับตั๊กแตนทมิฬแล้ว ก็ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันเลย หนวดสัมผัสสองเส้นบนหัวของตั๊กแตนทมิฬสะบัดวนติดต่อกันหลายครั้ง ราวกับเป็นแส้ยาวสีทองสองเส้น

เสียงสะเทือนดังแกร๊งๆ ติดต่อกันหลายครั้ง ฟาดตั๊กแตนห้าตัวกระเด็นออกไปทันที

ปรากฏว่าตั๊กแตนห้าตัวห้าวหาญไม่กลัวตาย บินพุ่งเข้ามาพัวพันกับตั๊กแตนทมิฬอีกครั้ง

ตั๊กแตนทมิฬร่างยักษ์บิดหัวรูปสามเหลี่ยมไปมา ดวงตาสีเขียวขลับกะพริบแสงขณะจ้องมองตั๊กแตนห้าตัวที่พุ่งเข้ามาโจมตีซ้ำ แล้วก็ก้มหน้ามองเหมียวอี้ที่นอนอยู่ในเศษอิฐเศษหิน เหมือนลังเลนิดหน่อย ขาหน้าอันแหลมคมที่กำลังยกขึ้นไม่ยอมจิ้มลงมาสักที

แกร๊งๆ! หนวดสัมผัสที่เหมือนแส้ยาวสีทองสองเส้นฟาดตั๊กแตนห้าตัวกระเด็นไปอีกครั้ง เคียวเกี่ยวข้าวที่ตั๊กแตนทมิฬชูขึ้นมาวางลงอย่างช้าๆ ร่างขนาดยักษ์ค่อยๆ หันเลี้ยว

เหมียวอี้งุนงง มองดูท้องของตั๊กแตนทมิฬยักษ์เลี้ยวผ่านยอดศีรษะตัวเองไป กังวลว่าจะโดนก้นของมันกระแทกตาย

วูบ! ฝุ่นควันกระพือขึ้นมาพักหนึ่ง กระแสลมพัดม้วน ตั๊กแตนทมิฬโผขึ้นฟ้า ชั่วพริบตาเดียวก็ไปเหยียบนอกแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งอีก แล้วเดินก้าวยาวช้าๆ เข้าไปในหมอกเลือดที่ไหลกลิ้งอย่างประหลาด มันไม่สามารถอยู่นอกแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งได้นาน นี่เป็นเพราะตอนกลางคืนมันถึงออกมาได้

ตั๊กแตนห้าตัวกลับไม่ใจกว้างปล่อยไป ยังคงไล่ตามหลังตั๊กแตนทมิฬเข้าไปกัดกินอย่างบ้าคลั่ง กระทบจนเกิดประกายไฟออกมาเป็นระยะ

ตั๊กแตนทมิฬไม่ตอบสนองใดๆ กับสิ่งนี้ เพียงหันมามองตั๊กแตนทั้งห้าตัวแวบเดียว แววตาสีเขียวกลับกะพริบแสงพักหนึ่ง แล้วก็หันกลับไปอีก มันยื่นหัวเข้าไปในหมอกเลือดประหลาด แล้วร่างยักษ์ก็ตามเข้าไปไปอย่างช้าๆ ย่างเก้าที่หนักอึ้งแบบนั้นเผยกลิ่นอายความเก่าแก่วังเวง

จนกระทั่งร่างมหึมานั่นเข้าไปในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง หลังจากมันหายมิดไปในหมอกหนาพร้อมเสียงดังวูบ ตั๊กแตนห้าตัวถึงได้บินขึ้นไปบนฟ้าพักหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนภาคภูมิใจ ราวกับพวกมันทำให้ตั๊กแตนทมิฬตกใจจนหนีไปหรือไม่ก็ไล่ไปได้แล้ว ตอนนี้พวกมันถึงได้บินกลับมา

ขณะมองดูตั๊กแตนห้าตัวที่กลับมาล้อมอยู่รอบกายตัวเอง การที่มันแยกเขี้ยวโบกกรงเล็บแบบนั้นให้ความรู้สึกเหมือนกำลังแสดงผลงาน เหมียวอี้ที่อาเจียนเลือดเป็นระยะไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขามองออกแล้ว มันชัดเจนเกินไป ตั๊กแตนทมิฬตัวนั้นไว้หน้าตั๊กแตนห้าตัวนี้ มันถึงได้ไว้ชีวิตเขา เดิมทีมันต้องการจะลงมือสังหารเขาแล้ว!

เขานึกว่าตัวเองจะตายเสียแล้ว เมื่อครู่เตรียมตัวยอมรับความตายแล้วด้วยซ้ำ แต่ใครจะคิดว่าตั๊กแตนห้าตัวนี้จะช่วยเขาให้รอดพ้นเงื้อมมือตั๊กแตนทมิฬ

ดูจากร่างกายของตั๊กแตนทมิฬตัวนั้น มีขนาดไม่ต่างกับตัวที่เหล่าไป๋เรียกออกมาในปีนั้นสักเท่าไร เขาสงสัยนิดหน่อยว่าตั๊กแตนห้าตัวของเขาเป็นลูกหลานของตั๊กแตนทมิฬตัวนี้รึเปล่า?

บนฟ้ากำลังมีเงาคนสามคนสำรวจตรวจตราไปทั่ว ความเคลื่อนไหวของที่นี่ค่อนข้างใกล้กับเมืองฉางเฟิง มนุษย์ธรรมดาอาจจะไม่ได้ยิน แต่ปิดบังนักพรตที่มีวรยุทธ์ระดับฉินเวยเวยไม่ได้ และเสียงการต่อสู้ของตรงนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตวรยุทธ์ต่ำจะทำได้ด้วย

เมื่อนึกเชื่อมโยงว่าเหมียวอี้ก็อยู่แถวนี้เหมือนกัน นางจะพักอยู่กับที่ได้อย่างไร นำหงเหมียน ลู่หลิ่มสำรวจมาทางนี้ตลอดทาง

ระหว่างทางที่มา สิ่งที่หาพบก่อนกลับเป็นทวนด้ามหนึ่งที่ปักเอียงอยู่บนพื้นในจุดที่ห่างจากเมืองโบราณฉางเฟิงหลายร้อยจั้ง เป็นทวนเกล็ดย้อนที่พังกระเด็นออกมาหลังจากเหมียวอี้ใช้ต้านทานตั๊กแตนทมิฬ มันสะท้อนอยู่ภายใต้แสงจันทร์จนทำให้คนสังเกตเห็น พอฉินเวยเวยเหยียบลงพื้นไปหยิบขึ้นมาดู นางก็ระแวงกลัวทันที

เหมียวอี้ใช้อาวุธแบบไหน นางก็ย่อมรู้ชัดอยู่แล้ว ถึงแม้จะไม่เคยเห็นวัสดุที่ใช้ทำอาวุธชิ้นนี้มาก่อน แต่แค่เห็นทวนเกล็ดย้อนก็รู้แล้วว่าเป็นสิ่งที่ใช้งานเฉพาะของเหมียวอี้ พิสูจน์การคาดเดาของนางแล้ว การต่อสู้เมื่อครู่นี้เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้แน่นอน

ขนาดอาวุธแบบนี้ยังโยนทิ้งได้ จะเห็นได้ว่าเหมียวอี้ประสบปัญหาแล้ว

หงเหมียน ลู่หลิ่วก็หวาดกลัวแล้วเช่นกัน ทั้งสองรู้จักรูปแบบอาวุธที่เหมียวอี้ใช้ ตอนนี้เหมียวอี้ไม่ได้เป็นแค่เจ้านายของพวกนาง แต่ยังเป็นผู้ชายของพวกนางด้วย เมื่อกายเนื้อได้สัมผัสใกล้ชิดกันแล้ว ก็ไม่ใช่สิ่งความสัมพันธ์ของนายบ่าวแบบก่อนหน้านี้จะเทียบได้ หัวใจผูกติดกันแล้ว จะไม่ให้กระวนกระวายได้อย่างไร

สามคนที่อยู่บนท้องฟ้ารีบใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองไปรอบๆ เมืองโบราณฉางเฟิงที่ถูกทำลายพังดึงดูดความสนใจของพวกนางแล้ว เมื่อเหาะไปตามร่องรอยความเสียหายที่ราวกับถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย ก็เห็นเหมียวอี้ที่นอนอยู่ในซากหักพังกลางเมืองกำลังโดนตั๊กแตนห้าตัวล้อมอยู่

ทั้งสามไม่เคยเห็นตั๊กแตนของเหมียวอี้มาก่อน ทั้งยังอยู่ข้างแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งอีก ย่อมนึกเชื่อมโยงไปถึงตั๊กแตนทมิฬอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นตั๊กแตนธรรมดาที่ไหนจะตัวใหญ่เท่าวัว

เคยได้ยินถึงความร้ายกาจของตั๊กแตนทมิฬมานานแล้ว เมื่อเห็นแบบนี้ ทั้งสามก็นึกว่าเหมียวอี้ถูกตั๊กแตนห้าตัวนั้นทำร้าย พวกนางจึงสวมเกราะรบทันที เตรียมจะช่วยชีวิตเขา

ส่วนตั๊กแตนห้าตัวก็หันมามองพวกฉินเวยเวยด้วยเจตนาไม่ดี พวกมันเห็นเป็นศัตรูเช่นกัน เริ่มกระพือปีกบินขึ้นมา เตรียมตั้งท่าโจมตีแล้ว

เหมียวอี้ที่นอนอยู่บนพื้นดวงตาค่อนข้างไร้แวว เขาตกใจกับการเคลื่อนไหวของตั๊กแตน จึงดันทุรังรวบรวมพลังอิทธิฤทธิ์เพื่อใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองแวบหนึ่ง ถึงได้เห็นพวกฉินเวยเวยที่อยู่บนฟ้าอย่างชัดเจน

เหมียวอี้แอบร้องว่าแย่แล้ว พวกฉินเวยเวยใช่คู่ต่อสู้ของตั๊กแตนห้าตัวนี้เสียที่ไหนกัน จึงพยายามสุดชีวิตเพื่อยกฝ่ามือขึ้นข้างหนึ่ง แล้วพยายามร่ายพลังอิทธิฤทธิ์ที่อ่อนแอเปิดใช้งานกำไลเก็บสมบัติของตัวเอง ใช้พลังจิตเรียกตั๊กแตนห้าตัวนั้นกลับเข้ามา

ตั๊กแตนห้าตัวบินกลับมา แล้วเข้าไปอยู่ในกำไลเก็บสมบัติ มือที่ยกขึ้นเล็กน้อยของเหมียวอี้ก็ตกลงพื้นแล้วเช่นกัน

เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ พวกฉินเวยเวยย่อมดูออกเช่นกันว่าตัวเองเข้าใจผิดไป รีบเหาะลงมาเหยียบพื้น

เมื่อเห็นสภาพยับเยินของเหมียวอี้ ฉินเวยเวยก็รีบคุกเข่าและประคองเหมียวอี้มาไวในอ้อมกอดตัวเอง พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบอาการเล็กน้อย ก็พบทันทีว่าเหมียวอี้ไม่ได้บาดเจ็บสาหัสธรรมดา อวัยวะภายในถูกทำลาย ตับไตใส้พุงถูกตัดเป็นชิ้น แขนสองข้างที่อยู่ใต้เกราะรบก็ยิ่งเลือดเนื้อเละเทะปนกัน ปากอาเจียนเลือดออกมาไม่หยุด ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้ว กำลังอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ที่อ่อนแอปกป้องชีพจร หอบหายใจไม่หยุด แม้แต่ความสามารถในการช่วยชีวิตตัวเองก็ไม่มีแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อครู่นี้เอาพลังจากไหนมาเปิดใช้งานกำไลเก็บสมบัติ

“ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้?” ฉินเวยเวยถามปนน้ำเสียงร้องไห้ แต่ก็นึกได้ว่าเหมียวอี้อ้าปากตอบไม่ไหว ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถาม จึงสั่งหงเหมียน ลู่หลิ่วอย่างใจร้อนว่า “เร็วเข้า! สมุนไพรเซียนซิงหัว! เร็วๆๆ…”

หงเหมียน ลู่หลิ่วฉุกละหุกอยู่พักหนึ่ง รีบนำสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมา แล้วนั่งย่อเขาคนละฝั่ง ร่ายอิทธิฤทธิ์เป่าหมอกดาวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้าไปในร่างกายเหมียวอี้

ผู้หญิงทั้งสามคนกำลังร้องไห้น้ำตาหยดแหมะๆ อยู่อย่างนั้น

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เหมียวอี้ที่มีแรงไอก็พ่นเลือดคั่งออกมาคำหนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยปากได้แล้ว เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแอว่า “ไม่ควรอยู่ที่นี่นาน…หาที่ซ่อนตัว…”

ผู้หญิงทั้งสามคนรีบหามเขาออกไปจากตรงนั้นทันที

…………………………

[1] 阴沟里翻了船 เรือคว่ำในคลองแคบ หมายถึงตายน้ำตื้น คนที่พลาดท่าเสียทีเพราะเรื่องเล็กน้อย


1090


บทที่ 1091 สะกดรอยตาม

บนท้องฟ้า ฉินเวยเวยที่กำลังอุ้มเหมียวอี้ถามอย่างร้อนใจว่า “จะกลับไปพักที่ยอดเขาหยกนครหลวงอย่างสงบใจก่อนมั้ย?”

เหมียวอี้ตอบอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงว่า “มู่ฝานจวินอาจจะจับตาดูที่ยอดเขาหยกนครหลวงอยู่ กลับไปตอนนี้ไม่เหมาะ รอให้ข้าพักฟื้นจนหายดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน เมืองโบราณพังทลาย เกรงว่าคงดึงดูดให้นักพรตมาสำรวจดูทุกที่ ซ่อนตัวแถวๆ นี้ไม่สะดวก เรือลำนั้นน่าจะลอยไปไม่ได้ไกล ไปขึ้นเรือ”

ฉินเวยเวยพยักหน้า เข้าใจเจตนาของเขาแล้ว

ตอนที่พวกเขาเหาะออกจากเมืองโบราณฉางเฟิง ก็มีชายหฐิงอีกคู่หนึ่งปรากฏตัวจากซอกมุมที่อยู่ในเมือง ผู้ชายหน้าตาธรรมดา แต่ผู้หญิงกลับมีทรวดทรงองเอวงดงาม ดวงตาสดใสและกลมเหมือนลูกบ๊วย ใบหน้างดงามน่าทะนุถนอม

“วรยุทธ์เจ้ายังไม่สูงพอ อยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะตามไปดู” ผู้ชายผู้ทิ้งท้ายไว้ เตรียมจะสะกดรอยตาม

ใครจะคิดว่าผู้หญิงกลับดึงแขนเขาไว้ “ข้าไปด้วย!”

ผู้ชายเหมือนจะทำใจปฏิเสธไม่ลง หลังจากลังเลนิดหน่อย ก็คว้าข้อมือของนางเอาไว้ ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชแดงขั้นหก ดึงนางเหาะออกจากเมือง อาศัยความมืดยามค่ำคืนและสภาพพื้นที่เพื่อพรางตัวตลอดทาง ตามหลังพวกฉินเวยเวยอยู่ไกลๆ…

พวกฉินเวยเวยหาแม่น้ำที่ใช้เดินทางตอนขามาพบแล้ว พวกนางเดนิทางไปตามกระแสน้ำโดยอาศัยแนวภูเขาสองฝั่งแม่น้ำคอยกำบัง ใช้เวลาไม่นานก็หาเรือโหลวฉวนที่ถูกทิ้งลำนั้นพบ

พวกเขาแยกจากเรือโหลวฉวนลำนั้นเป็นเวลาเพียงเกือบครึ่งวัน เรือโหลวฉวนไหลตามคลื่นกระแสน้ำหลังจากถูกทิ้งไว้ เมื่อไม่มีคนคอยขับเรือ ใช้เวลาเกือบครึ่งวันก็ลอยไปได้ไม่ไกลเท่าไร ที่จริงยังใกล้กว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้ด้วยซ้ำ เรือโหลวฉวนเกยตื้นนิ่งๆ อยู่บนชายหาดที่เป็นกระแสน้ำย้อนกลับ

หงเหมียน ลู่หลิ่วขึ้นเรือไปสำรวจดูรอบหนึ่งก่อน เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีคน ฉินเวยเวยถึงได้อุ้มเหมียวอี้เข้ามาในห้องโดยสารเรือ เมื่อวางลงบนเตียงแล้ว ก็ใช้สมุนไพรเซียนซิงหัวรักษาให้เหมียวอี้ต่อไป ส่วนหงเหมียน ลู่หลิ่วก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเรืออีกครั้ง ทำให้เรือไหลตามกระแสน้ำอย่างรวดเร็ว

ต่อให้เรือจะแล่นเร็วกว่านี้ แต่ก็สู้ความเร็วในการเหาะไม่ได้ กอปรกับไหลไปตามกระแสน้ำ เส้นทางชัดเจนและแน่นอน ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะสะกดรอยตามพลาด ชายหญิงที่ติดตามอยู่ตามแนวภูเขาใกล้ๆ สบายแล้ว ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าจะถูกพบ เรียกได้ว่าตามหลังอยู่ในแนวภูเขาสองฝั่งน้ำอย่างสบายๆ

“พี่ใหญ่กาน ท่านกำลังทำอะไร?” ผู้หญิงสังเกตเห็นผู้ชายน้ำแผ่นหยกมาเขียนอะไรบางอย่าง จึงอดไม่ได้ที่จะถาม

ผู้ชายหัวเราะหึหึ แล้วถามว่า “ซู่ซู่ เจ้ารู้มั้ยว่าคนที่ถูกตั๊กแตนทมิฬทำร้ายจนบาดเจ็บเป็นใคร?”

ผู้หญิงแววตาวูบไหวเล็กน้อย ถามว่า “อย่าบอกนะว่าพี่ใหญ่กานรู้จัก?”

ที่จริงนางก็รู้จักเหมียวอี้เหมือนกัน แต่จนใจที่แค่บังเอิญพบเหมียวอี้เท่านั้น และไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเหมียวด้วย

นางเคยเป็นคนเมืองคล้อยบูรพา ชื่อว่าฟางซู่ซู่ จะว่าไปแล้วการที่นางเข้าสู่แดนฝึกตนก็เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้เหมือนกัน ในปีนั้นเหมียวอี้ยังเป็นประมุขถ้ำคล้อยบูรพา ตอนที่มาเที่ยวเล่นเมืองคล้อยบูรพา ก็บังเอิญรับลูกกลมแพรปัก[1]ที่นางโยนมาได้ จากนั้นก็โยนทิ้งโดยไม่ใส่ใจ เรื่องนี้ทำให้นางกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของเมืองคล้อยบูรพา

สาวน้อยคนหนึ่งที่โยนลูกกลมแพรปักเลือกเจ้าบ่าวแต่กลับโดนปฏิเสธ จะไม่ให้นางเหลือทนได้อย่างไร ดังนั้นจึงติดตามมาตลอดเพราะต้องการคำอธิบาย แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเป็นนักพรต ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายจึงไม่ชายตามองนาง เพราะอีกฝ่ายเป็นท่านเซียน จะมาสนใจมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งได้อย่างไร แต่นิสัยนางหยิ่งในศักดิ์ศรี จึงตั้งปณิธานว่าจะบำเพ็ญเซียน เพื่อรอทวงความยุติธรรมในอนาคต

ตอนหลังเมื่อเหมียวอี้ถูกลดขั้นให้เป็นประมุขถ้ำคล้อยบูรพา แล้วมาเที่ยวเล่นในเมืองคล้อยบูรพาอีกครั้ง เขาก็บังเอิญพบนางอีกครั้งหนึ่ง แต่เหมียวอี้ไม่รู้จักนางแล้ว ส่วนนางถึงแม้จะรู้จักเหมียวอี้แต่ก็ยังเป็นฝ่ายเข้ามาทำความรู้จัก ทำให้ทั้งสองได้ล่องเรือ้ที่ยวด้วยกัน แต่นางกลับไม่ได้สืบจนรู้ฐานะที่แท้จริงของเหมียวอี้ นางแค่สังเกตเห็นว่าถึงแม้ความคืบหน้าในการฝึกตนของนางจะไม่ช้า แต่เมื่อเทียบกับเหมียวอี้แล้วก็ยังห่างกันไม่ใช่น้อยๆ ตอนหลังเหมียวอี้ก็ทิ้งนางแล้วจากไปโดยไม่ลาอีก การจากลาครั้งนั้นก็ทำให้ไม่ได้พบกันอีกเลยหลายปี

ครั้งนี้ได้พบเหมียวอี้อีกครั้งถือเป็นโชคชะตาแท้ๆ ที่เขาว่ากันว่า ‘ถ้าไร้ความบังเอิญก็คงเขียนหนังสือออกมาไม่ได้’ ก็เป็นแบบนี้นี่เอง

เป็นเพราะตอนแรกนางไม่เชื่อฟังคำโน้มน้าวของพ่อแม่ จากบ้านเกิดเมืองนอนไปตามหาววาสนาในการฝึกตนเป็นเซียน แต่ตอนที่ได้วาสนาในการฝึกตนมา พ่อแม่ของนางกลับจากโลกนี้ไปแล้ว ทำให้ในใจนางเสียใจเคียดแค้นกับเรื่องนี้ไม่หาย แค้นใจที่ตัวเองไม่ได้กตัญญูอย่างเต็มที่ตอนที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นทุกๆ หลายปีนางจึงกลับบ้านเกิดมาเอาศีรษะโขกพื้นตรงหน้าหลุมศพพ่อแม่เสมอ เป็นแบบนี้มาตลอดหลายปี

ส่วนผู้ชายที่ร่วมเดินทางมาด้วยชื่อว่ากานเจ๋อกวง เป็นลูกศิษย์ขอสำนักงามวิจิตรที่งแดนอู๋เลี่ยง

สาเหตุที่ฟางซู่ซู่มารู้จักเขาได้ จะว่าไปก็ยังเกี่ยวข้องกับเหมียวอี้อยู่ ครั้งสุดท้ายที่นางได้พบเหมียวอี้ นางพบว่าตัวเองพยายามมาหลายปี แต่ก็ยังไม่สามารถดึงระยะห่างระหว่างกันได้ และสำนักของนางที่แดนอู๋เลี่ยงก็เล็กเกินไป แม้แต่เจ้าสำนักก็ยังมีวรยุทธ์แค่บงกชแดงเท่านั้น ถามหน่อยว่านางจะทำอะไรได้ สำนักเล็กๆ ไม่เพียงพอจะสนับสนุนอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของนาง ดังนั้นสายตานางจึงมองไปยังจุดที่ไกลกว่าเดิม

จุดสูงสุดของแดนอู๋เลี่ยงย่อมเป็นนภาอู๋เลี่ยงอยู่แล้ว แต่นภาอู๋เลี่ยงไม่ใช่จุดที่นางจะเข้าใกล้ได้เลย จึงถอยมาจับจ้องเป้าหมายรองซึ่งก็คือสำนักงามวิจิตรที่เกี่ยวข้องกับนภาอู๋เลี่ยง ด้วยการลองคบค้าสมาคมหลายครั้ง สุดท้ายก็ได้รู้จักกับกานเจ๋อกวงคนนี้

สำหรับฟางซู่ซู่ ภูมิหลังของกานเจ๋อกวงไม่เล็กเลย อาจารย์ของเขาก็คือเซี่ยงไป่ถิง ศิษย์พี่ของเยารั่วเซียนนั่นเอง

เจตนาเดิมของนางคือหวังจะให้กานเจ๋อกวงแนะนำให้นางเข้าสำนักงามวิจิตร เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น อย่าว่าแต่สำนักงามวิจิตรเลย แต่ไม่ว่าสำนักใดก็ไม่รับคนส่งเดชทั้งนั้น แต่กานเจ๋อกวงกลับถูกใจในความสวยของนาง ชื่นชอบนาง ตามจีบนางมาตลอด ครั้งนี้ที่ฟางซู่ซู่กลับบ้านเกิดมากวาดหลุมศพพ่อแม่ เขาถึงขั้นเดินทางมาเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ

สำหรับนักพรต เมืองคล้อยบูรพาอยู่ห่างจากเมืองฉางเฟิงไม่ไกล ล้วนขึ้นตรงต่ออาณาเขตจวนหนานเสวียน ระหว่างทางที่กลับมาจากกวาดหลุมศพ เมื่อเดินทางผ่านตรงนี้ เสียงระเบิดก็ทำให้ทั้งสองตกใจ ทั้งสองมาถึงเร็วกว่าฉินเวยเวยก้าวหนึ่ง เรียกได้ว่าเห็นภาพที่เหมียวอี้ถูกตั๊กแตนทมิฬทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสกับตา

หลังจากตั๊กแตนทมิฬถอยไปแล้ว เดิมทีกานเจ๋อกวงคิดจะจัดการเหมียวอี้ที่กำลังบาดเจ็บ ทว่าตั๊กแตนห้าตัวนั้นทำให้เขาหวาดกลัว กอประกับตอนหลังฉินเวยเวยมาถึงแล้ว เขาถึงได้ซ่อนตัวอยู่ตลอด ตอนหลังถึงได้ติดตามไป

ตอนนี้ทั้งสองกำลังเดินทางทะลุป่าภูเขาริมแม่น้ำ เมื่อได้ยินคำถามของฟางซู่ซู่ กานเจ๋อกวงก็เดาะลิ้นแล้วตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ต้องรู้จักอยู่แล้วสิ! ซู่ซู่ เจ้าคือดาวนำโชคของข้าจริงๆ ถ้าครั้งนี้ไม่ได้ตามเจ้ามาไหว้บรรพบุรุษที่บ้านเกิด ข้าจะได้สร้างผลงานใหญ่แบบนี้ได้อย่างไร! เจ้าคนที่ได้รับบาดเจ็บนั่นไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นไอ้เหมียวจัญไรไง!”

ฟางซู่ซู่อึ้งไปชั่วขณะ ตอนแรกยังคิดตามไม่ทัน จึงถามว่า “ไอ้เหมียวจัญไรไหน?”

กานเจ๋อกวงตอบกลั้วหัวเราะ “อย่าบอกนะว่ามีไอ้เหมียวจัญไรหลายคน? ไอ้เหมียวจัญไรที่ชื่อเสียงโด่งดังในแดนฝึกตนไง ประมุขถิ่นกลางของทะเลดาวนักษัตร ไอ้เหมียวจัญไรที่เอาเถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมเมฆาวายุมาเป็นเมียไง อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยได้ยิน?”

“เขาคือเหมียวอี้เหนอ? พี่ใหญ่กาน ท่านแน่ใจนะว่าเป็นเขา?” ฟางซู่ซู่ตกตะลึงปนประหลาดใจ

กานเจ๋อกวงตอบว่า “ไม่ผิดแน่! ตอนที่เขาก่อเรื่องที่สำนักงามวิจิตร ข้าอยู่ในเหตุการณ์และได้เห็นกับตาตัวเอง จะจำผิดได้อย่างไร แล้วก็มีผู้หญิงที่อุ้มเขาด้วย ตอนนั้นข้าเคยเจอที่สำนักงามวิจิตรเหมือนกัน ฉินเวยเวย เป็นอนุภรรยาของเขา มีผู้หญิงคนนี้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว ก็ยิ่งไม่ผิดแน่ ไอ้เหมียวจัญไรนี่ก่อเรื่องใหญ่โตที่สำนักงามวิจิตร ทั้งยังฆ่าลูกศิษย์ของปราชญ์เต๋า ตอนนี้เขาบาดเจ็บสาหัส สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย มาบังเอิญถูกข้าพบเข้าแล้ว ถ้าข้าส่งข่าวนี้กลับไป ก็จะมีคนมาจับตัวเขาได้ทันเวลา เจ้าว่านี่จะไม่ใช่ผลงานใหญ่ได้อย่างไร?”

ฟางซู่ซู่เงียบไป ถึงขั้นแค้นจนกัดฟันกรอดด้วยซ้ำ ที่แท้คนที่นางตามหามาหลายปีก็คือไอ้เหมียวจัญไรที่ชื่อเสียงโด่งดังทั้งแดนฝึกตน อีกฝ่ายมีอนุภรรยาแล้วด้วยซ้ำ เสียแรงที่นางทรยศบุญคุณของบิดามารดาเพื่อเขา หลายปีมานี้เพื่อที่จะดึงระยะห่างให้ใกล้กับเขา นางก็ยิ่งได้รับความลำบากทุกข์เต็มที่

จู่ๆ นางก็พบว่าตัวเองจะลำบากไปเพื่ออะไรกัน เข้ามาอยู่ในสำนักงามวิจิตรอล้วยังไงล่ะ? อีกฝ่ายคือคนที่กล้าก่อเรื่องใหญ่โตที่สำนักงามวิจิตรต่อหน้าปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินนะ กล้าสังหารแม้กระทั่งลูกศิษย์ของปราชญ์เต๋า ด้วยระยะห่างแบบนี้ เกรงว่าทั้งชีวิตนี้นางคงจะไม่มีทางดึงให้เสมอกันได้

เจี่ยเสียน! ในฟางซู่ซู่มีชื่อหนึ่งแวบเข้ามา เป็นตอนที่ได้พบเหมียวอี้ครั้งสุดท้ายในปีนั้น เหมียวอี้ปลอมชื่อนี้มาตบตานาง ในใจมีความเคียดแค้นพรั่งพรูออกมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้!

สิ่งที่ผู้หญิงไขว่คว้ามาไม่ได้ มักจะทำให้เกิดความเคียดแค้นอย่างแปลกประหลาด!

“ซู่ซู่ เจ้าติดตามต่อไป ข้าไปที่อื่นประเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวกลับมา!” เมื่อเขียนแผ่นหยกเสร็จแล้ว กานเจ๋อกวงที่จับอินทรีเทพมาตัวหนึ่งก็สั่งนางไว้

ฟางซู่ซู่พยักหน้าเอ่ยรับ กานเจ๋อกวงอุ้มอินทรีเทพเหาะไปไกลทันที ไม่กล้าปล่อยอินทรีเทพให้บินในจุดที่ใกล้เกินไป กลัวว่าจะดึงดูดความสนใจของเป้าหมาย ถ้าแหวกหญ้าให้งูตื่นจนหนีไป ผลงานก็จะหายไปด้วยเช่นกัน…

หลังจากเรือแล่นไปหลายวัน ก็ออกจากบริเวณฝนชุกที่ถูกขนาบด้วยภูเขา มาถึงจุดที่กว้างขวางของแม่น้ำ ในแม่น้ำมีเรือประมงและเรือสินค้าสัญจรไปมาเป็นระยะ สองฝั่งแม่น้ำก็มีท่าเรือและบ้านคนอยู่เรื่อยๆ เช่นกัน เมื่อลักษณะพื้นที่กว้างขวาง กานเจ๋อกวงกับฟางซู่ซู่ก็สะกดรอยตามได้ค่อนข้างลำบาก ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะจะถูกพบได้ง่าย ทำได้เพียงตามอยู่ไกลๆ

เหมียวอี้ที่กำลังประคองลมหายใจพบปัญหาใหญ่แล้วเช่นกัน อาการบาดเจ็บคงที่แล้ว แต่แขนสองข้างที่โดนพลังโจมตีเยอะที่สุดในตอนนั้นกลับใช้งานไมได้ กระดูกและเนื้อหนังสะเทือนจนแทบแตกเละทั้งหมด ไม่สามารถฟื้นตัวได้โดยตรง จำเป็นต้องตัดขาสองข้างทิ้งและปล่อยให้งอกใหม่อีกครั้ง

ความเจ็บปวดทรมานที่มาพร้อมการงอกใหม่ของอวัยวะ คนนอกไม่สามารถจินตนาการได้ นี่คือเรื่องที่เหมียวอี้ประสบพบเจอเป็นครั้งที่สอง โชคดีที่ตอนนี้บนตัวเขามีสมุนไพรเซียนซิงหัวมากพอ สามารถค่อยๆ ใช้สอยได้

พวกฉินเวยเวยปวดใจแทบแย่ ระหว่างทางร้องไห้ไปหลายรอบแล้ว

จนกระทั่งสามารถลุกเดินได้แล้ว เหมียวอี้ก็เดินแกว่งแขนเสื้อสองข้างออกมาจากห้องโดยสารเรือ เขาออกมาตากอากาศบนตึกเรือ แต่ความเจ็บปวดทำให้เหงื่อกาฬซึมออกจากหน้าผากไม่เคยหยุด เสื้อผ้าบนตัวถูกทำให้เปียกครั้งแล้วครั้งเล่า การยืนพิงระเบียงให้ลมเป่า กลับทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อยเลย เขาเอนกายลงบนเก้าอี้นอน ไม่ยอมอุดอู้อยู่ในห้องโดยสารเรืออีก

ฉินเวยเวยที่คอยอยู่เป็นเพื่อนกัดฟันถามว่า “ใครทำให้ท่านบาดเจ็บจนกลายเป็นแบบนี้คะ?”

เหมียวอี้ที่สีหน้าซีดขาวยิ้มเจื่อน “ไม่ใช่คนหรอก! เป็นข้าเองที่กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ ไปเรียกตั๊กแตนทมิฬออกมาจากแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง เวยเวย ต่อไปนี้เจ้าจำไว้นะ ว่าตั๊กแตนทมิฬที่ขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ของแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งมีพลังเหนือกว่าที่เจ้าจินตนาการไว้ไกลมาก ขนาดข้ายังต้านทานไม่ไหวเลย ข้าแน่ใจด้วยว่าหกปราชญ์ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันเหมือนกัน อย่าไปยั่วโมโหมันเด็ดขาด…”

ณ สำนักงามวิจิตร เซี่ยงไป่ถิงได้รับข่าวจากกานเจ๋อกวงที่เป็นลูกศิษย์แล้ว ความคิดแรกก็คือไปบอกโม่หมิงผู้เป็นอาจารย์ของเขา

แต่หลังจากเดินมาถึงที่หลอมของวิเศษของสำนัก ฝีเท้าก็หยุดชะงัก ไตร่ตรองถึงความสัมพันธ์ของโม่หมิงกับเยารั่วเซียน แล้วเยารั่วเซียนกับเหมียวอี้ก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา…เซี่ยงไป่ถิงจึงหันตัวหลับ เปลี่ยนเส้นทางไปยังลานบ้านของเรือนพักด้านในที่เต็มไปด้วยสวนดอกไม้ สถานที่ฝึกตนของอาจารย์แม่เหมียวจวินอี๋

เหมียวจวินอี๋ที่สวมชุดกระโปรงยาวลายดอกไม้ ตอนนี้กำลังเล่นกับวิหคขนสีรุ้งในกรงที่ห้อยใต้ชายคาพอดี การขอพบจึงไม่ลำบากอะไร

หลังจากได้อ่านแผ่นหยกที่เซี่ยงไป่ถิงยื่นมาให้ เหมียวจวินอี๋ก็เงยหน้าถามทันที “อาจารย์เจ้ารู้เรื่องนี้หรือเปล่า?”

“กำลังจะไปบอกท่านอาจารย์พอดีขอรับ แต่นึกไม่ถึงว่าท่านอาจารย์จะไม่อยู่” เซี่ยงไป่ถิงตอบ

เหมียวจวินอี๋เตือนทันทีว่า “ห้ามบอกเรื่องนี้กับอาจารย์เจ้า ข้าจะไปพบท่านปราชญ์เดี๋ยวนี้…”

หลังจากสั่งแล้ว นางก็ไม่สนใจนกที่อยู่ใต้ชายคาอีก เรียกได้ว่าเหาะขึ้นฟ้าไปโดยตรงเลย

เมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นใคร เซี่ยงไป่ถิงก็ดีดนิ้วปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาสายหนึ่ง ทำให้นกขนสีรุ้งที่อยู่ในกรงเจ็บจนดิ้นพล่าน…

…………………………

[1] ลูกกลมแพรปัก 绣球 ในสมัยโบราณมีไว้ใช้การเสี่ยงทายเลือกคู่ ถ้าผู้หญิงโยนไปให้ใคร คนนั้นจะได้เป็นเจ้าบ่าว

1091


บทที่ 1092 แจ้งเตือน

สำนักงามวิจิตรอยู่ห่างจากนภาอู๋เลี่ยงไม่ไกล อย่างน้อยก็เป็นแบบนี้สำหรับนักพรต เหมียวจวินอี๋ที่เหาะด้วยความเร็วสูงเข้ามาในนภาอู๋เลี่ยงอย่างคล่องแคล่ว ไม่มีใครขัดขวาง

ตอนที่พบฟิงเป่ยเฉินในลานบ้านลึกของตำหนักอู๋เลี่ยงที่กว้างใหญ่ไพศาล เฟิงเป่ยเฉินกำลังเอามือไขว้หลังมองดูฉินซีตัดแต่งดอกไม้ที่ปลูกในกระถางด้วยท่าทางสนใจ เฟิงเป่ยเฉินอาจจะไม่ได้มีคุณสมบัติประจำตัวดีสักเท่าไร แต่กลับมีรสนิยมสูง การอยู่เหนือผู้อื่นมานานไม่ใช่สิ่งที่มีไว้แสดงโอ้อวดเท่านั้น ความมีระดับที่ได้รับการบ่มเพาะมาก็ยังมีอยู่บ้าง คอยแนะนำอยู่ข้างๆ ฉินซีนิดหน่อย

เมื่อเหมียวจวินอี๋ที่เข้ามาคำนับเห็นภาพนี้ ก็จ้องฉินซีที่มีอากัปกิริยาเย็นชาเงียบเหงาพลางเบะปาก เหมือนจะดูถูกเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ทำสีหน้าเรียบร้อยจริงจังอีก

“ท่านอาจารย์! อาจารย์แม่!” หลังจากคำนับแล้ว ก็ยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้เฟิงเป่ยเฉินอ่าน

“ตั๊กแตนทมิฬ…” ฟิงเป่ยเฉินรับมาอ่านแล้วพึมพำ สีหน้าเริ่มจริงจังและหนักแน่นทีละนิด เกราะรบสีแดงที่บรรยายในเนื้อหารายงานทำให้เขานึกเชื่อมโยงถึงโซ่สีแดงที่มัดตัวพวกผีดิบที่เห็นบนเรือมังกรอเวจี  ทั้งยังมีดาบใหญ่สีม่วงที่ตกอยู่ในมือมู่ฝานจวินอีก

ตอนนี้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าบนตัวเหมียวอี้มีของประเภทนี้อยู่เท่าไรกันแน่ ในใจรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องเกราะรบสีแดง ลำพังแค่ตัวเหมียวอี้อย่างเดียวก็ทำให้เขาอยากจะกำจัดทิ้งให้สำราญใจจะแย่อยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่เคยหาโอกาสเหมาะพบก็เท่านั้นเอง เขาหันกลับมาถามว่า “คนที่ส่งข่าวกลับมาเชื่อถือได้หรือเปล่า?”

“เชื่อถือได้ค่ะ! เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับถ่ายทอดวิชาโดยตรงจากเซี่ยงไป่ถิง ศิษย์เองก็รู้จัก ยินดีจะร่วมทางไปกับท่านปราชญ์!” เหมียวจวินอี๋ตอบ

“ไอ้เหมียวจัญไร!” เฟิงเป่ยเฉินแสยะยิ้ม บีบแผ่นหยกจนแตกเป็นผุยผง แล้วโบกมือบอกว่า “ไม่ต้องหรอก ถ้าคนมากกลับจะสะดุดตา ถ้าไปยั่วแหย่พวกมู่ฝานจวินขึ้นมา พาเจ้าไปด้วยกลับจะเป็นภาระ”

ฉินซีกำลังตัดแต่งกิ่งไม้อย่างสงบใจโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา พอได้ยินคำว่า ‘ไอ้เหมียวจัญไร’ กรรไกรในมือก็ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ตัดแต่งกิ่งไม้ต่อไปอย่างสุขุม นิสัยเย็นชาถึงขั้นพบเหตุการณ์ผิดปกตอแล้วยังนิ่งได้ หรือพูดได้อีกอย่างว่าเคยชินแล้ว

เฟิงเป่ยเฉินไม่พูดพร่ำทำเพล ขณะที่หันตัวกำลังจะจากไป เสียงที่เรียบเฉยของฉินซีก็ดังมา “อยู่เป็นเพื่อนข้าสักพักทำให้ท่านทนไม่ไหวขนาดนี้เชียวหรือ?”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เฟิงเป่ยเฉินก็หยุดฝีเท้าแล้วหันตัวมองมา ผู้หญิงคนนี้เย็นชากับเขามากี่ปีแล้ว กี่ปีแล้วที่ไม่ได้ยินผู้หญิงคนนี้พูดกับเขาแบบนี้ ชั่วพริบตาเดียวทำให้เขารู้สึกว่านางยังมีความรักความห่วงใยให้เขาอยู่บ้างนิดหน่อย ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของนางจะยังเรียบนิ่งก็ตาม

รอยยิ้มที่พิเศษปรากฏบนใบหน้าเฟิงเป่ยเฉิน เขาเดินกลับเข้ามาอีก ยื่นมือไปโอบเอวของฉินซีเบาๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินกล่าวเกินไปแล้ว การได้อยู่กับฮูหยินถือเป็นเกียรติของข้า เพียงแต่มีธุระสำคัญต้องไปจัดการสักหน่อย เดี๋ยวรอข้ากลับมา ข้าจะชดเชยให้ฮูหยินอย่างดีเลย”

เหมียวจวินอี๋ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ เรียกได้ว่าไม่ค่อยพบเห็นท่าทางแบบนี้ของเฟิงเป่ยเฉิน เวลาที่เป็นการเป็นงาน แต่ไหนแต่ไรมาเฟิงเป่ยเฉินก็ไม่เคยมีไมตรีจิตอะไรเลย ไม่เคยมีสถานการณ์ที่ถ่วงเรื่องสำคัญเอาไว้เพื่อมายิ้มปลอบโยนผู้หญิงแบบนี้ ทำให้นางมองฉินซีด้วยแววตาที่อธิบายความรู้สึกไม่ถูก

ฉินซีทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเฟิงเป่ยเฉิน กล่าวเสียงเรียบว่า “มีเรื่องอะไรพาข้าไปด้วยเถอะ”

“เอ่อ…” เฟิงเป่ยเฉินลำบากใจนิดหน่อย ไม่ง่ายเลยที่ผู้หญิงคนนี้จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอไปกับเขา ยามปกติเป็นเขาที่ดึงนางไปด้วยกัน ถ้าหากพูดปฏิเสธไป ก็จะเป็นการขัดขวางผู้หญิงที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะเอ่ยปากสักครั้ง แบบนั้นเกรงว่าเขาจะต้องเห็นใบหน้าที่เย็นชาของนางไปอีกหลายปี แต่ก็ไม่สะดวกจะพานางไปด้วยจริงๆ จึงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ฮูหยิน ครั้งนี้ข้าต้องไปอาณาเขตของมู่ฝานจวิน ดีไม่ดีอาจจะเกิดการปะทะกัน เจ้าไปด้วยเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยกับเจ้า”

“มีท่านอยู่ด้วย ข้าจำเป็นต้องกลัวด้วยหรือ?” ฉินซีกล่าวเสียงเรียบ

“…” ประโยคนี้อุดปากจนเฟิงเป่ยเฉินพูดไม่ออก ถ้าจะให้บอกว่าเขาไม่มีความสามารถที่จะปกป้องเมียตัวเอง นั่นก็ทำลายความหยิ่งในศักดิ์ศรีของเขาเกินไปแล้ว จะดีจะร้ายก็ยังเป็นหนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผย ไม่ได้มีดีแค่ชื่อ ถึงแม้จะปกป้องฮูหยินคนแรกของตัวเองไม่ได้ก็ตาม

“ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ เก็บข้าไว้ในกระเป๋าสัตว์ของท่านก็ได้ ไปกันเถอะค่ะ!” เมื่อวางกรรไกรในมือลงเบาๆ ฉินซีก็ทำท่าเหมือนจะไปทันทีโดยไม่ยอมให้ปฏิเสธ

“เหอะๆ!” เฟิงเป่ยเฉินส่ายหน้าหัวเราะอย่างจนใจ คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นแค่เก็บนางเข้ากระเป๋าสัตว์ก็สิ้นเรื่องแล้ว เขาจึงจูงมือนาง แล้วหันมาบอกเหมียวจวินอี๋ว่า “อินทรีเทพ อินทรีเทพที่เซี่ยงไป่ถิงใช้ติดต่อกับลูกศิษย์ของเขา!”

ทั้งสามเหาะออกจากนภาอู๋เลี่ยงด้วยกัน เร่งเดินทางสู่สำนักงามวิจิตร

เฟิงเป่ยเฉินและฮูหยินไม่ได้เข้าสำนักงามวิจิตร แต่รออยู่ด้านนอกในจุดที่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ ให้เหมียวจวินอี๋กลับไปคนเดียวเพื่อนำอินทรีเทพมาจากเซี่ยงไป่ถิง แล้วกลับมาส่งต่อให้เฟิงเป่ยเฉิน จากนั้นนางก็มองส่งเฟิงเป่ยเฉินพาฉินซีเร่งเหาะผ่านฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

“ทำไมเหาะเร็วขนาดนี้? ช้าสักหน่อยเพื่อชื่นชมทิวทัศน์ตามรายทางไม่ได้หรือคะ?”

เมฆลมลอยผ่านหู ร่นถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ฉินซีที่ถูกจูงให้เหาะไปด้วยกันเอ่ยถาม

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเหาะไปกับเฟิงเป่ยเฉิน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพานางเหาะด้วยความเร็วสูงขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังเร่งทำเวลา

“วันนี้ฮูหยินเหมือนจะมีอารมณ์สุนทรีย์เป็นพิเศษ แต่ข้ามีธุระต้องไปให้ทันเวลาจริงๆ เดี๋ยวตอนหลับข้าค่อยพาชื่นชมอย่างช้าๆ ก็ยังไม่สาย” เฟิงเป่ยเฉินยิ้มตอบ

ที่จริงในใจกลับค่อนข้างร้อนรน ดูจากวันที่อินทรีเทพส่งข่าวมา นับจากวันที่พบเบาะแสของเหมียวอี้ กว่าจะมาถึงทางนี้ก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้วอินทรีเทพบินช้าเกินไปสำหรับเขา เวลาผ่านไปแล้วครึ่งเดือน เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ยังอยู่ในขอบเขตการสะกดรอยตามหรือไม่

ความเร็วของอินทรีเทพย่อมเทียบเฟิงเป่ยเฉินไม่ติดอยู่แล้ว ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน เฟิงเป่ยเฉินก็มาถึงบนฟ้าเหนือเมืองโบราณฉางเฟิง เขามองเมืองโบราณที่ถูกทำลายพังข้างล่างแวบหนึ่ง เป็นการพิสูจน์ข่าวที่รายงานมาแล้วจริงๆ

“แค่ซากเมืองพังควรค่าให้ท่านชื่นชมด้วยหรือคะ?” ฉินซีที่ลอยอยู่บนฟ้าหันหน้ามาถาม ที่จริงนางอยากจะหยั่งเชิงเจตนาของเฟิงเป่ยเฉินในการมาครั้งนี้ ตลอดทางที่มาไม่ได้คอยถามแค่ครั้งเดียว

เฟิงเป่ยเฉินเพียงส่ายหน้า ไม่ได้ตอบอะไร ดึงนางเหาะไปข้างหน้าต่อด้วยความเร็วสูง

ผ่านไปครู่เดียว ทั้งสองก็มาใกล้ท้องฟ้าเหนือแม่น้ำที่ไม่นับว่าอยู่ไกลเกินไป เฟิงเป่ยเฉินปล่อยอินทรีเทพของกานเจ๋อกวงออกมา ให้มันไปหากานเจ๋อกวง

พออินทรีเทพขยับตัวบิน เขาก็เหาะไล่ตามมันไปทันที หลังจากเล็งทิศทางที่อินทรีเทพบินไปอย่างแม่นยำแล้ว เขาก็จับอินทรีเทพพาเหาะไปด้วยกันเพื่อประหยัดเวลา ทำแบบนี้เพื่อแยกแยะทิศทางการติดตามซ้ำอีกครั้ง

ในเวลานี้ หลังจากกึ่งเดินทางกึ่งหยุดพักไปตามริมแม่น้ำ จนกระทั่งเรือที่สะกดรอยตามลอยไปไกลแล้ว กานเจ๋อกวงก็ดึงฟางซู่ซู่ให้สะกดรอยตามโดยอาศัยสภาพพื้นที่อำพรางตัว คอยตามดูอยู่ห่างๆ ตลอด

“ใกล้จะออกทะเลแล้ว อินทรีเทพคงจะถึงสำนักงามวิจิตรแล้ว ลองคำนวณเวลาดู คนที่ถูกส่งมาน่าจะถึงภายในสองวันนี้แล้วสิ?” ขณะที่สะกดรอยตาม ปากกานเจ๋อกวงก็พึมพำนับเวลาไม่หยุด

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร คำพูดนี้ทำให้ฟางซู่ซู่รู้สึกว้าวุ่นใจอย่างแปลกประหลาด จู่ๆ ก็หยุดแล้วบอกว่า “พี่ใหญ่กาน นี่คือเรื่องของสำนักงามวิจิตรของพวกท่าน คงไม่ดีที่คนนอกอย่างข้าจะเข้าไปเกี่ยวข้อง ข้าไม่ตามต่อแล้ว”

กานเจ๋อกวงหยุดเดินตาม แล้วมองนางอย่างงุนงง “เจ้าอยากเข้าสำนักงามวิจิตรมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”

ฟางซู่ซู่ตอบว่า “ท่านทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าคนนอกอย่างข้าตามไปด้วย หากมีอะไรพลาดพลั้งเสียหายขึ้นมา เกรงว่าจะทำให้คนเข้าใจผิด”

กานเจ๋อกวงเงียบงันพลางครุ่นคิด รู้สึกว่าที่นางพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน หากเกิดเรื่องขึ้นมาดีไม่ดีจะทำให้ฟางซู่ซู่ลำบากไปด้วย จึงหันไปมองทิศทางที่เรือแล่น แล้วพยักหน้าบอกว่า “ก็ได้! งั้นเจ้ากลับไปก่อน เดี๋ยวข้าค่อยไปหาเจ้าทีหลัง”

“พี่ใหญ่กานรักษาตัวด้วย!” ฟางซู่ซู่กุมหมัดคารวะ

ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสุภาพเกรงใจอะไรกันมาก กานเจ๋อกวงกุมหมัดคารวะ แล้วสะกดรอยตามไปข้างหน้าต่อ

จนกระทั่งเขาเดินไปไกลแล้ว ฟางซู่ซู่ก็มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง จู่ๆ ก็ถลันตัวไปที่ริมแม่น้ำ เกิดเสียงดังจ๋อม นางดำลงไปในแม่น้ำ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ไล่ตามไปยังทิศทางเรือด้วยความเร็วสูง

จนกระทั่งเรือมาถึงทางออกทะเล นางถึงได้ตามทัน นางไม่ได้โผล่ขึ้นมาทางหางเรือ เพราะกลัวว่ากานเจ๋อกวงที่ตามมาไกลๆ จะสังเกตเห็น นางไล่ตามไปที่หัวเรือแทน

ตอนที่นางเตรียมจะโผล่พ้นน้ำเพื่อกระโดดขึ้นเรือ จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งคีบตัวนางเอาไว้ ขณะกำลังตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไม่ถูก ภาพตรงหน้าก็ทำให้ตาลาย นางถูกดึงขึ้นจากผิวน้ำแล้ว ร่างตกลงบนดาดฟ้าตรงหัวเรือ ยังไม่ทันได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็โดนคนบีบคอไว้เสียแล้ว

คนที่บีบคอนางไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหมียวอี้นั่นเอง แขนสองข้างของเขาเพิ่งงอกออกมาได้ไม่ถึงสองวัน ยังอยู่ในช่วงปรับตัวให้กลับสู่สภาพเดิม แต่อาศัยวรยุทธ์อย่างเขา เมื่อมีคนร่ายอิทธิฤทธิ์ดำน้ำผ่านใต้ท้องเรือของเขา ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่สังเกตเห็น จึงจับตัวฟางซู่ซู่ได้อย่างง่ายดายราวกับเอามือล้วงไปหยิบของในกระเป๋า

ฉินเวยเวยเดินช้าๆ ออกจากห้องโดยสารเรือ เมื่อมาปรากฏตัวข้างหลังเหมียวอี้ นางก็ถามว่า “เจ้าเป็นใครกัน มาทำลับๆ ล่อๆ อยู่ใต้ท้องเรือ?”

ฟางซู่ซู่โดนบีบคอจนหน้าแดงก่ำและแทบจะขาดใจ นางตบที่แขนเหมียวอี้แล้วชี้ที่หน้าตัวเอง เหมือนกำลังถามว่า อย่าบอกนะว่าเจ้าจำข้าไม่ได้?

เหมียวอี้กำลังมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ รู้สึกเช่นกันว่านางหน้าคุ้นๆ เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ของนางก็ยิ่งเกิดภาพในความทรงจำ กอปรกับพบว่านางไม่ได้มีวรยุทธ์สูง ยากที่จะสร้างภัยคุกคามต่อเขาได้ เขาถึงได้ปล่อยนาง แล้วถามอย่างสงสัย “เหมือนพวกเราจะเคยเจอกันนะ เจ้าคือ?”

“แค่กๆ!” ฟางซู่ซู่นวดคอตัวเองพลางไอออกมา มองเขาแวบหนึ่งอย่างหงุดหงิด ในใจรู้สึกสับสนอย่างประหลาด เมื่อได้สัมผัสกับตัวว่าพลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดไหน เมื่อเปรียบเทียบกันนางก็พบว่าเขาอยู่บนฟ้า ส่วนตัวเองอยู่ใต้ดิน

“เมืองคล้อยบูรพา เจ้ากับข้าเคยขึ้นเรือล่องแม่น้ำด้วยกัน ฟางซู่ซู่ ไม่รู้ว่าเจ้ายังมีภาพติดอยู่ในความทรงจำบ้างหรือเปล่า?” นางถามอย่างมีอัธยาศัยตรงไปตรงมา

เหมียวอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เข้าใจกระจ่างในทันที นึกออกแล้ว เขาขานรับแล้วกุมหมัดทักทายด้วยรอยยิ้ม “เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว ที่แท้ก็เป็นแม่นางฟาง ไม่ทราบว่าแม่นางมาทำตัวลับๆ ล่อๆ เข้าใกล้แบบนี้ทำไม?”

“ตรงนี้ไม่ใช่ที่สำหรับคุยกัน ไปคุยในห้องโดยสารเรือเถอะ” นางกลัวกานเจ๋อกวงที่อยู่ข้างหลังจะสังเกตเห็น จึงเดินผ่านกลางสองคนนั้นเข้าไปในห้องโดยสารเรือ

เหมียวอี้กับฉินเวยเวยมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วหันตัวตามเข้าไปทันที

ตอนเดินถึงทางผ่านของห้องโดยสารเรือ ฟางซู่ซู่ก็หยุดฝีเท้าแล้วหันตัวมา “ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าเจี่ยเสียน หรือควรจะเรียกเจ้าว่าเหมียวอี้?”

เมื่อนางถามแบบนี้ เหมียวอี้ที่กำลังเหม่องงก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องชื่อปลอมในปีนั้น จึงเอามือลูบจมูกพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางอย่าถือสาเลย ตอนแรกแม่นางมาเข้าตีสนิทโดยไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย ข้าก็ต้องสงวนตัวบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ ที่แท้แม่นางก็รู้ถึงตัวตนของข้าแล้วนี่เอง เป็นเหมียวเองที่ไม่ระวัง”

ฟางซู่ซู่เองก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงเรื่องนี้อีก ส่ายหน้ายอกว่า “เรื่องในอดีตไม่ต้องพูดถึงแล้ว พวกเจ้ารีบหนีไปเถอะ คนของนภาอู๋เลี่ยงอาจจะตามมาทันแล้ว”

ว่ากันตามจริง การที่จะปล่อยข่าวเรื่องนี้ให้เหมียวอี้รู้หรือไม่ นางเองก็คิดวนเวียนอยู่หลายวันมาก ถ้าจะบอกว่าไม่แค้นเหมียวอี้เลยสักนิดก็เป็นไปไม่ได้ ตอนที่ได้รู้ความจริงในวันนั้น นางถึงขั้นอยากจะฆ่าเหมียวอี้ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายนางก็ตัดสินใจจะบอกสักหน่อย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนิสัยหยิ่งในศักดิ์ศรีของนาง ถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองกับเหมียวอี้แตกต่างกันมาก แต่นางก็คิดว่าทุกคนล้วนมีหนึ่งจมูกสองตาเหมือนกัน คนอื่นยังทำได้ แล้วทำไมนางจะทำไม่ได้ นางเชื่อว่าต้องมีสักวันที่นางจะเหนือกว่าเหมียวอี้ ไม่ใช่มาคอยด้อมๆ มองๆ คนอื่นฆ่าเหมียวอี้ตายแบบนี้ ไม่อย่างนั้นราคาที่นางสู้ฝ่าฝันมาหลายปีไปจะไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ? ขนาดนางยังรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าแทนตัวเองเลย

เดินมาจนถึงวันนี้แล้ว นางไม่อยากละทิ้งเป้าหมายในการต่อสู้ฝ่าฟันของตัวเอง นางตัดสินใจจะตั้งเหมียวอี้ให้เป็นเป้าหมายที่ตัวเองต้องไล่ตามให้ทัน

เหมียวอี้กับฉินเวยเวยสบตากันอีกครั้ง แล้วเหมียวอี้ก็ถามอย่างฉงนใจว่า “แม่นางมีที่มาที่ไปอย่างไร รู้ได้อย่างรว่าคนของนภาอู๋เลี่ยงกำลังตามข้า? แล้วนภาอู๋เลี่ยงจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่?”

ฟางซู่ซู่ตอบว่า “เจ้าลืมแล้วเหรอว่าข้าเป็นคนที่ไหน? ข้ามาจากกวาดหลุมศพที่เมืองคล้อยบูรพา ระหว่างทางตอนผ่านเมืองฉางเฟิง…” นางเล่าเรื่องสะกดรอยตามให้ฟังรอบหนึ่ง

ฉินเวยเวยได้ยนิแล้วกัดริมฝีปาก พบว่าตัวเองประมาทเลินเล่อเกินไปแล้ว ขนาดโดนสะกดรอยตามมาครึ่งเดือนกว่ายังไม่สังเกตเห็นอะไรด้วยซ้ำ

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “ในเมื่อแม่นางฟางเป็นนักพรตของแดนอู๋เลี่ยง เหตุใดต้องตามมาปล่อยข่าวล่ะ?”

ฟางซู่ซู่เงียบไปคณู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็จ้องตาเหมียวอี้ พร้อมกล่าวอย่างเนิบช้าว่า “ในปีนั้นตอนที่ข้าเป็นมนุษย์ ข้าเคยอยู่บนหอสูงแล้วโยนลูกกลมแพรปักเลือกเจ้าบ่าว บังเอิญว่าประมุขถ้ำคล้อยบรูพาเดินผ่านมาพอดี จึงรับลูกกลมแพรปักของจ้าได้ แต่กลับโยนทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ”

เหมียวอี้ค่อยๆ ทำสายตาเหม่อค้าง ถ้าไม่พูดก็คงไม่รู้ แต่พอพูดถึงขึ้นมา ถึงอย่างไรการรับลูกกลมแพรปักก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลืมกันได้ง่ายๆ ขนาดนั้น จะมีสักกี่คนที่ในชีวิตจะได้เจอกับเรื่องแบบนี้ ย่อมต้องตราตรึงอยู่ในความทรงจำอยู่แล้ว

ฉินเวยเวยมองไปที่เหมียวอี้ด้วยความสงสัย

“อย่ามองข้าอย่างนั้น” ท่านขุนนางเหมียวโบกไม้โบกมือ แล้วยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “ในความทรงจำเหมือนจะมีเรื่องแบบนี้จริงๆ ที่แท้ก็เป็นแม่นางฟางนี่เอง ตอนนั้นข้าตามกลุ่มคนไปดูเอาสนุก ไม่ได้มีเจตนาจะดูหมิ่นเลย”

ฟางซู่ซู่บอกอีกว่า “มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แดนอู๋เลี่ยง ข้ากับพวกศิษย์พี่กำลังอาบน้ำอยู่ด้วยกัน แต่มีอาชามังกรอ้วนตัวหนึ่งแอบมาขโมยเสื้อผ้าของพวกเราไป ตอนหลังอาชามังกรตัวนั้นก็พาชายหนุ่มคนหนึ่งกับตาแก่มอมแมมคนหนึ่งมาดูพวกเราอาบน้ำอีก พวกเขาได้เห็นพวกเราตอนไม่ได้ใส่เสื้อผ้าไปรอบหนึ่ง ไม่ทราบว่าเจ้ารู้จักสองคนนั้นรึเปล่า?”

1092


บทที่ 1093 เฒ่าจัญไร รับความตายซะเถอะ!

อาชามังกรที่อ้วนจนไม่เข้าท่า ฉินเวยเวยแน่ใจมากว่าตัวเองรู้จัก เดาว่าคงยากมากที่จะมีตัวที่สองในโลกนี้ ส่วนอาชามังกรที่ตัวเองรู้จักจะฉวยโอกาสขโมยเสื้อผ้าตอนคนอื่นอาบน้ำหรือไม่ นางก็ไม่มีทางรู้ได้แล้ว แต่นางรู้ว่าอาชามังกรอ้วนตัวนั้นเจ้าเล่ห์หน้าเนื้อใจเสือและขโมยของคนอื่นได้คือเรื่องจริง สัตว์พาหนะของนางก็โดนมันชนตายไปตัวหนึ่งเหมือนกัน

ดังนั้นฉินเวยเวยจึงมองประเมินเหมียวอี้ด้วยแววตาสงสัยอีกครั้ง ผู้ชายของตัวเองถึงแม้จะมีอนุภรรยาไม่น้อย แต่เหมือนจะไม่ใช่คนที่จะไปดูแอบดูผู้หญิงคนอื่นอาบน้ำได้นะ

“…” เหมียวอี้ทำสีหน้าประหลาดใจมาก เหมือนกับได้รับลูกกลมแพรปัก เรื่องที่เจ้าโจรอ้วนขโมยเสื้อผ้าพวกผู้หญิง เขาเองก็จดจำได้ตราตรึงใจเช่นกัน เขาเคอะเขินจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขาเพรยงจำได้ว่ามีเรื่องแบบนั้น แต่รายละเอียดในตอนนั้นเขาจำไม่ได้แล้ว เพราะเขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย

เขาถามเสียงอ่อนว่า “เจ้าเองก็อยู่ในกลุ่มผู้หญิงพวกนั้นเหรอ? ทำไมข้าจำไม่ได้ล่ะ?”

คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรกับการยอมรับ ฉินเวยเวยรู้สึกตกตะลึง ในประเพณีนิยมของสังคมนี้ ถ้าร่างกายอันบริสุทธิ์ถูกมองเห็นโดยผู้ชายคนอื่น ถ้าเป็นที่โลกมนุษย์ก็เกรงว่าจะเป็นการทำลายทั้งชีวิตของอีกฝ่ายแล้ว ยกตัวอย่างเช่นนาง แม้แต่เท้ายังไม่กล้าเผยให้ผู้ชายคนอื่นเห็น การแต่งตัวแบบเปิดเผยเหมือนอวิ๋นจือชิวในปีที่เป็นเถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมเมฆาวายุ นาเงองก็ทำไม่ได้เช่นกัน

“ผู้ที่สูงส่งอย่างท่านมักลืมง่าย จะมาจดจำตัวละครเล็กๆ อย่างข้าได้อย่างไร” ฟางซู่ซู่กล่าว

ทั้งได้รับลูกกลมแพรปัก ทั้งได้เห็นอีกฝ่ายอาบน้ำ เรื่องนี้ไม่มีทางแก้ตัวได้แล้ว เหมียวอี้ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้ามาแจ้งเตือนข่าวถึงที่นี่ อย่าบอกนะว่า…อยากจะให้ข้ารับผิดชอบเจ้า?”

“ข้าก็อยากจะให้เจ้าผิดชอบอยู่หรอกนะ แต่ข้าไม่ยอมเป็นอนุภรรยาหรอก เจ้าจัดการได้มั้ยล่ะ?” ฟางซู่ซู่ถาม

“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก ฉินเวยเวยก็เงียบเช่นกัน

ฟางซู่ซู่บอกอีกว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าไม่มีเจตนาอื่น ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าตายเร็วเกินไป ข้าแค่อยากรอให้ถึงวันที่ข้าแข็แกร่งกว่าเจ้า แล้วค่อยถามเจ้าต่อหน้า เจ้าเองก็ไต่เต้าจากทหารเล็กๆ ขึ้นมาเหมือนกัน เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาดูถูกข้าล่ะ!”

เหมียวอี้รีบร้อนโบกมือ “แม่นางฟาง อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกอะไรเจ้าเลยจริงๆ…”

เรือแล่นออกทะเลแล้ว เหมือนกับตอนที่มา แล่นกลับไปตามเส้นชายฝั่งทะเลอีกรอบ กานเจ๋อกวงที่ตามหลังอยู่บนฝั่ง เดิมทีเตรียมจะดำน้ำตามลงไป แต่ตอนนี้อยู่บนฝั่งทะเลแล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองก็สามารถเห็นเรือลำนั้นได้ ไม่ต้องทำอะไรยุ่งยากแบบนั้นแล้ว

เขาใช้สภาพทางภูมิศาสตร์อำพรางตัวตลอดทาง บางครั้งก็โผล่ศีรษะออกมาดูเงียบๆ แล้วก็สะกดรอยตามต่อไปเงียบๆ ในใจกำลังคิดว่าท่านอาจารย์จะส่งคนมาได้เมื่อไร แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงประหลาด พอหันกลับไปมองแวบหนึ่ง ก็เห็นอินทรีเทพของตัวเองลงมาจากฟ้า ที่มาด้วยกันยังมีชายหญิงคู่หนึ่งด้วย

หลังจากได้เห็นโฉมหน้าที่มีสง่าราศีไม่ธรรมดาของชายหญิงคู่นี้ชัดแล้ว กานเจ๋อกวงก็ตกใจมาก เขาอยู่ที่สำนักงามวิจิตรใช่ว่าจะไม่เคยเห็นทั้งสองมาก่อน ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าปราชญ์เต๋ากับฮูหยินจะมาด้วยตัวเอง จึงรีบเข้าไปกุมหมัดคารวะ “กานเจ๋อกวงศิษย์สำนักงามวิจิตรคำนับท่านปราชญ์ คำนับฮูหยิน!”

เฟิงเป่ยเฉินจ้องเขาแวบหนึ่ง เหมือนเคยเห็นเขาที่สำนักงามวิจิตรจริงๆ จึงโบกมือแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “คนที่เจ้าสะกดรอยตามอยู่ที่ไหนแล้ว?”

กานเจ๋อกวงรีบร้อนวิ่งไปบนเนินไหล่เขาลูกเล็กอีกด้านหนึ่ง เผยร่างกายออกมาครึ่งเดียว แล้วก็ชี้ไปที่ผิวทะเล “อยู่บนเรือลำนั้นขอรับ”

เฟิงเป่ยเฉินไม่ได้มีท่าทีระมัดระวังตัวเหมือนโจร เขาถลันตัวไปยืนบนไหล่เขาโดยตรง แล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปทางนั้น

ฉินซีเองก็ขึ้นไปและทอดสายตามองตามเขาโดยตรง

บนเรือใช่ว่าจะไม่มีการเตรียมป้องกันอะไรเลย หงเหมียน ลู่หลิ่วสลับกันควบคุมเรือและเฝ้าระแวดระวังตลอด ป้องกันไม่ให้มีคนเข้าใกล้เรือโดยพลการ เมื่ออินทรีเทพตัวหนึ่งนำคนสองคนบินลงจากฟ้าไปเหยียบลงหลังเนินเขาชายลทะเลโดยไม่มีสิ่งใดกีดขวาง ก็ทำให้หงเหมียนเกิดความรู้สึกตื่นตัวทันที ถ้าทำขนาดนี้แล้วนางยังไม่สังเกตเห็น ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดแล้ว

นางจึงรีบเข้ามาในห้องโดยสารเรือ แล้วรายงานว่า “นายท่าน ตรงชายทะเลมีความผิดปกติเจ้าค่ะ อินทรีเทพตัวหนึ่งนำผู้หญิงกับผู้ชายคู่หนึ่งมาแล้ว” นางไม่รู้จักเฟิงเป่ยเฉิน

“ท่าไม่ดีแล้ว!” ฟางซู่ซู่ร้องตกใจ “คนของแดนอู๋เลี่ยงคงจะมาถึงแล้ว สามารถตามทันภายในเวลาสั้นๆ แบบนี้ได้ วรยุทธ์ต้องไม่ต่ำแน่ ต้องโทษที่ข้าพูดมากไป เจ้ารีบไปเถอะ พวกเจ้ารีบดำลงไปในทะเล ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันแล้ว”

ที่นางพูดถึงมูลเหตุและผลระหว่างตัวเองกับเหมียวอี้ที่นี่ ก็เป็นเพราะนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าคนของแดนอู๋เลี่ยงบทจะมาก็มาเลย ไม่คิดว่าตัวเองจะมีเวลาไม่พอ ใครจะคิดว่าเสียเวลาไปเล็กน้อยแค่นี้แล้วจะทำให้เกิดปัญหา

“ข้ากลับอยากจะเห็นว่าเป็นใคร!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม แล้วถลันตัวออกจากห้องโดยสารเรือ ยืนบนดาดฟ้าเรือแล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองไปยังเส้นชายทะเล

นอกจากฟางซู่ซู่ที่ไม่โผล่หน้าออกมา ฉินเวยเวยและคนอื่นๆ ก็ถลันตัวออกมาแล้วเช่นกัน

เฟิงเป่ยเฉินที่ยืนอยู่บนไหล่เขาชายทะเลสบตากับเหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือแล้ว เฟิงเป่ยเฉินโค้งมุมปากยิ้มเย้ย

“เฟิงเป่ยเฉินกับฮูหยินมาด้วยตัวเองแล้ว!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ พวกฉินเวยเวยรวมทั้งฟางซู่ซู่ที่แอบอยู่ตรงประตูห้องโดยสารเรือตกใจมาก ฉินเวยเวยเคยเห็นฉินซีที่อยู่ข้างกายเฟิงเป่ยเฉินมาก่อน ฟางซู่ซู่รีบมองสำรวจด้านนอกผ่านรอยแง้มหน้าต่าง นางอยากจะเห็นสักหน่อยว่าเฟิงเป่ยเฉินกับฮูหยินหน้าตาเป็นอย่างไร

หลังจากฉินซีเห็นฉินเวยเวยอยู่ข้างกายเหมียวอี้ด้วยเหมือนกัน ดวงตางามก็เบิกกว้างขึ้นหลายเท่า ในดวงตาถึงขั้นฉายแววลุกลี้ลุกลุน ในที่สุดก็เข้าใจถึงจุดประสงค์ที่เฟิงเป่ยเฉินมาที่นี่แล้ว

“เวยเวย พวกเจ้าดำทะเลหนีไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะประลองกับไอ้แก่เฟิงนี่สักหน่อย!” บนดาดฟ้าเรือ เหมียวอี้เอียงศีรษะกำชับ

ตอนนี้เขาไม่ค่อยจะกลัวเฟิงเป่ยเฉินเลยจริงๆ นักพรตบงกชทองขั้นห้าเขาก็ฆ่ามาแล้วไม่น้อย ประเด็นสำคัญคือวรยุทธ์ของเฟิงเป่ยเฉินก็เห็นๆ กันอยู่ ความเร็วสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ถ้าจะหนีตอนนี้ก็สายไปแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงหนีไม่พ้น ไม่สู้ให้ฉินเวยเวยหนีไปก่อนดีกว่า

ฟางซู่ซู่ที่หลบอยู่หลังประตูห้องโดยสารเรือสูดหายใจอย่างตกตะลึง จากคำพูดของเหมียวอี้ นางฟังออกถึงความมั่นใจ นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะกล้าเผชิญหน้ารับการต่อสู้กับหนึ่งในหกปราชญ์ แบบนี้ต้องใช้ความมั่นใจมากขนาดไหนกัน นั่นหกปราชญ์เชียวนะ!

พวกฉินเวยเวยกลับเป็นกังวล “ท่านสามี นั่นคือเฟิงเป่ยเฉินนะ! พวกเราไปด้วยกันเถอะ!”

เหมียวอี้พลิกมือ เกราะรบปรากฏในมือ แล้วหมุนวนขึ้นมาครอบตัวในชั่วพริบตาเดียว เขาโบกมือเรียกทวนเกล็ดย้อนมาไว้ในมือแล้ว “ตึง” กระทุ้งมวนลงบนดาดฟ้าเรือ “รีบไป! เจ้าพวกเจ้าไม่ไป ข้าลงมือได้ไม่เต็มที่!”

ฉินเวยเวยดึงแขนเขา ยังอยากจะโน้มน้าวเขา เขาหันขวับมพร้อมกับสายตาเย็นเยียบ “เวยเวย! เจ้าไม่เชื่อฟังแม้กระทั่งคำพูดของข้าเหรอ? รีบไป!”

ฉินเวยเวยอ้าปากค้าง ในแนวคิดทางศีลธรรมของนางมีข้อที่บอกว่า ‘สามีเป็นผู้นำ ภรรยาเป็นผู้ตาม’ เรื่องคัดค้านนางทำไม่ได้ ทำได้เพียงกัดริมฝีปากพาหงเหมียน ลู่หลิ่วที่กำลังกังวลไปที่ดาดฟ้าเรืออีกด้าน แล้วกระโดลงน้ำทะเลไป ส่วนฟางซู่ซู่ก็ถลันตัวไปโผล่ที่หน้าต่างของห้องอีกฝั่งแล้วกระโดลงทะเล ผู้หญิงทั้งสี่คนหายไปในทะเลแล้ว

เมื่อฉินซีที่อยู่บนไหล่เขาเห็นเหตุการณ์นี้ นางก็โล่งใจขึ้นบ้างเล็กน้อย ในดวงตาฉายแววชื่นชม ในสายตานาง ภาพเหตุการณ์ที่เห็นก็คือเหมียวอี้ยอมเอาตัวเข้ามาเสี่ยงอันตรายเพื่อดักหลังเพราะจะปกป้องฉินเวยเวย ทำตัวสมกับเป็นลูกผู้ชาย พอเป็นแบบนี้นางกลับรู้สึกว่าการที่ฉินเวยเวยเป็นอนุภรรยาไม่ใช่เรื่องที่ไร้ความยุติธรรม

ส่วนเฟิงเป่ยเฉินก็จ้องเกราะรบผลึกแดงที่เหมือนหยกแดงบนตัวเหมียวอี้ด้วยดวงตาลุกวาว ส่วนความเป็นความตายของฉินเวยเวยไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ แต่อย่างมากก็มองออกว่าเหมียวอี้ค่อนข้างเป็นห่วงฉินเวยเวย ยอมทุ่มเทชีวิตเพื่อดักหลังให้

เดิมทีเขาก็เห็นว่าเหมียวอี้กล้าหาญแบบนี้อยู่แล้ว ยังกังวลอยู่เลยว่าในเรือจะมีลับลมคมในอย่างอื่น ตอนนี้พอเห็นพวกฉินเวยเวยหนีไปก่อนกลับทำให้สบายใจขึ้นไม่น้อย หันกลับมาบอกว่า “ฮูหยินรอสักครู่ ข้าไปประเดี๋ยวเดียวแล้วจะกลับมา!”

สำหรับเขา การเอาชีวิตเหมียวอี้เป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนกับข้าวจานเล็ก

ซวบ! ชั่วพริบตาเดียวเฟิงเป่ยเฉินก็เหาะไปอยู่บนฟ้าเหนือเรือโหลวฉวน พอสะบัดแขนเสื้อคลุมฝ่ามือลงข้างล่าง พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งก็ระเบิดฝ่าอากาศมาทันที

บึ้ม! เรือโหลวฉวนระเบิดพังกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยปลิวว่อนทันที ผิวทะเลโดนกระแทกจนจมลงกลายเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่ คลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่งกลายเป็นระลอกคลื่นยักษ์กลิ้งไปรอบๆ

เหมียวอี้เท้าเหยียบกับความว่างเปล่า ตัวอยู่ท่ามกลางซากระเบิด ไม่ตื่นตระหนกตกใจ สีหน้าเรียบเฉย ถือทวนลอยอยู่กลางอากาศที่เดิมโดยไม่ขยับไปไหน เรือลำนั้นที่ระเบิดจนแหลกเหลวเหมือนยังอยู่ใต้เท้าเขาเหมือนเดิม

วรยุทธ์บงกชทองขั้นห้าถึงแม้จะสูงกว่าเขา แต่ถ้าคิดว่าอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ในระยะห่างเท่านี้ แล้วจะทำอะไรนักพรตวรยุทธ์บงกชทองขั้นสามอย่างเขาได้ นั่นก็ไม่น่าจะเป็นไปได้

เฟิงเป่ยเฉินที่อยู่บนฟ้าและกำลังมองต่ำลงมาเผยสีหน้าประหลาดใจสงสัยทันที วรยุทธ์ของเจ้าเด็กนี่แข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่เมื่อไร อย่าบอกนะว่าวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองแล้ว? หรือจะเป็นเกราะรบชุดนั้น แต่ก็ไม่เห็นว่าเกราะรบชุดนั้นจะเปล่งแสงแสดงอานุภาพการป้องกัน

วรยุทธ์ของใครบางคนมักจะอยู่ในสถานการณ์ที่ให้ใครเห็นไม่ได้ ส่วนใหญ่จะใช้โคลนซ่อนจิตปิดบังตลอด

ท่อนไม้ปลิวว่อนตกลงในหัวคลื่น เหมียวอี้พลันเงยหน้า แล้วตะโกนเสียงดังก้องว่า “เฒ่าจัญไร รับความตายซะเถอะ!”

เหมียวอี้โบกทวนชี้เฟิงเป่ยเฉิน แล้วพุ่งขึ้นบนฟ้าอย่างดุดัน

ผิวทะเลที่จมลงอย่างกะทันหันพุ่งขึ้นฟ้าอีกครั้ง เสาคลื่นพุ่งขึ้นฟ้าภายใต้พลังจิต ดันเหมียวอี้ขึ้นฟ้าราวกับเป็นมังกรขาวตัวหนึ่ง

สายตาเฟิงเป่ยเฉินกวาดมองเศษซากที่ระเบิดปลิวว่อนแวบหนึ่ง เมือ่ไม่เห็นยอดฝีมือคนอื่นซ่อนตัวอยู่ สายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวเหมียวอี้ที่ถือทวนบุกเดี่ยวเข้ามา แล้วแสยะยิ้มกล่าวว่า “ช่างไม่รู้จักความเป็นความตายจริงๆ!”

เฟิงเป่ยเฉินสะบัดแขนเสื้อหนึ่งที แสดงท่าทางรับมือด้วยมือเปล่า

ชั่วพริบตาเดียวทั้งสองก็ชนปะทะกัน ภายใต้การกระทบกันของพลังอิทธิฤทธิ์สองฝ่าย เสาน้ำที่พุ่งขึ้นมาก็ระเบิดเป็นละอองน้ำทั่วท้องฟ้า

ท่ามกลางละอองน้ำที่ปลิวว่อนวุ่นวาย เหมียวอี้ตะโกนอย่างดุดันอีกครั้ง “ฆ่า!”

เฟิงเป่ยเฉินที่อยู่ท่ามกลางละอองน้ำที่น่าสับสนมึนงงไม่รู้สึกตระหนกตกใจ พอสะบัดแขนเสื้อหนึ่งที ก็กวาดละอองน้ำที่เป็นอุปสรรคออกไป แล้วยื่นมือไปคว้าทวนในมือเหมียวอี้โดยตรง

เหมียวอี้สะบัดทวนตามใจอีกฝ่าย ปล่อยให้อีกฝ่ายคว้าไป แสงเย็นหลายดอกยิงระเบิดออกมา ตรงไปที่จุดสำคัญของเฟิงเป่ยเฉิน

ความเร็วในการออกทวนเหนือกว่าที่เฟิงเป่ยเฉินจินตนาการไว้ สำหรับเขาที่เคยประมือกับอวิ๋นอ้าวเทียนมาก่อน สิ่งนี้ค่อนข้างน่าขนลุก เขาค้นพบอย่างตกตะลึงว่าความเร็วทวนของเหมียวอี้เหนือกว่าอวิ๋นอ้าวเทียน เหนือความคาดหมายของเขาไปมากจริงๆ

ประมาทไปชั่วขณะ ภายใต้ความลำพองใจ เกือบจะตกหลุมพรางแล้ว

เขาม้วนแขนเสื้อติดต่อกันหลายครั้งด้วยความวิตกกังวล วาดออกเป็นวงเล็กวงใหญ่หลายวงและหดมือกลับมาป้องกัน

ท่าทวนที่พลิกฟ้าคว่ำฝนราวกับมังกรคว้าน้ำเหลวทันที เหมียวอี้ที่ออกทวนด้วยความเร็วรู้สึกทึ่ง พบว่าท่าที่เกิดจากการต่อสู้ด้วยมือเปล่าของเฟิงเป่ยเฉินเหมือนจะเกิดเป็นน้ำวนล่องหน พลังที่หมุนวนโจมตีให้ท่าทวนที่เขาแทงออกมาลื่นซ้ำแล้วซ้ำอีก แทงเบี่ยงออกจากจุดสำคัญของเฟิงเป่ยเฉินทุกครั้ง ช่วยให้เฟิงเป่ยเฉินหลบพ้นการโจมตีที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต

ในใจเหมียวอี้ทึ่งไม่หาย ใช่ว่าเขาจะไม่เคยประมือกับนักพรตบงกชทองขั้นห้า อีกฝ่ายลำพองใจหลงตัวเองขนาดนี้ เดิมทีเขาคิดว่าวันนี้เฟิงเป่ยเฉินจะต้องมาตายน้ำตื่นด้วยน้ำมือเขาแล้ว ตอนนี้ถึงได้พบว่าตัวเองประเมินอีกฝ่ายต่ำเกินไป พบว่าหกปราชญ์ไม่ได้มีดีแค่ชื่อเสียง ไม่น่าเชื่อว่าขนาดใช้มือเปล่าก็ยังรับมือตนได้สิบกว่าทวน ไม่ใช่คนที่พวกนักพรตบงกชทองขั้นห้าที่พิภพใหญ่จะเทียบติดเลย

เช่นเดียวกัน เฟิงเป่ยเฉินที่ประเมินเหมียวอี้ต่ำไปก็ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าไร ภายใต้การแทงสังหารที่รวดเร็วและดุดันของเหมียวอี้ เฟิงเป่ยเฉินสะบัดแขนเสื้อใหญ่โคร่งติดต่อกันจนมีเสียง “แคว่ก” ไม่หยุด โดนหัวทวนแหลมคมที่รุกเข้าถอยออกอยู่ตรงหน้ากรีดจนเศษผ้าปลิวว่อนราวกับผีเสื้อ เกือบจะโดนปาดจนแขนขาดสองข้างแล้ว

1093


บทที่ 1094 ปราชญ์เต๋ามันก็แค่นี้เอง

ในทุ่งน้ำแข็งทะเลหิมะมีหนอนอยู่ชนิดหนึ่งหนอน ชอนไชน้ำแข็งให้เป็นโพรงเพื่อทำเป็นที่อยู่ สามารถคายไหมออกมาเป็นรัง ไหมของมันแข็งแรงทนทาน ไม่กลัวน้ำไม่กลัวไฟ หนอนชนิดนี้เรียกว่าไหมน้ำแข็ง พบเห็นได้น้อยที่สุด

เสื้อผ้าบนตัวเฟิงเป่ยเฉินถักทอมาจากเส้นไหมของไหมน้ำแข็ง การใช้เส้นไหมของไหมน้ำแข็งมาทอเป็นเสื้อผ้าได้สักตัวไม่ใช่เรื่องง่าย ข้อดีของมันก็เห็นได้ชัดเจนแล้วเช่นกัน ไม่กลัวหนาวไม่กลัวร้อน น้ำไฟไม่อาจรุกล้ำ ทนทานเป็นที่สุด กอปรกับมีพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาคอยเสริมฤทธิ์ อาวุธผลึกทองธรรมดายากที่จะฟันแทงเข้าได้

ชุดไหมน้ำแข็งประเภทนี้ เฟิงเป่ยเฉินเองก็มีแค่ตัวเดียว ทั้งยังกดดันให้ปรมาจารย์ขั้วใต้และปรมาจารย์ขั้วเหนือหาทางทำออกมาด้วย ถ้าจะให้ทำตัวที่สองตอนนี้ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เดิมทีรู้สึกว่ายังพอป้องกันไหว แต่ใครจะคิดว่าระดับความแหลมคมของทวนเกล็ดย้อนจะเหนือกว่าที่เขาจินตาการไว้ โจมตีแค่ไม่กี่ครั้งก็ฟันให้แขนเสื้อของเขาขาดรุ่ยแล้ว

แค่เสื้อผ้าชุดเดียวก็พอทนแล้ว เพียงแต่เหตุการณ์นี้หวาดเสียวถึงขีดสุด ทำให้เฟิงเป่ยเฉินรู้สึกเก็บลัดจากกองไฟ เล่นกับไฟแล้วถูกไฟลวก ตกใจจนเหงื่อกาฬไหลท่วมตัว แม้แต่ชีวิตก็เกือบจะสิ้นแล้ว จะไม่นึกกลัวทีหลังได้อย่างไร

เขาถอยหลังหลบอย่างรวดเร็ว รีบปลีกตัวออกขอบเขตการใช้ทวนของเหมียวอี้ ไม่กล้าพัวพันสู้ต่อไป

พอปลีกตัวออกมาได้ ก็พบว่าเสื้อผ้าขาดไปแล้วครึ่งหนึ่ง ท้องแขนสองข้างเปลือยเปล่า สภาพดูไม่ได้สุดๆ ถ้าตัวเองตั้งใจแต่งตัวแบบนี้ก็ยังไม่เป็นไร แต่ดันโดนคนอื่นโจมตีจนกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว

ที่ผิวทะเลตรงจุดไกลๆ หลังจากผ่านคลื่นใหญ่มาแล้ว พวกฉินเวยเวยก็โผล่ศีรษะขึ้นมาดูการต่อสู้ทางนี้ บนตัวทุกคนสวมเกราะรบแล้ว

เดิมทีฟางซู่ซู่มีเจตนาจะแนะนำให้พวกฉินเวยเวยรีบหนีไป แต่ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา ผู้ชายของตัวเองกำลังเผชิญความตาย ต่อให้มีความรักความผูกพันเพียงเล็กน้อย ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งามีตัวเองแล้วหนีเอาชีวิตรอดโดยไม่สนใจอะไร

พวกนางที่เดิมทีเป็นกังวลถึงขีดสุด ในตอนนี้หลังจากได้เห็นเหตุการณ์การต่อสู้ฉากใหญ่ โดยเฉพาะเฟิงเป่ยเฉินที่โดนเหมียวอี้โจมตีจนฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก ปราชญ์เต๋าหนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยโดนเหมียวอี้โจมตีจนแขนเสื้อขาดและต้องถอยเพื่อรักษาชีวิต ผู้หญิงทั้งสี่เรียกได้ว่าตกตะลึงอ้าปากค้าง

ทั้งสี่ไม่มีทางเชื่อได้ว่านี่คือความจริง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ แต่ความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว

ฟางซู่ซู่ที่ตกตะลึงพรึงเพริดในใจก็ยิ่งทำใจให้เชื่อได้ยาก ไม่มีทางเชื่อได้ว่าเหมียวอี้จะมีพลังมากขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถเขย่าปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินได้ จู่ๆ นางก็พบว่าสิ่งที่ตัวเองพูดกับเหมียวอี้ก่อนหน้านี้ ช่างเหมือนกับคางคกหาวไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จะมีสักวันที่นางจะแข็งแกร่งกว่าเขาได้จริงเหรอ?

กานเจ๋อกวงที่ยืนอยู่ข้างไหล่เขางุนงงเล็กน้อย นี่ยังเป็นปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินที่สูงส่งในสายตาเขาอยู่หรือเปล่า?

ฉินซีที่ยืนอยู่บนไหล่เขาก็ตกใจเช่นกัน ในใจพึมพำว่า จะเป็นไปได้อย่างไร?

ปราชญ์เต๋า หนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยโดยโจมตีจนสะบักสะบอมขนาดนี้ เฟิงเป่ยเฉินไม่รู้จะเอาใบหน้าชราไปวางไว้ที่ไหนแล้วจริงๆ ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปคนคงหัวเราะจนฟันร่วง ยังจะมีคุณสมบัติอะไรมาอยู่ในระดับเดียวกับหกปราชญ์!

เฟิงเป่ยเฉินเรียกได้ว่าอับอายจนโมโห พอะพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง กระบี่ด้ามหนึ่งก็ปรากฏอยู่ในมือ

กระบี่กว้างประมาณสี่นิ้ว ยาวประมาณครึ่งจั้ง สูงประมาณคนหนึ่งคน ทั้งตัวกระบี่เป็นสีทองอร่าม เป็นประกายสีทองอยูท่ามกลางแสงแดด

เฟิงเป่ยเฉินโบกกระบี่ชี้โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งโจมตีไปที่เหมียวอี้แล้ว อยากจะกำจัดทิ้งให้สำราญใจ

ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นตกใจ บนโลกนี้คนที่สามารถทำให้เฟิงเป่ยเฉินหยิบอาวุธออกมาต่อสู้มีน้อยมากจนนับนิ้วได้ คาดว่าคงมีแค่ปราชญ์อีกห้าคนเท่านั้น

ใครจะคิดว่าพลังอำนาจของเหมียวอี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลยสักนิด เฟิงเป่ยเฉินพุ่งเข้ามา เขาก็ปาดทวนพุ่งเข้าไปเช่นกัน ดันทุรังพุ่งชนโจมตีไปที่เฟิงเป่ยเฉิน

เฟิงเป่ยเฉินที่สีหน้าดุร้ายฟันกระบี่ออกมาในแนวเฉียง เข้มแข็งเกรียงไกร มีพลังราวกับสามารถเบิกฟ้าเบิดดิน พวกฉินเวยเวยมองดูจนขวัญหนีดีฝ่อ

ท่ามกลางเสียงมังกรคำราม ในมือเหมียวอี้ยิงกระจายแสงเย็นออกมา ตรงไปรับกับคมกระบี่ที่ฟันเข้ามา

แกร๊ง! เกิดเสียงดังสะเทือน

จู่ๆ เฟิงเป่ยเฉินก็พบว่ากระบี่ของตัวเองกึ่งๆ ปะทะกับความว่างเปล่า ที่จริงก็ไม่ใช่การปะทะกับความว่างเปล่าหรอก แต่เขาเห็นกระบี่วิเศษในมือตัวเองักครึ่งหลังจากชนกับปลายทวนของอีกฝ่าย

ล้อเล่นอะไร? กระบี่วิเศษผลึกทองบริสุทธิ์สูงของตัวเองจะทนการโจมตีแค่ครั้งเดียวไม่ไหวเชียวเหรอ? เฟิงเป่ยเฉินค่อนข้างงุนงง

เหมียวอี้ไม่มีทางเกรงใจเขา พอทวนทำลายกระบี่วิเศษของอีกฝ่ายจนหัก ก็ถือโอกาสขยับคมทวนโจมตีสังหารไปที่คอของอีกฝ่าย

เฟิงเป่ยเฉินเองก็ไม่ใช่ไก่อ่อน เขาขยับสองมือพร้อมกัน มือข้างที่ไม่ได้ถืออะไรร่ายพลังอิทธิฤทธิ์ประหลาดกลุ่มหนึ่งเบี่ยงเบนการแทงสังหารของเหมียวอี้ ทำเพื่อถ่วงความเร็วในการออกทวนด้วย เฟิงเป่ยเฉินโค้งมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ ส่วนกระบี่หักครึ่งที่อยู่ในมืออีกข้างก็ฉวยโอกาสนี้ฟันลงไปอย่างแรง

แกร๊ง! เสียงสะเทือนดังก้องฟ้าดิน

ตรงกับสิ่งที่เฟิงเป่ยเฉินต้องการพอดี ฟันไปบนด้ามของทวนเกล็ดย้อนอย่างแรงแล้ว เขาไม่เชื่อหรอกว่าด้ามทวนจะแหลมคมเหมือนกับหัวทวน เขาหมายจะใช้วรยุทธ์ที่เหนือกว่าทำให้ทวนสะเทือนหลุดออกจากมือเหมียวอี้

เขานับว่ามองออก ว่าเจ้าเด็กนี่ใช้ทวนได้อย่างมั่นคงเด็ดเดี่ยวและแม่นยำ ทั้งยังรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ กอปรกับความแหลมคมไร้ที่เปรียบของทวนวิเศษด้ามนั้น เมื่อทวนอยู่ในมือเหมียวอี้ เขาก็ไม่สามารถเข้าใกล้เหมียวอี้ได้เลย

วรยุทธ์ระดับบงกชทอง ระยะห่างหนึ่งขั้นไม่ใช่ความต่างเพียงเล็กน้อย มิหนำซ้ำทั้งสองยังห่างกันถึงสองขั้น

เมื่อกระบี่ฟันโดน เหมียวอี้ก็ทรงตัวไม่ได้ตามที่เขาคาดไว้ โผล้มไปข้างหน้า เท่ากับเผยแผ่นหลังให้คู่ต่อสู้หมดแล้ว

อาศัยพลังของการโจมตีหนึ่งครั้งโจมตีอย่างดุดันจนเหมียวอี้ทรงตัวไม่ได้ ทั้งยังกำจัดอานุภาพความคมของทวนวิเศษไปแล้วด้วย เฟิงเป่ยเฉินเผยรอยยิ้มชั่วร้าย จากนั้นถลันตัวขึ้นมา แล้วฟันกระบี่ไปที่คอเหมียวอี้อย่างเกรี้ยวกราด

ถึงแม้กระบี่จะโดนเหมียวอี้ฟันหักไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ตัวกระบี่ก็ยังยาวมากพอ ส่วนที่เหลืออีกครึ่งมีความยาวเท่ากับกระบี่ธรรมดาทั่วไป เพียงพอที่จะใช้ฆ่าคน!

ฉากนี้ทำให้พวกฉินเวยเวยแทบจะกรีดร้องออกมา ฉินซีก็ประสานนิ้วมือทั้งสิบแล้วเช่นกัน

เฟิงเป่ยเฉินโผร่างเข้ามา ฟันกระบี่ออกมาพร้อมยิ้มชั่วร้าย ทว่ายังไม่ทันได้ยิ้มเต็มที่ มุมปากก็ชะงักค้างเสียแล้ว ดวงตาเบิกกว้างทั้งยังฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก

เหมียวอี้ที่ถูกเขาฟันกระบี่ใส่โผลงมาแล้วจริงๆ ทว่าไม่ใช่การโผลงโดยการถูกกระทำ แต่กลับเป็นฝ่ายฉวยโอกาสเอง อาศัยพลังมหาศาลที่เฟิงเป่ยเฉินปล่อยมาเพื่อโผลงและหมุนตัวอย่างรวดเร็ว เขาฉีกขาเป็นเส้นตรงกลางอากาศ แล้วตอบโต้กะทันหันผ่านใต้หว่างขา แสงสะท้อนคมทวนดอกแล้วดอกเล่าโจมตีกลับมาในชั่วพริบตาเดียว

ไม่เพียงแค่ได้คลายพลังโจมตีของเฟิงเป่ยเฉิน แต่กลับได้อาศัยพลังโจมตีของเฟิงเป่ยเฉินเพื่อทำให้ตัวเองพลิกตัวได้เร็วขึ้นด้วย

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาประมือกับคนที่วรยุทธ์สูงกว่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ใช้กำลังปะทะตรงๆ กับศัตรูที่แข็งแกร่ง เขาสามารถสรุปวิธีการในการรับมือเป็นของตัวเองแล้ว

เฟิงเป่ยเฉินที่ถือกระบี่ฟันเข้ามาตกใจมาก ความได้เปรียบเพียงชั่วพริบตาเดียวกลับกลายเป็นตัวเองพุ่งเข้าหาทวนของอีกฝ่าย

เฟิงเป่ยเฉินรีบพุ่งขึ้นฟ้าแล้วกลับตัวลงมา เท้าอยู่ข้างบนศีรษะอยู่ข้างล่าง ฟันกระบี่ในมือดักมั่วๆ อย่างรวดเร็วอยู่พักหนึ่ง ใช้งานทั้งสองมือพร้อมกัน ต้านทานการโจมตีกะทันหันของเหมียวอี้

ส่วนเหมียวอี้ที่พุ่งตัวขึ้นฟ้าก็เอาศีรษะขึ้นและเอาเท้าลง ออกทวนแทงอย่างเกรี้ยวกราดราวกับมังกร ไล่ตามขึ้นเป็นเส้นตรง ไล่สังหาร!

คนหนึ่งอยู่บนคนหนึ่งอยู่ล่าง คนหนึ่งขึ้นบน คนหนึ่งไล่ตาม สังหารขึ้นไปบนฟ้าตลอดทางในระดับที่สูงกว่าเดิม

เสียงสั่นสะเทือนดังแกร๊งๆ เสียงมังกรคำรามดังก้องอยู่บนฟ้าไม่ขาดสาย

เฟิงเป่ยเฉินเหาะถอยหลังพุ่งขึ้นฟ้า กระบี่วิเศษในมือยิ่งสั้นลงเรื่อยๆ ถูกทวนของเหมียวอี้ฟันจนหักครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายในมือก็เหลือไว้เพียงด้ามกระบี่ ไม่มีประโยชน์แล้ว จึงสะบัดมือทุ่มด้ามกระบี่ไปที่เหมียวอี้ แล้วอาศัยเหยียบทวนที่เหมียวอี้ยื่นออกมาเขี่ยวัตถุที่ทุ่มเข้าใส่ เหาะตัดผ่านออกแอย่างรวดเร็ว ปลีกตัวออกจากการแผ่คลุมโดยกระบวนท่าทวนของเหมียวอี้แล้ว

เหมียวอี้ไล่ตามออกมาเช่นกัน ไล่สังหารไม่ยอมปล่อย แต่จนใจที่เหาะได้ไม่เร็วเท่าเฟิงเป่ยเฉิน

เฟิงเป่ยเฉินหันกลับมามองแวบหนึ่ง ทั้งตกใจทั้งโมโห โมโหที่โดนเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมกดดันให้จนตรอกขนาดนี้ ตกใจที่ได้รับรู้ถึงความคมของทวนวิเศษในมือเหมียวอี้อีกครั้ง ถ้าหากตนได้ทวนและเกราะวิเศษชุดนี้มา ถึงตอนนั้นปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนอาจจะต้านทานตนไม่ไหวก็ได้!

พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา เฟิงเป่ยเฉินก็พลันโผลงข้างล่าง ตรงดิ่งลงผิวทะเลด้วยความเร็วสูง

ในมือเขายังมีของวิเศษอย่างอื่นอีก แต่เมื่อสู้กับทวนวิเศษที่แหลมคมมากในมือเหมียวอี้ก็ไม่มีประโยชน์เลย ถ้าโยนออกมาก็จะต้องถูกทำพังแน่

เหมียวอี้ไล่ตามลงมาทันที พร้อมตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “เฒ่าจัญไรอย่าหนีนะ!”

คนที่กำลังดูการต่อสู้ไม่มีทางเชื่อสายตาตัวเองได้ ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะไล่จนเฟิงเป่ยเฉินหนีหัวซุกหัวซุน!

ตอนที่เข้าใกล้ผิวทะเล เฟิงเป่ยเฉินพลันชกออกมาหมัดหนึ่ง

บึ้ม! เสาน้ำพุ่งขึ้นฟ้า

ขณะเผชิญหน้ากับเสาน้ำขนาดยักษ์ที่พุ่งขึ้นมา เฟิงเป่ยเฉินก็กางแขนสองข้างและจมเข้าไปในนั้น เสาน้ำระเบิดกลายเป็นละอองฝนนับไม่ถ้วนในชั่วพริบตาเดียว พุ่งขึ้นบนฟ้าต่อไป

เหมียวอี้ที่กัดฟันพุ่งตามเข้าไปท่ามกลางละอองฝนที่สาดกระเซ็นเต็มฟ้าพบความไม่ชอบมาพากลทันที จึงรีบทรงตัวให้มั่นคงพลางถือทวนมองไปรอบๆ

ก้อนน้ำทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่อยู่รอบข้างกำลังเลื้อยขยุกขยิกอย่างรวดเร็ว กลายเป็นก้อนน้ำขนาดเท่ากำปั้นหมัดแล้วหมัดเล่า ลอยนิ่งๆ โปร่งแสงอยู่ในอากาศ บดบังทุกสิ่งที่อยู่รอบข้าง

ในก้อนน้ำทุกลูกมีใบหน้าของเฟิงเป่ยเฉินกำลังมองเขาอยู่ เท่ากับมีเฟิงเป่ยเฉินจำนวนนับไม่ถ้วนมองเขาอยู่

เหมียวอี้เข้าใจแล้ว เห็นได้ชัดว่านี่คือภาพเหมือที่สะท้อนออกมา

ของประเภทนี้เหมียวอี้ได้พบเจอเป็นครั้งแรก ตอนที่ประมือกับเฟิงเสวียนก็เคยเห็นมาแล้ว รู้แล้วว่าไม่ต้องไปยุ่งให้เสียเวลาเปล่า นี่เป็นค่ายกลชนิดหนึ่ง เป็นโลกไร้ขอบเขตที่มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงสำแดงฤทธิ์ออกมา ต่อให้หลับหูหลับตาเหาะไปทั่วก็หนีออกไปไม่พ้น เจดีย์งามวิจิตรของนักงามวิจิตรก็สร้างมาจากหลักการนี้

พอลองโบกทวนกวาด ก้อนน้ำที่อยู่รอบข้างก็สั่นทลาย แต่ไม่นานก็กลับมารวมตัวกันใหม่อีก กลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง

พวกฉินเวยเวยที่โผล่หน้าขึ้นมาจากผิวน้ำเริ่มกังวลอีกครั้ง เห็นเพียงเฟิงเป่ยเฉินเหยียบคลื่นยืนอยู่บนผิวทะเล บนฟ้ามีก้อนน้ำนับไม่ถ้วนก่อตัวเป็นแนวที่มีลักษณะเป็นก้อนกลมขนาดใหญ่ มองไม่เห็นเหมียวอี้ที่อยู่ข้างในเลยว่ามีสถานการณ์เป็นอย่างไร

ทันใดนั้น ก้อนน้ำทั้งหมดก็กลายเป็นสีแดง ข้างในเหมือนมีเปลวเพลิงกำลังลุกโชน เริ่มมีไอน้ำที่เข้มข้นลอยขึ้นบนฟ้าเหนือแนวรูปก้อนกลมอย่างรุนแรง

เฟิงเป่ยเฉินที่ยืนอยู่บนผิวทะเลขยับสองมือทันที ภายใต้การควบคุมของพลังอิทธิฤทธิ์ เสาน้ำสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า พุ่งเข้าไปในแนวก้อนน้ำนั้นแล้ว

ในแนวก้อนน้ำนั้น เกราะรบบนตัวและทวนเกล็ดย้อนในมือเหมียวอี้พ่นเพลิงเดือดออกมามาอย่างรุนแรง แผ่กระจายไปทั่วสารทิศอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ก้อนน้ำที่อยู่รอบข้างกลายเป็นไอน้ำ

“ไอ้จัญไร ทะเลกว้างไร้ขอบเขต ถึงเจ้าจะทำซ้ำไปซ้ำไปซ้ำมา แต่น้ำทะเลก็มีเยอะ ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเจ้าจะเผาทะเลหมดทั้งผืนนี้ได้มั้ย!”

เสียงที่มีท่วงทำนองของของเฟิงเป่ยเฉินก็ดังออกมา ดังก้องเข้ามาท่ามกลางก้อนน้ำที่กระจายอยู่ทั่วสารทิศ ราวกับก้อนน้ำทุกก้อนกำลังคุยกับเหมียวอี้

เหมียวอี้ที่ยืนอยู่กลางอากาศราวกับเทพอัคคีหัวเราะลั่น แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังว่า “เฟิงเป่ยเฉิน เจ้ามันก็แค่ไอ้ขี้แพ้ภายใต้น้ำมือเหมียว การหลบซ่อนนับว่าเป็นความสามารถอะไร ที่แท้ปราชญ์เต๋ามันก็แค่นี้เอง! เฟิงเป่ยเฉิน ท่านเหมียวขอถามเจ้าสักคำ เจ้ากล้าสู้ตายกับข้าสักตั้งหรือเปล่า!”

เสียงนี้ดังก้องสะเทือนฟ้าสะเทือนดินอยู่ในแนวก้อนน้ำ ผู้ได้ยินต่างก็รู้สึกทึ่ง เป็นคำพูดที่โอ้อวดจริงๆ บังอาจด่าปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน หนึ่งในหกปราชญ์ที่สง่าผ่าเผยว่าเป็นไอ้ขี้แพ้ ในใต้หล้ามีตัวละครแบบนี้โผล่มาตั้งแต่เมื่อไร

แต่จะว่าไปแล้ว เมื่อครู่นี้เฟิงเป่ยเฉินเพิ่งโดนเขาไล่ฆ่าจนต้องหนีไม่ใช่เหรอ จะโดนว่าแบบนี้ก็เหมือนจะไม่ผิดนะ

เฟิงเป่ยเฉินได้ยินแล้วโมโหจนหน้าดำ โมโหจนแทบกระอักเลือด ถ้าวันนี้ไม่สามารถกำจัดเจ้าเด็กนี่ทิ้งได้ ชื่อเสียงวีรบุรุษของตนจะต้องถูกทำลายย่อยยับภายในครั้งเดียวแน่ จึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มชั่วร้ายทันที “ไอ้จัญไร! เจ้าก็แค่อาศัยประโยชน์จากของวิเศษ ยังจะกล้าพูดอวดดี ข้าจะคอยดูว่าวันนี้เจ้าจะตายอย่างไร!”

1094


บทที่ 1095 ลูบหน้าปะจมูก

“ข้าจะตายได้ยังไง?” เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางเพลิงเดือดเขย่าทวนพลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “หลานชายเจ้าตายด้วยน้ำมือข้า ลูกศิษย์เจ้าตายด้วยน้ำมือข้า สะใภ้ที่หลานชายเจ้าแต่งงานด้วยก็ถูกข้าแย่งมาทำเมีย ข้าก็ยังอยู่สบายเหมือนเดิม เจ้าจะทำอะไรข้าได้ล่ะ?”

พูดจาโอหังอวดดีเพราะมีเจตนาแน่นอน เขาอยากยั่วยุให้เฟิงเป่ยเฉินออกมาสู้ตายกับเขา

ทว่าคำพูดประเภทนี้ เมื่อดังอยู่ในหูคนอื่นก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร ถึงอย่างไรหน้าของเฟิงเป่ยเฉินก็เหมือนโดนตบเสียงดังเพี้ยะๆ เจ้าตัวโมโหจนตคอกว่า “ข้าให้เจ้าปากดีเสียให้พอใจ!”

สองแขนที่อยู่ใต้แขนเสื้อที่ขาดชูขึ้นฟ้า นอกจากมังกรน้ำที่อยู่เหนือผิวทะเลจะพุ่งขึ้นฟ้าต่อไปแล้ว แนวก้อนน้ำที่อยู่บนฟ้าก็หมุนวนขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วย

ในแนวก้อนน้ำ เหมียวอี้ที่กำลังถือทวนมองไปรอบๆ พบความผิดปกติทันที พื้นที่ว่างที่เขาอยู่เกิดแรงกดดันจากพายุหมุนขนาดใหญ่ กดดันให้เพลิงเดือดที่โหมซัดสาดออกมาหดกลับเข้าไป ทำให้เพลิงเดือดที่เขาปล่อยออกมาลุกโชนอยู่ในพื้นที่ว่างส่วนหนึ่งเท่านั้น

เพียงแต่เมื่ออยู่ภายใต้เพลิงเดือดที่เหมียวอี้ปล่อยออกมา ก้อนน้ำที่อยู่รอบข้างก็ไม่มีทางเข้าใกล้เขาได้เช่นกัน แนวก้อนน้ำไม่มีทางสำแดงอานุภาพการสังหารออกมาได้

เฟิงเป่ยเฉินที่ยืนอยู่บนผิวทะเลพลันโบกมือ สัตว์เทพที่หน้าตาเหมือนสิงโตตัวหนึ่งกระโจนออกมาจากกระเป๋าสัตว์ ร่างกายของมันใหญ่กว่าสิงโตหลายเท่า ทั้งตัวมีขนสีทองระยิบระยับ มันต้านอากาศบินวนอยู่รอบกายเฟิงเป่ยเฉิน ลักษณะน่ายำเกรงดุจเสือ เขี้ยวยาวยื่นห้าวหาญ ดูมีพลังไม่ธรรมดา

คนที่เคยได้ยินมาบ้างต่างก็รู้ว่านี่คือสัตว์พาหนะของหกปราชญ์ สัตว์ตัวนี้ก็คือโห่วขนทอง เป็นสัตว์พาหนะของเฟิงเป่ยเฉิน ถึงแม้จุดเด่นจะไม่ได้อยู่ที่ความเร็วในการบิน และไม่ใช่ว่าสัตว์เทพทุกตัวจะมีจุดเด่นเรื่องความเร็วในการบินเหมือนกันหมด แต่ขนสีทองทั้งตัวนั้นฟันแทงไม่เข้า สามารถเพลิงเดือดที่มีควันพิษออกมา แรงเยอะไม่มีที่สิ้นสุดก็คือข้อได้เปรียบของมัน ตำนานบอกว่าถ้ามันวิวัฒนาการได้ถึงระดับหนึ่ง ก็จะมีพลังสู้กับมังกรได้!

พอเฟิงเป่ยเฉินสะบัดมืออย่างลวกๆ หนึ่งที โห่วขนทองที่บินวนอยู่รอบกายก็กระโจนขึ้นฟ้า แล้วบุกตรงเข้าไปในแนวก้อนน้ำ

“ระวังโห่วขนทอง สัตว์พาหนะของเฟิงเป่ยเฉิน!” ฉินเวยเวยร่ายอิทธิฤทธิ์ส่งเสียงตักเตือนที่เจือด้วยความกังวลมาแต่ไกลๆ

ฟางซู่ซู่ที่อยู่ในทะเลด้วยกันตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าฉินเวยเวยจะเปล่งเสียงออกมาในเวลานี้ นางจึงรีบดึงแขนฉินเวยเวย เจตนาจะเตือนว่า นี่เจ้ากลัวคนอื่นหาพวกเราไม่เจอหรืออย่างไร?

เป็นอย่างที่คาดไว้ เฟิงเป่ยเฉินได้ยินแล้วรีบหันมามองแวบหนึ่ง แววตาไปหยุดอยู่บนศีรษะหลายใบที่โผล่อยู่ท่ามกลางคลื่นลูกใหญ่ ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเวยเวยส่งเสียงเตือน เขาก็ลืมสังเกตไปชั่วขณะว่าคนพวกนี้ยังไม่หนีไป แต่สำหรับเขาแล้ว ฉินเวยเวยไม่นับว่าสำคัญอะไรเลย ที่แดนเซียนจะมีคนเพิ่มขึ้นสักคนหรือลดไปสักคนก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขา

ฉินซีที่อยู่บนไหล่เขาจ้องตามทันที นางขมวดคิ้วมุ่น ท่ามกลางคลื่นลูกใหญ่ที่กระเพื่อมขึ้นลง ศีรษะหลายใบที่โผล่อยู่เหนือผิวน้ำไกลๆ ถ้าไม่เตือนจะมีใครสังเกตเห็น นางเองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าฉินเวยเวยจะยังไม่หนีไป

กานเจ๋อกวงกลับตกตะลึงเล็กน้อย ในที่สุดครั้งนี้ก็เห็นฟางซู่ซู่ที่อยู่ข้างกายฉินเวยเวยแล้ว พวกนางไปอยู่ด้วยกันได้อย่างไร?

หลังจากฟางซู่ซู่สบตากับเขาแล้ว ในใจก็แอบร้องเช่นกัน พบว่าฉินเวยเวยทำให้นางลำบากแล้ว ต้องโทษตัวเองด้วยเหมือนกัน จะตามพวกฉินเวยเวยมาทำไม?

เหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางแนวก้อนน้ำได้ยินเสียงของฉินเวยเวยดังแว่วมา เขาตกใจทันที ทำไมยังไม่หนีไปอีก?

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ คำเตือนของฉินเวยเวยกลับทำให้เขาได้รับคำเตือนล่วงหน้า โห่วขนทองสัตว์พาหนะเฟิงเป่ยเฉิน เขาเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน สามารถพ่นเพลิงเดือดควันพิษ ก็แสดงว่ามันไม่กลัวไฟ เขาจึงโบกมือชี้ไปที่พื้น กระบี่เล็กเพลิงจิตหลายเล่มหลบเข้าในทะเลเพลิงอย่างรวดเร็วเพื่อวางกับดักซุ่มโจมตี เขาเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าโห่วขนทองจะกลัวเพลิงจิตของเขาหรือไม่

ตรงนี้เพิ่งจะเตรียมตัวเสร็จ ในทะเลเพลิงที่อยู่เหนือศีรษะจู่ๆ ก็มีหัวขนาดยักษ์ของสิงโตขนทองโผล่ออกมา “กรร!” เสาควันสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้ามาท่ามกลางเสียงคำรามที่ดังสะเทือนฟ้า ควันพิษที่มันพ่นออกมาไม่กลัวไฟ เมื่อเจอไฟกลับยิ่งลุกโชนด้วยซ้ำ

เสียงคำรามดังก้องอยู่ในพื้นที่ว่างที่แนวก้อนน้ำไม่หยุด

เหมียวอี้โบกทวนตีเสาควันที่พ่นเข้ามาให้กระจายออกไป แล้วก็ถือทวนไล่ตามสังหารเข้าไป

เห็นได้ชัดว่าโห่วขนทองก็รู้จักความคมของทวนวิเศษเหมือนกัน มันถลันตัวถอยหลังทันที ไม่ปะทะหน้ากับเขาตรงๆ หลบหายเข้าไปในแนวก้อนน้ำอีกครั้ง มีเฟิงเป่ยเฉินวางค่ายกลช่วย ถ้าเหมียวอี้คิดจะหามันให้พบในแนวก้อนน้ำก็ไม่น่าจะเป็นไปได้

ต่อจากนั้น โห่วขนทองก็ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในแนวก้อนน้ำ พ่นควันพิษใส่เขาไปทั่วทุกที่ ภายใต้แรงดันอากาศที่หมุนวนของแนวก้อนน้ำ ใช้เวลาไม่นานรายกายเหมียวอี้ก็ถูกปกคลุมด้วยควันพิษสีดำ พอลองสัมผัสดูนิดหน่อย เหมียวอี้ก็รู้ทันทีว่าควันพิษสามารถกัดกร่อนเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ได้ แต่การที่เฟิงเป่ยเฉินคิดจะใช้สิ่งนี้สู้กับเขา ก็เหมือนจะเป็นความคิดที่ผิดแล้ว

ท่ามกลางการบุกทางนั้นทีบุกทางนี้ที ในที่สุดโห่วขนทองก็อยู่ในขอบเขตกับดักที่วางเอาไว้แล้ว พอเหมียวอี้กำหมัด กระบี่เล็กเพลิงจิตนับร้อยเล่มก็ยิงโอบล้อมออกมาพร้อมกันทันที

“กรร!” โห่วขนทองคำรามอย่างดุดัน บนสีทองบนตัวราวกับเป็นเกราะอ่อนๆ หนึ่งชั้น กระบี่เล็กเพลิงจิตไม่มีทางโจมตีทะลุได้เลย แต่กลับสลายกลายเป็นเพลิงเดือดในชั่วพริบตาเดียว ส่วนกระบี่ที่แทรกซึมเข้าไปก็ลุกไหม้อยู่ในซอกขน

“อู…อู…” เสียงคำรามของโห่วขนทองเปลี่ยนเป็นเสียงร้องน่าเวทนาทันที แล้วก็พลิกตัวไปมาอยู่อย่างนั้น

เฟิงเป่ยเฉินกำลังยืนอยู่บนผิวทะเล กำลังขมวดคิ้วแปลกใจว่าทำไมควันพิษของโห่วขนทองถึงยังทำให้เหมียวอี้ตายไม่ได้ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องอันน่าเวทนาของโห่วขนทอง ทำให้เขาตกใจทันที รีบร่ายอิทธิฤทธิ์เรียกให้มันกลับมา

มีหรือที่เหมียวอี้จะปล่อยให้โห่วขนทองหนีไปง่ายๆ เขาฉวยโอกาสพุ่งตรงเข้าไปตอนที่โห่วขนทองกำลังหมุนตัวอย่างสับสนและไม่รู้จักหลบหนี  แล้วใช้ทวนเกล็ดย้อนโจมตีอย่างแน่วแน่ ทวนแทงสอดเกี่ยวเข้าไปในศีรษะใบใหญ่ของสิงโตขนทองแล้ว พอโบกทวนปาดหนึ่งที ก็ทำให้ร่างกายขนาดยักษ์ของมันปลิวออกมา

“ไอ้จัญไร!” เมื่อสัมผัสได้ว่าโห่วขนทองเผชิญความลำบาก เฟิงเป่ยเฉินก็ตะโกนอุทานอย่างโมโห

เหมียวอี้โบกมือเรียกเพลิงจิตกลับมา แล้วหัวเราะเยาะพร้อมตอบว่า “ไอ้แก่เฟิง ยังมีวิธีการอะไรก็งัดออกมาใช้ให้หมด ท่านเหมียวจะรออยู่ตรงนี้!”

ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่การต่อสู้อยู่บนผิวทะเลหรือบนไหล่เขา เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็รู้ทันทีว่าเฟิงเป่ยเฉินเสียเปรียบให้เหมียวอี้อีกแล้ว ทุกคนตกตะลึงในใจ อย่าบอกนะว่าแม้แต่ปราชญ์เต๋าก็ทำอะไรเขาไม่ได้จริงๆ อย่าบอกนะว่าลำดับของพิภพเล็กจะต้องเขียนแก้ใหม่แล้ว?

เฟิงเป่ยเฉินที่ยืนอยู่บนผิวทะเลกล่าวเสียงดุดันว่า “ไอ้จัญไร ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะมีไฟให้เผาอีกสักเท่าไร!”

เหมียวอี้หัวเราะลั่น “เฒ่าจัญไรอย่ากลัวไปเลย ผลึกบรมอัคคีที่เจ้าใช้หลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรตอนแรกอยู่ในมือข้าหมดแล้ว เพียงพอให้ข้าเผาได้อีกหลายปี ว่าแต่เจ้าเถอะ รักษาค่ายกลขนาดใหญ่เท่านี้เอาไว้ ไม่รู้ว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของเจ้าจะยืนหยัดได้นานแค่ไหนกัน หวังว่าจะทนได้จนกว่ามู่ฝานจวินจะตามมาถึงนะ”

ที่จริงเขาอยากจะบอกเฟิงเป่ยเฉินมาก ว่าเจ้าจัดการข้าแบบนี้ไม่ใช่วิธีการที่ดีเลย ถ้าไม่สู้ตายกับข้าให้จบๆ ไป ก็รีบวางมือเสียแต่เนิ่นๆ เถอะ

แต่ใครจะคิดว่านี่กลับเป็นคำเตือนให้เฟิงเป่ยเฉิน เสียเวลาแบบนี้ต่อไปก็ทำอะไรเหมียวอี้ไม่ได้จริงๆ ถ้ามู่ฝานจวินตามมาถึง แล้วมู่ฝานจวินกับไอ้เหมียวจัญไรร่วมมือกัน เกรงว่าคนที่ซวยก็จะเป็นเขา

เป็นอย่างที่เหมียวอี้ปรารถนา เฟิงเป่ยเฉินเด็ดขาดถึงขีดสุด พอกางแขนสองข้าง ก็เลิกใช้พลังอิทธิฤทธิ์ควบคุมแนวก้อนน้ำทันที เกิดเสียงดังซวบ เขาเหาะขนาบกับผิวทะเลไปอย่างรวดเร็ว

ทิศทางที่เขามุ่งไปกลับทำให้ฉินซีอกสั่นขวัญแขวน

เสียงดังโครมคราม ก้อนน้ำที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้าตกลงบนผิวทะเล เหมียวอี้ที่รีบกวาดตามองหาเฟิงเป่ยเฉินพลันเบิกตากว้าง รู้สึกเป็นกังวลมากเช่นกัน โบกมือปล่อยตั๊กแตนห้าตัวออกมาทันที ปล่อยให้บินไล่ตามเฟิงเป่ยเฉินอย่างรวดเร็ว

ทิศทางที่เฟิงเป่ยเฉินไปก็คือจุดที่พวกฉินเวยเวยอยู่

พวกฉินเวยเวยตกใจมาก ภายใต้ความวิตกกังวล ฉินเวยเวยตะโกรอย่างร้อนใจว่า “ทุกคนแยกย้ายกันหนี!”

ผู้หญิงทั้งสี่คนแยกย้ายกันดำลงใต้ผิวทะเลทันที แยกย้ายกันหลบหนี

เฟิงเป่ยเฉินไม่ได้สนใจว่าทั้งสี่จะแยกย้ายกันหลบหนีหรือไม่ เพราะเขากำหนดไว้เป้าหมายเดียว นั่นก็คือฉินเวยเวย เขาขี้คร้านจะสนใจพวกที่เหลือ เขาฟาดฝ่ามือแยกผิวทะเลออก แล้วพุ่งตัวลงมา ผิวทะเลยังไม่ทันหุบเข้าหากัน เฟิงเป่ยเฉินก็ใช้ฝ่ามือข้างเดียวบีบคอฉินเวยเวยพุ่งขึ้นมาบนฟ้าแล้ว

เมื่ออยู่ในน้ำมือของเขา ฉินเวยเวยก็ไม่มีแรงที่จะตอบโต้ใดๆ เลย

เฟิงเป่ยเฉินเองก็ตกใจจนเหงื่อกาฬท่วมตัวเช่นกัน ตอนนี้เขาถูกตั๊กแตนห้าตัวล้อมไว้แล้ว เขานึกไม่ถึงว่าตั๊กแตนห้าตัวจะบินเร็วขนาดนี้ ถ้าเหมียวอี้ปล่อยตั๊กแตนห้าตัวออกมาก่อนหน้านี้ เกรงว่าตนคงจะมีโอกาสรอดน้อยมาก

เมื่อเห็นตั๊กแตนห้าตัวตรงหน้าเตรียมจะโจมตี เฟิงเป่ยเฉินก็รีบหิ้วคอฉินเวยเวยขึ้นมาคุมสถานการณ์ ชัดเจนว่ากำลังบอกเหมียวอี้ว่า ถ้ากล้าลงมือซี้ซั้ว ข้าก็จะบีบคอนางให้นาย

เหมียวอี้ถือทวนพุ่งตามมาทีหลัง เมื่อเห็นฉินเวยเวยทำสีหน้าทุกข์ทรมานและขยับตัวลำบาก ก็เรียกได้ว่าโมโหจนตาแทบถลนออกมา เขาแค้นจนอยากจะเอาทวนแทงตัวเองให้ตาย นึกเสียใจทีหลังเป็นอย่างมาก

เขาไม่โทษฉินเวยเวยที่ขัดคำสั่งเขาและไม่หนีไปให้ทันเวลา ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาก็คงไม่สามารถมองดูฉินเวยเวยประสบอันตรายแล้วทิ้งนางไว้เพื่อหนีไปเช่นกัน โทษแต่ตัวเองที่ไม่ใช้กำลังทั้งหมดที่มีฆ่าเฒ่าจัญไรอย่างเฟิงเป่ยเฉินทิ้งไปเสีย

ที่จริงตอนแรกเขาสามารปล่อยตั๊กแตนห้าตัวออกมาช่วยต่อสู้ได้ แต่เขาอยากจะทดสอบพลังของหกปราชญ์ว่าเป็นอย่างไรกันแน่ มีเจตนาอยากจะประมือกับเฟิงเป่ยเฉินเพื่อทดสอบฝีมือ เผื่อตอนหลังยามแปรพักตร์กับหกปราชญ์จะได้มีความมั่นใจ ผลปรากฏว่าทดสอบจนเกิดปัญหาใหญ่แล้ว

เมื่อเห็นเหมียวอี้ลูบหน้าปะจมูก เฟิงเป่ยเฉินก็หัวเราะหึหึ “ไอ้จัญไร! ส่งของที่อยู่บนตัวเจ้าออกมา แล้วข้าจะปล่อยนางไป แล้วจะไว้ชีวิตพวกเจ้า!” ขณะที่พูดก็ชี้เกราะรบและทวนวิเศษบนตัวเหมียวอี้ แล้วก็กำไรเก็บสมบัติด้วย

เหมียวอี้จะไปเชื่อคำพูดนี้ได้อย่างไร ถ้าส่งของออกไป เกรงว่าจะตายทั้งเขาทั้งฉินเวยเวย จึงกล่าวเสียงต่ำทันทีว่า “เวยเวย! ถ้าเจ้ามีอันเป็นไป ข้าจะล้างแค้นแทนเจ้าเอง!”

คำพูดนี้แสดงออกชัดเจนมากว่าปฏิเสธคำขอเสนอของเฟิงเป่ยเฉิน

เฟิงเป่ยเฉินมองไปรอบๆ ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นานจริงๆ ตัวประหันในมือสามารถทำให้เหมียวอี้ลูบหน้าปะจมูกได้ แต่ถ้ามู่ฝานจวินมาถึง เขาก็บีบจุดอ่อนของมู่ฝานจวินไม่ได้ จึงเสยะยิ้มทันที “ไอ้จัญไร ใจแข็งใช้ได้เลย! ไม่เป็นไรหรอก ข้าให้เวลาเจ้าคิดสักหน่อยก็แล้วกัน ถ้าคิดได้แล้วก็มาหาข้าที่นภาอู๋เลี่ยง!”

ชัดเจนว่ากำลังใช้ฉินเวยเวยเป็นโล่กำบัง เขาพุ่งฝ่าวงล้อมของตั๊กแตนออกไปทันที

เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเหมียวอี้ค่อนข้างเป็นห่วงผู้หญิงคนนี้ ระหว่างนี้มีเวลาให้ทำอะไรมากมาย เขาหัวเราะลั่นพร้อมจากไปทันที

แต่ไม่นานก็หัวเราะไม่ออกแล้ว เขามาเหยียบบนไหล่เขา เห็นเพียงกานเจ๋อกวงแค่คนเดียว แต่กลับไม่เห็นฉินซี จึงถามอย่างตกใจ “ฮูหยินล่ะ?”

กานเจ๋อกวงตอบอย่างระมัดระวังปนหวาดกลัวว่า “ฮูหยินเห็นท่านปราชญ์จับตัวประกัน กลัวว่าฝ่ายศัตรูจะใช้วิธีการเดียวกันโต้ตอบ มาจับนางเป็นตัวประกัน จึงบอกว่าจะหนีไปก่อนขอรับ”

เหมียวอี้ที่ตามหลังมาได้ยินแล้วกระอักเลือด ทำไมลืมไปได้ว่าควรจับฉินซีเป็นตัวประกัน ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะพลาดโอกาสดีๆ แบบนี้ไปแล้ว!

เมื่อเห็นฉินเวยเวยประสบอันตราย เขาเองก็กังวลไปชั่วขณะเช่นกัน สนใจแต่จะช่วยชีวิตฉินเวยเวย ไม่ได้คิดถึงอย่างอื่น

“ฮ่าๆ!” เฟิงเป่ยเฉินหัวเราะลั่น “สมกับเป็นฮูหยินของข้า!” จากนั้นก็หันขวับกลับมา ชูร่างของฉินเวยเวยพร้อมขู่ว่า “ถ้าไม่อยากให้นางได้รับความทรมานทางร่างกาย เจ้าก็ต้องซื่อสัตย์หน่อย ห้ามตามมา ถ้าคิดได้แล้วค่อยมาที่นภาอู๋เลี่ยง!”

พอพูดจบก็ลงมืออย่างกะทันหัน ประทับฝ่ามือลงบนหน้าอกของกานเจ๋อกวงอย่างแรงหนึ่งที

ปั้ง! กานเจ๋อกวงไม่ทันได้ร้องออกมาด้วยซ้ำ ร่างระเบิดแยกออกจากกันแล้ว เลือดเนื้อระเบิดกระจาย

เขาเองก็นับว่าตายอย่างไร้ความยุติธรรมเช่นกัน เหตุผลแค่เพราะเขาได้เห็นเฟิงเป่ยเฉินสะบักสะบอมจนตรอกอยู่ภายในน้ำมือของเหมียวอี้

จากนั้นเฟิงเป่ยเฉินก็ผนึกวรยุทธ์ของฉินเวยเวย เก็บนางเข้ากระเป๋าสัตว์ แล้วแฉลบไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะเยาะ

ตึง! เหมียวอี้กระทุ้งทวนลงบนพื้น ผิวดินแยกออกจากกัน ได้แต่มองดูเฟิงเป่ยเฉินหนีไปไกลโดยทำอะไรไม่ได้

“เหมียวอี้!” จู่ๆ เสียงที่นุ่มนวลของผู้หญิงก็ดังมา

เหมียวอี้เหล่ตามองแวบหนึ่ง ทำให้รู้สึกอึ้งอยู่บ้าง พบว่าผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นฉินซีฮูหยินของเฟิงเป่ยเฉิน ผู้หญิงคนนี้เป็นยอดหญิงงามท่างกลางโลกมนุษย์อย่างแท้จริง

พยายามหาแทบตายแต่ไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่ายๆ แบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น ฉินซีลอยมาเหยียบลงตรงหน้า เหมียวอี้ชี้ทวนออกมาแล้ว หัวทวนแหลมคมกำลังจ่ออยู่บนหน้าอกของนาง

ฉินซีไม่สะทกสะท้าน กล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าจับข้าไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ชีวิตเดียวของข้าขู่อะไรคนแบบเฟิงเป่ยเฉินไม่ได้ ถ้าอยากจะช่วยชีวิตฉินเวยเวยกลับมา เจ้าต้องไปจับลูกสาวของโม่หมิง เจ้าสำนักงามวิจิตรมาเดี๋ยวนี้ มีเพียงการจับโม่จวินหลันเท่านั้น ถึงจะสามารถตัวฉินเวยเวยกลับมาได้”

1095


บทที่ 1096 เฟิงเป่ยเฉินมั่วมาก

สำหรับเหมียวอี้ คำพูดนี้ช่างเหลวไหลจริงๆ ต้องสมองมีปัญหาเท่านั้นแหละถึงจะปล่อยเมียเฟิงเป่ยเฉิน แล้วไปจับลูกสาวของโม่หมิงมาขู่เฟิงเป่ยเฉินแทน

เหมียวอี้ถลันตัวเข้ามาใกล้ รีบลงมือคลายผนึกวรยุทธ์นาง หลังจากควบคุมนางได้แล้วถึงได้มองสำรวจนางศีรษะจดเท้า ในใจย่อมรู้สึกฉงน ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่แค่เป็นฝ่ายมาหาเอง แต่ถึงขั้นไม่ลงมือตอบโต้สักนิดเลยด้วย บีบกรามของนาง แล้วถามเสียงต่ำว่า “ทางที่ดีอย่ามาเล่นลูกไม้อะไรต่อหน้าข้า ตอบมาอย่างซื่อสัตย์ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”

ฉินซีเยือกเย็นใช้ได้เลย ถึงแม้เหมียวอี้จะบีบแรง บีบจนนางรู้สึกเจ็บคาง แต่ก็ยังตอบด้วยท่าทางเย็นชาสุขุม “ข้ารู้ว่าข้าพูดอะไรไปเจ้าก็คงไม่เชื่อ ตอนนี้เจ้าพาข้ากลับไปพบหยางชิ่งที่ยอดเขาหยกนครหลวงสิ เมื่อพบหยางชิ่งแล้ว เจ้าก็จะรู้เองว่าข้าไม่มีทางทำร้ายฉินเวยเวย”

พบหยางชิ่ง? เหมียวอี้ขมวดคิ้ว อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้เกี่ยวข้องอะไรกับหยางชิ่ง?

ถ้าอยากจะถามหยางชิ่งก็ไม่จำเป็นต้องไปยอดเขาหยกนครหลวง ฉินเวยเวยและหยางชิ่งล้วนมีระฆังดาราเอาไว้ติดต่อกับเขาและอวิ๋นจือชิวโดยตรง

เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาทันที เตรียมจะติดต่อหยางชิ่ง

ฉินซีที่โดนบีบคางราวกับถูกเกี้ยวพาราสีเงยหน้ามองแวบหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “นึกไม่ถึงว่าในมือเจ้าก็มีระฆังดาราเหมือนกัน หรือว่าหยางชิ่งก็มีด้วย? แบบนี้ก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลาแล้ว”

เหมียวอี้แปลกใจ ถามว่า “เจ้ารู้จักระฆังดาราเหรอ?”

ฉินซีตอบว่า “ในมือเฟิงเป่ยเฉินก็มีเหมือนกัน ข้าเคยเห็นมาก่อน ถ้าจะพูดให้ถูก ในมือหกปราชญ์ทุกคนล้วนมี ข้าเคยได้ยินเฟิงเป่ยเฉินพูดถึง ว่าระฆังดารานี้เทพพยากรณ์มอบให้พวกเขา เพียงแต่ในมือหกปราชญ์มีไม่เยอะ เอาไว้ใช้ติดต่อกันระหว่างพวกเขาพอดี และเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสมดุลระหว่างหกปราชญ์ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา อีกฝ่ายก็จะใช้ระฆังดาราติดต่อกับอีกห้าปราชญ์ที่เหลือได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นกว่าอีกห้าปราชญ์จะรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นก็คงสายไปเสียแล้ว ใช้วิธีแบบนี้มาหลายปีก็เพื่อคานอำนาจปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน”

“เหมียวอี้อึ้งชะงัก เทพพยากรณ์เคยมอบระฆังดาราให้เขา นึกไม่ถึงว่าจะมอบให้หกปราชญ์ด้วยเหมือนกัน เทพพยากรณ์ท่านนี้กำลังเล่นบ้าอะไรกันแน่?”

เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเปลืองสมาธิกับปัญหานี้ การช่วยชีวิตฉินเวยเวยต่างหากที่สำคัญที่สุด ร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าระฆังดาราในมือ

ณ ยอดเขาหยกนครหลวง หยางชิ่งกำลังฝึกตนอยู่ในห้องสมาธิ หลังจากได้รับข่าวจากเหมียวอี้แล้วก็ค่อนข้างแปลกใจ ตั้งแต่ยอดเขาหยกนครหลวงถูกควบคุมโดยอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้ก็เขาก็ติดต่อกันน้อยมาก

หยางชิ่งหยิบระฆังดาราออกมาตอบ : นายท่าน มีอะไรจะกำชับ?

เหมียวอี้ : เวยเวยอยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉิน!

หยางชิ่งที่กำลังนั่งขัดสมษธิอยู่บนเตียงเตี้ยเลือดเดือดพุ่งขึ้นหัวทันที กระโดดลงจากเตียงแล้วถามให้แน่ใจว่า : เวยเวยไปตกอยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉินได้อย่างไร?

เหมียวอี้ตอบ : พวกเราประสาทไปชั่วขณะ ตอนที่แล่นเรือเที่ยวไปโดนคนของแดนอู๋เลี่ยงพบเข้า เฟิงเป่ยเฉินจึงมาด้วยตัวเอง จับตัวฉินเวยเวยไปแล้ว

หยางชิ่งเป็นใครล่ะ แค่ได้ฟังก็รับรู้ถึงความผิดปกติแล้ว ถามทันทีว่า : ระหว่างเวยเวยกับนายท่าน คนที่เฟิงเป่ยเฉินต้องการจะทำร้ายมากที่สุดก็คือนายท่าน ทำไมถึงจับตัวเวยเวยไปล่ะ?

เหมียวอี้ตอบไปตรงๆ ว่า : เฟิงเป่ยเฉินกับข้าเคยประมือกันแล้ว เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า เลยจับตัวเวยเวยเพื่อบีบให้ข้าไปที่นภาอู๋เลี่ยง คาดว่าต้องวางแผนอะไรไว้ที่นภาอู๋เลี่ยงแน่ๆ

หยางชิ่งตกใจมาก สำหรับเขาแล้ว วันนี้เท่ากับบังเอิญได้ฟังข่าวที่น่าตกใจมากสองข่าว ข่าวแรกคือลูกสาวโดนจับตัวไป ข่าวที่สองคือเฟิงเป่ยเฉินไม่ใช่คู่ต่อสู้เหมียวอี้!

เรื่องนี้ทำให้เขาทำใจเชื่อลำบากจริงๆ แต่พอลองครุ่นคิดเล็กน้อย ก็รู้ว่าเหมียวอี้ไม่มีทางนำเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น หลายปีมานี้เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวทำตัวลับๆ ล่อๆ จะต้องเกี่ยวข้องกับพลังที่เพิ่มขึ้นมหาศาลของเหมียวอี้แน่นอน

หลังจากสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง หยางชิ่งก็ถามว่า : นายท่านคิดจะช่วยเวยเวยอย่างไร?

เหมียวอี้ไม่ตอบแต่ถามกลับว่า : ท่านกับฉินซีฮูหยินของเฟิงเป่ยเฉินมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?

หยางชิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า : เหตุใดนายท่านจึงถามเช่นนี้

เหมียวอี้ : ฉินซีตกอยู่ในมือข้าแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือนางเป็นฝ่ายมาหาข้าเอง นางบอกให้ข้าไปจับตัวลูกสาวของโม่หมิงเจ้าสำนักงามวิจิตรเพื่อไปแลกกับตัวเวยเวย ท่านคิดว่าข้าเชื่อคำพูดนางได้มั้ย? นางให้ข้าติดต่อกับท่าน เหมือนนางคิดว่าท่านจะเชื่อคำพูดนาง

หยางชิ่งทำสีหน้าห่อเหี่ยวในชั่วพริบตาเดียว เรื่องบางเรื่องเขาไม่อยากจะให้เหมียวอี้รู้เลยจริงๆ กลัวว่าเหมียวอี้จะดูถูกฉินเวยเวย

หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เขาก็ยังเขย่าระฆังดาราตอบไปว่า : นางไม่มีทางทำร้ายเวยเวย นางคือมารดาแท้ๆ ของเวยเวย!

มารดาแท้ๆ? ตอนนี้ถึงคราวที่เหมียวอี้จะต้องตกตะลึงบ้างแล้ว ตกใจมากจริงๆ มือที่บีบคางฉินซีรีบหดกลับราวกับถูกงูกัด มองผู้หญิงที่งดงามเยือกเย็นตรงหน้าราวกับเห็นผี ล้อเล่นอะไรกัน คนที่ตัวเองจับมาคือแม่ยายของตัวเองงั้นเหรอ!

“ชั่วประเดี๋ยวเดียว เขาก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องบางอย่างทันที เรื่องที่ผู้หญิงคนนี้มาปรากฏตัวตรงหน้าฉินเวยเวยอย่างกะทันหันในตอนแรกที่ไปสำนักงามวิจิตร พอมานึกๆ ดูตอนนี้ถึงได้เข้าใจ ว่าทำไมตอนแรกผู้หญิงคนนี้ถึงเตือนตนว่าอย่าเพ่นพ่านไปทั่วยามค่ำคืน ที่บอกให้ทิ้งฉินเวยเวยไว้ ที่จริงเพราะอยากจะปกป้องฉินเวยเวย กลับเป็นการลำบากใช้ความคิดไปมาก

ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูอีกที ฉินซีกับฉินเวยเวยก็หน้าตาคล้ายกันอยู่หลายส่วน และทั้งสองก็แซ่ฉินเหมือนกันด้วย สงสัยฉินเวยเวยจะไม่ได้ใช้แซ่ของบิดา แต่ใช้แซ่ตามมารดา

พอกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง เหมียวอี้ก็ลองถามฉินซีให้แน่ใจ : “ท่านคือแม่แท้ๆ ของเวยเวยเหรอ?”

ฉินซีพยักหน้าเบาๆ “เวยเวยคือลูกสาวของข้ากับหยางชิ่ง ข้าก็ยังนึกว่าหยางชิ่งจะไม่มีวันจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเสียอีก”

“…” เรื่องที่ฉินเวยเวยโดนจับถูกโยนไว้ทิ้งไปทันที เหมียวอี้อ้าปากค้างจนแทบจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้ ต่อให้เป็นคนที่ฉลาดกว่านี้ก็เกรงว่าจะคิดตามไม่ทันเหมือนกัน เหมียวอี้แทบจะกลายเป็นคนโง่เขลาไปแล้ว

ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้สติกลับมา ในใจรู้สึกอับอาย ยังดีที่เมื่อครู่นี้ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกับผู้หญิงคนนี้

ทั้งยังบอกด้วยว่าเวยเวยคือลูกสาวแท้ๆ ของหยางชิ่ง? ความสวยของผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเยว่เหยากับเทพธิดาหงเฉินเลย เรียกได้ว่าท่ามกลางผู้หญิงที่เขาเคยเจอในพิภพเล็ก ความสวยของนางไม่เป็นรองใครเลย จะบอกว่าเป็นผู้หญิงที่สวยเป็นอันดับหนึ่งในพิภพเล็กก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป อย่าบอกนะว่าเฟิงเป่ยเฉินเห็นคนสวยแล้วเกิดความคิดไม่ดี ถือดาบไปแย่งคนรักของคนอื่น?

แต่ก็ไม่ถูกสิ! จากข่าวเรื่องที่เฟิงเป่ยเฉินแต่งงานใหม่กับท่านนี้ ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมากแล้ว ตอนนั้นหยางชิ่งคงยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ เฟิงเป่ยเฉินจะไปแย่งชิงคนรักของหยางชิ่งได้อย่างไรกัน ไม่สอดคล้องกับเวลา

หยางชิ่งแย่งคนรักของคนอื่น? นั่นก็ยิ่งเหลวไหล ลองนับอายุฉินเวยเวยก็จะรู้ว่าในปีนั้นหยางชิ่งยังวรยุทธ์ต่ำมาก คาดว่าคงไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะพบหน้ายอดหญิงงามท่านนี้ได้ แต่ต่อให้มีโอกาสพบกัน หยางชิ่งต้องใช้ความกล้าขนาดไหนถึงได้ไปนนกับเมียของเฟิงเป่ยเฉินได้

หยางชิ่งที่เขารู้จักทำเรื่องแบบนี้ไม่ลงแน่ นิสัยคิดอะไรรอบคอบอย่างหยางชิ่ง จะทำเรื่องกำเริบเสิบสานประเภทนี้ได้อย่างไรกัน

ถ้าฉินเวยเวยเป็นลูกสาวของท่านนี้จริงๆ นั่นก็แปลว่า ผู้หญิงคนนี้แต่งงานกับเฟิงเป่ยเฉินได้หลายปีแล้ว ตอนหลังถึงได้คลอดลูกสาวให้หยางชิ่ง? เมียของเฟิงเป่ยเฉินคลอดลูกสาวให้หยางชิ่งงั้นเหรอ? มีสิทธิ์อะไรล่ะ? เรื่องนี้มันเหลวไหลขนาดไหนกัน!

เหมียวอี้ยิ่งคิดก็ยิ่งเลอะเลือน เหม่องงจนแทบจะคิดอะไรไม่ออก จึงรีบเขย่าระฆังดาราติดต่อหยางชิ่งอีกที : ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเวยเวยคือลูกสาวของท่านกับนาง มีเรื่องแบบนี้จริงหรือเปล่า?

หยางชิ่งกำลังเม้มริมฝีปากแน่นยืนเงียบๆ อยู่ในห้องศิลา หลังจากในหัวคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว ก็ถอนหายใจแล้วตอบว่า : ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ คิดหาทางช่วยเวยเวยก่อน เรื่องนี้ซับซ้อน วันหลังค่อยบอกนายท่านก็ยังไม่สาย…ถ้าช่วยเวยเวยมาได้แล้ว อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับเวยเวยนะ

เหมียวอี้ : เฟิงเป่ยเฉินรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?

“หยางชิ่ง : นอกจากข้ากับฉินซี ตอนนี้ท่านก็เป็นคนที่สามที่ได้รู้เรื่องนี้ นายท่าน! ในเมื่อท่านประมือกับเฟิงเป่ยเฉินแล้ว ทั้งยังโจมตีจนเขาล่าถอย เรื่องราวลุกลามใหญ่โตแล้ว ถ้าอีกห้าปราชญ์ได้ยินข่าว สถานการณ์ของพวกเราก็จะลำบากมาก ดังนั้นได้โปรดติดต่อกับข้าตลอดเวลา หยางชิ่งจะพยายามรับมืออย่างเต็มที่ แล้วอีกอย่าง หยางชิ่งขอถามละลาบละล้วงสักคำ ท่านกับกลุ่มปีศาจทะเลดาวนักษัตรมีความสัมพันธ์เป็นอย่างไร?

เหมียวอี้ : ความสัมพันธ์ค่อนข้างดี

หยางชิ่ง : นายท่านมีฐานะเป็นประมุขถิ่นกลาง สามารถระดมกำลังให้พวกเขาร่วมบุกร่วมถอยไปกับท่านได้หรือเปล่า?

เหมียวอี้ : ได้!

หยางชิ่ง : ในเมื่อนายท่านสงสัยว่าเฟิงเป่ยเฉินจะวางกำลังไว้ที่นภาอู๋เลี่ยง เช่นนั้นก็จะไปเสี่ยงอันตรายลำพังไม่ได้เด็ดขาด ไม่สู้เรียกรวมนักพรตบงกชทองของทะเลดาวนักษัตรให้ไปช่วยด้วย

เหมียวอี้ : ข้าก็มีความคิดนี้พอดี

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดารา แล้วมองดูแม่ยายที่ถูกเอาเปรียบข้างกายตัวเอง อยากจะพูดแต่กลับไม่รู้ว่าจะเรียกนางอย่างไรดี

ฉินซีมองออกว่าเขาก็อึดอัดเช่นกัน จึงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้ายังมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้อาวุโสของเจ้ารึเปล่า”

เหมียวอี้พยักหน้า “เหตุใดผู้อาวุโสจึงใช้ลูกสาวของโม่หมิงมาแลกกับเวยเวย?”

ฉินซีตอบเสียงเรียบว่า “เพราะพ่อที่แท้จริงของโม่จวินหลันก็คือเฟิงเป่ยเฉิน?”

เหมียวอี้ตะลึงค้างไปชั่วขณะ แล้วขมวดคิ้วถามว่า “อย่าบอกนะว่าโม่จวินหลันมีเฟิงเป่ยเฉินคอยปกป้อง ถึงได้ถูกฝากเลี้ยงดูภายใต้ชื่อของโม่หมิง? เฟิงเป่ยเฉินไม่สนใจแม้แต่ความเป็นความตายของหลานชายตัวเอง ผู้อาวุโสก็บอกเช่นกัน ต่อให้ข้านำตัวผู้อาวุโสไปแลก เฟิงเป่ยเฉินก็จะไม่ตอบตกลงอยู่ดี คนที่ไม่สนใจแม้แต่เมียกับหลาน แล้วจะมาสนใจลูกสาวคนเดียวได้อย่างไร?”

ฉินซีที่สีหน้าเย็นชาและสูงสะโอดสะองเอียงหน้ามองเขา แล้วบอกว่า “สงสัยเจ้าจะยังฟังไม่เข้าใจความหมายของข้า พ่อที่แท้จริงของโม่จวินหลันคือเฟิงเป่ยเฉิน และก็เป็นลูกสาวของเหมียวจวินอี๋จริงๆ ไม่ใช่การฝากเลี้ยงภายใต้ชื่อของโม่หมิง”

ไม่ได้คิดเรื่องนี้ไปในทางไร้ระเบียบซี้ซั้วแบบนั้นเลย แต่หลังจากคิดได้แล้ว เหมียวอี้ก็ค่อยๆ เบิกตากว้าง แทบจะอดไม่ไหวที่จะอุทานออกมา “ผู้อาวุโสหมายความว่า เฟิงเป่ยเฉินมั่วกับเหมียวจวินอี๋ลูกศิษย์ของตัวเองมั่ว…” เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านนี้ เขาพูดคำว่า’มั่วกาม’ ไม่ออกจริงๆ กลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทเกินไป

ฉินซีพยักหน้า “ครั้งแรกที่ข้าจับได้ถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติระหว่างเฟิงเป่ยเฉินกับเหมียวจวินอี๋ ก็เป็นหลังจากที่ข้าแต่งงานกับเฟิงเป่ยเฉินไปแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกแล้วกลับมาที่นภาอู๋เลี่ยงก่อนกำหนด ก็บังเอิญเห็นเหมียวจวินอี๋ออกมาจากห้องนอนของเฟิงเป่ยเฉินด้วยสีหน้าแปลกๆ เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เรื่องบางเรื่องแค่มองก็รู้แล้ว เพียงแต่ข้าไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าจะหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์จะทำเรื่องสกปรกโสมมแบบนั้นได้ แต่หลังจากนั้นมาข้าก็เริ่มสงสัยแล้ว ตอนหลังข้าคอยสังเกตเงียบๆ มาเป็นเวลานาน พบว่าเหมียวจวินอี๋มั่วกับเฟิงเป่ยเฉินจริงๆ ถ้าพวกเขาศิษย์อาจารย์รักกันด้วยใจจริงก็ยังพอว่า แต่เหมียวจวินอี๋ดังแต่งงานกับโม่หมิงไปแล้ว พอมองดูโม่จวินหลันอีกที ก็พบว่าหน้าตาไม่เหมือนโม่หมิงเลยสักนิด แต่กลับมีเงาของเฟิงเป่ยเฉินอยู่บ้าง ยังต้องคิดอะไรมากเรื่องภูมิหลังของโม่จวินหลันอีกเหรอ? ที่จริงลูกศิษย์ที่มั่วกับเฟิงเป่ยเฉินก็ไม่ได้มีแค่เหมียวจวินอี๋หรอกนะ ยังมีชุยหย่งเจินที่ถูกเจ้าฆ่าไปด้วย ชุยหย่งเจินถึงขั้นคลอดลูกชายหนึ่งคนกับลูกสาวหนึ่งคนให้เฟิงเป่ยเฉินด้วย เจ้าว่าน่าขำมั้ยล่ะ?”

เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน พบว่าเฟิงเป่ยเฉินนี่มันพอได้จริงๆ มิน่าล่ะไอ้เฒ่าจัญไรถึงไม่แยแสความตายของหลานชาย คงจะเป็นการตายอย่างเปิดเผยทั้งนั้น ลับหลังยังมีสินค้าสำรองอยู่ อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าถามว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าข้าจับลูกสาวของชุยหย่งเจินมาด้วยกัน การแลกตัวเวยเวยกลับมาก็จะมีความมั่นใจมากขึ้นรึเปล่า?”

ฉินซีถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจความหมายของข้า ที่ข้าให้เจ้าจับตัวโม่จวินหลัน ไม่ใช่เพราะจะให้เจ้าเอาความตายของโม่จวินหลันมาบีบเฟิงเป่ยเฉิน เขาไม่ได้แยแสความเป็นความตายของลูกชายลูกสาวพวกนั้นเลย เจ้าจับมามากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่ทำให้เฟิงเป่ยเฉินหวาดกลัวจริงๆ ก็คือการเปิดเผยเรื่องฉาวโฉ่ของเขา ผลที่ตามมาหลังจากนั้นไม่มีใครรับไหว เข้าใจหรือยัง?”

1096


บทที่ 1097 ไฟโกรธของหยางชิ่ง

พูดจาชัดเจนขนาดนี้ มีหรือที่จะยังไม่เข้าใจ

แต่มีอยู่บางจุดที่ยังไม่เข้าใจ เหมียวอี้ถามอย่างสงสัยว่า “คนที่อยู่ในระดับอย่างเฟิงเป่ยเฉิน อย่าบอกนะว่ายังขาดผู้หญิง ทำไมต้องเอาลูกศิษย์ของตัวเองมาเป็นเมีย?”

ฉินซีกล่าวช้าๆ ว่า “เจ้าไม่ได้มีความคิดสกปรกโสมมแบบนั้น ก็ย่อมไม่เข้าใจเขาอยู่แล้ว ข้าร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขามาหลายปี ย่อมรู้ดีกว่าเจ้าว่าเขาเป็นคนอย่างไร ภายนอกแต่งตัวดูดี วางมาดสง่าภูมิฐาน แต่รสนิยมพิเศษบางอย่างที่เขาทำลับหลัง เจ้าไม่มีทางจินตนาการได้หรอก ยกตัวอย่างเช่นฮูหยินภรรยาเอกของเจ้าคนนั้น ในปีนั้นตอนที่ยังอยู่ในฐานะหลานสะใภ้ของเฟิงเป่ยเฉิน อย่าไปมองว่าเฟิงเป่ยเฉินมักตำหนินางที่แต่งตัวเปิดเผยไม่เรียบร้อย แต่สิ่งที่เผยออกมาจากแววตาที่เฟิงเป่ยเฉินมองนาง คนอื่นไม่รู้ แต่ข้ากลับรู้ว่าเขาคิดอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะเกรงกลัวปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนที่หนุนหลังอวิ๋นจือชิวอยู่ เกรงว่าเขาคงยื่นมือมารไปที่อวิ๋นจือชิวนานแล้ว และแน่นอน สาเหตุที่เอาลูกศิษย์ของตัวเองมาเป็นผู้หญิงของตัวเอง ก็ไม่ใช่เพราะเป็นรสนิยมพิเศษของเขาอย่างเดียว ที่สำคัญกว่านั้นเป็นเพราะลูกหลานของเขาโดนฆ่าตายไปเกือบหมด ไม่เหมือนอวิ๋นอ้าวเทียนกับจีฮวนที่ยังมีลูกหลานมากมาย เขาไม่มีคนที่เชื่อใจได้มากพอที่จะทำงานให้เขา เขาเอาใจตัวเองไปวัดใจคนอื่น จึงมักจะกลัวว่าลูกศิษย์ของตัวเองจะพึ่งพาไม่ได้ เลยใช้ความสำพันธ์อีกอย่างมาผูกมัดลูกศิษย์ตัวเองไว้ สาเหตุที่ทำให้ลูกหลานเกิดมา ก็เพราะอยากจะผูกมัดให้แน่นหนาขึ้นสักหน่อย ที่เหมียวจวินอี๋แต่งงานกับโม่หมิง ก็เพื่อที่จะช่วยเขาควบคุมสำนักงามวิจิตร ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ นางเป็นเครื่องมือที่มีไว้ให้เขาใช้งานเท่านั้น”

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอวิ๋นจือชิว แต่นางจงใจจะเอ่ยถึงอวิ๋นจือชิว จะเตือนเหมียวอี้ว่าอวิ๋นจือชิวในปีนั้นไม่เรียบร้อย ผู้หญิงปกติจะแต่งตัวยั่วยวนผู้ชายแบบนั้นได้อย่างไรกัน อยากจะสร้างหนามเอาไว้ในใจเหมียวอี้ สรุปก็คือนางไม่พอใจที่ลูกสาวตัวเองได้เป็นอนุภรรยา นางหวังนิดหน่อยว่าเหมียวอี้จะถอดอวิ๋นจือชิวและยกลูกสาวนางขึ้นมาเป็นภรรยาเอก ตราบใดที่เป็นแม่คน ความคิดแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะนางไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไร นางคงไม่มีทางยอมให้ฉินเวยเวยเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้

เหมียวอี้ใจกว้างกับอวิ๋นจือชิว ตอนที่ได้ครอบครองมา ร่างกายอวิ๋นจือชิวก็ยังไม่มีอะไรเสียหาย ในใจไม่รู้สึกเสียใจทีหลัง ดังนั้นจึงไม่คิดอะไรตามคำเตือนของนางเลย แต่กลับตกใจในความวิปริตของเฟิงเป่ยเฉิน พอนึกว่าฉินเวยเวยตกอยู่ในน้ำมือเฟิงเป่ยเฉิน เขาก็เริ่มกลัวขึ้นมาแล้ว รีบถามว่า “เวยเวยตกอยู่ในมือเขาแบบนั้น นางจะเป็นอะไรรึเปล่า? เวยเวยเป็นคนหัวโบราณ ถ้าประสบกับเรื่องแย่ๆ แบบนั้น เกรงว่านางอาจจะอยากตายได้”

ฉินซีตอบว่า “ก่อนที่จะตกลงเงื่อนไขกับเจ้าสำเร็จ เขาคงจะยังไม่ทำอะไรซี้ซั้ว เขาไม่ยอมให้ผู้หญิงคนหนึ่งมาทำให้เขาแผนพังหรอก สำหรับเขาแล้ว ความสำเร็จสำคัญกว่าผู้หญิง แต่ถ้าข้อตกลงนี้ไม่มีทางสำเร็จได้ สัตว์ร้ายที่สวมอาภรณ์หรูหราอย่างเฟิงเป่ยเฉินก็ไม่เกรงใจแน่ ประการแรกคือบอกให้เจ้ารู้ถึงวิธีการช่วยชีวิตเวยเวย ประการต่อมาคือวรยุทธ์ข้าต่ำ ถ้ารอจนกว่าข้าจะตามกลับไปถึง ก็ยังไม่รู้ว่าเฟิงเป่ยเฉินจะทำอะไรกับเวยเวยบ้าง ข้าต้องการให้เจ้ารีบพาข้ากลับไปส่งที่นภาอู๋เลี่ยง จากนั้นเจ้าค่อยไปที่สำนักงามวิจิตร ขอเพียงข้าได้ไปดูอยู่ข้างกายเฟิงเป่ยเฉิน คอยเฝ้าจับตาดูไว้ ต่อให้เฟิงเป่ยเฉินจะหน้าด้านกว่านี้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำอะไรซี้ซั้วเหมือนกัน”

“ไป!” เหมียวอี้รอไม่ไหวแม้แต่นิดเดียว ฉินเวยเวยตกอยู่ในมือคนวิปริตประเภทนั้น เขานึกแล้วรู้สึกกลัว ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าเฟิงเป่ยเฉิน หนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยจะเป็นคนที่น่ารังเกียจแบบนั้น ลงมือผนึกพลังอิทธิฤทธิ์ของฉินซีทันที แล้วดึงแขนนางแฉลบขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นแล้ว

การดึงคนให้เหาะไปด้วยกันทำให้ความเร็วลดลง ฉินซีไม่อยากให้คนเห็นว่าเหมียวอี้กับเขาอยู่ด้วยกัน โดนเหมียวอี้ดึงไว้ในมือแบบนี้ทำให้รู้สึกอึดอัดเช่นกัน จึงเป็นฝ่ายขอเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของเหมียวอี้

ระหว่างทางกลับที่รีบเร่ง เหมียวอี้ก็รีบนำระฆังดาราออกมาติดต่อกับสงเวยและหงเทียนแห่งทะเลดาวนักษัตร ให้ทั้งสองรีบระดมยอดฝีมือของทะเลดาวนักษัตรไปที่นภาอู๋เลี่ยง…

ยอดเขาหยกนครหลวง หยางชิ่งเงียบงันอยู่ในห้องศิลาเรียกได้ว่าทำสีหน้าคับแค้น สองมือกำหมัดแน่น

ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่ตนรักษาไว้ในฝ่ามือ สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเขา ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยทำให้นางได้รับความลำบากอะไร แต่วันนี้กลับตกอยู่ในมือของเฟิงเป่ยเฉิน ไม่รู้ว่าจะได้รับความลำบากอะไรบ้าง ไฟโกรธที่เดือดดาลในใจยากที่จะสงบลงได้

หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง เขาก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิว

ใช้เวลาเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว เขาก็ตัดสินใจได้แล้ว เขาเตรียมตัวล้างแค้นแล้วหากฉินเวยเวยไม่สามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะช่วยฉินเวยเวยให้รอดชีวิตกลับมาได้หรือไม่ เขาก็จะไม่ปล่อยเฟิงเป่ยเฉินไป ตัดสินใจแล้วว่าจะกำจัดเฟิงเป่ยเฉิน!

ที่จริงอวิ๋นจือชิวกำลังอยู่ระหว่างทางกลับพิภพเล็ก ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเหาะเพียงลำพังอยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ใกล้จะถึงพิภพเล็กแล้ว

จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากหยางชิ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า : เกิดอะไรขึ้น?

หยางชิ่ง : นายท่านกับเฟิงเป่ยเฉินประมือกัน เวยเวยถูกเฟิงเป่ยเฉินจับตัวไปแล้ว

อวิ๋นจือชิวตกใจมาก : เรื่องเป็นอย่างไรบ้าง?

หยางชิ่งเล่าสิ่งที่ได้รู้จากเหมียวอี้ให้นางฟังคร่าวๆ ทันที

เมื่อได้ทราบว่าเฟิงเป่ยเฉินสู้กับเหมียวอี้ไม่ไหว อวิ๋นจือชิวก็ทั้งดีใจทั้งตกใจ ดีใจเพราะศักยภาพของเหมียวอี้ ตกใจเพราะถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป คนที่เหมียวอี้ต้องเผชิญหน้าด้วยคงไม่ได้มีแค่เฟิงเป่ยเฉินคนเดียวแน่ เหมียวอี้ผงาดขึ้นมารวดเร็วขนาดนี้ ถ้าอีกห้าปราชญ์ไม่กังวลก็แปลกแล้ว

หลังจากใช้ความคิดแล้ว อวิ๋นจือชิวก็รีบปลอบโยน : ผู้การหยางไม่ต้องกังวล ต้องเชื่อในความสามารถของนายท่าน นายท่านจะต้องหาทางช่วยน้องเวยเวยกลับมาได้แน่

หยางชิ่ง : ข้าน้อยจะต้องแจ้งเรื่องนี้ต่อท่านทูต โอกาสที่นายท่านจะแทนที่ปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินมาถึงแล้ว ข้าน้อยคิดว่าจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด

อวิ๋นจือชิว : หมายความว่าอย่างไร?

หยางชิ่ง : เฟิงเป่ยเฉินแพ้ถอยกลับไป จะต้องเรียกรวมยอดฝีมือบงกชทองที่นภาอู๋เลี่ยงเอเตรียมทำศึกแน่ แต่ละสายของแดนอู๋เลี่ยงไม่มีนักพรตบงกชทองนั่งรักษาการณ์แล้ว สายมะโรงของเราอยู่ใกล้กับแดนอู๋เลี่ยง ภายใต้ความได้เปรียบในการระดมพลและบัญชาการกองทัพไปทางใต้ แดนอู๋เลี่ยงก็ต้องนึกไม่ถึงแน่ๆ ว่ากำลังพลฝั่งแดนเซียนจะรุกโจมตีในขอบเขตที่ใหญ่ขนาดนี้ ก่อนที่แดนอู๋เลี่ยงจะระดมกำลังพลทันเวลา ก็ไม่มีทางต้านทานกองทัพใหญ่นับล้านของข้าได้เลย ลั่นกลองรบปลุกใจให้ตีชนะไปทีละอาณาเขต ทำลายรากฐานนับหมื่นปีของเฟิงเป่ยเฉินให้สิ้นซาก ถึงตอนนั้นต่อให้เฟิงเป่ยเฉินจะหลบภัยครั้งนี้ไปได้ แต่เบื้องล่างไม่กำลังทหารให้ควบคุมแล้ว เขาคนเดียวต่อให้จะมีวรยุทธ์สูงแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ แดนอู๋เลี่ยงย่อมต้องเปลี่ยนยุคสมัยใหม่ ถึงตอนนั้นก็เป็นไปไม่ได้แล้วที่เฟิงเป่ยเฉินจะเงยหน้าอ้าปาก

อวิ๋นจือชิวได้ยินแล้วทั้งตกใจทั้งโมโห ตำหนิว่า : หยางชิ่ง! ขนาดเฟิงเป่ยเฉินสู้กับนายท่านตัวต่อตัว นายท่านยังทำอะไรเขาไมได้เลย ถ้าเขาเรียกรวมยอดฝีมือจากสายต่างๆ มาช่วย นายท่านจะไม่เป็นอันตรายเหรอ!

หยางชิ่ง : นายท่านติดต่อกับคนของทะเลดาวนักษัตรแล้ว มียอดฝีมือของทะเลดาวนักษัตรมาช่วย ตราบใดที่นายท่านสามารถรับมือกับเฟิงเป่ยเฉินได้ ก็จะไม่เป็นอะไรแน่นอน

อวิ๋นจือชิว : สายมะโรงมีการระดมกำลังพลใหญ่โตขนาดนี้ มีหรือที่แดนโพ้นสวรรค์จะไม่รู้ ถ้าแดนโพ้นสวรรค์ส่งคนมายับยั้งในทันที ถอดอำนาจของท่านทูตทิ้ง แล้วกำลังพลสายมะโรงจะรุกโจมตีไปทางใต้ได้ยังไง?

หยางชิ่ง : ขอเพียงท่านทูตยินยอม หยางชิ่งยินดีจะไปคุยต่อหน้าท่านปราชญ์ที่แดนโพ้นสวรรค์ทันที จะต้องโน้มน้าวให้ปราชญ์เซียนปิดตาข้างเดียวได้อย่างแน่นอน

อวิ๋นจือชิว : เจ้าจะโน้มน้ามอย่างไร?

หยางชิ่งย่อมมีข้ออ้างมาชี้แจงอยู่แล้ว สรุปก็คือเป้าหมายของเขาใหญ่มาก อาจจะใช้ผลประโยชน์มาทำให้มู่ฝานจวินสงบลง ใช้กำลังพลของสายมะโรงแดนเซียนโจมตีแดนอู๋เลี่ยง ดึงกำลังพลของทะเลดาวนักษัตรมาเสริมเพื่อแก้ไขจุดด้อยให้สายมะโรง อาศัยโอกาสนี้กดดันให้กลุ่มปีศาจของทะเลดาวนักษัตรแตกหักกับปราชญ์ปีศาจจีฮวน ทำให้กลุ่มปีศาจของทะเลดาวนักษัตรหมดทางหนีทีไล่ จนจำเป็นต้องสนับสนุนเหมียวอี้ให้ครอบครองอาณาเขตแดนอู๋เลี่ยงมาเป็นของตัวเองคนเดียว

สิ่งเดียวที่หยางชิ่งกังวลก็คือฝ่ายปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน ถ้าอวิ๋นจือชิวมีวิธีการทำให้อวิ๋นอ้าวเทียนสงบลงได้ ขอเพียงอวิ๋นอ้าวเทียนกับมู่ฝานจวินยืนอยู่ฝ่ายเหมียวอี้ เหมียวอี้มีศักยภาพเทียบเท่าเฟิงเป่ยเฉิน ปราชญ์พุทธฉางเหลย ปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวและปราชญ์ปีศาจจีฮวนก็จะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแล้ว ส่วนแนวโน้มที่เหมียวอี้จะมาแทนที่เฟิงเป่ยเฉินก็ถูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว กลายเป็นหนึ่งในหกปราชญ์คนใหม่

ดังนั้นหยางชิ่งจึงถามอวิ๋นจือชิวแค่คำเดียว ว่ามีความมั่นใจขนาดไหนที่จะจัดการกับปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน!

จากที่เขารู้จักอวิ๋นจือชิวมาหลายปี เขารู้สึกว่าสามารถทำให้อวิ๋นจือชิวหวั่นไหวได้แน่นอน ทำให้อวิ๋นจือชิวคิดหาทางจัดการปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนได้แน่นอน

ทำให้เหมียวอี้กลายเป็นหนึ่งในหกปราชญ์! อวิ๋นจือชิวหวั่นไหวแล้วจริงๆ ใจเต้นโครมๆ แล้ว

มีอยู่จุดหนึ่งที่หยางชิ่งไม่รู้ แต่อวิ๋นจือชิวกลับรู้ ว่าการดึงกำลังพลของทะเลดาวนักษัตรมาสนับสนุนเหมียวอี้ไม่ใช้ปัญหาอะไรเลย ประมุขถิ่นสี่ทิศกับเหมียวอี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ธรรมดาอย่างที่คนนอกเห็น พวกเขาถูกผูกมัดไว้แล้วจริงๆ ส่วนในมือนางก็มีไพ่ใบสุดท้ายที่จะควบคุมปู่ของนางเหมือนกัน จะไม่ให้นางใจสั่นหวั่นไหวได้อย่างไร

เพียงแต่ว่า…อวิ๋นจือชิวถาม : เรื่องนี้เจ้าปรึกษากับนายท่านหรือยัง? นายท่านมีความเห็นอย่างไร?

หยางชิ่ง : เปล่าขอรับ! ท่านทูตต่างหากที่กุมอำนาจของกำลังพลสายมะโรง การจะระดมกำลังพลของสายมะโรง ย่อมต้องให้ท่านทูตยินยอม แล้วอีกอย่าง อันหรูอวี้กับสามีก็อยู่ในมือมู่ฝานจวิน นิสัยอีกด้านของนายท่านคือเด็ดเดี่ยวที่จะเสี่ยงอันตราย แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นคนที่ลังเลเพราะเห็นแก่ความรัก ให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากเกินไป เกรงว่าคงไม่ให้พวกเขาสามีภรรยาได้รับความเสี่ยง เกรงว่าจะไม่ตอบตกลง ดังนั้นถึงได้มาปรึกษากับท่านทูต

อวิ๋นจือชิวคิดในใจว่า คนที่ถูกบีบอยู่ในมือมู่ฝานจวินมีแค่อันหรูอวี้กับสามีเสียที่ไหนกัน น้องสาวของเหมียวอี้ก็อยู่ในมือมู่ฝานจวินด้วย ถ้าเกิดเรื่องที่เหนือขอบเขตการควบคุมขึ้นมา ก็เป็นไปได้สูงว่าจะส่งผลต่อความปลอดภัยของเยว่เหยา

เพียงแต่นางไม่อยากเปิดเผยให้หยางชิ่งรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเหมียวอี้กับเยว่เหยา จึงถอนหายใจ แล้วตอบว่า : เรื่องนีเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของอันหรูอวี้และสามี เกรงว่านายท่านจะไม่ตอบตกลงเรื่องนี้ ข้าว่าช่างมันเถอะ!

หยางชิ่งจึงบอกว่า : ท่านทูต เรื่องที่นายท่านเอาชนะเฟิงเป่ยเฉินได้ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องแพร่ออกไป ถึงอย่างไรนายท่านกับเฟิงเป่ยเฉินก็ยังต้องสู้กันอีกครั้ง ศักยภาพของนายท่านตอนนี้ ถ้าอยากจะปิดบังก็คงทำไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ถ้าไม่อยู่ในสภาวะที่สมดุลกับหกปราชญ์ หกปราชญ์ก็ยิ่งปล่อยเหมียวอี้ไปไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงพวกนี้หรอก ต่อให้นายท่านไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง อันหรูอวี้กับสามีก็ยังถูกควบคุมอยู่ในมือของมู่ฝานจวินอยู่ดี ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็เป็นแบบนี้เหมือนเดิม ทำไมไม่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในยามวิกฤตไปเสียเลยล่ะ? ไม่สู้ปิดบังนายท่านไว้ก่อน ให้นายท่านได้สู้กับเฟิงเป่ยเฉินอย่างไร้กังวล ถ้าเรื่องราวลุกลามขยายใหญ่ขึ้น นายท่านก็ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว หลังจากจบเรื่องแล้วนายท่านได้สวมเสื้อเหลืองคลุมกาย[1] ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งปราชญ์ ได้รับการเคารพบูชาจากคนนับหมื่น นายท่านก็จะเข้าใจความเพียรพยายามของพวกเรา

อวิ๋นจือชิวพูดไม่ออกแล้ว สิ่งที่หยางชิ่งพูดคือเรื่องที่นางกังวลที่สุดจริงๆ เหมียวอี้ผงาดขึ้นเร็วเกินไป ตอนนี้เปิดเผยเบาะแสแล้ว ถ้าไม่ฉวยโอกาสหาทางเลื่อนขั้น หลังจากจบเรื่องจะต้องกลายเป็นภรรยาตัวเล็กๆ ที่ได้รับความลำบากไปทั่วอีกแน่ๆ

หลังจากครุ่นคิดซ้ำๆ อวิ๋นจือชิวก็กัดฟันตอบว่า : จัดการตามที่เจ้าบอกแล้วกัน

หยางชิ่งถามอีกว่า : ท่านทูตจะกลับมาเมื่อไร?

เขาไม่รู้เรื่องที่พิภพใหญ่ นึกว่าอวิ๋นจือชิวอยู่ที่พิภพเล็ก

อวิ๋นจือชิว : อีกครึ่งวันก็ถึงแล้ว

ดังนั้นทั้งสองจึงตัดสินใจว่าจะคุยรายละเอียดอีกทีหลังจากพบหน้ากัน

จากนั้นอวิ๋นจือชิวก็ติดต่อเหมียวอี้เพื่อถามสถานการณ์จากเขาอีก หลังจากถามเหมียวอี้ว่าจะช่วยฉินเวยเวยอย่างไรแล้ว นางเองก็ตกใจเหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าเฟิงเป่ยเฉินจะเป็นคนประเภทนั้น ถึงขนาดเคยคิดไม่ซื่อกับนางด้วย คิดๆ แล้วยังขนลุก

…………………………

[1] สวมเสื้อเหลืองคลุมกาย 黄袍加身 อุปมาว่าได้เป็นใหญ่ เป็นกษัตริ

1097


บทที่ 1098 เฟิงเป่ยเฉินที่ตัดต้นไม้

ในเมื่อต้องการจะทำ อวิ๋นจือชิวก็มีแผนการของตัวเองเหมือนกัน เรื่องบางเรื่องจะให้บอกหยางชิ่งเสียทั้งหมดไม่ได้

หลังจากมาถึงพิภพเล็ก อวิ๋นจือชิวก็เรียกฝูชิงและอิงอู๋ตี๋ออกมาจากกระเป๋าสัตว์ และยังไม่ได้แยกทางกับทั้งสอง แต่พาทั้งสองเหาะตรงกลับมาที่ยอดเขาหยกนครหลวง

หลังจากวางแผนลับกับหยางชิ่งแล้ว หยางชิ่งก็กล่าวขอตัวออกจากยอดเขาหยกนครหลวง ไปทำหน้าที่นักวิ่งเต้นที่แดนโพ้นสวรรค์เพียงลำพัง

“ไม่น่าเชื่อว่าจะไปขอพบมู่ฝานจวินที่แดนโพ้นสวรรค์คนเดียว สงสัยเฟิงเป่ยเฉินจะยั่วให้หยางชิ่งโมโหแล้วจริงๆ หัวใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ในโลกนี้ช่างน่าสงสาร”

ใต้ตึกปราสาททอง ขณะที่อวิ๋นจือชิวมองส่งจนหยางชิ่งหายลับไปกับเส้นขอบฟ้า ตอนนี้นึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เหมียวอี้บอก ว่าฉินเวยเวยเป็นลูกสาวแท้ๆ ของหยางชิ่งและฉินซี นางก็ยังรู้สึกคาดคิดไม่ถึงอยู่บ้าง นางถอนหายใจเบาๆ แล้วเหาะไปยังเรือนเดี่ยวสำหรับรับรองแขกทันที

เมื่อเห็นฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋กำลังพักผ่อน อวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้ปิดบัง บอกไป “นายท่านกับเฟิงเป่ยเฉินประมือกัน เฟิงเป่ยเฉินแพ้ถอยไป แต่จับตัวฉินเวยเวยไปด้วย”

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด ฝูชิงพยักหน้าบอกว่า “พี่ใหญ่กับเจ้าสี่กำลังระดมนักพรตระดับบงกชทองทั้งหมดของทะเลดาวนักษัตร เจ้าห้าโมโหมาก ต้องการจะโจมตีนภาอู๋เลี่ยงให้ราบ พี่ใหญ่กับเจ้าสี่บอกเรื่องนี้กับพวกเราแล้ว”

อวิ๋นจือชิวบอกว่า “โจมตีนภาอู๋เลี่ยงให้ราบแล้วยังไงล่ะ? ตีงูไม่ตายก็จะมีปัญหาตามมาไม่จบสิ้น ไม่ว่านายท่านจะจัดการเฟิงเป่ยเฉินได้หรือไม่ ข้าก็ไม่อยากให้เฟิงเป่ยเฉินมีโอกาสฟื้นคืนกลับมา ถ้าจะทำก็ต้องถอนรากถอนโคนของเฟิงเป่ยเฉินให้หมด ข้าจะบอกพี่ชายทั้งสองให้รู้ ว่าข้ากำลังจะออกคำสั่งระดมทัพใหญ่หนึ่งล้านของสายมะโรง บัญชาการกองทัพให้บุกโจมตีแดนอู๋เลี่ยง แต่จนใจที่กำลังพลสายมะโรงของข้าอ่อนด้อยกว่ากำลังพลสิบสองสายของแดนอู๋เลี่ยง ดังนั้นจึงอยากขอให้พี่ชายทั้งสองติดต่อกับทางทะเลดาวนักษัตรเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่แค่นักพรตบงกชทองเท่านั้น แต่ให้ระดมกำลังพลทั้งหมดของทะเลดาวนักษัตรไปสนับสนุน ตีขนายไปสองข้าง ขุดรากถอนโคนอำนาจของเฟิงเป่ยเฉินให้หมด”

ทั้งสองได้ยินแล้วตกใจ ฝูชิงขมวดคิ้วตอบว่า “น้องสะใภ้ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากช่วยเจ้านะ ถ้าทะเลดาวนักษัตรมีการเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ ไม่ใช่แค่สะเทือนถึงจีฮวนคนเดียว แต่เกรงว่าจะสะเทือนถึงอีกห้าปราชญ์ด้ววยเหมือนกัน ถ้าพวกเขาร่วมมือกันขึ้นมา ก็ไม่อยากจะจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย พวกลูกน้องติดตามพวกเรามาหลายปี พวกเราไม่อาจมองข้ามความเป็นความตายของพวกเขาได้”

อวิ๋นจือชิวโบกมือ “น้องสาวไม่ใช่คนประมาทขนาดนั้น น้องสาวไม่ทำเรื่องที่ตัวเองไม่มั่นใจหรอก เดี๋ยวข้าจะไปโน้มน้าวท่านปู่ข้าที่นภาจอมมาร มู่ฝานจวินก็จะยืนอยู่ฝ่ายนี้เหมือนกัน บวกกับที่นายท่านมีพลังมากพอที่จะต่อต้านเฟิงเป่ยเฉิน จีฮวน ฉางเหลย ซือถูเซี่ยวจะต้องไม่กล้าเคลื่อนไหวส่งเดชแน่”

ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋เงียบงัน…

“หลันโฮ่ว รวบรวมกำลังพลของเมืองหลวงและกำลังพลใต้สังกัดทั้งหมด เหลือส่วนน้อยไว้เฝ้าที่นี่ก็พอ ส่วนที่เหลือเจ้าเป็นคนบัญชาการทั้งหมด ไปปรับปรุงกำลังที่ตำหนักเจิ้นกุ่ย ปราสาทดำเนินธารา”

“เหยียนซิว ถือคำสั่งของข้าไป ไปที่ปราสาทดำเนินเซียนเดี๋ยวนี้ สั่งให้ประมุขปราสาทดำเนินเซียนรวบรวมกำลังพลทั้งหมดของปราสาทดำเนินเซียน และเรียกรวมนักพรตทุกสำนักในอาณาเขตด้วย ไปปรับปรุงกำลังที่ตำหนักเจิ้นกุ่ยปราสาทดำเนินธาราเดี๋ยวนี้ เจ้าเฝ้าติดตามดูกองทัพ”

“หยางเจาชิง ถือคำสั่งของข้าไป ไปที่ปราสาทดำเนินนภาเดี๋ยวนี้ สั่งให้ประมุขปราสาทดำเนินนภารวบรวมกำลังพลทั้งหมดของปราสาทดำเนินนภา เรียกรวมนักพรตทุกสำนักในอาณาเขตด้วย ไปปรับปรุงกำลังที่ตำหนักเจิ้นกุ่ยปราสาทดำเนินธาราเดี๋ยวนี้ เจ้าเฝ้าติดตามดูกองทัพ”

“เฉิงเย่าเวย ถือคำสั่งของข้าไปที่ปราสาทดำเนินปฐพีเดี๋ยวนี้…”

ในปราสาททอง อวิ๋นจือชิวเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย กำลังนั่งสง่าอยู่บนบัลลังก์ คำสั่งทั้งหมดสิบสามฉบับ ลอยไปถึงมือคนที่ยืนอยู่เบื้องล่างทีละฉบับ

หลันโฮ่วและคนอื่นๆ ที่ได้รับคำสั่งประหลาดใจไม่หยุด แบบนี้ก็เท่ากับจะเคลื่อนทัพใหญ่หนึ่งล้านทั้งหมดของสายมะโรงไปยังอาณาเขตตำหนักเจิ้นกุ่ยของปราสาทดำเนินธาราน่ะสิ คิดจะทำอะไรกันแน่? สถานที่นั้นอยู่ใกล้แดนอู๋เลี่ยง จะให้โจมตีแดนอู๋เลี่ยงก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่าบอกนะว่าจะฮุบอาณาเขตใกล้เคียงอีกสายหนึ่ง?

อวิ๋นจือชิวไม่ได้อธิบายเจตนาของตัวเอง ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูด หลังจากรอให้ทั้งสิบสามคนรับคำสั่งและออกไปปฏิบัติตามแล้ว นางก็ออกมาจากปราสาททองเช่นกัน ร่ายอิทธิฤทธิ์เก็บค่ายกลแปดทิศที่วางไว้ ก่อนจะนำเก็บติดตัวแล้วเหาะขึ้นฟ้าไปเพียงลำพัง…

ส่วนเหมียวอี้ในเวลานี้ก็ไม่ได้รับข่าวจากทางทะเลดาวนักษัตรอย่างเดียว แต่ได้รับรายงานลับจากเหยียนซิวกับหยางเจาชิงด้วย รายงานเกี่ยวกับสิ่งที่อวิ๋นจือชิวเตรียมการ

เหมียวอี้ติดต่ออวิ๋นจือชิวทันที : เจ้าเรียกรวมกำลังพลของทะเลดาวนักษัตรกับสายมะโรงเพราะเตรียมจะโจมตีแดนอู๋เลี่ยงเหรอ?

ตอนนี้อวิ๋นจือชิวกำลังอยู่ระหว่างทางไปนภาจอมมาร ตอบกลับมาว่า : ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว งั้นก็ขุดรากถอนโคนเฟิงเป่ยเฉินไปเสียเลยสิ

เหมียวอี้ : ทำแบบนี้ได้ก็ย่อมดีอยู่แล้ว แต่มู่ฝานจวินจะตอบตกลงได้ยังไง? เกรงว่ายังไม่ทันจะรวบรวมกำลังพลได้เต็มที่ นางก็จะส่งคนมาแทรกแซงแล้วน่ะสิ แล้วอีกสี่ปราชญ์ก็คงไม่นั่งดูเฉยๆ เหมือนกัน

อวิ๋นจือชิว : เจ้าไม่ต้องห่วง หยางชิ่งไปโน้มน้าวมู่ฝานจวินที่แดนโพ้นสวรรค์แล้ว เจ้าก็รู้จักคนอย่างหยางชิ่ง ถ้าไม่มั่นใจก็คงไม่ทำ ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับเอาชีวิตไปส่งให้ถึงมือมู่ฝานจวิน แล้วข้าก็กำลังไปที่นภาจอมมาร จะไปโน้มน้าวให้ท่านปู่อยู่ฝ่ายพวกเรา ขอเพียงมีสองแดนไม่เคลื่อนไหว อีกสามแดนก็จะไม่บุ่มบ่ามทำอะไรเหมือนกัน

เหมียวอี้แสดงความสงสัย : ยังไม่ต้องพูดถึงหยางชิ่ง ปู่ของเจ้าเป็นคนที่จะทิ้งผลประโยชน์ของตระกูลอวิ๋นเพราะความรู้สึกที่มีต่อหลานสาวคนเดียวเหรอ?

อวิ๋นจือชิว : เจ้าก็ระวังตัวเองไว้เถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงฝั่งข้าหรอก ข้าจะทำเรื่องที่ส่งผลเสียกับเจ้าเชียวเหรอ? รักษาความสัมพันธ์เอาไว้ ให้ความร่วมมือกับการปฏิบัติการ!

ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ได้เอ่ยเรื่องที่จะให้เหมียวอี้มาแทนที่เฟิงเป่ยเฉินเลย เยว่เหยาน้องสาวคนนั้นก็นับว่าเป็นจุดอ่อนของเขาเหมือนกัน เขาไม่มีทางให้เยว่เหยาเสี่ยงอันตรายใดๆ ไม่อย่างนั้นอาศัยศักยภาพของเขาในตอนนี้ มู่ฝานจวินก็ควบคุมเขาไม่ได้ตั้งนานแล้ว ถ้าบอกความจริงขึ้นมา ท่านสามีคนนี้ของนางจะต้องไม่ตอบตกลงแน่นอน

สิ่งที่นางกังวลตอนนี้ก็คือ หลังจากจบเรื่องแล้วควรจะอธิบายกับเขาอย่างไรดี

เหมียวอี้พูดไม่ออก เขาสามารถหยุดยั้งไม่ให้อวิ๋นจือชิวระดมกำลังพลของทะเลดาวนักษัตร แต่หยุดยั้งไม่ให้อวิ๋นจือชิวกะดมกำลังพลของสายมะโรงไม่ได้ ถึงอย่างไรอวิ๋นจือชิวก็เป้นท่านทูตของสายมะโรง

มาคิดมากตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือจะไปจับตัวโม่จวินหลันมาแลกกับฉินเวยเวยอย่างไร ตอนนี้ยังไม่มีเวลามาคิดอย่างอื่น ก็อย่างที่อวิ๋นจือชิวบอก เขาเองก็ไม่คิดว่าอวิ๋นจือชิวจะทำอะไรที่ส่งผลเสียกับเขา

ขณะที่ครุ่นคิด เหมียวอี้ก็เหาะไปเหยียบบนยอดเขาแห่งหนึ่ง โบกมือเรียกฉินซีออกมา แล้วถามว่า “ผู้อาวุโส ตรงนี้ห่างจากนภาอู๋เลี่ยงไม่ไกลแล้ว ผู้น้อยขอส่งตรงนี้”

ฉินซีที่ถอนหายใจเบาๆ ทอดสายตาไปรอบๆ สุดท้ายสายตาก็มาหยุดอยู่บนตัวเหมียวอี้ แล้วพยักหน้าเบาๆ “เจ้าเองก็รักษาตัวด้วย!”

เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ แล้วถามอีกว่า “ผู้อาวุโสจดจำวิธีการติดต่อได้หรือยัง?”

เขามอบระฆังดาราอันหนึ่งให้ฉินซี แล้วสร้างวิธีการติดต่อระหว่างกันขึ้นมา จะได้รู้สถานการณ์ของฉินเวยเวยได้สะดวก

“ระหว่างทางข้าได้จดจำไว้แล้ว!” ฉินซีกล่าวยืนยัน แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เหาะจากไปอย่างรวดเร็ว

ขณะมองดูอีกฝ่ายหายลับไปในท้องฟ้า เหมียวอี้ก็ลูบหน้ากากบนใบหน้าตัวเอง ก่อนจะหลบเข้าไปในป่าภูเขา รีบมุ่งหน้าไปทางสำนักงามวิจิตร…

ตำหนักอู๋เลี่ยง หลังจากฉินซีลอยเข้าตำหนักหลังอย่างไม่รีบร้อน พอเหยียบลงพื้นก็มีหญิงรับใช้ที่สวมชุดสีฟ้าคู่หนึ่งเข้ามาคำนับ “ฮูหยิน!”

ฉินซีมองซ้ายมองขวา แล้วถามเสียงเรียบว่า “ท่านปราชญ์กลับมารึยัง?”

หญิงรับใช้หันตัวชี้ไปยังยอดเขาไกลๆ ของนภาอู๋เลี่ยง “กลับมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านปราชญ์ไปที่ยอดเขาเมฆาร่วงหล่นแล้ว”

ฉินซีหันกลับมามองยอดเขาสูงตระหง่านที่มีหิมะทับถมหลายชั้น แล้วถามพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านปราชญ์ไปทำอะไรที่ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น?”

หญิงรับใช้ส่ายหน้า “บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ท่านปราชญ์สั่งไว้ก่อนจะไปที่นั่น ว่าถ้าฮูหยินมาแล้ว ก็ให้บ่าวไปแจ้งให้ทันเวลา บ่าวจะไปแจ้งเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

“ไม่ต้องแล้ว ข้าจะไปหาเขาอยู่พอดี” ฉินซีหันตัวกำลังจะเหาะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอก้าวขาแล้ว นางก็ชะงักเล็กน้อย หันกลับมาถามว่า “นอกจากไปที่ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น หลังจากกลับมาแล้วท่านปราชญ์ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีกหรือเปล่า?”

หญิงรับใช้ส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ได้ทำอะไรเลยเจ้าค่ะ เพียงปล่อยอินทรีเทพจำนวนหนึ่งออกไป จากนั้นก็ไปที่ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น”

ฉินซีครุ่นคิดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ถลันตัวจากไปทันที

ณ ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น ที่จริงก็เป็นแค่ภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่ง บนยอดเขาไม่ได้มีของอะไร ลมหนาวพัดหวีดหวิว

ฉินซีที่เหาะมาถึงยอดเขากำลังครุ่นคิดว่าเฟิงเป่ยเฉินมาทำอะไรที่นี่ ปรากฏว่าเหลือบไปเห็นต้นไม้โบราณต้นเดียวที่อยู่บนยอดเขาถูกตัดล้มลงมาแล้ว และเฟิงเป่ยเฉินก็ทำท่าเหมือนช่างไม้ กำลังถือกระบี่ตัดเล็มต้นไม้โบราณที่ล้มลงมา เหมือนจะเปลืองแรงนิดหน่อย

นี่ไม่เหมือนงานที่ปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินหนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยจะทำเลยจริงๆ

พอนางปรากฏตัว เฟิงเป่ยเฉินก็หันขวับ เมื่อเห็นนางเหาะมา เขาก็อึ้งอยู่บ้าง ถามอย่างแปลกใจว่า “ทำไมเจ้ากลับมาถึงเร็วขนาดนี้?”

ฉินซีเพิ่งวรยุทธ์ระดับบงกชม่วง แต่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันก็กลับถึงนภาอู๋เลี่ยงแล้ว เขาย่อมแปลกใจ

ฉินซีเตรียมคำตอบไว้นานแล้ว “ระหว่างทางได้พบกับคนคนหนึ่ง จึงได้อาศัยบารมีท่าน ข้าบอกว่าไม่รู้จักเขา แต่เขารู้จักข้า ก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นท่านคุยกับเขา ท่าทางสุภาพเกรงใจ ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าท่านออกไปครั้งนี้เพื่อเข่นฆ่า กลัวว่าจะมีอันตราย จึงถือโอกาสให้เขามาส่งข้าสักครั้ง”

เฟิงเป่ยเฉินตอบ “อ้อ” แล้วถามอีกว่า “คนคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร?”

ฉินซีตอบอย่างเยือกเย็นว่า “สหายของท่านข้าจำได้ไม่หมดหรอก และไม่สนใจจะจำด้วย ถ้าครั้งหน้าเจอข้าจะชี้บอกท่าน”

เฟิงเป่ยเฉินส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปพูดแบบนี้เขาก็คงไม่เชื่อ แต่ด้วยนิสัยของผู้หญิงคนนี้ ไม่อยากจะสนใจใคร ถ้านางจำทุกคนได้ชัดเจน ก็เกรงว่าจะทำให้เขาสงสัยด้วยซ้ำ

สายตาของฉินซีกลับไปอยู่บนต้นไม้โบราณที่เขากำลังตัดเล็ม

ต้นไม้ต้นนี้ไม่รู้ว่าชื่ออะไร ไม่รู้ว่าเติบโตมาแล้วกี่ปี ว่ากันว่ามันอยู่ตรงนี้มาตลอดก่อนที่เฟิงเป่ยเฉินจะครอบครองที่นี่ เพียงแต่มีขนาดเท่าต้นไม้ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ไม่รู้ว่าใช้เวลากี่ปีถึงจะสูงขึ้นสักนิดนึ่ง เหมือนจะไม่มีวันเติบโตเลยตลอดไป ทั้งลำต้นเป็นสีขาว แม้แต่ใบก็เป็นสีขาวเหมือนกัน เติบโตอยู่ท่ามกลางทุ่งหิมะ

แต่ตอนนี้ถูกเฟิงเป่ยเฉินกำลังตัดโค่นมัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีรอยเลือดซึมออกมาเป็นเส้นๆ ต้นไม้สีขาวที่ปนกับของเหลวสีแดงให้ความรู้สึกน่าสยดสยองนิดหน่อย เพียงแต่มีกลิ่นหอมจางๆ ที่ทำให้คนรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย

หลังจากฉินซีมองมันสองครั้ง ก็แอบแปลกใจในการกระทำของเฟิงเป่ยเฉิน ภายนอกยังคงถามอย่างสงบเยือกเย็น “บนภูเขานี้มีต้นไม้ต้นนี้แค่ต้นเดียว เริ่มมีสติปัญญาแล้ว เกรงว่าใกล้จะกลายเป็นปีศาจแล้ว อยู่ดีๆ ท่านไปตัดมันทิ้งทำไม”

เฟิงเป่ยเฉินหัวเราะเบาๆ ยื่นกระบี่ให้นาง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เจ้าลองร่ายอิทธิฤทธิ์ตัดมันสักครั้งสิ”

ฉินซีขมวดคิ้วไม่เข้าใจ แต่ยังคงรับกระบี่มาไว้ในมือ แล้วตัดลงไปหนึ่งที่ “ตุ้บ” มีเสียงดังทึบหนึ่งครั้ง ส่วนที่โดนคมกระบี่ฟันยุบลงไปครึ่งหนึ่ง แต่กลับฟันเข้าไปได้ยาก

เฟิงเป่ยเฉินเอามือไขว้หลังยืนอยู่ข้างๆ แล้วหรี่ตายิ้มพร้อมถามว่า “เข้าใจรึยัง?”

ฉินซียังคงไม่เข้าใจ ถามว่า “ไม่เข้าใจ”

เฟิงเป่ยเฉินเงยหน้าหัวเราะลั่นทันที จากนั้นก็หยิบกระบี่กลับมาจากมือนาง แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ฟันลงไปเช่นกัน เหตุการณ์คล้ายๆ กับฉินซี เพียงแต่จมลึกกว่าฉินซีเล็กน้อย เขายิ้มพร้อมกล่าวว่า “ต้นไม้นี้ไม่รู้ว่าเป็นต้นไม้ประเภทไหน อย่าว่าแต่เจ้าที่ฟันไม่ขาด ต่อให้ข้าร่ายอิทธิฤทธิ์ใช้กำลังทั้งหมดก็ฟันมันไม่ขาดเช่นกัน นี่ก็คือจุดที่แปลกประหลาดของต้นไม้ต้นนี้ เจ้าว่ามันทนทานหรือไม่ ขนาดมนุษย์ธรรมดายังสามารถใช้มีดหั่นมันอย่างช้าๆ แต่กลับเหนียวทนที่สุด ลักษณะพิเศษที่เฉื่อยชาตายด้านของมัน ก็เหมือนกับการใช้ดาบฟันหินสักก้อนให้ขาดได้ง่ายๆ แต่ถ้าอยากจะใช้ดาบฟันเตียงนวมให้ขาดกลับเป็นเรื่องยาก ตอนนี้เจ้าเข้าใจข้อดีของมันหรือยัง?”

1098


บทที่ 1099 เปิดโปง

เข้าใจแล้ว! ฉินซีถาม “จะนำมาใช้สู้กับทวนวิเศษของเหมียวอี้?”

เฟิงเป่ยเฉินหัวเราะอย่างเย็นเยียบ “วรยุทธ์ของไอ้จัญไรนั่นก็ไม่ได้สูง เพียงเพราะความคมของทวนวิเศษทำให้คนไม่มีทางเข้าใกล้ได้ ไม่อย่างนั้นจะยอมให้เขากำเริบเสิบสานขนาดนั้นได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะนึกขึ้นได้ถึงของที่อยู่บนยอดเขาเมฆาร่วงหล่น ข้าก็คงทำอะไรเขาไม่ได้ไปชั่วขณะจริงๆ มีต้นไม้ต้นนี้แล้ว เดี๋ยวเจาคอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเขาอย่างไร”

สายตาของฉินซีไปหยุดอยู่บนไม้ที่มีรอยเลือดเป็นจุดๆ พร้อมเตือนว่า “ท่านอย่าลืมนะว่าเขาสามารถควบคุมไฟได้”

“ฮูหยินคิดมากไปแล้ว มีหรือที่ข้าจะไม่นึกถึงจุดนี้ ไฟสามารถข่มไม้นั่นไม่ผิด ไฟสามารถเผาทำลายไม้นี้ได้จริงๆ แต่เจ้าก็เห็นแล้วว่าไม้นี้ไม่ธรรมดา หลายปีก่อนเป็นเพราะข้าแปลกใจว่ามันคือต้นไม้อะไร เคยตัดกิ่งไปใช้วิธีการต่างๆ ทดลองมาแล้ว เวลาเจอไฟมันทนต่อการเผาไหม้สุดๆ ไม่ถูกเผาจนไหม้ภายในเวลาสั้นๆ แล้วข้าก็ไม่ได้แข็งทื่อเหมือนคนตาย เมื่อมีพลังอิทธิฤทธิ์ของข้าคอยเสริม มีหรือที่จะยอมให้ไฟเผาอยู่บนนั้นได้ตลอด? ของสิ่งนี้ถ้าใช้สู้กับคนอื่นอาจจะไม่ไหว แต่กลับเป็นของยอดเยี่ยมที่ใช้สู้กับทวนวิเศษในมือไอ้จัญไรนั่นได้พอดี!”

เฟิงเป่ยเฉินเผยสีหน้าดุร้ายขณะที่พูด เหมือนกำลังครุ่นคิดว่าจะทำให้เหมียวอี้ตายอย่างไร แต่พอเปลี่ยนความคิดก็ทำสีหน้าอึ้งไปชั่วขณะ สายตามองสำรวจฉินซีศีรษะจดเท้า แล้วถามว่า “ฮูหยิน ปกติเจ้าไม่ค่อยสนใจเรื่องของข้า วันนี้เป็นอะไรไปแล้ว?”

ฉินซีตอบเสียงเรียบว่า “ข้าเห็นว่าท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ท่านว่าเขาจะปล่อยข้าไปรึเปล่า?” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ นางกังวลเรื่องความเป้นความตายของตัวเอง

โดนผู้หญิงของตัวเองดูถูกแล้ว เฟิงเป่ยเฉินรู้สึกอับอายนิดหน่อย “ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเหรอ? ตลกน่า! เป็นเพราะเขามีของวิเศษดีๆ เท่านั้นแหละ”

ฉินซีเอียหน้ามองไปอีกด้าน ขี้คร้านจะเถียงกับเขา

ทำท่าทางแบบนี้อีกแล้ว เฟิงเป่ยเฉินพูดไม่ออกนิดหน่อย ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ฮูหยินไปพักผ่อนก่อนเถอะ ถ้าข้าจัดการตรงนี้เสร็จแล้วจะกลับไป”

ฉินซีส่ายหน้า “ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะอยู่ข้างกายท่านแบบนี้”

“…” เฟิงเป่ยเฉินอึ้งไปชั่วขณะ พบว่าวันนี้นางผิปกติจริงๆ จึงถามอย่างแปลกใจ “ทำไมล่ะ?”

ฉินซีตอบว่า “ครั้งก่อนมีคนโจมตีมาถึงที่นี่ แต่ท่านก็ทิ้งข้าแล้วหนีไปเลย ครั้งนี้ถ้ามีคนมาอีก ข้าอยู่ข้างกายท่าน อย่างน้อยยามท่านหนีจะได้ถือโอกาสพาข้าติดไปด้วย”

เฟิงเป่ยเฉินทำสีหน้าไม่ถูก และชั่วพริบตาเดียวก็ทำสีหน้าอับอาย

ที่บอกว่า ‘ครั้งก่อน’ ก็หมายถึงครั้งนี้ปราชญมารอวิ๋นอ้าวเทียนมาโจมตีที่นี่โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวิ๋นอ้าวเทียนเลย การรักษาชีวิตสำคัญที่สุด จะยังสนใจฉินซีได้อย่างไร ก็เลยทิ้งฉินซีไว้แล้วหนีไปคนเดียว ที่โชคดีก็คือ ครั้งนั้นอวิ๋นอ้าวเทียนมาแค่คนเดียว แล้วครั้งนั้นอวิ๋นอ้าวเทียนก็พุ่งเป้ามาที่เขาคนเดียว ไม่ได้สนใจคนอื่นเลย ไม่อย่างนั้นต่อให้ฉินซีไม่ตายแต่ก็ต้องโดนจับตัวไปแน่นอน ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ เกรงว่าเฟิงเป่ยเฉินคงจะต้องแต่งงานใหม่อีกครั้งแน่

เขาไอแห้งๆ แล้วอธิบายว่า “ฮูหยินเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้ทิ้งฮูหยินแล้วหนีไป แต่ข้ารู้ว่าอวิ๋นอ้าวเทียนพุ่งเป้ามาหาข้า มีแต่ต้องให้ข้าล่อเขาออกไปเท่านั้น ถึงจะรับประกันความปลอดภัยของฮูหยินได้”

ฉินซีไม่ตอบอะไร ได้แต่มองตาเขาเงียบๆ

เฟิงเป่ยเฉินถูกนางมองจนรู้สึกกินปูนร้อนท้อง จึงยิ้มแห้งๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก ตอนนั้นสถานการณ์เป็นอย่างไร ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ คนที่ได้ถอดเสื้อผ้าเจอกันบ่อยๆ มีใครบ้างที่ไม่รู้จักกันดี เขาจึงถือกระบี่ตัดเล็มท่อนไม้ในมือต่อไป และไม่ได้โน้มน้าวให้ฉินซีจากไปอีก

ท่ามกลางเสียงตัดต้นไม้ จู่ๆ ฉินซีที่รอได้ครู่หนึ่งก็ถามว่า “ท่านจับอนุภรรยาของไอ้เหมียวจัญไรมาไม่ใช่เหรอ? อย่าบอกนะว่าท่านมีต้นไม้นี้เป็นที่พึ่งแล้ว จึงฆ่าอนุภรรยาของเขาทิ้งไปแล้ว?”

เฟิงเป่ยเฉินเงยหน้ามองนางแวบหนึ่ง แล้วตบที่กระเป๋าสัตว์ตรงเอว พร้อมตอบด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ยังไม่มีเวลาสนใจนางหรอก นางยังมีประโยชน์ ต่อให้จะฆ่าก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้นำท่อนไม้มาหลอมสร้างเป็นอาวุธที่เหมาะมือให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

ฉินซีก็เลยหุบปาก ไม่พูดอะไรแล้ว

เมื่อเห็นนางเปลี่ยนท่าทางเป็นเย็นชาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เฟิงเป่ยเฉินก็แอบส่ายหน้า เป็นอุปนิสัยที่หาพบได้ยากในโลกนี้จริงๆ

แต่จะว่าไปแล้ว ในใต้หล้ามีผู้หญิงมากมายที่ยินดีจะประจบประแจงเขา ผู้หญิงที่งามเลิศล้ำและโดดเด่นไม่เหมือนใครแบบนี้ ทุกครั้งที่นางโดนปรนนิบัติอย่างไม่เต็มใจ ล้วนทำให้เขามีอารมณ์ตื่นเต้นอยากจะเอาชนะอย่างรุนแรง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกรับไม่ได้ท่าทางแบบนี้ของนาง กลับยิ่งชอบมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ ค่อนข้างโรคจิตวิปริตจริงๆ…

ณ สำนักงามวิจิตร ตามแนวภูเขาซึ่งเป็นที่อยู่ของลูกศิษย์ บนทางหินเล็กๆ หนุ่มน้อยสองคนกำลังถืออาวุธเหลียวซ้ายและขวาเดินไปเดินมา ดูจากเครื่องแต่งกายล้วนเป็นลูกศิษย์ของสำนักงามวิจิตร

เหมียวอี้ที่ปลอมตัวแล้วจู่ๆ ก็กระโจนออกมาจากพงหญ้าข้างทาง ราวกับงูเทพที่กระโจนกินอาหาร พอเด้งออกมาก็หดกลับไปทันที ดึงคอลูกศิษย์ที่ลาดตระเวนหดกลับมาด้วยอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองมีวรยุทธ์แค่ระดับบงกชเขียว จะสู้กับเหมียวอี้ได้อย่างไรกัน โดนพลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้กดอัดจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ กำลังมองเหมียวอี้ด้วยความตกใจกลับว ต่างก็รู้สึกได้ถึงพลังอิทธิฤทธิ์ที่น่ากลัวของเหมียวอี้

เหมียวอี้คลายมือที่บีบคอทั้งสองเล็กน้อย แล้วถามว่า “โม่จวินหลันพักที่ไหน?”

หนึ่งในนั้นถามอย่างหวาดกลัวว่า “เจ้าเป็นใคร?”

“ตอบผิดแล้ว!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม แกร๊ก! หักคออีกฝ่ายจนขาดเสียเลย ฆ่าทิ้งไปแล้วคนหนึ่ง

แล้วหันหน้ามาถามศิษย์อีกคนที่หวาดกลัวจนตัวสั่น “โม่จวินหลันพักที่ไหน?”

“พลับพลาหลันถิงบนภูเขาทิศใต้” คนคนนั้นตอบอย่างหวาดกลัว

เหมียวอี้ถามอีกว่า “อยู่ตรงไหน? ชี้ให้ข้าดู” พูดจบก็รีบดึงคนคนนั้นให้ขึ้นมาพุ่มไม้เหนือหัว

คนคนนั้นชี้ไปยังไหล่เขาที่อยู่ไกลๆ “ลานบ้านที่มีกำแพงสีขาวตรงไหล่เขานั่น”

เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองดูอย่างละเอียด มองเห็นบนไม้วงกบประตูของลานบ้านตรงไหล่เขามีคำว่า ‘พลับพลาหลันถิง’ จริงด้วย เขาถามอีกว่า”โม่จวินหลันอยู่ข้างในรึเปล่า?”

คนนั้นกล่าววิงวอนว่า “นั่นคือที่พักของศิษย์ระดับสูง ข้าไปไม่บ่อย แล้วก็ไม่เคยเข้าไปด้วย ไม่รู้จริงๆ แต่ได้ยินว่าครั้งก่อนหลังจากที่ท่านจื่อหยางศิษย์ทรยศปรากฏตัว ลูกสาวเจ้าสำนักก็ออกจากพลับพลาหลันถิงน้อยมาก ทุกคนแอบลือกันว่าเดิมทีลูกสาวเจ้าสำนักควรจะได้แต่งงานกับท่านจื่อหยาง แต่สามีนางแอบเล่นไม่ซื่อลับหลัง คาดว่านางคงจะอยู่ข้างใน”

เพื่อที่จะรักษาชีวิต เรียกได้ว่าอะไรที่ควรจะพูดก็พูดออกมาหมด

แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ข่าวที่เจ้าหนุ่มนี่ให้มายังมีจำกัด จึงดึงเขากลับมาที่พื้นอีกครั้ง รีบลงมือผนึกวรยุทธ์ของเขา ซ้อมจนเขาสลบ ถอดเครื่องแต่งกายของเขามาใส่ แล้วเดินหลบๆ ซ่อนๆ เข้าไปในป่าภูเขาต่อไป

ยิ่งเข้าใกล้จุดที่บุคคลระดับสูงของสำนักงามวิจิตรพักอาศัย ทหารยามที่คอยเฝ้าทั้งในที่แจ้งและในที่ลับก็ยิ่งมีมากขึ้น ถ้าอยากจะเข้าใกล้พลับพลาหลันถิงกลางวันแสกๆ โดยไม่ให้ถูกจับได้ ก็ค่อนข้างยุ่งยากจริงๆ

ที่จริงเขาสามารถตรงเข้าสู่พลับพลาหลันถิงได้เลย เกรงว่าที่สำนักงามวิจิตรคงจะไม่มีใครขัดขวางเขาได้ แต่เขาไม่แน่ใจว่าโม่จวินหลันอยู่ข้างในหรือเปล่า ถ้าเข้าไปแล้วคว้าน้ำเหลว ก็จะเป็นการแวกหญ้าให้งูตื่น ถ้าจะให้เข่นฆ่ากันเขาก็ไม่กลัว แต่เขากลัวว่าถ้าโม่จวินหลันหลบขึ้นมาจะหาไม่พบ แบบนั้นเรื่องราวก็จะจัดการยากแล้ว”

ถ้าไม่แน่ใจ เขาก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ทำได้เพียงอดทนเข้าใกล้ต่อไป

ณ พลับพลาหลันถิง เรือนเล็กๆ ที่น่าอยู่แห่งหนึ่ง เจ้าของเรือนเล็กนี้ก็คือโม่จวินหลันและเซี่ยงไป่ถิงสองสามีภรรยา ชื่อของเรือนเล็กนี้ตั้งโดยนำตัวอักษรในชื่อของทั้งสองคนมารวมกัน โดยนำชื่อของฝ่ายหญิงไว้ข้างหน้า ในสังคมที่ชายเป็นใหญ่แบบนี้ บางทีสิ่งนี้อาจจะอธิบายได้ว่าฐานะระหว่างสองสามีภรรยาเป็นอย่างไร

ถึงแม้เรือนเล็กจะมีพื้นที่ไม่ใหญ่ แต่ข้างในกลับมีกระโจมศาลากลางน้ำ มีดอกไม้บานทั้งสี่ฤดู ถึงจะเล็กแต่มีทุกอย่างครบครัน

สถานที่ที่รวบรวมคนจำนวนมากของหนึ่งสำนักเอาไว้ เป็นไปไม่ได้ที่จะครอบครองคฤหาสน์ที่ใหญ่โตรโหฐานเหมือนพระราชวังเอาไว้ผู้เดียว

ด้านนอกลานบ้านมีกังหันน้ำกำลังหมุน คอยผันน้ำในลำธารระหว่างภูเขาเข้ามาในลานบ้าน เซี่ยงไป่ถิงรับถังน้ำมาหนึ่งใบ ถือมาให้ข้างกายโม่จวินหลันด้วยตัวเอง

ส่วนโม่จวินหลันก็กำลังรดน้ำดอกไม้ สีหน้าท่าทางเงียบสงบ เซี่ยงไป่ถิงกำลังกระซิบอยู่ข้างๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พูดคุยเรื่องที่สนุกน่าสนใจ

ส่วนโม่จวินหลันจะฟังเข้าหูหรือไม่ มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ สรุปก็คือไม่เห็นการแสดงสีหน้าใดๆ ตอบกลับ

ตั้งแต่ที่เยารั่วเซียนปรากฏตัวครั้งก่อน ที่เซี่ยงไป่ถิงตบหน้านางไปหนึ่งครั้งด้วยความโมโห ความสัมพันธ์ระหว่างสองสามีภรรยาก็เย็นชาลงตั้งแต่ตอนนั้น โม่จวินหลันเองก็ไม่ได้ฟ้องใคร แต่นางรักษาระยะห่างกับเซี่ยงไป่ถิงตั้งแต่นั้นเป็นเป็นต้นมา เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกยังคงทำท่าทางเหมือนเป็นสามีภรรยากัน

ทว่าเซี่ยงไป่ถิงกลับนึกกลัวทีหลังแทบแย่ อย่าไปมองว่าเขาคือผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสัก ลูกสาวของเหมียวจวินอี๋คือคนที่เขาจะไปรังแกง่ายๆ ได้อย่างไร ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเขามีวันนี้ได้เพราะแต่งงานกับโม่จวินหลัน ถ้าไปยั่วโมโหเหมียวจวินอี๋ขึ้นมา เขาก็ไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย

ตอนนี้เขาเปลี่ยนวิธีการประจบเอาใจ แต่โม่จวินหลันกลับมีลักษณะท่าทางเหมือนฉินซีอยู่หลายส่วน

ไม่รู้ว่าเหมียวจวินอี๋มาปรากฏตัวอยู่ในสวนดอกไม้ตั้งแต่เมื่อไร กำลังยืนแอบฟังอยู่ตรงนอกประตูพระจันทร์ รออยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงลูกสาวตัวเอง กลับได้ยินคำพูดคำจาหวานไพเราะจากเซี่ยงไป่ถิงมากมาย ฟังจนนางยังกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ ปลื้มอกปลื้มใจ รู้สึกว่าตัวเองหาลูกเขยได้ดี

นางถึงได้นำหญิงรับใช้สองคนเดินเข้ามาในประตูพระจันทร์ แล้วหัวเราะคิกคักพร้อมกล่าวว่า “คู่รักคู่นี้กำลังหยอดคำหวานอะไรกันอยู่ล่ะ?”

โม่จวินหลันกับเซี่ยงไป่ถิงหันกลับมาพร้อมกัน แล้วรีบเดินเข้ามาคำนับ “ท่านแม่!”

เหมียวจวินอี๋มองเซี่ยงไป่ถิงพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ นางยกมือขึ้นเล็กน้อย แล้วบอกว่า “อืม! ไม่ต้องมากพิธี ไป่ถิงเอ๊ย! อย่าหาว่าข้าว่าเจ้าเลยนะ ชีวิตของพวกเจ้าสองคนยังอีกยาวไกล ยังมีเวลาให้เรื่องความรักอีกเยอะ ตอนนี้ต้องใส่ใจเรื่องวรยุทธ์กับหลอมของวิเศษให้มากๆ หน่อย เจ้าคือคนที่ต้องเป็นเจ้าสำนักในอนาคต เอาแต่เดินตามก้นผู้หญิงไม่ใช่เรื่องที่ดี”

โม่จวินหลันฟังเงียบๆ ส่วนเซี่ยงไป่ถิงก็ยิ้มแห้ง “ท่านแม่สอนได้ถูกต้อง ไป่ถิงจดจำไว้แล้ว ใช่แล้ว ท่านแม่มาได้อย่างไรขอรับ?” พูดจบก็เดินตามหลังเหมียวจวินอี๋

เหมียวจวินอี๋ที่เดินชมดอกไม้ใบหญ้าในสวนกล่าวว่า “เพิ่งถูกท่านปราชญ์เรียกพบ ข้าอาจจะต้องกลับไปอยู่นภาอู๋เลี่ยงสักระยะ ตอนที่ข้าไม่อยู่ ดูแลหลันเอ๋อร์ให้ดี”

ตอนนี้นางยังไม่รู้ว่าเฟิงเป่ยเฉินเรียกนางไปด้วยเรื่องอะไร และเฟิงเป่ยเฉินก็ไม่ได้บอกด้วยว่าตัวเองสู้แพ้เหมียวอี้ กำลังเรียกรวมยอดฝีมือเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด

“ดูแลฮูหยินของตัวเองให้ดีคือหลักการของฟ้าดินที่ต้องทำอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ท่านแม่บอก ไป่ถิงก็จะดูแลให้ดีขอรับ” เซี่ยงไป่ถิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

เหมียวจวินอี๋หันกลับมามองเขาแล้วยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้าดีกับหลันเอ๋อร์ ข้าก็แค่พูดให้ฟังเท่านั้น ถือโอกาสมาดูว่าคู่รักอย่างพวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน”

ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ ด้านนอกก็มีเสียง “บึ้ม” ดังสะเทือน ทุกคนสีหน้าเปลี่ยน หันขวับมองไปทยังทิศทางที่เสียงระเบิดดังมา

เหมียวอี้ที่ทำลังทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ในป่าภูเขาโบกมือป้องใบหน้าเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อไล่หินดินที่โผเข้ามาตรงมา ในจแอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว หลบหูตาของทหารยามได้แต่กลับไปกระตุ้นสัญญาณเตือน ทำให้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น ตอนนี้อยากจะหลบก็หลบไม่ได้แล้ว

เป็นอย่างที่คาดไว้ เงาคนหลายคนปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลทันที ตะคอกว่า “ใครบุกเข้ามาที่นี่!”

ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไปก็ไม่มีความหมายแล้ว เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจพวกเขา เรียกทวนเกล็ดย้อนมาไว้ในมือและถลันตัวขึ้นมาแล้ว กระโจนผ่านยอดศีรษะคนหลายคนที่เข้ามาขวาง โผตรงไปยังทิศทางพลับพลาหลันถิง

1099



บทที่ 1100 ดาวอัปมงคลของสำนักงามวิจิตร

ไม่ได้มีแค่คนที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้นที่ถูกเสียงระเบิดนี้ทำให้ตกใจ บนท้องฟ้าที่อยู่รอบๆ ล้วนมีคนเหาะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว บ้างก็พุ่งตรงเข้ามาทางนี้

ในพลับพลาหลันถิงที่อยู่ใกล้ๆ ก็มีคนหลายคนเหาะขึ้นฟ้าแล้วมองมาทางนี้เช่นกัน เป็นเหมียวจวินอี๋รวมทั้งผู้ติดตาม ทั้งยังมีโม่จวินหลันกับสามีด้วย

ตอนพวกเขายังไม่ปรากฏตัวก็ไม่เป็นไร แต่พอปรากฏตัวขึ้นมา พวกเหมียวอี้ก็รู้สึกบันเทิงแล้ว เขากำลังกลัวว่าจะหาไม่เจอ นึกไม่ถึงว่าเสียงระเบิดรั้งเดียวจะทำให้เป้าหมายตกใจจนออกมาโดยตรง ไม่เปลืองแรงแล้ว ดีมาก!

“บังอาจ!”

เมื่อเห็นว่ามีคนบุกเข้ามา เหมียวจวินอี๋ก็เรียกได้ว่าตะโกนอย่างแข็งกร้าว แสดงความน่าเกรงขามของลูกศิษย์ปราชญ์เต๋าออกมาจนหมดอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อเห็นเหมียวอี้มุ่งหน้าเข้ามาด้วยความเร็ซ เหมียวจวินอี๋ก็ตัดสินได้ว่าวรยุทธ์ของอีกฝ่ายไม่ต่ำ พลิกฝ่ามือนำกระบี่ใบมีดกว้างที่คล้ายกับของเฟิงเป่ยเฉินมาไว้ในมือ แล้วถลันตัวเข้ามาดักตรงหน้า

เหมียวอี้ที่พุ่งเข้ามาสะบัดทวนออกมาในชั่วพริบตาเดียว

พอลงมือสู้ก็รู้ถึงระดับลึกตื้น เหมียวจวินอี๋แอบร้องว่าแย่แล้ว ต้องโทษตัวเองที่ประมาท ไม่ควรใช้พลังต่อสู้ แต่ควรจะใช้ของวิเศษกวนใจอีกฝ่าย แล้วรอให้ทุกคนร่วมมือกันป้องกันศัตรู

ทว่ามาคิดได้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว ขนาดอาจารย์ของนางยังต้านทานไม่ไหว แล้วความสามารถอย่างนางจะสู้ได้อย่างไร

ทวนพุ่งเข้ามาตรงๆ อย่างไม่ผิดพลาด เกิดเสียงดังชัดใส กระบี่ยาวโดนทำลายหักจนเกิดเสียงดัง หัวทวนที่แหลมคมโจมตีต่อไปพร้อมเสียงมังกรคำราม เหมียวจวินอี๋ตกใจมาก ตกใจในความคมแหลมของทวนอีกฝ่าย และตกตะลึงกับวรยุทธ์ออกอีกฝ่ายด้วย ไม่รู้ว่าใครกันที่วรยุทธ์สูงถึงขนาดนี้แต่ยังถ่อมาทำลับๆ ล่อๆ ที่นี่

สะบัดแขนเสื้อสองข้างติดต่อกันหลายครั้ง หมุนตัวขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วเพื่อหลบออกไป

เหมียวอี้ฟาดทวนเข้ามาในแนวขวาง ตุ้บ! ด้ามทวนกระแทกโดนแผ่นหลังของเหมียวจวินอี๋

“อั้ก!” พ่นเลือดสดออกมาคำหนึ่ง เหมียวจวินอี๋โดนกระแทกจนกระเด็นออกไป เรียกได้ว่าพอเจอหน้ากันก็บาดเจ็บสาหัสทันที

วรยุทธ์สู้เหมียวอี้ไม่ได้ ฝีมือก็สู้เหมียวอี้ไมได้ ทั้งสองไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันเลย ศึกนี้ไม่มีทางต่อสู้กันได้

เหมียวอี้รีบถลันตัวตามไป แล้วบีบคอเหมียวจวินอี๋หิ้วขึ้นมา ราวกับอินทรีเฒ่าขยุ้มนกน้อย

หญิงรับใช้ทั้งสองของเหมียวจวินอี๋พุ่งเข้ามาแย่งตัว เหมียวอี้ใช้มือข้างเดียวถือทวนแทงไปทางซ้ายและขวา สังหารจนเกิดละอองเลือดสองกลุ่มพร้อมกับเสียงกรีดร้องสองครั้ง ผู้ไม่เกี่ยวข้องที่เสนอหน้าออกมา ช่างเป็นการรนหาที่ตายจริงๆ พวกนางจะต้านทานเหมียวอี้ในตอนนี้ได้อย่างไร

เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งถือทวน ใช้มืออีกข้างถือคน แล้วก็พุ่งไปหาโม่จวินหลัน

เมื่อเห็นมารดาได้รับบาดเจ็บ โม่จวินหลันก็ถือกระบี่พุ่งเข้ามาแล้ว

เซี่ยงไป่ถิงที่ถือทวนไว้ในมือกลับสีหน้าเปลี่ยนไปมาก เดิมทีก็อยากจะพุ่งเข้าไปแสดงความสามารถสักหน่อย ไปช่วยเหมียวจวินอี๋อีกแรง ปรากฏว่าเห็นเหมียวจวินอี๋ต้านทานไม่ไหวแม้กระทั่งการโจมตีครั้งเดียวของเหมียวอี้ แล้วก็เห็นเหมียวอี้สังหารหญิงรับใช้สองคนของเหมียวจวินอี๋ที่วรยุทธ์สูงกว่าเขา แล้ววเขาจะกล้าก้าวมาข้างหน้าได้อย่างไร

ขระที่ตกใจจนลุกลี้ลุกลนถอยหลัง ก็ตะโกนเสียงดังว่า “หลันหลัน ใช้กำลังปะทะตรงๆ ไม่ได้!”

เห็นมารดาตกอยู่ในมืออีกฝ่ายทันทีที่พบหน้ากัน ชีวิตถูกบีบอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว โม่จวินหลันลูบหน้าปะจมูก ไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วเช่นกัน ตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าเป็นใครมาทำกำเริบเสิบสานที่นี่!”

เหมียวอี้ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับนาง ไม่น่าเชื่อว่าจะสะบัดเก็บทวนเกล็ดย้อนในมือ แล้วเด้งกรงเล็บไปที่นางอีก

โม่จวินหลันตกใจมาก ขณะที่ถอยหลังก็ฟันกระบี่ออกมาโดยจิตใต้สำนึก ปรากฏว่ากระบี่ยาวค้างอยู่กลางอากาศ ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกเหมียวอี้ใช้มือเปล่าบีบตัวกระบี่ไว้ ตัวเองอยากจะชักกลับมาก็ชักไม่ได้ ถึงได้รู้ว่าวรยุทธ์ของอีกฝ่ายสูงกว่าตัวเองเกินไปมาก

เหมียวอี้ที่บีบตัวกระบี่เอาไว้ถือโอกาสส่งออกไป โม่จวินหลันจับกระบี่วิเศษไม่อยู่มือทันที ด้ามกระบี่กระแทกย้อนกลับมาชนหน้าอกหนาง

“อั้ก!” โม่จวินหลันกระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง เงยหน้าขึ้นฟ้ากระเด็นถอยหลัง

เหมียวจวินอี๋ที่โดนบีบอยู่ในมือเหมียวอี้มองดูลูกสาวได้รับบาดเจ็บ แต่ตัวเองกลับกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ เรียกได้ว่าโมโหจนดวงตาแทบถลนออกมา จากนั้นก็ได้แต่ดูมือมารอีกข้างของเหมียวอี้ไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว ยื่นไปบีบคอลูกสาวตัวเองเอาไว้

เหมียวอี้ลงมือจับตัวทั้งแม่ทั้งลูกสาวติดต่อกัน เป็นเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น รวดเร็วเป็นที่สุด

จนกระทั่งคนที่อยู่รอบข้างตามมาทัน สองแม่ลูกก็ตกอยู่ในมือเหมียวอี้แล้ว อย่าว่าแต่ลูบหน้าปะจมูก ศักยภาพของเหมียวอี้ก็เห็นๆ กันอยู่ คนทั่วไปไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีก

เหมียวอี้หิ้วคนทั้งสองไปเหยียบลงบนหลังคาของพลับพลาหลันถิง จากนั้นกวาดสายตาเย็นเยียบมองไปรอบๆ ไม่ได้รีบจากไปในทันที

ตอนนี้ทั้งสำนักงามวิจิตรมีเสียงระฆังเตือนภัยส่งเสียงลากยาว ยอดฝีมือของสำนักงามวิจิตรได้ยินกันหมด กำลังพาหันเหาะมาทางนี้ โม่หมิงเจ้าสำนักงามวิจิตรก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ทั้งพลับพลาหลันถิงเรียกได้ว่าถูกล้อมเอาไว้แล้ว ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรที่ถือของวิเศษหน้าตาประหลาดหายากไว้ในมือและกำลังจ้องมองอย่างดุร้าย เหมียวอี้ที่บีบคอผู้หญิงสองคนยืนอยู่บนหลังคาย่อมสงบเยือกเย็น มองกลุ่มคนราวกับมองสิ่งของ ตอนนี้เขาไม่เห็นสำนักงามวิจิตรอยู่ในสายตาเลย

โม่หมิงเหยียบลงบนหลังคาที่อยู่ติดกัน เห็นภรรยากับลูกสาวมีรอยเลือดที่มุมปาก ปิ่นปลิวผมกระจาย สภาพสะบักสะบอมมาก เรียกได้ว่าใบหน้าแฝงความเศร้าโศกปนโมโห

เซี่ยงไป่ถิงถือดาบเหาะไปเหยียบข้างกายเขาแล้วกล่าวปนเสียงสะอื้นว่า “ศิษย์ไร้ความสามารถ!”

โม่หมิงยื่นมือผลักเขาไปอีกด้านเสียเลย แล้วจ้องเหมียวอี้พร้อมกล่าวเสียงต่ำ “ข้าทำดีต่อผู้อื่นมาตลอดทั้งชีวิต ไม่เคยล่วงเกินใครง่ายๆ ท่านเป็นใครกันแน่ เหตุใดต้องจับตัวลูกเมียข้าไป?”

ลูกเมียของเจ้าเหรอ? ยังไม่รู้อีกว่าเป็นลูกเมียของใคร! เหมียวอี้แสยะยิ้ม มองดูหน้าตาของโม่จวินหลันให้ละเอียด พบว่าไม่เหมือนโม่หมิงเลยจริงๆ แต่มีเงาของเฟิงเป่ยเฉินอยู่หลายส่วน การสวมหมวกเขียว[1]ใบนี้ ถ้าให้โม่หมิงรู้ความจริง ถ้ารู้ว่าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่เลี้ยงถนอมมาหลายปีเป็นลูกสาวคนอื่น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะโมโหจนตายหรือเปล่า

เขาเหลือบตาขึ้นมองโม่หมิง ร่ายอิทธิฤทธิ์ทำให้หน้ากากบนใบหน้าสะเทือนปลิวออกไป เผยโฉมหน้าที่แท้จริง

“ไอ้เหมียวจัญไร!”

ในกลุ่มคนมีเสียงร้องอุทานทันที เหมียวอี้ไม่ได้โผล่หน้ามาที่สำนักงามวิจิตรเป็นครั้งแรก มีคนไม่น้อยจำเขาได้ เพียงแต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเหมียวอี้จะมีศักยภาพถึงขั้นนี้ ขนาดเหมียวจวินอี๋ยังไร้กำลังจะโต้ตอบ

“เหมียวอี้!” โม่หมิงอุทานอย่างตกใจ “จื่อหยางให้เจ้ามาเหรอ?”

ตอนแรกทุกคนต่างก็รู้ว่าเหมียวอี้ชิงตัวเยารั่วเซียนไปจากสำนักงามวิจิตร สุดท้ายก็หายตัวไปอย่างประหลาดตอนที่อยู่ในมือเหมียวอี้ มีคนไม่น้อยที่สงสัยว่าเยารั่วเซียนยังอยู่ในมือเหมียวอี้ ตอนนี้จู่ๆ เหมียวอี้ก็ถ่อมาจับตัวเหมียวจวินอี๋กับโม่จวินหลัน ทำให้โม่หมิงอดไม่ได้ที่จะสงสัยเรื่องนี้

ดวงตาเซี่ยงไป่ถิงกลับฉายแววระแวงสงสัย เรื่องที่ลูกศิษย์ของเขาสะกดรอยตามเหมียวอี้ เขานั้นรู้อยู่แก่ใจ

“จื่อหยางเหล่าหยางอะไรกัน” เหมียวอี้หลุดหัวเราะ แล้วประกาศด้วยน้ำใสใจจริงว่า “บอกเฟิงเป่ยเฉินด้วย ว่าลูกศิษย์ของเขาตกอยู่ในมือข้าแล้ว ถ้าขนของข้าเส้นผมหายไปแม้แต่เส้นเดียว ข้าจะทำให้เขาได้เห็นดีแน่!”

พูดจบก็ไม่เปลืองคำพูดอะไรอีก เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อพูดคุย และไม่ได้เตรียมจะมาเปิดฉากสังหารด้วย หิวผู้หญิงทั้งสองคนเหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

ในมือเขามีตัวประกัน ไม่มีใครกล้าลงมือขัดขวาง แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งไล่ตามไป แต่นอกจากเหมียวจวินอี๋ ที่สำนักงามวิจิตรก็ไม่มีนักพรตบงกชทองคนอื่นแล้ว ที่เหลือเป็นนักพรตทั่วไป ถึงแม้ในมือเหมียวอี้จะถือคนสองคนอยู่ แต่พวกเขาก็ตามเหมียวอี้ไม่ทัน ไม่นานก็ได้แต่มองเหมียวอี้หายลับไปในท้องฟ้าตาปริบๆ หมดหนทางที่จะทำอะไรแล้ว

ลูกศิษย์ของสำนักงามวิจิตรไม่น้อยที่ทอดถอนใจ ขอแค่ไอ้เหมียวจัญไรคนนี้มาที่สำนักงามวิจิตร สำนักงามวิจิตรก็จะต้องเกิดเรื่องขึ้น ช่างเป็นดาวอัปมงคลของสำนักงามวิจิตรจริงๆ…

จนกระทั่งออกห่างสำนักงามวิจิตรมาไกลแล้ว แน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมา เหมียวอี้ถึงได้แฝงตัวเข้าไปในป่าภูเขาแห่งหนึ่ง ผนึกวรยุทธ์ของทั้งสองแล้วโยนเข้ากระเป๋าสัตว์

เหมียวอี้หันมองภูเขาเขียวที่อยู่รอบๆ แล้วนั่งยองๆ วักน้ำล้างหน้าริมลำธาร ลุกขึ้นนำระฆังดาราออกมาติดต่อฉินซี

ฉินซีในเวลานี้ยังคงอยู่บนยอดเขาเมฆาร่วงหล่น พอระฆังดาราในกำไลเก็บสมบัติขยับ นางก็มองไปยังเฟิงเป่ยเฉินที่กำลังออกแรงทำงานไม้แวบหนึ่ง แล้วยื่นมือไปรับเปลือกไม้ที่ถูกฟันปลิวเข้ามา ถือโอกาสกำไว้ในมือ แล้วหันตัวเหาะออกไป บทจะไปก็ไป ไม่บอกกล่าวอะไรสักคำ

เฟิงเป่ยเฉินหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย นิสัยประหลาดของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาพูดไม่ออกเหมือนกัน

เมื่อกลับถึงห้องสมาธิที่ตัวเองใช้ฝึกตนในตำหนักอู๋เลี่ยง ฉินซีก็หยิบระฆังดาราออกมาตอบ : มีเรื่องอะไร?

เหมียวอี้ถามว่า : เหมียวจวินอี๋กับโม่จวินหลันอยู่ในมือข้าแล้ว เวยเวยเป็นอย่างไรบ้าง?

ฉินซี : ตอนนี้นางยังไม่เป็นอะไร เฟิงเป่ยเฉินกลัวว่าเจ้าจะมาหาได้ทุกเมื่อ กำลังรีบทำอาวุธชิ้นหนึ่งไว้ต้านทานทวนวิเศษของเจ้า ตอนนี้ยังไม่มีเวลาสนใจนาง

เหมียวอี้แปลกใจทันที ที่พิภพเล็กยังมีอาวุธอะไรที่สามารถต้านทานทวนวิเศษผลึกแดงบริสุทธิ์ของตนได้อีก? จึงซักไซ้ถามทันทีว่า : อาวุธอะไร?

ฉินซีเล่าสิ่งที่เฟิงเป่ยเฉินกำลังฟังให้ทำทันที

เหมียวอี้ได้ยินแล้วตกใจอยู่บ้าง ยังมีไม้ประเภทนี้อยู่ด้วยเหรอ ขนาดไฟก็ยังยากที่จะรับมือกับมันไหว ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ งั้นครั้งนี้ตนก็ลำบากแล้ว

ฉินซี : ข้าหยิบไม้นั่นมาด้วยนิดหน่อย เดี๋ยวจะใช้อินทรีเทพส่งไปให้ เจ้าก็ปล้นอินทรีเทพเทพไว้ตามทิศทางที่ระบุ ดูว่าสามารถหาวิธีการแก้ไขได้รึเปล่า ถ้าหาทางแก้ไขไม่ได้ เจ้าก็อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม ข้าจะคอยดูอยู่ที่นี่ เวยเวยคงจะยังไม่เป็นอะไร…

แดนโพ้นสวรรค์ นอกตำหนักเก้าชั้นฟ้า หยางชิ่งกำลังยืนรออยู่ใต้บันไดสูง ขณะเดียวกันก็มองสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่แดนโพ้นสวรรค์

ผ่านไปไม่นาน บ่าวหญิงคนหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่นอกตำหนัก แล้วกล่าวเสียงดังว่า “หยางชิ่ง ท่านปราชญ์เรียกพบ”

หยางชิ่งกุมหมัดคารวะ แล้วรีบก้าวเท้าขึ้นบันไดไป พอเดินมาถึงหน้าประตูตำหนัก ก็เห็นมู่ฝานจวินที่นั่งสง่าอยู่ในตำหนักลืมตาเล็กน้อย นางกำลังจ้องเขาอย่างเย็นเยียบ ลักษณะท่าทางแบบนั้นทำให้คนรู้สึกกดดันจริงๆ

หยางชิ่งรีบเดินเข้ามาคำนับในตำหนัก “ข้าน้อยคำนับท่านปราชญ์”

มู่ฝานจวินที่นั่งอยู่เบื้องสูงกล่าวถามอย่างเย็นเยียบว่า “อวิ๋นจือชิวมีธุระอะไรต้องให้เจ้ามาพบข้า?”

หยางชิ่งหยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมาทันที แล้วใช้สองมือชูขึ้นเหนือศีรษะมอบให้

มู่ฝานจวินขยุ้มมือข้างที่วางบนหัวเข่า ดูดแผ่นหยกมาไว้ในฝ่ามือโดยตรง พอร่ายอิทธิฤทธิ์อ่านเนื้อหาข้างใน ดวงตาหงส์ทั้งคู่ก็เบิกโพลงทันที

อวิ๋นจือชิวเป็นคนเขียนเนื้อหาในแผ่นหยกด้วยตัวเอง เนื้อหาหลักคือยืนยันว่านางส่งหยางชิ่งมาจริงๆ เนื้อหาหลักในนั้นบรรยายเรื่องที่เหมียวอี้กับฉินเวยเวยไปล่องเรือเที่ยวข้างนอกแล้วโดนเฟิงเป่ยเฉินลอบโจมตี

ความรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดในใจมู่ฝานจวินยากจะอธิบายออกมาได้ ไม่ใช่เพราะเฟิงเป่ยเฉินมาลอบโจมตีถึงแดนเซียน แต่ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะมีศักยภาพถึงขั้นโจมตีให้เฟิงเป่ยเฉินถอยได้

นางกดแผ่นหยกในมือ จ้องมองลงมาที่หยางชิ่งพร้อมถามว่า “อวิ๋นจือชิวทำไมไม่มาพูดด้วยตัวเอง ทำไมต้องให้เจ้ามาเจรจา?”

หยางชิ่งกุมหมัดตอบอย่างเปิดเผยว่า “ตอบท่านปราชญ์ เฟิงเป่ยเฉินรังแกกันเกินไปแล้ว ท่านทูตเดือดดาลมาก รวบรวมกำลังพลหนึ่งล้านของสายมะโรงแล้ว พร้อมทั้งเรียกรวมกลุ่มปีศาจของทะเลดาวนักษัตรด้วย เตรียมจะนำทัพไปโจมตีแดนอู๋เลี่ยง ถอนรากถอนโคนอำนาจของเฟิงเป่ยเฉินให้หมดสิ้น เพื่อที่จะขอการสนับสนุนจากอวิ๋นอ้าวเทียน ท่านทูตไปที่นภาจอมมารแล้ว เวลากระชั้นชิดมาก ลำบากที่ไม่มีวิชาแยกร่าง จึงสั่งให้ข้าน้อยรับอำนาจแทน มาอธิบายกับท่านปราชญ์ขอรับ”

มู่ฝานจวินดวงตาวูบไหว นำข้อมูลที่อยู่ในคำพูดกับสถานการณ์ที่จะตามมาหลังจากเกิดเรื่องมาครุ่นคิดในสมองแล้วรอบหนึ่ง จากนั้นก็แสยะยิ้มไม่หยุด “กล้าใช้วิธีลงมือทำก่อนแล้วค่อยรายงายกับข้าเหรอ คิดว่าข้าทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้รึอย่างไร? เจ้าใจกล้าไม่เบา คิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าเหรอ?”

หยางชิ่งรีบตอบว่า “ข้าน้อยหวาดกลัว ก่อนจะมาท่านทูตก็ย้ำกับข้าซ้ำๆ ว่าต้องเคารพให้เกียรติท่านปราชญ์ ขออาศัยแค่กำลังพลของสายมะโรงสายเดียว ต่อให้โจมตีแดนอู๋เลี่ยงได้ ก็ยังคงเป็นท่านปราชญ์เท่านั้นที่เป็นผู้นำสูงสุด”

1100






 return

next

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น