หน้าเว็บ

room 772-007

room 772-007 

https://fiction-no-limit1.blogspot.com/p/room-772-007.html

1101 - 1126xx

บทที่ 1101 เงื่อนไขของมู่ฝานจวิน

“ขอยืมกำลังพลนึ่งสายเหรอ?” มู่ฝานจวินราวกับได้ยินเรื่องที่น่าตลกมาก ถามกลับว่า “โจมตีแดนอู๋เลี่ยง กำลังพลของสายมะโรงไม่ใช่ประเด็นสำคัญ มีทั้งทะเลดาวนักษัตรเคลื่อนทัพ ทั้งยังขอให้อวิ๋นอ้าวเทียนสนับสนุนได้ สามารถไปขอยืมกำลังพลจากอวิ๋นอ้าวเทียนได้เลย เหตุใดยังต้องมาขอยืมกำลังพลของข้าอีกล่ะ? นกเสียจากเหมียวอี้จะปีกกล้าขาแข็งแล้ว อยากจะแทนที่เฟิงเป่ยเฉินเท่านั้นแหละ แต่กลับกังวลว่าจะยั่วยุให้แดนอื่นๆ ร่วมมือกัน อาศัยกำลังพลของข้าคือข้ออ้าง อยากจะให้แดนอื่นๆ เห็นว่าข้าสนับสนุนพวกเจ้า จะได้ตีเสมอกับแดนอื่นๆ ได้สะดวก นั่นต่างหากคือสาเหตุที่แท้จริง ถ้าปล่อยให้พวกเจ้าทำสำเร็จ ยังจะหวังให้พวกเจ้าปฏิบัติตามคำสั่งข้าอยู่อีกเหรอ?”

อีกฝ่ายมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง หยางชิ่งก็ไม่หวังแล้วว่าจะปิดบังอีกฝ่ายได้ จึงบอกไปตรงๆ เลยว่า “ท่านปราชญ์ช่างปราดเปรื่อง! ก่อนที่จะมาท่านทูตได้บอกไว้แล้ว ว่าขอเพียงแค่สามารถแทนที่เฟิงเป่ยเฉินได้ หลังจากจบเรื่องแล้ว แดนอู๋เลี่ยงจะส่งมอบผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งมาให้ท่านปราชญ์ทุกปี หลังจากนั้นกำลังพลของแดนอู๋เลี่ยงก็จะเชื่อฟังคำสั่งระดมกำลังของท่านปราชญ์อย่างไม่มีเงื่อนไข นายท่านเหมียวยังคงปฏิบัติตามคำสั่งท่านปราชญ์เช่นเดิม จะไม่ทรยศเด็ดขาด และแน่นอน เพื่อไม่ทำให้แดนอื่นๆ เกิดความกังวล ทุกสิ่งทุกอย่างจะปฏิบัติการอย่างลับๆ”

มู่ฝานจวินตาเป็นประกาย เงื่อไขที่ดีขนาดนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นมีใครบ้างที่จะไม่หวั่นไหว ถ้าสามารถทำแบบนี้ได้จริงๆ ก็เท่ากับทำให้อำนาจของแดนอู๋เลี่ยงเข้ามาอยู่ในสังกัดของนางอย่างลับๆ แต่นางไม่เชื่อว่าบนโลกเราจะมีเรื่องดีๆ ขนาดนี้อยู่ จึงแสยะยิ้มแล้วถามว่า “ช่างพูดจาไพเราะราวกับร้องเพลงจริงๆ มีเรื่องดีๆ แบบนี้อยู่ด้วยเหรอ? ใครจะรับประกันได้ว่าหลังจากจบเรื่องแล้วพวกเจ้าจะไม่กลับคำ? ข้าจะอาศัยอะไรมาเป็นหลักเพื่อเชื่อพวกเจ้า?”

“อันหรูอวี้และสามีเป็นตัวประกันอยู่ในมือท่านปราชญ์ขอรับ” หยางชิ่งตอบ

มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม “ช่างน่าขำ! เดิมทีพวกเขาก็เป็นของข้าอยู่แล้ว พวกเจ้านำมาต่อรองราคากับข้าได้รึไง? พ่อแม่ของอนุภรรยาเบ็กๆ สองคนมีคุณสมบัติพอที่จะมาเป็นตัวประกันด้วยหรือ?”

คำพูดแบบนี้ทำให้หยางชิ่งรู้สึกเจ็บแปลบในใจ เพราะลูกสาวของเขาก็เป็นอนุภรรยาเหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้ เขากุมหมัดคารวะกล่าวว่า “ท่านทูตอวิ๋นจือชิวยินดีจะมาเป็นตัวประกันที่แดนโพ้นสวรรค์ขอรับ! ฮูหยินของนายท่านเหมียวจะมาเป็นตัวประกันด้วยตัวเอง ไม่ทราบว่าท่านปราชญ์คิดว่าทำอย่างนี้จริงใจหรือไม่ขอรับ?”

เมื่อเขากล่าวมาแบบนี้ มู่ฝานจวินก็เงียบไป เห็นได้ชัดว่ารู้สึกเหนือความคาดหมาย

คำพูดนี้หยางชิ่งไม่ได้คิดขึ้นมากะทันหัน แต่เขาเตรียมวางแผนมาตั้งแต่แรกแล้ว

และคำพูดนี้ก็ไม่ใช่ความคิดของอวิ๋นจือชิวเช่นกัน อวิ๋นจือชิวไม่รู้เลยว่าหยางชิ่งจะใช้นางมาเป็นแต้มต่อการเจรจาที่สำคัญที่สุด

ที่สำคัญที่สุดก็คือ หยางชิ่งรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าเดี๋ยวถ้าเขาบอกอวิ๋นจือชิว บอกว่ามู่ฝานจวินต้องการจะให้เป็นตัวประกัน เพื่องานใหญ่ของเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวจะต้องปฏิเสธได้ยากมากแน่นอน จะต้องมาเป็นตัวประกันแน่นอน นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเขาต้องใช้ความรู้สึกทำให้ประทับใจ ใช้เหตุผลทำให้เข้าใจ ยุยงอวิ๋นจือชิวให้ปิดบังเหมียวอี้

ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ชัดว่าอวิ๋นจือชิวสามารถจ่ายเพื่อเหมียวอี้ได้มากขนาดหน เขาก็คงไม่มาที่แดนโพ้นสวรรค์นี่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ที่ให้อวิ๋นจือชิวปิดบังเหมียวอี้แล้วทำเรื่อง ก็เพราะอยากจะหยั่งเชิงอวิ๋นจือชิว หลังจากอวิ๋นจือชิวตอบตกลงแล้ว ทั้งยังมั่นใจด้วยว่าจะโน้มน้ามอวิ๋นอ้าวเทียนได้ หยางชิ่งก็แน่ใจแล้วว่าอวิ๋นจือชิวจะตอบตกลงเป็นตัวประกันแน่นอน

ให้อวิ๋นจือชิวได้รับการสนับสนุนจากอวิ๋นอ้าวเทียน แล้วก็ให้อวิ๋นจือชิวมาเป็นตัวประกันเพื่อคุมมู่ฝานจวินให้สงบ เขาไม่สนใจเลยว่าจะทำให้สองคนนี้สงบได้นานเท่าไร เขาแค่อยากจะตีแดนอู๋เลี่ยงให้ทันเวลาเท่านั้น ขอเพียงก่อนหน้านั้นสามารถอาศัยอำนาจของอวิ๋นอ้าวเทียนและมู่ฝานจวินทำให้ฉางเหลย ซือถูเซี่ยวและจีฮวนไม่กล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหวก็เพียงพอแล้ว

ถ้าสามารถตีแดนอู๋เลี่ยงได้อย่างราบรื่น รากฐานของเฟิงเป่ยเฉินถูกทำลาย ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อความสมดุลของทั้งหกแดนอยู่ดี ทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนจุดเริ่มต้น หกแดนจะอยู่ในสถานการณ์ที่คานอำนาจกันเหมือนเดิม

หลังจากจบเรื่องหากมีคนต่อต้านเหมียวอี้ แดนที่เหลือก็จะไม่ยอมเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นเฟิงเป่ยเฉินสิ้นอำนาจไปแล้ว ถ้าเหมียวอี้ล้มลงอีกคน ประโยชน์ก็มีแต่จะไปตกอยู่กับอวิ๋นอ้าวเทียน ในทางตรงกันข้าม แดนที่เหลือจะไม่ต่อต้าน แต่กลับจะช่วยเหลือสนับสนุนด้วยซ้ำ และจะไม่ถือสาที่เหมียวอี้ผงาดขึ้นเร็วเกินไป อย่างมากเหมียวอี้ก็จะกลายเป็นอวิ๋นอ้าวเทียนคนที่สอง ทุกคนก็จะร่วมมือกับอวิ๋นอ้าวเทียนมาคานอำนาจกับเหมียวอี้ สรุปก็คือสถานการณ์จะกลับไปสมดุลเหมือนหกแดนก่อนหน้านี้

ส่วนครั้งนี้เหมียวอี้จะกำจัดเฟิงเป่ยเฉินทิ้งได้หรือไม่ เรื่องนี้ไม่สำคัญเลย ขอเพียงสามารถแทนที่เฟิงเป่ยเฉินได้ทันเวลา เมื่อสถานการณ์โดยรวมถูกกำหนดแล้ว หยางชิ่งก็มีความมั่นใจเต็มที่ว่าจะสามารถเล่นงานเฟิงเป่ยเฉินให้ถึงตายได้

แน่นอนว่าวรยุทธ์ของเขาไม่สูงพอที่จะกำจัดเฟิงเป่ยเฉินได้ แต่เขาสามารถทำให้ทุกคนมั่นใจได้ ว่าถ้าเฟิงเป่ยเฉินไปขอพึ่งพาแดนไหน ก็จะไม่ใช่เรื่องดีกับแดนอื่นๆ ที่เหลือ ถึงตอนนั้นย่อมกดดันให้แดนอื่นๆ ร่วมมือกันกำจัดเฟิงเป่ยเฉินทิ้งเพื่อรักษาความสมดุลระหว่างแดน

สรุปก็คือขอเพียงตีแดนอู๋เลี่ยงให้ได้ภายในครั้งนี้ เฟิงเป่ยเฉินก็จะต้องตายแน่นอน นี่ก็คือราคาที่เฟิงเป่ยเฉินต้องจ่ายเพราะไปแตะต้องลูกสาวหยางชิ่ง!

ส่วนหลังจากจบเรื่องแล้ว ฝั่งเหมียวอี้จะต้องถูกมู่ฝานจวินบงการอย่างลับๆ อยู่ตลอด หยางชิ่งก็ไม่มีทางนั่งดูดายให้เกิดเรื่องแบบนี้ต่อไปเหมือนกัน

เป็นเพราะอวิ๋นจือชิวคือตัวประกันที่ถูกบีบอยู่ในมือของมู่ฝานจวิน หยางชิ่งไม่คิดจะปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไป เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะถ่อไปแดนโพ้นสวรรค์เพื่อกำจัดอวิ๋นจือชิวที่เป็นตัวประกันทิ้ง ต่อให้มีความสามารถนั้นแต่เขาก็จะไม่ลงมือเอง หลังจากจบเรื่องนี้ ขอเพียงแอบปล่อยข่าวให้แดนอื่นๆ รู้ ดำเนินการเพิ่มนิดหน่อย ให้ทุกคนได้เข้าใจว่าสาเหตุที่เหมียวอี้มาแทนที่เฟิงเป่ยเฉินได้ เป็นเพราะอวิ๋นจือชิวกำลังถูกมู่ฝานจวินควบคุมอย่างลับๆ ที่จริงแล้วอำนาจของแดนอู๋เลี่ยงเป็นของมู่ฝานจวิน ถึงตอนนั้นต่อให้มู่ฝานจวินไม่ฆ่าอวิ๋นจือชิวทิ้ง แต่แดนอื่นๆ ก็ไม่มีทางนั่งดูหนึ่งแดนเป็นใหญ่อยู่เพียงลำพังได้ จะต้องร่วมมือกันกดดันให้มู่ฝานจวินกำจัดอวิ๋นจือชิวทิ้งเพื่อให้เหมียวอี้เป็นอิสระ เพื่อที่จะรักษาสมดุลระหว่างกันต่อไป

สุดท้ายพออวิ๋นจือชิวตาย เหมียวอี้กับมู่ฝานจวินก็จะมีความแค้นที่ใหญ่โตต่อกัน อันหรูอวี้กับสามีอยู่ฝ่ายมู่ฝานจวิน ความสัมพันธ์ฝั่งสองพี่น้องโอวหยางก็จะอึดอัดมาก ฝั่งนี้มีตนคอยสนับสนุนและผลักดัน ตำแหน่งฮูหยินภรรยาเอกของเหมียวอี้จะต้องเป็นฉินเวยเวยลูกสาวของเขาอย่างแน่นอน

ภายใต้การอาศัยอำนาจคนอื่นดำเนินการต่อเนื่องกันเป็นชุด นี่ก็คือเป้าหมายที่เขาต้องการผลักดันไปให้ถึง ล้างแค้นกำจัดเฟิงเป่ยเฉินทิ้งเพื่อให้เหมียวอี้ไปแทนที่ก่อน แล้วค่อยกำจัดอวิ๋นจือชิวให้สองพี่น้องโอวหยางยืนหลีกทาง ถ้าครั้งนี้ลูกสาวของเขาสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ตำแหน่งที่มีเกียรติที่สุดของผู้หญิงในใต้หล้า ก็จะเป็นสิ่งที่เขาชดเชยให้ลูกสาวตัวเอง

เขารู้จักลูกสาวตัวเองดี รู้ว่าฉินเวยเวยไม่สนใจอำนาจอิทธิพล และรู้ด้วยว่าลูกสาวตัวเองต้องการความสุขแบบไหน เช่นนั้นเขาก็จะมอบความสุขนี้ให้ลูกสาวเขาได้เสพแต่เพียงผู้ดีย ในปีนั้นเขาให้ลูกสาวตัวเองเป็นอนุภรรยาภายใต้ความจนใจ ครั้งนี้เขาจะชดเชยให้ทั้งต้นทั้งดอก ให้ลูกสาวได้ครองตำหนักหลัก!

ในตำหนักเก้าชั้นฟ้า ทุกอย่างกำลังเงียบงัน หยางชิ่งมองประเมินสีหน้าที่คาดเดาได้ยากของมู่ฝานจวินเงียบๆ

หลังจากเงียบไปพักใหญ่ มู่ฝานจวินก็จ้องมาด้วยแววตาเย็นเยียบ “ให้อวิ๋นจือชิวมาเป็นตัวประกันคือความคิดของเหมียวอี้เหรอ?” ในดวงตาถึงขั้นฉายแววดุร้าย

หยางชิ่งตอบว่า “หลังจากเกิดเรื่องนายท่านเหมียวก็รีบไปสะสางบัญชีกับเฟิงเป่ยเฉินที่นภาอู๋เลี่ยงแล้ว ย่อมไม่รู้เรื่องนี้ขอรับ มิหนำซ้ำนายท่านเหมียวก็ไม่มีอำนาจที่จะระดมกำลังพลทั้งสายมะโรงด้วย ที่ท่านทูตสามารถส่งข้าน้อยมาได้ การยินดีเป็นตัวประกันย่อมเป็นความคิดของท่านทูตเองขอรับ”

“เฮอะ!” มู่ฝานจวินพ่นเสียงทางจมูก แต่ความดุดันในแววตาคลายลงแล้ว นางกล่าวเสียงเรียบว่า “เหมียวอี้ปีกกล้าขาแข็งแล้ว ถ้าข้าฝืนรั้งเก็บไว้ ตาแก่ของแดนอื่นๆ ก็คงจะไม่วางใจเหมือนกัน ถ้าเขาจะไปแทนที่เฟิงเป่ยเฉิน ข้าก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร จะให้ข้าสนับสนุนพวกเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า พวกเจ้าสามารถโน้มน้าวมารเฒ่าอวิ๋นนั่นได้ ไม่อย่างนั้นมีข้าแดนเดียวสนับสนุนไปก็ไม่มีประโยชน์ ส่วนจะจับตัวประกันไว้หรือไม่ เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ ข้ามีเงื่อนไขอยู่เพียงข้อเดียว!”

หยางชิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกุมหมัดถามว่า “ข้าน้อยจะล้างหูรอฟัง ไม่ทราบว่ามีเงื่อนไขอะไรขอรับ?”

มู่ฝานจวินกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งในแต่ปีของแดนอู๋เลี่ยง ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว หลังจากจบเรื่องก็มาส่งส่วยตามกำหนดเวลาก็พอ ไม่ต้องให้อวิ๋นจือชิวมาเป็นตัวประกันแล้ว เพื่อลดหยางเพิ่มหยินระหว่างหกปราชญ์ ข้าเป็นผู้หญิงคนเดียวอาจจะรู้สึกเหงา ข้าว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน หลังจากจบเรื่องให้อวิ๋นจือชิวไปเป็นปราชญ์เต๋าของแดนอู๋เลี่ยงเถอะ ให้เหมียวอี้เป็นผู้ช่วยนาง ถ้าพวกเจ้าตอบตกลงเงื่อนไขนี้ ข้าก็จะตอบตกลงเงื่อนไขของพวกเจ้าเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ตอบตกลง เช่นนั้นก็การเจรจานี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น”

นางขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับเขา จึงโบกมือ ส่งสัญญาณให้เขาถอยไป!

หยางชิ่งเหม่อเล็กน้อย นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? ทำไมคุยง่ายขนาดนี้? ถ้าไม่มีตัวประกันที่มีน้ำหนักมากพอ แล้วเจ้าอาศัยอะไรมาเชื่อว่าพวกเราจะส่งมอบผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งของแดนอู๋เลี่ยงให้เจ้าทุกปี? ถ้าไม่กำจุดอ่อนไว้ในมือ ต่อให้ตอนนี้พวกเราตอบรับเงื่อนไขของเจ้า แล้วเจ้าจะเอาอะไรมาเชื่อว่าหลังจากจบเรื่องพวกเราจะให้อวิ๋นจือชิวเป็นปราชญ์?

แผนการที่มีความมั่นใจเก้าในสิบของเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะมาเจอกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงแบบนี้ เรียกได้ว่าออกหมัดหนักแต่กลับชกไม่โดนอะไร ออกมาจากตำหนักเก้าชั้นฟ้าอย่างค่อนข้างงุนงง ต่อให้คิดจนหัวจะแตกก็คิดไม่ตกว่ามู่ฝานจวินกำลังเล่นบ้าอะไร

หารู้ไม่ว่าสำหรับมู่ฝานจวินแล้ว ถ้าเหมียวอี้ไม่แย่แสความตายของตัวประกัน จะให้นางนำอวิ๋นจือชิวมาเป็นตัวประกันก็ไม่มีความหมาย แต่ถ้าเหมียวอี้แยแสความเป็นความตายของตัวประกันจริงๆ ตัวประกันก็ไม่จำเป็นต้องมีเยอะ แค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว

ถึงแม้หยางชิ่งจะวางแผนอย่างรอบคอบและคิดการณ์ไกล แต่เสียที่รู้ข่าวสารไม่คีบถ้วน มีเรื่องบางเรื่องที่เขาไม่รู้เลย เรื่องที่เขาไม่รู้ก็ย่อมไม่ได้อยู่ในแผนของเขา

แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขามองได้อย่างแม่นยำแล้ว นั่นก็คือเหมียวอี้มีศักยภาพที่จะโจมตีชนะเฟิงเป่ยเฉิน เรื่องนี้กลับตัวไม่ได้แล้ว ถ้ามู่ฝานจวินให้เหมียวอี้อยู่ใต้บังคับบัญชาต่อไป ก็จะทำให้แดนที่เหลือหวาดระแวงจริงๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แดนอื่นร่วมมือกันมากดดัน นางทำได้เพียงฝืนใจตอบตกลงไป นี่ก็คือสิ่งที่หยางชิ่งมองขาด ถึงได้มีความมั่นใจที่จะกล้ามาเจรจา

“ให้เยว่เหยากับหงเฉินมาที่นี่หน่อย!”

หลังจากหยางชิ่งออกไปแล้ว มู่ฝานจวินที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็เอ่ยสั่งเสียงเรียบ แล้วมีคนไปปฏิบัติตามคำสั่งทันที

ผ่านไปครู่เดียว เยว่เหยาที่สวมชุดกระโปรงขาวกับหงเฉินที่สวมชุดกระโปรงแดงก็มาด้วยกัน พอก้าวเข้ามาในตำหนักก็ทำความเคารพ “ท่านปราชญ์!”

มู่ฝานจวินที่นั่งอยู่เบื้องบนอมยิ้มน้อยๆ ในดวงตา แล้วถามว่า “เยว่เหยา พี่รองคนนั้นของเจ้าที่หายตัวไปหลายปี ได้ข่าวบ้างหรือไม่?”

พอถามมาแบบนี้ เยว่เหยากับหงเฉินก็สบตากันโดยจิตใต้สำนึก ในดวงตาฉายแววลุกลี้ลุกลนนิดหน่อย ทำเอามู่ฝานจวินเริ่มหรี่ตามอง

หลังจากคุมสติได้แล้ว เยว่เหยาก็ตอบว่า “ไม่เคยได้ข่าวเลยค่ะ”

ดวงตาที่อมยิ้มของมู่ฝานจวินหายไปแล้ว เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบแทน “ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ไม่ได้ข่าวจริงเหรอ?”

จู่ๆ ก็มาไม้นี้ ในใจเยว่เหยาเรียกได้ว่าสับสนอลหม่าน แต่ก็ยังฝืนถามด้วยรอยยิ้ม “หรือว่าท่านอาจารย์ได้ข่าวเขาหรือคะ?”

มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม  “นางหนู ดีเลย เจ้าช่างดีจริงๆ! ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหมดหกคน ข้าเอ็นดูเจ้าที่สุด แต่ตอนนี้เจ้ากลับใช้คำพูดมาเป็นมีดแทงหัวใจข้า! ข้าเคยห้ามเจ้าไม่ให้ไปมาหาสู่กับลูกศิษย์ของไต้ซือศีลเจ็ดเหรอ?”

พอเรียกชื่อคน คู่เทพธิดาโพ้นสวรรค์ที่ยืนอยู่เบื้องล่างก็เหม่อไปเลย ไม่รู้ว่านางรู้ได้อย่างไร

หารู้ไม่ว่าในปีที่มู่ฝานจวินพาพวกนางสองคนไปหาเหมียวอี้ที่ทะเลดาวประจิม ตอนที่ไต้ซือศีลเจ็ดมาพูดขอร้องให้เหมียวอี้ ตอนนั้นนางก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติแล้ว เพราะมันทำให้นางนึกขึ้นได้ว่าในปีนั้นเยว่เหยาเคยบอกว่าพี่รองของนางโดนคนพาตัวไป เค้ารางต่างๆ เหมือนเคล็ดวิชาของไต้ซือศีลเจ็ด กอปรกับเห็นปฏิกิริยาที่เครียดกังวลของศีลแปดในตอนนั้น ก็ทำให้นางสงสัยแล้ว ตอนหลังจึงส่งคนไปสืบเวลาตอนที่ไต้ซือศีลเจ็ดรับศิษย์ ก็พบว่าสอดคล้องกันจริงๆ บวกกับตอนหลังสามพี่น้องไปมาหาสู่กันบ่อยด้วย

นางแน่ใจในตัวตนของศีลแปดแล้ว เพียงแต่มีหลายเรื่องที่นางอมไว้ไม่เผยออกมา เล่ห์เหลี่ยมล้ำลึก ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่มีประโยชน์ก็จะไม่เปิดโปงออกมาง่ายๆ ที่มาเอ่ยถึงตอนนี้ก็แสดงว่าถึงเวลาจะใช้ประโยชน์แล้ว

ตุ้บ! เยว่เหยาคุกเข่าลงตรงนั้น ชั่วพริบตาเดียวก็สะอึกสะอื้น “ท่านอาจารย์ ศิษย์ผิดไปแล้ว!”

1101

บทที่ 1102 ไม้กระบองใหญ่สองด้าม

หงเฉินก้มหน้า

“ตอนนี้เจ้ายอมรับแล้วใช่มั้ยว่าลูกศิษย์ของไต้ซือศีลเจ็ดคือพี่รองของเจ้า?” มู่ฝานจวินถาม

“ค่ะ!” เยว่เหยาร้องไห้คุกเข่าอยู่บนพื้น

มู่ฝานจวินถอนหายใจยาว “นางหนูเอ๊ย! ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ข้ามองเจ้าเหมือนเป็นลูกเป็นหลานตัวเอง แต่เจ้ากลับหลอกข้าซ้ำแล้วซ้ำอีก นี่เจ้าทำร้ายจิตใจข้าอย่างโหดเหี้ยมนะ!”

“ท่านอาจารย์!” เยว่เหยาโขกหน้าผากกับพื้นด้วยน้ำตานองหน้า เรียกได้ว่ารู้สึกผิดสุดๆ

มู่ฝานจวินมองไปที่หงเฉินอีกครั้ง “เจ้าก็เหมือนกัน! เจ้ากล้าบอกมั้ยว่าเจ้าไม่รู้เรื่องนี้?”

หงเฉินคุกเข่าลงอย่างช้าๆ เยว่เหยาที่ร้องไห้ฟูมหายรีบเงยหน้าบอก “ท่านอาจารย์ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับศิษย์พี่ค่ะ”

มู่ฝานจวินไม่สนใจนาง ถามหงเฉินต่อไป “เมื่อครู่ข้าบอกแล้วว่าจะให้เยว่เหยาอีกครั้ง ศิษย์พี่อย่างเจ้าทำไมมัวมองดูศิษย์น้องตัวเองโกหกอาจารย์แล้วไม่ห้าม?”

“…” หงเฉินตอบนางด้วยความเงียบ

“มีเจตนาไม่ดี!” เสียงของมู่ฝานจวินพลันเฉียบคม “เจ้าว่ามาซิว่าข้าควรจะลงโทษพวกเจ้าสองคนอย่างไร?”

เยว่เหยาโขกศีรษะกับพื้นซ้ำๆ “ท่านอาจารย์ ถ้าจะลงโทษก็ลงโทษเยว่เหยาคนเดียวพอแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับศิษย์พี่เลยจริงๆ เป็นข้าเองที่ไม่ยอมให้ศิษย์พี่พูด”

“หงเฉิน ศิษย์น้องเจ้ากำลังวิงวอนให้เจ้า เจ้าจะอธิบายอย่างไร?” มู่ฝานจวินถาม

“ศิษย์ยอมรับโทษค่ะ!” หงเฉินตอบอย่างเฉื่อยชา

“ศิษย์พี่!” เยว่เหยาร้องไห้สะอึกสะอื้น

มู่ฝานจวินกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “หงเฉิน ข้ามอบเยว่เหยาให้เจ้าคอยดูแลมาตั้งแต่เด็ก แต่ศิษย์น้องไม่ได้เรียนรู้อะไรดีๆ เจ้าเลี่ยงความรับผิดชอบนี้ได้ยาก ครั้งนี้ข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง เห็นแก่ที่เยว่เหยาวิงวอนขอร้องเพื่อเจ้าด้วย ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ถ้าเยว่เหยาทำเรื่องอกตัญญูอีก ข้าจะลงโทษเจ้าคนแรก เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?”

“ขอบคุณท่านอาจารย์!” หงเฉินโน้มตัวโขกศีรษะกับพื้นเช่นกัน “ศิษย์ไม่มีความคิดเห็นอะไรค่ะ”

เมื่อเห็นศิษย์พี่รอดพ้นจากการทำโทษ  เยว่เหยาเพิ่งจะโขกศีรษะกับพื้นขอบคุณ แต่มู่ฝานจวินกลับชี้นาง “เจ้า! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไปที่ยืนสำนึกผิดที่เขตต้องห้าม ถ้าเมื่อไรที่รู้ความแล้วจริงๆ ก็ค่อยออกมาเมื่อนั้น!”

หงเฉินเงยหน้ามองมา แบบนี้เท่ากับศิษย์น้องโดนกักบริเวณแล้ว นางอึกอักอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกมู่ฝานจวินจ้องด้วยสายตาเย็นเยียบ จึงต้องกลืนคำพูดลงคอไปอีกครั้ง

“ค่ะ!” เยว่เหยากลับสมัครใจรับโทษ

หลังจากทั้งสองถอยออกไปแล้ว มู่ฝานจวินที่นั่งอยู่เบื้องสูงก็หลับตาโดยไม่พูดอะไร

ใครว่านางไม่ต้องการตัวประกันล่ะ เมื่อก่อนเหมียวอี้ยังปีกอ่อน ที่เล่นแง่กับเยว่เหยาก็เพราะจะเก็บไว้เป็นตัวประกัน ตอนนี้เหมียวอี้ปีกแข็งแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เหมียวอี้แข็งข้อ ตอนนี้นางจึงจับเยว่เหยาขังสียเลย เพียงแต่วิธีการของนางไม่ได้แข็งกร้าวขนาดนั้น เยว่เหยาที่โดนทำโทษยินยอมสมัครใจ ต่อให้จะลงโทษอย่างไร แต่ลูกศิษย์คนนี้ก็ยังเป็นลูกศิษย์ของนางตลอดไป

ส่วนหงเฉินที่อยู่เป็นเพื่อนเยว่เหยาตั้งแต่เด็กจนโต ก็คือเครื่องพันธนาการเส้นที่สองของเยว่เหยา ทั้งสองมีความผูกพันกัน ถ้าเยว่เหยากล้าหนีไปกับเหมียวอี้ เมื่อครู่นางก็เพิ่งจะบอกไว้อย่างชัดเจนแล้ว ว่าถึงตอนนั้นนางจะลงโทษหงเฉินก่อน…

อวิ๋นจือชิวยังคงอยู่ระหว่างทางไปนภาจอมมาร ตอนที่ได้รับข่าวจากหยางชิ่ง นางก็แปลกใจมาก แดนอู๋เลี่ยงที่ตีได้แล้ว จะให้เหมียวอี้นั่งรักษาการณ์หรือจะให้นางรักษาการณ์ มีอะไรแตกต่างกันด้วยเหรอ? ตอนอยู่ที่สายมะโรง มู่ฝานจวินก็จะให้นางเป็นท่านทูตให้ได้ วันนี้ใช้วิธีการนี้อีกแล้ว นางไม่ค่อยเข้าใจว่ามู่ฝานจวินกำลังจะทำอะไรกันแน่

แต่ก็เป็นอย่างที่บอก ไม่ว่าจะเป็นนางหรือเหมียวอี้ที่นั่งรักษาการณ์ ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน นางเป็นของเหมียวอี้ เหมียวอี้ก็เป็นของนาง เหมียวอี้สามารถมอบทั้งบ้านให้นางได้ตลอดเวลา จะต้องไม่ถือสาแน่นอนว่านางจะได้นั่งตำแหน่งนั้นหรือไม่

ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดแล้ว ก็ตอบหยางชิ่งว่า : ใครเป็นก็เหมือนกัน ตอบตกลงนางไป!

หยางชิ่งที่เก็บระฆังดาราแล้วกลับถอนหายใจ รู้สึกว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่ามู่ฝานจวินไปกินยาอะไรผิดมากันแน่ แผนการที่ตัวเองวางไว้อย่างดีถูกมู่ฝานจวินทำให้มั่วไปหมดแล้ว…

อินทรีเทพตัวหนึ่งบินร่อนอยู่บนท้องฟ้า ระหว่างแนวภูเขาที่สูงต่ำสลับกันเบื้องล่างพลันมีเงาคนพุ่งขึ้นฟ้า  รีบตามอินทรีเทพตัวนั้นไปด้วยความเร็วสูง อินทรีเทพที่อยู่บนฟ้าพบว่ามีคนตามมา จึงรีบกระพือปีกบินให้ไว แต่กลับไม่สามารถรอดพ้นเงื้อมมือมารของผู้ที่มาได้

ชายหนุ่มชุดม่วงคนนึ่งคว้าอินทรีเทพมาไว้ในมือ แล้วก็รีบเหาะลงมา เหาะผ่านท้องฟ้าเหนือแนวภูเขาเป็นวิถีเส้นโค้ง สุดท้ายก็มาเหยียบลงบนภูเขาลูกหนึ่ง ท่วงท่างดงามปราดเปรียว ผลักอินทรีเทพมาตรงหน้าเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้ม “คุณชายห้า ดูว่าใช่ตัวที่ท่านต้องการหรือไม่”

เขาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหลิงเทียน ทูตซ้ายของอิงอู๋ตี๋แห่งตำหนักดาวทักษิณของทะเลดาวนักษัตร

พื่อให้ติดต่อกับกำลังพลเบื้องล่างได้สะดวก ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋จึงฝากฝังให้อวิ๋นจือชิวที่กลับมาบ่อยๆ นำระฆังดารามาให้ทูตซ้ายที่เฝ้าตำหนักเพื่อสร้างช่องทางติดต่อ หลิงเทียนเองก็รู้ว่าตอนนี้เหมียวอี้มีตำแหน่งที่พิภพใหญ่แล้ว เหล่าพี่น้องกลุ่มใหญ่หวังจะได้หากินเพราะคุณชายห้าท่านนี้ ดังนั้นเขาจึงเคารพนับถือมาก

หลังจากได้รับแจ้งจากเหมียวอี้แล้ว หลิงเทียนก็รีบมาพบหน้าเหมียวอี้ก่อน

ก็ช่วยไม่ได้ เหมียวอี้วรยุทธ์ไม่สูงเท่าเฟิงเป่ยเฉิน เหาะตามความเร็วของเฟิงเป่ยเฉินไม่ทัน ต้องอาศัยสัตว์พาหนะคอยช่วย ไม่อย่างนั้นต่อให้ได้ประมือกับเฟิงเป่ยเฉินอีก ก็จะปล่อยให้เฟิงเป่ยเฉินหนีไปง่ายๆ อีกอยู่ดี ตอนนี้เหมียวอี้นึกเสียใจทีหลังนิดหน่อยที่ไม่ได้นำสัตว์เทพดีๆ จากพิภพใหญ่สักตัวมาเป็นพลังเท้าให้ตัวเอง

เพียงเพราะตอนอยู่ที่พิภพใหญ่เขาได้เข้าใจสถานการณ์ของเฮยทั่นแล้ว อาชามังกรแบบเฮยทั่นกำลังอยู่ในสภาวะวิวัฒนาการ ถ้าวิวัฒนาการสำเร็จขึ้นมา ก็จะเป็นสัตว์พาหนะระดับสูงที่เหาะได้ เพียงรอดูผลลัพธ์การวิฒนาการของมัน ว่าการตื่นตัวของสายเลือดจะเอนเอียงไปทางมังกร หรือจะเอนเอียงไปทางอาชาสวรรค์

สัตว์พาหนะที่ยังรักษาสติปัญญาไว้ได้ประเภทนี้ เหนือกว่าสัตว์พาหนะประเภทที่โดนลดสติปัญญาให้หลับหูหลับตายอมรับเจ้าของ พวกมันมีการปรับตัวให้มีความสามารถในการเป็นฝ่ายรุกโจมตี

สัตว์เทพดีๆ ราคาแพงเกินไปแล้ว จะไม่ให้แพงก็ไม่ได้ สัตว์เทพดีๆ ตัวหนึ่งมีค่าเท่ากับชีวิตคนคนหนึ่งในยามคับขัน ราคาไม่ได้ต่ำกว่าเกราะรบผลึกแดงหนึ่งชุดเลย เพื่อสัตว์เทพตัวหนึ่งที่โดนลดสติปัญญาแล้ว เขารู้สึกว่าการจ่ายเงินมากขนาดนั้นไม่คุ้มค่า

ที่จริงก็ไม่ได้เป็นเพราะมีเงินหรือไม่มีเงิน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เหมียวอี้ไม่ค่อยสนใจสัตว์พาหนะเท่าไรนัก เขารอการตื่นรู้ทางสายเลือดของเฮยทั่นมาตลอด เฝ้ารอเจ้าอ้วนที่เคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา เจ้าอ้วนที่วิ่งมาตรงหน้าเขาพร้อมบาดแปลเต็มตัวตอนอยู่การปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร ในด้านอารมณ์ความรู้สึก เขากำลังเฝ้ารอมันมาตลอด

ดังนั้นสัตว์เทพหลายตัวที่เขาได้มาจากการทดสอบหนึ่งร้อยปีจึงมอบให้พวกอวิ๋นจือชิวไปหมด ให้พวกนางไว้ป้องกันตัว เวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะได้หนีได้ไว้

ตอนกลับมาจากการทดสอบก็เห็นผีจวินจื่อขุดทางใต้ดินใหม่ หลังจากถามอะไรบางอย่างกับผีจวินจื่อแล้ว ตอนที่เขากลับไปหาพวกอวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก มอบสัตว์เทพทั้งหมดให้ไปเลย ไม่เหลือไว้สักตัว

ตอนนี้พอถึงเวลาที่จะใช้งานถึงได้แค้นที่ขาดแคลน ในขณะที่หมดทางเลือก จึงทำได้เพียงเรียกหลิงเทียนให้มาหาก่อน

เมื่อได้อินทรีเทพมาไว้ในมือ เหมียวอี้ก็หยิบท่อนไม้สีขาวที่เหมือนเลอะรอยเลือดออกมา เก็บอินทรีเทพเข้ากระเป๋าสัตว์ แล้วพลิกดูท่อนไม้ที่มีขนาดใหญ่เท่าครึ่งฝ่ามือ ตอนที่พลิกดูได้กลิ่นหอมจางๆ ที่ทำให้จิตใจสดชื่น

หลิงเทียนที่อยู่ข้างๆ ถามอย่างแปลกใจว่า “คุณชายห้า นี่มันของอะไรกัน?”

“ไม่รู้ว่าเป็นของอะไร ถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งที่เฟิงเป่ยเฉินจะนำมาสู้กับข้า” เหมียวอี้ตอบ

“ใช้ไม้ท่อนเดียวมาสู้กับคุณชายห้าเหรอ?” หลิงเทียนถามอย่างสงสัย แล้วจ้องมองพลางครุ่นคิด

เหมียวอี้โยนท่อนไม้ไว้บนพื้น แล้วโบกมือเรียกทวนเกล็ดย้อนออกมา ก่อนจะร่ายอิทธิฤทธิ์แทงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ท่อนไม้ที่ถูกเสียบอยู่บนหัวทวนถูกถือขึ้นมา หลิงเทียนก็ยื่นหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ เช่นกัน มันถูกแทงทะลุได้ง่ายมาก เหมือนจะไม่ได้แปลกประหลาดอะไร

เหมียวอี้ดึงท่อนไม้ออกจากหัวทวน ปรากฏว่าเห็นรอยแผลที่โดนแทงทะลุบนท่อนไม้กลับมาหลอมประสานกันอีกครั้ง ค่อนข้างแปลกจริงๆ แต่ต้านทานการโจมตีของทวนเกล็ดย้อนไม่ไหวเลย

เหมียวอี้จึงโยนท่อนไม้ลงบนพื้นแล้วแทงซ้ำอีกหลายครั้ง ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม

ตอนที่เก็บของขึ้นมาอีกครั้งเขาก็เริ่มกลุ้มใจแล้ว ของสิ่งนี้สามารถต้านทานการโจมตีจากทวนวิเศษของตนได้เหรอ?

เขาจำเป็นต้องหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับฉินซีอีกครั้ง ถามว่านางเข้าใจผิดหรือเปล่า

ฉินซีตอบว่า : ไม้ที่หนาเท่าฝ่ามือย่อมต้านทานการโจมตีของเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว ใช้ดาบฟันก็เข้าไปได้แค่นิ้วเดียว แต่ถ้ามันหนาเพียงพอ ความแข็งแรงยืดหยุ่นก็สูงมาก อาศัยให้เฟิงเป่ยเฉินให้วรยุทธ์ทั้งหมดที่มีฟันไปหนึ่งครั้ง แต่ก็ยังฟันได้ไม่ลึกเท่าไร เฟิงเป่ยเฉินต้องการจะนำทั้งต้นมาทำเป็นอาวุธ เจ้าอย่าประมาทเชียวนะ!

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! หลังจากเหมียวอี้เก็บระฆังดาราแล้ว ก็หยิบหินผลึกไขมันเพลิงออกมาก้อนหนึ่ง เขาร่ายอิทธิฤทธิ์จุดไฟ แล้วควบคุมไฟให้เผาท่อนไม้ท่อนนั้น

เป็นอย่างที่ฉินซีบอกไว้ก่อนหน้านี้จริงๆ ท่อนไม้นี้ติดไฟได้ยากมาก ไม่ใช่ว่าเผาแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ใช้เวลานานมากกว่าจะติดไฟ มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือยิ่งเผายิ่งหอม กลิ่นหอมมาก

แต่ถ้าต้องสู้กับเฟิงเป่ยเฉินขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เฟิงเป่ยเฉินจะรอให้ท่อนไม้ถูกเผาหมดก่อนค่อยสู้กับเจ้า

หลิงเทียนที่กำลังดูอยู่พยักหน้าบอกว่า “ท่อนไม้นี้ค่อนข้างแปลกจริงๆ”

เหมียวอี้กลับเก็บหินผลึกไขมันเพลิงแล้ว ใช้ฝ่ามือรองท่อนไม้ท่อนนั้นขึ้นมา แล้วจู่ๆ เปลวเพลิงที่ใสโปร่งแสงเหมือนน้ำกลุ่มหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากฝ่ามือ มาครอบเผาไม้ท่อนนั้น

หลิงเทียนตาเป็นประกาย เห็นเพียงท่อนไม้ในฝ่ามือเหมียวอี้เลื้อยราวกับมีชีวิตขึ้นมา จู่ๆ ก็เริ่มงอเบี้ยวหดลง กำลังเผาไหม้อย่างรุนแรง ไม่นานก็หดกลายเป็นถ่านสีดำก้อนหนึ่ง

เปลวเพลิงน้ำหดกลับเข้าไปในฝ่ามือเหมียวอี้ พอเหมียวอี้กำมือก็เกิดเสียงดังกรอบ พอแบมืออีกครั้ง ท่อนไม้เล็กก้อนนั้นก็กลายเป็นเถ้าปลิวไปแล้ว

เหมียวอี้โค้งมุมปากยิ้ม อีกประเดี๋ยวเฟิงเป่ยเฉินอย่าร้องไห้ก็แล้วกัน!

หลิงเทียนทำสายตาเหมือนถามว่าสิ่งที่โผล่ออกมาจากฝ่ามือเหมียวอี้เมื่อครู่นี้คืออะไร

เหมียวอี้ไม่ได้อธิบาย ทั้งสองมองไปรอบๆ เช่นกัน ท่อนไม้นั่นถูกเผนทำลายไปแล้ว แต่กลิ่นหอมที่กระจายออกมากลับดึงดูดสัตว์เล็กในป่าภูเขารอบๆ ให้มาทางนี้

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าท่อนไม้นี้จะมีสรรพคุณที่อัศจรรย์ขนาดนี้ หลิงเทียนร่ายอิทธิฤทธิ์โบกมือ ไล่สัตว์เล็กที่อยู่รอบๆ ให้แยกย้ายออกไป

หลิงเทียนหันกลับมาถามว่า “คุณชายห้า จะลงมือเมื่อไรขอรับ?”

เหมียวอี้ปัดขี้เถ้าในมือแล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ฝั่งอวิ๋นจือชิวให้พวกเรารอสักหน่อย ต้องรอให้ยอดฝีมือของแดนอู๋เลี่ยงไปรวมตัวที่นภาอู๋เลี่ยงให้หมดก่อน รอให้กองทัพใหญ่บุกโจมตีจนอีกฝ่ายหมดพลานุภาพ แล้วค่อยลงมือทีหลัง รอก่อนแล้วกัน จะได้ถือโอกาสรอให้พวกพี่ใหญ่มาด้วย ถึงตอนนั้นจะขุดรากถอนโคนกำลังสำคัญของเฟิงเป่ยเฉินให้หมดเพื่อตัดปัญหาที่จะตามมาภายหลัง”

ที่จริงเขาไม่อยากรอนานเลย เป็นห่วงฉินเวยเวยที่ตกอยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉิน กลัวว่าปล่อยให้เวลายืดเยื้อแล้วจะเกิดเหตุไม่คาดคิด ถ้าไม่ใช่เพราะมีฉินซีคอยดูอยู่ แล้วบอกว่าจะติดต่อเขาทันทีที่เกิดเหตุไม่ชอบมาพากล เขาก็คงจะรอไม่ไหวจริงๆ…

ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น เงาคนคนหนึ่งแวบออกมา มาเหยียบลงที่ตำหนักอู๋เลี่ยง เป็นเฟิงเป่ยเฉินนั่นเอง

ฉินซีที่ตัดต้นไม้รอเงียบๆ อยู่ในลานบ้านเอียงหน้าเล็กน้อย ถามเสียงเรียบว่า “ทำเสร็จแล้วเหรอคะ?”

พอเฟิงเป่ยเฉินใช้สองมือเรียกออกมา ท่อนไม้กลมใหญ่สองชิ้นที่ยาวครึ่งจั้งก็ปรากฏอยู่ในมือเขาแล้วโบกไปมา

ฉินซีที่เย็นชามาตลอดกระตุกมุมปากเล็กน้อย นี่นับว่าเป็นอาวุธอะไรกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นไม้กระบองใหญ่สองด้าม เป็นไม้กระบองใหญ่ที่ผู้หญิงในโลกมนุษย์ใช้ซักผ้าริมลำธาร แต่เป็นแบบที่ขยายให้ใหญ่ขึ้น

ที่จริงก็เป็นแค่ลำต้นที่กำจัดเปลือก ใบและกิ่งทิ้งไปแล้ว แล้วค่อยฟันให้ขาดครึ่งเป็นสองท่อน ส่วนปลายถูกตัดแต่งให้เป็นสองจุดที่จับถือได้สะดวก เหมือนไม้กระบองใหญ่สองด้ามมาก

เมื่อเห็นว่าแม้แต่ฉินซีที่นิสัยเย็นชาก็ยังทำท่า ‘ตกตะลึง’ เฟิงเป่ยเฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่น “อย่าไปมองว่ามันน่าเกลียดนะ มันใช้ดีกว่าอะไรทั้งนั้น”


1102

บทที่ 1103 แลกตัวประกัน

“ท่านรู้สึกว่าใช้ดีก็พอแล้ว” ฉินซีตอบส่งเดชขณะมองดูเขาโอ้อวด

ขณะที่ถูกนางมองด้วยสายตาแปลกๆ เฟิงเป่ยเฉินก็รู้ว่าการถืออาวุธสองด้ามนี้ไม่สง่างาม แต่ก็ไม่มีทางเลือก เขาถูกเหมียวอี้โจมตีจนกลายเป็นแบบนั้น จึงอับอายที่จะขอกำลังเสริม ยกตัวอย่างเช่นตอนที่โดนอวิ๋นอ้าวเทียนโจมตี เขาก็สามารถเรียกปราชญ์ที่เหลือให้มาช่วยได้ทันที แต่ถ้าแพ้ให้เหมียวอี้แล้วยังเรียกกำลังเสริมมาอีก ต่อไปก็ไม่มีหน้ามาเรียกตัวเองว่าหนึ่งในหกปราชญ์แล้ว

เขาไม่อยากประกาศเรื่องฉาวโฉ่พวกนี้ ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาไม่อยากให้ของบนตัวเหมียวอี้ตกไปอยู่ในมือคนอื่น

ตรงนี้เพิ่งจะเก็บไม้กระบองใหญ่สองด้าม ด้านนอกก็มีคนมารายงานแล้วว่า “ท่านปราชญ์ โม่หมิง เจ้าสำนักงามวิจิตรมาขอพบขอรับ”

ฉินซีเหล่ตามองแวบหนึ่ง นางรู้ดีอยู่แก่ใจ

เฟิงเป่ยเฉินถามกลับว่า “เขามาทำไม จวินอี๋ไม่ได้มาเหรอ?” เขาเรียกเหมียวจวินอี๋มา ไม่ได้เรียกพบโม่หมิง

ผู้ที่มาตอบว่า “เปล่าขอรับ มีแค่โม่หมิงคนเดียว ดูท่าทางร้อนรนมาก เหมือนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

เฟิงเป่ยเฉินโบกมือ ผู้ที่มารีบสาวเท้าเดินออกไป และไม่นานก็นำโม่หมิงเข้ามา

พอพบหน้าและทำความเคารพ โม่หมิงก็ไม่รอให้เฟิงเป่ยเฉินถาม แย่งบอกอย่างใจร้อนแล้วว่า “ท่านปราชญ์! จู่ๆ ไอ้เหมียวจัญไรก็จู่โจมสำนักงามวิจิตร จับตัวจวินอี๋กับลูกสาวไป..” เรียกได้ว่ารีบร้อยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง

“เฮอะ!” หลังจากได้ฟังแล้ว เฟิงเป่ยเฉินก็แค่พ่นเสียงทางจมูก แต่ไม่นานสีหน้าเปลี่ยนก็ไปเล็กน้อย เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ถามกลับว่า “ไม่ได้จับคนอื่นเหรอ ขับแค่จวินอี๋กับหลันหลัน?”

โม่หมิงไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก พยักหน้าตอบไปว่า “ขอรับ! จับพวกนางไปแค่สองคน พูดทิ้งท้ายไว้แล้วจากไปเลย”

ตอนนี้ดวงตาเฟิงเป่ยเฉินฉายแววร้อนรนแล้ว หน้าดำคร่ำเครียดนิดหน่อย รู้สึกเหมือนโดนเหมียวอี้ทำให้มีอะไรติดคอ เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้าน เหมียวอี้พุ่งเป้าหมายมาชัดเจนเกินไปแล้ว ทำเอาเขาหวาดกลัวแทบแย่

เป็นอย่างที่ฉินซีบอก โม่จวินหลันเกิดจาดเขากับเหมียวจวินอี๋จริงๆ ปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินหนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผย ไม่น่าเชื่อว่าจะทำลูกศิษย์หญิงของตัวเองจนท้องคลอดลูกออกมา ที่สำคัญที่สุดก็คือ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากลูกศิษย์แต่งงานแล้ว ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร

เขาสงสัยว่าเหมียวอี้รู้อะไรบางอย่างเข้าแล้วหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นใครมันจะลงมือได้แม่นยำขนาดนี้ ทำไมต้องลงมือกับเหมียวจวินอี๋และลูกสาวด้วยล่ะ?

หลังจากสับสนวุ่นวายใจอยู่พักหนึ่ง ฝีเท้าก็หยุดนิ่ง จู่ๆ ก็พบว่าตัวเองคิดมากเกินไปแล้ว ในบรรดาลูกศิษย์ของตัวเองก็มีแค่เหมียวจวินอี๋ที่พักอยู่นอกนภาอู๋เลี่ยง ถ้าเหมียวอี้จะจับคนมาบีบเขา ถ้าไม่จับเหมียวจวินอี๋แล้วจะให้จับใครล่ะ? เขากับชุยหย่งเจินก็ทำเรื่องน่าอับอายเหมือนกัน ครั้งก่อนเหมียวอี้ก็จับชุยหย่งเจินไปเหมือนกันไม่ใช่หรือไง แต่ก็ไม่เห็นว่าจะเปิดโปงเรื่องอะไรออกมา ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเขาสะเพร่าไปเอง ไม่ได้แจ้งเหมียวจวินอี๋ให้เตรียมพร้อมป้องกันได้ทันเวลา

ที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องระหว่างตนกับเหมียวจวินอี๋ไม่มีบุคคลที่สามรู้เรื่องนี้  ตนไม่มีทางบอกกับคนนอก เหมียวจวินอี๋ก็ไม่ทำเรื่องโง่แบบนั้นแน่นอน ถ้าเรื่องฉาวโอ่แบบนี้หลุดออกไป เหมียวจวินอี๋ก็รับผลที่ตามมาไม่ไหวเหมือนกัน

หลังจากมีความคิดแบบนี้ เขาก็หันหน้ามาถามทันทีว่า “โม่หมิง คนที่ไอ้เหมียวจัญไรต้องจับมาบีบจุดอ่อนข้า จับแค่จวินอี๋คนเดียวก็พอแล้ว ทำไมต้องจับหลันหลันไปด้วย อย่าบอกนะว่าตอนนั้นสองแม่ลูกกำลังอยู่ด้วยกันพอดี?”

ฉินซีได้ยินคำพูดนี้แล้วหัวเราะเยาะในใจ นางรู้ดีว่าเฟิงเป่ยเฉินถามแบบนี้เพราะมีเจตนาอะไร

โม่หมิงที่มีผมขาวแซมเต็มศีรษะกุมหมัดตอบว่า “ท่านปราชญ์ช่างปราดเปรื่อง ตอนนั้นพวกนางสองแม่ลูกกำลังอยู่ด้วยกันพอดี ท่านปราชญ์ได้โปรดหาทางช่วยชีวิตพวกนางสองแม่ลูกด้วยขอรับ”

เมื่อได้ยินแบบนั้น เฟิงเป่ยเฉินก็แอบถอนหายใจหนักๆ สองคนนั้นอยู่ด้วยหันพอดีจริงๆ ด้วย ก็อย่างว่านั้นแหละ ไอ้เหมียวจัญไรจะไปรู้เรื่องนั้นได้อย่างไร

ถ้าหลังจากจับเหมียวจวินอี๋ได้แล้ว ไอ้เหมียวจัญไรตั้งใจไปจับโม่จวินหลันอีก แบบนั้นเขาก็ต้องหวาดระแวงกลัวแล้ว ตอนนี้ย่อมกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ไม่ต้องกังวล! จวินอี๋เป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าไม่มีทางนิ่งดูดาย ย่อมหาทางช่วยอยู่แล้ว”

“ขอบคุณท่านปราชญ์!” โม่หมิงเรียกได้ว่าโค้งตัวขอบคุณ

ฉินซีเห็นเหตุการณ์นี้แล้วแอบส่ายหน้า จู่ๆ ในใจก็มีความคิดที่เหลวไหลบางอย่างแวบเข้ามา ไม่รู้ว่าเฟิงเป่ยเฉินจะต้องขอบคุณหยางชิ่งรึเปล่า?

เมื่อเกิดความคิดนี้ขึ้นมา นางก็แอบรู้สึกร้อนที่ใบหน้า พบว่าตัวเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน

หลังจากเฟิงเป่ยเฉินโบกมือให้โม่หมิงออกไปแล้ว ก็เอามือไขว้หลังเดินช้าๆ เริ่มกลัดกลุ้มนิดๆ แล้ว ถ้าเหมียวอี้จับตัวเหมียวจวินอี๋กับลูกสาวมาแลกเปลี่ยนจริงๆ ตัวเองจะแลกหรือไม่แลกดีนะ? ถ้าตัวเองเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย เหมียวจวินอี๋จะเปิดโปงเรื่องฉาวโฉ่ระหว่างพวกเขาหรือเปล่า? แล้วถ้าแลกเปลี่ยนกันล่ะ เขาก็จะชิงของบนตัวเหมียวอี้มาไม่สะดวกแล้ว

ไม่นานก็พบว่าตัวเองคิดมากเกินไป เมื่อมีไม้กระบองใหญ่สองด้ามในมือแล้ว ก็จะจัดการไอ้จัญไรนั่นได้พอดี เดี๋ยวพอได้คนกลับมาแล้วค่อยลงมือก็ยังไม่สาย

แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ ขนาดโม่หมิงยังมาแล้ว เหมียวอี้ที่จับสองแม่ลูกคู่นั้นไปทำไมยังไม่นำตัวมาแลกอีก? อย่าบอกนะว่ากำลังหากำลังเสริม?

หลังจากไตร่ตรองพักหนึ่ง เขาก็โบกมือเรียกตัวประกันที่จับได้ออดมา แล้วใช้มือดึงฉินเวยเวยขึ้นมา

ฉินเวยเวยยังคงสวมชุดเกราะ เป็นชุดเกราะสีทองขั้นสี่ เกราะที่มีระดับสูงเกินไป วรยุทธ์ของนางก็ควบคุมไม่ไหวเช่นกัน

ลักษณะเวลานางสวมเกราะรบชุดนั้นก็ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ เฟิงเป่ยเฉินเคลื่อนสายตามองเรือนร่างอันมีส่วนเว้าส่วนโค้งที่กำลังสวมชุดเกราะของนาง พอนึกขึ้นได้ว่าสาวงามคนนี้คืออนุภรรยาของเหมียวอี้ แล้วนึกถึงความอัปยศที่เหมียวอี้นำมาให้เขา เขาก็เลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ก็เอียงหน้ามองฉินซีที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง ทำให้นึกเชื่อมโยงว่าเหมียวจวินอี๋และลูกสาวยังอยู่ในมือเหมียวอี้ จึงยังข่มกลั้นความคิดชั่วร้ายนั้นไว้

ฉินเวยเวยที่โดนผนึกวรยุทธ์ตกใจกลัวนิดหน่อย คนที่อยู่ตรงหน้าคือปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน สำหรับนางนี่คือบุคคลที่อยู่ในตำนาน ถ้าบอกว่าไม่กลัวก็คงโกหก

จู่ๆ เฟิงเป่ยเฉินก็คว้าข้อมือฉินเวยเวย นางตกใจทันที ดิ้นรนแต่ไม่หลุดพ้น “ถุย” จึงพ่นน้ำลายใส่หน้าเฟิงเป่ยเฉินทันที

ความอัปยศอดสูนี้มาจะมาถึงตัวเฟิงเป่ยเฉินได้อย่างไร นอกจากจะไม่รู้ว่าน้ำลายนั่นหายไปไหนแล้ว เฟิงเป่ยเฉินยังโบกมือตบเข้ามาหนึ่งฉาดด้วย

เพี้ยะ! ถึงแม้จะมีเกราะหัวปิดบังใบหน้า แต่ฉินเวยเวยที่โดนตบจนโซเซก็ยังมีเลือดไหลออกจากมุมปาก

“มีอย่างที่ไหนมาตบหน้าผู้หญิง? ผู้ชายอย่างพวกท่านก็ดีแต่รังแกผู้หญิง” ฉินซีที่อยู่ข้างกายกล่าวเสียงเรียบ

เฟิงเป่ยเฉินหันมามองนางแวบหนึ่ง แล้วดึงแขนฉินเวยเวยขึ้นมา รูดกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือฉินเวยเวยออกมาโดยตรง จากนั้นก็สะบัดมือส่งเดช ทำให้ฉินเวยเวยที่โดนตบจนมึนล้มลงพื้น

ฉินซีมองมาแวบหนึ่ง ข่มอารมณ์ที่วู่วามเอาไว้ พยายามรักษาสีหน้าท่าทางเย็นชาไว้เหมือนเดิม ไม่ได้ก้าวเข้าไปประคอง

เดิมทีเฟิงเป่ยเฉินก็แค่จะดูไปอย่างนั้นว่าในกำไลเก็บสมบัติของฉินเวยเวยมีอะไร ผลปรากฏว่าตอนยังไม่ดูก็ยังไม่รู้ แต่พอดูแล้วก็ตกใจ ของอย่างอื่นไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลยจริงๆ เขาเห็นระฆังดาราหลายอันอยู่ในกำไลเก็บสมบัติของฉินเวยเวย ทั้งยังพบว่ามีแหวนเก็บสมบัติอีกวงที่ใช้เก็บยาแก่นเซียนหลายล้านเม็ดโดยเฉพาะ

จะเป็นไปได้อย่างไร? ขนาดเขายังไม่มีทางหายาแก่นเซียนมาได้มากขนาดนี้ในรวดเดียวเลย เยอะกว่ายาแก่นเซียนที่เขาเคยใช้มาทั้งชีวิตอีก เขากล้ารับประกันว่าหกปราชญ์คนอื่นๆ ก็หายาแก่นเซียนไม่ได้มากมายขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดสสถานการณ์อย่างปัจจุบันหรอก

เขายังนึกว่าตัวเองมองผิดไป หลังจากหยิบมาลองกินเม็ดหนึ่ง ก็แน่ใจว่าไม่ผิด เป็นยาแก่นเซียนจริงๆ ชั่วพริบตาเดียว ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเหมียวอี้ถึงเพิ่มวรยุทธ์ได้รวดเร็วขนาดนั้น ขนาดอนุภรรยาคนเดียวยังมียาแก่นเซียนในมือมากขนาดนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าในมือเหมียวอี้จะมีมากขนาดไหน

ตอนนี้เฟิงเป่ยเฉินตกตะลึงพรึงเพริดแล้ว เขาเดินมาข้างกายฉินเวยเวยที่ลุกขึ้นมา แกว่งไกวแหวนเก็บสมบัติในมือ แล้วถามอย่างเย็นเยียบว่า “ยาแก่นเซียนในนี้เอามาจากไหน?”

ฉินเวยเวยรู้ว่าทำเสียเรื่องแล้ว จึงยกมือขึ้นถอดแกราะหัวอย่างช้าๆ แล้วจู่ๆ ก็หันศีรษะไปโขกแท่นหินที่อยู่ข้างๆ นางอยากจะฆ่าตัวตาย

แต่เฟิงเป่ยเฉินจะปล่อยให้นางทำสำเร็จได้อย่างไร โดนผนึกพลังอิทธิฤทธิ์อีกแล้ว ในสายตาเฟิงเป่ยเฉิน การกระทำแบบนั้นเชื่องช้าเหมือนกับมดตัวหนึ่ง เห็นเพียงเฟิงเป่ยเฉินกางนิ้วทั้งห้า ทำให้ฉินเวยเวยลอยถอยหลังออกมาทันที โดนกักคอไว้แล้ว

“อยากตายเหรอ?” เฟิงเป่ยเฉินยิ้มชั่วร้าย “ไม่บอกเหรอ? ข้ามีวิธีที่จะทำให้เจ้าทรมานจนอยากตายแต่ตายไม่ได้”

“อย่าทำร้ายผู้หญิงต่อหน้าข้า” ฉินซีพลันเอ่ยปาก

เฟิงเป่ยเฉินหันขวับมาตะคอกทันที “ไสหัวกลับไปที่ห้อง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!”

ถ้าจะยอมถอยให้ฉินซีก็ต้องดูว่าเรื่องอะไร เมื่อเทียบกับยาแก่นเซียนมากมายขนาดนี้ ฉินซีนับว่าสำคัญอะไรล่ะ? อาศัยฐานะอย่างเขายังกลัวว่าจะขาดผู้หญิงอีกเหรอ?

ฉินซีกล่าวเสียงเรียบว่า “ต่อให้ทำร้ายนางจนตายนางก็ไม่บอกอยู่ดี ถ้าเสียเวลาจนเหมียวอี้มาถึง ท่านจะช่วยลูกศิษย์ท่านกลับมาได้เหรอ? ส่งนางให้ข้าจัดการเถอะ ให้เวลาข้าครึ่งชั่วยาม!”

“ครึ่งชั่วยาม?” เฟิงเป่ยเฉินเหมือนจะไม่เชื่อ

“พวกเราเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ให้ข้ากับนางคุยกันเถอะ” ฉินซีเดินตรงเข้ามา จับมือฉินเวยเวยที่อยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉินเดินออกไปทันที

เฟิงเป่ยเฉินคลายนิ้วทั้งห้า ไม่ได้ขัดขวางอะไร เพียงเตือนไปว่า “งั้นก็ให้เวลาเจ้าครึ่งชั่วยาม!”

จากนั้นก็หันกลับมามองแหวนเก็บสมบัติในมือ แล้วตรวจดูยาแก่นเซียนในแหวนเก็บสมบัติอีกครั้ง ในดวงตาราวกับจะลุกเป็นไฟ

เหมียวอี้ชักช้าไม่โผล่หน้ามาสักที เขายังกังวลว่าเหมียวอี้จะไปขอให้มู่ฝานจวินมาเป็นกำลังเสริมหรือเปล่า ในใจกำลังครุ่นคิดว่าจะให้แดนอื่นมาช่วยดีหรือไม่ แต่พอดูสถานการณ์แบบนี้แล้ว ไอ้เหมียวจัญไรจะต้องไม่กล้าให้มู่ฝานจวินรู้เรื่องยาแก่นเซียนจำนวนมหาศาลนี้แน่ๆ ส่วนเขาเอง ก็ยิ่งไม่อยากบอกปราชญ์คนอื่นๆ ให้รู้ อยากจะฮุบไว้คนเดียวมากกว่า!

ฉินซีพูดคำไหนคำนั้น บอกว่าใช้เวลาครึ่งชั่วยามก็ใช้เวลาครึ่งชั่วยามจริงๆ ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็พาฉินเวยเวยมาส่งตรงหน้าเฟิงเป่ยเฉินที่กำลังยืนเอามือไขว้หลังรออยู่ในลานบ้าน “ข้าคุยกับนางเรียบร้อยแล้ว ท่านอยากจะถามอะไรก็ถามเถอะ”

เฟิงเป่ยเฉินขานรับ “อ้อ” สงสัยจะทำให้ฉินเวยเวยสงบสติอารมณ์ได้แล้ว จึงแกว่งแหวนเก็บสมบัติพร้อมถามอีกครั้ง “นำยาแก่นเซียนพวกนี้มาจากไหน?”

“เหมียวอี้ให้” ฉินเวยเวยตอบ

เป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วย! เฟิงเป่ยเฉินรีบถามอีก “เหมียวอี้เอามาจากไหน?”

ฉินเวยเวยตอบว่า “เหมียวอี้บอกว่าเป็นของที่อยู่บนเรือมังกรอเวจี”

“เรือมังกรอเวจี?” เฟิงเป่ยเฉินตกใจทันที ถามว่า “เหมียวอี้ขึ้นเรือมังกรอเวจีได้เหรอ?”

ฉินเวยเวยส่ายหน้า “เหมียวอี้บอกว่าเทพพยากรณ์เอามาจากบนเรือมังกรอเวจี เขากับเทพพยากรณ์สนิทกันมาก เลยขอมาจากเทพพยากรณ์”

เฟิงเป่ยเฉินนำระฆังดารามาไว้ในมืออีก “แล้วระฆังนี้ล่ะ?”

“เอามาจากเรือมังกรอเวจีเหมือนกัน” ฉินเวยเวยตอบ

เฟิงเป่ยเฉินเดินไปเดินมาทันที เขาเชื่อคำตอบนี้ ในมือเขาก็มีระฆังดาราเหมือนกัน เทพพยากรณ์เป็นผู้ให้เหมือนกัน ยาแก่นเซียนโผล่มามากมายขนาดนี้ ความเป็นไปได้ก็มีแค่เรือมังกรอเวจีแล้ว เขาหยุดฝีเท้าแล้วโบกมือ ระฆังดาราหนึ่งแถวที่เป็นของฉินเวยเวยลอยอยู่ตรงหน้าฉินเวยเวยแล้ว “หาระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับเหมียวอี้ออกมา ติดต่อเขาเดี๋ยวนี้ ให้เขาเอาตัวประกันมาแลกเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”

พูดจบก็คลายผนึกบนตัวฉินเวยเวย

ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะมีเพียงการลงตราอิทธิฤทธิ์ไว้บนระฆังดารานี้เท่านั้น ถึงจะใช้ติดต่อระหว่างกันได้ อาสัยวรยุทธ์แค่นั้นของฉินเวยเวย เฟิงเป่ยเฉินก็ไม่กลัวนางจะหนีเช่นกัน

ฉินเวยเวยมองฉินซีแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก ฉินซีพยักหน้าเบาๆ เฟิงเป่ยเฉินในตอนนี้ค่อนข้างร้อนรน ถ้าไม่ตอบตกลงเกรงว่าฉินเวยเวยจะได้รับความลำบาก

ที่จริงจุดที่เหมียวอี้อยู่ก็ห่างจากนภาอู๋เลี่ยงไม่ไกลมาก เพราะจะได้มาทันหากได้รับแจ้งจากฉินซีว่าเกิดเรื่องขึ้น

ระหว่างแนวภูเขา ใต้ต้นไม้เก่าแก่ เหมียวอี้เก็บระฆังดาราเงียบๆ ได้รับข้อความจากฉินเวยเวยแล้ว

ถ้าจะทำตามแผนการ ไม่สู้เปลี่ยนแปลงดีกว่า รอฝั่งอวิ๋นจือชิวระดมพลมาโจมตีไม่ไหวแล้ว

เสียงดังเปาะแปะ เกราะรบที่สีเหมือนหยกแดงกลิ้งขึ้นมาบนตัว ทวนเกล็ดย้อนอยู่ในมือ เหมียวอี้หันกลับมาบอกว่า “หลิงเทียน! ลำบากต้องให้เจ้าเข้ามาซ่อนตัวในกระเป๋าสัตว์ของข้าชั่วคราวแล้ว รอให้ข้าเรียก เจ้าค่อยปรากฏตัวในร่างเดิมทันที ร่วมมือกับข้าสังหารเฟิงเป่ยเฉิน!”


1103

บทที่ 1104 ขวางเขาไว้!

ในเมื่อหลิงเทียนมาแล้ว เช่นนั้นก็มาช่วยเขาอีกแรงแล้วกัน ย่อมไม่มีอะไรต้องปฏิเสธ เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะถามว่า “คุณชายห้าไม่รอข่าวจากทางฮูหยินก่อนหรือขอรับ?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ข้าก็อยากรอนะ แต่เฟิงเป่ยเฉินรอไม่ไหวแล้ว เอาฉินเวยเวยมากดดันข้าให้เอาตัวประกันไปแลก”

หลิงเทียนกล่าวพร้อมยิ้มเจื่อน “ไม่รอคุณชายใหญ่มา พวกเราสองคนจะไหวเหรอ? มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเฟิงเป่ยเฉินมีจุดที่พิเศษจริงๆ ถ้าใช้พลังปะทะตรงๆ มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเขาเรียกได้ว่าไม่เป็นรองใครในใต้หล้า แม้แต่อวิ๋นอ้าวเทียนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”

“ข้าเคยได้รับบทเรียนมาแล้ มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงเชี่ยวชาญในความสามารถของคนอื่น สามารถใช้พลังโจมตีของฝ่ายตรงข้ามย้อนโต้ตอบฝ่ายตรงข้าม แต่เขาไม่กล้าใช้กำลังปะทะกับข้าตรงๆ หรอก ไม่ว่าจะปะทะยังไงเขาก็เสียเปรียบ!” เหมียวอี้ชูทวนเกล็ดย้อนในมือ จากนั้นก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ากังวลเหรอ? ไม่ต้องกังวล ถ้ามีความเร็วของเจ้าคอยช่วย เฟิงเป่ยเฉินก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอก”

หลิงเทียนพยักหน้า ผ่อนคลายตัวเองแล้ว เตรียมตัวถูกเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์แล้ว

เหมียวอี้เองก็ไม่เกรงใจ บอกโบกมือหนึ่งครั้ง ก็ทำให้เขาเข้ามาอยู่ในกระเป๋าสัตว์ทันที แล้วแฉลบขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

จุดที่เขาซ่อนตัวห่างจากนภาอู๋เลี่ยงไม่ไกล ตอนที่เข้าใกล้นภาอู๋เลี่ยง ก็ดิ่งลงอย่างกะทันหันอีกครั้ง ลดระดับความสูงในการเหาะ เหาะขนาบไปกับแนวภูเขาด้านล่าง ถือโอกาสตอนที่หลบเลี่ยงสายตาที่อยู่รอบข้าง โบกมือเรียกตั๊กแตนห้าตัวให้ลงไปหลบอยู่ในป่าภูเขาด้านล่าง ตอนนี้ถึงได้พุ่งขึ้นฟ้าอีกครั้ง

สถานที่แลกตัวประกันไม่ได้อยู่ที่นภาอู๋เลี่ยง แต่เป็นตีนเขาที่อยู่ไม่ไกลจากนภาอู๋เลี่ยง

เฟิงเป่ยเฉินกลัวว่าถ้าสู้กันขึ้นมาแล้วรังตัวเองจะเสียหาย เมื่อนักพรตบงกชทองสู้กัน ถ้าไม่ระวังก็ทำให้ภูเขาถล่มแผ่นดินทลายได้

สำหรับเหมียวอี้ที่มาที่นี่เป็นครั้งแรก สถานที่ที่เฟิงเป่ยเฉินระบุไว้กลับหาพบได้ง่ายเช่นกัน

จุดที่ห่างไปทางเหนือของนภาอู๋เลี่ยง บนเนินเขาลูกหนึ่งที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่มีใบสีแดง ศาลาหลังหนึ่งที่มีชายคาโค้งสี่มุม ห่างไปสิบกว่าจั้งเป็นลำธารเล็กๆ มีทั้งนกทั้งดอกไม้ ทัศนียภาพยอดเยี่ยม

เฟิงเป่ยเฉินนั่งจิบน้ำชาอย่างช้าๆ ก็อยู่ในศาลาคนเดียว ข้างหลังมีคนยืนเรียงอยู่หนึ่งแถว

หลี่โม่จินลูกศิษย์คนโตยืนอยู่ตรงกลาง กำลังใช้กระบี่ใบมีดกว้างด้ามหนึ่งจ่อบนคอของฉินเวยเวย ควบคุมฉินเวยเวยที่เป็นตัวประกันเอาไว้ ส่วนเกราะรบบนตัวฉินเวยเวยก็ถูกถอดทิ้งไปแล้ว ของที่มีค่าก็ถูกรีดไถเอาไปหมด

ทางซ้ายและขวาของหลี่โม่จินมีศิษย์ยืนอยู่ ฟู่หยวนคัง กัวเหรินกวง หัวอวี้ เดิมทียังมีศิษย์หญิงอีกสองคน แต่น่าเสียดายที่ชุยหย่งเจินตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ ส่วนเหมียวจวินอี๋ก็ตกอยู่ในมือเหมียวอี้แล้ว

ในป่าที่อยู่ไม่ไกลจากศาลาหลังนั้น โม่หมิงเจ้าสำนักงามวิจิตรกำลังรอคอยอย่างเงียบๆ รอบข้างมีนักพรตบงกชม่วงและบงกชแดงนับร้อยกำลังลาดตระเวนไปทั่ว เมื่อพบความผิดปกติใดๆ จะได้แจ้งได้ตลอดเวลา

ฉินซีไม่อยู่ เฟิงเป่ยเฉินให้นางไปซ่อนตัว หลัวว่านางจะมาเกะกะเป็นอุปสรรค

แต่ถ้าฉินซีไม่ได้เห็นว่าลูกสาวตัวเองปลอดภัยแล้ว นางจะสงบใจได้อย่างไร กำลังหลบอยู่บนยอดเขาของนภาอู๋เลี่ยงไกลๆ และเฝ้าสังเกตการณ์ที่นี่

“คนเดียว ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ!” บนยอดเขาไกลๆ มีคนร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนมาทางนี้

เพิ่งจะสิ้นเสียง เหมียวอี้ก็ถลันวูบเข้ามาแล้ว มาเหยียบลงบสทางหินเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากศาลาสิบจั้ง ทั้งตัวสวมเกราะรบสีแดง ถือทวนเกล็ดย้อนไว้ในแนวขวาง สายตาจ้องตรงไปบนตัวฉินเวยเวยที่อยู่ในศาลา เมื่อเห็นรอยเลือดที่มุมปากฉินเวยเวย เขาก็อดไม่ได้ที่จะแยกเขี้ยวยิงฟัน ใบหน้าฉายแววดุร้ายในชั่วพริบตาเดียว

หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ลูกผู้ชายคนหนึ่งเจ็บปวดที่สุด ก็คือยามประสบปัญหาแล้วปกป้องผู้หญิงของตัวเองไว้ไม่ได้

เหมียวอี้ไม่โทษฉินเวยเวยที่ตอนนั้นไม่เชื่อฟังเขา ให้นางหนีไปแต่นางไม่ไป เขาเข้าใจความรู้สึกของฉินเวยเวยในตอนนั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาก็เกรงว่าจะไม่ไปเหมือนกัน เพียงแค้นที่ตอนนั้นตัวเองไปเก็บฉินเวยเวยเข้าในกระเป๋าสัตว์

แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้น ก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกันที่เขาจะเก็บฉินเวยเวยเข้าในกระเป๋าสัตว์ ก่อนที่เขาจะได้ประมือกับเฟิงเป่ยเฉินอย่างเป็นทางการ ตอนที่ยังไม่รู้ระดับความสามารถของเฟิงเป่ยเฉิน มีหรือที่จะกล้าพาฉินเวยเวยมาเสี่ยงอันตรายอยู่ข้างกาย ถ้าตัวเองพลั้งมือขึ้นมา นั่นก็จะเท่ากับทำให้ฉินเวยเวยลำบากไปด้วยแล้ว เขาย่อมต้องดักหลังให้ เพื่อให้ฉินเวยเวยหนีไปก่อน แต่ใครจะคิดว่าฉินเวยเวยเลิกเป็นห่วงเขาไม่ลง ไม่ยอมทิ้งเขาแล้วหนีไป จึงทำให้ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่แบบนี้

เมื่อเห็นเขาปรากฏตัว ฉินเวยเวยก็ตำหนิตัวเองในใจไม่หยุด ต้องโทษที่ตอนนั้นตัวเองไม่เชื่อฟัง ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้

ในศาลา เฟิงเป่ยเฉินที่ลักษณะท่าทางสูงส่งกำลังวางมากสง่าภูมิฐาน ในมือกำลังถือถ้วยน้ำชา แม้แต่หน้าก็ไม่เงยขึ้นมา ร่ายอิทธิฤทธิ์ถามอย่างเนิบนาบว่า “คนของข้าล่ะ?”

เสียงดังก้องน่าเกรงขามอยู่ระหว่างแนวภูเขา

พอเหมียวอี้โบกมือ เหมียวจวินอี๋และลูกสาวที่ผมงามยุ่งสยายก็เผยโฉมออกมาพร้อมกัน เฟิงเป่ยเฉินเงยหน้ามองทันที

โม่หมิงที่อยู่ไม่ไกล ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีสิทธิ์พูดอะไรตรงนี้ ก็คงจะวิ่งออกมาด้วยความร้อนใจแล้ว

พอเห็นเฟิงเป่ยเฉิน เหมียวจวินอี๋ก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าอย่างร้อนใจทันที “ท่านอาจารย์…”

“หืม?” เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูกด้วยความสงสัย แล้วเลิกทวนออกมาจ่อที่บ่านาง “ข้าไม่ได้ให้เจ้าวิ่ง เจ้าจะวิ่งไปไหน? เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วรึไง?”

กลับเป็นโม่จวินหลันที่หันขวับมามองเหมียวอี้ ถามประโยคที่ทำให้เหมียวอี้ปวดหัวอีกครั้ง “เจ้ารู้รึเปล่าว่าศิษย์พี่รองของข้าอยู่ที่ไหน?”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเอ่ยปากถาม แต่เหมียวอี้ปฏิเสธที่จะตอบ สรุปก็คือค่อนข้างปวดหัว ผู้หญิงคนนี้คือคนรักในฝันของเยารั่วเซียนในตอนแรก เขาไม่รู้ด้วยว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเป็นอย่างไร เมื่อได้ยินผู้หญิงคนนี้ถามถึงเยารั่วเซียน เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับนางดี ถ้าเกิดการปะทะขึ้นมาตนจะฆ่าทิ้งหรือจะไม่ฆ่าทิ้งดี?

ถ้าฆ่าทิ้งก็ยากที่จะรับประกันว่าสักวันข่าวจะไม่หลุดไปถึงหูเยารั่วเซียน ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเยารั่วเซียนจะรู้สึกอย่างไร คงจะไม่ปัดความรับผิดชอบไม่ทำงานหรอกใช่มั้ย?

แล้วก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ของเยารั่วเซียน เหมียวอี้ค่อนข้างคิดวนเวียนว่าจะเปิดโปงดีมั้ยว่าโม่จวินหลันคือลูกสาวลับๆ ของเฟิงเป่ยเฉินกับเหมียวจวินอี๋

เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้ยังตอบไม่ได้ โม่จวินหลันก็ถามพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าศิษย์พี่รองของข้าอยู่ที่ไหน?”

มารดาเจ้าเถอะ! เจ้าแต่งงานแล้ว ยังจะพูดเหลวไหลอะไรอีก! เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจนาง แต่จ้องฉินเวยเวยพร้อมถามว่า “เวยเวย พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่มั้ย?”

ฉินเวยเวยส่ายหน้า “ท่านสามี ข้าไม่เป็นอะไร รอบข้างมีคนดักซุ่มมากมาย ท่านไม่ต้องสนใจข้า…” หลี่โม่จินร่ายอิทธิฤทธิ์ใส่กระบี่ที่จ่อบนคอนาง ทำให้นางพูดไม่ได้ทันที

ในบรรดาศิษย์เหล่านั้นของเฟิงเป่ยเฉิน โดยเฉพาะหัวอวี้ ในใจเรียกได้ว่ารู้สึกสะท้อนใจมาก ในปีนั้นเขาก็เป็นหนึ่งในผู้คุมของการปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร เหมียวอี้ในตอนนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย นี่เพิ่งจะผ่านไปกี่ปีเอง ถึงขั้นต้องให้ท่านอาจารย์ออกโรงด้วยตัวเองแล้ว

ส่วนเฟิงเป่ยเฉินก็แอบถ่ายทอดเสียงถามเหมียวจวินอี๋ “จวินอี๋ เจ้าไม่ได้พูดอะไรซี้ซั้วใช่มั้ย?”

เหมียวจวินอี๋รู้อยู่แก่ใจว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร นางถ่ายทอดเสียงไม่ได้ ทำได้เพียงส่ายหน้า บอกใบ้ว่าไม่ได้พูดอะไร

เฟิงเป่ยเฉินโล่งอก “ไอ้จัญไร ปล่อยคนเถอะ” พอเขาเอียงหน้าไปข้างหลัง

หลี่โม่จินก็ย้ายกระบี่วิเศษออกจากคอฉินเวยเวย แล้วผลักหลังฉินเวยเวยหนึ่งที “ไป!”

ฉินเวยเวยก้าวเท้าอย่างโซเซ เดินอออกจากศาลาอย่างช้าๆ

เหมียวอี้กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาเหาะได้ไม่เร็วเท่าเฟิงเป่ยเฉิน ถ้าไม่รอให้ฉินเวยเวยเดินมาถึงระยะที่ใกล้พอให้เขาตอบโต้ เขาก็จะไม่ปล่อยคน ในจุดนี้เฟิงเป่ยเฉินเองก็รู้ จึงวางมาดสูงสง่าต่อไป หยิบน้ำชาขึ้นมาจิงอย่างช้าๆ

รอจนฉินเวยเวยเดินมาจนเหลืออีกครึ่งก้าว เหมียวอี้ถึงได้ยกทวนในมือขึ้น “ไปซะ!”

เหมียวจวินอี๋รีบหันกลับมาแวบหนึ่ง แล้วรีบจูงมือโม่จวินหลันผู้เป็นลูกสาว เร่งฝีเท้าเดินไปทางศาลา

ตอนที่ตัวประกันเดินเฉียดผ่านกัน ก็มองตากันวแวบหนึ่ง ของมีค่าบนตัวทั้งสองถูกรีดไถไปหมดแล้ว แต่สมบัติของเหมียวจวินอี๋และลูกสาวไม่ได้เสียหายเท่าฉินเวยเวยแน่นอน

การแลกตัวประกันราบรื่นมาก ไม่มีการเล่นไม่ซื่ออะไรทั้งนั้น เหมียวอี้เองก็ไม่ได้พูดเปิดโปงเรื่องเน่าเหม็นของเฟิงเป่ยเฉิน ถ้าพูดออกมาตอนที่แลกตัวประกัน แบบนั้นก็โง่แล้ว ถ้าทำให้เฟิงเป่ยเฉินอับอายจนโมโห นอกจากการขู่จะไม่ได้ผล ดีไม่ดีอาจจะส่งผลถึงความปลอดภัยของฉินเวยเวย

“ไม่เป็นไรใช่มั้ย?” พอกลับมาฉินเวยเวยก็โผเข้าอ้อมกอดเหมียวอี้ เหมียวอี้ผลักนางออกแล้วเอ่ยถาม

ฉินเวยเวยน้ำตาคลแล้ว ส่ายหน้าตอบว่า “ไม่เป็นไร…ข้าขอโทษ!”

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว!” เหมียวอี้ลงมือคลายพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวนางที่โดนผลึกไว้

ส่วนอีกด้านหนึ่ง หลังจากหลี่โม่จินร่ายอิทธิฤทธิ์คลายผนึกบนตัวเหมียวจวินอี๋และลูกสาว เฟิงเป่ยเฉินก็วางถ้วยน้ำชาแล้วถามว่า “พวกเจ้าสองแม่ลูกไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

“ไม่เป็นไรค่ะ!” เหมียวจวินอี๋ที่ฟื้นพลังอิทธิฤทธิ์กลับมาเหลือบตามองเหมียวอี้ แล้วกล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “ท่านอาจารย์ ไอ้โจรสุนัขนี่มันวรยุทธ์สูงขึ้นเยอะ ศิษย์ไม่ได้สังเกตจึงพลั้งมือไป…”

เฟิงเป่ยเฉินยกมือห้าม บอกใบ้ให้นางไปยืนข้างหลัง ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ตอนนี้เขาไม่สนใจจะคุยเรื่องนี้ เขาลุกขึ้นยืนแล้วเช่นกัน เอามือไขว้หลังเดินไปข้างศาลา แล้วกล่าวพร้อมแสยะยิ้ม “ใจกล้าไม่เบา กล้ามาคนเดียว”

เหมียวอี้ตบบ่าฉินเวยเวย ครั้งนี้เก็บนางเข้ากระเป๋าสัตว์ไปก่อน จากนั้นถือทวนในแนวเฉียง พร้อมกล่าวเหน็บแนม “ไอ้ขี้แพ้ที่หนีหัวซุกหัวซุน ดีแต่เอาผู้หญิงมาขู่ ไม่พอให้ข้ากลัวหรอก!”

เฟิงเป่ยเฉินหน้าบึ้งลงเล็กน้อย “ไอ้จัญไร เอาของในมือมาเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะให้โอกาสเจ้ารอดชีวิตไปสักครั้ง!”

เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “ส่งมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงมา ข้าก็สามารถฆ่าเข้าได้เหมือนกัน!”

ในมือเขามีมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดิน เคล็ดวิชาที่ขาดหัวขาดหางแบบนี้ไม่มีทางฝึกได้ ต้องนำเคล็ดวิชาภาคคนในมืออีกฝ่ายมาก่อนถึงจะใช้ได้

ไม่น่าเชื่อว่าจะอยากได้เคล็ดวิชาฝึกตนของตน เฟิงเป่ยเฉินทั้งโมโหทั้งอยากขำ พ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์จริงๆ!”

พอพูดจบ สองมือที่ไขว้หลังก็พลันปล่อยออกมา กระบองไม้ขนาดใหญ่สองด้ามอยู่ในมือ แล้วพุ่งเข้าไปหาเหมียวอี้

ป้องกันเขาไว้ตั้งนานแล้ว! พอเหมียวอี้โบกมือ กระบี่เล็กเพลิงจิตร้อยเล่มก็ยิงซวบๆ ออกมา

เฟิงเป่ยเฉินตกใจทันที สิ่งนี้คืออะไรกัน? ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็น ไม่รู้ลึกตื้น จึงไม่กล้าประมาท จึงรีบหยุดอยู่กับที่แล้วโบกกระบองป้องกันกระบอง!

เสียงดังฉึกๆ พักหนึ่ง กระบี่เล็กเพลิงจิตที่โจมตีบนกระบองไม้ ‘รอยจุดเลือด’ ระเบิดออก

ยังนึกว่าเป็นอาวุธที่ร้ายกาจอะไรเสียอีก อานุภาพการโจมตีมันก็เท่านี้นเอง! เฟิงเป่ยเฉินเพิ่งจะแอบโล่งใจ ลูกตาสองข้างแทบจะถลนออกมา เขาเบิกตากว้าง มองดูกระบองไม้ที่อยู่ในมือด้วยความเหลือเชื่อ

เห็นเพียงเปลวเพลิงล่องหนที่สีเหมือนน้ำกำลังครอบและเผาไหม้บนกระบองไม้ใหญ่ทั้งคู่ เผาจนกระบองไม้บิดเบี้ยวและหดลงอย่างรวดเร็ว เฟิงเป่ยเฉินที่ค่อนข้างทำอะไรไม่ถูกรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ดับไฟ แต่ใครจะคิดว่าเปลวเพลิงล่องหนนี้จะประหลาดมาก ไล่ไฟได้แค่พื้นผิวภายนอก แต่ไฟที่เผาเข้าไปในกระบองไม้กลับไม่มีทางดับได้

ส่วนเปลวเพลิงล่องหนที่ถูกไล่ไปแล้วก็ยังถูกเหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมอยู่ มันก่อตัวกันอย่างรวดเร็วอีกครั้ง แล้วระเบิดยิงไปที่เขา

ในขณะเดียวกันนี้เอง เหมียวอี้โบกทวนโจมตีเข้ามา “เฒ่าจัญไร! รับความตายซะ!”

เฟิงเป่ยเฉินตกใจจนหน้าถอดสี ยกกระบองใหญ่สองด้ามที่กำลังเผาไหม้ขึ้นมาป้องกันกระบี่เล็กเพลิงจิตอีกครั้ง แต่กลัวว่าไฟจะมาถึงตัวเอง จึงโยนทิ้งไปเสียเลย

อาวุธเหมาะมือที่ต้องใช้ความพยายามกว่าจะทำออกมาได้ ตอนนี้ทำได้เพียงโยนทิ้งไปแบบนี้แล้ว จึงรีบเหาะขึ้นฟ้าหลบหนีทันที พร้อมตะโกนว่า “ขวางเขาไว้!”

เมื่อเห็นท่านอาจารย์หลบหนี หลี่โม่จินและคนอื่นๆ ก็ตกใจจนเหม่อค้าง ราวกับกำลังถามว่า ต่อให้สู้กับปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนก็ยังไม่เล่นใหญ่ขนาดนี้เลยมั้ง?

 

1104

บทที่ 1105 หกปราชญ์ออกมาพร้อมกัน

ไม่ผิดหรอก! ตอนสู้กับปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน เฟิงเป่ยเฉินก็ไม่จำเป็นต้องหนีไปตั้งแต่ก่อนจะเจอหน้า อย่างน้อยก็ได้สู้กันนิดหน่อย มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน

แต่ลูกศิษย์พวกนี้ไม่รู้ว่าทวนวิเศษในมือเหมียวอี้แหลมคมขนาดไหน เหมียวอี้ไม่ปะทะกับมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเขาเลย แค่แทงทวนออกมาตรงๆ ก็พอ เฟิงเป่ยเฉินหาอะไรมาป้องกันไม่ได้แล้วจริงๆ ขนาดงานช่างไม้ก็ทำมาแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังต้านทานไม่ไหว ถ้าไม่หนีแล้ววจะยังทำอะไรได้อีก

ท่านอาจารย์ที่เมื่อครู่นี้ยังเป็นผู้สูงส่งเยือกเย็นราวกับอยู่เหนือโลก ชั่วพริบตาเดียวก็ฉุกละหุกหนีไปแล้ว กลุ่มลูกศิษย์รับความจริงข้อนี้ได้ยากจริงๆ โดยเฉพาะเหมียวจวินอี๋ที่อยู่ในฐานะตัวประกันที่หลุดออกมาได้ มาถึงข้างกายอาจารย์แล้วนึกว่าจะมีที่ให้พึ่งพิง ตอนนี้กลับตกตะลึงอ้าปากค้าง เหม่อค้างแล้ว!

กำลังพลของนภาอู๋เลี่ยงที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ ก็งงเหมือนกัน ท่านปราชญ์หนีไปจริงๆ เหรอ? ทั้งยังสั่งให้พวกลูกน้องขวางไว้ให้อย่างโจ่งแจ้งอีกเหรอ?

รอจนพวกเขาได้สติกลับมา เหมียวอี้ก็โบกมือเก็บเพลิงจิตแล้ว ไม่สนใจทหารเล็กๆ พวกนี้เลย เขาพุ่งตัวขึ้นฟ้าไปโดยตรง การไล่สังหารเฟิงเป่ยเฉินต่างหากที่สำคัญที่สุด

ที่จริงในใจเหมียวอี้ก็กำลังด่าเหมือนกัน มากดาเจ้าเถอะ หนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าน่าเกรงขาม ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีท่วงท่าที่สง่างามเลยสักนิด อย่างน้อยเจ้าก็ต้องแข่งกับข้าสักสองสามท่าสิ พอเห็นหน้าแล้วหนีมันใช่เรื่องเหรอ?

ถ้าเฟิงเป่ยเฉินรู้ว่าเขาคิดแบบนี้จะต้องโมโหจนกระอักเลือดแน่ จะให้ข้าเอาอะไรมาแข่งกับเจ้าล่ะ? จะให้เอาชีวิตมาแข่งเหรอ?

“หลิงเทียน!” เหมียวอี้ที่พุ่งพรวดขึ้นข้างบนตะโกนเรียก โบกมือเรียกหลิงเทียนออกมาจากกระเป๋าสัตว์

พอหลิงเทียนที่สวมชุดผ้าแพรสีม่วงปรากฏตัว ก็โบกแขนสองข้าง ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นสาม ถึงแม้ตัวจะอยู่ที่พิภพเล็ก แต่พวกพี่น้องที่ไปพิภพใหญ่ก็ไม่ได้ลืมเขา กอปรกับอวิ๋นจือชิวนำของขวัญมามอบให้ทุกปี วรยุทธ์เลื่อนจากบงกชทองขั้นสองเป็นขั้นสามแล้ว

ตอนนี้พอออกมาจากกระเป๋าสัตว์ ก็กางแขนสองข้างหมุนวนขึ้นบนฟ้าอย่างรวดเร็ว ปราณปีศาจลอยออกมาจากตัว ระเบิดแสงสีทองออกมา ร่างกายระเบิดเป็นเงามายา ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นเหยี่ยวม่วงรูปร่างใหญ่หลายจั้งตัวหนึ่ง มีขนสีม่วง มีเท้าและปากสีทอง สายตาคมกริบมีแวว ส่งเสียงร้องของเหยี่ยวดังก้องสะท้านฟ้า

การกลับคืนร่างเดิมและร่ายอิทธิฤทธิ์บิน เขาถึงจะสามารถแสดงความสามารถในการบินได้เร็วที่สุด เพียงแต่พลังโจมตีกลับอ่อนแอแล้ว สาเหตุเป็นเพราะรูปร่าง บอกได้เพียงว่ามีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกันไป พรตปีศาจบางคนก็มีพลังโจมตีร้ายกาจยิ่งขึ้นเมื่อกลับร่างเดิม

หัวเหยี่ยวขนาดมหึมาเงยขึ้นฟ้า ขนนกสีม่วงกะพริบรัศมีสีโลหะ พอตาเหยี่ยวที่เป็นประกายเห็นเหมียวอี้พุ่งขึ้นฟ้า เขาก็กระพือปีก ทำให้เกิดลมคลั่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพุ่งขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูง สมกับชื่อ[1]ของเขา ช่างมีพลังอำนาจยามทะยานขึ้นฟ้าจริงๆ

พอพุ่งขึ้นฟ้าและใช้แผ่นหลังยันสองเท้าของเหมียวอี้ ก็ตีปีกติดต่อกันหลายครั้ง บนฟ้าเกิดเงามายาสีม่วงสายหนึ่ง ไล่ตามเฟิงเป่ยเฉินที่กำลังหลบหนี

ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะไม่ได้เห็นว่าเหมียวอี้โจมตีเฟิงเป่ยเฉินให้หลบหนีได้อย่างไร แต่เมื่อได้เห็นเฟิงเป่ยเฉินลนลานหลบหนีกับตา ก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมแล้ว อยู่ภายใต้การข่มของหกปราชญ์ รู้สึกเคียดแค้นเต็มที่แล้วจริงๆ

พวกหลี่โม่จินที่อยู่ข้างล่างรีบเหาะขึ้นฟ้าไล่ตามไป นักพรตระดับต้านทอากาศนับร้อยที่วางกำลังอยู่รอบๆ ก็เหาะขึ้นฟ้าตามไปเช่นกัน

ท่านปราชญ์ถูกคนไล่สังหาร ไม่สนว่าจะช่วยได้หรือช่วยไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ แต่อย่างน้อยก็ต้องทำพอเป็นพิธี หากท่านปราชญ์ไม่เป็นอะไรขึ้นมา แบบนั้นก็จะแย่แล้ว

แม้แต่โม่หมิงก็ยังดึงโม่จวินหลันให้ตามไปประสมโรงด้วย ฉินซีที่ค่อนข้างเป็นห่วงผลลัพธ์ก็เหาะออกมาจากที่ซ่อนตัวเช่นกัน

แม้แต่กระบองไม้ใหญ่คู่เดียวยังเอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ เฟิงเป่ยเฉินนับว่าเข้าใจแล้วว่าตัวเองทำอะไรเหมียวอี้ไม่ได้เลย ความคิดที่จะฮุบผลประโยชน์ไว้คนเดียวดับสูญไปแล้ว กำลังเตรียมจะหนีตายไปหาเพื่อนบ้าน หนีไปหาปราชญ์พุทธะฉางเหลย

ทว่ายังไม่ทันได้หนีไปไกล ก็เห็นเหมียวอี้ขี่สัตว์เทพที่เชี่ยวชาญเรื่องการบินไล่ตามมา ด้วยความเร็วแบบนั้น แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าหนีไม่พ้น ได้แต่มองดูทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กันอย่างรวดเร็ว เขาค่อนข้างงงเหมือนกัน ประเด็นสำคัญคือเขาสามารถนำสมบัติทั้งหมดของตัวเองออกมาได้ แต่ไม่มีสมบัติชิ้นไหนที่สามารถต้านทานอาวุธในมือเหมียวอี้ได้เลย ศึกนี้ไม่มีทางสู้ได้เลย!

เขาพลิกตัว พลันดิ่งลงด้านล่างโดยใช้หัวลง ตอนที่ใกล้จะถึงพื้น ก็พลันชกหมัดออกมาหนึ่งที

บึ้ม เรียกได้ว่าภูเขาทลายแผ่นดินแยก ต้นไม้ใบหญ้าปลิววุ่นวาย หินดินพุ่งขึ้นฟ้าอย่างมโหฬารพันลึก เขากางแขนสองข้างพุ่งเข้าไป หินดินที่พุ่งขึ้นฟ้าชนเหมียวอี้ที่ไล่ตามมา

ใช้มุกนี้อีกแล้ว! เหมียวอี้ปวดหัวนิดหน่อย โบกทวนฟันหนึ่งที ทำให้หินดินก้อนใหญ่ที่พุ่งเข้ามาชนหมุนวนเป็นระลอกคลื่น แต่ชั่วพริบตาเดียวรอบข้างก็มืดลง หินดินที่อยู่ทั่วสารทิศปกคลุมเขาเอาไว้ในชั่วพริบตาเดียว ท้องฟ้าราวกับมืดลงในฉับพลัน

สู้ตอนแรกที่อยู่ชายฝั่งทะเลไม่ได้ ในแนวก้อนน้ำยังมีแสงสว่าง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นมืดจนกางมือไม่เห็นนิ้วทั้งห้าแล้ว

พรึ่บ! เพลิงเดือดระเบิดขึ้นมาบนตัวเหมียวอี้ ส่องแสงสว่างรอบข้างแล้ว บินร่อนชนดินหินไปทั่วทุกที่ เหยี่ยวม่วงที่อยู่ใต้เท้ากำลังพยายามร่ายอิทธิฤทธิ์กระพือปีก โบกพัดหินดินให้ปลิวไป แบกเหมียวอี้บุกชนไปทางนั้นทีทางนี้ที แต่เหมือนจะไม่มีวันหาปลายทางพบเลย

หลิงเทียนที่อยู่ใต้เท้าเอ่ยว่า “คุณชายห้า! แย่แล้ว พวกเราติดอยู่ในโลกไร้ขอบเขต!”

“ข้ารู้แล้ว! รอให้ข้าฝ่าไปได้ก่อน!” เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งถือทวนระแวดระวังรอบด้าน แล้วใช้สองนิ้วของมืออีกข้างแตะตรงหว่างคิ้วตัวเอง

ในปีนั้นตอนที่เขาประมือกับเฟิงเสวียน ของเฟิงเสวียนนั้นฝ่าได้ง่าย สาเหตุหลักเป็นเพราะเฟิงเสวียนไม่ได้รับสิ่งที่ล้ำค่าจริงๆ ของเฟิงเป่ยเฉิน อีกทั้งพลังอิทธิฤทธิ์ยังไม่แข็งแกร่งพอ แต่วรยุทธ์ของเฟิงเป่ยเฉินนั้นไม่เหมือนกัน

ส่วนเฟิงเป่ยเฉินในตอนนี้ ในที่สุดก็ได้โล่งใจแล้ว กำลังยืนอยู่บนพื้นที่ถูกเขาร่ายอิทธิฤทธิ์ขูดผิวดินไปหลายชั้น ขณะที่กำลังควบคุมพายุหมุนที่ปนด้วยหินดิน มืออีกข้างก็หยิบระฆังดาราออกมาร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่า

พอเขน่าเสร็จหนึ่งอัน ก็หยิบอีกอันมาเขย่าต่อ

ในเมื่อเหมียวอี้ต้องการจะไล่ตามเขาไม่ยอมปล่อย เช่นนั้นเขาก็ยอมแลกทุกอย่างแล้ว ไม่ฮุบของเอาไว้คนเดียวแล้ว ให้ทุกคนมาแบ่งกันก็ได้ ไม่สนใจด้วยว่าจะเสียหน้าหรือไม่เสียหน้า ยังดีกว่ารักษาชีวิตไว้ไม่ได้เป็นไหนๆ

ณ นภาจอมมาร เมฆมารที่พัดม้วนปกคลุมอยู่เหนือหลังคาของตำหนักจอมมารราวกับร่มฉัตรถูกเก็บกลับไปแล้ว ประตูตำหนักพลันเปิดออก เงาคนคนหนึ่งถลันออกมายืนเงียบๆ อยู่บนบันไดนอกประตู

ผมดำขลับดุจน้ำหมึกของเขาปกคลุมสยายไปด้านหลัง ยาวลงไปถึงเอว มีคิ้วกระบี่ดกดำและมีจอนยาวสองข้าง แววตาเป็นประกายดุร้ายน่าตกใจ จมูกเหมือนถุงน้ำดี ริมฝีปากหนาไร้หนวดเครา หน้าตาดูทรงพลัง แขนสองข้างเผยกล้ามเนื้อราวกับเป็นตะปุ่มตะป่ำ สวมเสื้อเกราะแขนกุดสีดำ ขากางเกงยาวแค่เข่า กำลังยืนเปลือยเท้า

ลักษณะทรงพลัง มีความน่าเกรงขามในตัวเอง ปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน!

เงาสีขาวถลันเข้ามา ตาเฒ่าเฉียวที่แต่งตัวเป็นระเบียบเรียบร้อย  ผมขาวชุดขาว บนใบหน้ามีรอยยิ้มลึกลับอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเขา โค้งกายเล็กน้อยพร้อมถามว่า “นายท่าน เป้นอะไรไปขอรับ?”

“เหมียวอี้กับเฟิงเป่ยเฉินสู้กันแล้ว เฟิงเป่ยเฉินสู้ไม่ไหว ขอกำลังเสริมจากข้า!” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวเสียงเรียบ

ในที่สุดตาเฒ่าเฉียวก็ยิ้มไม่ออกแล้ว ถามอย่างตกใจว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร?”

“เจ้าเฝ้าบ้าน ข้าจะออกไปดูสักหน่อย!” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวเสียงเรียบ ผมยาวที่คลุมหลังพลันปลิวสะบัดโดยไร้ลม ทั้งตัวหายไปจากที่เดิมในฉับพลัน

ตาเฒ่าเฉียวเงยหน้ามองท้องฟ้า ไม่เห็นเงาร่างของอวิ๋นอ้าวเทียน เห็นเพียงเมฆมารที่พัดม้วนกลุ่มหนึ่งลอยไปทางเส้นขอบฟ้าด้วยความเร็วสูง

เนื่องจากปัญหาด้านระยะทาง อวิ๋นจือชิวในตอนนี้ยังอยู่ระหว่างทาง ยังไม่ถึงนภาจอมมาร

สำหรับอวิ๋นจือชิว เรื่องที่เดิมทีกำชับกับเหมียวอี้ไว้อย่างดีแล้ว ถ้ารอให้กำลังคนมากันครบก่อน ต่อให้รอประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรมาครบแล้วค่อยลงมือ เฟิงเป่ยเฉินก็ไม่มีโอกาสส่งข่าวขอความช่วยเหลืออยู่ดี

ต่อให้เหมียวอี้จะบอกว่าตัวเองอยู่ห่างจากนภาอู๋เลี่ยงไกลมาก ถ่วงเวลาเฟิงเป่ยเฉินได้นิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำแบบนี้ ทว่าเหมียวอี้ดันบุ่มบ่ามลงมือไปแล้ว ทำแผนพังในรวดเดียว ทำเอาอวิ๋นจือชิวมาห้ามอวิ๋นอ้าวเทียนที่นภาจอมมารไม่ทัน

แต่สำหรับเหมียวอี้ ถ้าเป็นเรื่องที่มีความมั่นใจสักส่วนเดียว เขาก็สามารถลองทำได้เสมอ มิหนำซ้ำยังมั่นใจด้วยว่าสามารถสู้กับเฟิงเป่ยเฉินได้ ผู้หญิงของตัวเองตกอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่สำคัญเท่าการช่วยชีวิตฉินเวยเวยออกมาก่อน ถ่วงเวลานิดหน่อยก็พอไหว แต่คงไม่ดีที่จะปล่อยให้ฉินเวยเวยได้รับความทรมานทางร่างกาย

กอปรกับพวกอวิ๋นจือชิวปิดบังแผนการนี้กับเหมียวอี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้ถึงความหนักเบาของเรื่องราว เหมียวอี้จะถ่วงเวลาต่อไปได้อย่างไร นิสัยเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ช่วยชีวิตฉินเวยเวยก่อนแล้วค่อยว่ากัน…

แดนโพ้นสวรรค์ มู่ฝานจวินกำลังนั่งฝึกตนอยู่ที่ห้องสมาธิของตำหนักเก้าชั้นฟ้า นางคว้าระฆังดาราเอาไว้ แล้วขมวดคิ้วพึมพำว่า “หยางชิ่งเพิ่งจะออกไป ทำไมเฟิงเป่ยเฉินมาขอกำลังเสริมแล้ว? ลงมือเร็วขนาดนี้เลยเหรอ แผนการของคนพวกนี้มีปัญหาอะไรรึเปล่า?”

นางถลันตัวออกจากเตียงหยก นางถลันตัววกวนอยู่ในตำหนักเก้าชั้นฟ้าพักหนึ่ง แล้วพุ่งขึ้นฟ้าไฟ อยากจะไปดูสถานการณ์สักหน่อย

นภาหมื่นปีศาจ ประตูใหญ่ของตำหนักเก่าแก่โบราณที่กว้างใหญ่ไพศาลเปิดออก ขณะที่ปราณปีศาจพรั่งพรูออกมา ก็ได้พ่นชายชราใบหน้าตึงเหมือนแม่พิมพ์และไว้หนวดยาวทรงเลขแปดจีน[2]ออกมาคนหนึ่ง บนศีรษะสวมมงกุฎสีทอง ทั้งตัวสวมชุดผ้าแพรสีเงิน เขาคือปราชญ์ปีศาจจีฮวน

ทันใดนั้น ปราณปีศาจก็หดกดลับเข้าไปในแขนเสื้อของเขาอย่างรวดเร็ว หายหมดเกลี้ยงในชั่วพริบตาเดียว จีฮวนสะบัดแขนเสื้อสองข้าง แล้วกลายเป็นภาพมายาหายไปที่เส้นขอบฟ้า

แดนสุขาวดี เงาคนคนหนึ่งแฉลบขึ้นมาจากด้านล่าง ตอนนี้กำลังลอยอยู่บนฟ้า คนผู้นี้สวมจีวรสีทองระยิบระยับทั้งตัว อ้วนเตี้ยผิวขาว หน้าอ้วนหูใหญ่ ใบหน้าเปล่งปลั่งมีเลือดฝาด บนใบหน้าอมยิ้มอย่างมีเมตตากรุณาอยู่เสมอ ปราชญ์พุทธะฉางเหลย

หลังจากก้มมองดินแดนที่ปราศจากโลกีย์เบื้องล่าง ฉางเหลยก็ประนมมือกล่าวว่า “อามิตาพุทธ” แล้วสะบัดแขนเสื้อต้านอากาศเหาะออกไป

นภาหยินหยาง ในแอ่งกระทะขนาดใหญ่ที่มีหมู่ขุนเขาล้อมรอบ ทุกที่มีแต่ภูเขาหินสูงตระหง่านที่วังเวงหนาวเหน็บ ในภูเขาเตี้ยลูกหนึ่งที่มีโพรงเล็กๆ อยู่มากมายราวกับเป็นปูยักษ์ จู่ๆ ก็มีปราณหยินพ่นออกมาจากโพรงนับไม่ถ้วน

ราวกับสัตว์ร้ายอ้าปาก ตรงปากถ้ำหลักที่สลักรูปกลุ่มผีเอาไว้ รูปร่างสูงผอมของปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวถูกหุ้มไว้ด้วยชุดคลุมสีดำ บนใบหน้าสวมหน้ากากผีสีขาว มองไม่เห็นหน้าตาที่ชัดเจน ตอนนี้เขากำลังก้าวเดินช้าๆ เคลื่อนย้ายรองเท้ายาวทรงกระบอกสีดำพื้นขาวออกมาเงียบๆ ท่ามกลางปราณหยินที่เย็นเยียบ พอออกจากปากถ้ำ เขาก็สะบัดชุดคลุมยาว ปราณหยินกระเพื่อมไปสี่ทิศ ร่างพุ่งขึ้นฟ้าออกไปแล้ว…

หลังจากติดต่อกับห้าปราชญ์เรียบร้อยแล้ว เฟิงเป่ยเฉินที่เก็บระฆังดาราก็เหยียบบนดินก้อนใหม่ที่ถูกขูดหน้าดินออกไปหลายชั้น โบกมือชี้ไปบนฟ้าไกลๆ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์หัวเราะอย่างชั่วร้าย “ไอ้เหมียวจัญไร! วันนี้คือวันตายของเจ้า!”

บนท้องฟ้า ท่ามกลางหินดินที่ม้วนกลิ้งปิดบังฟ้าบังตะวัน เหมียวอี้แสยะยิ้มถามมาว่า “เฒ่าจัญไร อาศัยแค่เจ้าน่ะเหรอ?”

เฟิงเป่ยเฉินหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ไอ้จัญไร อย่าลืมนะว่าใต้หล้านี้เป็นของใคร! นี่คือใต้หล้าของหกปราชญ์! ทวนวิเศษของเจ้าคมใช้ได้เลย แต่ก็ใช่ว่าจะใช้ได้ผลกับทุกคน ต่อให้เป็นอาวุธที่คมกว่านี้ แต่ถ้าสู้กับอวิ๋นอ้าวเทียน ซือถูเซี่ยว จีฮวนไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกประเดี๋ยวข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะร้องไห้อย่างไร!”

พวกหลี่โม่จินที่อยู่รอบๆ เห็นท่านอาจารย์คุมสถานการณ์ได้แล้ว ก็โล่งใจในใจทันที ฉินซีที่อยู่ไกลๆ เพียงลำพังแอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว ร้อนใจราวกับมีไฟเผา แต่อาศัยวรยุทธ์อย่างนาง ต่อให้พุ่งเข้าไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ นางเข้าใจเฟิงเป่ยเฉินดีเกินไป ตอนนี้ต่อให้นางคุกเข่าจอร้องก็ไม่มีปะรโยชน์

หลิงเทียนกำลังตีปีกอย่างบ้าคลั่งเพื่อโจมตีหินดินที่พุ่งเข้ามามาในโลกไร้ขอบเขต เมื่อได้ยินดังนั้นก็ตกใจทันที ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “แย่แล้ว! เฟิงเป่ยเฉินต้องติดต่อพวกอวิ๋นอ้าวเทียนแล้วแน่ๆ พวกเราต้องคิดหาทางออกไป ไม่อย่างนั้นจะยุ่งยากมาก”

“ยุ่งยากเหรอ?” เหมียวอี้ทำสีหน้าเย้ยหยัน “ข้าจะทำให้ไอ้เฒ่าเฟิงมันร้องไห้สักรอบก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”

…………………………

[1] หลิงเทียน 凌天 แปลว่าทะยานขึ้ฟ้า

[2] หนวดเลขแปดจีน 八 หรือทรงหนวดคอนนาเซอร์

 

1105

 

บทที่ 1106 เอาชีวิตมา!

หลิงเทียนไม่รู้ว่าเขาจะทำให้เฟิงเป่ยเฉินร้องไห้ได้อย่างไร

เหมียวอี้ถามเสียงดังว่า “เฒ่าจัญไร! เจ้าอยากได้ของบนตัวข้า แต่ไม่เสียดายที่จะแบ่งกับคนอื่นงั้นเหรอ?”

คำถามนี้ทำให้เฟิงเป่ยเฉินกลุ่มใจแล้ว เขาอยากทำแบบนั้นรึไง? เขาก็ไม่อยากทำเหมือนกัน! ในใจเรียกได้ว่าคับแค้น แต่ปากก็ยังบอกว่า “งั้นตอนนี้เจ้าก็ส่งของมาเสียดีๆ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป!”

เหมียวอี้หัวเราะลั่นแล้วบอกว่า “ในเมื่อเจ้าไม่อยากเก็บไว้คนเดียว งั้นเหมียวคนนี้ก็จะไม่เก็บไว้คนเดียวเหมือนกัน จะแบ่งปันเรื่องที่น่าสนใจให้ทุกคนรู้สักหน่อย เฒ่าจัญไรอยากฟังมั้ยล่ะ?”

เฟิงเป่ยเฉินแอบเกิดความระแวดระวังในใจ “เรื่องอะไร?”

เหมียวอี้ยิ้มพร้อมบอกว่า “ได้ยินว่าเหมียวจวินอี๋ลูกศิษย์เจ้า เวลาจะปรนนิบัติอาจารย์ก็ถึงขั้นต้องเปลื้องผ้ากันเลยเหรอ เฒ่าจัญไร รสชาติเวลาได้นอนกับลูกศิษย์ตัวเองเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

เมื่อพูดมาแบบนี้ ทุกคนก็ตกตะลึงมาก

โม่หมิงที่อยู่ไกลๆ ก็ตกใจเช่นกัน มองไปที่เหมียวจวินอี๋โดยจิตใต้สำนึก พบว่าเหมียวจวินอี๋หน้าซีดลงในชั่วพริบตาเดียว

คนที่มองเหมียวจวินอี๋เช่นเดียวกันก็คือโม่จวินหลันลูกสาวของตน สายตาของโม่จวินหลันฉายแววหวาดกลัว เพราะนางพบว่าผู้เป็นพ่อกำลังมองนางด้วยสายตาสงสัย!

เฟิงเป่ยเฉินตะลึงค้างนิดหน่อย โมโหจนแทบกระอักเลือดออกมา คำรามอย่างบ้าคลั่งว่า “ไอ้จัญไร อย่ามาพูดจาเหลวไหลไร้สาระ!”

“พูดจาเหลวไหลเหรอ? นี่ลูกศิษย์เจ้าพูดเองนะ เฒ่าจัญไรไร้ยางอายอย่างเจ้าน่ะ ก็พอใช้ได้จริงๆ นั่นแหละ มีลูกศิษย์หญิงสองคน ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ปล่อยไปเลยสักคน ช่างเป็นเรื่องประหลาดที่หาพบได้ยากในสังคมจริงๆ!” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ

หลิงเทียนก็ตกตะลึงแล้วเช่นกัน ถ่ายทอดเสียงถามว่า “คุณชายห้า จริงหรือหลอกเนี่ย?”

“จริงจนไม่รู้จะจริงยังไงแล้ว” เหมียวอี้ตอบ

เฟิงเป่ยเฉินหันขวับไปมองเหมียวจวินอี๋ แววตานั้นดุดันไร้ที่สิ้นสุด ทำท่าทางเหมือนอยากจะกินเหมียวจวินอี๋ให้ได้

เหมียวจวินอี๋หวาดกลัวแล้ว ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ไปรู้ความลับสุดยอดนี้มาจากไหน ดูจากท่าทางของอาจารย์ก็เหมือนจะเข้าใจตนผิดแล้วจริงๆ จึงรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนบอกว่า “ไอ้เหมียวจัญไร อย่ามาพูดจาเหลวไหล! ท่านอาจารย์ ไอ้จัญไรนี่มีเจตนาร้าย กำลังยั่วยุให้ท่านโมโห จะได้ถือโอกาสหนีไปง่ายๆ!”

“ข้าจะไม่รู้ถึงเจตนาของเขาได้ยังไง! “เฟิงเป่ยเฉินรีบจบสถานการณ์ลงด้วยดี หัวเราะเจ้าเล่ห์แล้วบอกว่า “เฟิงคนนี้ก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษคนดีอะไร ไอ้เหมียวจัญไร อนุภรรยาของเจ้าน่ะ เวลาถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้วรูปร่างก็ไม่เลวเลยจริงๆ ผิวเนื้อขาวละเอียดอ่อน มีส่วนเว้าส่วนโค้ง ข้างหน้านูนข้างหลังงอน เสียงครางออดอ้อนตอนปรนนิบัติอยู่ใต้หว่างขาข้า มันทำให้ตาแก่คนนี้ยังจำรสชาติได้ไม่รู้ลืม หลังจากเจ้าตายแล้ว ข้าจะไม่ฆ่านางหรอก! แต่จะว่าไปแล้ว คนอย่างเจ้าก็ไม่ถือสาอยู่แล้วนี่ ถึงอย่างไรไอ้จัญไรอย่างเจ้าก็มีนิสัยชอบเก็บรองเท้าขาด[1]ของคนอื่นอยู่แล้ว รองเท้าขาดบ้านข้า ใช่ว่าเจ้าจะเก็บเป็นครั้งแรกเสียเมื่อไร คนในใต้หล้าเขารู้กันหมด คู่เดียวก็ใส่ได้ สองคู่ก็ใส่ได้อยู่ดี ไอ้จัญไรมันรสนิยมมีระดับ ไม่ถือสาอยู่แล้ว!”

อะไรที่เรียกว่า ฆ่าศัตรูไปหนึ่งพันแต่ตัวเองเสียหายแปดร้อย? แบบนี้ไงล่ะ!

พอเฟิงเป่ยเฉินพูดโต้กลับ ก็ทำให้เหมียวอี้โมโหจนแทบกระอักเลือด เขาอยากจะเปิดโปงเรื่องที่โม่จวินหลันเป็นลูกสาวของเฟิงเป่ยเฉินจริงๆ แต่สุดท้ายก็ยังข่มกลั้นเอาไว้ เห็นแก่หน้าเยารั่วเซียน เป็นความแค้นระหว่างตนกับเฟิงเป่ยเฉิน จึงไม่ผลักโม่จวินหลันลงหลุมแห่งความตาย!

พวกหลี่โม่จินที่อยู่รอบข้าง เมื่อได้ยินแบบนั้นก็จงใจหัวเราะลั่นเสียงดัง เสริมอำนาจให้อาจารย์ตัวเอง!

แต่ฉินซีที่ดูอยู่ไกลๆ กลับสีหน้าเปลี่ยนทันที มองเฟิงเป่ยเฉินด้วยแววตาดุร้ายมาก วันนี้ทุกคนที่นี่ต้องตายกันให้หมดเท่านั้น ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของฉินเวยเวยก็นับว่าป่นปี้ย่อยยับแล้ว คนในโลกนี้มักจะไม่เชื่อความจริง แต่กลับสนใจข่าวลือที่พูดกันตามอำเภอใจ โดยเฉพาะข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง เพราะความสัมพันธ์แบบนี้วุ่นวายที่สุด ทำให้คนเชื่อได้ง่ายที่สุดว่าเป็นความจริงๆ ด้วยเหตุนี้ ‘มาร’ ประเภทนี้จึงมีอยู่ในใจคนทุกคน!

ต่อให้วันนี้เหมียวอี้ผ่านด่านนี้ไปได้ แต่ฉินซีก็กังวลว่าลูกสาวตัวเองจะยืนอยู่ต่อหน้าเหมียวอี้ได้อย่างไร ในภายหลังจะเผชิญหน้ากับคำตำหนิของคนในสังคมได้อย่างไร

“เฒ่าจัญไร ไม่ต้องเบี่ยงเบนความสนใจโดยการสาดโคลนใส่ผู้หญิงของข้าหรอก เรื่องเน่าเหม็นระหว่างเจ้ากับลูกศิษย์ ข้ายังพูดไม่หมดเลยนะ หมายความว่าอะไรเจ้าเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ข้าขี้เกียจจะเปลืองน้ำลายกับเจ้า เอาชีวิตมาก็พอ!” เหมียวอี้หัวเราะเย้ย

“ยังกล้าปากแข็ง…” เฟิงเป่ยเฉินยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ก็หันหลังไป

ซวบๆ! ตั๊กแตนห้าตัวโผล่มากะหันทัน บินเรียงเป็นหน้ากระดานเข้ามาด้วยความเร็วสูง พวกหลี่โม่จินตกใจทันที นี่มันตัวอะไรกัน?

“สกัดไว้!” เฟิงเป่ยเฉินตวาดสั่ง

กลุ่มนักพรตที่ตามมารีบดักไว้ แต่กลับมีเสียงกรีดร้องดังเป็นแถบ แขนขาฉีกขาดปลิวว่อน กรงเล็บแหลมคมของตั๊กแตนห้าตัวพุ่งสังหารจนเกิดเป็นทางเลือด ไม่แยแสอาวุธของกลุ่มนักพรตที่ฟันโจมตีบนกระดองเกราะอันแข็งแกร่งเลย พวกมันจู่โจมอย่างรวดเร็วมาก ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตบงกชม่วงและบงกชแดงพวกนั้นจะต้านทานไหว

หลี่โม่จิน ฟู่หยวนคังและเหมียวจวินอี๋ ถึงแม้พวกเขาระหวาดระแวงกลัว แต่ก็ยังรีบพุ่งเข้ามาดัก กัวเหรินกวงและหัวอวี้มีเพียงวรยุทธ์บงกชม่วง ยังไม่ถึงระดับบงกชม่วง ได้เห็นอานุภาพการบุกสังหารของตั๊กแตนกับตาตัวเอง จึงไม่กล้าเข้าใกล้

รอจนตั๊กแตนโผล่มาแล้วค่อยไปดัก ก็ค่อนข้างสายไปเสียแล้ว กอปรกับความเร็วของตั๊กแตน ชั่วพริบตาเดียวมาถึงข้างกายเฟิงเป่ยเฉินแล้ว

หลี่โม่จินเป็นลูกศิษย์ที่วรยุทธ์สูงที่สุด วรยุทธ์บงกชทองขั้นสาม เขาบุกนำมาก่อนแล้ว แต่กลับขัดขวางได้ตัวเดียว

ปั้ง! ตั๊กแตนตัวหนึ่งถูกเขาใช้กระบี่ฟันจนกระเด็นออกไป แต่บนร่างกายตั๊กแตนทิ้งรอยกระบี่ไว้แค่รอยเดียว พอพลิกตัวได้มันก็พุ่งเข้าหาเฟิงเป่ยเฉินต่อไป

หนึ่งตัว สองตัว สามตัว…

ตั๊กแตนเขี้ยวคมห้าตัวโจมตีสังหารเข้ามา มันเข้ามาอย่างรวดเร็ว เฟิงเป่ยเฉินตระหนกมาก เรียกกระบี่ด้ามหนึ่งออกมาฟันซ้ายฟันขวาด้วยความว่องไว

ตั๊กแตนที่พุ่งเข้ามาถูกฟันกระเด็นไปตัวแล้วตัวเล่า แต่บนตัวพวกมันทิ้งรอยกระบี่ตื้นๆ ไว้เพียงไม่กี่รอยเท่านั้น ไม่มีทางโจมตีทะลุกระดองเกราะที่แข็งแกร่งโดยธรรมชาติของพวกมันได้เลย กลับทำให้กระบี่วิเศษในมือเฟิงเป่ยเฉินถูกเขี้ยวและกรงเล็บแหลมคมของมันกระทบจนแหว่งหลายรู

เฟิงเป่ยเฉินยิ่งตกตะลึงขึ้นเรื่อยๆ สัตว์ประหลาดที่เขี้ยวเล็บแหลมคมขนาดนี้ ถ้าไปโดนเข้าสักครั้งคงแย่แน่

ขณะที่หมุนตัวฟันกระบี่อย่างบ้าคลั่ง ในกำไลเก็บสมบัติก็มีหมอกสีทองปรากฏออกมา เกราะรบผลึกทองบริสุทธิ์ชุดหนึ่งสวมใส่บนร่างกายเพื่อป้องกัน เขาหมุนร่างกายด้วยความเร็วสูง ทำให้เกิดพลังประหลาดที่คล้ายกับน้ำวน พลังแต่ละกลุ่มหมุนวนไปทางตั๊กแตนที่กำลังเจาะโจมตีเข้ามาด้วยความเร็ว แบบนี้ถึงจะป้องกันตัวได้

มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเขาก็ไม่ใช่เล่นๆ ด้วยพลังแบบนี้ ตั๊กแตนก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ประเด็นสำคัญคือเขายังต้องใช้สมาธิและพลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมาก ทั้งยังต้องควบคุมโลกไร้ขอบเขตบนฟ้าที่กำลังขังพวกเหมียวอี้ด้วย

หลี่โม่จินและคนอื่นๆ สวมเกราะรบพุ่งเข้ามาล้อมโจมตีแล้วเช่นกัน แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเขาไม่ได้เร็วเท่าเฟิงเป่ยเฉิน ถ้าโดนตั๊กแตนโจมตีกลับขึ้นมา พวกเขาก็จะต้องลุกลี้ลุกลนอยู่พักหนึ่ง เรื่องนี้ต้องโทษเฟิงเป่ยเฉินที่ไม่สอนส่วนสำคัญของเคล็ดวิชาให้พวกเขา

โชคดีที่ตั๊กแตนห้าตัวห้าวหาญไม่กลัวตาย เป้าหมายหลักคือจับตัวเฟิงเป่ยเฉินและไม่ยอมจากไปไหน คลุ้มคลั่งโจมตีอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นพวกหลี่โม่จินจะต้องตกอยู่ในอันตรายแล้ว

ตั๊กแตนห้าตัวนี้เหนือกว่าพวกตั๊กแตนที่เหมียวอี้นำติดตัวไปเข้าร่วมการทดสอบ แต่เป็นสัตว์ประหลาดที่อวิ๋นจือชิวใช้ยาเจี๋ยตันเลี้ยงในระหว่างร้อยปีที่เหมียวอี้ไปทดสอบ แต่ละตัวร่างใหญ่แข็งแรงเหมือนวัว

รอบข้างมีคนกลุ่มใหญ่มารวมตัวกัน แต่ไม่มีที่เหลือให้พวกเขาแทรกเข้าไปได้เลย

เหมียวอี้ที่โดนขังอยู่ในค่ายกลรู้สึกได้ว่าคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของโลกไร้ขอบเขตค่อนข้างสับสนวุ่นวาย จึงเรียกทันที “หลิงเทียน เข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้า!”

หลังจากโบกมือเก็บหลิงเทียนเข้าในกระเป๋าสัตว์แล้ว เหมียวอี้ก็โบกทวนเกล็ดย้อนในมืออย่างบ้าคลั่ง กระบี่เพลิงสายแล้วสายเล่าระเบิดยิงไปทั่วสารทิศราวกับห่าฝน

เขาสังเกตได้ว่าเฟิงเป่ยเฉินแบ่งสมาธิคุมพลังอิทธิฤทธิ์ได้ลำบาก จึงเพิ่มแรงกดดันมหาศาลจากภายในให้เฟิงเป่ยเฉินอีกครั้ง ต้องการทำให้โลกไร้ขอบเขตพังทลาย

เป็นอย่างที่คาดไว้ ภายใต้แรงกดดันทั้งภายในและภายนอก เฟิงเป่ยเฉินแทบจะยืนหยัดไม่ไหวแล้ว

วูบๆ! กระบี่เพลิงสีแดงสิบกว่าสายทะลุผ่านหินดินที่กำลังหมุนวนออกมา ไปกระแทกอยู่บนพื้นที่อยู่ไม่ไกล แสงเพลิงระเบิดออก เผาดินไหม้เกรียมเป็นแถบ แผ่นดินไหวสะเทือน คนที่อยู่ใกล้ๆ ตกใจจนรีบเหาะหนี

บวกกับการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของตั๊กแตนห้าตัว ทำให้ด้านบนมีหินดินตกลงมาผืนใหญ่ราวกับเม็ดฝนทันที

เงาคนคนหนึ่งที่ถูกครอบด้วยเปลวเพลิงราวกับเทพอัคคีพุ่งออกมา โบกทวนโจมตีออกมา แล้วตะโกนเสียงดังว่า “เฒ่าจัญไร! เอาชีวิตมา!”

เฟิงเป่ยเฉินตกใจมาก หมุนตัวด้วยความเร็วสูงพุ่งออกไปในแนวเฉียง พร้อมร้องว่า “วางค่ายกล! สกัดเขาไว้!”

บนกระดองเกราะของต๊กแตนห้าตัวเต็มไปด้วยรอยกระบี่ พวกมันบินพุ่งออกมา ตามกัดเฟิงเป่ยเฉินไม่ยอมปล่อย ไล่โจมตีไปตลอดทาง

หลี่โม่จิน ฟู่หยวนคังและเหมียวจวินอี๋โบกแขนร่ายอิทธิฤทธิ์ทันที หินดินสั่นสะเทือนอยู่พักหนึ่ง หินดินปลิวขึ้นมา โลกไร้ขอบเขตโผล่ออกมาอีกครั้ง หมายจะขังเหมียวอี้เอาไว้

“ฟัน!” เหมียวอี้ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด เขาเพิ่งจะออกจากค่ายกลใหญ่มา ตอนนี้กำลังถูกครอบอยู่ในเปลวเพลิง โบกทวนยาวเพลิงเดือดกระแทกไปที่พื้นอย่างดุดัน

บึ้ม! ทวนเกล็ดย้อนปูมังกรเพลิงออกมาตัวหนึ่ง กระทุ้งอยู่ที่พื้นดินอย่างบ้าคลั่ง

หินดินที่เพิ่งถูกทั้งสามร่ายอิทธิฤทธิ์พลิกขึ้นมาสั่นสะเทือนจนเสียการควบคุม ผิวดินที่ถูกทวนทวนก็เรียกได้ว่าถล่มทลาย ร่องน้ำหลายสายแผ่ขยายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็วราวกับใยแมงมุม

เหมียวอี้ที่พลิกตัวถือทวนรีบหมุนตัวพุ่งไปยังทิศทางที่เฟิงเป่ยเฉินหลบหนีราวกับลูกธนูคม ท่ามกลางเสียงมังกรคำรามที่กวาดยิงไปสี่ทิศ กระบี่เพลิงอันถี่กระชั้นฟันไปที่พวกหลี่โม่จินราวกับพายุฝนคลั่ง

ทั้งสามตกใจมาก รีบโบกกระบี่ฟันต้านทานเอาไว้ จะมีเวลาจากไหนมาวางค่ายกล

คนที่ดูการต่อสู้ตกใจจนรีบถอยหลัง เห็นเพียงหินดินปลิวว่อน แสงเพลิงยิงไปทั่วสารทิศ แผ่นดินไหววุ่นวาย รอยดินแตกขยายยาวเหยียดไปทั่วทุกที่ พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดพัดม้วนไปทุกแห่งหน ยอดเขาที่อยู่ใกล้หน่อยก็ถล่มดังโครมคราม ภาพเหตุการณ์นี้คล้ายกับโลกกำลังพังทลาย

“วี้ด!” เสียงเหยี่ยวร้องดังก้องสะท้านฟ้า

ท่ามกลางหินดินที่ปลิวว่อนให้ดวงตาสับสน เหยี่ยวม่วงปรากฏตัวอีกครั้ง กระพือปีกบินย้อนโดยหันหลังให้พื้นดิน เหมียวอี้ก็ยืนกลับหัวอยู่บนหลังของเขาเช่นกัน ออกทวนราวกับมังกรโจมตีไปยังฟู่หยวนคังที่อยู่ข้างหน้า

ตอนนี้ทั้งสี่ทิศมองไม่เห็นอะไรเลย ฟู่หยวนคังที่รู้สึกได้ถึงพลังอิทธิฤทธิ์ตกใจมาก โบกกระบี่ฟันมั่วๆ อย่างบ้าคลั่ง

แกร๊ง! เกิดเสียงดังชัดเจน หัวทวนเกล็ดย้อนที่แหลมคมพลันปรากฏอยู่ตรงหน้าฟู่หยวนคัง กระบี่วิเศษในมือถูกฟันหักอย่างเหี้ยมหาญ

ฉึก! ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ทวนเกล็ดย้อนราวกับมีดวงตาที่ทั้งมั่นคง เด็ดเดี่ยวและแม่นยำ พอฟันกระบี่วิเศษหัก หัวทวนก็กระดกขึ้นเล็กน้อย แหย่ผ่านไปหนึ่งครั้งราวกับฟ้าแลบ ปาดศีรษะของฟู่หยวนคังจนระเบิดกระจายเหมือนลูกแตงโม

ท่ามกลางหินดินที่ปลิวว่อน เงาดำสายหนึ่งแฉลบผ่านด้านบนของเขาไป ไม่เห็นฟู่หยวนคังที่ไร้ศีรษะแล้ว บนคอที่ขาดมีเลือดสดพุ่งอย่างบ้าคลั่ง ยังคงฟันกระบี่ที่หักมั่วๆ ต่อไปสองสามครั้ง แล้วสุดท้ายก็ล้มลงพื้นอย่างสิ้นหวัง

วูบ! ท่ามกลางหินดินที่ระเบิดอย่างบ้าคลั่ง เหยี่ยวม่วงตัวหนึ่งพลันพุ่งขึ้นมาจากหมอกฝุ่นดิน แฉลบขึ้นฟ้าไล่ตามเฟิงเป่ยเฉินที่หนีไปยังเส้นขอบฟ้า

ผ่านไปครู่เดียว หลี่โม่จินกับเหมียวจวินอี๋ก็เหาะออกจากฝุ่นดินที่ระเบิดอย่างบ้าคลั่ง ข้างล่างไม่มีเสียงต่อสู้แล้วไม่เห็นปฏิกิริยาของฟู่หยวนคังเช่นกัน เดาว่าคงท่าไม่ดีแล้ว

ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่งขณะที่อยู่บนฟ้า ในใจเกิดหวาดผวา นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะห้าวหาญรบเก่งขนาดนี้!

ไม่ว่าจะอย่างไร แนวคิดที่ว่าเป็นอาจารย์หนึ่งวัน เปรียบดั่งเป็นพ่อชั่วชีวิตก็คือแนวคิดที่ยากจะลบล้างได้ ต่อให้เหมียวอี้จะร้ายกาจกว่านี้…แต่อย่างน้อยถ้ายังไม่ถึงก้าวสุดท้าย ทั้งสองก็ไม่อาจทิ้งเฟิงเป่ยเฉินแล้วหนีไปได้

ทั้งสองโบกกระบี่ในมือ แล้วไล่ตามไปทางเหมียวอี้พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

คนที่หลบไปอยู่รอบๆ มองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วทยอยกันพุ่งขึ้นฟ้าไล่ตามไปเช่นกัน

…………………………

[1] ร้องเท้าขาด อุปมาถึงผู้หญิงที่ผ่านการมีสามีมาแล้ว

1106

 

 

บทที่ 1107 ยุคสมัยของเจ้าจบลงแล้ว!

เมื่อเห็นเหมียวอี้ขับเหยี่ยวม่วงไล่ตามมาข้างหลัง เฟิงเป่ยเฉินก็เรียกได้ว่าร้อนใจดั่งไฟเผา แต่กลับโดนตั๊กแตนห้าตัวนั้นตามติดเกาะแกะพัวพัน

ตั๊กแตนห้าตัวถึงแม้จะถ่วงให้เฟิงเป่ยเฉินเหาะช้าลงได้ แต่หนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษก็ไม่ได้มีดีแค่ชื่อเหมือนกัน พัวพันก็ส่วนพัวพัน แต่กลับไม่มีทางเข้าใกล้ตัวเฟิงเป่ยเฉินได้เลย กระแสลมที่หมุนวนอยู่รอบกายเฟิงเป่ยเฉินส่งผลกระทบต่อการบินของตั๊กแตนเยอะมาก ทุกครั้งที่แทรกซึมเข้าไปโจมตีและเฉียดผ่านเฟิงเป่ยเฉิน กลับถูกเฟิงเป่ยเฉินใช้กระบี่ฟันอย่างบ้าคลั่งด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะกระดองเกราะแข็งแรงทนทาน เกรงว่าคงจะเสียหายด้วยน้ำมือเฟิงเป่ยเฉินทั้งหมดไปตั้งนานแล้ว

บนร่างกายของตั๊กแตนห้าตัวในตอนนี้โดนเฟิงเป่ยเฉินฟันจนเป็นรอยหลายรอย

เหยี่ยวม่วงพุ่งเข้ามา จู่ๆ เหมียวอี้ก็กระโจนออกจากหลังของเขา พุ่งเร็วราวกับฝนดาวตก ทะยานขึ้นท้องฟ้าพร้อมสะบัดทวนออกมาหนึ่งครั้ง สังหารเข้าไปในวงล้อมโจมตีของตั๊กแตนโดยตรง

เฟิงเป่ยเฉินที่ตกตะลึงพรึงเพริดลนลานโบกกระบี่ฟัน ขณะเดี๋ยวกันก็โบกมือไม่หยุด กระแสลมที่รุนแรงพัดม้วนออกมาดันตั๊กแตนที่แทรกโจมตีให้ออกไป

แกร๊ง! เหมียวอี้วาดทวนตัดสลับกัน เป็นเหมือนอย่างเคย กระบี่วิเศษในมือเฟิงเป่ยเฉินโดนฟันขาดครึ่งในชั่วริบตาเดียว

เฟิงเป่ยเฉินทะยานขึ้นฟ้าแล้วหมุนตัว ยิงกระบี่ที่หักไปทางเหมียวอี้ ใช้สองมือวาดเป็นวงกลมออกมาทั้งวงใหญ่ทั้งวงเล็ก กระแสอากาศที่อยู่รอบข้างแทบจะก่อตัวเป็นรูปร่าง ทำให้หัวทวนแหลมคมที่เหมียวอี้แทงโจมตีเข้ามาเบี่ยงเบนไป ตั๊กแตนห้าตัวก็ถูกกระแสอากาศที่รุนแรงโจมตีจนลอยมั่วเป็นวงกลมเช่นกัน

อาศัยโอกาสนี้ เฟิงเป่ยเฉินปลีกตัวหนีไปได้อย่างรวดเร็ว

ทว่าความเร็วในการบินของตั๊กแตนนั้นเร็วกว่าเขา พอเพิ่งจะฝ่าวงล้อมได้ ตั๊กแตนห้าตัวก็เข้ามาล้อมโจมตีเขาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง

เฟิงเป่ยเฉินสองตาแทบจะถลนออกมา ในขณะที่โดนพัวพัน ก็รู้สึกว่าใกล้จะประสาทเสียแล้ว

เหมียวอี้ที่โจมตีเข้ามาอีกครั้งแทงทวนออกมาอีก เฟิงเป่ยเฉินใช้ฝ่ามือฟาดรับทวน ฝ่ามือหมุนวนต่อเนื่องกันราวกับวงล้อไฟ กระแสอากาศที่รุนแรงกวนให้หัวทวนอันแหลมคมของเหมียวอี้ที่แทงเข้ามาสั่นไหวอยู่พักหนึ่ง

เหมียวอี้ไม่ใช้วิธีการเดิม เก็บทวนแล้วแทงอีกครั้ง เป็นตอนที่เฟิงเป่ยเฉินโบกแขนโน้มนำ บนหัวทวนแหลมคมพลันมีหมอกสีแดงพ่นออกมาราวกับผ้าไหม

ปราณปีศาจโลหิตที่เข้มข้นโจมตีเข้ามา ถึงแม้จะถูกเฟิงเป่ยเฉินใช้ฝ่ามือกวนให้กระจายไป แต่กลับพัดม้วนอยู่ทั่วทุกที่รอบกายเขาตามกระแสอากาศ

เฟิงเป่ยเฉินตกใจทันที ไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่กลับรู้สึกได้ถึงปราณชั่วร้ายที่อยู่ในนั้น รีบร้อนร่ายอิทธิฤทธิ์โบกแขนเสื้อไล่ออกไป

ช่องโหว่เปิดเผยออกมาทันที เหมียวอี้มีหรือที่จะพลาดโอกาสนี้ เงาทวนที่รวดเร็วดุดันพลันรวมกันเข้ามา มีเพียงเงาทวนที่กะพริบแสงเย็นหนึ่งสาย พุ่งออกไปแล้วก็หยุด

แกร๊ง! เกิดเสียงดังฟังชัด

เฟิงเป่ยเฉินคว้าด้ามทวนเอาไว้ แล้วเบิกตากว้างก้มมองที่ท้องตัวเองด้วยความตกใจ

หัวทวนแหลมคมแทงทะลุเกราะรบผลึกทองบริสุทธิ์บนร่างกายเขาแล้ว ปราณปีศาจโลหิตที่ไหลออกมาจากบนด้ามทวนกรอกเข้าไปในร่างกายเขา เฟิงเป่ยเฉินกำลังสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ชั่วพริบตาเดียวผิวกายก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ราวกับถูกไฟลวกมา

โช้งเช้ง โช้งเช้ง ตั๊กแตนที่แทรกเข้ามาโจมตีขูดรอยลึกหลายรอยไว้บนเกราะรบด้านหลังของฟิงเป่ยเฉินทันที

เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งถือทวน ส่วนมืออีกข้างชูขึ้นเล็กน้อย หยุดยั้งตั๊กแตนไม่ให้โจมตีต่อ ตอนนี้เขากับเฟิงเป่ยเฉินกำลังเผชิญหน้าและคุมเชิงกันอยู่!

พวกหลี่โม่จินที่ตามมาไกลๆ รีบหยุดอยู่กับที่ เมื่อได้เห็นฉากนี้ก็พากันตะลึงค้างแล้ว!

ทันใดนั้น เหมียวอี้ก็พบความผิดปกติ พบว่าเฟิงเป่ยเฉินยกมุมปากยิ้มชั่วร้ายมาก เขาลองชักทวนในมือกลับมา แต่กลับพบว่าถูกเฟิงเป่ยเฉินกำไว้แน่นมาก อยากจะดึงกลับมาก็ดึงไม่ได้

เมื่อมองไปที่สีหน้าของเฟิงเป่ยเฉินอีกครั้ง ก็เห็นใบหน้าสีแดงฉานที่โดนปราณปีศาจโลหิตกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้แอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว เพลิงจิตพลันออกไปอย่างรวดเร็วตามช่องทางที่อยู่ภายในด้ามทวน

เป็นอย่างที่คาดไว้ ฝ่ามือข้างที่ว่างเปล่าของเฟิงเป่ยเฉินตบเข้ามาหนึ่งครั้งอย่างกะทันหัน ฝ่ามือสีแดงปล่อยปราณปีศาจโลหิตที่รุนแรงออกมาหนึ่งกลุ่ม เงาฝ่ามือสีแดงที่ขยายใหญ่ขึ้นหลายสิบเท่าตบไปทางเหมียวอี้ด้วยความบ้าคลั่ง

เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จะหลบก็หลบไม่ทันแล้ว เหมียวอี้ที่ชักทวนกลับมาไม่ได้พลันตบฝ่ามือออกไปรับอย่างดุร้าย

บึ้ม! พลังฝ่ามือของทั้งสองชนกันและทลายลงกลางอากาศ เหมียวอี้วรยุทธ์ไม่สูงเท่า พลังฝ่ามือของเฟิงเป่ยเฉินโผกลับ อานุภาพของฝ่ามือโลหิตตีฝ่าเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้แล้ว โจมตีโดนร่างกายเหมียวอี้เข่าอย่างจัง ทำให้ร่างของเหมียวอี้โอนเอน

เหมียวอี้ที่โดนฝ่ามือโลหิตหน้าแดงฉานในชั่วพริบตาเดียว ราวกับโดนจิตมารเข้าแทรก เฟิงเป่ยเฉินเห็นภาพนี้แล้วหัวเราะเยาะ “หึหึ” เหยี่ยวม่วงที่บินร่อนอยู่บนท้องฟ้าตกใจทันที

แต่เสียงหัวเราะของเฟิงเป่ยเฉินพลันหยุดชะงัก เขาก้มมองหัวทวนที่เสียบอยู่ที่ท้องตัวเอง พอเงยหน้ามองเหมียวอี้อีกครั้ง ก็เรียกได้ว่าทำสีหน้าหวาดผวาแล้ว เขาออกแรงโบกฝ่ามือติดต่อกันหลายครั้ง เหมือนอยากจะไล่ของที่อยู่ในร่างกายให้ออกมา

ส่วนเหมียวอี้ที่หน้าแดงฉานก็ใช้ฝ่ามือข้างเดียวตบลงไปหนึ่งที สีของเลือดชั่วร้ายบนใบหน้าหายไปในชั่วพริบตาเดียว สีหน้ากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เขาแสยะหัวเราะพร้อมบอกว่า “ของที่ข้าควบคุมได้ จะทำให้ข้าบาดเจ็บได้อย่างไร! เฒ่าจัญไร หลานชายเจ้าก็ตายด้วยท่านี้แหละ ถ้าเก่งนักก็ขับสิ่งที่อยู่ในร่างกายอกมาสิ!”

พอพูดจบ มือก็ไหลไปข้างหน้าตามด้ามทวน พอคว้าเอาไว้ได้ ก็สะบัดร่างกายขึ้นมา เหาะขึ้นมาด้วยสองขาที่เหมือนไม้กลอง แล้วใช้ขารัวถีบติดต่อกันหลายครั้ง “แกร๊งๆ” ชั่วพริบตาเดียวก็ถีบบนเกราะรบที่หน้าอกของเฟิงเป่ยเฉินไปสิบกว่าครั้งติดต่อกัน

“อั้ก…” เฟิงเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมกระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ในที่สุดก็ปล่อยมือแล้ว ตอนที่หัวทวนชักออกมาจากท้อง ก็มีเลือดกระจายออกมาด้วย ทั้งตัวกระเด็นถอยหลังออกไป แล้วก็ดันทุรังโบกแขนสองข้างพยุงร่างให้นิ่งอยู่บนฟ้าที่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง ร่างที่ลอยอยู่บนฟ้าค่อนข้างโอนเอน เอามือกุมท้องพลางถลึงตามองเหมียวอี้ ในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เสียงมังกรคำรามดังขึ้น เหมียวอี้ที่ลอยอยู่บนฟ้าโบกทวนชี้ไปทางเฟิงเป่ยเฉิน ใช้ทวนถามว่า ยังกล้าสู้อีกมั้ย!

เฟิงเป่ยเฉินยังจะมีแรงเหลือให้ต่อสู้เสียที่ไหนกัน ความทรมานที่อยู่ในท้องตอนนี้ คนนอกไม่มีทางจินตนาการได้ ร่างกายยิ่งโอนเอนสั่นไหวหนักขึ้นเรื่อยๆ!

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ในใจเหมียวอี้ก็ยังแอบทึ่ง

วันนี้นับว่าเขาได้ทำความรู้จักกับมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเฟิงเป่ยเฉินใหม่อีกครั้งแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าตาแก่เวรนี่จะไม่กลัวปราณปีศาจโลหิต ปราณปีศาจโลหิตที่ตนกรอกเข้าไปในร่างกายเขา คาดไม่ถึงว่าว่าจะถูกเขาแปลงให้กลายเป็นฝ่ามือโลหิตแล้วตบออกมา

“ไว้ชีวิตข้า…ไว้ชีวิตข้าสักครั้ง…ข้าจะให้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงกับเจ้า…” เฟิงเป่ยเฉินส่งเสียงร้องขณะหายใจถี่กระชั้น ไม่ได้ชอบหนีอย่างเดียว เห็นได้ชัดว่ากระดูกไม่แข็งด้วย

“เฒ่าจัญไร เจ้าครอบครองแดนอู๋เลี่ยงมาแสนกว่าปี นับว่าเสพสุขกับเกียรติยศความร่ำรวยมาเต็มที่แล้ว วันนี้…ยุคสมัยของเจ้าจบลงแล้ว! “เหมียวอี้กล่าวอย่างทะนงองอาจ แล้วถลันตัวเข้าไป ใช้ทวนเกล็ดย้อนในมือฟันตรงเข้าไป ปั้ง! ทวนกระแทกที่บ่าของเฟิงเป่ยเฉินพอดี

“พลั่ก!” เฟิงเป่ยเฉินกระอักเลือดสดอีกคำท่ามกลางเสียงกระดูกแตก ร่างดิ่งตกลงมาจากฟ้าสูง กระแทกพื้นเสียงดังโครม เกิดเป็นหลุมลึกที่มีฝุ่นควันปลิวขึ้นมา

ตรงที่ไกลๆ ฉินซีที่ได้เห็นฉากนี้ทำสีหน้าสับสน ถึงอย่างไรก็เป็นสามีภรรยากับเฟิงเป่ยเฉินมาหลายปี

บนใบหน้าของหลี่โม่จินและคนอื่นๆ เต็มไปด้วยความหวาดผวา!

ขนาดปราชญ์เต๋ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของไอ้เหมียวจัญไร แล้วพวเรายังจะสู้ทำบ้าอะไรอีกล่ะ!

เมื่อคนกลุ่มหนึ่งที่เหาะมาจากนภาอู๋เลี่ยงได้เห็นสถานการณ์นี้ ก็หนีกระเจิดกระเจิงไปทั่วสารทิศทันที หลี่โม่จินกับเหมียวจวินอี๋สบตากันแวบหนึ่งก่อนจะเลี้ยวหนี  ตอนที่เหมียวจวินอี๋หนีก็ไม่ลืมที่จะจูงมือลูกสาวตัวเอง ส่วนโม่หมิงก็แค่เอ่ยปากเรียกส่งเดชคำเดียว

กัวเหรินกวงกับหัวอวี้ที่อยู่ข้างหลังก็เลี้ยวหนีทันทีเช่นกัน ที่ว่ากันว่า ‘ต้นไม้ล้มลิงหนีกระเจิง’ ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!

เหมียวอี้หันกลับมามองด้วยสายตาเย็นเยียบแวบหนึ่ง กวาดสายตามองกลุ่มคนที่แตกซ่าน คนมากมายขนาดนี้หนีไปทั่วสารทิศ เขาเองก็จับไม่ไหวเหมือนกัน เพียงแต่พวกลูกศิษย์ของเฟิงเป่ยเฉิน มีหรือที่จะเขาจะปล่อยไป!

ตั๊กแตนห้าตัวไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว มีสองตัวไล่ตามหลี่โม่จิน ส่วนอีกสามตัวก็แบ่งกันไล่ตามเหมียวจวินอี๋และลูกสาว กัวเหรินกวงและหัวอวี้

เหยี่ยวม่วงที่บินร่อนอยู่บนท้องฟ้ากลายร่างเป็นคนแล้ว ลิงเทียนเรียกได้ว่าเงยหน้าขึ้นฟ้าแผดเสียงร้อง ระบายอารมณ์สะใจออกมา โดนหกปราชญ์ข่มมานานขนาดนี้ เมื่อได้เห็นจุดจบในวันนี้ของเฟิงเป่ยเฉินด้วยตัวเอง ในใจก็เรียกได้ว่าสะใจมาก

เหมียวอี้ถลันตัวลงมาที่พื้น โบกมือไล่ฝุ่นควันที่ตลบอบอวล หัวทวนแหลมคมยื่นออกมา เขี่ยใบหน้าเปื้อนเลือดของเฟิงเป่ยเฉินที่โผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง

เหมียวอี้ลงมือผนึกวรยุทธ์ของเฟิงเป่ยเฉินก่อน กลัวว่าตาแก่เวรนี่จะเล่นไม่ซื่อ จากนั้นโยนเชือกมัดเซียนออกมามัด พอโบกนิ้วกระตุ้นหนึ่งที กระบี่เล็กเพลิงจิตเล่มหนึ่งถึงได้ลอยออกมาจากบาดแผลของเฟิงเป่ยเฉิน

ไม่ได้ฆ่าเขา มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงที่เป็นภาคคนยังอยู่ในมือเขา

หลังจากรูดของมีค่าบนตัวเฟิงเป่ยไปหมดแล้ว ถึงได้เก็บคนเอาไว้ จากนั้นก็เหาะขึ้นฟ้าไปรวมตัวกับหลิงเทียน และไม่นานก็ตามทันหลี่โม่จินที่ถูกตั๊กแตนสองตัวตามพัวพัน

เหมียวอี้โบกทวนชี้ “จะสู้หรือจะยอม!”

เมื่อเผชิญกับพลังอำนาจที่เหมียวอี้โจมตีชนะเฟิงเป่ยเฉิน หลี่โม่จินก็ทำได้เพียงพ่นคำพูดออกมาอย่างลังเลว่า “ยอมแพ้!”

พอเหมียวอี้โบกมือ ตั๊กแตนสองตัวก็บินกลับเข้ามาทันที หลี่โม่จินวางอาวุธแล้ว หลิงเทียนถลันตัวเข้าไปผนึกวรยุทธ์ของเขา รูดของบนตัวเขาจนหมดสิ้น แล้วเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์

ทั้งสองเปลี่ยนไปสู้กับคนต่อไป หลังจากตามทันแล้ว เหมียวอี้ก็ดบกทวนตะคอกถาม “จะสู้หรือจะยอม!”

“ยอม! ยอม! ยอม!” เหมียวจวินอี๋ตะโกนเสียงดังสามครั้ง แต่กลับกางแขนสองข้างบังป้องโม่จวินหลัน “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลูกสาวข้า ปล่อยนางไป!”

ตอนนี้โม่หมิงก็เหาะเข้ามาแล้วเช่นกัน มาถามว่า “เหมียวอี้ ที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้เรื่องจริงรึเปล่า?”

เหมียวจวินอี๋ได้ยินแล้วหวาดระแวงกลัว รู้ว่าโม่หมิงกำลังถามอะไร โม่จวินหลันก็มองเหมียวอี้อย่างค่อนข้างหวาดกลัวเช่นกัน

เหมียวอี้เอียงหน้ามอง จ้องโม่หมิงที่เป็นชายชราผมหงอกขาวเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “โกหก ข้าจงใจทำให้เฟิงเป่ยเฉินโมโห!”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เหมียวจวินอี๋ก็มองไปทางเหมียวอี้ด้วยแววตาซาบซึ้ง

โม่หมิงกลับมีอารมณ์ฮึกเหิม กางแขนสองข้างขวางตรงหน้าสองแม่ลูก แล้วถามเสียงกังว่า “เหมียวอี้ เฟิงเป่ยเฉินแพ้ให้เจ้าแล้ว ทำไมต้องฆ่าทิ้งให้หมด?”

หลิงเทียนได้ยินแล้วกวาดสายตาเย็นเยียบมองมา ขณะกำลังจะลงมือ ก็คาดไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะยื่นทวนมาขวางเขาไว้ ย้ายสายตาจากใบหน้าโม่หมิงไปที่ใบหน้าโม่จวินหลัน แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “พวกเจ้าสามคนไปเถอะ!”

“พวกเขาเป็นสุนัขรับใช้ของเฟิงเป่ยเฉินนะ ถ้าปล่อยพวกเขาไป แล้ววันไหนถ้าถูกแว้งกัดขึ้นมาล่ะ?” หลิงเทียนตกใจมาก

เหมียวอี้ไม่สนใจ โบกมือตะคอกว่า “ถือโอกาสตอนที่ข้ายังไม่เปลี่ยนไป รีบไสหัวไป!”

โม่หมิงกุมหมัดคารวะ เหมียวจวินอี๋กลับโค้งเอวค้างไว้ แววตาที่มองเหมียวอี้ได้อธิบายทุกอย่างไว้หมดแล้ว

สามคนพ่อแม่ลูกรีบจากไปอย่างรวดเร็ว…

กัวเหรินกวงกับหัวอวี้น่าอนาถมาก รอจนกระทั่งเหมียวอี้กับหลิงเทียนตามมาถึง ตั๊กแตนก็กำลังไต่กัดกินศพของทั้งสองแล้ว

ส่วนคนอื่นๆ ของนภาอู๋เลี่ยงก็หนีไปหมดแล้ว เหมียวอี้กับหลิงเทียนลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือนภาอู๋เลี่ยง ในทิวทัศน์อุทยานด้านล่างที่ราวกับแดนเซียนไม่เห็นมีเงาใครสักคน

แต่ก็ไม่ได้หนีไปหมดหรอก ยังเหลืออยู่อีกคน ฉินซีเหาะเข้ามาเพียงลำพัง มายืนอยู่ตรงข้ามเหมียวอี้

หลิงเทียนกล่าวกลั้วหัวเราะเบาๆ ข้างหูเหมียวอี้ “คุณชายห้า ท่านมีวาสนานะ เมียของเฟิงเป่ยเฉินงามเลิศล้ำแบบหาพบได้ยากในโลกมนุษย์จริงๆ นางเป็นฝ่ายมาหาถึงที่แล้ว!”

เหมียวอี้กลอกตามองเขา

ฉินซีทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดดูหมิ่นของหลิงเทียน นางกล่าวอย่างสุขุมใจเย็นว่า “เฟิงเป่ยเฉินพูดจาเหลวไหลทัง้นั้น นอกจากตบหน้านางหนึ่งฉาด เขาก็ไม่ได้แตะต้องนางเลย เจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจ”

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “ข้าไม่มีทางปล่อยให้เฟิงเป่ยเฉินรอดชีวิต ท่านจะทำอย่างไร?”

พอได้ยินบทสนทนานี้ หลิงเทียนที่กำลังประหลาดใจก็พบว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว

1107

 

บทที่ 1108 ในมือเจ้ามีแค่เคล็ดวิชาภาคคน

ฉินซีหันตัวเงียบๆ หันข้างให้เหมียวอี้ จ้องมองภูเขาแม่น้ำที่พังถล่มอยู่ไกลๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร

ท่าทางเวลานางหันข้าง เรียกได้ว่าเหมือนความเขียวชอุ่มของภูเขาที่อยู่ไกลๆ สงบนิ่งดุจสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ราวกับคนในภาพวาดจริงๆ โดยเฉพาะคุณสมบัติประจำตัวที่โดดเด่นไม่เหมือนใครแบบนั้น หลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะมองดูหลายครั้ง

เหมียวอี้เองก็ต้องแอบชื่นชมในใจเช่นกัน รูปโฉมที่งดงามของแม่ยายคนนี้ไม่มีอะไรต้องพูดแล้วจริงๆ จะบอกว่างามข่มผู้หญิงคนอื่นก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป และก็ไม่แปลกใจที่หนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยเลือกมาเป็นฮูหยินคนใหม่ หยางชิ่งช่างกล้านัก!

เหมียวอี้เอียงศีรษะเบาๆ มองหลิงเทียน “ไปดูข้างล่างหน่อยว่ามีคนหรือเปล่า”

หลิงเทียนรู้ว่าพวกเขามีเรื่องจะคุยกันตามลำพัง จึงพยักหน้าเอ่ยรับ แล้วถลันตัวลงไป ไปตรวจดูตามอาคารบ้านเรือนในภาอู๋เลี่ยง

ผ่านไปครู่ใหญ่ ฉินซีถึงได้ถอนหายใจเบาๆ “เฟิงเป่ยเฉินล้มแล้ว นอกจากหาที่หลบซ่อน ข้ายังจะไปไหนได้อีก? อาศัยแค่ที่ข้าเป็นฮูหยินของเฟิงเป่ยเฉิน เจ้าคิดว่าอีกห้าปราชญ์จะปล่อยข้าไปได้เหรอ?”

เหมียวอี้ยิ้มพร้อมบอกว่า “ยอมแพ้เถอะ! เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกไม่สู้บอกว่ายอมแพ้ข้า ข้างกายข้าขาดกำลังคนพอดี มาทำงานเป็นลูกน้องข้าแล้วกัน!”

ฉินซีเอียงศีรษะมองมา “ต่อไปเกรงว่าเจ้าเองก็คงไม่ได้อยู่อย่างสงบเท่าไรหรอก อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดว่าอีกห้าปราชญ์จะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ?”

เหมียวอี้บอกว่า “ไม่ใช่พวกเขาไม่ปล่อยข้าหรอก แต่ข้าต่างหากที่จะไม่ปล่อยพวกเขา ครั้งนี้ในมือฉีกหน้ากันแล้ว ต่อให้พวกเขาไม่มาหาข้า ข้าก็จะไปหาพวกเขาเช่นกัน ข้าจะแก้ไขเรื่องนี้ให้จบในครั้งเดียว ท่านไม่ต้องกังวล”

ฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ถามนอกเรื่อง “ในสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ทำไมเจ้าไม่เปิดโปงภูมิหลังของโม่จวินหลัน?”

เหมียวอี้ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ที่จริงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับโม่จวินหลัน จากที่ข้ารู้มา โม่จวินหลันเองก็ไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งอะไร เหตุใดต้องใช้ความสัมพันธ์ที่ไร้ระเบียบของคนรุ่นก่อนทำร้ายนาง นางไม่ได้ทำอะไรผิด อย่างไรเสีย สำหรับข้าแล้ว โม่จวินหลันคนเดียวไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อข้าหรอก”

ฉินซีพยักหน้า ตอบอย่างตรงไปตรงมามากว่า “ดี! ข้ายอมแพ้เจ้า”

เหมียวอี้อึ้งเล็กน้อย นิสัยคิดอะไรกระโดดไปกระโดดมาของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาไม่เข้าใจ อดไม่ได้ที่จะถามว่า “อย่าบอกนะว่าที่ยอมจำนนข้าเพราะเกี่ยวข้องกับโม่จวินหลัน?”

ฉินซีตอบว่า “ข้ากังวล คิดว่าที่เจ้าโน้มน้าวให้ข้ายอมจำนนเพราะเจ้าอยากได้รูปโฉมที่งดงามของข้า จากเรื่องของโม่จวินหลันทำให้ข้าดูออกแล้วว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร ข้าวางใจแล้ว”

ปาดเหงื่อ! เหมียวอี้ค่อนข้างเหม่องง นี่นับว่าเป็นเหตุผลอะไรกัน ผู้หญิงคนนี้หลงตัวเองเกินไปรึเปล่า? คิดว่าข้าไม่เคยเห็นผู้หญิงสวยมาก่อนรึไง? ด้วยความสัมพันธ์ของเจ้ากับฉินเวยเวย ข้าจะกล้าทำเรื่องเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานแบบนั้นได้เหรอ? เขากล่าวอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ผู้อาวุโส ข้าไม่ขาดผู้หญิงหรอก ไม่ขาดผู้หญิงสวยด้วย ที่ขอให้ท่านยอมจำนนเป็นเพราะฉินเวยเวย ข้าไม่ใช่เฟิงเป่ยเฉินนะ ท่านก็พูดเกินไปแล้ว!”

“ข้าหน้าตาเป็นอย่างไรข้ารู้ดี ส่วนผู้ชายอย่างพวกเจ้าเป็นอย่างไร พวกเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ ข้าไม่อยากเถียงเรื่องนี้กับเจ้า!” ฉินซีส่ายหน้า

ช่างเถอะ! เหมียวอี้ก็ขี้คร้านจะเถียงอีก หวังดีแต่กลายเป็นถูกเข้าใจผิด เขาโบกมือเรียกฉินเวยเวยออกมาแล้ว

พอฉินเวยเวยโผล่หน้ามาก็มองไปรอบๆ นางดึงแขนเหมียวอี้อย่างขวัญเสีย “ท่านสามี เป็นอย่างไรบ้างคะ?”

“เรื่องเฟิงเป่ยเฉินผ่านไปแล้ว ที่เจ้ารอดตัวมาได้ครั้งนี้ก็เพราะโชคดีที่มีผู้อาวุโสฉิน อยู่เป็นเพื่อนผู้อาวุโสฉินแทนข้าหน่อย” เหมียวอี้เองก็นับว่าจงใจจะสร้างโอกาสให้แม่ลูกอยู่ด้วยกัน

ฉินซีมองฉินเวยเวยด้วยแววตาที่ต่างออกไป เป็นฝ่ายจูงมือฉินเวยเวยก่อน พาไปเดินดูนภาอู๋เลี่ยงที่อยู่ข้างๆ สาเหตุหลักเป็นเพราะอยากคุยกับฉินเวยเวย

จากนั้นเหมียวอี้ก็ถลันตัวไปเหยียบบนหลังคาตำหนักหลักของตำหนักอู๋เลี่ยง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิว : ช่วยเวยเวยออกมาได้แล้ว เฟิงเป่ยเฉินถูกข้าจับไว้แล้ว!

อวิ๋นจือชิวกำลังเร่งเหาะอยู่เหนือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เมื่อได้รับข้อความจากเหมียวอี้ ก็ตกใจจนหยุดลอยอยู่บนฟ้า เขย่าระฆังดาราถามอย่างร้อนใจว่า : เจ้าลงมือก่อนแล้วเหรอ?

เหมียวอี้ : ใช่!

อวิ๋นจือชิวเริ่มกังวลแล้ว : พวกสงเวยไปถึงหรือยัง? นภาอู๋เลี่ยงปล่อยข่าวรึเปล่า?

เหมียวอี้ : พวกสงเวยยังมาไม่ถึง คนของนภาอู๋เลี่ยงหนีไปไม่น้อย แถมเฟิงเป่ยเฉินก็ขอกำลังหนุนจากปู่เจ้าด้วย ข่าวนี้ปิดบังไม่ไหวแน่นอน

อวิ๋นจือชิว : ข้าให้เจ้ารอก่อนแล้วค่อยลงมือไม่ใช่เหรอ? เจ้าจะใจร้อนขนาดนี้ไปทำไมกัน? กำลังพลส่วนใหญ่ของสายมะโรงยังไม่ได้รับข่าวเรื่องเรียกระดมพลเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้เจ้าลงมือแล้วงั้นเหรอ ทำให้ทูตสายต่างๆ ของแดนอู๋เลี่ยงตกใจไปแล้ว ไม่สู้จัดการพวกเขาให้หมดทีเดียวเลยดีมั้ย? มียอดฝีมือนั่งรักษาการณ์ เดี๋ยวตอนที่กำลังพลสายมะโรงของข้าบุกโจมตี ฝ่ายเราจะต้องได้รับความเสียหายใหญ่หลวงแน่ มิหนำซ้ำ…

ยังพูดไม่ทันจบ เหมียวอี้ก็ถามตัดบทว่า : เจ้าน่าจะยังไปไม่ถึงนภาจอมมารสินะ?

อวิ๋นจือชิว : ยังไม่ถึง! ในเมื่อเฟิงเป่ยเฉินล้มเลิกิแผนที่จะฮุบสมบัติบนตัวเจ้าไว้เพียงลำพังแล้ว ก็คงจะบอกเรื่องนี้ให้ปราชญ์คนอื่นๆ รู้แล้วเหมือนกัน หนิวเอ้อร์ ข้าจะคอยดูว่าตอนนี้เจ้าจะยุติเรื่องราวยังไง!

เหมียวอี้ : เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง จะให้คำตอบกับเจ้าเอง ส่วนทางนภาจอมมารเจ้าไม่ต้องไปแล้ว บอกหยางชิ่งว่าไม่ต้องระดมกำลังพลของสายมะโรงแล้ว ไม่ต้องใช้คนมากมาย ข้าคนเดียวก็ครอบครองอาณาเขตของแดนอู๋เลี่ยงได้อยู่ดี!

อวิ๋นจือชิวจนใจ : หนิวเอ้อร์ เจ้าจะอาศัยอะไรครอบครอง?

เหมียวอี้ : ก็อาศัยที่เฟิงเป่ยเฉินแพ้ให้กับข้าไง อาศัยที่ข้าหยั่งเชิงฝีมือของหกปราชญ์แล้ว ข้ามีแผนในใจแล้ว เรื่องที่พิภพเล็กจะถ่วงเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว ครั้งนี้ข้าต้องแก้ไขให้เสร็จในรวดเดียว!

อวิ๋นจือชิวร้อนใจแล้วจริงๆ : หนิวเอ้อร์ เจ้าบ้าไปแล้วรึเปล่า? หกปราชญ์เป็นใครเจ้าไม่รู้เหรอ ลำพังแค่เจ้าสู้กับเฟิงเป่ยเฉินยังเปลืองแรงเลย ข้าแน่ใจได้เลยว่าเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อนนะ นักพรตบงกชทองที่พิภพใหญ่ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ท่านปู่ข้า เคล็ดวิชาพิเศษของหกปราชญ์ไม่ใช่ของเด็กเล่น ท่านปู่ข้าไม่ออมมือเพราะเห็นแก่ข้าแน่!

เหมียวอี้ : ข้ามีวิธีการทำงานของข้า คุยกับเจ้าในระฆังดาราไม่เข้าใจหรอก ข้าจะรอปู่เจ้าและคนอื่นๆ อยู่ที่นภาอู๋เลี่ยง พอแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน!

อวิ๋นจือชิวเก็บระฆังดาราอย่างหมั่นไส้ ทำได้เพียงติดต่อหยางชิ่งเพื่อบอกให้วางมือ

หยางชิ่งยังคงอยู่ระหว่างทางที่ออกจากแดนโพ้นสวรรค์ ถึงขนาดยังไม่เข้าเขตสายมะโรงด้วยซ้ำ ระหว่างทางเมื่อได้รับข้อความปลอบใจจากอวิ๋นจือชิวว่าฉินเวยเวยปลอดภัยแล้ว เขาก็รู้สึกประสาทเสียนิดหน่อยเช่นกัน เมื่อเจอกับคนที่ไม่ลงไพ่ตามกติกาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเหมียวอี้ เขาก็อยากจะกระอักเลือดจริงๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกแล้วที่เขาอยากจะกระอักเลือด

ตอนนี้เขานับว่าเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว ในภายหลังถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็ต้องถามแนวคิดของนายท่านก่อน ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากนายท่าน ไม่ว่าเจ้าจะวางแผนอะไรไว้ก็จะกลายเป็นเรื่องเหลวไหลเหมือนตดหมาได้ทั้งนั้น อีกฝ่ายไม่ทำตามแผนเลย เวลาเจอเรื่องเสี่ยงอันตรายก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน อย่างไรเสีย แต่ไหนแต่ไรมานายท่านเหมียวสะดวกแบบไหนก็ทำแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ลงมือทำก่อนแล้วค่อยพิจารณาปัญหาทีหลัง อย่างมากถ้าเสียเปรียบก็ค่อยหวนกลับมาเอาคืนใหม่ ตอนแรกที่อยู่ทะเลทรายม่านเมฆาก็ทำแบบนี้ แทบจะโดนคนเล่นงานจนตายแล้ว

เหมียวอี้จะตายก็ตายไปเถอะ แต่ประเด็นสำคัญคือตอนนี้อีกฝ่ายเป็นสามีของลูกสาวตน ถ้าเขาตายลูกสาวสุดที่รักของตนก็จะกลายเป็นม่าย นี่คือเรื่องที่ทำให้หยางชิ่งประสาทเสีย ทุกครั้งที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เหมียวอี้เข้ามาแทรก ก็ทำเอาเขาคิดอะไรวุ่นวายไร้ระเบียบ รับไม่ไหวแล้ว…

ณ ตำหนักอู๋เลี่ยง ในห้องหนังสือของเฟิงเป่ยเฉิน

สำหรับเฟิงเป่ยเฉินในตอนนี้ที่สภาพจนตรอก เครื่องเรือนของที่นี่เป็นสิ่งที่คุ้นเคยมาก แต่เขาก็รู้ดี ว่าตอนนี้มันไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไปแล้ว

ลักษณะสูงส่งดูแพงโดนตีกระหน่ำตกเมฆแล้ว ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาทั่วไป ถึงขั้นเทียบคนทั่วไปไม่ติดด้วยซ้ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ทั้งตัวเปื้อนฝุ่นดิน ทั้งหน้าเต็มไปด้วยรอยเลือด ไหล่ข้างหนึ่งก็ยิ่งหักครึ่ง ถูกเลือดฉาบจนเกือบมิดแล้ว ใครจะยังจำได้ว่าเขาคือปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน

ขณะกำลังตัวสั่นงันงก เฟิงเป่ยเฉินถูกเหมียวอี้กดให้นั่งลงบนที่นั่งเดิมของตัวเอง ย่อมต้องบังคับให้เขียนมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงอยู่แล้ว ในของใช้ของเฟิงเป่ยเฉินหาไม่พบมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ต้นฉบับจะต้องถูกตาแก่นี่ทำลายทิ้งเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดแน่ ของอยู่ในหัวสมองของตาแก่นี่เท่านั้น เฟิงเป่ยเฉินเองก็ยอมรับแล้วเช่นกัน

เหมียวอี้ไม่ได้คลายผนึกวรยุทธ์เพื่อให้เขาใช้พลังอิทธิฤทธิ์เขียนบนแผ่นหยก แต่ฝนหมึกโยนให้เขาเขียนเองตามสะดวก “มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง เขียนสิ!”

“ถ้าข้าเขียนแล้วเจ้าจะปล่อยข้าไปเหรอ?” เฟิงเป่ยเฉินถามด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก

“ตราบใดที่เจ้ากลับตัวอย่างจริงใจ ข้าก็ไม่ถือสาที่จะให้เจ้าเป็นผู้ช่วยเอาไว้ต้านทานคนอื่นๆ จะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า เหมียวไม่จำเป็นต้องอธิบายเยอะ” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วหันตัวเดินออกไป แต่พอเดินไปถึงประตูแล้วก็หยุดฝีเท้า หันกลับมาถามว่า “มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงแบ่งเป็นสามภาค มีภาคฟ้า ภาคดิน ภาคคน ในมือเจ้ามีแค่ภาคคน ข้าพูดไม่ผิดใช่มั้ย?”

เฟิงเป่ยเฉินตกตะลึงพรึงเพริด เบิกตากว้างมองเขา ไม่รู้ว่าเขาไปได้ข่าวนี้มาจากไหน ความลับนี้มีเพียงหกปราชญ์เท่านั้นที่รู้ชัด พวกเขาไม่มีทางเปิดเผยต่อคนนอกเด็ดขาด นี่ก็เป็นสาเหตุที่พวกเขาพยายามหาทางจะขึ้นเรือมังกรอเวจีครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่อย่างนั้นถ้าข่าวหลุดออกไป ก็เกรงว่าจะดึงดูดให้คนอื่นๆ คิดหาทางขึ้นเรือมังกรอเวจีเหมือนกัน ทำให้การปกครองพิภพเล็กของพวกเขาสั่นคลอน ดังนั้นต่อให้เป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุด พวกเขาก็ไม่มีทางบอกเหมือนกัน

ในขณะที่ตกใจ เฟิงเป่ยเฉินก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้ารู้เรื่องนี้มาจากไหน?”

เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “ฉบับสมบูรณ์ของมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ถึงแม้ข้าจะจำไม่ได้ แต่กลับเคยเห็นจากมือของเทพพยากรณ์ ข้าขอจากเทพพยากรณ์แต่เขาไม่ยอมให้ แต่ถ้านำฉบับที่เจ้าเขียนให้ไปขอให้เขาช่วยเทียบสักหน่อยก็ไม่มีปัญหา ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าคิดไม่ซื่อ ถ้าเขียนผิดไปสักตัวอักษรเดียว ก็อย่าโทษว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้าแล้วกัน และข้าก็ไม่ให้โอกาสครั้งที่สองกับเจ้าด้วย เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน”

ไม่ได้ใช้วิธีการสุดโต่งอะไรมาบีบบังคับ พูดจบก็เดินก้าวยาวออกไป

ผ่านไปครู่เดียว หลิงเทียนก็เดินเข้ามาอีก มายืนกอดอกเฝ้าเขาในห้องหนังสือ

เฟิงเป่ยเฉินยังคงจมอยู่ในคำพูดเหมียวอี้ ไม่น่าเชื่อว่าในมือเทพพยากรณ์จะมีฉบับสมบูรณ์ของมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงด้วย? ตกลงว่าเป็นไปได้หรือเปล่า? คิดไปคิดมาก็พบว่าบนตัวเหมียวอี้มีของที่มาจากเรือมังกรอเวจี ก่อนหน้านี้ก็ถามได้ความจากปากฉินเวยเวยว่าของมาจากเทพพยากรณ์จริงๆ หรือพูดได้อีกอย่างว่าเทพพยากรณ์อาจจะเคยขึ้นเรือมังกรอเวจีจริงๆ หรือแปลว่าอาจจะได้ฉบับสมบูรณ์ของมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงมาแล้วจริงๆ

และสิ่งที่เขากังวลที่สุดในตอนนี้ก็คือ หลังจากเหมียวอี้ได้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงจากมือตนไปแล้ว จะฆ่าคนทิ้งหรือเปล่า ตอนนี้การรักษาชีวิตต่างหากที่สำคัญที่สุด

เมื่อลองคิดดูให้ละเอียด ก็พบว่าศักยภาพของตนมีคุณค่ามหาศาลสำหรับให้เหมียวอี้ใช้ประโยชน์จริงๆ ถ้าอยากจะจะต้านทานอีกห้าปราชญ์ ตนก็ยังสามารถแสดงประโยชน์ได้ ถ้าเปลี่ยนให้ตนเป็นเหมียวอี้ ก็จะต้องใช้ตนเป็นไพ่ลับแน่นอน อาศัยทรัพยากรฝึกตนมหาศาล รอให้พลังของเขาเหนือกว่าที่ตนจะควบคุมเขาได้ เขาจะต้องเอาตนมาใช้ประโยชน์แน่นอน ก่อนเขาจะได้ครอบครองใต้หล้า การฆ่าตนก็มีความเป็นไปได้ไม่ค่อยสูง

อันที่จริง ก่อนหน้านี้เขาไม่ใช่แค่อยากได้ของบนตัวเหมียวอี้เท่านั้น อยากจะจับเป็นเหมียวอี้มาควบคุมแล้วใช้เป็นไพ่ใบสุดท้ายเช่นกัน เมื่อลองคิดในมุมของอีกฝ่าย ก็รู้สึกว่าตัวเองยังมีโอกาสรอดชีวิต

ขอเพียงผ่านด่านตรงหน้านี้ไปได้ รักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้ ตราบใดที่ภูเขายังเขียวขจี ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไร้ไม้ฟืน[1] ในภายหลังอาจจะมีโอกาสเงยหน้าอ้าปากก็ได้

หลังจากคิดได้แบบนี้แล้ว เฟิงเป่ยเฉินที่ไหล่หักหนึ่งข้างก็หยิบพู่กันขึ้นมา แล้วเริ่มปูกระดาษเขียนหนังสือ

ความคิดแบบนี้ของเขา อันที่จริงก็มีส่วนในการปลอบใจตัวเองอยู่บ้าง

คนบางคนก็รู้อยู่แล้ว ว่าไม่ว่าจะเลือกซ้ายหรือขวาตัวเองก็ตายอยู่ดี บางคนก็จะมีความคิดว่า ต่อให้ข้าตายแต่ก็จะไม่ให้เจ้าสมหวัง แต่คนบางคนกระดูกไม่ได้แข็งขนาดนั้น ต่อให้มีโอกาสรอดชีวิตแม้เพียงหนึ่งในหมื่น ก็จะลองพยายามดูสักหน่อยอยู่ดี ถ้าจะให้เอะอะก็ทุ่มสุดชีวิต พวกเขาทำเรื่องแบบนั้นไม่ลง

…………………………

[1] ตราบใดที่ภูเขายังเขียวขจี ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไร้ไม้ฟืน 留得青山在 不愁没柴烧 หมายถึงตราบใดที่มีชีวิตก็ย่อมมีหวัง

1108

 

 

บทที่ 1109 เฟิงเป่ยเฉินล้ม

ในห้องอีกห้องหนึ่ง หลังจากเหมียวอี้โยนพู่กัน แท่นฝนหมึกและกระดาษให้ ก็เตือนเพียงว่า “มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง เจ้าฝึกได้เท่าไรก็เขียนออกมาเท่านั้น ถ้าเจ้าเขียนต่างจากอาจารย์ของเจ้า ก็รับผลที่ตามมาเองแล้วกัน”

หลี่โม่จินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “อาจารย์ข้าจะเขียนเหรอ?”

“ข้าว่าเจ้ารู้จักเฟิงเป่ยเฉินดีกว่าข้านะ เจ้าคิดว่าเขากระดูกแข็งขนาดไหนล่ะ?” เหมียวอี้ถามกลับ

ความเงียบช่างมีค่าดั่งทองจริงๆ หลี่โม่จินไม่พูดอะไรมากแล้ว เริ่มฝนหมึกอย่างช้าๆ ยกพู่กันขึ้นมาเขียนของตัวเอง…

เหมียวอี้ถึงขั้นไม่ส่งคนไปเฝ้าเขา เหาะขึ้นมาเหยียบบนตึกที่สูงที่สุดของนภาอู๋เลี่ยง จ้องมองฉินซีและลูกสาวเดินเคียงข้างกันอยู่ในสวนดอกไม้ ไม่น่าเชื่อว่าฉินซีที่มีใบหน้าเย็นชามาตลอดจะเผยรอยยิ้มออกมาเป็นระยะ รอบข้างว่างเปล่าไร้คน ทั้งสองพูดคุยกันไม่หยุด

เขากำลังคิดว่าทำไมฉินซีถึงคลอดฉินเวยเวยไว้ให้หยางชิ่ง มีความเป็นไปได้ไม่น้อยว่าจะใช้วิธีนี้ล้างแค้นเฟิงเป่ยเฉิน ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าฉินซีจะบอกความจริงกับฉินเวยเวยหรือไม่ ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมหยางชิ่งจึงต้องเป็นพ่อบุญธรรมของฉินเวยเวย ถ้าให้ฉินเวยเวยรู้ว่าตัวเองเป็นลูกสาวนอกสมรส แล้วนางจะทนความรู้สึกได้อย่างไร!

ถ้าไม่ใช่เพราะโดนกดดันจนหมดทางเลือก เหมียวอี้ก็สงสัยว่าหยางชิ่งคงจะปิดบังเรื่องนี้กับตนตลอดไป

ขณะที่มองไปโดยรอบ ในใจเหมียวอี้ก็แอบคำนวณเวลาว่าปราชญ์อีกห้าคนจะมาถึงเมื่อไร คาดว่าหลังจากคนพวกนั้นของนภาอู๋เลี่ยงหนีไปแล้ว ข่าวที่อยู่รอบๆ ก็น่าจะมั่วรวมกันเป็นกลุ่ม หวังไม่ให้มีคนปล้นชิงตามไฟ ไปปล้นทรัพย์สินและสิ่งของในโลกมนุษย์

เขาไม่อยากเห็นทั้งแดนอู๋เลี่ยงเกิดความโกลาหล ชาวบ้านตกอยู่ในความทุกขเวทนา แต่พอลองเปลี่ยนความคิด ก็คาดว่าต่อให้มีคนต้องการจะปล้น ก็คงจะลงมือกับบ้านที่ร่ำรวยพวกนั้น คงปล้นเอาอะไรจากมือชาวบ้านธรรมดาไม่ได้ ทั้งยังเสียเวลาด้วย

ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าท่านทูตแต่ละสายทราบข่าวแล้วจะมายอมจำนนหรือเปล่า แต่คิดไปคิดมาก็พบว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ คาดว่าคงรอตัดสินใจอีกทีหลังจากเห็นสถานการณ์สุดท้าย ถ้าจะให้ยอมจำนน คาดว่าคงมีความเป็นไปได้มากกว่าที่จะไปขอพึ่งอีกห้าปราชญ์ ถ้าอยากจะทำให้แดนอู๋เลี่ยงสงบลง หลักๆ ก็ยังต้องรอผลลัพธ์ระหว่างเขากับปราชญ์อีกห้าคนก่อน

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม สงเวย ฝูชิง อิงอู๋ตี๋และหงเทียนก็มาพร้อมกัน พอทั้งสี่คนที่เหาะลงมากฟ้ารู้ว่าเฟิงเป่ยเฉินแพ้แล้ว พวกเขาก็มองหน้ากันเลิกลั่ก

ห้าคนพี่น้องพูคุยกันได้ไม่นาน ราชาปีศาจและแม่ทัพปีศาจกลุ่มหนึ่งของทะเลดาวนักษัตรก็ทยอยกันมาถึง ประมุขถิ่นทั้งสี่ทำตามเจตนาของเหมียวอี้ทันที วางกำลังพลไว้รอบๆ นภาอู๋เลี่ยงแล้ว รอการมาถึงของห้าปราชญ์อย่างเงียบๆ

ตรงนี้เพิ่งจะแบ่งวางกำลังพล เหมียวอี้ก็ตบเกราะรบที่สวมไว้บนร่างกายตลอด พร้อมพูดกับทั้งสี่ด้วยรอยยิ้มว่า “สวมเกราะรบของพิภพใหญ่เอาไว้เถอะ”

ทั้งสี่สบตากันแวบหนึ่ง ฝูชิงกล่าวอย่างลังเลว่า “เจ้าห้า แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ? เกรงว่าต่อให้สวมเกราะรบ พวกเราก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกขาอยู่ดี”

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “ข้ามีแผนการของตัวเองแล้ว”

ในตอนนี้ ฉินเวยเวยกับฉินซีมาถึงแล้ว กลุ่มปีศาจเฒ่าจ้องที่ตัวของฉินซีแล้ว ไม่ได้จ้องเพราะความสวยของฉินซี แต่แปลกใจที่เหมียวอี้ไม่ได้ฆ่านางทิ้ง

สงเวยส่งสายตาแปลกๆ ให้ทุกคน หัวเราะแบบไมม่มีเสียง แล้วบอกว่า “เจ้าห้านี่เข้าใจเสพสุขนะ!”

เหมียวอี้กล่าวอย่างดูถูกว่า “ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกท่านคิดหรอก”

“ไม่ต้องพูดถึงความงามของผู้หญิงคนนี้เลย ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเนื้อต้องห้ามส่วนตัวของเฟิงเป่ยเฉินได้ยังไง ถ้าเจ้าห้าไม่สนใจ งั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้วนะ” สงเวยกล่าวกลั้วหัวเราะ

เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าขรึม “พี่ใหญ่ นางยอมแพ้ให้ข้าแล้ว ตอนนี้เป็นลูกน้องของข้าแล้ว”

“อ้อ!” สงเวยขานรับด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหมายลึกซึ่ง ปีศาจเฒ่าทั้งสี่สบตากันแวบหนึ่งแล้วยิ้ม ทุกคนทำท่าทางเหมือนรู้อยู่แก่ใจ ชัดเจนว่าเข้าใจว่าเหมียวอี้อยากจะเก็บไว้เป็นเนื้อต้องห้ามของตัวเอง

ฝูชิงแอบเตือนเสียงเรียบ “เจ้าห้า น้องสะใภ้ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะรังแกกันได้ง่ายๆ นะ ต้องปลอบโยนดีๆ ล่ะ! ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องในบ้านวุ่นวายขึ้นมา พวกเราก็ไม่มีมีใครจะช่วยได้ทั้งนั้น”

พอนึกถึงอวิ๋นจือชิวที่ค่อนข้างหยาบคาย พวกปีศาจเฒ่าที่เคยได้รับบทเรียนมาแล้วก็แอบหัวเราะพร้อม

เหมียวอี้กลอกตามองบน ถ้าพวกเขาอยากจะคิดเบี่ยงเบนไปทางนั้น เหมียวอี้ก็ช่วยไม่ได้ ประเด็นสำคัญคือเรื่องนี้ไม่มีทางอธิบายได้ ในใจก็ยิ้มเจื่อนเหมือนกัน เกิดเป็นผู้หญิงหากสวยเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลยจริงๆ โดยเฉพาะเวลาที่สูญสิ้นคนหนุนหลัง ก็กลายเป็นแค่เนื้อก้อนเดียวเท่านั้น ใครจะอยากจะคีบใส่ชามตัวเองไปลองชิมก็ได้ทั้งนั้น

ตอนที่ฉินเวยเวยมาคำนับพวกพี่ชาย ปีศาจเฒ่าทั้งสี่ก็ทำท่าทางเรียบร้อยจริงจังขึ้นมา ส่วนฉินซีก็ยืนดูอย่างสงบนิ่งอยู่ไกลๆ

บังเอิญว่าตอนนี้หลิงเทียนปรากฏตัวและพยักหน้าอยู่ไกลๆ เหมียวอี้สั่งอะไรพวกเขานิดหน่อยแล้วเอามือไขว้หลังเดินออกไปแล้ว

มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงส่วนที่หลี่โม่จินฝึก เหมียวอี้ได้มาไว้ในมือแล้ว ทั้งยังทำสำเนาไว้บนแผ่นหยกแล้วด้วย

พอมาถึงห้องหนังสือ ก็หยิบปึกกระดาษที่เฟิงเป่ยเฉินเขียนขึ้นมา ถึงแม้อีกฝ่ายจะบาดเจ็บสาหัส แต่ตัวอักษรก็ยังสวยงามกว่าที่เหมียวอี้เขียนไม่รู้ตั้งกี่เท่า หลังจากอ่านไปนิดหน่อย ก็ถือปึกกระดาษไขว้หลัง แล้วจ้องมองเฟิงเป่ยเฉินที่ค่อนข้างเครียดกังวล “จะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง รอให้ได้จากเทพยากรณ์มาเปรียบเทียบก่อน ต้องมีตรงไหนเขียนผิด เวลาตายของเจ้าก็จะมาถึง”

“ไม่มีผิดพลาด! ไม่ผิดพลาดแน่นอน!” เฟิงเป่ยเฉินกล่าวอย่างนอบน้อม

เหมียวอี้หันตัวเดินมานั่งลงอีกด้าน พลิกดูแผ่นหยกที่คัดลอกมาจากมือหลี่โม่จิน แล้วเทียบกับที่เฟิงเป่ยเฉินเขียน

เมื่อเห็นเขาดูแผ่นหยก แล้วก็ดูสิ่งที่ตัวเองเขียน เฟิงเป่ยเฉินก็แอบตกใจ อย่าบอกนะว่าในมือเขามีอยู่ตั้งนานแล้ว เพียงจงใจจะหยั่งเชิงว่าตนซื่อสัตย์หรือไม่?

ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าลูกศิษย์ตัวเองอยู่ในมือเหมียวอี้แล้ว

บางครั้งเหมียวอี้ก็มองเห็นปฏิกิริยาของเฟิงเป่ยเฉินอย่างเงียบๆ โดยบังเอิญเช่นกัน เห็นเพียงสีหน้าที่เฝ้าคอยและเครียดกังวล

หลังจากเทียบเนื้อหาที่หลี่โม่จินเขียนและเนื้อหาที่เฟิงเป่ยเฉินเขียนแล้ว ในใจเหมียวอี้ก็พอจะมีข้อมูลคร่าวๆ เทียบมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงที่หลี่โม่จินฝึกกับของเฟิงเป่ยเฉินแล้ว พบว่าไม่มีผิดพลาด จะเห็นได้ว่าอาจารย์และลูกศิษย์คู่นี้ ‘ซื่อสัตย์’มาก

ทว่าหลังจากเหมียวอี้เปรียบเทียบเสร็จแล้ว กลับกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “บังอาจหลอกลวงตบตา…หลิงเทียน ส่งเขาขึ้นไปเถอะ!”

เฟิงเป่ยเฉินอุทานอย่างตกใจมาก “เป็นไปไม่ได้ ไม่ผิดพลาด ไม่ผิดพลาดแน่นอน! ข้าจดจำมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงไว้ในสมอง แม้แต่ตัวอักษรเดียวก็ไม่ผิด ฉบับที่อยู่ในมือเจ้าจะต้องมีปัญหาแน่นอน ให้ข้าดูฉบับที่อยู่ในมือเจ้าหน่อย!”

เหมียวอี้จ้องเขาครู่หนึ่ง แล้วเอียงหน้าเล็กน้อย “ทำให้เขาหมดทุกข์ซะ!”

“ไอ้เหมียวจัญไร…” เสียงอุทานตกใจของเฟิงเป่ยเฉินพลันหยุดชะงัก ถลึงดวงตาเบิกกว้าง เลือดร้อนๆ พุ่งออกมาจากคอ ส่วนคอแทบจะถูกกรงเล็บของหลิงเทียนฉีกขาด จนกระทั่งตอนนี้ เฟิงเป่ยเฉินถึงได้เข้าใจว่าเหมียวอี้จงใจจะหาเรื่องฆ่าเขาอยู่แล้ว

แต่เขาไม่เชื่อ ก่อนที่จะแน่ใจได้เต็มที่ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม เขาจะฆ่าตนได้อย่างไร? อย่าบอกนะว่าในมือเขาจะมีมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงจริงๆ? ถ้าหากมีจริงๆ แล้วก็อยากฆ่าตนอยู่แล้ว ก็ลงมือตรงๆ เลยก็ได้ ทำไมต้องให้ข้าเขียนด้วย ไม่สอดคล้องกับเหตุผล…

ความคิดสุดท้ายแวบผ่านเข้ามาในหัว พอคอเอียงลง ร่างที่ไม่สมประกอบก็ล้มนั่งลงบนที่นั่งเดิมของตัวเอง ตายตาไม่หลับ!

เหมียวอี้นำของที่อีกฝ่ายเขียนม้วนเก็บไว้ด้วยกัน จ้องศพของเฟิงเป่ยเฉินครู่หนึ่ง แล้วหันตัวเอามือไขว้หลังเดินออกไป

เขาไม่สนใจแล้วว่าจะเป็นของจริงหรือของปลอม เดาว่าคนอย่างเฟิงเป่ยเฉินคงไม่กล้าให้ของปลอมอยู่แล้ว ถ้าสงสัยก็แค่ไปหาคนมาฝึกก็พอ ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงเคล็ดวิชาภาคคน

จุดสำคัญก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าหนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยจะไร้ซึ่งจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรีขนาดนี้ เกียรติอันสูงส่งสักนิดก็ไม่เอาแล้ว ถ้าเป็นคนประเภทสวีถังหรานก็ว่าไปอย่าง แต่เฟิงเป่ยเฉินดันมีจิตใจทะเยอทะยานถึงขีดสุด ถามหน่อยว่าต่อไปยังมีเรื่องอะไรบ้างที่เขาจะทำไม่ได้ เหมียวอี้ไม่กล้าเก็บเขาไว้ และไม่อยากเก็บเขาไว้ด้วย ให้เขาตายไวๆ ก็นับว่าหลงเหลือเกียรติไว้ให้เขาแล้ว

ที่จริงในสายตาเหมียวอี้ คนประเภทเฟิงเป่ยเฉินที่อยู่เหนือผู้คนมานานนับแสนปี วิธีการตายที่มีเกียรติที่สุดก็คือตายในสนามรบ ไม่ใช่ตายด้วยจิตใจที่ไร้ซึ่งความหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่อย่างนั้นคนในใต้หล้าจะรู้สึกอย่างไร ขนาดเหมียวอี้ยังทนมองไม่ไหว แต่เฟิงเป่ยเฉินดังยอมถ่วงเวลาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป…

ศพของเฟิงเป่ยเฉินถูกหลิงเทียนลากออกมา ถูกนำมาโยนไว้ในลานบ้าน โยนอยู่ตรงเท้าของพวกสงเวย

พวกเขาจ้องศพเฟิงเป่ยเฉินแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลงอนิจจัง สงเวยถอนหายใจ “มีอำนาจล้มใต้หล้า เสพสุขจากเกียรติยศความร่ำรวยมาเต็มที่ ทั้งชีวิตนี้เฟิงเป่ยเฉินก็ไม่ได้นับว่าเสียชาติเกิด!”

ฉินซีเดินเข้ามาเงียบๆ แล้วบอกเหมียวอี้ว่า “คนตายแล้วบุญคุณความแค้นก็หมดไป ความขัดแย้งของพวกท่านก็หายไปแล้วเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องข่มเหงศพของเขาเช่นนี้ ถึงอย่างไรข้ากับเขาก็เคยเป็นสามีภรรยากัน มอบศพของเขาให้ข้าเถอะ ถือว่าให้ข้าได้ตัดจบเรื่องนี้”

เหมียวอี้พยักหน้า “ช้าก่อน! รอให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนมาถึง หลังจากพวกเขาเห็นหมดแล้ว ท่านค่อยฝังศพให้!”

ฉินซียังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เหมียวอี้หันตัวเดินจากไปแล้ว ไม่เหลือที่ว่างให้ปรึกษากันเลย

สงเวยหันกลับมาบอกว่า “แขวนธงไว้!”

นี่คือสิทธิ์ของผู้ชนะ และเป็นการประกาศว่าแดนอู๋เลี่ยงเปลี่ยนเจ้าของแล้ว

ผ่านไปไม่นาน เสาธงที่สูงตระหง่านก็ตั้งอยู่บนพื้นที่ว่างของนภาอู๋เลี่ยงอย่างโดดเด่นสะดุดตา ร่างของเฟิงเป่ยเฉินถูกแขวนปลิวสะบัดตามลมอยู่ข้างบน ดวงตาทั้งสองข้างยังคงเบิกโพลง

เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาหลายปี คุ้นเคยกับทุกอย่างที่นภาอู๋เลี่ยง เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะยังมองเห็นหรือไม่

เหมียวอี้เองก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งสือ นั่งบนตำแหน่งเดียวกับที่เฟิงเป่ยเฉินนั่งก่อนหน้านี้ บนโต๊ะยังมีรอยเลือด เหมียวอี้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น สีหน้าเรียบเฉย กำลังถือพู่กันคัดตัวอักษร ท่าทางเหมือนมีสมาธิจดจ่อ

หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม หงเทียนก็วิ่งเข้ามา แล้วกล่าวอย่างร้อนใจว่า “เจ้าห้า มู่ฝานจวินมาแล้ว!”

สายตาไปหยุดอยู่บนกระดาษที่ปูแผ่แล้วชะงัก ยังนึกว่าเขียนอะไรที่สำคัญ พอได้เห็นถึงรู้ว่าเขียนไปส่งเดชอย่างนั้นเอง นึกไม่ถึงว่าในเวลาแบบนี้เหมียวอี้จะมีกะจิตกะใจมาคัดตัวอักษร!

“แดนเซียนกับแดนพุทธะอยู่ใกล้ที่นี่ ข้ากำลังคิดอยู่ว่าในบรรดาพวกเขาสองคนใครจะมาถึงก่อน!” เหมียวอี้พูดจบแล้วหยุดเขียนพู่กัน วางพู่กันเอาไว้ส่งเดช แล้วบอกว่า “ไป! ไปดูหน่อย!”

พอมาถึงด้านนอกถึงได้พบว่ามู่ฝานจวินยังอยู่บนฟ้า กำลังลอยอยู่ข้างๆ เสาธงต้นนั้น มองดูศพของเฟิงเป่ยเฉินเงียบๆ ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไร

เหมียวอี้ที่ปรากฏตัวในลานบ้านกุมหมัดคารวะแต่ไกลๆ “ท่านปราชญ์มาเยือนด้วยตัวเอง ขออภัยที่ข้าน้อยไม่ได้ไปต้อนรับใกล้ๆ!”

มู่ฝานจวินเอียงหน้ามองลงมา แล้วถลันตัวลงมา ย้ายสายตาจากเกราะรบบนตัวเหมียวอี้ไปยังพวกฝูชิงที่ยืนเรียงแถวอยู่ข้างหลัง

ทั้งสี่ล้วนสวมใส่เกราะรบผลึกแดง ล้วนเป็นชุดที่อวิ๋นจือชิวมอบให้ ถึงแม้จะสู้เกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงบนตัวเหมียวอี้ไม่ได้ แต่ของที่ไม่เคยเห็นที่พิภพเล็กมารวมตัวและโผล่อยู่ตรงหน้ามู่ฝานจวินแล้ว ยังทำให้มู่ฝานจวินตาเป็นประกาย

“พวกเจ้าร่วมมือกันฆ่าเฟิงเป่ยเฉินเหรอ?” มู่ฝานจวินถามอย่างเย็นเยียบ

เหมียวอี้ยิ้มตอบ “ถ้าข้าจะฆ่าเขาก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ไม่จำเป็นต้องให้พวกพี่ๆ มาร่วมมือกกันหรอก ถ้าร่วมมือกันจริงๆ ท่านปราชญ์คงไม่ได้มีโอกาสรับข่าวจากเฟิงเป่ยเฉินเหมือนกัน ข้าน้อยทำคนเดียว! ที่จริงข้าก็น้อยก็ไม่อยากจะฆ่าเขา แต่เขาดึงดันจะหาเรื่องข้าน้อยให้ได้ ตัวเองมารนหาที่ตายเอง เช่นนั้นข้าน้อยก็ไม่มีอะไรให้เกรงใจ!”

“ฆ่าเขาง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ?” มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม “ฟังจากความหมายในคำพูดของเจ้า เหมือนกำลังพูดสิ่งนี้ให้ข้าฟังนะ เจ้ากำลังขู่ข้าเหรอ?”

เหมียวอี้กุมหมัดตอบ “มิบังอาจ! ต่อให้จะขู่ใครแต่ก็ไม่กล้าขู่ท่าน ท่านเองก็รู้สาเหตุ” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ เยว่เหยายังอยู่ในมือท่าน

1109

 

บทที่ 1110 ห้าปราชญ์รวมตัวกัน

ถึงแม้จะพูดจาน่าฟัง แต่มู่ฝานจวินก็ไม่ใช่คนโง่ จากบนตัวเหมียวอี้นางมองไม่ออกเลยว่าเขาเห็นนางอยู่ในสายตา

“เกราะรบบนตัวเจ้าแปลกตาดีนะ เอามาให้ข้าดูหน่อยสิ” มู่ฝานจวินยื่นมือขอตรงๆ

เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องรีบ! รอให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนมาก่อน ทุกคนจะได้ค่อยๆ ดูพร้อมกันขอรับ”

มู่ฝานจวินส่งสายตาที่คมกริบราวกับคมมีดทันที “เจ้ากล้าไม่ฟังข้าเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็นว่า “มิบังอาจ! เพียงแค่ตอนนี้ไม่สะดวกจะให้ พวกเราต้องสวมเอาไว้ขู่คนสักหน่อยขอรับ!”

ย่อมไม่ต้องบอกแล้วว่าขู่ใคร! มู่ฝานจวินเดือดดาลในใจ เกิดอารมณ์วู่วามอยากจะลงมือ ในโลกนี้มีคนกล้าพูดกับนางแบบนี้เพียงไม่กี่คน โดยเฉพาะเหมียวอี้ที่ก่อนหน้านี้ยังพูดจาเคารพนอบน้อมต่อหน้านาง ยากที่จะดับไฟโกรธที่เดือดอยู่ในอก

แต่พอเห็นสีหน้าที่สงบนิ่งของเหมียวอี้ ทั้งยังประมุขถิ่นทั้งสี่ที่ทำท่าจ้องมองอย่างดุร้าย แล้วนึกเชื่อมโยงไปยังร่างของเฟิงเป่ยเฉินที่ยังแขวนอยู่บนเสาธง นางยังไม่รู้ชัดว่าศักยภาพของเหมียวอี้เป็นอย่างไรกันแน่ สุดท้ายก็ยังไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร

เหมียวอี้เบี่ยงตัวแล้วยื่นมือเชิญ “เชิญข้างในขอรับ!”

ทำท่าทางเหมือนนภาอู๋เลี่ยงเป้นบ้านของเขาไปแล้ว มู่ฝานจวินมองซ้ายมองขวาดูสถานการณ์ของที่นี่แวบหนึ่ง นางไม่ได้กลัวว่าข้างหน้าจะมีการดักซุ่มโจมตี นางเดินก้าวยาวเข้าไป  ถูกเชิญให้ไปนั่งลงในสวนดอกไม้

เพิ่งนั่งได้ประเดี๋ยวเดียว ปราชญ์พุทธะฉางเหลยก็มาถึงแล้ว เช่นเดียวกับมู่ฝานจวิน หยุดลอยอยู่บนฟ้าเช่นกัน ขณะจ้องมองร่างที่ตายตาไม่หลับของเฟิงเป่ยเฉิน ก็ดึงนับสร้อยลูกประคำในมือที่ละเม็ด

เหมียวอี้เดินออกมาจากศาลา แล้วกุมหมัดทักทาย “ปราชญ์พุทธะให้เกียรติมาเยือน ถือเป็นเกียรติของบ้านนี้ ขออภัยที่ไม่ได้ไปรับใกล้ๆ!”

บ้านนี้? ฉางเหลยเหลือบตาลงมอง แอบด่าในใจว่าเจ้าเด็กนี่กำเริบเสิบสานนัก ไม่เกรงใจเลยสักนิด เห็นนภาอู๋เลี่ยงเป็นบ้านตัวเองไปแล้วจริงๆ

“เชอะ!” มู่ฝานจวินที่นั่งสง่าอยู่ในศาลาพ่นเสียงทางจมูก

สงเวยและคนอื่นๆ ที่อยู่ในศาลาแอบส่งสายตาให้กัน วันนี้เจ้าห้าไม่ได้กำเริบเสิบสานธรรมดา!

“อามิตาพุทธ!” ฉางเหลยประนมมือพลางกล่าวต่อศพของเฟิงเป่ยเฉิน แล้วถลันตัวไปตรงหน้าเหมียวอี้ หรี่ตายิ้มเหมือนมีเมตตากรุณา แต่ในดวงตากลับฉายแววดุร้าย

เขายังไม่ทันพูดอะไร มู่ฝานจวินที่อยู่ในศาลาก็กล่าวแล้วว่า “ไม่ต้องถามแล้ว เขาเป็นคนฆ่าเฟิงเป่ยเฉิน! พระเถระ ท่านเองก็ไม่ต้องมาแสร้งทำตัวมีเมตตาตรงนี้แล้ว ถ้ามองเขาแล้วไม่ถูกชะตา  ก็ลงมือได้เลย ข้ารับรองว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซง!”

นางอยากจะให้ฉางเหลยทดสอบฝีมือของเหมียวอี้ใจจะขาด

เหมียวอี้ยิ้มบางๆ ทำท่ายื่นมือเชิญไปทางในศาลา “เชิญขอรับ!”

ฉางเหลยประนมมือขอบคุณ คนที่ออกบวชมีความสุภาพเกรงใจเต็มเปี่ยม ไม่ฟังคำพูดเสี้ยมเขาควายของมู่ฝานจวินเพื่อให้อีกฝ่ายได้ผลประโยชน์ เขามานั่งลงในศาลาแล้ว

เหมียวอี้ให้พวกเขาดื่มน้ำชา แต่เห็นได้ชัดว่ามู่ฝานจวินและฉางเหลยกลัวว่าเขาจะเล่นไม่ซื่อ ไม่มีใครแตะต้องถ้วยน้ำชาที่วางอยู่ตรงหน้า

“ค่อยๆ ดื่ม!” เหมียวอี้เอ่ยบอก แล้วขออภัยที่นั่งเป็นเพื่อนไม่ได้ พอออกจากศาลามาแล้ว ก็พูดกับพวกสงเวยที่ยืนอยู่รอบๆ ศาลาว่า “รอให้แขกมากันครบแล้ว รบกวนแจ้งข้าสักหน่อยนะ”

ทั้งสี่ที่สวมเกราะรบพยักหน้าเบาๆ เกราะรบ เหมียวอี้เอเมือไขว้หลังเดินจากไปอย่างไม่รีบร้อน ไม่ต้องมองเขาก็รู้ว่าสายตาของฉางเหลยกับมู่ฝานจวินกำลังจ้องอยู่บนตัวเขา

หลังจากกลับมาถึงห้องหนังสือ เหมียวอี้ก็นั่งลงหน้าโต๊ะที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ถือพู่กันคัดตัวอักษรต่อไป

ผ่านไปอีกสองชั่วยาม ปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวก็มาถึงแล้วเช่นกัน เหมือนกับสองคนแรก เขาจ้องมองศพของเฟิงเป่ยเฉินอยู่พักใหญ่

“ผีเฒ่า เจ้าบ้านเชิญเจ้าดื่มน้ำชาน่ะ” จนกระทั่งเสียงของมู่ฝานจวินดังมา ซือถูเซี่ยวถึงได้ถลันตัวมาเหยียบลงนอกศาลา พอเห็นสองคนที่อยู่ในศาลาแล้วถึงได้เดินเข้าไป

ขณะที่แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องทั่วท้องฟ้า ตรงขอบฟ้าก็มีเมฆดำสายหนึ่งวาดผ่านฟ้าเข้ามา เมฆมารไหลกลิ้งขึ้นมาบนฟ้า ลอยลงช้าๆ เข้าใกล้ตรงหน้าเสาธงต้นนั้นเช่นเดียวกัน

อวิ๋นอ้าวเทียนที่ยืนอยู่ท่ามกลางเมฆมารจ้องศพของเฟิงเป่ยเฉินด้วยสายตาเย็นเยียบ ในบรรดาห้าปราชญ์ที่มา เหมือนทุกคนก็จะจ้องศพของเฟิงเป่ยเฉินนานมาก

ส่วนข้างกายอวิ๋นอ้าวเทียน ยังมีอีกคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางเมฆมารที่พัดม้วน ไม่ใช่ใครที่ไหน อวิ๋นจือชิวนั่นเอง

อวิ๋นจือชิวเลี้ยวกลับมาจากทางที่จะไปแดนมาร ต้องการจะมาดูสถานการณ์ที่นภาอู๋เลี่ยง แต่ใครจะคิดว่าจะบังเอิญเจอกับอวิ๋นอ้าวเทียนที่ออกเดินทางทีหลังแต่มาถึงก่อน จึงถูกพาตัวมาด้วยกัน

เมื่อได้เห็นร่างที่ดับอนาถของเฟิงเป่ยเฉินแขวนอยู่ที่นี่ อวิ๋นจือชิวก็รู้สึกว่าเหมียวอี้ทำเรื่องนี้อย่างประมาทเลินเล่อเกินไปแล้ว นี่เป็นการอวดบารมีต่อหน้าห้าปราชญ์อย่างโจ่งแจ้งชัดๆ ราวกับกำลังบอกอีกห้าปราชญ์ว่า เฟิงเป่ยเฉินโดนข้าสังหารตายแล้ว ไม่มีการปิดบังเลยสักนิด

อวิ๋นจือชิวมองอวิ๋นอ้าวเทียนเงียบๆ แวบหนึ่ง กังวลว่าการกระทำของเหมียวอี้จะยั่วให้ท่านปู่ของตัวเองโมโห

“มารเฒ่า หลานเขยตัวดีของท่านเชิญท่านมาดื่มน้ำชาน่ะ” เสียงที่เย็นเยียบพิศวงของซือถูเซี่ยวดังมา

อวิ๋นอ้าวเทียนก้มมองไปทางศาลาต้นเสียง เมฆมารพัดม้วนที่อยู่ใต้เท้าพลันมีบางอย่างสีดำแวบผ่านราวกับสายฟ้า ปราณมารกลายเป็นดาบด้ามหนึ่ง แกร๊ก ตัดทั้งเชือกทั้งเสาธงลงมาด้วยกันอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบ

เมื่อเสาธงที่ขาดครึ่งตกลงกระแทกพื้น ร่างที่ห้อยของเฟิงเป่ยเฉินก็ลอยลงบนเมฆมารอบ่างช้าๆ

เมฆมารพัดม้วนลงมาที่พื้น ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่ได้แค่เพียงจ้องศพของเฟิงเป่ยเฉิน อวิ๋นอ้าวเทียนยังปลดศพลงมาด้วย

พอลงมาข้างล่าง เมฆมารที่พัดม้วนก็เข้าไปในร่างกายของอวิ๋นอ้าวเทียน ทั้งสองเหยียบลงพื้น ร่างของเฟิงเป่ยเฉินก็นอนสงบอยู่บนพื้นแล้ว

“ให้ผู้ชายของเจ้าโผล่หัวออกมาพบข้า!” ขณะที่อวิ๋นอ้าวเทียนเดินเท้าเปล่าเข้าไปในศาลา ก็ทิ้งคำพูดไว้ให้อวิ๋นจือชิวด้วย

อวิ๋นจือชิวรีบถามพวกสงเวยที่เฝ้าอยู่รอบๆ “คนล่ะ?”

“เจ้าห้าอยู่ในห้องหนังสือ” สงเวยตอบ

เมื่อเห็นอีกสี่ปราชญ์มาถึงแล้ว อวิ๋นจือชิวก็รู้สึกกระวนกระวายใจ นางคุ้นเคยกับที่นี่ ไม่นานก็มาถึงห้องหนังสือแล้ว

พอเดินเข้าประตูมาก็ได้กลิ่นคาวเลือดทันที เห็นเพียงเหมียวอี้ที่สวมเกราะรบกำลังเขียนหนังสืออยู่บนโต๊ะที่มีรอยเลือด อวิ๋นจือชิวอึ้งนิดหน่อย เหมียวอี้ในเวลานี้ทำให้นางเกิดความรู้สึกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นางสังเกตภาพเหตุการณ์ในห้องอีกครั้ง ห้องหนังสือคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด โต๊ะหนังสือเปื้อนรอยเลือด เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบกำลังนั่งคัดตัวอักษรอย่างใจจดใจจ่ออยู่ตรงนั้น ให้ความรู้สึกกดดันบางอย่างที่หนักหน่วงถึงขีดสุด บอกไม่ถูกว่ารสชาติเป็นอย่างไร

ส่วนเหมียวอี้ก็เงยหน้ามองนางแวบหนึ่ง ถามอย่างประหลาดใจมากว่า “ฮูหยิน? ทำไมมาถึงเร็วขนาดนี้?”

“ระหว่างทางบังเอิญเจอท่านปู่ ข้าเองก็หลบไม่พ้น เลยถูกพาตัวมาด้วย เจ้ากำลังเขียนอะไรอยู่?” อวิ๋นจือชิวเดินมาข้างกายเขาแล้วก้มมอง พร้อมอ่านพึมพำว่า “ฝูงห่านริมแม่น้ำ ห่านลาย ห่านขาวใหญ่ หนึ่งสองสามสี่ห้า…”

อ่านต่อไปไม่ไหวแล้ว ภายใต้บรรยากาศแบบนี้ ยังนึกว่าเขียนอะไรที่สำคัญ ที่แท้ก็เขียนเพลงเด็กของโลกมนุษย์

เหมียวอี้ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเขียนเป็นอย่างไรบ้าง มีความคืบหน้ารึเปล่า?”

อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน แล้วชักพู่กันออกจากมือเขาโยนทิ้งเสียเลย “ข้าว่านะท่านขุนนางเหมียว นี่มันเวลาไหนแล้ว? ไฟไหม้ถึงขนคิ้วแล้ว ยังมีอารมณ์มาคัดอักษรที่นี่อีกเหรอ?”

“เจ้าคอยเร่งรัดให้ข้าคัดอักษรบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ? ข้าเชื่อฟังเจ้า พอมีเวลาก็ไม่อยากเกียจคร้าน” เหมียวอี้พูดหยอกล้ออยู่อย่างนั้น พอเขากระดกนิ้ว พู่กันที่โยนทิ้งไปก็กลับเข้ามาในมือเขาอีกครั้ง แล้วก็จุ่มลงในน้ำหมึก

อวิ๋นจือชิวยื่นมือไปกดข้อมือเขา “หนิวเอ้อร์ ท่านปู่ให้เจ้าไปพบเขา”

“เขาบอกให้ข้าไปหา ข้าก็ต้องไปหาเหรอ? เจ้าดูไม่ออกเหรอว่าเจ้ากำลังวางมาด?” เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ แล้วแกะมือนางออก “รออีกหน่อยเถอะ! ให้คนมาครบแล้วออกไปก็ยังไม่สาย”

อวิ๋นจือชิวประสาทเสียนิดหน่อย จับมือเขาอีกครั้ง “หนิวเอ้อร์ เจ้าคิดจะเล่นบ้าอะไรกันแน่?”

ส่วนด้านนอก ปราชญ์ปีศาจจีฮวนมาถึงแล้ว หลังจากเหยียบลงพื้นก็จ้องร่างเฟิงเป่ยเฉิน แล้วหันกลับมามองบรรดาคนคุ้นเคยในศาลา ถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

ที่จริงอวิ๋นอ้าวเทียนอยู่ห่างจากที่นี่ที่สุด พาอวิ๋นจือชิวมาด้วยแต่กลับนำหน้าจีฮวนมาแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้น

พอจีฮวนมาถึง หลิงเทียนก็วิ่งมารายงานที่ห้องหนังสือทันที “คุณชายห้า นมาครบแล้วขอรับ”

เมื่อเห็นว่ามีคนนอก อวิ๋นจือชิวก็รีบปล่อยมือที่จับเหมียวอี้ออกแล้ว

“เล่นอะไรลาะ?” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะกับอวิ๋นจือชิว “ไม่เล่นอะไรหรอก ข้าไม่เล่นอะไรกับพวกเขาหรอก!” เขาโยนปากกาในมือทิ้ง แล้วเดินออกไปเลย!

อวิ๋นจือชิวที่เดินตามก้นเหมียวอี้ออกไปยังคงครุ่นคิดว่าที่เขาพูดหมายความว่าอย่างไร ส่วนเหมียวอี้ที่เดินมาถึงนอกศาลาก็กุมหมัดคารวะมาแต่ไกลๆ บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว เหมียวมีธุระจึงล่าช้า ขออภัยที่ต้อนรับไม่ดี!”

ห้าปราชญ์แต่ละคนจ้องเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ เหมียวอี้เพิ่งจะเข้ามาในศาลา อวิ๋นอ้าวเทียนที่นั่งเงียบอยู่ในนั้นก็กล่าวอย่างเนิบนาบแล้วว่า “ฝังศพขอเฟิงเป่ยเฉินก่อน”

มู่ฝานจวินและอีกสามคนอึ้งอีกครั้ง หันไปมองเขาพร้อมกัน

เหมียวอี้ก็อึ้งเช่นกัน จากนั้นก็หันไปกำชับคนที่อยู่ข้างนอกว่า “ส่งให้ฉินซี ให้นางไปฝังแล้วกัน”

อวิ๋นอ้าวเทียนเอียงหน้าถาม “ฉินซียังไม่ตายเหรอ?”

“ข้าจะไปคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับนาง นางยอมจำนนต่อข้าแล้ว” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม

“ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาสวยเกินไปแล้ว เจ้าคงไม่ได้ชอบนางหรอกใช่มั้ย?” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวอย่างเย็นเยียบ “ถ้าเฟิงเป่ยเฉินยังไม่ตาย เจ้าแย่งเมียของเขาไปแล้ว อยากจะเล่นอยากจะนอนอย่างไรก็ได้ เฟิงเป่ยเฉินนั่งอยู่บนตำแหน่งนี้ ถ้าหากแย่งกลับมาไม่ได้ นั่นก็แสดงว่าเฟิงเป่ยเฉินไร้ความสามารถ โทษใครไม่ได้ ตอนนี้เจ้านำศพเฟิงเป่ยเฉินแขวนประจานไว้บนเสาธง ถ้ายังคิดไม่ดีกับเมียเขาอีก มันก็จะเกินไปหน่อยหรือเปล่า ตอนนี้ข้าจะพูดเอาไว้ตรงนี้เลย ว่าถ้าใครกล้าทำซี้ซั้วกับเมียหม้ายของเฟิงเป่ยเฉิน ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

มู่ฝานจวินและอีกสามคนเงียบงัน

เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออก อยากจะถามอวิ๋นอ้าวเทียนมากว่า ลูกหลานของเฟิงเป่ยเฉินที่ตายด้วยน้ำมือท่านเหมือนจะไม่ได้มีแค่คนเดียวหรอกมั้ง? ทำไมทำเหมือนเขาเป็นผู้มีพระคุณล่ะ?

เขาคิดไม่ตกแล้ว ปราชญ์พวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่? คิดอะไรที่มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง? ทำไมทุกคนต่างก็คิดว่าข้าจะทำกับฉินซีอย่างนั้น? ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลถึงชื่อเสียงของฉินซีกับฉินเวยเวย เขาก็อยากจะตะโกนจริงๆ เลยว่า นั่นคือแม่ยายของข้า ตกลงมั้ย?

มีเพียงอวิ๋นจือชิวที่รู้สถานการณ์เบื้องลึกเท่านั้นที่เข้าใจ รีบช่วยแก้ต่างทันทีว่า “ท่านปู่ ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดนะคะ เหมียวอี้กับฉินซีที่จริงมีความสัมพันธ์อีกอย่างต่อกัน เรื่องนี้ข้ารู้ดีค่ะ”

อวิ๋นอ้าวเทียนไม่ได้พูดอะไรอีก เหล่ตาจ้องศพของเฟิงเป่ยเฉินที่ถูกยกออกไป

ปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวที่นั่งอยู่ในนั้น อยู่ก็ถอนหายใจด้วยเสียงเย็นพิศวง “น่าเสียดายที่ข้ามาช้าไป ถ้าข้ามาทันเวลา ถ้าร่างของเฟิงเป่ยเฉินไม่ได้ตากแดดนานขนาดนั้น ข้ายังพอเรียกรวมจิตวิญญาณได้ ทำให้เขากลายเป็นนักพรตผี เพียงแต่ถ้าฝืนกักขังให้เขากลายเป็นนักพรตผี เขาก็จะสูญเสียความทรงจำ” พูดจบก็ส่ายหน้า

นี่แต่ละคนกำลังหมายความว่าอย่างไร? เหมียวอี้เหลียวซ้ายแลขวา มองดูห้าปราชญ์แต่ละคนที่เหมือนกำลังจมอยู่ในอารมณ์รำลึกถึงเฟิงเป่ยเฉิน เขาแทบจะหัวเราะลั่นออกมา ยามปกติคนที่อยากเล่นงานเฟิงเป่ยเฉินให้ถึงตายคือใครกัน? ตอนนี้กลับทำเหมือนข้าคนเดียวที่เป็นคนเลวร้าย แล้วพวกเจ้าทุกคนเป็นคนดีมาก ล้อเล่นอะไรกันอยู่?

1110

บทที่ 1111 ข้าคือขุนนางระดับสูงของตำหนักสวรรค์

ยังเป็นอวิ๋นจือชิวที่มองออกถึงสาเหตุที่เหมียวอี้อึ้งพูดไม่ออก แอบคลายความสงสัยให้ ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “คนที่อยู่ในระดับอย่างพวกเขา ที่พิภพเล็กนี้ไม่มีคำว่าสหาย มีแค่คนศักดิ์ศรีเสมอกันที่สามารถสู้กันได้ คนอื่นๆ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะพูด ระหว่างพวกเขาสู้กันมาแสนกว่าปีแล้ว เป็นห่วงฝ่ายตรงข้ามมาแสนกว่าปี ความสัมพันธ์คลุมเครือมาตลอด เคยชินกับการมีอยู่ของกันและกันตั้งนานแล้ว จู่ๆ ก็ตายไปหนึ่งคน ตายอย่างกะทันหันเกินไป กระต่ายตายจิ้งจอกเศร้าเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ จะบอกว่ารับไม่ได้ในด้านความรู้สึกก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป หดหู่อยู่บ้างนิดหน่อย ไม่ได้มีเจตนาอื่น”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เหมียวอี้เข้าใจกระจ่างในทันที ยังนึกว่ามีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ค่อนข้างดีต่อกัน ต้องการร่วมมือกันล้างแค้นให้เฟิงเป่ยเฉิน ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็ลำบากแล้ว

คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่อวิ๋นจือชิวใช้ถ่ายทอดเสียงได้ดึงพวกอวิ๋นอ้าวเทียนให้กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงอย่ารวดเร็ว

พอกลับสู่ความเป็นจริง พวกเขาก็ทำตัวสอดคล้องกับความจริงทันที จีฮวนเอ่ยปากก่อน “เหมียวอี้ ส่งของบนตัวเจ้าออกมา บอกให้ชัดถึงที่มาที่ไปของของพวกนั้น แล้วจะไว้ชีวิตเจ้า!”

สถานการณ์ไม่ดีแล้ว! อวิ๋นจือชิวดึงแขนเสื้อเหมียวอี้เบาๆ แอบบอกใบ้เหมียวอี้ว่ายืนใกล้ห้าคนนั้นเกินไปแล้ว ถอยห่างสักหน่อยให้มีระห่างในการตอบสนอง

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับจับข้อมือนางเอาไว้ ควบคุมนางให้อยู่นิ่งๆ ไม่ให้นางถอยหลัง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เฟิงเป่ยเฉินก็พูดแบบนี้เหมือนกัน”

จีฮวนยกมือขึ้นลูบเคราตัวเอง “เจ้ากำลังขู่ข้าเหรอ?”

เหมียวอี้มองไปทางอวิ๋นอ้าวเทียน “ท่านปู่ ได้ยินว่าท่านคนเดียวสามารถควบคุมพวกเขาได้สามคน ไม่สู้พวกเราร่วมมือกันมั้ยล่ะ ท่านควบคุมพวกเขา เดี๋ยวข้าสังหารทิ้งทีละคน ทั้งใต้หล้านี้ก็จะไม่มีใครมาแก่งแย่งกับท่านแล้ว ของที่โจมตีได้จะให้ท่านหมดเลย เป็นอย่างไร?”

อวิ๋นอ้าวเทียนกำลังใช้นิ้วเคาะบนผิวโต๊ะเบาๆ “ความคิดฟังดูไม่เลวเหมือนกัน!”

จีฮวน มู่ฝานจวิน ซือถูเซี่ยว ฉางเหลยมุมปากกระตุกทันที พบว่าการตายของเฟิงเป่ยเฉินไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลยจริงๆ โชคดีที่อวิ๋นอ้าวเทียนพูดเสริมว่า “มีเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วยเหรอ?”

เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “พอแล้ว ไม่ล้อเล่นกับพวกท่านแล้ว พวกท่านเองก็ไม่ต้องกลัว ข้าจะพูดธุระหลักกับพวกท่านนิดหน่อย”

“พวกเรากลัวเจ้าเหรอ?” มู่ฝานจวินแสยะยิ้มถาม

เหมียวอี้ไม่สนใจ ลากเก้าอี้ออกมาโดยตรง แล้วนั่งตรงข้ามกับทั้งห้าคน “อาณาเขตเล็กๆ อย่างแดนอู๋เลี่ยงไม่ได้อยู่ในสายตาข้าเลยจริงๆ จะพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้สักหน่อย อาณาเขตของพวกท่านหกปราชญ์รวมกันยังไม่พอให้ทำไม้จิ้มฟันของข้าด้วยซ้ำ”

“โยมเหมียวช่างพูดจาโอ้อวดจริงๆ!” ฉางเหลยกล่าวกลั้วหัวเราะ

เหมียวอี้โบกมือ “ข้าไม่ได้พูดโอ้อวดหรอก เป็นพวกท่านเองที่เหมือนกบในบ่อน้ำ พระเถระ ข้าจะให้ท่านดูอะไรนิดหน่อย ให้ท่านได้เปิดหูเปิดตา” ขณะทีพูดก็โยนแผ่นหยกออกไป

ในดวงตาฉางเหลยฉายแววสงสัย คนอื่นๆ พากันมองไปที่แผ่นหยกในมือเขา

หลังจากฉางเหลยร่ายอิทธิฤทธิ์อ่านแล้ว ก็เงยหน้ามองเหมียวอี้ พร้อมถามด้วยความสงสัย “ตำหนักสวรรค์ น่านฟ้าชวดอี่ ดาวเทียนหยวน ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ หนิวโหย่วเต๋อ…หมายความว่าอย่างไร?”

พิภพเล็กไม่ได้มีชุดความคิดเรื่องตำหนักสวรรค์ สาเหตุหลักเป็นเพราะตอนที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งปรากฏออกมา ตำหนักสวรรค์ยังไม่ได้ก่อตั้งขึ้น ที่ทุกคนเรียกกำลังพลของพิภพใหญ่ว่าทหารสวรรค์ ก็เป็นเพียงคำเรียกด้วยความเคารพประเภทหนึ่ง ดังนั้นฉางเหลยจึงอ่านไม่ค่อยเข้าใจ ที่จริงคนทางพิภพใหญ่ก็ไม่รู้เช่นกันว่ายังมีคนเรียกสถานที่ที่พวกเขาอยู่ว่าพิภพใหญ่ด้วย

แต่อวิ๋นจือชิวกลับตกใจกับคำพูดของฉางเหลย สายตาที่มองไปทางเหมียวอี้ราวกับมองคนบ้า แอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เจ้าบ้าเหรอ! ถ้าปล่อยข่าวนี้ออกไป พวกเขาไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ แม้แต่โอกาสคานอำนาจกันก็อาจจะไม่ให้เจ้าด้วยซ้ำ ต่อให้สู้ตายก็จะจัดการเจ้าให้ได้!”

เหมียวอี้เลิกสนใจชั่วคราว ชี้ที่ตัวเองพร้อมบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อก็คือข้า คาดว่าว่าพวกท่านคงจะเคยได้ยินชื่อหนิวโหย่วเต๋อจากคดีนองเลือดค่ายฆ้องเหล็กที่ทะเลดาวนักษัตรในปีนั้นมาแล้วเหมือนกัน เป็นข้าเองที่ใช้ชื่อหนิวโหย่วเต๋อทำเรื่องนี้ พระเถระ ในมือท่านคือคำสั่งแต่งตั้งตำแหน่ง ข้าก็คือผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวน น่านฟ้าชวดอี่  ตำหนักสวรรค์ ใช่แล้ว พูดถึงตำหนักสวรรค์ พวกท่านอาจจะไม่มีแนวคิดอะไรกับสิ่งนี้ เข้าใจเรื่อพิภพใหญ่มั้ย? ตำหนักสวรรค์ก็คือพิภพใหญ่ที่พิภพเล็กเรียกนั่นแหละ ตอนนี้เข้าใจแล้วรึยัง?”

อวิ๋นจือชิวใกล้จะเป็นบ้าแล้ว อีกฝ่ายไม่เข้าใจ แต่เจ้าเวรนี่ยังตั้งใจอธิบายอีก นางไม่มีทางจินตนาการถึงผลที่จะตามมาได้เลย

พวกสงเวยที่เฝ้าอยู่นอกศาลาก็หันกลับมามองในศาลาอย่างงุนงงเช่นกัน

เป็นอย่างที่คาดไว้ ไม่มีห้าปราชญ์คนไหนนั่งติดที่แล้ว แต่ละคนลุกพรวด เบิกตากว้างมองเหมียวอี้

อวิ๋นอ้าวเทียนเหมือนจะไม่เชื่อ แย่งแผ่นหยกจากมือฉางเหลยมาดูเองแล้ว

พอเขาดูเสร็จ มู่ฝานจวินก็แย่งมาอีก พวกเขาผลัดกันดูรอบหนึ่ง สุดท้ายแต่ละคนก็หันไปมองเหมียวอี้ด้วยแววตาเหลือเชื่อ สถานที่ที่ทุกคนใฝ่ฝันถึง จู่ๆ ก็ถูกทำพังแบบนี้แล้ว จะไม่ให้พวกเขาตกตะลึงพรึงเพริดได้อย่างไร

อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวเสียงสูงว่า “เหมียวอี้ ถ้าเจ้ากล้าพูดเท็จแม้แต่คำเดียว ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”

เหมียวอี้ยกขานั่งไขว่ห้าง หลุดขำออกมา แล้วบอกว่า “หลอกพวกท่านแล้วจะมีความหมายอะไรเหรอ? รายได้จากตำหนักสวรรค์หนึ่งปีของข้าน่ะ ต่อให้นำรายได้ของพวกท่านมาบวกรวมกันก็ยังเทียบไม่ติดเลย ชื่อหกปราชญ์อะไรที่พวกท่านใช้เรียกกันน่ะ สำหรับข้าแล้วเป็นเรื่องตลกขำขัน สถานที่ที่ใหญ่เท่าหนึ่งฝ่ามือ แต่มีคนตั้งตัวเป็นใหญ่เบียดกันห้าหกคน ถ้าสุ่มเลือกยอดฝีมือจากพิภพใหญ่มาสักคน ก็สามารถตบพวกท่านให้ตายได้เลย พวกท่านว่าน่าขำมั้ยล่ะ? ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้สักหน่อยนะ ถ้าข้าจะสู้กับพวกท่านน่ะ แค่ข้าเอ่ยสั่งคำเดียว ก็จะเรียกทหารสวรรค์ได้กองหนึ่งแล้ว ให้มากวาดล้างพวกท่านให้เรียบจนไม่เหลือซากได้เลย พวกท่านสู้กลุ่มผีดิบที่ลากเรือมังกรอเวจีไม่ได้ด้วยซ้ำ ยังคิดจะมาสู้กับขุนนางระดับสูงของตำหนักสวรรค์อย่างข้าอีกเหรอ? รู้หรือไม่ว่าพลังของนักพรตที่พิภพใหญ่เป็นอย่างไร? ระดับบงกชรุ้งมีเยอะเหมือนฝูงสุนัข ระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเดินกันให้เกลื่อน ท่านว่าพวกท่านจะเล่นอย่างไรล่ะ?”

การคุยโม้แบบนี้ทำให้อวิ๋นจือชิวหุบปากแล้ว

ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋สบตากันแวบหนึ่ง บงกชรุ้งมีเยอะเหมือนฝูงสุนัข ระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเดินกันให้เกลื่อนเหรอ? พูดเกินไปแล้วจริงๆ! ผู้บัญชาการใหญ่นับว่าเป็นขุนนางระดับสูงของตำหนักสวรรค์ด้วยเหรอ?

ห้าปราชญ์แต่ละคนตาเป็นประกายร้อนรน กำลังรีบครุ่นคิด ไม่ใช่ว่าสมองของพวกเขาใช้งานได้ไม่ดี แต่เรื่องบางอย่างก็อยู่เหนือแนวความคิดที่เคยชินของพวกเขา

เหมียวอี้นั่งตบเกราะรบบนร่างกายตัวเองอยู่อย่างนั้น แล้วชี้ไปยังเกราะรบบนตัวพวกฝูชิงอีก “พวกเขาตามข้าไปทำงานที่พิภพใหญ่ทั้งนานแล้ว ถ้าสุ่มเลือกเกราะรบบนตัวพวกเรามาสักคน ก็สามารถเทียบได้กับทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดของหกปราชญ์ได้เลย ท่านคิดว่าข้ายังจำเป็นต้องไปแย่งอาณาเขตกับพวกท่านมั้ยล่ะ? ถ้าไม่อยากเล่นกับพวกท่านมาตั้งนานแล้ว และไม่ได้มีเจตนาจะสู้กับพวกท่านด้วย แต่เฟิงเป่ยเฉินดันอยู่ดีไม่ว่าดีมารนหาที่ตาย พวกท่านยังจะถ่อออกมาประสมโรงอีก เป็นหกปราชญ์ของพวกท่านต่อไปดีๆ ไม่ได้หรือไง?”

ฉางเหลยหัวเราะเบาๆ “เกรงว่าโยมเหมียวจะพูดเกินความจริงไปหน่อยรึเปล่า? ถ้าที่โยมเหมียวพูดเป็นเรื่องนี้ ทำไมยังต้องอยู่ที่นี่อีกล่ะ?”

“ข้ามีตำแหน่งสูงที่ตำหนักสวรรค์ กินดีอยู่ดี พิภพใหญ่มีสถานที่ที่น่าชมน่าเล่นตั้งเยอะ ท่านคิดว่าข้าอยากกลับมาสถานที่เส็งเคร็งแบบนี้เหรอ?” เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก แล้วชี้ไปที่มู่ฝานจวิน “ก็นางทำร้ายไงล่ะ สาเหตุเพราะอะไรนางรู้อยู่แก่ใจ ถ้าไม่ใช่เพราะนางบอกว่าส่งส่วยปีนี้ต้องการจะพบข้าให้ได้ ใครจะกลับมาล่ะ มู่ฝานจวิน ในเมื่อวันนี้ข้าเปิดเผยเรื่องนี้แล้ว ก็แสดงว่าไม่คิดจะเล่นกับท่านแล้ว ทางที่ดีท่านอย่าทำเกินไปเลย ถ้ากดดันจนข้าร้อนรนหมดทาง ท่านก็รับผลที่ตามมาไม่ไหวหรอก!”

อวิ๋นอ้าวเทียนและอีกสามคนรีบมองไปที่มู่ฝานจวิน ไม่รู้ว่านางทำอะไรเอาไว้ เพียงแต่เห็นมู่ฝานจวินแววตาวูบไหวไม่พูดอะไร ราวกับมีเรื่องราวเบื้องลึกอะไรจริงๆ

“เหมียวอี้ ต่อให้สิ่งที่เจ้าพูดจะเป็นความจริง แล้วเจ้าบอกเรื่องพวกนี้กับพวกเราทำไม?” ซือถูเซี่ยวถาม

“ข้าบอกแล้วไง ว่าข้าไม่อยากเล่นกับพวกท่าน ตั้งแต่วันนี้ไป เรื่องที่พิภพเล็กจบลงแล้ว” เหมียวอี้ทำท่าทางเหมือนพูดคำไหนคำนั้น ชี้รอบวงพร้อมบอกว่า “พวกท่านอยากจะไปเล่นที่พิภพใหญ่มาตลอดเลยไม่ใช่เหรอ? ข้าทำให้พวกท่านสมปรารถนา ข้าจะพาพวกท่านไปพิภพใหญ่ ถ้ามีความสามารถก็ไปแสดงที่พิภพใหญ่ได้เลย!”

พิภพเล็กเล็กเกินไปจริงๆ จำกัดการแสดงความสามารถของหกปราชญ์ ตอนนี้ได้ยินเหมียวอี้บอกว่าจะพาพวกเขาไปที่พิภพใหญ่ แต่ละคนจึงหัวใจเต้นรัว จีฮวนถามทันทีว่า “พูดจริงเหรอ!”

เหมียวอี้ตอบว่า “จริงแท้แน่นอน! เพราะถ้าไปพิภพใหญ่แล้วข้าจะยิ่งจัดการพวกท่านได้สะดวก ถ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งข้า ข้าก็จะส่งทหารไปจับทันที อยากจะลงโทษพวกท่านอย่างไรก็ย่อมทำได้ รับรองว่าพวกท่านหนีไม่พ้นแล้ว จะไปหรือจะไม่ไป พวกท่านก็พิจารณาให้ดีแล้วกัน ข้าไม่ฝืนใจ!

คำพูดนี้จริงใจเกินไปแล้ว อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน นางพูดไม่ออกแล้ว

ห้าปราชญ์ทำสีหน้าแพรวพราวทันที พวกเขาอยากไปพิภพใหญ่จะแย่อยู่แล้ว ถึงขั้นไม่ต้องขู่เหมียวอี้ เหมียวอี้ก็ยินดีเป็นฝ่ายพาพวกเขาไปเองเลย แต่ก็เป็นอย่างที่เหมียวอี้บอก ถ้าไปแล้วเหมียวอี้อยากจะจัดการพวกเขาอย่างไรก็ได้ แบบนี้อันตรายไปหน่อยหรือเปล่า?

แต่ปณิธานอันยิ่งใหญ่ของใครบางคนไม่อาจถูกขู่ให้ตกใจได้ อวิ๋นอ้าวเทียนมองไปที่อวิ๋นจือชิว แล้วถามว่า “น้องชิว ปู่ถามเจ้าหน่อย เจ้าเด็กนี่ไปมาระหว่างพิภพใหญ่กับพิภพเล็กได้จริงเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้จะเล่นอะไรกันแน่ จึงมองเหมียวอี้ด้วยแววตาตั้งคำถาม

เหมียวอี้ตรงไปตรงมามาก โบกมือบอกว่า “ไม่มีอะไรน่าปิดบัง บอกไปเลย!”

อวิ๋นจือชิวตอบอย่างหัวเราไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ท่านปู่ ข้าเปิดร้านค้าขายอยู่ที่พิภพใหญ่ร้านหนึ่งค่ะ”

ไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว ขนาดนางยังไปพิภพใหญ่ได้ เหมียวอี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว

ซือถูเซี่ยวกลับเตือนว่า “ปีศาจเฒ่า ระวังหน่อยนะ แต่งงานออกไปแล้วก็ไม่ได้เอนเอียงไปทางเจ้าเสมอไป ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาร่วมมือกันปิดบังพวกเราหรือเปล่า”

มู่ฝานจวินก็บอกเช่นกันว่า “พวกเจ้าสองสามีภรรยาพูดจาเชื่อถือไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องมีหลักฐานว่าพวกเจ้าไปพิภพใหญ่ได้จริงๆ”

“หลักฐานบ้าอะไรล่ะ พวกท่านอยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ข้าไม่ได้ขอร้องให้พวกท่านไปเสียหน่อย” เหมียวอี้พูดดูถูก แล้วถามว่า “ข้าจะเอาอะไรมาเป็นหลักฐานให้พวกท่านดู?”

อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าข้าไปที่พิภพใหญ่ได้ สหายของเจ้าคนนั้น ข้าก็จำเป็นต้องขังอีกต่อไปแล้ว” นับว่าพูดแลกเปลี่ยนเงื่อนไขกันแล้ว

รู้อยู่แล้วว่าสักวันจะต้องใช้แผนแลกตัวประกัน เหมียวอี้มองไปทางมู่ฝานจวินที่ดูกระเหี้ยนกระหือรือ คาดว่าท่านนี้ก็คงไม่ต่างกันเท่าไร จึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “พาพวกท่านไปเฉยๆ ก็สิ้นเรื่องแล้ว จะมีเรื่องยุ่งยากอะไรมากมายขนาดนั้น หกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยกลายเป็นขี้กลัวแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร?”

เกี่ยวอะไรกับเรื่องขี้กลัวล่ะ! ห้าปราชญ์แอบด่าในใจ ไม่สนว่าเหมียวอี้จะกำลังหลอกพวกเขาหรือไม่ สำหรับพวกเขา อยากจะน้อยก็มีอยู่จุดหนึ่ง หากสามารถไปที่พิภพใหญ่ได้จริงๆ อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้รู้ถึงสถานการณ์ของพิภพใหญ่อย่างชัดเจน ถ้าหากเจ้าเด็กนี่วางกับดักจัดการพวกเขาพร้อมกันทีเดียวจะทำอย่างไร?

คนเราบางครั้งก็แปลกเหมือนกัน เวลาที่ไม่ได้มาครอบครองก็จะลำบากไขว่คว้า แต่เวลาที่จะได้มาอย่างง่ายดายกลับไม่กล้าเชื่อง่ายๆ

เมื่อเห็นทั้งห้ากำลังต่างคนต่างครุ่นคิด เหมียวอี้ก็หรี่ตายิ้มพร้อมบอกว่า “หรือไม่อย่างนั้นพวกท่านก็สามารถส่งคนที่ไว้ใจได้ไปเปิดหูเปิดตาที่พิภพใหญ่กับข้าก็ได้นะ รอให้พวกเขากลับมาแล้วพวกท่านค่อยตัดสินใจดีมั้ย?”

ฉางเหลยประนมมือกล่าวพร้อมรอยยิ้มทันที “อามิตาพุทธ คำพูดนี้ถูกต้อง อาตมากำลังมีความคิดนี้พอดี!”

คนอื่นๆ พยักหน้าตาม แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะถามอีกว่า “แล้วทำไมข้าจะต้องปรนนิบัติพวกท่านเหมือนบรรพบุรุษล่ะ? ขอถามตรงๆ เลยแล้วกัน พวกท่านจะให้ผลประโยชน์อะไรกับข้า?”

 

1111

 

บทที่ 1112 กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ

ผลประโยชน์อะไร? ทั้งห้าสบตากันเงียบๆ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะให้ผลประโยชน์อะไรเขาได้

“เจ้าอยากได้ผลประโยชน์อะไร?” ซือถูเซี่ยวถาม

สายตาของทุกคนไปรวมอยู่ที่ตัวเขา ไม่รู้ว่าเขาจะเสนอเงื่อนไขอะไร อวิ๋นจือชิวกลับอกสั่นขวัญแขวน แอบเดาได้แล้วว่าผู้บัญชาการใหญ่เหมียวจะขออะไร

เหมียวอี้ขมวดคิ้วครุ่คิดครู่หนึ่ง แล้วยืนขึ้นส่ายหน้าช้าๆ “ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าพวกท่านจะให้ผลประโยชน์อะไรข้าได้ ถ้าพูดถึงทรัพยากรฝึกตน ต่อให้พวกท่านนำของมารวมกันก็ยังไม่อยูในสายตาข้าเลย แค่หาส่งเดชที่พิภพใหญ่ก็ได้เยอะกว่าที่มีอยู่ในมือพวกท่านแล้ว เงินทองหรือสาวงามข้ามีไม่ขาด ถ้าพูดถึงฐานะตำแหน่ง ถ้าอยู่ที่พิภพใหญ่พวกท่านไม่มีสิทธิ์แม่แต่จะถือรองเท้าให้ข้าด้วยซ้ำ ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าพวกท่านจะให้ผลประโยชน์อะไรข้าได้ พวกท่านว่ามาเถอะ พวกท่านยังมีอะไรที่สามารถนำออกมาได้บ้าง?”

เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ทั้งห้าก็อยากจะเล่นงานเขาให้ตาย สาวกในใต้หล้าล้วนเงยหน้ามองพวกเขา ตอนนี้กลายเป็นสิ่งที่น่าดูถูกในสายตาเจ้าบ้านี่ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่คู่ควรที่จะถือรองเท้าให้เขาด้วยซ้ำ มีหลักการอย่างนี้ที่ไหนกัน!

แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าสิ่งที่เจ้าหนุ่มนี่พูดคือความจริง เจ้าตัวก็ไม่ต้องชายตาแลของที่อยู่ในมือพวกเขาเลยจริงๆ

“ถ้าหากไปได้ ก็จะยกอาณาเขตของพิภพเล็กนี้ให้เจ้า” มู่ฝานจวินกล่าว

จีฮวนขานรับ “อืม” คนอื่นๆ ก็ใช้วิธีตอลตกลงที่ต่างกัน รู้สึกว่าแบบนี้ก็ได้

เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “พูดจาน่าฟังจริงๆ ถ้าพวกท่านไปที่พิภพใหญ่ได้ ก็ย่อมไม่สนใจอาณาเขตของพิภพเล็กอยู่แล้ว ทรัพยากรฝึกตนที่อยู่ที่นั่นแทบตะไร้ขีดจำกัด ตราบใดที่พวกท่านมีความสามารถ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรฝึกตนเลย ใครจะยังสนใจอาณาเขตของพิภพเล็กล่ะ ทุกคนคุยเรื่องนี้อย่างเปิดเผย ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรปลอมๆ อีก”

อวิ๋นอ้าวเทียนข่มไฟโกรธไว้ไม่ไหวแล้ว “อย่ามาอ้อมค้อมตรงนี้ ในเมื่อเจ้ายอมเจรจา ก็แสดงว่าต้องมีของที่อยากได้อยู่แล้ว อยากได้อะไรก็บอกมาตรงๆ!”

ไม่โมโหคงไม่ได้แล้ว หลานสาวสุดที่รักก็ยกให้แต่งงานกับเขาไปแล้ว เขายังจะมาเสนอเงื่อนไขแบบนี้อีก พูดจบก็กวาดตามองอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง อวิ๋นจือชิวแอบเดาะลิ้น รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน

“พวกท่านมีอะไรที่ล้ำค่าที่สุด ข้าก็อยากได้อันนั้นแหละ” เหมียวอี้กล่าวอย่างตรงไปตรงมามาก

“ชีวิตของพวกเรามีค่าที่สุด มีความสามารถที่จะเอาไปมั้ย?” อวิ๋นอ้าวเทียนถามอย่างเย็นเยียบ

“แค่กๆ!” เหมียวอี้ไอแห้งๆ ไม่คุ้นชินกับการเจรจาต่อรองราคากับท่านนี้จริงๆ

ยังเป็นอวิ๋นจือชิวที่เข้าใจความคิดของเขา ดึงแขนเขาไว้ “เจ้าพูดกับท่านปู่แบบนี้ได้ยังไง ถอยสักก้าวให้ท่านทำตามใจชอบสักหน่อยไม่ได้เหรอ”

เหมียวอี้ใจตรงกับนาง หันกลับมาถามนางว่า “เช่นนั้นฮูหยินต้องการอะไรล่ะ?”

“เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่ข้าฝึกยังไม่สมบูรณ์ ไม่สู้ขอร้องให้ท่านปู่มอบให้ข้าก็พอแล้ว” อวิ๋นจือชิวตอบ

เมื่อนางกล่าวมาแบบนี้ ในใจเหมียวอี้ก็เหมือนมีดอกไม้เบ่งบานแล้วเขากำลังครุ่นคิดว่าถ้าตัวเองพูดเจตนาออกมาตรงๆ ก็อาจจะชัดเจนเกินไปหน่อยหรือเปล่า อวิ๋นจือชิวช่วยเชื่อมประสานให้เขาแล้ว

อวิ๋นอ้าวเทียนกลับถลึงตาจ้องอวิ๋นจือชิว พบว่าตัวเองช่างมีหลานสาวที่ดีจริงๆ หลังจากแต่งงานออกไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะวางแผนอยากได้ทุนเดิมสำหรับตั้งตัวของตระกูลอวิ๋น

แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะกล่าวดูถูก “จะอยากได้ของแบบนั้นไปทำไม? เจ้าอยู่ที่พิภพใหญ่ก็ใช้ว่าจะไม่รู้ ที่จริงเคล็ดวิชาของพวกเข้าล้วนมาจากพิภพใหญ่ เคล็ดวิชาทั้งหกแบ่งเป็นภาคฟ้า ภาคดิน ภาคคน มีทั้งหมดสามภาค ทั้งหมดมีครบอยู่ที่พิภพใหญ่ พวกเขาได้ไปแค่ระดับแรกสุดก็คือภาคคน เดี๋ยวกลับไปรอข้าหาให้ครบก่อน ข้าจะมอบภาคที่สมบูรณ์ให้เจ้า สินค้าที่บกพร่องจะเอามันไปทำไม”

เขารู้ได้อย่างไรว่าเคล็ดวิชาฝึกตนแบ่งเป็นภาคฟ้า ภาคดิน ภาคคน? ห้าปราชญ์เรียกได้ว่าใจเต้นรัวทันที ทั้งหมดเบิกตากว้างแล้ว

พิภพใหญ่มีเคล็ดวิชาฝึกตนแบบสมบูรณ์เหรอ? ในจุดนี้พวกเขาทั้งเชื่อทั้งสงสัย เพราะเคล็ดวิชาของพวกเขามาจากเรือมังกรอเวจี และเรือมังกรอเวจีก็มาจากพิภพใหญ่ ถ้าจะบอกว่าพิภพใหญ่มีเคล็ดวิชาของพวกเขาอยู่ ก็ไม่ได้แปลกพอให้รู้สึกอัศจรรย์ใจ

อวิ๋นจือชิวเขย่าแขนเหมียวอี้ กล่าวอย่างออดอ้อนเล็กน้อยว่า “เจ้ายังหาได้ไม่ครบไม่ใช่เหรอ ใครจะไปรู้ล่ะว่าวันได้ปีไหนจะหาพบ ท่านปู่ข้าก็ไม่ใช่คนนอก ถึงอย่างไรข้าก็เป็นหลานสาวของตระกูลอวิ๋น ท่านสามี ต่อให้ไม่ไว้หน้าคนอื่นแต่ก็ไว้หน้าข้าหน่อยเถอะนะ?”

“เฮอะ! อย่ามาออดอ้อนออเซาะที่นี่!” อวิ๋นอ้าวเทียนทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ พ่นสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “น้องชิว! เจ้าเป็นคนอย่างไรปู่เห็นมาตั้งแต่เด็กจนโตแล้ว รู้จักดีมาก อย่ามาเล่นละครต่อหน้าข้า! เหมียวอี้ เรื่องที่เคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเราแบ่งเป็นสามภาค เฟิงเป่ยเฉินได้พูดเอาไว้ก่อนตายใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ยกมือให้อวิ๋นจือชิว “ฮูหยิน เจ้าเห็นแล้วนี่ ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้หน้านะ แต่ท่านปู่ของเจ้าไม่เชื่อเลย”

อวิ๋นจือชิวหันตัวมาหาอวิ๋นอ้าวเทียนแล้วถอนหายใจ “ท่านปู่คะ ท่านกำลังทำไม่ยุติธรรมพวกเราจริงๆ นะ ฉบับสมบูรณ์ของเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกท่านอยู่ที่พิภพใหญ่จริงๆ ท่านสามีกำลังช่วยค้นหาให้ข้าตลอด จนกระทั่งตอนนี้ ก็ช่วยข้าหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานได้แค่ภาคดินเท่านั้น ยังตามหาภาคคนกับภาคฟ้าอยู่ ภาคคนอยู่ในมือเจ้าพอดีไม่ใช่เหรอ ถ้าได้มาตรงๆ เจ้าจะได้ไม่เปลืองแรงไม่ใช่หรือไง”

เหมียวอี้ได้ยินแล้วแอบรู้สึกขำ พบว่าฮูหยินของตัวเองไม่ใช่เล่นๆ เลย ถ้าบอกไปตรงๆ ว่าในมือมีภาคดินมาแลกแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอวิ๋นอ้าวเทียนจะแย่งไปหรือไม่ ดีไม่ดีอาจจะเล่นไม่ซื่อกับภาคคนด้วย พอเปลี่ยนวิธีการแบบนี้ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าสามารถหาเคล็ดวิชาทั้งหกที่พิภพใหญ่ได้ ต่อไปก็คงจะเป็นอวิ๋นอ้าวเทียนที่ใจร้อนอยากจะมาแลกแล้ว

เรื่องบางเรื่องก็เป็นแบบนี้ ถ้าเจ้ามาขอร้องถึงที่ ดีไม่ดีอีกฝ่ายจะวางมาดใส่ แต่เวลาที่อีกฝ่ายมาขอร้องเอง แบบนั้นทุกอย่างก็คุยง่ายแล้ว

มู่ฝานจวินและอีกสามคนตกตะลึง อวิ๋นอ้าวเทียนฝึกแค่ภาคคนก็เก่งจะแย่อยู่แล้ว อวิ๋นจือชิวหาภาคดินเจอแล้วงั้นเหรอ?

ต่อมาอวิ๋นอ้าวเทียนเริ่มสงบเยือกเย็นแล้ว เพื่อเคล็ดวิชาส่วนหลัง เขาเฝ้าใฝ่ฝันมาหลายปีแล้ว เขากัดฟัน แล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่ตึงเหมือนโดนตะคริวกินว่า “น้องชิว เจ้าองก็รู้นิสัยเจ้าอารมณ์ของปู่ เจ้าอย่าเอาเรื่องแบบนี้มาหลอกตบตาปู่เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่นับเจ้าเป็นหลานสาว!”

อวิ๋นจือชิวทำท่าทางเหมือนจนใจมาก ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านปู่คะ! ถ้าท่านไม่เชื่อ ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เอาอย่างนี้มั้ยคะ ท่านฝึกเคล็ดวิชาภาคคนไปแล้ว ข้าจะท่องภาคดินที่ต่อจากนั้นให้ท่านฟังสักหน่อย จะเชื่อมต่อกันได้หรือไม่ เมื่อท่านได้ฟังแล้วก็คงจะรู้ว่าจริงว่าจริงหรือปลอม”

“ท่อง!” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวอย่างใจร้อน

อวิ๋นจือชิวเริ่มใช้วิธีการถ่ายทอดเสียงให้ฟังทันที นางจดจำเคล็ดวิชาภาคดินได้ตั้งนานแล้ว จึงท่องออกมาได้อย่างคล่องแคล่ว

ความจริงเท็จของเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่อวิ๋นอ้าวเทียนเท่านั้นที่อยากจะรู้ให้ชัดเจน มู่ฝานจวินและคนอื่นๆ ก็อยากจะรู้เช่นกัน แต่ละคนจึงจ้องมองปฏิกิริยาของอวิ๋นอ้าวเทียน

เห็นเพียงอวิ๋นอ้าวเทียนขมวดคิ้วทำท่าตั้งใจฟังในตอนแรก จากนั้นก็ทำสีหน้าร่าเริงปลอดโปร่ง และบางครั้งดวงตาก็ฉายแววดีใจแทบบ้า สุดท้ายก็หลับตาลง สีหน้าท่าทางเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง

เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ปล่อยออกมาจากตัวอวิ๋นจือชิว ก็รู้ว่านางกำลังถ่ายทอดเสียง มู่ฝานจวินและอีกสามคนรู้สึกคันไม้คันมือเหมือนโดนเท้าแมวเกาสะกิด พวกเขาเข้าใจอวิ๋นอ้าวเทียนดีเกินไปแล้ว รู้ว่าอวิ๋นอ้าวเทียนมีนิสัยเหมือนชื่อ เป็นผู้ชายที่หยิ่งในศักดิ์ศรีในระดับหนึ่ง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเหยียดหยามการโกหกแสดงละคร เขาไม่มีทางแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้เหมือนขนาดนี้แน่นอน หมายความว่าเป็นไปได้เก้าในสิบว่าสิ่งที่อวิ๋นจือชิวพูดเป็นความจริง

ชั่วพริบตานี้ ทั้งสี่คนแอบสบตากันโดยจิตใต้สำนึก ถ้าให้อวิ๋นอ้าวเทียนได้วิชามารภาคดินไป จะไม่แย่หรอกเหรอ?

ชั่วอึดใจนี้ ในใจทั้งสี่แอบเกิดความคิดสังหาร แต่พอมองดูรอบๆ แล้วเห็นพวกสงเวยที่สวมเกราะรบ ทั้งยังมีสิ่งที่เหมียวอี้พูดไว้ก่อหนน้านี้ด้วย หากพลาดพลั้งขึ้นมา หากเจอคนพวกนี้ร่วมมือกับอวิ๋นอ้าวเทียนโจมตีกลับขึ้นมา คนที่ดวงซวยก็อาจจะกลายเป็นพวกเขาเอง

เหมียวอี้กวาดสายตามองพวกเขาแวบหนึ่ง พอจะเดาเจตนาของพวกเขาออกอยู่บ้าง

“ทำไมไม่ท่องแล้วล่ะ ต่อสิ!”

อวิ๋นจือชิวที่กำลังท่องเคล็ดวิชาพลันหยุดกะทันหัน อวิ๋นอ้าวเทียนที่ได้สติกลับมาพูดเร่งทันที

อวิ๋นจือชิวยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “ท่านปู่คะ ท่องนิดหน่อยให้ท่านรู้ว่าจริงหรือปลอมก็พอแล้ว”

อวิ๋นอ้าวเทียนราวกับโดนตะคริวกินใบหน้า ไม่หน้าเชื่อว่าบนตัวจะมีปราณมารลอยขึ้นมา เกิดอารมณ์วู่วามอยากจะลงมือ เลิกคิ้วกล่าวว่า “นางหนู ตระกูลอวิ๋นไม่ได้ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร้ความยุติธรรมนะ!”

นี่เป็นการเตือนอวิ๋นจือชิวว่าอย่าลืมตระกูลของตัวเอง ไม่อย่างนั้นเขาก็อาจจะไม่เกรงใจ

เหมียวอี้ยื่นมือดึงตัวอวิ๋นจือชิวมาไว้ข้างหลังตัวเอง แล้วแสยะยิ้ม “อวิ๋นอ้าวเทียน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าท่านจะฆ่าพวกเราได้หรือเปล่า จะบอกสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อน ตอนออกจากตำหนักสวรรค์มาข้าก็เตรียมแผนสำรองไว้เหมือนกัน ถ้าข้าไม่ได้กลับไปตามกำหนดเวลา ทางตำหนักสวรรค์ก็จะสืบหาทันที จะตามหาที่นี่เจอจากเบาะแสของข้า ถ้าวุ่นวายจนทำให้คนของตำหนักสวรรค์มาถึงที่นี่ พวกท่านก็เป็นแค่มดในสายตาพวกเขาเท่านั้น การกำจัดพวกท่านทำได้โดยไม่ต้องกะพริบตาด้วยซ้ำ ถ้าอยากได้เคล็ดวิชาส่วนหลังจริงๆ ก็ไปหาเอาเองที่พิภพใหญ่ อย่ามาเล่นไม่ซื่อกับพวกเรา พวกท่านเล่นไม่ไหวหรอก!”

“ปีศาจเฒ่า แย่งของจากหลานสาวตัวเองนับว่ามีความสามารถอะไร” มู่ฝานจวินกล่าว

“อวิ๋นอ้าวเทียน สืบเรื่องพิภพใหญ่ให้แน่ชัดก่อนเถอะ” ซือถูเซี่ยวกล่าวเสียงเย็น

“ประเสริฐแท้!”

“ใช่แล้ว!”

ฉางเหลยและจีฮวนแสดงท่าทีแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่อยากให้อวิ๋นอ้าวเทียนได้เคล็ดวิชาส่วนหลังไปเร็วขนาดนี้

“เฮอะ!” อวิ๋นอ้าวเทียนพ่นเสียงใส่ สายตาจ้องไปที่เหมียวอี้ “ตกลง! แต่ต้องรอให้คนของข้าไปพิภพใหญ่เพื่อยืนยันก่อน รอให้ข้าไปที่พิภพใหญ่ด้วยตัวเอง ค่อยมอบของให้เจ้า”

“ไม่ไว้หน้าท่านปู่ไม่ได้หรอก ในเมื่อท่านปู่พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าเองก็ไม่ทำให้น้องชิวลำบากใจเหมือนกัน!” เหมียวอี้พยักหน้าตอบตกลง เขากลัวเสียที่ไหนล่ะ ถ้ามาถึงอาณาเขตตัวเองแล้วลองไม่มอบให้สิ

เสร็จแล้วก็หันไปมองพวกมู่ฝานจวินอีก แล้วกล่าวพร้อมแสยะยิ้ม “พวกท่านเองก็เลิกคิดอะไรบ้าๆ อย่างเช่นฆ่ากันเองในหมู่คณะ ที่พิภพใหญ่มีสถานที่มากมายที่คล้ายกับพิภพเล็ก อย่าเรื่องโง่ๆ อย่างเช่นแข่งขันกันระหว่างหกปราชญ์ หลังจากไปแล้วพวกท่านก็จะรู้ว่าตัวเองน่ะเล็กน้อยแค่ไหน ระหว่างพวกท่านไม่มีอะไรให้แข่งกันโดเด่นเลย ถึงตอนนั้นต่อให้สั่งให้พวกท่านจะแข่งขันกัน พวกท่านก็อาจจะไม่มีกะจิตกะใจจะแข่งด้วยซ้ำ อย่าพูดจาเหลวไหล ฮูหยินของข้าต้องการเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่เป็นภาคคน อวิ๋นอ้าวเทียนก็ตอบตกลงแล้ว พวกท่านล่ะ? มีอะไรที่พอจะนำออกมาได้บ้าง?”

มู่ฝานจวินและคนที่เหลือพูดไม่ออกมาก เงินทอง อำนาจ อิทธิพลและอาณาเขตเจ้าก็ไม่เอา แล้วพวกเราจะให้อะไรเจ้าได้ล่ะ?

“ข้าทำเหมือนอวิ๋นอ้าวเทียนก็ได้ จัดการเหมือนที่เจ้าตกลงกับเขา ถึงตอนนั้นจะมอบเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางที่เป็นภาคคนให้เจ้า” ซือถูเซี่ยวกล่าว

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะไม่ทำแล้ว “ข้ายอมรับนะว่าถ้าอยู่ที่พิภพใหญ่ เคล็ดวิชาฝึกตนของพวกท่านนับว่าไม่เลว แต่ข้าไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาฝึกตนมากมายขนาดนั้น เอามากินแทนข้าวไม่ได้เลย อย่าบอกนะว่าจะให้ข้าปาดคอตัวเองให้กลายเป็นนักพรตผีเพื่อฝึกวิชาของท่าน? เคล็ดวิชาเส็งเคร็งนั่นน่ะ ท่านเก็บไว้ใช้เองเถอะ ข้าไม่สนใจ!”

ซือถูเซี่ยวพูดไม่ออกแล้ว ของที่ข้าเห็นว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุด เจ้ายังไม่ชายตาแลเลย จึงกล่าวเสียงต่ำทันทีว่า “เจ้าเองก็บอกแล้วว่าเมื่ออยู่ที่พิภพใหญ่ เคล็ดวิชาฝึกตนของข้านับว่าไม่เลว เอาไปแลกกับทรัพยากรฝึกตนก็พอได้อยู่หรอกมั้ง?”

เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนอยากขำ “ซือถูเซี่ยว พวกเจ้าก็ไม่เคยได้เห็นโลกภายนอกเหมือนกันนะเนี่ย เลยคิดว่าเคล็ดวิชาของตัวเองล้ำค่า เดี๋ยวตอนหลัง ให้คนของเจ้าไปสืบข่าวที่พิภพใหญ่สักหน่อย ดูว่าใครจะกล้านำเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเจ้าไปแลกทรัพยากรฝึกตนได้บ้าง ข้าไม่ได้มีความกล้าขนาดนั้น นอกเสียจากจะเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อเท่านั้นแหละถึงจะทำ ถ้าเจ้ากล้าเอาออกมาโอ้อวด ข้าจะตัดหัวเอาให้เจ้าไปเล่นได้ตามสบายเลย อวิ๋นอ้าวเทียนเป็นท่านปู่ เป็นคนในครอบครัว ข้าเห็นแก่หน้าฮูหยินถึงได้ตอบตกลง ข้าไม่ได้เป็นญาติสนิทมิตรสหายกับเจ้า เจ้านับว่าแก่กว่ากี่ปี? เคล็ดวิชาเส็งเคร็งนั่นเจ้าเอาไว้เล่นเองเถอะ ข้าไม่สนใจหรอก!”

1112

บทที่ 1113 ห้าปราชญ์ที่เชื่อฟัง

ข้านับว่าแก่กว่ากี่ปีงั้นเหรอ? ซือถูเซี่ยวอยากจะถามเขาเหมือนกันว่าเขาแก่กว่ากี่ปี และยิ่งอยากจะใช้ฝ่ามือฟันเขาให้ตายด้วย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาแข่งขันเอาชนะกัน คนที่อยู่ในตำแหน่งระดับนี้ไม่มีทางเลิกสนใจผลประโยชน์มหาศาลเพราะคำพูดที่ใส่อารมณ์ประโยคเดียว ถ้ามีผลประโยชน์ข้าก็จะหลีกทางให้ก่อน ถ้าไม่มีผลประโยชน์แล้ว สักวันหนึ่งข้าก็จะคิดบัญชีกับเจ้าทั้งต้นทั้งดอก

ซือถูเซี่ยวกำลังใส่หน้ากาก ไม่มีใครมองออกว่าสีหน้าของเขาในตอนนี้เป็นอย่างไร ได้ยินเพียงเขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบต่อไปว่า “ไม่ทราบว่าทำไมเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางจึงโอ้อวดที่ภพใหญ่ไม่ได้?”

เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจเขา แสดงออกชัดเจนว่าไม่สนใจของของเขา เอียงหน้าพูดกับพวกฉางเหลยว่า “เคล็ดวิชาของพวกเจ้า ข้าก็ไม่สนใจเหมือนกัน ไม่สู้ไปทำงานเป็นลูกน้องของขาที่พิภพใหญ่ก็พอแล้ว”

ที่แท้ก็มีเจตนาแบบนี้นี่เอง! พวกเขาสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย ล้อเล่นอะไรกัน จะให้พวกเราไปเป็นลูกน้องเจ้างั้นเหรอ?

“จะให้เป็นลูกน้องเจ้าก็เป็นไปไม่ได้หรอก ปีศาจเฒ่าได้เงื่อนไขอย่างไรข้าก็จะเอาเงื่อนไขอย่างนั้น ถึงอย่างไรลูกสาวสองคนของอันหรูอวี้ก็แต่งงานกับเจ้าแล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่แยแสความเป็นความตายของสองสามีภรรยา?” มู่ฝานจวินถามเสียงต่ำ

นี่เป็นการเอาชีวิตของอันหรูอวี้และสามีมาขู่ตรงๆ อย่างน้อยก็ทำแบบนี้ต่อหน้าคนนอก แต่อวิ๋นจือชิวเองก็รู้ ว่าที่จริงแล้วเป็นการแอบบอกใบ้เหมียวอี้ว่าน้องสาวของเจ้ายังอยู่ในมือข้า

เหมียวอี้รู้อยู่แล้วว่านางจะมาไม้นี้ เขาสีหน้าดำมืดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มบอกว่า “ข้าเห็นแก่หน้าหรูฮูหยินทั้งสองคน ครั้งนี้จะนับว่ายอมให้! แต่ข้าจะพูดถึงสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อนนะ ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าขู่ข้าต่อไปโดยไม่มีขีดจำกัดหรอก ถ้าไปถึงพิภพใหญ่แล้วยังกล้าขู่แบบนี้อีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าแล้วกัน!”

“ตกลงตามนี้!” มู่ฝานจวินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย

จีฮวน ฉางเหลยและซือถูเซี่ยวสบตากันแวบหนึ่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขาสามคนกำลังถามกันอยู่ พวกเราจะเอาอย่างไรดี?

“ปีศาจเฒ่า!” จีฮวนเอามือลูบเครา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ไม่ว่าคำพูดของเจ้าเด็กนี่จะจริงหรือโกหก ต่อให้เป็นเรื่องจริง เมื่อครู่เจ้าก็ได้ยินสิ่งที่เขาพูดแล้ว ทางพิภพใหญ่ไม่มีอะไรให้เราแข่งขันกัน ถ้าอยากจะตั้งตัวได้ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว จะดีจะร้ายพวกเราก็เป็นสหายเก่าจากที่เดียวกัน ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถช่วยเหลือร่วมมือกัน การทำงานคนเดียว…”

“อย่ามาพูดเหลวไหล!” เหมียวอี้พูดขัดเสียเลย สีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์ เหมือนยังไม่ได้เดินออกจากการบีบคั้นของมู่ฝานจวิน พูดด้วยน้ำเสียงเจือไฟโกรธว่า “ตอบตกลงกันให้หมดแล้วกัน! ส่งคนที่พวกเจ้าเชื่อถือได้มาเดี๋ยวนี้ เดี่ยวข้าจะพาพวกเขาไปดูที่พิภพใหญ่ ถึงตอนนั้นถ้าพวกเจ้าอยากจะไปก็ไป ถ้าไม่อยากไปก็อยู่อย่างซื่อสัตย์หน่อย ถ้ากล้ามาหาเรื่องข้าอีก ก็รับผลที่ตามมาเอาเอง!”

เรื่องราวถูกกำหนดไว้แบบนี้ชั่วคราม ส่วนคำพูดของเหมียวอี้จะน่าฟังหรือไม่น่าฟัง ห้าปราชญ์ก็ขี้คร้านจะสนใจเหมือนกัน จะมีอารมณ์จากไหนมาสนใจเรื่องแบบนี้ ทั้งใจเต็มไปด้วยเรื่องเดินทางไปพิภพใหญ่ แต่ละคนบทจะไปก็ไปเลย อดใจรอไม่ไหวที่จะกลับไปจัดเตรียม จากไปอย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่ในลานบ้าน หลังจากมองคล้อยหลังห้าปราชญ์จากไปแล้ว เขาก็เงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็หันกลับมาบอกว่า “พี่ใหญ่ ท่านกับอวิ๋นจือชิวปรึกษาเรื่องรับงานต่อจากแดนอู๋เลี่ยงกันสักหน่อยเถอะ อาจจะต้องขอกำลังคนจากทะเลดาวนักษัตรมาส่วนหนึ่ง ถือโอกาสส่งกำลังคนส่วนหนึ่งให้เวยเวยด้วย เก็บกวาดที่นี่สักหน่อย เราจะพักที่นี่กันชั่วคราว”

ในเมื่อเขามีความคิดแบบนี้แล้ว พวกสงเวยก็ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน ที่จริงในใจทุกคนล้วนเข้าใจ ว่าถึงแม้เจ้าห้าจะอยู่ในลำดับสุดท้ายของพี่น้อง แต่ทุกคนก็ให้เจ้าห้าเป็นจุดศูนย์กลางแล้ว อนาคตและผลประโยชน์ล้วนผูกติดอยู่กับตัวของเจ้าห้า

เหมียวอี้สั่งเสร็จก็ถอดเกราะรบออก เอามือไขว้หลังเดินเล่นไปทั่วทุกที่ เขามาที่นภาอู๋เลี่ยงเป็นครั้งแรก ยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่

ส่วนการเตรียมการธุระเบ็ดเตล็ดของเบื้องล่าง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ขี้เกียจจะเปลืองความคิดอยู่แล้ว อวิ๋นจือชิวจะช่วยเขาจัดเตรียมได้อย่างเหมาะสม

ส่วนอวิ๋นจือชิวกับพวกสงเวยก็ปรึกษาเรื่องนี้กันเรียบร้อยแล้ว หลังจากติดต่อกับพวกหยางชิ่งอีกครั้ง ก็กลับมาหาเหมียวอี้ที่บนภูเขานอกตำหนักอู๋เลี่ยง “หนิวเอ้อร์ เจ้าต้องการพาท่านปู่กับพวกเขาไปที่พิภพใหญ่จริงๆ หรือว่ามีแผนการอื่น?”

“ข้ารำคาญเรื่องของพิภพใหญ่กับพิภพเล็กมามากพอแล้ว” เหมียวอี้ที่กำลังชมทิวทัศน์โดยรอบหันกลับมามองนาง ยื่นมือคว้านางมาไว้ในอ้อมกอด จูบที่หน้าผากขาวเกลี้ยงเกลาของนางเบาๆ มองดวงตางามทั้งคู่ของนางพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พาพวกเขาไปส่งที่พิภพใหญ่ด้วยกันเสียเลย ต่อไปพวกเราก็จะควบคุมพิภพเล็กได้แล้ว ทำให้พิภพเล็กสงบลงในครั้งเดียว เรียบง่ายจะตาย จะอ้อมไปอ้อมมาให้ยุ่งยากทำไม”

อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน ร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขามาหลายปี จะไม่เข้าใจเขาได้อย่างไร แต่ไหนแต่ไรมาเขาใช้วิธีการที่เรียบง่ายฉาบฉวยแต่ได้ผลลัพธ์สูงมาโดยตลอด เวลาเจอปัญหาอะไรก็ชอบใช้วิธีรัวดาบฟันเชือก[1] หลังจากจบเรื่องก็โยนดาบทิ้ง เดี๋ยวกลับไปก็โยนงานให้ลูกน้องทำแล้ว โยนงานเบ็ดเตล็ดพวกนั้นให้คนอื่นจัดการหมด

ยกตัวอย่างเช่นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า การจัดการอาณาเขตและกำลังพลของสายมะโรง การจัดการอาณาเขตและกำลังพลของทะเลดาวนักษัตร แล้วก็การจัดการอาณาเขตและกำลังพลของแดนอู๋เลี่ยงด้วย นั่นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนและเปลืองความคิด ปรากฏว่าท่านขุนนางเหมียวแค่กำหนดประเด็นขึ้นมา ส่วนอย่างอื่นก็ไม่สนใจแล้ว

หลังจากจบเรื่องก็รอฟังแค่ผลลัพธ์ ถ้าผลลัพธ์ทำให้เขาไม่พอใจ ก็จะส่งกลับไปให้เจ้าทำใหม่ ทำจนกว่าเขาจะพอใจถึงจะหยุด

ถ้าจะให้หยิบยกคำพูดของเขามา ก็จะได้ความว่า ข้าจ่ายเงินมากมายเพื่อเลี้ยงคนมากขนาดนั้นแล้ว จะปล่อยให้อู้งานอยู่ว่างๆ ไม่ได้หรอก ถ้าจะให้ข้าทำเองทุกอย่าง แล้วข้าจะเลี้ยงพวกเขาไว้ทำไมล่ะ?

“เจ้าไม่กลัวเหรอว่าถ้าพวกท่านปู่ไปที่พิภพใหญ่แล้วจะเปิดเผยความลับของพิภพเล็ก? เจ้าไม่ต้องการทางหนีทีไล่นี้แล้วเหรอ?” อวิ๋นจือชิวมีสิง่ที่กังวลใจ สามารถของนางไปมีเรื่องกับคนที่พิภพใหญ่มาไม่น้อยเลย ตอนนี้ไม่มีคนมาหาเรื่องเพราะยังหาโอกาสเหมาะไม่ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าตอนหลังจะไม่มีคนมาหาเรื่อง

“สิ่งที่ทำให้ข้ากังวลที่สุดก็คือเรื่องนี้ ไม่สู้ให้พวกเขากังวลเรื่องนี้บ้างดีกว่า เดี๋ยวกลับไปข้าจะเตรียมการเอง เอ่อคือ ฮูหยิน ทิวทัศน์ตรงนี้ไม่เลวเลย พวกเรามา…” น้ำเสียงของเหมียวอี้เจือความอ่อนโยนเล็กน้อย มือลูบไล้จากแผ่นหลังของอวิ๋นจือชิวไปถึงบั้นท้ายของนางแล้ว…

“นี่! ล่องเรือเที่ยวกับเวยเวยมาตลอดทางยังกินไม่อิ่มอีกเหรอ?” นางยังรับไม่ได้กับการทำอะไรในที่โจ่งแจ้งแบบนี้ จึงตีมือเขาออก แล้วบอกว่า “พูดธุระสำคัญเถอะ ข้าเตรียมจะมอบเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินให้ท่านปู่ข้า จะมาฟังความเห็นของเจ้าสักหน่อย ถ้าเจ้าไม่เต็มใจ งั้นก็ช่างเถอะ”

เหมียวอี้ตอบอย่างเยือกเย็นมากว่า “ความเห็นของข้าก็คือ รอให้เจ้าได้เคล็ดวิชาภาคคนมาไว้ในมือก่อน ไม่อย่างนั้นคนที่เสียเปรียบก็จะเป็นเจ้าเอง ส่วนเรื่องอื่นเจ้าก็จัดการเองได้เลย เจ้าอยากจะดูแลครอบครัวตัวเองก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ข้าไม่เข้าไปก้าวก่าย”

ฟันขาวขูดริมฝีปากจนแดงไปหมดแล้ว อวิ๋นจือชิวใช้สองมือคล้องคอเขา มองเขาด้วยแววตาออเซาะเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้ไม่เคยว่าอะไรนางเลย ในใจนางรู้สึกหวานชื่น ตอนนี้ไม่ว่าอะไรก็ยอมเชื่อฟังเขาทุกอย่าง กระซิบข้างหูเขาว่า “ในหุบเขาด้านหลังมีบ่อน้ำพุร้อน ค่อนข้างลับตาคน”

เมื่อเห็นท่าทางเขินอายหยาดเยิ้มของนาง เหมียวอี้ก็รู้สึกเร่าร้อนในใจ เขามองไปรอบ แล้วกวักมือเรียกนักพรตปีศาจคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เฝ้าระวัง

พรตปีศาจเหาะเข้ามา แล้วกุมหมัดคารวะ “คุณชายห้า!”

เหมียวอี้กล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “ข้ากับฮูหยินมีธุระสำคัญต้องคุยกันนิดหน่อย กำชับลงไปว่า ห้ามใครเข้าใกล้ที่ราบตรงด้านหลังภูเขา ใครขัดคำสั่ง ประหาร!”

“ขอรับ!” พรตปีศาจเอ่ยรับแล้วเงยหน้ามองฟ้า พบว่าเหมียวอี้อุ้มอวิ๋นจือชิวที่ใบหน้าแดงเรื่อเหาะออกไปอย่างโจ่งครึ่มแล้ว เขาเข้าใจทันที ไม่ใช่ว่ามีธุระสำคัญอะไรจะคุยหรอก แต่เป็นการคุยเรื่องบนเตียงมากกว่า เขาทำได้เพียงไปแจ้งให้คนที่อยู่รอบๆ เตรียมระแวดระวัง ไม่กล้าทำลายอารมณ์สุนทรีของคุณชายห้า เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาก็มีชะตากรรมอย่างนี้ ไม่มีทางเลือก

อวิ๋นจือชิวพบว่าวันนี้เหมียวอี้บ้าระห่ำอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นรุนแรงนิดหน่อยด้วย เจือด้วยความดิบเถื่อน มีความปรารถนาไร้ที่สิ้นสุด ตอนกลางคืนเมื่อกลับมาถึงห้องนอนที่จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว ก็จูงมือนางไปบ้าระห่ำกันอีกครั้ง

เช้าวันต่อมา ทั้งสองยังคงนอนหลับกอดกันอยู่บนเตียง จนกระทั่งมีคนมาแจ้งว่าห้าปราชญ์ทยอยกันมาถึงครบแล้ว  ทั้งสองถึงได้ลุกขึ้นมา อวิ๋นจือชิวที่ใบหน้าเปล่งปลั่งสดใสรีบปรนนิบัติอาบน้ำให้ท่านขุนนางเหมียว ความรักความห่วงใยจากภรรยา ล้วนแสดงออกในทุกการกระทำที่เอาใจใส่ของอวิ๋นจือชิวหมดแล้ว

หลังจากทั้งสองรับประทานอาหารที่ฉินเวยเวยลงมือเตรียมด้วยตัวเองแล้ว เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวถึงได้เดินเคียงกันออกมาพบห้าปราชญ์ ฉินเวยเวยไม่ได้ตามมาด้วย สถานที่และโอกาสแบบนี้มีอวิ๋นจือชิวเป็นฮูหยินเจ้าบ้าน และมีเพียงฮูหยินอย่างอวิ๋นจือชิวเท่านั้นที่สามารถนั่งเสมอกับเหมียวอี้ได้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอนุภรรยาอย่างนาง

ฉินซีที่อยู่เป็นเพื่อนฉินเวยเวยขมวดคิ้วอย่างชัดเจน ค่อนข้างไม่พอใจ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ภรรยาเอกก็คือภรรยาเอก อนุภรรยาก็คืออนุภรรยา ไม่สามารถนำขึ้นมาเอ่ยถึงพร้อมๆ กันได้

เหมียวอี้ที่ถอดเกราะรบแล้วยังคงองอาจผ่าเผย รูปร่างสูงตรง ลักษณะสูงส่งราวกับนั่งอยู่บนเมฆ อวิ๋นจือชิวที่ใบหน้าเปล่งปลั่งสดใสมีรูปร่างที่อรชรอ้อนแอ้น  ประกอบกับชุดกระโปรงยาวสีเขียวคราม ทำให้ดูสูงส่งทว่าสวยหยาดเยิ้ม ปิ่นหงส์ที่งามประณีตห้อยสั่นไหวตามจังหวะการก้าวเดิน

สองสามีภรรยาปรากฏตัวตรงเคียงกันต่อหน้ากลุ่มคน ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคู่ที่สวรรค์ได้บรรจงสร้างขึ้น คู่รักที่ไปไหนด้วยกันเป็นคู่ มองออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาค่อนข้างดี

พอเห็นสีหน้าของอวิ๋นจือชิว ผู้ที่มามองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเมื่อคืนนางจะต้องมีค่ำคืนที่ดีแน่นอน อวิ๋นอ้าวเทียนที่นั่งเงียบๆ อยู่ในสวนดอกไม้เหลือบมองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าสุขสันต์จากใบหน้าหลานสาว ท่าทางหัวเราะคิกคักแบบนั้นช่างงดงามยิ่งกว่าดอกไม้ สายตาที่เหมียวอี้ก็ดูเป็นมิตรขึ้นนิดหน่อย

ก่อนหน้านี้ให้เขารออยู่ตั้งนาน ทำให้ไฟโกรธสุมอยู่ในอกเขาเอง ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องของพิภพใหญ่ เขาคงระเบิดอารมณ์ไปนานแล้ว ตอนนี้อารมณ์เริ่มสงบลงอย่างช้าๆ

สายตาที่มู่ฝานจวินมองดูอวิ๋นจือชิว ฉายแววชื่นชมและอ่อนโยนแวบหนึ่ง

“ท่านปู่ ท่านอาหก!” พอเข้ามาในศาลา อวิ๋นจือชิวก็ก้าวเข้ามาคำนับอวิ๋นอ้าวเทียนและอวิ๋นเซี่ยวที่ยืนอยู่ข้างหลังอวิ๋นอ้าวเทียนทันที

อวิ๋นเซี่ยวพยักหน้ายิ้ม ส่วนอวิ๋นอ้าวเทียนก็ขานรับ “อื้ม” อย่างเย็นชา

หลังจากคำนับเสร็จ อวิ๋นจือชิวก็ถอยมายืนอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ส่วนเหมียวอี้ที่กำลังอยู่ในช่วงวางมาด ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดว่าจะให้เขาคำนับ

มู่ฝานจวินพาจงเจิ้นลูกศิษย์อันดับสามมา ซือถูเซี่ยวพาหวังเต้าหลินลูกศิษย์คนโตสุดมา ฉางเหลยพาฝ่าเยี่ยนลูกศิษย์คนโตสุดมา จีฮวนพาจีเต๋อจวินลูกชายคนรองมาด้วย ลูกชายคนโตตายด้วยน้ำมือเฟิงเป่ยเฉินตั้งนานแล้ว

เหมียวอี้กวาดตามองคนที่ห้าปราชญ์พามา แล้วเตือนว่า “หลังจากทุกคนไปที่พิภพใหญ่แล้ว อย่าลืมสืบหาเบาะแสของเคล็ดวิชาฝึกตนที่ตัวเองฝึกสักหน่อยสักหน่อย จะได้ให้อาจารย์ของพวกเจ้าตัดสินใจว่าจะไปที่พิภพใหญ่หรือไม่” พูดจบก็หันมาพยักหน้าให้อวิ๋นจือชิว

อวิ๋นจือชิวถือกระเป๋าสัตว์ไว้ในมือ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คนที่จะไปพิภพใหญ่เข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้า ถ้าไม่เต็มใจก็ไม่ต้องไป”

“ตอนที่พวกเราไปจะต้องเข้ากระเป๋าสัตว์ด้วยรึเปล่า?” มู่ฝานจวินถามทันที

เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบ “พวกเจ้าไม่ต้องหรอก ครั้งนี้ให้ฮูหยินของข้าพาไป เพื่อความปลอดภัยของฮูหยินข้า ถ้าอยากจะไปก็ลำบากนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

พอเป็นแบบนี้ ห้าปราชญ์ก็ไม่มีความเห็นอะไรแล้ว ตราบใดที่ไม่คุกคามความปลอดภัยของพวกเขา ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นก็ไม่มีใครออกมายุติอยู่ดี ดังนั้นจึงเชื่อฟังอย่างที่พบเห็นได้ยาก ส่วนมรสุมหลังจากจบเรื่องนี้ ทุกคนกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ

อวิ๋นอ้าวเทียนเอียงหน้าบอกใบ้ อวิ๋นเซี่ยวที่อยู่ข้างหลังก็เป็นคนแรกที่เดินออกมา เป็นฝ่ายขอให้อวิ๋นจือชิวเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์ก่อน จกานั้นอีกสี่คนก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว เมื่ออาจารย์และบิดาไม่มีความเห็นอะไร ต่อให้พวกเขามีความเห็นอะไรก็ไม่มีประโยชน์

หลังจากเข้าไปในกระเป๋าสัตว์เรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็พูดกับอวิ๋นจือชิวด้วยรอยยิ้มว่า “ระหว่างทางระวังตัวด้วยนะ”

อวิ๋นจือชิวหยักหน้า พอออกจากศาลาก็พุ่งขึ้นฟ้าไปทันที

…………………………

[1] รัวดาบฟันเชือก 快刀斩乱麻 หมายถึง ตัดสินใจเด็ดขาดรวดเร็ว

 

1113

บทที่ 1114 ชื่อเสียงฉาวโฉ่แล้ว

สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้แอบส่ายหน้าก็คือ พวกตาแก่รวมทั้งอวิ๋นอ้าวเทียนแสร้งทำท่าเหมือนไม่สนใจอะไรพลางเดินออกมาจากศาลา แล้วก็มองไปยังทิศทางที่อวิ๋นจือชิวจากไป เหมียวอี้รู้อยู่แก่ใจว่าพวกเขากำลังมีความคิดอะไร นั่นก็คืออยากจะมาดูว่าอวิ๋นจือชิวไปทางไหน อยากจะดูว่าจะเจอเบาะแสอะไรหรือเปล่า

“ไม่ต้องแล้ว ต่อให้พวกเจ้าตามก้นไป พวกเจ้าก็ไปพิภพใหญ่ไม่ได้หรอก” เหมียวอี้ยืนพูดถากถางอยู่บนบันไดศาลา

“อย่าบอกนะว่าวรยุทธ์ของอวิ๋นจือชิวสูงกว่าพวกเรา?” จีฮวนหันมาถาม

เหมียวอี้ขี้คร้านจะอธิบาย ถ้าไม่มีกระสวย อาศัยวรยุทธ์ของพวกเจ้าไปที่พิภพใหญ่ ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งแท้ๆ เขาถึงขั้นครุ่นคิดว่าครั้งหน้าจะให้ห้าปราชญ์ไปตายตรงประตูดวงดาวดีไหม แต่จนใจที่ห้าคนนี้ก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ถ้ายังไม่ถึงพิภพใหญ่พวกเขาก็ไม่มีทางมอบเคล็ดวิชาให้แน่ ถ้าทำให้อวิ๋นอ้าวเทียนตายแล้ว เขาก็ไม่สะดวกจะอธิบายกับทางอวิ๋นจือชิว คิดไปคิดมาก็ทำได้เพียงช่างมัน

“ไปกลับเกรงว่าต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ทุกคนค่อยๆ รอไปเถอะ” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วจากไป

“เจ้าหนู เจ้าทำกับผู้อาวุโสแบบนี้เหรอ? ข้าจะอยู่ที่นี่สักเดือนหนึ่ง จ้ามีความเห็นแย้งหรือไง?” อวิ๋นอ้าวเทียนถาม

“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก ตอนนี้รู้จักทำตัวเป็นผู้อาวุโสของข้าแล้วเหรอ? เวลาอยากแย่งของของข้าไม่เห็นเจ้าจะเกรงใจเลย?

“พวกเราเฝ้าอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว จะได้เกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร” ซือถูกเซี่ยวกล่าว

“พวกเราห้าคนจะช่วยปกป้องให้เจ้าเอง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับเกียรตินี้นะ” จีฮวนก็พยักหน้าเช่นกัน

เหมียวอี้ทั้งโมโหทั้งอยากขำ ปกป้องอะไรกัน ไม่ใช่ว่ากลัวเขาจะกลับคำพูด ก็เลยจะเฝ้าดูเขาไว้หรอกเหรอ จึงพูดดูถูกว่า “ถ้าพวกเจ้าพักที่นภาอู๋เลี่ยง คาดว่าเฟิงเป่ยเฉินคงจะตายตาไม่หลับ ทั้งห้าท่านรีบกลับไปไวๆ เถอะ”

“ถ้าเจ้าหนีไปจะทำยังไงล่ะ?” มู่ฝานจวินถามตรงๆ เสียเลย

“ถ้าข้าจะหนี ก็คงหนีไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว จำเป็นต้องรอจนถึงตอนนี้ด้วยเหรอ? ช่างเถอะ ข้าไม่ถือสาพวกเจ้าเรื่องนี้หรอก ถ้าอยากจะอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่ทุกคนก็ต้องส่งคำสั่งกลับไปคนละฉบับ” เหมียวอี้พูดดูถูก

“คำสั่งอะไร?” มู่ฝานจวินถาม

จะเป็นคำสั่งอะไรได้ล่ะ เหมียวอี้ต้องการให้ทั้งห้าประกาศกับแต่ละแดนเองว่ายอมรับที่เหมียวอี้มาแทนที่เฟิงเป่ยเฉิน

ที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้เหมือนกัน ขอเพียงพาห้าปราชญ์ออกไปจากพิภพเล็กได้ ทั้งพิภพเล็กก็จะเป็นอาณาเขตของเขาแล้ว แต่เพื่อที่จะรับงานจากแดนอู๋เลี่ยงได้สะดวก เจาก็ไม่ถือสาที่จะรบกวนห้าคนนี้สักหน่อย

ทั้งห้าไม่ได้มีอะไรจะขัดเช่นกัน ถ้าพบว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล เรื่องแบบนี้ก็สามารถกลับคำได้ตลอดเวลา

ดังนั้นเมื่อได้คำสั่งห้าฉบับมาไว้ในมือ เหมียวอี้ก็สั่งให้แม่ทัพปีศาจห้าคนแยกย้ายกันนำคำสั่งไปส่งที่นภาจอมมารและที่อื่นๆ

ปิดบังเรื่องการตายของเฟิงเป่ยเฉินไม่ได้แล้ว หลังจากผ่านไปไม่กี่วันข่าวก็เริ่มแพร่ออก เพียงแต่มีบางคนกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย รอจนกระทั่งนภาจอมมาร แดนโพ้นสวรรค์ นภาหยินหยาง แดนสุขาวดีและนภาหมื่นปีศาจเริ่มแสดงท่าทีสนับสนุนเหมียวอี้ ทั้งพิภพเล็กก็สั่นสะเทือนไม่เบา!

กำลังพลสายมะโรงยังคงอยู่ระหว่างการรวมตัวกัน กลุ่มนักพรตที่ใหญ่ที่สุดก็คือนักพรตระดับพื้นบก กำลังพลของถ้ำและขุนเขารวมทั้งจวนต่างๆ ออกมาหมด บนถนนหนทางสายต่างๆ หรือไม่ก็บนทางลัดระหว่างภูเขาที่สามารถเดินได้ เสียงกีบเท้าอาชามังกรวิ่งตะบึงดังกุบกับ

สัตว์ปีกที่อยู่ระหว่างภูเขาบินแตกตื่น บางครั้งสองข้างทางของถนนใหญ่จะเห็นชาวบ้านมนุษย์ธรรมดากระโดดลงจากรถม้าลงมาหมอบกราบทำความเคารพท่านเซียน

หลังจากกลุ่มพลทหารม้ามองข้ามแล้ววิ่งผ่านไป บนตัวของชาวบ้านที่อยู่ริมทางก็มีฝุ่นเกาะหนึ่งชั้น

“พี่กงซุน ได้ยินว่าในนั้นท่านกับเหมียวอี้เป็นเพื่อนร่วมงานกันที่เขาเจิ้นไห่เหรอ!”

ประมุขขุนเขาสามคนนำกำลังพลสามสายวิ่งตะบึง มีหนึ่งคนในนั้นเอ่ยถาม ส่วนคนที่โดนถามก็คือกงซุนอวี่ ประมุขขุนเขาเจิ้นไห่

พวกเขาได้ข่าวระหว่างเดินทางว่าเหมียวอี้สังหารเฟิงเป่ยเฉินและกลายเป็นประมุขคนใหม่ของแดนอู๋เลี่ยงแล้ว

“เรื่องในอดีตไม่ต้องพูดถึงแล้ว” กงซุนอวี่ตอบพร้อมรอยยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มซ่อนความขื่นขมอยู่บ้างนิดหน่อย

ความรู้สึกในตอนนี้มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้ พลาดไปเพียงก้าวเดียว ก็อาจจะพลาดไปทั้งชีวิต คนที่ติดตามเหมียวอี้มาตลอดตั้งแต่ในปีนั้น ตอนนี้พวกเขามีฐานะเป็นอย่างไรล่ะ? ขนาดคนที่ติดตามหยางชิ่งกับฉินเวยเวยมาตลอดยังได้เป็นประมุขจวนกันหมดแล้วเลย แต่เขายังเป็นประมุขขุนเขาเจิ้นไห่ วรยุทธ์ก็ยังอยู่ระดับบงกชเขียวเช่นกัน

ตอนแรกเป็นเพราะเคยมีเรื่องกับเหมียวอี้ จึงไม่ได้ติดตามฉินเวยเวยไปทำงานกับเหมียวอี้ที่ได้คุมสองตำหนัก ใครจะคิดว่าตอนหลังหยางชิ่งจะได้กลายเป็นผู้การใหญ่ของสายมะโรง เท่ากับอ้อมไปอ้อมมาตัวเองก็ได้เป็นลูกน้องหยางชิ่งเหมือนเดิม เพียงแต่ความแตกต่างระหว่างกันห่างไกลเกินไปแล้ว

หลังจากนั้นก็ใช่ว่าเขาจะไม่ได้ไปหาเจ้านายเก่าอย่างหยางชิ่งกับฉินเวยเวยอีก เขาอยากจะขอให้ช่วยดูแล แต่หลังจากฉินเวยเวยแต่งงานกับเหมียวอี้แล้ว หยางชิ่งก็ยืนอยู่ฝ่ายเหมียวอี้โดยสมบูรณ์ เป็นเพราะกงซุนอวี่เคยล่วงเกินเหมียวอี้ และเป็นเพราะในปีนั้นหยางชิ่งมีเจตนาจะให้กงซุนอวี่แต่งงานกับฉินเวยเวย หยางชิ่งไม่อยากให้กงซุนอวี่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับฉินเวยเวยอีก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดข่าวลือที่ไม่น่าฟังจนทำให้เหมียวอี้เข้าใจผิด หยางชิ่งจึงไม่ได้ใช้งานเขาอีก แต่เห็นแก่ไมตรีเก่าๆ หยางชิ่งก็ไม่ได้กลั่นแกล้งเขาเช่นกัน ให้เขาพยายามด้วยตัวเอง ถ้าเขาอยากจะออกจากสายมะโรง หยางชิ่งก็จะบอกกับกำลังพลเบื้องล่างให้ปล่อยเขาไป

ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้แย่ ความสามารถก็ใช่ว่าจะสู้เหมียวอี้ไม่ได้ เพียงแต่ตัวเองดวงไม่ดีเท่าเหมียวอี้ก็เท่านั้นเอง กงซุนอวี่คิดแบบนี้มาตลอด แต่สิ่งที่ตัวเองรู้สึกก็คือสิ่งที่ตัวเองรู้สึก แต่ประเด็นสำคัญคือกงซุนอวี่ไม่รู้ว่าถ้าตัวเองออกจากสายมะโรงแล้วจะไปที่ไหนได้ อยู่ที่นี่อย่างน้อยก็ยังได้เป็นประมุขขุนเขา ก็เลยเป็นแบบนี้อยู่ตลอด

ตอนนี้เหมียวอี้อยู่ในจุดสูงสุดแล้ว กลายเป็นหนึ่งในหกปราชญ์ สามารถจินตนาการได้เลยวาพวกที่ติดตามทำงานกับเหมียวอี้มาตลอดจะมีอนาคตเป็นอย่างไร

ความอัดอั้นตันใจทำให้ทำให้กงซุนอวี่เก็บกดหนักมาก พลันเร่งความเร็วสัตว์พาหนะ พุ่งนำหน้าสองคนที่เดิมทีวิ่งเคียงกัน

สองคนที่อยู่บนสัตว์พาหนะสบตากันแวบหนึ่ง แล้วแอบถ่ายทอดเสียงหยอกล้อกัน

คนหนึ่งบอกว่า “ได้ยินว่าในปีนั้นเจ้าหมอนี่เคยไปมีเรื่องกับเหมียวอี้เหรอ?”

อีกคนบอกว่า “แค่นั้นซะที่ไหนล่ะ! คนเขารู้กันทั่วว่าเจ้านี่ตามจีบฉินเวยเวย อนุภรรยาของเหมียวอี้ ในปีนั้นขนาดข้าเป็นทหารเล็กๆ ยังเคยได้ยินเลย”

“น่าสนใจ! คางคกอยากกินเนื้อหงส์ เนื้อก็ไม่ได้กินแถมยังหาเรื่องใส่ตัวอีก ในปีนั้นพวกเดียวกันได้เลื่อนขั้นได้ร่ำรวย มีแค่ลูกน้องคนสนิทของหยางชิ่งอย่างเขาคนเดียวที่หยุดอยู่ที่นี่ แบบนี้เรียกว่าไม่ประเมินกำลังตัวเอง แต่เพิ่งได้ยินมาว่าฉินเวยเวยนั่นโดนเฟิงเป่ยเฉินจับไปขืนใจแล้ว ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า?”

“ไม่มีมูลหมาไม่ขี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นความจริง ถ้าไม่อย่างนั้นเหมียวอี้จะตามไปสู้ตายกับเฟิงเป่ยเฉินทำไม ไม่ต้องสนใจหรอก ถึงอย่างไรก็ไม่ได้นอนกับผู้หญิงของเจ้าสักหน่อย อย่าพูดมากจะดีกว่า จะได้ไม่ซวยเพราะปาก”

อีกด้านหนึ่ง จ้าวเฟยกับอูเมิ่งหลันสองสามีภรรยาขี่สัตว์พาหนะเคียงข้างกัน นำกำลังพลกลุ่มใหญ่ข้างหลังวิ่งตะบึงไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน เสียงกีบเท้าอาชามังกรดังราวกับฟ้าผ่า ราวกับจะเหยียบให้ภูเขาแม่น้ำพัง

“นึกไม่ถึงเลยจริงๆ! ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันยังนั่งเรือเที่ยวด้วยกันอยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวสหายเหมียวก็มาแทนที่เฟิงเป่ยเฉิน กลายเป็นหนึ่งในหกปราชญ์แล้ว จินตนาการไม่ออกจริงๆ” พอได้ยินข่าว จ้าวเฟยก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ เป็นเพราะข่าวนี้สั่นสะเทือนเกินไปจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าหกปราชญ์ที่เป็นกฎเหล็กที่ควบคุมหกแดนจะถูกคนแทนที่แล้ว

“ในปีนั้นก็รู้สึกว่าเจ้านั่นมีจุดที่ไม่ธรรมดา ข้ายังอยากรับมาเป็นลูกน้องอยู่เลย ตอนนี้มาลองคิดดูแล้วก็น่าขำจริงๆ!” อูเมิ่งหลันถอนหายใจเช่นกัน แต่พอมองไปรอบๆ ก็ถ่ายทอดเสียงถามอีกว่า “เรื่องที่ฉินเวยเวยโดนเฟิงเป่ยเฉินย่ำยี เจ้าว่าเป็นเรื่องจริงรึเปล่า?”

จ้าวเฟยกลอกตามองนาง “เจ้ากลายเป็นคนปากมากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? นี่คือสิ่งที่พวกเราพูดได้เหรอ?”

อูเมิ่งหลันกลอกตามองเขา “ข้าก็คุยส่วนตัวกับเจ้าไม่ใช่รึไง ข้ารู้สึกว่าฉินเวยเวยนั่นก็ไม่เลวนะ ถ้าเหมียวอี้ทิ้งนางเพราะเรื่องนี้ แบนนั้นเหมียวอี้ก็ไม่ได้เรื่องเกินไปแล้ว ผู้ชายอย่างพวกเจ้าอยากจะให้ผู้หยิงรักษาความบริสุทธิ์ แต่ก็ปกป้องผู้หญิงของตัวเองไม่ได้อีก มีสิทธิ์อะไรมาผลักความรับผิดชอบทุกอย่างให้ผู้หญิงล่ะ?”

จ้าวเฟยเงยหน้ามองว่าสภาพอากาศเป็นเช่นไร เรื่องแบบนี้คุยกับผู้หญิงไปก็ไม่เข้าใจ ปล่อยให้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาก็พอแล้วในหัวกำลังนึกถึงเหล่าหญิงงามที่ลูกน้องนำมาบรรณาการให้ เป็นสามีภรรยากันมานานแล้ว ไม่ใช่ว่าหมดความรู้สึกต่อกัน แต่เลี่ยงไม่ได้ที่จะอยากลิ้มลองของใหม่ ไม่รู้ว่าถ้าตัวเองรับอนุภรรยาแบบเหมียวอี้อีกสักสองสามคน อูเมิ่งหลันจะมีปฏิกิริยาเป็นอย่างไร จะรับหญิงงามพวกนั้นเข้าห้องดีมั้ยนะ? เขาคิดวนเวียนกับเรื่องนี้มาก!

ทั้งสายมะโรง นอกจากประมุขปราสาทสายต่างๆ ที่มารวมตัวกันที่ตำหนักเจิ้นกุ่ยปราสาทดำเนินธาราเพื่อรอฟังคำสั่ง พวกประมุขตำหนักที่เหลือก็กำลังอยู่กับกำลังพลที่ติดตามมา

ตำหนักเจิ้นกุ่ยของปราสาทดำเนินธาราถูกหยางชิ่งใช้งานชั่วคราว เมื่อได้ทราบข่าวว่าเหมียวอี้ได้แทนที่เฟิงเป่ยเฉินอย่างเป็นทางการ เดิมทีเป็นข่าวที่น่ายินดี แต่ใครจะคิดว่าข่าวเกี่ยวกับฉินเวยเวยที่ตามมาทีหลังจะทำให้เขาอารมณ์ดิ่งลงจนถึงจุดต่ำสุด

เขาหลบอยู่ในห้องหนึ่งวันโดยไม่ออกไปไหน โต๊ะก็พลิกล้มแล้วเช่นกัน ของก็พังเกลื่อนเต็มพื้น ชิงเหมยกับชิงจวี๋ก็สีหน้าแย่เช่นเดียวกัน เก็บข้าวของที่พังอยู่ในห้องเงียบๆ บางครั้งก็แอบมองหยางชิ่งที่กำลังเอามือไขว้หลังยืนเงียบไม่พูดอะไรอยู่ริมหน้าต่าง

สุดท้าย หยางชิ่งก็ยังหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับฉินเวยเวย ถามนางว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่

เมื่อได้ยินฉินเวยเวยบอกว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น หยางชิ่งก็ถามอีกว่าเหมียวอี้มีท่าทีเป็นอย่างไร ฉินเวยเวยบอกว่าทุกอย่างปกติ ตอนนี้หยางชิ่งถึงได้โล่งใจแล้ว

เพียงแต่เมื่อเก็บระฆังดาราเสร็จแล้ว เขาก็ทำสีหน้าดุร้ายทันที สั่งด้วยน้ำเสียงขรึมเข้มว่า “ชิงเหมย เจ้าไปเตรียมการเรื่องนี้ ให้คนแอบจับตาดูอย่างลับๆ ถ้ามีกำลังพลคนไหนในสายมะโรงกล้าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ ก็สังหารให้ข้าเลย! ไม่สนว่าจะเป็นใคร ข้าต้องการศีรษะหนึ่งพันใบ!”

ชิงจวี๋อดไม่ได้ที่จะถามอย่างกังวล “นายท่าน เรื่องแบบนี้แพร่กระจายออกไปแล้ว ต่อให้ฆ่าก็เกรงว่าจะอุดปากฝูงชนไม่ได้อยู่ดี!”

หยางชิ่งตวาดเสียงเข้ม “อุดไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าฆ่าหนึ่งคนเพื่อเตือนหนึ่งร้อยคนได้ได้ ไม่ทำให้ข่าวแพร่กระจายออกไปก็พอ ข้าไม่อาจทนดูข่าวนี้ลือกันสนั่นโดยไม่ทำอะไร ไปจัดการเดี๋ยวนี้ ข้าต้องการหนึ่งพันหัวภายในสามวัน!”

“เจ้าค่ะ!” ชิงเหมยเห็นเขาโมโหแล้วจริงๆ จึงรีบเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป

ณ ตำหนักอู๋เลี่ยง เหมียวอี้ในเวลานี้กำลังรับการยอมจำนนจากท่านทูตสายต่างๆ ของแดนอู๋เลี่ยง เมื่อสถานการณ์ถูกกำหนด หลังจากห้าปราชญ์ประกาศสนับสนุนแล้ว ท่านทูตสายต่างๆ ก็วิ่งมาทันที

หลังจากได้พบหน้าทีละคนแล้ว เรื่องต่อไปจะจัดการอย่างไร เหมียวอี้ก็โยนงานนี้ให้พวกสงเวยปรึกษากับอวิ๋นจือชิวเพื่อจัดการ

ตรงนี้เพิ่งจะให้ท่านทูตคนหนึ่งถอยออกไป ฉินเวยเวยที่สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีก็เข้ามาในโถงหลัก

เดิมทีนางยังไม่รู้ข่าวที่ลือกันข้างนอก คนที่อยู่ข้างกายไม่กล้าบอกนาง เป็นเพราะหยางชิ่งถามแบบนั้นนางถึงได้รู้ สิ่งนี้ทำให้นางหวาดกลัวถึงขีดสุด

เมื่อเห็นสีหน้านางผิดปกติ เหมียวอี้ก็ยืนขึ้นแล้วเข้ามาถาม “เวยเวย เจ้าเป็นอะไรไป? ไม่สบายเหรอ?”

ฉินเวยเวยคุกเข่าต่อหน้าเขาทันที น้ำตาคลอเบ้าแล้ว พูดเสียงสั่นว่า “ระหว่างข้ากับเฟิงเป่ยเฉินไม่ได้เกิดเรื่องน่าอับอายอะไรขึ้นเลยจริงๆ”

พอได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็เข้าใจแล้ว รู้ว่านางได้ยินข่าวลือมาแล้ว จึงโน้มตัวประคองนางขึ้นมาด้วยตัวเอง “ข้าย่อมรู้อยู่แล้วว่าระหว่างเจ้ากับเฟิงเป่ยเฉินไม่มีอะไร เฟิงเป่ยเฉินจงใจพูดซี้ซั้วให้ข้าโมโห ที่จริงฝ่ายข้ามีคนแอบจับตาดูทุกการกระทำของเฟิงเป่ยเฉินอยู่ตลอด ขนาดฮูหยินของเฟิงเป่ยเฉินยังเป็นคนของข้าเลย เขาทำอะไรหรือไม่ทำอะไร ข้ารู้ดีที่สุด ข้าย่อมเชื่อในความบริสุทธิ์ของเจ้าอยู่แล้ว ถ้าข้าไม่เชื่อ ข้าคงเลิกกับเจ้าไปแล้ว!”

ที่จริงคำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นคำปลอบใจ หลังจากเฟิงเป่ยเฉินชิงตัวฉินเวยเวยหนีไป เขาจะไปจ้องดูทุกการกระทำของเฟิงเป่ยเฉินได้อย่างไร ถ้าจะพูดให้หยาบๆ หน่อยก็คือ ฉินซีย่อมต้องเข้าข้างลูกสาวตัวเองอยู่แล้ว สิ่งที่พูดออกมาย่อมเป็นสิ่งที่ปกป้องลูกสาวตัวเอง ดังนั้นคำพูดจึงอาจจะไม่น่าเชื่อถือ แต่อย่างน้อยเหมียวอี้ก็ยังเชื่อมั่นในตัวฉินเวยเวย ถ้ามีอะไรที่ผิดปกติจริงๆ เกรงว่าฉินเวยเวยคงจะมีปฏิกิริยาที่ไม่ปกติตั้งนานแล้ว

พอได้ยินว่าเหมียวอี้จับตาดูเฟิงเป่ยเฉินอยู่ตลอด พอได้รู้ว่าเหมียวอี้เองก็มีพยานบุคคล ไม่จำเป็นต้องให้ใครพิสูจน์ จะมีการพิสูจน์ของใครที่มีพลังยิ่งกว่าเหมียวอี้ล่ะ ในที่สุดหินก้อนใหญ่ที่อยู่ในใจฉินเวยเวยก็ตกลงพื้นแล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้นางกระโดดลงมหาสมุทรก็ล้างตัวเองให้สะอาดไม่ได้จริงๆ ชั่วขณะนั้นนางสุขใจที่ได้หลุดจากความเศร้า เข้าไปหมอบบนบ่าเหมียวอี้แล้วร้องไห้ฟูมฟายทันที ก่อนหน้านี้นางถึงขั้นเตรียมตัวจะตายเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองแล้วด้วยซ้ำ

ที่จริงเป็นเพราะเหมียวอี้ไหวตัวเร็ว วิธีการปลอบโยนค่อนข้างรวดเร็วราบรื่นและมีพลัง ไม่อย่างนั้นถ้าเหมียวอี้ทำท่าสงสัยแม้แต่นิดเดียว ฉินเวยเวยจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แน่นอน นี่คือความเศร้าสลดหลังจากแต่งงานแล้ว นางไม่ใช่ตัวเองคนเดิมอีกต่อไป ใช่ว่าทุกคนจะยืนหยัดเป็นตัวของตัวเองมาได้ตลอดเหมือนอวิ๋นจือชิว

ประเพณีนิยมของสังคมก็เป็นแบบนี้ โหดร้ายกับผู้หญิงมาก ความบริสุทธิ์ของผู้หญิงถึงขั้นมีค่ากว่าชีวิตของผู้หญิงด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รู้ว่าทำไมหยางชิ่งถึงเดือดดาลขนาดนั้น!

 

1114

 

บทที่ 1115 ยามคว่ำเมฆพลิกฝนได้

เพื่อที่จะทำให้ฉินเวยเวยวางใจอย่างถึงที่สุด ท่านขุนนางเหมียวจึงอุ้มฉินเวยเวยเข้าไปในตำหนักนอนเสียเลย ใช้การปฏิบัติจริงเพื่อแสดงออกอย่างชัดเจนว่าตัวเองเชื่อนาง หลังจากเมฆฝนที่เร่าร้อนผ่านไป ก็ทำให้ฉินเวยเวยหัวใจหวานชื่นแล้วจริงๆ วางใจลงจริงๆ แล้ว

เบื่อแล้ว!

หลังจากฉินเวยเวยออกไป นี่คือความคิดของเหมียวอี้ที่นั่งเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้เพียงลำพัง เขาพบว่ามีผู้หญิงเยอะเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี เมื่อแต่งงานเข้ามาแล้ว เจ้าไม่อาจทำเหมือนนางเป็นท่อนไม้ ไม่ถามไถ่สนใจใยดีความรู้สึกของนาง จะเอามาปรนนิบัติเจ้าอย่างเดียวไม่ได้ เขารู้สึกเหนื่อยใจนิดหน่อย!

ตอนนี้เขากำลังคิดว่า ตอนแรกที่แต่งงานกับอวิ๋นจือชิวแค่คนเดียวนั้นดีขนาดไหน ตอนแรกเขาคิดจริงๆ ว่าอยากจะอยู่กับอวิ๋นจือชิวคนเดียวไปยันแก่เฒ่า ตอนแรกไม่ได้มีความคิดว่าจะมีภรรยาหลายคนเลย ถึงแม้อวิ๋นจือชิวจะมีจุดไหนที่ทำให้เขาไม่พอใจ แต่ความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกันระหว่างเขากับอวิ๋นจือชิวก็ทำให้ใจของเขาผ่อนคลายมาก เวลาทะเลาะด่าทอกับอวิ๋นจือชิว เขาก็ไม่รู้สึกว่ามีภาระทางด้านจิตใจ เขาสามารถด่าอวิ๋นจือชิวว่าผู้หญิงปากร้ายและนางมารร้ายได้ แต่กับฉินเวยเวยกลับพูดแรงอย่างนั้นไม่ได้ กลัวว่าถ้าไม่ระวังจะทำให้นางคิดมากและทำร้ายจิตใจ ระหว่างสามีภรรยาก็ต้องระมัดระวัง ทำให้เขาเหนื่อยใจมาก

เขาเอนกายลงบนเก้าอี้คนเดียว ในหัวเต็มไปด้วยเงาร่างของอวิ๋นจือชิว ความงามเพริศพริ้งตอนพบกันครั้งแรกที่วัดเมี่ยวฝ่า การจ้องอย่างไม่ละสายตาเมื่อพบกันอีกครั้งที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ท่วงท่าที่งดงามยามดื่มสุราบนดาดฟ้าอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น การครอบครองยามร่างงามเข้าสู่อ้อมกอดเป็นครั้งแรก ความตื่นเต้นเร้าใจยามลักลอบเจอกัน ความคนึงหาเมื่อไม่ได้พบหน้ากันนาน ความหยาบคายยามระเบิดอารมณ์ทำร้ายคน คิดถึงสิ่งต่างๆ…

ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นถึงพิภพใหญ่หรือยัง คาดว่าคงใกล้จะถึงแล้ว นี่เพิ่งห่างกันได้ไม่นาน จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มคิดถึงอวิ๋นจือชิวแล้ว

เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว พอแล้ว! ต่อไปนี้ต่อให้โดนตีให้ตายก็จะไม่แต่งงานอีกแล้ว

ตัวละครเล็กๆ สนใจแต่ตัวเองก็ไม่ผิด แต่เมื่อคนเราขึ้นมาถึงสถานภาพและตำแหน่งบางอย่าง เรื่องบางเรื่องก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้ สิ่งที่ต้องพิจารณาคือผลประโยชน์มหาศาล หรือไม่ก็ผลประโยชน์ของคนที่มากกว่านั้น ความสามารถยิ่งมากความรับผิดชอบก็ยิ่งมาก…

อวิ๋นจือชิวก็มาถึงพิภพใหญ่แล้วจริงๆ กลับมาถึงร้านโฉมเมฆา หลังจากถอดเครื่องปลอมตัวออก เดินมาในศาลาเย็นหลังภูเขาจำลอง ก็ปล่อยอวิ๋นเซี่ยวและคนอื่นๆ ออกมาจากกระเป๋าสัตว์

ทั้งห้ามองดูสภาพแวดล้อมรอบๆ โดยจิตใต้สำนึก เมื่อเห็นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างหลังอวิ๋นจือชิวก็อึ้งทันที อวิ๋นเซี่ยวมองซ้ายมองขวาแล้วถามว่า “น้องชิว ที่นี่คือพิภพใหญ่เหรอ?”

อวิ๋นจือชิวพยักหน้า ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านอาหก นี่ก็คือร้านค้าของข้าที่พิภพใหญ่ ด้านนอกคือตลาดสวรรค์ ตลาดสวรรค์มีสาขาอยู่หลายที่ในพิภพใหญ่ เป็นสถานที่ที่เจริญที่สุดของพิภพใหญ่ มีนักพรตมารวมตัวกันมากมาย”

มาถึงพิภพใหญ่แล้วเหรอ? ทั้งห้าคนตาเป็นประกาย เรียกได้ว่าตื่นเต้นเหมือนในใจมีคลื่นโหมซัดสาด!

หลังจากสงบอารมณ์ได้แล้ว จงเจิ้นก็ถามว่า “ได้ยินว่าเหมียวอี้เป็นผู้บัญชาการใหญ่อะไรสักอย่างที่ตลาดสวรรค์ หมายถึงที่นี่หรือเปล่า?”

“ใช่แล้ว! แต่ตอนอยู่ที่นี่ เหมียวอี้ไม่ได้ชื่อเหมียวอี้ ชื่อหนิวโหย่วเต๋อ” หลังจากยกน้ำชาขึ้นมาจิบให้ชุ่มคอ อวิ๋นจือชิวก็กล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ทุกคนออกไปเดินดูถามไถ่สักหน่อยก็ได้ ตลาดสวรรค์เป็นแหล่งรวมลูกค้าจากทั่วสารทิศของพิภพใหญ่ นับว่าเป็นจุดที่ข่าวสารรวดเร็ว อยากจะรู้อะไรก็ไปสืบได้เลย สามวัน ข้าให้เวลาทุกคนเพียงสามวันเท่านั้น หลังจากสามวันนี้พวกเจ้ามารวมตัวกันที่นี่ ข้าจะพาพวกเจ้ากลับไปรายงานผลการปฏิบัติงาน จำไว้ว่าอย่าเพ่นพ่านไปไหนซี้ซั้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นข้าไม่รับผิดชอบหรอกนะ แล้วก็อย่าก่อเรื่องที่นี่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าไปหาเรื่องทหารสวรรค์ของที่นี่ ที่นี่มียอดฝีมือมากมาย วรยุทธ์เล็กน้อยของพวกเจ้าที่พิภพเล็กยังนับว่าสำคัญอะไร อยู่ที่นี่ไม่พอให้ขู่อะไรได้หรอก ที่นี่มีนักพรตบงกชรุ้งนั่งรักษาการณ์ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นพวกเจ้าก็หนีไม่พ้น แล้วก็อย่าเปิดเผยที่มาที่ไปของตัวเองนะเมื่ออยู่ที่นี่ ข้ากับเหมียวอี้ก็แกล้งเป็นเพื่อนกันธรรมดาเท่านั้น พวกเจ้าไม่คุ้นเคยกับสภาพชีวิตที่นี่ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย”

พูดจบก็ตั้งใจยืนขึ้นคำนับอวิ๋นเซี่ยว แล้วบอกว่า “ท่านอาหก พิภพใหญ่ไม่ใช่สถานที่ที่สงบสุข สามวันนี้เชิญตามสบายค่ะ ข้าไม่สะดวกจะมาอยู่ด้วย เกรงว่าจะทำให้คนสงสัยโดยไม่จำเป็น ที่ตลาดสวรรค์มีโรงเตี๊ยม สามารถใช้เหรียญผลึกที่นี่ได้ บนตัวท่านอาหกนำเงินมาด้วยหรือเปล่า? ถ้าไม่มี เสี่ยวชิวจะนำมาสนับสนุนให้ท่านอาหกสักหน่อย”

อวิ๋นเซี่ยวหัวเราะเบาๆ แล้วโบกมือบอกว่า “ท่านอาหกของเจ้าไม่ได้จนถึงขั้นไม่มีเงินค่าโรงเตี๊ยมหรอก พูดอย่างนี้แล้วกัน ข้าอดใจรอไม่ไหวอยากจะเดินดูสักหน่อยแล้ว”

อีกสี่คนก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน ต่างก็อดใจรอไม่ไหวแล้ว

อวิ๋นจือชิวไม่สะดวกจะรั้งไว้ หันกลับมาสั่งว่า เชียนเอ๋อร์ ช่วยไปส่งให้ข้าหน่อย”

“เชิญ!” เชียนเอ๋อร์ยื่นมือเชิญ แล้วเดินนำทางไป

พอเดินออกจากภูเขาจำลอง พวกเขาก็เหลียวซ้ายแลขวาแล้ว ตอนที่เดินผ่านร้านค้า พวกบัณฑิตที่เห็นคนพวกนี้ก็พากันอึ้ง และคนพวกนี้ก็เห็นว่าคนส่วนใหญ่ในร้านเป็นคนงานของโรงเตี๊ยมเมฆาวายุในปีนั้น พวกเขากระตุกมุมปากเล็กน้อย สงสัยแม้แต่ลูกน้องพวกนี้ก็ได้มาที่พิภพใหญ่ตั้งนานแล้ว

เชียนเอ๋อร์พาพวกเขามาส่งถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมแล้ว

พวกเขายืนอยู่ด้านนอกโรงเตี๊ยม มองไปยังผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนน ในกลุ่มคนปะปนไปด้วยปราณปีศาจ บ้างก็มีปราณผี แค่มองปราชญ์เดียวก็รู้ว่าผู้ที่สัญจรไปมาคือนักพรตทั้งหมด

ตึกสูงอาคารใหญ่ที่มีลักษณะแตกต่างกันไปทำให้พวกเขาตาลายไปหมดแล้ว

บังเอิญว่าเป็นตอนนี้พอดี ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งที่กำลังลาดตระเวนเดินเข้ามา หัวหน้าที่มีท่าทางลำพองใจไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเลี่ยหวนที่สวมเกราะรบสีทองนั่นเอง กำลังเอามือไขว้หลังเดินกร่างนำอยู่ข้างหน้าอย่างองอาจผึ่งผาย คนบนถนนหลีกทางให้สองฝั่งทันที

“นั่นนักพรตปีศาจเลี่ยหวนไม่ใช่เหรอ?” หวังเต้าหลินศิษย์คนโตของซือถูเซี่ยวถ่ายทอดเสียงถามทุกคน

พวกเขามองเห็นเลี่ยหวน เลี่ยหวนก็มองเห็นพวกเขาแล้วเหมือนกัน ตกตะลึงเช่นกัน คิดในใจว่าคนพวกนี้มาที่นี่ได้อย่างไร?

เลี่ยหวนยกมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที นำกำลังพลหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว

หลังจากเอามือไขว้หลังเดินวนทั้งห้ารอบหนึ่ง เลี่ยหวนก็โบกมือกล่าวว่า “คนพวกนี้มีพฤติกรรมน่าสงสัย อย่าให้หนีไป!”

กลุ่มทหารสวรรค์ชักอาวุธออกมาพร้อมกันทันที มาล้อมทั้งห้าคนเอาไว้ พอคนที่เดินถนนเห็นสถานการณ์แบบนี้ก็สุมหัวกระซิบกระซาบกัน

พวกอวิ๋นเซี่ยวโมโหทันที นึกถึงคำที่อวิ๋นจือชิวกำชับ จึงได้แต่มองดูตัวเองโดนล้อมเอาไว้ กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดอะไร

โชคดีที่เชียนเอ๋อร์ยืนอยู่ตรงประตูพอดี พอเห็นสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลจึงรีบเดินเข้ามา นางยังไม่ทันพูดอะไร เลี่ยหวนก็ถ่ายทอดทอดเสียงถามแล้วว่า “กูกูใหญ่ คนพวกนี้นี่ยังไงกัน?”

“อย่าทำซี้ซั้ว ฮูหยินเป็นคนพามาเอง” เชียนเอ๋อร์ตอบ

เลี่ยหวนขานรับ คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ถูก ฮูหยินจะพาคนพวกนี้มาทำไมกัน? จึงนำระฆังดาราออกมาติดต่อกับฝูชิงเพื่อยืนยัน ฝูชิงบอกว่าเป็นการเตรียมการของเหมียวอี้ ไม่ให้เขาทำอะไรซี้ซั้ว เลี่ยหวนที่เดิมทีอยากจะฉวยโอกาสระบายอารมณ์จึงโบกมือ พาคนเดินจากไป ทิ้งให้พวกอวิ๋นเซี่ยวกัดฟันกรอดอยู่อย่างนั้น

พอมาถึงก็พบเรื่องน่ารำคาญใจ นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ต่อมา พวกอวิ๋นเซี่ยวที่เริ่มเดินดูจนทั่วถึงได้รู้ว่าตัวเองยากจนขนาดไหน

ร้านค้าที่ชูสลอนอยู่ที่นี่มีของดีมากมายจริงๆ ทำให้พวกเขาตาลาย รู้สึกเหมือนเป็นบ้านนอกเข้าเมือง แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีของดีชิ้นไหนที่พวกเขาซื้อไหวเลย ของที่ดีจริงๆ ต่อให้นำหกปราชญ์ไปขายก็ซื้อไม่ไหว

พออยู่ไปสามวัน ทั้งห้าคนก็รู้สึกทึ่งสุดๆ แล้วจริงๆ…

พิภพเล็ก ตำหนักอู๋เลี่ยง ทั้งห้าปราชญ์ล้วนมีลูกศิษย์มาคอยปรนนิบัติ เหมียวอี้มีท่าทีที่เลวร้ายมาก ไม่สนใจการกินอยู่ของทั้งห้าคนเลย

หลังจากถามอาจารย์ว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เทพธิดาหงเฉินก็ออกจากลานบ้านเล็ก แล้วมุ่งตรงไปขอพบเหมียวอี้ที่ตำหนักหลัง

เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว  พอพบเหมียวอี้ หงเฉินก็อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

เหมียวอี้เห็นแล้วหัวเราะทันที หลังจากบอกให้คนในโถงหลักออกไป ก็เชิญให้หงเฉินนั่งลง แล้วถามว่า “ตอนนี้พูดได้แล้วมั้งว่ามีธุระอะไร?”

หงเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “เจ้าเริ่มแข็งแกร่งแล้ว เพื่อที่จะควบคุมเจ้า อาจารย์กักบริเวณเยว่เหยาแล้ว…” นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ ทันที

“นางมารร้ายมู่ฝานจวิน!” เหมียวอี้ตะคอกอย่างเดือดดาล นึกไม่ถึงว่ามู่ฝานจวินจะรู้ความจริงของเจ้ารองแล้ว และเพิ่งรู้ด้วยว่าเจ้าสามกำลังโดนขัง โมโหแล้ว เขารู้สึกผิดต่อวิญญาณบิดามารดาของเจ้าสามมาตลอด ตอนเด็กดูแลเจ้าสามไม่ดี ตอนนี้พอได้รู้ว่าเจ้าสามกำลังโดนคนรังแก เขาจะระงับไฟโกรธไว้ได้อย่างไร เดินก้าวยาวออกไปนอกโถงทันที

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” หงเฉินรีบมาขวางเขา

“ก็ต้องไปคิดบัญชีกับนางมารร้ายนั่นน่ะสิ!” เหมียวอี้สีหน้าเย็นเยียบดุร้าย ชี้หน้าหงเฉินพร้อมตะคอกว่า “เจ้าหลีกไป ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

หงเฉินไม่ยอมหลีกทาง แต่ถามกลับว่า “เจ้าจะคิดบัญชียังไง? เจ้ามีบุญคุณที่เลี้ยงดูเยว่เหยามา แต่อาจารย์ข้าไม่มีบุญคุณที่เลี้ยงดูเยว่เหยามาเหรอ ถ้าพูดถึงบุญคุณที่มีต่อเยว่เหยา เมื่อเทียบกับเจ้าแล้วอาจารย์ข้าก็มีบุญคุณไม่น้อยไปกว่ากันเลย เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นพี่ชายคนโต แต่อาจารย์กลับเป็นเสมือนบิดา! อาจารย์สั่งสอนลูกศิษย์คือหลักการของฟ้าดินที่ต้องทำอยู่แล้ว ใครก็ว่าไม่ได้สักคำ เจ้าจะคิดบัญชียังไง? ต่อให้เจ้ามีความสามารถที่จะคิดบัญชี แต่เจ้าจะให้เยว่เหยาทำยังไง? คนหนึ่งก็เป็น ‘พี่ชายคนโต’ คนหนึ่งก็เป็นเสมือน ‘บิดา’ เยว่เหยาควรจะช่วยใครล่ะ?”

“อย่ามาใช้มุกนี้ เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ มู่ฝานจวินนับว่าเป็นบิดาบ้าอะไรล่ะ เยว่เหยาน่ะข้าเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ถ้าพูดด้านความผูกพัน เยว่เหยายังพูดพันกับเจ้ามากกว่าเลย!” เหมียวอี้พูดถากถาง

หงเฉินถอนหายใจแล้วบอกว่า “มาพูดตอนนี้ก็ไม่มีความหมาย ถ้าไม่มีอาจารย์ก็ไม่มีเยว่เหยาในวันนี้ เยว่เหยาไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณ ไม่อย่างนั้นคงไม่คิดถึงพี่ชายคนโตอย่างเจ้าอยู่ตลอดหรอก ถ้าพูดให้เบาลงหน่อย ต่อให้สิ่งที่เจ้าพูดจะมีเหตุผล แต่อาจารย์ก็เตรียมตัวไว้แล้วเช่นกัน ตอนที่ขังเยว่เหยาก็ได้บอกเยว่เหยาไว้แล้ว ว่าถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิด อาจารย์ก็จะลงโทษข้าก่อน แล้วก็เป็นอย่างที่เจ้าบอก เยว่เหยาจะทนดูข้ารับความลำบากได้เหรอ? ถ้าเจ้ากับอาจารย์ข้ามีความสัมพันธ์เหมือนเมื่อก่อนไปตลอด ทุกคนรักษาความสงบได้ก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้เจ้าผงาดขึ้นมาแล้ว ความสัมพันธ์ไม่ได้เป็นแบบเมื่อก่อน ต่อไปก็ยังไม่รู้ว่าระหว่างพวกเจ้าจะเกิดความขัดแย้งอะไรขึ้น ข้ากลัวมาก กลัวว่าวันไหนเยว่เหยาจะลำบากเพราะข้า”

เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ ก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้กำลังคำนึงถึงเจ้าสาม ความโมโหในใจเหมียวอี้สงบลง ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ว่ามู่ฝานจวินกำลังใช้ประโยชน์จากเจ้า ทำไมไม่หนีไปล่ะ? ถ้าเจ้าเป็นห่วงเยว่เหยาจริงๆ ไม่สู้ทำแบบนี้มั้ย ข้าจะหาที่สงบๆ ให้เจ้าอยู่ ขอเพียงเจ้าหลุดพ้นเงื้อมมือมารของมู่ฝานจวิน มู่ฝานจวินก็จะใช้เจ้าไปควบคุมเยว่เหยาไม่ได้อีก ถึงตอนนั้นข้าค่อยหาทางเสี้ยมมู่ฝานจวินกับเยว่เหยาให้แตกคอกัน แบบนั้นก็ย่อมตัดความรู้สึกที่เยว่เหยามีต่อมู่ฝานจวินได้แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าก็ทนให้เจ้าสามลำบากใจไม่ไหวจริงๆ ไม่อย่างนั้นข้าคงหาทางไปชิงตัวเจ้าสามมาจากแดนโพ้นสวรรค์ตั้งนานแล้ว”

“นี่เจ้าจะให้ข้าทรยศอาจารย์เหรอ!” หงเฉินตวาด

“อาจารย์ที่มีเจตนาไม่ดีแบบนี้ เจ้าจะไปนับนางเป็นอาจารย์ทำไม?” เหมียวอี้ถามอย่างหงุดหงิด

หงเฉินส่ายหน้า “อาจารย์ก็มีบุญคุณที่เลี้ยงดูสั่งสอนข้ามาเหมือนกัน ให้เสื้อผ้าให้อาหาร ถ่ายทอดวิชาความรู้ ตอนเด็กก็ปฏิบัติต่อข้าเหมือนเป็นบิดามารดาแท้ๆ  ยามวิกฤตก็ช่วยข้าให้พ้นจากความลำบาก ถ้าข้าทรยศนาง ข้ายังจะเอาหน้าจากไหนมายืนอยู่บนโลกนี้ได้อีก?”

“งั้นเจ้าจะมาหาข้าทำบ้าอะไรล่ะ” เหมียวอี้กล่าวด้วยใบหน้าขรึม

“ข้ามาทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้า” หงเฉินตอบ

“สัญญา?” เหมียวอี้งุนงง ถามอย่างสงสัยว่า “ข้าเคยสัญญาอะไรกับเจ้าไว้เหรอ?”

หงเฉินยิ้มเจื่อนพร้อมถามว่า “ตำหนักดาวประจิม รอให้เจ้าคว่ำเมฆพลิกฝนได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้ถือว่าเจ้าคว่ำเมฆพลิกฝนที่พิภพเล็กได้หรือยัง?”

1115

บทที่ 1116 สิ่งที่พบเห็นมาจากพิภพใหญ่

ภาพที่แวบผ่านเข้ามาในหัวทำให้เหมียวอี้พูดไม่ออก คำพูดอวดดีบ้าระห่ำในตอนแรกเขาจะลืมได้อย่างไร จำได้อย่างลึกซึ้งเกินไปแล้ว พอหงเฉินเตือนความจำ เหมียวอี้ก็นึกออกทันที

จำได้ก็ส่วนจำได้ แต่เหมียวอี้ไม่ถึงขั้นไม่รู้จักข้อพกพร่องของตัวเอง คำพูดที่เคยพูดไว้ในตอนแรก พอมาคิดดูตอนนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่พูดออกมาภายใต้ ‘ความประมาทของเด็กหนุ่ม’ ตอนนั้นเขาเองก็นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะมีวันนี้ได้ ดังนั้นเขาว่ากันว่ายิ่งอยู่ในยุทธภพนานก็ยิ่งขี้ขลาด เขาถึงขั้นอับอายกับคำพูดที่บอกว่าจะแต่งงานกับอวิ๋นจือชิวภายในหนึ่งพันปีด้วยซ้ำ

บางครั้งที่ย้อนนึกถึงขึ้นมา เขาก็จะถามตัวเองทุกครั้งว่า ทำไมกล้าพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้? โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รับรู้ถึงศักยภาพของเฟิงเป่ยเฉินแล้ว เขาก็ยิ่งอับอายกว่าเดิม ในปีนั้นช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ!

มีจุดจุดหนึ่งที่เขาเข้าใจ ว่าคนที่ตัวเองพูดจาบ้าระห่ำด้วยด้วยเป็นสามงาม หงเฉินกับอวิ๋นจือชิวล้วนเป็นสาวงาม เขาคิดว่าถ้าเปลี่ยนเป็นคนอัปลักษณ์ ตัวเองก็คงไม่พูดอะไรแบบนั้นออกมาเช่นกัน พอขบคิดดูสักหน่อยก็พบว่าตัวเองก็ไม่ได้มีดีอะไรเลยจริงๆ

ตอนยังไม่เอ่ยถึงเรื่องนั้นก็ยังดีอยู่ แต่พอเอ่ยถึงขึ้นมา เหมียวอี้ก็ค่อนข้างอับอายเหมือนกัน “ตอนแรกเป็นเพียงคำพูดบ้าระห่ำ เจ้าอย่าคิดเป็นจริงเป็นจัง”

หงเฉินส่ายหน้าบอกว่า “เดิมทีข้าก็ไม่ได้คิดจริงจัง แต่ตอนนี้คิดเป็นจริงเป็นจังแล้ว ถ้าเจ้าไม่รังเกียจที่ข้าฐานะต่ำต้อยไม่คู่ควรกับเจ้า ก็แต่งงานกับข้าเถอะ!”

จริงหรือล้อเล่น? เหมียวอี้ตะลึงค้าง เรียกได้ว่ามองนางศีรษะจดปลายเท้า แล้วก้มองจากเท้าขึ้นไปบนศีรษะ ถึงแม้ตอนนี้จะเคยพบเห็นสาวงามมามากมาย แต่ก็ไม่เหมือนสาวงามคนนี้ที่ทำให้เขาตะลึงค้างเมื่อแรกเห็นบนต้นไม้โบราณ ความงามของผู้หญิงคนนี้ยังคงเหมือนเทพธิดา เขาถามอย่างลังเลว่า “เจ้าจะแต่งงานกับข้าเหรอ? ตอนนี้ข้ามีภรรยาเอกแล้ว แต่งงานกับข้าหมายความว่าอะไรเจ้าน่าจะเข้าใจดีนะ เจ้ายอมลดตัวมามาอนุภรรยาเหรอ?”

หงเฉินพยักหน้าด้วยท่าทางฝืนใจ “เป็นอนุภรรยาก็เป็นอนุภรรยาแล้วกัน ถึงอย่างไรอนุภรรยาของเจ้าก็มีไม่น้อยแล้ว ถ้าจะมีข้าเพิ่มอีกสักคนก็ไม่ต้องใส่ใจหรอก”

ทำไมฟังดูแปลกๆ ล่ะ ท่าทีไม่เหมือนคนที่อยากจะแต่งงานกับเขาเลย เหมียวอี้เกาศีรษะ แล้วถามว่า “มู่ฝานจวินบังคับเจ้าหรือเปล่า? นางมีเจตนาอะไรอีกแล้วใช่มั้ย? ขออภัยที่ข้าพูดตรงนะ ข้ายังดูไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้าชอบข้า อย่าบอกเชียวนะว่าเป็นเพราะข้ามาแทนที่เฟิงเป่ยเฉินได้ เป็นเพราะชอบตำแหน่งของข้า เจ้าถึงได้อยากแต่งงานกับข้า เหมือนเจ้าจะไม่ใช่คนประเภทนั้นนะ”

ในแววตาที่อ่อนโยนไร้ความขัดแย้งของหงเฉินฉายแววอ่อนเพลียเล็กน้อย พร้อมบอกว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว! อาจารย์บอกว่าข้าไม่เอาไหน บอกว่าข้าโง่ บางครั้งก็เรื่องมากมายที่ข้าเข้าใจดี เพียงแต่ข้าตั้งใจหลบเลี่ยงมาตลอด ข้าไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุญคุณความแค้นมากมายขนาดนั้น ข้าจึงอะไรก็ได้มาตลอด ไม่ว่าอาจารย์จะพูดอะไรหรือให้ข้าทำอะไร สิ่งที่ที่ข้ารับได้ข้าก็จะรับไว้ ตอนนี้ระหว่างเจ้ากับอาจารย์ข้าเหมือนลูกคลื่นที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ทั้งยังดึงเยว่เหยาเข้ามาเกี่ยวด้วย วิธีการของอาจารย์มีแนวโน้มว่าจะรุนแรง ขึ้นๆ ลงๆ มากเกินไปข้ากลัวว่าข้าจะรับไม่ไหว ข้าไม่อยากต่อต้านอาจารย์ แล้วก็ไม่อยากทำให้เยว่เหยาลำบากไปด้วย แต่ถ้าจะให้ข้าทรยศอาจารย์ข้าก็ทำไม่ได้เหมือนกัน การแต่งงานเป็นเหตุผลที่ดีมาก ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าระหว่างเจ้ากับหกปราชญ์เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ข้าก็ดูออก ว่าอาจารย์เหมือนจะมีสิ่งที่ขอร้องเจ้า สิ่งนี้เป็นโอกาสสำหรับเจ้ากับข้าแล้ว ถ้าเจ้าเอ่ยปากขอแต่งงาน ข้าว่าอาจารย์ข้าคงไม่ปฏิเสธแน่นอน”

เหมียวอี้เงียบไป ถ้าตัวเองเอ่ยปากตอนนี้ มู่ฝานจวินจะต้องไม่ปฏิเสธแน่นอน แต่ว่า…เหมียวอี้กล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ลูกสาวของอันหรูอวี้ศิษย์พี่ของเจ้าก็แต่งงานกับข้าไปแล้ว ถ้าศิษย์น้องอย่างเจ้าแต่งงานกับข้าอีก แบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ?”

“สำคัญด้วยเหรอ?” หงเฉินค่อนข้างจนใจ “ขอเพียงเจ้าไม่ถือสา ข้าไม่ถือสา อาจารย์ข้าไม่ถือสา คนอื่นจะมองอย่างไรก็ไม่สำคัญ ขอเพียงเจ้าดึงข้าออกมาจากวังวนนั่นได้ก็พอ เยว่เหยาจะได้เข้ามาเกี่ยวข้องน้อยลง ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่มีทางทำเรื่องที่ทรยศอาจารย์ได้หรอก ตราบใดที่ข้ายังอยู่ในมืออาจารย์ เยว่เหยาก็จะกลายเป็นอุบายที่อาจารย์ข้าใช้ควบคุมเจ้าตลอดไป”

เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำว่า “ถ้ามู่ฝานจวินกดดันข้าจนหมดทางเลือก ข้าก็จะฆ่านางซะ!” นอกจากการสู้กับเฟิงเป่ยเฉินจะทำให้เขามีความมั่นใจยามเผชิญหน้าหกปราชญ์แล้ว การที่เขาพามู่ฝานจวินไปที่พิภพใหญ่ได้ เขาก็มีทางเล่นงานนางถึงตายได้เหมือนกัน

หงเฉินส่ายหน้า “ถ้าเจ้าฆ่าอาจารย์ของเยว่เหยา เจ้าจะให้เยว่เหยาทำอย่างไร? อย่าว่าแต่เยว่เหยาเลย ถ้าเจ้าฆ่าอาจารย์ของข้าแล้ว ไม่ว่าข้าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ แต่ข้าก็ต้องไปล้างแค้นเจ้า ระหว่างเราจะถูกกำหนดให้ต้องตายกันไปข้าง ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะฆ่าข้าอีกหรือเปล่า? แล้วเยว่เหยาจะต้องไปหาพี่ใหญ่อย่างเจ้าเพื่อล้างแค้นให้ข้ารึเปล่า? เจ้าอยากกดดันให้เยว่เหยาเป็นบ้าเหรอ? ทำให้เรียบง่ายหน่อย แต่งงานกับข้าเถอะ เจ้าวางใจได้ หลังจากแต่งงานกับข้าแล้ว เจ้าอยากจะครอบครองข้าก็ได้ หรือจะไม่ครอบครองข้าก็ได้ ขอเพียงมอบมุมสงบให้ข้า ข้าก็จะไม่ไปรบกวนเจ้า ถ้าเจ้าจะไม่สนใจข้าเลยตลอดไปก็ไม่เป็นไร ขอให้มอบมุมสงบให้ข้าฝึกตนเงียบๆ ข้าเพียงอยากหลุดพ้นจากความสับสนวุ่นวายนี้!”

เหมียวอี้กระจ่างแล้ว ฟังเข้าใจแล้ว ผู้หญิงคนนี้เหนื่อยมากแล้วจริงๆ แค่อยากจะหาข้ออ้างที่เหมาะสมเพื่อหลุดพ้นจากผลกระทบของมู่ฝานจวิน แต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข เหตุผลนี้ดีจะตาย ถอยอีกก้าวก็ไม่ต้องช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแล้ว ถึงตอนนั้นต่อให้เขากับมู่ฝานจวินจะฆ่ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย ฝั่งหนึ่งก็อาจารย์ ฝั่งหนึ่งก็สามี นางยังสามารถหลบมุมอยู่เงียบๆ โดยไม่ช่วยเหลือได้

ดังนั้นแล้ว ไม่ใช่เพราะนางชอบเขา และไม่ใช่เพราะชอบอำนาจของเขาในตอนนี้ด้วย ไม่ใช่สิ ที่จริงก็เกี่ยวข้องกับอำนาจของเขาในตอนนี้อยู่บ้างเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นหงเฉินสามารถหาใครจะมาแต่งงานด้วยก็ได้ แต่การแต่งงานกับคนธรรมดาทั่วไปนั้นไม่มีประโยชน์เลย คนทั่วไปไม่สามารถหยุดยั้งการแทรกแซงจากมู่ฝานจวินได้ ถ้าแต่งงานกับอีกห้าปราชญ์ก็เป็นไปไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามู่ฝานจวินจะไม่ตอบตกลง อีกห้าปราชญ์ก็คงไม่ลดตัวไปเป็นผู้ชายของลูกศิษย์มู่ฝานจวินเช่นกัน บังเอิญว่าเขาสามารถเติมเต็มเงื่อนไขที่หงเฉินต้องการได้พอดี

ในเวลานี้ เหมียวอี้นับว่ามองผู้หญิงคนนี้ด้วยสายตาที่สูงขึ้นอีกระดับแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรชัดเจน นางก็รู้แล้วว่ามู่ฝานจวินมีอะไรบางอย่างจะขอร้องเขา คว้าโอกาสได้แม่นยำมา สงสัยผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้สวยอย่างเดียว สมองก็ไม่ธรรมดาด้วยเหมือนกัน ก็เป็นอย่างที่นางพูดไว้ จริงในใจรู้ชัดทุกอย่าง เพียงแต่ ‘ขี้เกียจ’ ไปหน่อย หลบเลี่ยงมาตลอด บางทีอาจจะรอโอกาสที่จะหลุดพ้นจากมู่ฝานจวินอย่างสมเหตุสมผลมาตลอดก็ได้

เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไร หงเฉินก็ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าไม่เต็มใจทำเพื่อเยว่เหยาเหรอ?”

เหมียวอี้หันตัวไปอีกข้างๆ แล้วนั่งลงช้าๆ ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่เกี่ยวว่าเต็มใจหรือไม่เต็มใจ เพียงแต่ติดที่ฮูหยินของข้า การจะแต่งอนุภรรยาเข้ามา ถ้าภรรยาเอกไม่เต็มใจ ถ้าภรรยาเอกไม่ยอมรับเจ้า แล้วจะให้ข้าแต่งงานได้ยังไงล่ะ? คงจะให้ทะเลาะกันจนในบ้านวุ่นวายเพื่อแต่งงานงานกับเจ้าคนเดียวไม่ได้หรอกมั้ง?”

หงเฉินเดินเนิบนาบเข้ามา นั่งลงข้างกายเจ้า แล้วกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าเคยคลุกคลีกับอวิ๋นจือชิวหลายครั้งที่แดนโพ้นสวรรค์ นางเป็นผู้หญิงที่มีแผนการความคิด สามารถให้เจ้าแต่งงานกับฉินเวยเวยได้…เจ้าเล่าสถานการณ์ให้นางฟังอย่างชัดเจน บอกเจตนาของข้าให้นางรู้ แล้วนางจะตอบตกลง”

เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา แล้วถามอย่างสงสัย “เจ้าแน่ใจนะว่านางจะตอบตกลง?”

หงเฉินยิ้มบางๆ “นางจะตอบตกลง ถ้าไม่ตอบตกลง เดี๋ยวข้าค่อยไปคุยกับนางอีกที พอแล้ว ข้าไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน ข้าจะกลับก่อน เผื่อทางอาจารย์มีธุระจะได้เรียกใช้” พูดจบก็ยืนขึ้นโค้งตัวคำนับเล็กน้อย แล้วหันตัวลอยจากไป

ต้องแต่งงานเพิ่มอีกคนแล้วเหรอ? เหมียวอี้งุนงงเล็กน้อยขระมองเงาหลังนางจากไป ก่อนหน้านี้เขายังสาบานกับตัวเองอยู่เลยว่าจะไม่แต่งงานอีกแล้ว…

หลังจากนั้นเกือบครึ่งเดือน อวิ๋นจือชิวก็นำพวกอวิ๋นเซี่ยวกลับมาถึงพิภพเล็ก กลับมาถึงนภาอู๋เลี่ยงแล้ว ห้าปราชญ์วิ่งมาต้อนรับด้วยตัวเองทันที แล้วต่างคนต่างพาแยกย้ายออกไป

เหมียวอี้เดินเข้ามารับ อวิ๋นจือชิวมองไปยังห้าคนที่แยกย้ายกันออกไป แล้วถือโอกาสดึงแขนเหมียวอี้พาเดินเข้าไปในเรือนในด้วยกัน ระหว่างทางพบว่าเหมียวอี้เอาแต่มองนางด้วยท่าทางมีความลับ รอจนนางมองกลับ เหมียวอี้ก็หลบสายตาทันที

พอชักแขนกลับมาแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เตะไปที่น่องของเหมียวอี้หนึ่งที แล้วเลิกคิ้วถามว่า “หนิวเอ้อร์ ทำไมต้องทำท่ากินปูนร้อนท้องแบบนั้น ไปทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อข้ามารึเปล่า? แล้วลักลอบทำอะไรกับใครอีกแล้วใช่มั้ย?”

“ทำไมเรียกว่าลักลอบทำอะไรกับใคร? เจ้าเคยเห็นข้าลักลอบทำอะไรกับใครเมื่อไร? เพียงแค่รบกวนให้ผู้หญิงบอบบางอย่างฮูหยินลำบากวิ่งเต้นไม่หยุดหย่อน ข้าจึงไม่รู้สึกสงบใจก็เท่านั้นเอง!” เหมียวอี้ทำท่าทางมีเหตุผลหนักแน่น ที่จริงกลับไม่สะดวกจะเอ่ยปากเรื่องที่จะแต่งงานกับหงเฉินมาเป็นอนุภรรยา

อีกด้านหนึ่ง เมื่อกลับมาถึงห้องตัวเองแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนก็หันตัวมาถามทันที “เป็นยังไงบ้าง? มีพิภพใหญ่อยู่จริงมั้ย?”

อวิ๋นเซี่ยวยิ้มเจื่อน “ท่านพ่อ! ไม่ผิดหรอก พวกน้องชิวลงหลักปักฐานที่พิภพใหญ่แล้วจริงๆ ของบางอย่างไม่มีทางปลอมกันได้เลย สิ่งที่ลูกชายได้เห็นได้ยินมามันน่าทึ่งจริงๆ พบว่าพวกเราเหมือนนั่งมองฟ้าจากบ่อน้ำจริงๆ ทางนั้นมีนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ นักพรตระดับบงกชรุ้ง สมุนไพรเซียนชนิดต่างๆ ที่ไม่เคยเห็น ที่เหนือกว่าผลึกทองยังมีผลึกม่วงกับผลึกแดง ยาเจี๋ยตันขั้นห้า ทั้งยังมียาเจี๋ยตันขั้นหกที่พวกเราไม่กล้าแม้แต่จะใฝ่ฝันถึง…”

ในห้องพักชั่วคราวของปราชญ์ปีศาจจีฮวน จีฮวนเอามือลูบหนวด ตาเป็นประกายไม่หยุดขณะกำลังฟังลูกชายเล่า

จีเต๋อจวินเรียกได้ว่าพูดเป็นต่อยหอย “พิภพใหญ่มีหลายอย่างที่คล้ายกับพิภพเล็กจริงๆ มีช่องทางไปมาหาสู่ระหว่างกัน ตำหนักสวรรค์มีราชันสวรรค์อยู่ในตำแหน่งสูงสุด ราชินีสวรรค์ ฮูหยินของราชันสวรรค์เป็นใหญ่สุดในฝ่ายหญิง รองลงมาก็มีสี่อ๋องสวรรค์ สิบสองจอมพล สามสิบหกเทพประจำดาว เจ็ดสิบสองโหว แต่ละคนเป็นนักพรตที่มีพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ นี่ยังเป็นแค่ตำแหน่งหลัก ยังมีนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพอีกไม่น้อยที่อยู่บนตำแหน่งว่างๆ จำนวนนักพรตบงกชรุ้งที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็ยิ่งมีเยอะมาก…”

ในห้องของปราชญ์พุทธฉางเหลย ฉางเหลยหยุดดึงนับลูกประคำในมือแล้ว กำลังเบิกตากว้างฟังฝ่าเยี่ยนเล่า

ฝ่าเยี่ยนสีหน้าจริงจังหนักแน่น อธิบายอย่างสุขุม “…นอกจากตำหนักสวรรค์ ชาวพุทธของเราก็มีราชันอีกคนหนึ่ง เรียกว่าประมุขพุทธะ เป็นสองมหาราชันของพิภพใหญ่เคียงข้างกับประมุขชิงที่เป็นราชันสวรรค์ ประมุขชิงปกครองใต้หล้า ประมุขพุทธะก็ไม่เข้าไปแทรกแซงปุถุชน แต่กลับมีวัดอยู่เต็มอาณาเขตของประมุขชิง ยึดฉวยพลังปรารถนาของสาวกในวงกว้าง ทั้งสองได้ผลประโยชน์เท่ากัน ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่รุกล้ำกันและกัน เรียกได้ว่าสามารถหยุดนิ่งและเคลื่อนไหวได้อย่างสอดคล้องกัน ไม่มีความขัดแย้งเรื่องอำนาจและผลประโยชน์ระหว่างกัน ให้ความร่วมมือกันดีมากจริงๆ ไม่มีการก้าวก่ายจากแรงภายนอก เป็นไปได้สูงว่ามหาราชันทั้งสองจะรักษาสถานการณ์แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าทำลายกฎเสือสองตัวอยู่เขาเดียวกันไม่ได้…”

ในห้องของปราชญ์ผีซือถูเซี่ยว เมื่อได้ฟังหวังเต้าหลินผู้เป็นลูกศิษย์เล่าจบ ซือถูเซี่ยวก็ถามว่า “เหมียวอี้ล่ะ? สถานการณ์ของเขาที่พิภพใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง?”

หวังเต้าหลินบรรยายว่า “เหมียวอี้ล้มลุกคลุกคลานที่พิภพใหญ่ตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนแล้ว ข้าสืบเวลามานิดหน่อย เหมือนจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแต่งงานกับอวิ๋นจือชิว นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นจือชิวจะเป็นผู้หญิงที่วาสนาดีมาก ตอนแรกเหมียวอี้กับสำนักที่ชื่อลมปราณของพิภพใหญ่เปิดร้านขายของชำที่ตลาดสวรรค์ร้านหนึ่ง ปรากฏว่าโดนทางการกลั่นแกล้งครั้งแล้วครั้งเล่า รอจนธุรกิจใหญ่ขึ้นแล้ว ก็มีผู้มีอำนาจรวมทั้งคนของทางการไม่น้อยที่ต้องการส่วนแบ่ง ตอนหลังเหมียวอี้โดนกดดันจนหมดทางเลือก จึงนำหุ้นในมือไปขอพึ่งพาทางการ แล้วก็ดวงดีมาก ได้เกาะขาอ๋องสวรรค์โค่วหนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ ตั้งแต่นั้นมาก็มีเส้นทางขุนนางที่ราบรื่น ภายในเวลาสั้นๆ สองร้อยปีก็ข้ามไปอยู่ในระดับที่นักพรตส่วนใหญ่ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ก้าวไปไม่ถึง เริ่มต้นจากเป็นทหารเลว แล้วก็กระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่อย่างในปัจจุบัน แถมราชันสวรรค์ยังแต่งตั้งให้เองด้วย ได้เป็นแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบของตำหนักสวรรค์ ชื่อเสียงสนั่นทั้งพิภพใหญ่!”

 

1116

 

บทที่ 1117 รังเกียจแทบแย่

ข่าวที่เหมือนจะใช่แต่ความจริงไม่ใช่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปสืบมาอย่างไร คาดว่าขนาดเหมียวอี้ได้ยินแล้วยังต้องงง ขนาดขาของโค่วเหวินหลานเขายังเกาะได้ไม่แน่นด้วยซ้ำ แล้วจะไปเกาะขาของอ๋องสวรรค์โค่วเมื่อไรกัน?

แต่จะว่าไปแล้ว อวิ๋นจือชิวให้เวลาพวกเขาสืบข่าวเพียงสามวันเท่านั้น ภายในสามวันจะสืบอะไรได้ล่ะ? พวกเขาไม่คุ้นเคยกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของที่นั่น ข่าวที่ได้ฟังมาก็เป็นสิ่งที่พูดตามๆ กันมาเช่นกัน คนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องมีภูมิหลังอยู่บ้าง แต่อีกฝ่ายจะมาพูดเรื่องราวเบื้องลึกเกี่ยวกับคนระดับสูงของตำหนักสวรรค์ให้คนนอกอย่างพวกเขาฟังได้อย่างไร คนส่วนใหญ่ที่อยู่ระดับล่างลงมาต่างก็คิดว่าเหมียวอี้เกาะขาอ๋องสวรรค์โค่วทั้งนั้น

ตอนยังไม่ได้ฟังก็ไม่รู้ แต่พอได้ฟังว่าเหมียวอี้ได้เกาะขาอ๋องสวรรค์โค่ว ทั้งยังได้รับแต่งตั้งจากราชันสวรรค์ ซือถูเซี่ยวก็กลืนน้ำลายทันที โดยทั่วไปมีเพียงนักพรตระดับบงกชรุ้งเท่านั้นถึงจะถูกแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบของตำหนักสวรรค์ แต่เหมียวอี้ได้เป็นแล้วงั้นเหรอ?

ตอนที่ยังรู้รายละเอียดของเหตุการณ์ ก็ยังยโสโอหังมองไม่เห็นหัวใคร แต่หลังจากได้รู้ถึงโครงสร้างของพิภพใหญ่คร่าวๆ ถึงได้พบว่าหนึ่งในหกปราชญ์ของพิภพเล็กอย่างตนมีอยู่ถมเถไป ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรทั้งนั้น ราชันสวรรค์กับอ๋องสวรรค์เป็นตัวละครแบบไหนล่ะ ขนาดนักพรตบงกชรุ้งยังเพียงพอที่จะทำให้เขาเคารพเลื่อมใส มิหนำซ้ำยังเป็นราชันสวรรค์กับอ๋องสวรรค์ นั่นคือตัวละครระดับบนสุดในบรรดานักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเชียวนะ จามทีเดียวก็ทำให้พวกเจ้าตายได้แล้ว

ซือถูเซี่ยวไม่มีทางบรรยายความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ได้ จึงกล่าวถามช้าๆ ว่า “เรื่องเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเราได้ไปสืบมาบ้างหรือเปล่า?”

“พอพูดถึงเรื่องนี้ ศิษย์ก็ยังอกสั่นขวัญแขวนอยู่เลย!” หวังเต้าหลินทำท่าทางตกใจหวาดผวา “อาจารย์! เคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเรามีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดาที่พิภพใหญ่ ไม่น่าเชื่อว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของหกปราชญ์จะเป็นหกเคล็ดวิชาพิเศษของพิภพใหญ่”

“หกเคล็ดวิชาพิเศษ?” ซือถูเซี่ยวสีหน้าท่าทางฮึกเหิม ถามว่า “อาจจะถูกจัดให้เป็นเคล็ดวิชาระดับบนๆ ของพิภพใหญ่เลยหรือเปล่า?”

“เป็นเคล็ดวิชาระดับบนๆ ได้อยู่แล้ว หกเคล็ดวิชาพิเศษเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนของหกมหาราชัน ผู้ซึ่งเคยปกครองพิภพใหญ่ แต่หกมหาราชันถูกราชันสวรรค์กับประมุขพุทธะโค่นล้มไปแล้ว คนที่มีความเกี่ยวข้องกับหกมหาราชันล้วนถูกยัดข้อหาโจรกบฏ ถูกมองเป็นกากเดนที่ยังไม่ถูกกำจัด!” หวังเต้าหลินยิ้มขื่นขม “เหมียวอี้พูดไม่ผิด เคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเราไม่สะดวกจะเผยแพร่ที่พิภพใหญ่จริงๆ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นโจรกบฏทันที จะโดนตำหนักสวรรค์ส่งทหารมาล้อมปราบ!”

“โจรกบฏ…” ซือถูเซี่ยวงงเป็นไก่ตาแตก ตัวเองยังไม่เคยไปที่พิภพใหญ่เลย และเพิ่งจะรู้ด้วยว่ามีตัวละครอย่างหกมหาราชัน ใครจะคิดว่าจะกลายเป็นโจรกบฏของพิภพใหญ่โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แบบนี้จะไปเรียกร้องความยุติธรรมที่ไหนได้ล่ะ? ถ้าอย่างนั้นพิภพใหญ่ที่เคยใฝ่ฝันมาตลอด จะไปหรือไม่ไปดีล่ะ? ตอนนี้เขานับว่าเข้าใจแล้ว ว่าทำไมเหมียวอี้จึงไม่สนใจเคล็ดวิชาของเขา ให้เขากอดไว้เล่นเอง เพราะลองดีกับเคล็ดวิชาของพวกเขาไม่ไหวจริงๆ ด้วย…

ในห้องพักของปราชญ์เซียนมู่ฝานจวิน

หลังจากได้ฟังลูกศิษย์ตัวเองเล่าจบแล้ว มู่ฝานจวินก็ถามอย่างประหลาดใจสงสัยว่า “ถ้าพูดแบบนี้ ก็แสดงว่าเหมียวอี้มีอำนาจที่พิภพใหญ่ไม่น้อยเลยจริงๆ เหรอ?”

จงเจิ้นพยักหน้า “เป็นแบบนั้นจริงๆ ขอรับ ทุกคนยอมรับกันโดยทั่วไป ตลาดสวรรค์เป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของพิภพใหญ่ และเป็นแหล่งที่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ที่สุดด้วย ถ้าเป็นคนที่ไม่มีภูมิหลัง คิดอยากจะเป็นผู้บัญชาการสักเขตก็ยังยากเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้บัญชาการใหญ่ที่คอยบัญชาการทั้งตลาดสวรรค์! เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ทางนั้นเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่องหนึ่ง พิภพใหญ่ในตอนนี้ยังคงพูดคุยถึงประเด็นนี้ไม่หยุด คนที่สัญจรไปมาที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนต่างก็กำลังพูดคุยกันเรื่องเหมียวอี้”

“หมายความว่าอย่างไร?” มู่ฝานจวินรีบถาม

จงเจิ้นเล่าว่า “ว่ากันว่าพวกผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์อยากได้ตำแหน่งผู้บัญชาการสี่เขตเมืองของตลาดสวรรค์ จึงส่งคนมาหาเหมียวอี้เพื่อขอให้อำนวยความสะดวก แต่เหมียวอี้ไม่ไว้หน้า ผลปรากฏว่ากลุ่มผู้จัดการร้านค้าของตลาดสวรรค์อาศัยว่าตัวเองมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ตำหนักสวรรค์คอยหนุนหลัง อยากจะร่วมมือกันกดดันให้เหมียวอี้ลงจากตำแหน่ง แต่ใครจะคิด เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงมือสั่งลูกน้องให้ปิดทางเข้าออกตลาดสวรรค์เลย ปิดประตูตีหมา ส่งทหารไปจับตัวคนพวกนั้นมาเสียเลย กวาดล้างร้านค้าของผู้มีอำนาจในตำหนักสวรรค์หลายร้อยร้าน ค้นยึดร้านและจับตัวคน ทาสของผู้มีอำนาจที่ตำหนักสวรรค์ห้าพันกว่าคนถูกเหมียวอี้บังคับให้มานั่งคุกเข่ารวมกันท่ามกลางฝูงชน ยังไม่จบแค่นั้น พอเหมียวอี้เอ่ยสั่งแค่คำเดียว ก็ตัดหัวคนไปสามพันกว่าคนต่อหน้าฝูงชน สังหารจนเลือดนองกลายเป็นแม่น้ำ! ตอนนั้นทุกคนคิดว่าเหมียวอี้ต้องซวยแน่ๆ ใครจะคิดว่าหลังจากจบเรื่องเหมียวอี้จะไม่เป็นอะไรเลย ถ้าไม่มีคนใหญ่คนโตหนุนหลัง เหมียวอี้จะกล้าเป็นศัตรูกับผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ของทั้งตำหนักสวรรค์ได้อย่างไร? จะเห็นได้ว่าข่าวที่ได้ยินมาเป็นความจริง เหมียวอี้มีอำนาจและภูมิหลังที่พิภพใหญ่ไม่น้อยเลยจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่กล้าทำอย่างนี้แน่นอน!”

มู่ฝานจวินได้ยินแล้วสูดหายใจอย่างตกตะลึง ศีรษะทาสประจำตระกูลผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์สามพันกว่าคนงั้นเหรอ? นางเองก็เป็นคนที่ปกครองอาณาเขตเช่นกัน แค่ลองคิดดูก็รู้แล้วว่าเหมียวอี้สร้างปัญหาใหญ่โตขนาดไหนในโครงสร้างอย่างตำหนักสวรรค์ ขนาดทำแบบนี้ยังไม่เป็นอะไรเลยเหรอ?

ตอนนี้นางนับว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมเหมียวอี้ถึงไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ตอนนี้เจ้าตัวเห็นพวกเขาเป็นเพียงกากเดนเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะในมือบีบตัวประกันเอาไว้ ดีไม่ดีเหมียวอี้อาจจะนำคนมากำจัดพวกเขาตั้งนานแล้วก็ได้ คิดไปคิดมาก็ยังรู้สึกหวาดผวาในใจ

หลังจากครุ่นคิด มู่ฝานจวินก็ถามว่า “ในเมื่อเหมียวอี้สามารถใช้หุ้นส่วนหนึ่งของร้านค้ามาแลกกับตำแหน่งทางการ ถ้าพวกเราลงทุนสักหน่อน จะสามารถใช้วิธีการเดียวกันหาเส้นสายที่พิภพใหญ่ได้หรือเปล่า?”

“…” หลังจากจงเจิ้นอึ้งไปครู่หนึ่ง ก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อนทันที “ท่านอาจารย์ ท่านอาจจะยังไม่รู้ว่าหุ้นของร้านค้าที่เหมียวอี้ทุ่มออกไปมีมูลค่าเท่าไร ต่อให้ขายทั้งพิภพเล็ก พวกเราก็ยังห่างไกลมากอยู่ดี ศิษย์ได้ไปเดินซื้อของอยู่ที่นั่นถึงได้พบว่าตัวเองยากจนจริงๆ ไม่ได้ยากจนธรรมดา แต่ยากจนมาก สินค้าที่ดีๆ หน่อยศิษย์ก็ซื้อไม่ไหวเลย ว่ากันว่าตอนนั้นเหมียวอี้ก็โดนกดดันจนหมดทางเลือกเช่นกัน ถึงได้ปล่อยหุ้นส่วนนั้นไป หมดหนทางแล้วจึงทำแบบนี้เพื่อปกป้องชีวิต ถ้าไม่ใช่เพราะหุ้นมีราคาแพงมาก มีหรือที่จะได้เกาะขาอ๋องสวรรค์โค่ว ตอนนี้ร้านขายของชำซื่อตรงนับว่าค้าขายทำกำไรที่พิภพใหญ่ได้แล้ว แม้แต่ผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ก็ยังอิจฉาตาร้อน ที่เหมียวอี้สามารถมีวันนี้ได้ ก็เรียกได้ว่าลงทุนไปเยอะมากจริงๆ กว่าเขาจะปักหลักที่พิภพใหญ่ได้ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน แต่เขาก็คลี่คลายสถานการณ์จนได้ จะว่าไปแล้วศิษย์ก็ยังนับถือเลย เจ้าหนุ่มนั่นเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ มีจิตใจแห่งการต่อสู้ฝ่าฟัน! ด้วยเงื่อนไขของพวกเราในตอนนี้ ถ้าอยากจะลงหลักปักฐานที่พิภพใหญ่ได้ในทันทีที่ไป ก็เกรงว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ต่อให้เหมียวอี้มีโอกาสที่ดีแต่ก็ต้องลำบากอยู่หลายร้อยปี เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราไปแล้วจะไม่ลำบากก่อนสักระยะ”

มู่ฝานจวินพูดไม่ออกแล้ว บอกไม่ถูกว่าในใจมีรสชาติเป็นอย่างไร…

ทางด้านตำหนักหลัง ท่านขุนนางเหมียวเกิดปัญหาแล้ว อวิ๋นจือชิวไม่เชื่อเลยว่าเขากินปูนร้อนท้องเพราะปวดใจที่นางวิ่งเต้นทำงาน นอนด้วยกันมาตั้งกี่ปีแล้ว คำพูดประเภทนี้มีหรือที่จะตบตานางได้?

ภายใต้การถูกกดดันซ้ำๆ เหมียวอี้ทำได้เพียงเล่าเรื่องที่หงเฉินมาหาเขาให้ฟัง แต่ไม่ได้บอกว่าในปีนั้นตัวเองสัญญาไว้ว่าจะแต่งงานกับหงเฉิน จะพูดสิ่งนี้ออกมาไม่ได้ ถ้าให้อวิ๋นจือชิวรู้ว่าก่อนแต่งงานกับนางเคยไปพูดแบบนี้กับผู้หญิงคนอื่นไว้ ผู้หญิงคนนี้จะต้องกระโดดมากัดเขาตายแน่นอน

หลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็สงบลงแล้ว นางทิ้งเหมียวอี้เอาไว้ แล้วขมวดคิ้วเดินเล่นช้าๆ อยู่ในสวนดอกไม้ เหมียวอี้เดินตามหลังนางอย่างระมัดระวัง ในบ้านมีอนุภรรยาสามคนแล้ว มีหญิงรับใช้ร่วมห้องเป็นโขยง ถ้ายังจะแต่งงานรับเข้ามาอีก ต่อให้เขาจะหน้าด้านกว่านี้แต่ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี เรื่องแบบนี้จะทำให้อวิ๋นจือชิวทนความรู้สึกได้อย่างไ?

เขาอยากจะให้หงเฉินไปคุยเรื่องนี้กับอวิ๋นจือชิวเองมากกว่า เขาไม่อยากจะเอ่ยปาก ที่สำคัญคือพูดไม่ออก แต่ตอนนี้ถูกกดันให้พูดออกมาแล้ว

เมื่อหยุดอยู่ข้างกระถางต้นไม้ที่เคยผ่านการตัดแต่ง อวิ๋นจือชิวก็หันกลับมาถามว่า “เจ้าตอบตกลงไปแล้วเหรอ?”

เหมียวอี้ยกมือสองข้าง “ข้าจะตอบตกลงได้ยังไง ถ้าตอบตกลงไปแล้วข้าจะยังปิดบังไม่บอกเจ้าได้เหรอ?”

อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้ว พลางแสยะยิ้มถามว่า “ถ้าไม่ได้ตอบตกลงแล้วเจ้าจะกินปูนร้อนท้องทำไม? เกรงว่าเจ้าเองก็อยากจะตอบตกลงเหมือนกันน่ะสิ?”

เหมียวอี้ยืดอกทันที กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าไม่ได้มีความคิดนี้เลยจริงๆ!”

“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวพูดดูถูกว่า “ถ้าข้าไม่ตอบตกลงเจ้าเรื่องนี้ หากเจ้าสามของเจ้ามีอันเป็นไปขึ้นมา เจ้าจะไม่แค้นข้าไปทั้งชาติเลยเหรอ?”

“เจ้าคิดมากไปแล้ว ถ้าข้าตอบตกลงเรื่องนี้ไม่ได้ ข้าจะหาทางสู้กับมู่ฝานจวินเอง” เหมียวอี้ปฏิเสธ

“พอเถอะ!” อวิ๋นจือชิวหันหน้ามา จากนั้นเดินส่ายเอวไปข้างหน้า หันหลังบอกเขาว่า “จะแต่งก็แต่งไปเถอะ เดี๋ยวไปคุยกับมู่ฝานจวิน ขอเพียงเจ้าพูดโน้มน้าวมู่ฝานจวินได้ ข้าก็ไม่มีความเห็นอะไร อย่างไรเสีย เมื่อแต่งเข้ามาเจ้าก็ต้องหาทางเลี้ยงนางเองอยู่แล้ว”

เอ๋! หงเฉินเดาถูกแล้วจริงๆ เหรอ? เหมียวอี้รีบเดินตาม ถามยืนยันให้แน่ใจ “เจ้าตอบตกลงแล้วจริงๆ เหรอ?”

อวิ๋นจือชิวหยุดฝีเท้า หันขวับมาจ้องด้วยสายตาเย็นเยียบ สายตานั้นราวกับจะกินคน เรื่องนี้นางสามารถตอบตกลงได้ แต่ผู้บัญชาการใหญ่เหมียวตอบตกลงไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเขาทำจนติดเป็นนิสัยจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะต้องแต่งงานรับผู้หญิงเข้าบ้านอีกกี่รอบ

เหมียวอี้ตกใจมาก ตกใจจนทำสีหน้าไม่ถูกและถอยหลังอย่างช้าๆ รู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังจะระเบิดอารมณ์แล้ว

“ยังมาบอกอีกเหรอว่าเจ้าไม่อยาก?” อวิ๋นจือชิวร้องโวยวายทันที ราวกับเป็นผู้หญิงบ้า เท้าที่อยู่ใต้กระโปรงลอยออกมาก่อน แต่เหมียวอี้ไหวตัวได้เร็ว เบี่ยงตัวหลบแล้ว

การหลบครั้งนี้ทำให้เกิดปัญหาแล้ว!

“น่าเกลียดไร้ยางอาย กินอยู่ในชามยังมองไปในหม้อ ไปหาคนนั้นทีไปหาคนนี้ที ย่ำยีดอกไม้ไปทั่ว เจ้ายังกล้าหลบอีกเหรอ?” อวิ๋นจือชิวใช้ความรุนแรงทันที นางร้องโวยวาย โผเข้าไปดึงเหมียวอี้มาซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย

ท่านขุนนางเหมียวหลบไม่ไหวแล้ว เหตุผลก็ที่มีก็ฟังไม่ขึ้น ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะตอบโต้ นั่งยองๆ เอามือกุมศีรษะ ปล่อยให้ฮูหยินจับเขามาระบายอารมณ์อย่างบ้าคลั่ง เรีบกได้ว่าโดนซ้อมไปยกหนึ่ง!

และในตอนนี้ มู่ฝานจวิน ฉางเหลย ซือถูเซี่ยวและจีฮวนก็มาอยู่ข้างกายอวิ๋นอ้าวเทียนพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

สำหรับห้าปราชญ์ ข่าวที่ลูกศิษย์ทั้งห้านำกลับมาจากพิภพใหญ่ทำให้พวกเขาตกตะลึงเกินไปจริงๆ พิภพใหญ่ที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตนั่นยังคงลึกลับมากสำหรับพวกเขา ลูกศิษย์ทั้งห้าไปอยู่เพียงห้าวัน ข่าวที่สืบมาได้ก็เท่านั้นเอง แต่เห็นจุดเดียวก็ทำให้เห็นภาพรวม จะเห็นได้ว่าพิภพใหญ่ยังมีหลายสิ่งที่รอให้พวกเขาไปค้นหา

สิ่งที่ทำให้ห้าปราชญ์เซ็งที่สุดก็คือเรื่องเคล็ดวิชาฝึกตนของตัวเอง ขนาดยังไม่เคยไปพิภพใหญ่ เพิ่งจะได้ข่าวมานิดหน่อยก็กลายเป็นโจรกบฏของตำหนักสวรรค์แล้ว ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้!

ความรู้สึกแบบนี้เหมือนได้กินอะไรบางอย่างแล้วกลืนลงท้องได้แค่แมลงวันตัวเดียว ทั้งห้าคนอยากจะซ้อมเหมียวอี้จริงๆ เจ้าเวรนั่นกลัวพวกเขาไม่ได้ตายดี จงใจให้พวกเขาไปสืบเรื่องเคล็ดวิชาฝึกตนของตัวเองก่อน ไม่อย่างนั้นใครจะถ่อไปสืบข่าวถามเรื่องนี้ล่ะ ถ้าไม่ถามคงไม่รู้ พอถามแล้วเหมียวอี้ก็ทำให้พวกเขารังเกียจแทบแย่

เปรียบเทียบเหมือนเวลาตัวเองหิวแทบตาย แล้วจู่ๆ ก็มีอาหารเลิศรสโต๊ะหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าพวกเขา ขณะกำลังจะโผเข้าไปเขมือบ พ่อครัวคนหนึ่งที่แซ่เหมียวก็เดินเอ้อระเหยมาบอกพวกเขาว่า ในอาหารมียาพิษ จะทำให้คนที่กินตายได้ ถ้าอยากจะกินก็ต้องพิจารณาให้ดี!

จะไปหรือจะไม่ไปดี ทั้งห้ากำลังคิดวนเวียนสับสน!


1117

 

บทที่ 1118 สู่ขอแต่งงาน

แต่ก็คิดวนเวียนสับสนอยู่แค่นิดเดียวเท่านั้น ขณะที่กำลังกังวล ในใจก็ยิ่งกระเหี้ยนกระหือรือ ที่แท้เคล็ดวิชาที่ตนฝึกก็เป็นหนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษของพิภพใหญ่นี่เอง คนที่เคยฝึกก่อนหน้านี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในจ้าวแห่งพิภพใหญ่ คิดคิดแล้วทำให้ฮึกเหิมเลือดเดือดพล่าน!

สำหรับพวกเขา การอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งมานานหลายปีขนาดนั้น ในใจล้วนมีความโอหังอวดดีอยู่บ้าง เมื่อรู้แล้วว่ามีหนทางที่สามารถทำให้เดินไปได้ไกลและสูงกว่าเดิม คงเป็นเรื่องยากที่จะให้พวกเขานั่งเป็นกบในบ่อต่อไป จะกลัวตำหนักสวรรค์แล้วหดหัวอยู่ที่เดิม หรือจะไปบุกเบิกที่พิภพใหญ่ สองทางเลือกนี้ทำให้ตัดสินใจได้ไม่ยากเลย!

ดังนั้นพวกมู่ฝานจวินจึงเป็นฝ่ายมาหาอวิ๋นอ้าวเทียนที่นี่

อวิ๋นอ้าวเทียนขมวดคิ้วนั่งอยู่ในโถงหลักโดยไม่พูดอะไร การที่ทั้งสี่คนหาที่นั่งนั่งเองโดยมองข้ามเขา เขาก็ไม่ว่าอะไรเช่นกัน

ตั้งแต่แน่ใจเรื่องพิภพใหญ่ ทั้งห้าก็เรียกได้ว่าวางบุญคุณความแค้นทั้งหมดระหว่างกันก่อนหน้านี้ไปแล้ว เพราะแข่งขันกันไปก็ไม่มีความหมายอะไร ตอนนี้ต่อให้มีใครบอกว่าจะแย่งอาณาเขตใคร คาดว่าก็คงไม่มีใครสนใจอยู่ดี และคงจะไม่มีใครไปทำเรื่องน่าเบื่อแบบนั้นเช่นกัน ชั่วพริบตาเดียว ผลประโยชน์ที่พิภพเล็กก็กลายเป็นสิ่งที่เล็กน้อยเหมือนเมล็ดงาในสายตาของพวกเขาไปแล้ว ไม่ควรค่าให้ไปสิ้นเปลืองพลังกายพลังใจอีกแล้วจริงๆ ไม่มีความหมาย!

ทั้งห้านั่งเฉยๆ โดยไม่พูดจาอะไร หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ซือถูเซี่ยวถึงได้เอ่ยขึ้นก่อน “คาดว่าทุกคนคงจะรู้แล้วสินะ ถ้าไปที่พิภพใหญ่แล้ว พวกเราก็จะกลายเป็นโจรกบฏ”

มู่ฝานจวินมองซ้ายมองขวาแล้วบอกว่า “คงจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอกมั้ง ทุกคนระวังตัวไว้ก็พอแล้ว ขอแค่ไม่ทำให้ทุกคนรู้กันหมดก็ไม่น่าจะมีเรื่องอะไร”

ฉางเหลยประนมมือบอกว่า “กลัวก็แต่เหมียวอี้จะจงใจเล่นงานพวกเรา ถ้าเปิดโปงความลับของพวกเราขึ้นมา พวกเราก็จะยุ่งยากกันใหญ่แล้ว”

จีฮวนเอามือลูบเครา “เขากล้าเหรอ? เมียเขาก็ฝึกเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานเหมือนกัน ถ้าไม่กลัวพวกเราจะแว้งกัด เขาก็เชิญลองได้เลย ถ้าอวิ๋นจือชิวไม่เป็นอะไร พวกเราก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมากหรอก”

ซือถูเซี่ยวกล่าวว่า “อย่าบอกนะว่าลูกชายเจ้าไม่ได้สืบมา? ภายในของตำหนักสวรรค์วุ่นวายยิ่งกว่าพวกเราที่นี่อีก ได้ยินว่าไม่ได้ดำมืดธรรมดา ในคุกมีคนที่ไร้ความผิด มีการยัดข้อหาใส่ร้าย เรื่องประเภทหลอกลวงเบื้องบน ระรานผู้ใต้บังคับบัญชา ฆ่าคนปิดปากก็มีเยอะแยะไป ตราบใดที่เหมียวอี้มีอำนาจมากพอ ถ้าเขาจับพวกเราขึ้นมา ต่อให้พวกเราตะโกนจนคอแตกก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้บอกว่าเหมียวอี้กับโจรกบฏมีส่วนเกี่ยวข้องกัน คาดว่าหลังจากให้ปากคำและออกจากคุกแล้ว พวกเราก็จะกลายเป็นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา”

จีฮวนถอนหายใจแล้วบอกว่า “เรื่องนี้ปกติมาก ราชันสวรรค์ท่านนั้นต่อให้มีพลังอิทธิฤทธิ์สูงกว่านี้ แต่ก็ไม่สามารถคุมทั้งพิภพใหญ่ด้วยตัวคนเดียวได้ สถานการณ์โดยรวมก็ย่อมวุ่นวายได้ง่ายอยู่แล้ว”

พวกเขาตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง นี่ก็คือสิ่งที่พวกเขากังวล เหมียวอี้คงไม่พาพวกเขาไปพิภพใหญ่เพื่จัดการพร้อมกันทีเดียวหรอกใช่มั้ย?

สักพักซือถูเซี่ยวก็ถามเสียงต่ำว่า “หรือพวกเรามาร่วมมือกันกำจัดเหมียวอี้ทิ้งดีมั้ย จากนั้นก็กดดันให้อวิ๋นจือชิวพาพวกเราไปที่พิภพใหญ่?”

สำหรับเรื่องนี้ อวิ๋นอ้าวเทียนกับมู่ฝานจวินไม่ได้พูดอะไร

ฉางเหลยส่ายหน้า “ไม่เหมาะ! ไอ้จัญไรนั่นไม่กลัวเพราะถือว่ามีคนหนุนหลัง ถ้าเป็นอย่างที่เขาบอกขึ้นมาจริงๆ ถ้าเขาเตรียมอะไรไว้ที่พิภพใหญ่แล้วจริงๆ ในฐานะที่เขาเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ การที่เขาหายตัวไปจะต้องทำให้ตำหนักสวรรค์สืบหาแน่!”

พวกเขาพูดไม่ออก จะซ้ายก็สับสน จะขวาก็สับสน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรไปชั่วขณะ

ผ่านไปไม่นาน จีฮวนก็อุทานอย่างประหลาดใจอีก “พอพูดถึงเรื่องนี้ พวกเจ้าได้สังเกตเห็นหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าพิภพใหญ่ไม่รู้ว่ามีพิภพเล็กอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นสถานที่ที่มีสาวกอยู่มากมายขนาดนี้ ตำหนักสวรรค์จะต้องส่งคนมานั่งรักษาการณ์แล้วสิ ก็แสดงว่าไอ้จัญไรนั่นไม่ได้เปิดเผยเรื่องพิภพเล็ก”

มู่ฝานจวินตาเป็นประกายวูบไหว คิดอะไรบางอย่างได้ทันที ถ้าเหมียวอี้ต้องการจะให้เยว่เหยาตัดขาดจากนางจริงๆ ก็สามารถนำกำลังพลจากพิภพใหญ่มากพจัดนางทิ้งได้เลย ถ้าแอบทำอย่างลับๆ เยว่เหยาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้…นางจึงแสยะยิ้ม แล้วบอกว่า “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!”

สายตาของทุกคนมองมาทันที อวิ๋นอ้าวเทียนถามว่า “ยายแก่นแก้ว อย่างนี้คืออย่างไร?”

มู่ฝานจวินหรี่ตาพูดว่า “ก็เหมือนที่ทุกคนเพิ่งบอกไปเมื่อครู่นี้ อวิ๋นจือชิวฝึกเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน หรือพูดได้อีกอย่างว่านางเกี่ยวข้องกับโจรกบฏเหมือนกัน จากข่าวที่สืบมาได้ ก่อนหน้านั้นเหมียวอี้ก็ประสบอันตรายที่พิภพใหญ่อยู่บ้างเหมือนกัน ไอ้จัญไรนั่นไม่เคยเปิดเผยเรื่องของพิภพเล็กให้พิภพใหญ่รู้เลย เป็นไปได้สูงว่าเขาเตรียมจะให้พิภพเล็กเป็นทางหนีทีไล่สุดท้ายยามประสบอันตราย!”

พวกเขาได้ยินแล้วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าเงียบๆ รู้สึกว่าคำพูดนี้มีเหตุผล ซือถูเซี่ยวหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นพวกเราก็ยิ่งได้โอกาสเหมาะแล้ว เขาสามารถใช้พิภพเล็กเป็นทางหนีทีไล่สุดท้ายได้ แล้วทำไมพวกเราจะทำไม่ได้ล่ะ? ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา พวกเราก็สามารถถอยกลับมาที่พิภพเล็กได้เหมือนกัน”

ฉางเหลยบอกว่า “แต่ดูจากเจตนาของเจ้านั่น เหมือนเขาจงใจจะกุมเส้นทางไปกลับพิภพเล็กเอาไว้คนเดียวนะ สาเหตุที่เขาพาพวกเราไปที่พิภพใหญ่ได้อย่างสบายอกสบายใจขนาดนี้ได้ เกรงว่าคงจะอยากกุมพิภพเล็กไว้ในมือคนเดียว และถ้าเขาไม่ยอมเปิดเผยเส้นทางไปกลับให้พวกเรารู้ พวกเราก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี ถ้าไปที่พิภพใหญ่แล้ว อย่าว่าแต่ข่มขู่เขาเลย แค่เขาไม่ข่มขู่พวกเราก็ดีแล้ว สรุปก็คือถ้าไปที่พิภพใหญ่แล้วอยากจะต่อต้านเขาก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก ที่เดียวที่จะลงมือได้สะดวกก็คืออวิ๋นจือชิว แต่เดาว่าไม่มีทางที่เหมียวอี้จะไม่คำนึงถึงจุดนี้ เกรงว่าคงจะเตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้พวกเรารู้หรอกว่าอวิ๋นจือชิวรู้เส้นทางไปกลับ”

เมื่อได้ยินว่าพวกเขาต้องการจะสู้กับอวิ๋นจือชิว อวิ๋นเซี่ยวที่ยืนอยู่ข้างหลังอวิ๋นอ้าวเทียนก็เอียงหน้ามองอวิ๋นอ้าวเทียนแวบหนึ่ง ผลปรากฏว่ามองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ บนใบหน้าอวิ๋นอ้าวเทียน

จีฮวนโบกมือ “พูดสิ่งนี้ไปก็ไม่มีความหมาย ถ้าได้ไปพิภพใหญ่จริงๆ พวกเราก็ย่อมต้องเตรียมตัวได้อยู่แล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเหมียวอี้จะใช้มือเดียวคลุมฟ้าได้ ถ้าประกาศเรื่องไอ้จัญไรนั่นที่เดียวไม่ได้ แต่ไปประกาศที่อื่นก็น่าจะได้มั้ง? ถ้าพวกเราเจอปัญหาแล้วต้องการกลับพิภพเล็ก ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าเหมียวอี้จะกล้าไม่ให้พวกเรากลับ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเรา เขาก็อย่าหวังจะได้อยู่ดีเลย ต้องมีทางประกาศให้ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเขาสมคบคิดกับโจรกบฏ สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดในตอนนี้ก็คือ กลัวว่าเหมียวอี้จะเตรียมป้องกันจุดนี้ไว้ เตรียมวางแผนไว้ที่พิภพใหญ่นานแล้ว พอพวกเราเหยียบถึงพิภพใหญ่ ก็จะถึงเวลาตายของพวกเราทันที นี่ต่างหากที่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด อย่างอื่นเป็นเรื่องเล็กทั้งนั้น ถ้าแม้แต่ก้าวแรกก็ก้าวผ่านไปไม่ได้ งั้นตอนหลังก็ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว ไม่มีโอกาสให้พวกเรามากขนาดนั้นด้วย!”

ปัญหานี้เป็นเหมือนเงื่อนตาย คือจุดที่ทุกคนกังวลที่สุด กลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว!

กลับเป็นมู่ฝานจวินกับอวิ๋นอ้าวเทียนที่ไม่ค่อยกังวลเรื่องนี้สักเท่าไร

อวิ๋นอ้าวเทียนรู้ชัดอยู่แก่ใจ ถ้ามีอวิ๋นจือชิวอยู่ ไม่ว่าจะอย่างไร อวิ๋นจือชิวก็ไม่น่าจะทำให้ท่านปู่อย่างตนตายไป

มู่ฝานจวินมีไพ่อย่างเยว่เหยาไว้ในมือก็พอแล้ว แต่ความกังวลโดยจิตใต้สำนึกที่มีต่อโลกที่ไม่รู้จัก ก็ยากจะลงออกจากใจได้ มันวนเวียนอยู่ในใจตลอด แน่นอน นางกลัวอำนาจอิทธิพลของเหมียวอี้ที่พิภพใหญ่อยู่บ้าง ถ้าบอกว่าไม่กลัวเหมียวอี้เลยสักนิดก็เป็นเรื่องโกหกแล้ว

ปรึกษากันไปปรึกษากันมาก็เป็นอย่างนั้น สุดท้ายก็แยกย้ายกันแล้ว

เมื่อกลับมาถึงเรือนพักของตัวเอง ขณะที่มู่ฝานจวินกำลังครุ่นคิดเดินไปเดินมาอยู่ใต้ชายคา จู่ๆ เสียงของหงเฉินที่อยู่ไม่ไกลก็ดังขึ้น “ท่านอาจารย์ เหมียวอี้กับฮูหยินมาค่ะ”

มู่ฝานจวินที่พลันได้สติกลับมาเอียงหน้ามองไป เห็นเพียงเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวปรากฏตัวพร้อมกัน เดินเลี้ยวเข้ามาเดินบนทางเดินยาวแล้ว

ฉีกหน้ากันจนถึงที่สุดแล้ว หลังจากทั้งสองฝ่ายพบหน้ากัน สองสามีภรรยาก็ไม่เคยเรียกนางว่าท่านปราชญ์อีกเลย เพียงกุมหมัดคารวะ ไม่เรียกชื่อนางตรงๆ ก็ถือว่าเกรงใจแล้ว ก่อนหน้านี้เหมียวอี้ ใช้คำว่า ‘กู’ ต่อหน้านางด้วยซ้ำ

ทั้งสามไม่ได้ยินและไม่ได้นั่ง เพียงยืนอยู่ตรงข้ามกัน มู่ฝานจวินเอามือไขว้หลังถามว่า “มีธุระอะไร?”

ในตอนนี้ไม่มีใครมองออกว่าเหมียวอี้เพิ่งจะโดนซ้อมมายกหนึ่ง อวิ๋นจือชิวทำท่าเหมือนภรรยาที่คล้อยตามและชเอฟังสามี ส่วนเหมียวอี้ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ “สู่ขอแต่งงาน!”

“สู่ขอแต่งงาน?” มู่ฝานจวินชะงักงัน ถามอย่างงๆ ว่า “สู่ขอแต่งงานอะไร?”

เหมียวอี้เอียงหน้าเล็กน้อย มองไปยังเทพธิดาหงเฉินที่ยืนสะโอดสะองเงียบๆ อยู่ไม่ไกลจากข้างหลังนาง พยักหน้าบอกใบ้ว่าเป็นท่านนั้น

เทพธิดาหงเฉินที่สวมชุดกระโปรงสีแดงกำลังยืนพิงระเบียงอยู่ใต้ชายคา หน้างดงามตาดุจภาพวาด ยืนหันข้างเงียบๆ อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดเฉียงลงมา ดอกไม้แดงและใบไม้เขียวที่อยู่นอกระเบียงกำลังสั่นไวตามแรงลม นางไม่สะทกสะท้านกับบทสนทนาที่อยู่ทางนี้ เสมือนคนที่อยู่ในภาพวาดจริงๆ  เงียบจนเหมือนถอดวิญญาณออกมา

ถ้าเปรียบความงามของฉินซีเป็นความเยือกเย็น เช่นนั้นความงามของเทพธิดาหงเฉินก็เป็นความเงียบสงบ

ความเยือกเย็นของฉินซีแทบจะเย็นชาต่อทุกสิ่งทุกอย่างในโลก

แต่เทพธิดาหงเฉินกลับเป็นความเงียบที่ฝังลึกอยู่ในกระดูก เงียบสงบอ่อนโยน แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสตรีที่ทั้งภายนอกและภายในไม่แก่งแย่งแข่งขันอะไรกับใคร ถ้าไม่ใช่เพราะประสบกับเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นางก็จะอยู่ให้ห่างจากความสับสนวุ่นวายต่อไป ปล่อยให้ความเงียบวิเวกเบ่งบานอยู่ในมุมสงบส่วนตัว งดงามก็ดี อัปลักษณ์ก็ดี จะมีคนชื่นชมหรือไม่ นางไม่ได้แยแสเลยสักนิด

มู่ฝานจวินที่หันกลับมามองแวบหนึ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ลูกศิษย์คนนี้ทำให้นางวางใจที่สุด วางใจที่ลูกศิษย์คนนี้ไม่ได้มีหัวใจทะเยอทะยาน แต่ก็เป็นนิสัยที่นางรำคาญที่สุดเช่นกัน เพราะตัวนางเองเป็นคนแกร่ง ชอบแข่งขัน แต่ลูกศิษย์คนนี้กลับไม่ได้เรื่อง

ก่อหน้านี้ถึงแม้จะเงียบ แต่ก็ไม่ได้เงียบถึงขนาดนี้ มู่ฝานจวินรู้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ประสบเคราะห์ภัยจนคนทั้งครอบครัวตายหมด หงเฉินก็เปลี่ยนเป็นคนละคน ต้องเร่งถึงจะขยับ เป็นนิสัยที่ทำให้นางไม่ชอบเป็นอย่างมาก!

แต่ไม่นานมู่ฝานจวินก็ตกตะลึงมาก หันกลับมาถามเหมียวอี้ว่า “นางเหรอ?”

เหมียวอี้เอียงหน้ามองไปยังหงเฉินที่อยู่ข้างหลังนางไกลๆ อีกครั้ง “สวยมากไม่ใช่เหรอ? ข้าชอบนางตั้งนานแล้ว หวังว่าจะช่วยให้สมปรารถนา!”

สำหรับเรื่องนี้มู่ฝานจวินทำความเข้าใจได้ไม่ยาก รูปโฉมที่งดงามของลูกศิษย์ตัวเองเป็นสิ่งที่คนในใต้หล้าเห็นประจักษ์ชัดแจ้ง ผู้ชายเห็นแล้วใจสั่นก็เป็นเรื่องปกติมาก แต่ก็ยังถามอย่างแปลกใจนิดหน่อยว่า “แบบนี้ไม่เหมาะมั้ง? ลูกสาวสองคนของศิษย์พี่นางเป็นอนุภรรยาของเจ้าแล้ว ถ้าเจ้ารับนางเป็นอนุภรรยาอีก แบบนี้มันใช่เรื่องซะที่ไหน?”

“ตอนที่เจ้าให้ข้าแต่งงานกับลูกสาวของอันหรูอวี้ เคยพิจารณาบ้างรึเปล่าว่าเยว่เหยาเป็นน้องสาวข้า?” เหมียวอี้ถามกลับ

“…” มู่ฝานจวินเงียบไปชั่วขณะ แล้วเอียงหน้าช้าๆ มองไปยังอวิ๋นจือชิวที่กำลังก้มหน้าก้มตา “นางหนู เขาจะรับอนุภรรยาอีกแล้ว เขาไม่มีความเห็นอะไรเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวยิ้มบางๆ “ก่อนหน้านี้เขาขอความเห็นจากข้าแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้คัดค้าน ถึงอย่างไรถ้าในบ้านมีเพิ่มมาสักคนก็ไม่ได้เยอะขึ้น จะลดลงสักคนก็ไม่ได้น้อยลง!”

มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม “เจ้านี่ใจกว้างจริงๆ เรื่องแบบนี้จะฝืนตัวเองไม่ได้เด็ดขาด ผู้ชายน่ะไม่กลัวผู้หญิงเยอะหรอก มีสามเมียสี่อนุแล้ว ก็ยังอยากจะได้สามตำหนักหกเรือนอีก เจ้าต้องพิจารณาให้ดีนะ!”

“ถ้าไม่ได้พิจารณาให้ดี ข้าก็คงไม่มาด้วยกันกับเขา ตอนนี้ก็ดูว่าเจ้าจะตอบตกลงหรือเปล่า ” อวิ๋นจือชิวตอบ

มู่ฝานจวินย้ายสายตาจากใบหน้านางไปยังเหมียวอี้ที่จ้องหงเฉินอยู่ตลอดเวลา ในใจรู้สึกสะอิดสะเอียน แต่กลับไม่ได้แสดงออกมา หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็กล่าวช้าๆ ว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบ ให้ข้าไตร่ตรองสักหน่อยแล้วค่อยให้คำตอบ” คำพูดนี้นับว่าไม่ปฏิเสธแล้ว

ดังนั้นอวิ๋นจือชิวจึงมองไปที่เหมียวอี้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมเล็กน้อย “หนิวเอ้อร์ เจ้าไม่รีบหรอกใช่มั้ย?”

“เอ่อ…” เหมียวอี้รีบโบกมือ “ไม่รีบหรอกไม่รีบ ทุกอย่างตามใจฮูหยิน!” ต่อให้รีบ แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอยู่ดี ไม่อย่างนั้นกลับไปจะต้องหน้าปูดตาเขียวอีก นี่เพิ่งจะร่ายอิทธิฤทธิ์ลดบวมไปได้ไม่นานเท่าไรเอง

1118

 

 

บทที่ 1119 ต้องกำจัดทิ้ง

เขามีท่าทีไม่สงบแล้ว อวิ๋นจือชิวมองไปที่มู่ฝานจวินด้วยรอยยิ้ม แสดงออกว่าเจ้าตอบตกลงแล้ว

คำตอบของมู่ฝานจวินเรียบง่ายมาก “นางหนู อาศัยภูมิหลังชาติกำเนิดอย่างเจ้า ไม่จำเป็นต้องโอนอ่อนผ่อนตามคนอื่นอย่างนี้ ผู้หญิงได้รับความไม่ยุติธรรมจนกลายเป็นอย่างเจ้า ช่างใช้ได้จริงๆ!” นางเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน นางไม่เชื่อเลยว่าอวิ๋นจือชิวจะยินยอมจากใจจริงให้สามีของตัวเองแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นอีก

อวิ๋นจือชิวสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร ทว่าคำพูดนี้กลับทำให้เหมียวอี้ไม่สบายใจ ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา ต่อให้อวิ๋นจือชิวแต่งงานกับผู้ชายเพิ่มอีกสักคน เขาก็รับไม่ไหวเหมือนกัน มิหนำซ้ำเขายังแต่งงานรับอนุภรรยาเข้าบ้านติดต่อกันหลายครั้งแบบนี้อีก

มีอยู่จุดหนึ่งที่เขารู้ดีอยู่แก่ใจ ที่จริงอวิ๋นจือชิวก็ด่าไว้ไม่ผิด ที่นางตีก็ไม่ผิด ถ้าจะบอกว่าความงามของเทพธิดาหงเฉินไม่ทำให้เขาใจสั่นเลย นั่นก็แสดงว่าพูดโกหกแล้ว ผู้ชายที่สามารถไม่ใจสั่นเลยสักนิดเมื่อเผชิญหน้ากับสาวงาม แสดงว่าจะต้องป่วยแน่นอน เขาย่อมเป็นผู้ชายปกติอยู่แล้ว

เมื่อเห็นแบบนี้ มู่ฝานจวินจึงไม่พัวพันอยู่กับคำถามนี้อีก บอกเหมียวอี้ว่า “เพื่ออนาคตของเจ้า นางหนูอวิ๋นตอบตกลงอย่างไม่เสียดายว่าจะมาเป็นตัวประกันให้ข้าที่แดนโพ้นสวรรค์ กาแต่งงานกับเมียแบบนี้คือวาสนาของเจ้า ต่อไปก็ทำตัวดีกับนางหนูอวิ๋นหน่อยแล้วกัน อย่าทำให้คนในบ้านผิดหวัง!”

“เป็นตัวประกัน?” เหมียวอี้พึมพำอย่างไม่เข้าใจ แล้วหันไปมองอวิ๋นจือชิวด้วยแววตาสงสัย

อวิ๋นจือชิวงงไปชั่วขณะ และถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจเช่นกันว่า “เหตุใดปราชญ์เซียนจึงพูดแบบนี้? ข้าไปตอบตกลงเป็นตัวประกันที่แดนโพ้นสวรรค์ของท่านตั้งแต่เมื่อไร?”

มู่ฝานจวินที่พูดส่งเดชเพื่อชี้แนะเหมียวอี้ พอได้ยินแบบนี้ก็อึ้งไปเหมือนกัน ขมวดคิ้วถามว่า “ก่อนหน้านี้ที่หยางชิ่งถือจดหมายของเจ้ามาเจรจาที่แดนโพ้นสวรรค์ เพื่อที่จะแลกกับการสนับสนุนจากข้า หยางชิ่งบอกว่าเจ้ายินดีมาเป็นตัวประกันที่แดนโพ้นสวรรค์ อย่าบอกนะว่าไม่จริง?”

“มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ?” เหมียวอี้ถามอวิ๋นจือชิว

อวิ๋นจือชิวอึ้งไปชั่วครู่ หลังจากดวงตาวูบไหว ก็ตอบมู่ฝานจวินด้วยรอยยิ้มว่า “ก็เป็นเรื่องจริง เพียงแต่วันนี้กับวันนั้นไม่เหมือนกัน ท่านไม่ได้รักษาสัญญา ข้าก็ย่อมไม่ต้องทำตามสัญญา”

“เชอะ!” มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม แล้วกลับมาสู่ประเด็นหลัก “เรื่องสู่ขอแต่งงานข้าจะพิจารณาอีกที หลังจากนี้ครึ่งวันจะให้คำตอบพวกเจ้า!” พูดแบบนี้เท่ากับเป็นการส่งแขกแล้ว

“ได้!” อวิ๋นจือชิวหันกลับมาดึงแขนเสื้อเหมียวอี้ “อะไรที่เป็นของเจ้าก็หนีไปไม่พ้น ถ้าไม่ใช่เจ้าใครก็เอาไปไม่ได้ ถ้าไม่ใจร้อน เจ้ากลับไปกับข้าก่อนแล้วกัน”

คำพูดแบบนี้ ทำให้เหมียวอี้อับอายในใจ สองสามีภรรยาเดินจากไปด้วยกันแล้ว

หลังจากมองส่งทั้งสองหายไป มู่ฝานจวินที่เอามือไขว้หลังก็หลับตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเรียกเสียงเรียบว่า “หงเฉิน!”

หงเฉินที่อยู่ไม่ไกลเดินเข้ามาเบาๆ “ศิษย์อยู่นี่ค่ะ!”

“สิ่งที่สองสามีภรรยานั่นพูด เจ้าคงจะได้ยินหมดแล้วนะ?” มู่ฝานจวินหันตัวไปมองนาง

หงเฉินเหมือนลูกคลื่นที่สงบ ตอบอย่างสงบนิ่งว่า “ได้ยินแล้วค่ะ”

มู่ฝานจวินพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ ลูกศิษย์ของข้าต่อให้แต่งงานกับบ้านไหน ก็มีแต่ต้องเป็นภรรยาเอกนายหญิงของบ้านเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าอยากจะรับลูกศิษย์ข้าไปเป็นอนุภรรยา กำเริบเสิบสานจริงๆ! แต่จะว่าไปแล้ว ผู้หญิงเมื่อเติบใหญ่ก็รั้งไว้ไม่อยู่ เวลาแต่งงานก็ควรต้องแต่ง ทั้งชีวิตนี้ถ้าไม่ได้ลิ้มลองรสชาติที่ผู้หญิงควรได้ลอง ก็อาจจะเสียชาติเกิดเหมือนกัน หากเจ้าเต็มใจแต่งงานกับเขา อาจารย์ก็จะไม่ห้าม มีแต่จะอวยพรให้ แล้วก็จะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างขาดความยุติธรรมด้วย จะจัดงานให้เจ้าอย่างมีหน้ามีตา!”

หงเฉินส่ายหน้าเบาๆ “ศิษย์ไม่อยากแต่งงานค่ะ!”

นี่ไม่ใช่คำโกหก เป็นสิ่งที่นางพูดจากใจจริงเช่นกัน ถึงแม้ลับหลังจะเคยแอบติดต่อกับเหมียวอี้ และเป็นฝ่ายแสดงออกว่าเต็มใจแต่งงานกับเขา แต่ใจจริงของนางไม่ได้อยากแต่งงานเลย

มู่ฝานจวินย่อมรู้จักนิสัยศิษย์ของตัวเองอยู่แล้ว หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ก็เป็นฝ่ายยื่นมือออกมาจับฝ่ามือข้างหนึ่งของหงเฉินเอาไว้อย่างที่ไม่เคยทำบ่อยๆ  ทำสีหน้าเมตตา จูงมือหงเฉินเดินช้าๆ ไปข้างหน้าตามทางเดินยาวใต้ชายคา พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “นางหนูเอ๊ย! เราเป็นอาจารย์ลูกศิษย์กันมานานมาก แต่ไม่เคยสงบจิตสงบใจคุยกันดีๆ เลย เราสองคนมาคุยกันด้วยความจริงใจดีกว่า”

หงเฉินที่ถูกจูงมือเดินช้าๆ ด้วยกันค่อนข้างใจลอยเคลิบเคลิ้ม ชั่วพริบตานี้ นางราวกับได้ย้อนกลับไปช่วงเวลาในวัยเด็ก ในตอนนั้นอาจารย์อ่อนโยนต่อนางมาก มักจะจูงมือเล็กๆ ของนางพลางกล่าวให้กำลังใจอย่างอบอุ่นอยู่เสมอ เพียงแต่หลังจากเติบโตขึ้น ก็เหมือนจะเป็นเรื่องยากที่จะกลับไปถูกปฏิบัติด้วยอย่างใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนเด็กน้อยอีก นานมากแล้วที่อาจารย์ไม่ได้พูดกับนางอย่างอ่อนโยนแบบนี้ ฉากนี้ทำให้นางคัดจมูกเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเอียงหน้ามองใบหน้าด้านข้างของมู่ฝานจวิน

“นางหนู! เจ้ารู้หรือเปล่าว่าทำไมพวกเราห้าปราชญ์จึงล้อมอยู่ข้างกายเหมียวอี้ตลอด?”

“ศิษย์ไม่ทราบค่ะ!”

“เจ้าเคยได้ยินเรื่องพิภพใหญ่ใช่มั้ย? ข้าจะพูดเรื่องเกี่ยวกับพิภพใหญ่ให้เจ้าฟังแล้วกัน พิภพใหญ่มีอยู่จริงๆ ข้าส่งจงเจิ้นศิษย์พี่ของเจ้าไปมารอบหนึ่งแล้ว ศิษย์พี่เจ้าได้ข้อมูลกลับมาไม่น้อย ตอนนี้เหมียวอี้ค่อนข้างมีอำนาจที่พิภพใหญ่…”

เล่าสถานการณ์ของพิภพใหญ่ รวมทั้งตำแหน่งของเหมียวอี้ที่พิภพใหญ่ในปัจจุบันออกไม่หยุด เทพธิดาหงเฉินฟังจนตกตะลึงไม่หยุด!

หลังจากบอกให้รู้โดยไม่ปิดบัง อาจารย์และลูกศิษย์ก็หยุดอยู่ข้างๆ แปลงปลูกดอกไม้ที่ยกพื้นสูง มู่ฝานจวินหันมาเผชิญหน้ากับหงเฉิน แล้วพูดอย่างจริงใจว่า “ข้ารู้ถึงความคิดจิตใจของเจ้า เจ้าใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างสบสุข แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจนะ โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ถ้าไม่มีรากฐานที่มั่นคง แล้วจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อย่างไร ถ้าอยากจะอยู่อย่างสงบ ก็ต้องมีคุณสมบัติที่จะอยู่อย่างสงบ ถ้าวันไหนสำนักไร้ที่ยืน ประสบหายนะ เจ้าจะโชคดีรอดพ้นไปได้เหรอ? คนเราเกิดมา มีหลายเรื่องที่ทำตามใจตัวเองไม่ได้ อาจารย์ก็อยากจะเป็นอิสระเหมือนกัน แต่ศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้าจะทำอย่างไรล่ะ? ถ้าข้าทิ้งพวกเขาโดยไม่สนใจ ก็จะมีคนมาหาเรื่องพวกเขาทันที เพื่อที่จะให้พวกเจ้าได้หลบเลี่ยงปัญหา อาจารย์ก็ทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้า มีเพียงการยืนให้สูงขึ้น ปีกแข็งแกร่งขึ้น ถึงจะปกป้องพวกเจ้าได้ คนเราเกิดมาจะคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองไม่ได้ ต้องแบกรับความรับผิดชอบบางอย่างเสมอ! เจ้ายังจำเหตุการณ์หลังจากคนในครอบครัวเจ้าประสบภัยได้หรือไม่? ในด้านศีลธรรมศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าไม่อาจปฏิเสธได้ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง นำคนบุกสังหารไปที่ทะเลทรายม่านเมฆาด้วยตัวเอง ล้างแค้นให้เจ้า เรื่องนี้เจ้ายังจำได้มั้ย?”

หงเฉินพยักหน้าเบาๆ “ศิษย์จำได้ค่ะ!”

“ถ้าวันใดที่เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า เจ้ายินดีจะช่วยหรือไม่?” มู่ฝานจวินถาม

“ศิษย์ยินดีช่วยค่ะ” หงเฉินพยักหน้า

มู่ฝานจวินตบฝ่ามือนางไว้ระหว่างฝ่ามือตัวเอง กล่าวเสียงต่ำว่า “ขนาดของพิภพเล็กเล็กเกินไปแล้ว ทรัพยากรมีจำกัด ถ้าอยากให้ศิษย์พี่กับศิษย์น้องของเจ้ามีความก้าวหน้าและอนาคตมากกว่านี้ การไปพิภพใหญ่คือสิ่งที่ต้องทำ! แต่ว่า พวกเราเล็กน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับพิภพใหญ่ ถ้าอยากจะลงหลักปักฐานในสถานที่ที่ไม่รู้จัก เกรงว่าความลำบากอันตรายจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ถึงขั้นเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตด้วยซ้ำ แต่เหมียวอี้กลับสร้างความมั่นคงที่พิภพใหญ่ได้แล้ว และมีตำแหน่งที่มีอำนาจด้วย ถ้าสามารถได้รับการสนับสนุนจากเขา ก็จะช่วยลดความยุ่งยากให้พวกเราได้ไม่น้อยแน่นอน อย่างน้อยทำให้เขาไม่มาหาเรื่องพวกเราก็ยังดี ตอนนี้เขาชอบเจ้าพอดี ให้เจ้าเป็นอนุภรรยาถือว่าไม่ยุติธรรมสำหรับเจ้า แต่สำหรับสำนักกลับมีแต่ผลดีไม่มีผลร้าย เจ้ายินดีจะรับความไม่ยุติธรรมนี้หรือเปล่า?”

หงเฉินเงียบไปนานมาก เดิมทีนี่คือผลลัพธ์ที่นางหวังตอนไปหาเหมียวอี้ แต่ตอนนี้หลังจากเข้าใจสาเหตุแล้ว กลับทำให้นางปวดใจ แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้าให้มู่ฝานจวินที่กำลังทำสายตาเฝ้าคอย “ทุกอย่างแล้วแต่อาจารย์จะจัดเตรียมค่ะ!”

“ดี! นับว่าความรักที่อาจารย์มีให้เจ้าไม่ได้สูญเปล่า!” มู่ฝานจวินมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ตบหลังมือนางเบาๆ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงต่ำลง “หลังจากแต่งงานกับเขาแล้ว ก็พยายามจับตาดูเขาไว้ มีข่าวอะไรก็ให้แจ้งอาจารย์ทันที ถ้าฝั่งอาจารย์เกิดเรื่องขึ้น ก็ต้องการให้เจ้าพยายามต้อนรับขับสู้อยู่ข้างกายเขาด้วย อาศัยที่เขาชื่นชอบในรูปโฉมของเจ้า นี่ก็คือที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดที่จะทำให้เจ้าได้อยู่ข้างกายเขาในตอนนี้ จำไว้นะ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการลงหลักปักฐานของสำนักเราเมื่อก้าวเข้าสู่พิภพใหญ่ เจ้าต้องพยายามสุดแรงกายแรงใจ!”

“ค่ะ!” หงเฉินพยักหน้าเงียบๆ

อีกด้านหนึ่ง หลังจากกลับถึงตำหนักนอนและเชิญให้ฮูหยินนั่งลงแล้ว เหมียวอี้ก็ยกน้ำชามายื่นถึงมืออวิ๋นจือชิวด้วยตัวเอง แล้วขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าตอบตกลงจะไปเป็นตัวประกันที่แดนโพ้นสวรรค์ นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงมาก่อย?”

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วทำสีหน้าครุ่นคิดมาตลอดทาง หลังจากจิบน้ำชาจนชุ่มคอแล้ว ก็จ้องเหมียวอี้พร้อมกล่าวเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ข้าไม่รู้เรื่องเป็นตัวประกันอะไรนั่นเลย”

เหมียวอี้นั่งลงข้างกายนาง แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “แล้วตอนที่มู่ฝานจวินเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้ เจ้าจะยอมรับทำไมว่ามีเรื่องนี้?”

อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้วแสยะยิ้ม “เจ้ายังดูไม่ออกรึไง? มีคนอยากจะกำจัดข้าไงล่ะ จะได้สนับสนุนให้ฉินเวยเวยอยู่ในตำแหน่งภรรยาเอก! ผู้การใหญ่หยางช่างเจ้าแผนการจริงๆ วางแผนได้ชั่วร้ายมาก วางกับดักซ้อนหลายชั้น โชคดีที่มีหลายเรื่องที่เขายังไม่รู้ เมื่อมีข้อมูลข่าวสารไม่พอ ก็วางแผนได้ไม่สมบูรณ์แบบหรอก เขาไม่รู้ว่าเยว่เหยาเป็นน้องสาวเจ้า ไม่รู้ว่ามู่ฝานจวินจะมีหรือไม่มีข้าเป็นตัวประกันก็ได้ ไม่รู้ว่ายังมีเรื่องที่พิภพใหญ่ บวกกับที่เจ้าเป็นคนไม่ทำอะไรตามกฎและขั้นตอน ไม่อย่างนั้นอาศัยวิธีการของเขา…เฮอะๆ! ถ้าไม่ใช่เพราะการสู่ขอแต่งงานทำให้มู่ฝานจวินบังเอิญพูดเรื่องนี้ขึ้นมาพอดี เกรงว่าพวกเราคงจะถูกปิดบังไปทั้งชีวิต!”

เหมียวอี้ตกใจทันที ถามว่า “มันเรื่องอะไรกันแน่?”

พอพูดถึงเรื่องนี้ อวิ๋นจือชิวก็ค่อนข้างขวยอายและอึดอัดเช่นกัน ถึงอย่างไรตอนแรกก็ปิดบังเหมียวอี้และทำเรื่องนี้โดยพลการ เมื่อถูกถามตอนนี้ จะปิดบังต่อไปก็คงไม่ค่อยเหมาะแล้ว ทำได้เพียงค่อยๆ เล่าเรื่องที่ตัวเองถูกคำพูดแค่คำสองคำของหยางชิ่งยุงยงจนให้ความร่วมมือ

เมื่อฟังจบ เชื่อมต่อคำพูดของมู่ฝานจวินกับอวิ๋นจือชิวเมื่อครู่นี้ เมื่อได้มองเห็นหมากทั้งกระดานถึงได้เข้าใจ เหมียวอี้ตกใจจนเหงื่อแตก ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าสุนัขหยางชิ่งจะวางแผนกับพวกเขาสองสามีภรรยาแล้ว

เหมียวอี้ลุกพรวดทันที ชี้หน้าอวิ๋นจือชิวพร้อมตำหนิอย่างโมโหว่า “เจ้าไม่รู้เชียวเหรอว่าหยางชิ่งเป็นคนยังไง? การไปเล่นกลอุบายกับเขาไม่ต่างอะไรกับการวางแผนเอาหนังเสือ เมื่อเจอกับคนแบบนี้มีแต่ต้องใช้กำลังข่มขู่เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอะไรคุยกับเขาเลย ต้องบังคับให้เขาทำตามจุดประสงค์ของเจ้า ไม่ใช้ปล่อยให้เขาจูงจมูกพาเจ้าไปถึงจุดประสงของเขา ไม่อย่างนั้นเจ้าจะตายวันไหนก็ยังไม่รู้เลย!”

อวิ๋นจือชิวยืนขึ้นอย่างช้าๆ กอดแขนเขาเอาไว้ “หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว ตกลงมั้ย?”

เหมียวอี้สะบัดแขนนางออก แล้วตำหนิอย่างโมโห “อย่ามาใช้มุกนี้กับข้า! ตอนนี้ข้านับว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ๆ เจ้าสามถึงโดนมู่ฝานจวินขัง ที่แท้ก็เป็นฝีมือของเจ้านี่เอง ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าสาม ข้าจะหย่ากับนางมารร้ายอย่างเจ้าเลย!”

อวิ๋นจือชิวท่าทีอ่อนลงเยอะมาก เบะปากพูดว่า “ข้ากำลังชดเชยให้เจ้าสามไม่ใช่รึไง ไม่อย่างนั้นข้าไม่ตอบตกลงให้เจ้าแต่งงานรับเทพธิดาหงเฉินเข้าบ้านหรอก”

“เจ้า…” เมื่อถูกอุดปากด้วยเหตุผลนี้ เหมียวอี้ก็โวยวายไม่ออก โบกมือเล็งจะตบไปบนใบหน้าอวิ๋นจือชิว

อวิ๋นจือชิวหลับตา ไม่หลบ!

เมื่อมือกำลังจะถึงใบหน้านาง เหมียวอี้ก็หยุดมือค้างไว้ ทำใจตบไม่ลง

อวิ๋นจือชิวลืมตาข้างหนึ่งแอบมองเล็กน้อย เมื่อเห็นเหตุการณ์ก็ยิ้มทันที นางเอียงหน้าเบะปาก แล้วจูบลงบนฝ่ามือของเขาหนึ่งที

“เมื่อไม่มีกฎของบ้าน เจ้าก็คิดจะสลับตำแหน่งแล้ว!” เหมียวอี้พูดอย่างเดือดดาล จับแขนอวิ๋นจือชิวแล้วกดนางให้คว่ำลงบนโต๊ะ ‘เพี้ยะๆ’ เขาจับนางกระดกก้นแล้วตีอย่างรุนแรง เรียกได้ว่าลงมือหนักมาก ตีจนอวิ๋นจือชิวแยกเขี้ยวยิงฟันกัดริมฝีปาก

รู้ว่าความผูกพันระหว่างพี่น้องในช่วงชีวิตที่ลำบากยากเข็ญคือจุดอ่อนที่ผู้ชายคนนี้ลบออกจากใจไม่ได้ รู้ว่าไปลูบเกล็ดมังกรของผู้ชายคนนี้เข้าแล้ว รู้ว่าทำผิดไปแล้ว อวิ๋นจือชิวไม่กล้าเถียงอะไร กัดฟันนอนหมอบโดยไม่กล้าขยับ ยอมทนรับหลายสิบฝ่ามือแต่โดยดี  เรียกได้ว่าโดนตีจนก้นบวมแล้วจริงๆ

หลังจากระบายอารมณ์แล้ว เหมียวอี้ก็ปล่อยนาง แล้วพลันหันขวับไปมองนอกประตู พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบดุร้าย “เริ่มเกิดความคิดชั่วร้ายจะแว้งกัดเจ้าของ เก็บคนอย่างหยางชิ่งไว้ไม่ได้แล้ว ต้องกำจัดทิ้ง!”

1119

 

บทที่ 1120 ต่ำช้าไร้ยางอาย

อวิ๋นจือชิวที่เจ็บจนเอามือลูบก้นสูดหายใจอย่างตกตะลึง ขณะกำลังจะพูดว่าเหมียวอี้ใจร้าย จู่ๆ นางก็ได้ยินว่าเหมียวอี้จะกำจัดหยางชิ่ง ทั้งยังทำท่าทางเหมือนตัดสินใจแน่วแน่ด้วย ทำให้นางตกใจนิดหน่อย รีบก้าวเข้ามาดึงแขนเหมียวอี้ที่กำลังจะออกไป แล้วกล่าวอย่างตกใจว่า “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าหยางชิ่งเป็นพ่อแท้ๆ ของเวยเวย ถ้าเจ้าฆ่าเขา เจ้าจะอธิบายกับเวยเวยยังไง!”

เหมียวอี้ตอบอย่างไม่ซับซ้อนว่า “ไม่ต้องให้ข้าลงมือเองหรอก หาคนไปแอบจัดการให้ข้าสักรอบก็เรียบร้อยแล้ว วรยุทธ์เล็กน้อยอย่างหยางชิ่งต้านทานไม่ไหวหรอก เรื่องนี้เวยเวยไม่มีทางรู้”

อวิ๋นจือชิวดึงเขาไว้ไม่ยอมปล่อย “เจ้าสามารถปิดบังเวยเวยได้ แต่ถ้าหยางชิ่งตายขึ้นมา ทั้งชีวิตนี้ถ้าหาตัวคนทำไม่ได้ เวยเวยก็จะไม่มีทางหยุด บนโลกนี้หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ถ้าวันหนึ่งเวยเวยรู้ความจริงขึ้นมา เจ้าจะทำยังไง?”

“หยางชิ่งเกิดความคิดที่จะฆ่าเจ้านายตัวเองแล้ว วันนี้ลงมือกับเจ้าได้ ไม่ช้าก็เร็วที่จะต้องลงมือกับข้าเข้าสักวัน เก็บคนแบบนี้ไว้ข้างกายอันตรายเกินไป” เหมียวอี้กล่าว

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เจ้าคิดหรอก ครั้งนี้เขาไม่ได้คิดจะทำอะไรกับเจ้า แค่คิดจะกำจัดข้าเฉยๆ อยากจะให้เวยเวยขึ้นตำแหน่งภรรยาเอก ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไรกับเจ้า”

“กำจัดเจ้ากับกำจัดข้าต่างกันยังไง?” เหมียวอี้ถามเสียงต่ำ

เพียงพูดประโยคนี้คำเดียว อวิ๋นจือชิวมองเขาก็ด้วยแววตาเคลิบเคลิ้มแล้ว ในใจรู้สึกราวกับได้ดื่มน้ำผึ้ง นางกอดเขาไว้พร้อมทำเสียงเล็กเสียงน้อย “ช่างเถอะ พอได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ ต่อให้ตายข้าก็เต็มใจ หยางชิ่งยังมีจุดที่ใช้ประโยชน์ได้อยู่”

พอเหลือบมองผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดเงียบๆ เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าจริงจังอีกครั้ง ผลักนางออก แล้วบอกว่า “ถ้าไม่แสดงปฏิกิริยาตอบสนอง เขาก็จะนึกว่าการวางแผนทำร้ายพวกเราไม่ต้องจ่ายอะไรแลกเปลี่ยน จะลุกลามกลายเป็นมีเจตนาไม่ดี ถึงตอนนั้นเวยเวยก็จะพลอยลำบากเพราะเขาไปด้วย ต้องยับยั้งให้ทันเวลา!”

อวิ๋นจือชิวหัวเราะ แล้วถามว่า “กลัวเขาเหรอ?”

“เชอะ!” เหมียวอี้ทำเสียงดูถูก “ข้าจะกลัวเขาเหรอ? ข้าจะบีบจุดอ่อนเขายังไงก็ได้ มีแต่คนสมองหมูอย่างเจ้านั่นแหละที่โดนเขาหลอก!”

“ได้! ข้าโง่เหมือนหมูก็ได้ จบมั้ย?” อวิ๋นจือชิวดึงเขากลับมา กดให้เขานั่งลง แล้วใช้คำพูดดีๆ เกลี้ยกล่อมเขา “ในเมื่อเจ้าไม่กลัวเขา คิดว่าตัวเองควบคุมเขาได้ แล้วจะฆ่าเขาทำไมล่ะ? มีคนแบบนี้ไว้ข้างกายอันตรายจริงๆ แต่ก็มีความสามารถจริงๆ ในอนาคตต้องมีคราวที่เจ้าใช้ประโยชน์ได้แน่ ฟังคำแนะนำของข้าเถอะ ปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะ”

“เขาต้องการทำร้ายชีวิตเจ้า เจ้าไม่แค้นเขาเหรอ?” เหมียวอี้ถามนาง

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “น่าสงสารหัวใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ เขาเองก็คิดเพื่อเวยเวย ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเจ้า”

“เจ้าไม่คิดเหรอว่าเวยเวยรู้สถานการณ์อยู่ก่อนแล้ว?” เหมียวอี้ถามหยั่งเชิง

อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “จะเป็นไปได้อย่างไร ตอนนั้นเวยเวยตกอยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉินแล้ว นางจะรู้เรื่องนี้ได้ยังไง? ตอนนี้ข้ากังวลอีกเรื่องหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าหยางชิ่งสนใจหงเฉิน แต่เจ้ากลับจะรับหงเฉินเป็นอนุภรรยา แย่งความรักจากเขาไป เรื่องนี้ถ้าจัดการได้ไม่ดี ก็อาจจะทำให้หยางชิ่งเอาใจออกห่างขึ้นมาจริงๆ!”

หลังจากเหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนว่า “พี่สาม!”

เสียงของเขาดังก้องอยู่ในนภาอู๋เลี่ยง ทำให้ทุกคนที่อยู่ทั้งในและนอกตำหนักมองมาทางนี้

เพิ่งจะสิ้นเสียง เงาคนคนหนึ่งก็ปรากฎอยู่นอกประตู อิงอู๋ตี๋เดินเข้ามา พยักหน้าทักทายอวิ๋นจือชิวก่อน แล้วถามเหมียวอี้ทันทีว่า “เจ้าห้า มีเรื่องอะไร?”

เหมียวอี้ยืนขึ้น แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “รบกวนพี่สามไปที่แดนเซียนสักเที่ยว ไปที่ตำหนักเจิ้นกุ่ย ปราสาทดำเนินธารา สายมะโรง พาหยางชิ่งมาพบข้าหน่อย!”

“หนิวเอ้อร์ เจ้าคิดจะทำอะไร?” อวิ๋นจือชิวตกใจ

เหมียวอี้มาสนใจ เพียงพยักหน้าให้อิงอู๋ตี๋ ยืนยันว่าต้องทำแบบนี้

อิงอู๋ตี๋เหลือบมองอวิ๋นจือชิว แล้วก็ถลันตัวออกไปทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

อวิ๋นจือชิวดึงเหมียวอี้มาต่อว่าต่อขาน มู่ฝานจวินก็มาหาด้วยตัวเอง พอเจอหน้าก็บอกทันทีว่า “หงเฉินตอบตกลงแล้ว มาคุยเรื่องวันแต่งงานกันสักหน่อย!”

เหมียวอี้ไม่สะดวกจะจัดการเรื่องนี้ อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงวางเรื่องของหยางชิ่งไว้ชั่วคราว แล้วเชิญมู่ฝานจวินไปเจรจากันอีกด้าน

เดิมทีมู่ฝานจวินเองก็ไม่อยากจะปฏิบัติต่อหงเฉินอยากขาดความบุติธรรมเช่นกัน อยากจะจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ให้หงเฉิน แต่หงเฉินกลับอยากให้ทุกอย่างเรียบง่าย ไม่อยากให้จุกจิกวุ่นวายเกินไป ภายใต้ความดึงดันของนาง มู่ฝานจวินจึงทำได้เพียงตามใจนาง ไม่ฝืนใจนางอีก ตอนที่ปรึกษากับอวิ๋นจือชิวก็ย่อมเอ่ยว่าขอจัดงานอย่างเรียบง่าย

หลังจากคุยทุกอย่างเรียบร้อย กำหนดวันแต่งงานได้แล้ว มู่ฝานจวินก็พาหงเฉินกลับไปเตรียมตัวที่แดนโพ้นสวรรค์ ทิ้งจงเจิ้นไว้ที่นี่คนเดียว

เมือ่สังเกตเห็นว่ามู่ฝานจวินออกไปแล้ว พวกจีฮวนที่กำลังตื่นตัวไม่รู้ว่าทำไมมู่ฝานจวินถึงออกไปในเวลานี้ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ทุกคนไปหาถึงที่ทันที

อวิ๋นอ้าวเทียนเป็นผู้นำ ปราชญ์ทั้งสี่มาหาพร้อมกัน พอเห็นเหมียวอี้ อวิ๋นอ้าวเทียนก็ถามทันทีว่า “จะออกเดินทางไปพิภพใหญ่เมื่อไร?”

เหมียวอี้กำลังเอียงอาย อวิ๋นจือชิวจึงออกหน้าตอบให้ ยิ้มอย่างสนิทสนมพร้อมบอกว่า “ไม่รีบหรอก หลังจากนี้ครึ่งเดือน ทุกคนดื่มสุรามงคลก่อนแล้วค่อยออกเดินทางก็ยังไม่สาย!”

“สุรามงคล?” ปราชญ์ทั้งสี่ประหลาดใจ มองหน้ากันเลิกลั่ก จีฮวนถามว่า “สุรามงคลอะไร? อย่าบอกนะว่ายังมีเรื่องมงคลอะไรอีก?”

เหมียวอี้ยกถ้วยน้ำชาบังหน้าอย่างขวยเขิน อวิ๋นจือชิวตบบ่าเหมียวอี้ แอบออกแรงมากพอ ตบจนน้ำชาในถ้วยของเหมียวอี้สั่นไหวกระเด็นออกมา  แล้วตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “สามีขอข้าต้องการรับอนุภรรยาอีกสักคน รอรับเจ้าสาวเข้าบ้านก่อนแล้วค่อยเดินทางก็ยังไม่สาย”

สี่ปราชญ์สบตากันแวบหนึ่ง แล้วซือถูเซี่ยวก็ถามว่า “ไม่ทราบว่าจะแต่งงานรับผู้หญิงจากตระกูลไหน?”

“ทุกคนก็รู้จัก เทพธิดาหงเฉิน ศิษย์รักของมู่ฝานจวิน วันแต่งงานกำหนดให้เป็นฤกษ์มงคลในอีกครึ่งเดือนหลังจากนี้” อวิ๋นจือชิวตอบ

ในที่สุดทั้งสี่ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ๆ มู่ฝานจวินจึงออกไปในเวลานี้ ที่แท้ก็เตรียมไปจัดงานแต่งงาน

เมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้ ทั้งสี่ก็ไม่สะดวกจะพูดอะไร นอกจากอวิ๋นอ้าวเทียน ปราชญ์คนอื่นๆ ก็บอกว่ายินดีด้วย จากนั้นก็ต่างคนต่างไปพร้อมความคิดอะไรบางอย่าง

ยังคงยกเว้นอวิ๋นอ้าวเทียน จีฮวนและคนอื่นๆ ออกจากนภาอู๋เลี่ยง ต่างคนต่างกลับไปยังอาณาเขตตัวเองอย่างรีบร้อน

ความเร็วของอิงอู๋ตี๋ยอดเยี่ยมจริงๆ ใช้เวลาครึ่งวันก็กลับมาถึงแล้ว มุ่งตรงไปจับหยางชิ่งจากตำหนักเจิ้นกุ่ยแล้วเรียกออกมาจากกระเป๋าสัตว์ แล้วโยนไว้ตรงหน้าเหมียวอี้โดยตรง

หยางชิ่งที่โดนผนึกวรยุทธ์ไว้ชั่วคราวตกลงพื้น พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวกำลังนั่งอยู่ เหมียวอี้กำลังจ้องเขาอย่างเย็นเยียบ!

อวิ๋นจือชิวส่งสายตาให้อิงอู๋ตี๋ อิงอู๋ตี๋จึงพยักหน้าเงียบๆ แล้วหันตัวเดินจากไป

“นายท่านเรียกมาด้วยธุระอะไร?” หยางชิ่งแสร้งกุมหมัดคารวะถามอย่างใจเย็น

เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ท่านทำเรื่องอะไรไว้ยังต้องให้ข้าเตือนด้วยเหรอ? ใจกล้าไม่เบานะ บังอาจวางแผนทำร้ายฮูหยิน!”

ระหว่างทางที่ถูกจับมา ในหัวหยางชิ่งก็ครุ่นคิดไม่หยุด ทำให้พอจะเดาอะไรบางอย่างออกแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ ‘เชิญ’ เขามาด้วยวิธีการนี้หรอก ตอนนี้ก็ยิ่งแน่ใจแล้วว่าแผนร้ายแดงออกมา เขาเองก็เข้าใจ เรื่องผ่านมาจนป่านนี้ จะแก้ตัวอะไรก็ไม่มีประโยชน์แล้ว จึงใช้สองมือสะบัดชายเสื้อข้างหลัง นั่งคุกเข่าลงช้าๆ แล้วกล่าวอย่างสิ้นหวังว่า “ข้าน้อยเหมือนถูกผีร้ายดลใจไปชั่วขณะ หยางชิ่งยินดีรับโทษทุกอย่าง เพียงแต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเวยเวย หวังว่านายท่านจะไม่บอกเรื่องนี้ให้เวยเวยรู้ หยางชิ่งยินดีตายเพื่อชดใช้ความผิด!”

ถึงแม้จะแสดงท่าทีแบบนี้ แต่เขาก็ไม่กังวลเลยสักนิด ที่เขากล้าลองหยั่งเชิงในสถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่เพราะมั่นใจในสถานการณ์ แต่เป็นเพราะรู้จักนิสัยของอวิ๋นจือชิว รู้ว่าสามารถพูดโน้มน้าวให้อวิ๋นจือชิวใจอ่อนได้ เช่นเดียวกัน เป็นเพราะเขารู้นิสัยของเหมียวอี้ ขอเพียงมีฉินเวยเวยอยู่ ขอเพียงอวิ๋นจือชิวไม่เป็นอะไร เหมียวอี้ก็จะไม่ทำอะไรเขา

เขาวางตัวสุขุมเยือกเย็นมาตลอด ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่มั่นใจก็จะไม่ลงมือทำง่ายๆ หลังจากไตร่ตรองแล้ว ก็พบว่าเรื่องนี้มีสองด้าน หนึ่งก็คือแผนการสำเร็จและอวิ๋นจือชิวตาย ขอเพียงอวิ๋นจือชิวตายแล้ว ก็จะถือว่าตายอย่างไร้หลักฐาน ไม่มีใครรู้ว่าอวิ๋นจือชิวเต็มใจไปเป็นตัวประกันหรือไม่ เหมียวอี้ก็จะโทษเขาไม่ได้ สองก็คือแผนการล้มเหลว ขอเพียงอวิ๋นจือชิวไม่เป็นอะไร และเวยเวยยังอยู่ เหมียวอี้ก็ไม่ถึงขั้นทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเกินไป

และยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง ถ้าแผนการไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ มู่ฝานจวินก็คงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เรื่องนี้ก็อาจจะถูกฝั่งให้จมลงไป

ดังนั้นไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาเขาก็จะไม่เป็นะอะไรเลย ก่อนลงมือเขาได้ยืนอยู่ในจุดที่ไม่มีวันแพ้อยู่แล้ว ย่อมลงมือได้อย่างเด็ดขาด!

“ตาย? ท่านได้เปรียบเกินไปหน่อยแล้วมั้ง!” เหมียวอี้ยืนขึ้น แล้วแสยะยิ้มไม่หยุด “เรื่องลงโทษน่ะเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ท่านชอบเทพธิดาหงเฉินไม่ใช่เหรอ? ต่อไปก็ตัดใจเสียเถอะนะ เดี๋ยวข้าจะไปปรึกษามู่ฝานจวินสักหน่อย จะเอาหงเฉินมาเป็นอนุภรรยา!”

หยางชิ่งกระตุกมุมปากอย่างรุนแรง เงยหน้าขึ้นมอง เหมือนอยากจะตัดสินจากสีหน้าของเหมียวอี้ว่าพูดจริงหรือพูดเล่น!

เหมียวอี้พูดอย่างก้าวร้าวว่า “ทำไมเหรอ? ท่านมีความเห็นแย้งอะไรงั้นเหรอ? จะทวงความยุติธรรมให้เวยเวยสักหน่อยมั้ยล่ะ?”

“ข้าน้อย…ข้าน้อยไม่มีความเห็นแย้งอะไร!” หยางชิ่งส่ายหน้ากล่าวอย่างขื่นขม เรียกได้ว่าเหมือนกลืนมะระขมลงคออย่างยากลำบาก

เงาร่างอรชรอ่อนช้อยที่สวมชุดกระโปรงสีแดงลอยลงมาจากฟ้าปรากฏขึ้นมาในหัวเขา แล้วสะท้อนกลับในดวงตาของเขา ดวงตาฉายแววเศร้าโศก

ตอนที่เขาถูกจับมาก็ได้คิดถึงความเป็นไปได้หลายทางเผื่อเอาไว้ แต่นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะใช้วิธีการต่ำช้าไร้ยางอายอย่างการแย่งความรักมารับมือกับเขา เขาพบว่าชาตินี้ตัวเองนับว่าล้มลงด้วยน้ำมือเจ้าเวรนี่แล้ว หลังจากได้สู้กับคนที่ไม่น่าเชื่อถือ แผนการของตนที่ครุ่นคิดมาอย่างดีก็ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดพลาด อีกฝ่ายอยากจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้น ไม่รับมือกับแผนของเขาเลย

อวิ๋นจือชิวรีบหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาบังหน้า พบว่าผู้ชายของตัวเองไร้ยางอายเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้วิธีการแบบนี้มาจัดการหงเฉินกับหยางชิ่ง นี่เป็นการแย่งคนรักชัดๆ กลายเป็นจงใจทำโทษหยางชิ่งเพราะความผิดของหยางชิ่ง ต่ำช้าไร้ยางอาย วันนี้นับว่าได้เข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘เป็นโสเภณีแต่ยังจะสร้างซุ้มประตูให้ตัวเอง[1]!’

แค่นี้ยังไม่พอ จู่ๆ เหมียวอี้ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกน “ฉินซี!”

หยางชิ่งที่กำลังใจลอย พอได้ยินชื่อนี้ก็พลันเงยหน้ามองเขา ในดวงตาฉายแววหวาดระแวงกลัว ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ยังจะทำอะไรอีก?

เขาเดาความคิดของเหมียวอี้ไม่ออกจริงๆ สรุปก็คือสู้สึกอกสั่นขวัญแขวน หัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ!

ผ่านไปครู่เดียว ฉินซีที่ได้ยินเสียงเรียกก็มาถึง พอเข้ามาในโถงแล้วเห็นหยางชิ่งที่กำลังคุกเข่า นางก็อึ้งไปชั่วขณะเช่นกัน หลังจากสบตากับหยางชิ่ง นางก็ก้าวขึ้นมาคำนับ “นายท่าน ฮูหยิน!”

เหมียวอี้บุ้ยปากไปที่ฉินซี แล้วบอกหยางชิ่งว่า “คนนั้นท่านไม่ต้องคิดถึงแล้ว คนนี้ล่ะ ท่านมองดูซิ หญิงม่ายเมียของเฟิงเป่ยเฉิน และเป็นคนรักเก่าของท่านเช่นกัน แต่งงานกับคนนี้แล้วกัน! ข้าให้ท่านรักการวางแผนและคิดการณ์ไกลต่อไป ครั้งนี้จะช่วยให้ท่านสมปรารถนาแล้วกัน แล้วก็จะกล่าวชมสักหน่อย จำเป็นต้องยอมรับว่าท่านคาดการณ์เก่งจริงๆ คาดการณ์ไว้แล้วว่าวันนี้นางจะได้กลายเป็นฮูหยินของท่าน ก็เลยไปแอบคบชู้กันไว้ล่วงหน้า นับถือ!”

“…” หยางชิ่งตกตะลึงอ้าปากค้าง

อวิ๋นจือชิวที่กำลังยกถ้วยน้ำชาอมลมในกระพุ้งแก้ม น้ำชาในปากแทบจะพุ่งออกมา

ฉินซีงุนงงเหมือนโดนหมอกลงสมอง ยังไม่ทันจะรู้ตัวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหมียวอี้ก็กล่าวเสียงเรียบแล้วว่า “ฉินซี ข้าตัดสินใจแล้ว จะให้ท่านแต่งงานกับหยางชิ่ง มีความเห็นแย้งอะไรรึเปล่า?”

ฉินซีสับสนวุ่นวายทันที รีบโบกมือบอกว่า “นายท่าน ข้าไม่ได้วางแผนจะแต่งงานอีก!”

ล้อเล่นอะไรกัน จะให้ตนแต่งงานกับหญิงม่ายเมียเก่าเฟิงเป่ยเฉินเหรอ! หลังจากหยางชิ่งตกตะลึง ก็รีกุมหมัดขอร้อง “นายท่านได้โปรดคืนคำสั่ง!”

เหมียวอี้หันกลับมาบอกอวิ๋นจือชิวที่กำลังถือถ้วยน้ำชาว่า “เจ้าไปด้วยตัวเองสักรอบ ไปเชิญฉินเวยเวยมาพบบิดามารดาที่แท้จริงสักหน่อย ให้ฉินเวยเวยตัดสินใจว่าจะให้สองคนนี้แต่งงานกันหรือไม่!”

…………………………

[1] เป็นโสเภณีแต่ยังจะสร้างซุ้มประตูให้ตัวเอง 婊子还立牌坊 อุปมาว่าทำเลวแต่ก็อยากให้ผู้คนนับถือ

 

1120

 

บทที่ 1121 ไม่ฝืนใจ

อะไรนะ? ฉินซีหวาดกลัวทันที ถ้าให้ฉินเวยเวยรู้ว่าตัวเองมีภูมิหลังที่น่าอับอายแบบนั้น ถ้าให้รู้ว่าเป็นลูกสาวของผู้หญิงที่คบชู้ จะให้ฉินเวยเวยทนความรู้สึกได้อย่างไร ต่อไปจะให้ฉินเวยเวยเงยหน้ามองคนอื่นได้อย่างไร? ต่อให้ตีนางให้ตาย นางก็ไม่มีทางปล่อยให้ฉินเวยเวยรู้เรื่องนี้เด็ดขาด

เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิววางถ้วยน้ำชาแล้วยืนขึ้น ฉินซีก็รีบโบกมือห้าม และคุกเข่าลงเช่นกัน “พวกท่านได้โปรดอย่าบอกให้เวยเวยรู้ ข้าจะแต่งงาน!”

ตอนนี้รู้สึกนึกเสียใจทีหลังมากจริงๆ การกระทำชั่วครู่ที่ทำไปเพื่อล้างแค้นเฟิงเป่ยเฉิน กลับทำให้ต้องแบกความรับผิดชอบไปทั้งชีวิต!

หยางชิ่งถอนหายใจ เขาเดาว่าเหมียวอี้กำลังขู่เขา แต่เขาไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าเจ้าคนบ้าคนนี้จะทำเรื่องอะไรได้บ้าง จึงไม่กล้าเดิมพันกับเหมียวอี้ เอียงหน้ากุมหมัดตอบว่า “ข้าน้อยยินดีแต่งงาน!”

“มันต้องอย่างนี้แหละ! ผู้หญิงที่สวยมากขนาดนี้ ให้เจ้าแต่งงานด้วยก็ถือว่าเจ้าได้เปรียบแล้ว!” เหมียวอี้รู้สึกบันเทิง สุดท้ายก็แก้ปัญหาหญิงงามนำภัยอย่างฉินซีได้สักที ไม่อย่างนั้นถ้าเก็บนางไว้ข้างกาย ทุกคนก็จะพากันคิดว่าเจ้าอยากจะทำมิดีมิร้ายนาง แต่นางดันเป็นมารดาแท้ๆ ของฉินเวยเวย จะทิ้งไปโดยไม่สนใจก็ไม่ได้ แล้วหญิงงามนำภัยอย่างนางก็ไม่ได้มีความสามารถอะไรด้วย พอขาดคนให้พึ่งพิง ก็ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าผลจะเป็นอย่างไร ให้หยางชิ่งรับช่วงต่อนั้นดีที่สุดแล้ว

เขาหันไปสั่งอวิ๋นจือชิวอีกว่า “แทนที่จะผัดวันประกันพรุ่ง ไม่รู้จัดการวันนี้เลยดีกว่า จ้าไปเตรียมการสักหน่อยเถอะ จัดงานมงคลคืนนี้เลย!”

อวิ๋นจือชิว ฉินซีและหยางชิ่งต่างก็งุนงง แต่ละคนทำสีหน้าอัศจรรย์ใจมาก พากันมองไปที่เหมียวอี้อย่างพูดไม่ออก ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไปแล้ว เร่งขนาดนี้เลยเหรอ?

โดยเฉพาะอวิ๋นจือชิว วันนี้นับว่าได้รับรู้ถึงความไร้เหตุผลของเหมียวอี้แล้ว ไม่เชื่อฟังกันใช่มั้ย? เช่นนั้นก็เล่นงานหยางชิ่งโดยใช้อำนาจขู่บังคับ เรียกได้ว่าเผด็จการและไร้ระเบียบ ไม่มีการเจรจาเลย ไม่สนด้วยว่าจะทำร้ายความรู้สึกหรือไม่ ข้าอยากจะทำอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น ถ้าเก่งนักก็ลองขัดขืนข้าดูสิ เรียกได้ว่าใช้ไม้แข็งเสียเลย!

หารู้ไม่ ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเหมียวอี้ก็ไม่เคยใช้เหตุผลกับหยางชิ่งอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช้วิธีการที่แข็งกร้าว ก็ใช้วิธีการที่ไร้ระเบียบ ตราบใดที่ทำให้หยางชิ่งหัวหมุนได้ นั่นก็แปลว่ามาถูกทางแล้ว นี่ก็คือลักษณะการลงมือที่เขาใช้กับหยางชิ่งมาตลอด ในปีนั้นที่เขาจะรับหยางชิ่งมาเป็นลูกน้อง หยางชิ่งก็ไม่ได้อยากจะติดตามเขามาเลย มีทั้งเหตุผลและวิธีการที่จะปฏิเสธเขา แต่ผลก็คือเหมียวอี้ไปขอคำสั่งย้ายคนจากฮั่วหลิงเซียวโดยตรง ไม่สนหรอกว่าหยางชิ่งจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ ไม่ได้ขอความยินยอมจากหยางชิ่งเลย ดันทุรังพาตัวหยางชิ่งไป สรุปก็คือถึงเจ้าจะไม่อยากไปแต่ก็ต้องไป ให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็ต้องทำ แบบนั้นน่ะถูกแล้ว!

อวิ๋นจือชิวที่เหม่อค้างไปชั่วครู่พยายามทำหน้านิ่ง แล้วบอกว่า “การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าเร่งรีบไปหน่อยรึเปล่า?”

“รีบเหรอ?” เหมียวอี้โบกมือชี้สองคนที่กำลังคุกเข่า “พวกเขารีบกว่าที่เจ้าคิดอีก คบชู้กันจนคลอดลูกสาวไว้ล่วงหน้าตั้งนานแล้ว!”

คำพูดนี้ทำให้หยางชิ่งกับฉินซีครองสติไม่อยู่แล้ว ทั้งสองไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วจริงๆ

“ไม่ใช่ค่ะ! ข้ารู้สึกว่าเร่งรีบไปหน่อยรึเปล่า?” อวิ๋นจือชิวนับว่าเตือนเขาแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องจัดให้มีหน้ามีตาสักหน่อย อย่างน้อยเรื่องใหญ่อย่างแต่งงานงานก็ต้องเลือกฤกษ์มงคลสักหน่อยสิ?

เหมียวอี้ไม่รู้สึกว่าเร่งรีบเลยสักนิด การรับมือกับคนอย่างหยางชิ่ง จะปล่อยให้อีกฝ่ายมีเวลาตอบโต้ไม่ได้ อีกประเดี๋ยวก็ยังไม่รู้เลยว่าหยางชิ่งจะคิดหาวิธีการอะไรมาแก้วิกฤตอีก ต้องกำหนดฐานะไว้ก่อน ให้เข้าห้องหอไปก่อน ต้องหนดเรื่องราวให้เป็นรูปธรรมก่อนถึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้อง!

ดังนั้นจึงโบกมือสั่งอย่างเผด็จการว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน! เจ้าไปจัดการเดี๋ยวนี้ ถ้ากำลังคนไม่พอก็ไปขอกับพวกพี่ใหญ่ บัดนี้! เดี๋ยวนี้!”

หลังจากผ่านเรื่องราวมาหลายครั้ง อวิ๋นจือชิวก็นับว่าได้ทำความรู้จักผู้ชายของตัวเองใหม่ รู้ว่าการที่เขาทำแบบนี้จะต้องมีจุดประสงค์แน่นอน จึงไม่ดึงดันอีก รีบไปจัดการทันที!

พอออกจากประตู หยางชิ่งกับฉินซีก็มองหน้ากันไปมองหน้ากันมาอย่างเลิกลั่ก

ฉินซีไม่รู้จะพูดอะไรเลยจริงๆ หัวใจยุ่งเหยิงราวกับปมเชือก ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะเป็นแบบนี้ ว่าจะได้มาแต่งงานกับหยางชิ่งที่นี่ เฟิงเป่ยเฉินเพิ่งจะตายได้ไม่นาน จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร!

ส่วนหยางชิ่งก็แอบทอดถอนใจแรงๆ เขายอมรับว่าตัวเองเคยหลงใหลในความงามของผู้หญิงคนนี้ แต่หลังจากที่ผู้หญิงคนนี้ทิ้งลูกสาวแล้วจากไป หยางชิ่งก็ถูกทำให้เจ็บใจหนักมาก เขาไม่อยากเจอผู้หญิงคนนี้อีกเลยตลอดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่รู้ที่มาที่ไปของผู้หญิงคนนี้ เขาก็ไม่อยากให้ฉินเวยเวยเกี่ยวข้องอะไรกับผู้หญิงคนนี้อีก

แต่วันนี้เขากลับต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ในบ้านของอดีตสามีนาง มิหนำซ้ำ อดีตสามีของนางก็เพิ่งตายไปได้ไม่นาน!

ผู้หญิงในฝันที่ทำให้เขาต่อสู้ฟันฝ่าถูกแย่งตัวไปเป็นอนุภรรยาคนอื่น ทั้งยังบังคับให้เขาแต่งงานกับฉินซีที่นี่! สำหรับการลงโทษที่แทบจะเป็นความอัปยศแบบนี้ หยางชิ่งสับสนวุ่นวายใจแทบแย่ เกือบจะอยู่ในสภาพโง่เขลาแล้ว เคยคิดว่าจะเจออะไรโหดๆ แต่คิดไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะโหดขนาดนี้ ในใจมีเพียงสี่คำที่จะมอบให้เหมียวอี้ : ไอ้เวรตะไล!

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะขัดขืน แต่ทุกคนที่นี่แม่งเป็นคนของเหมียวอี้ มีคนเป็นโขยงที่เตะให้เขาหมอบได้ ทั้งยังไม่คุ้นเคยกับภาพรวม เหมียวอี้ดึงดันจะใช้วิธีการที่แข็งกร้าวแบบนี้ แถมลูกสาวก็คือจุดอ่อนของเขา ไม่มีที่เหลือให้เขาขัดขืนเลยสักนิด!

การวางแผนครั้งนี้ไม่สามารถทำอะไรอวิ๋นจือชิวได้ ทั้งยังทำให้ตนมีสภาพเป็นแบบนี้ นึกเสียใจทีหลังแล้วจริงๆ อยากจะตบปากตัวเองสักสองที!

อวิ๋นจือชิววิ่งไปเชิญท่านปู่มาดื่มสุรามงคล ปรากฏว่าอวิ๋นอ้าวเทียนตบโต๊ะ ยืนขึ้นกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “เฟิงเป่ยเฉินเพิ่งตายอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่วัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าฉินซีจะแต่งงานใหม่ในเวลานี้ได้ พวกเจ้าบังคับนางใช่มั้ย?”

อวิ๋นจือชิวรีบกล่าวอย่างขื่นขมว่า “ท่านปู่ ท่านใส่ร้ายพวกเราแล้วจริงๆ ทำไมฉินซีถึงยอมจำนนให้ฝ่ายพวกเราล่ะ ที่จริงนางไม่ได้มีความรู้สึกต่อเฟิงเป่ยเฉินตั้งนานแล้ว นางไปมาหาสู่กับหยางชิ่งลูกน้องข้าตั้งนานแล้ว ไม่ได้บังคับนางจริงๆ ถ้าไม่เชื่อท่านก็ลองไปถามเองสิ”

อวิ๋นอ้าวเทียนไม่ได้ว่างมากขนาดนั้น จึงให้อวิ๋นเซี่ยวไปถาม พบว่าฉินซีบอกว่าตัวเองเต็มใจจริงๆ แต่ด้วยท่าทีแบบนั้น ไม่ว่าใครก็มองออกว่ามีปัญหา

หลังจากไปหาฉินซีกลับมา อวิ๋นจือชิวก็ขวางเขาไว้ “ท่านอาหก อย่าทำให้ท่านปู่ลำบากใจเลย!”

อวิ๋นเซี่ยวอึ้งไปชั่วขณะ เมื่อเข้าใจเจตนาของนางแล้ว เขาก็พยักหน้าเงียบๆ…

ในลานบ้านเล็กๆ ประดับประดาโคมไฟและผ้าหลากสีอย่างรวดเร็ว พวกนักพรตปีศาจรีบดึงตัวคนบรรเลงดนตรีและคนจัดพิธีจากในเมืองใกล้ๆ มากลุ่มหนึ่ง

มีโต๊ะฉลองเพียงสิบกว่าโต๊ะเช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นปีศาจจากทะเลดาวนักษัตร แต่ละคนทำสีหน้าประหลาดขณะมองดูคู่บ่าวสาวไหว้ฟ้าดิน พวกเขาถ่ายทอดเสียงคุยกันมั่วไปหมดแล้ว

“หยางชิ่งคนนี้เป็นลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้ไม่ใช่เหรอ? มาจัดงานแต่งงานในเวลานี้เนี่ยนะ ยังไงก็รู้ว่าเหมียวอี้กำลังเล่นงานเขาอยู่?” จีเต๋อจวินถ่ายทอดเสียงถามจงเจิ้น

“เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใครล่ะ?” จงเจิ้นถาม

“ครั้งนี้เฟิงเป่ยเฉินตายตาไม่หลับแล้วจริงๆ! ข้ากำลังคิดอยู่ ว่าอีกประเดี๋ยวบ่าวสาวคู่นี้จะมีอารมณ์เข้าห้องหอกันรึเปล่า?” หวังเต้าหลินถ่ายทอดเสียงถ่ายทอดเสียงถามพวกที่นั่งโต๊ะเดียวกัน

อวิ๋นอ้าวเทียนไม่มีทางเข้ามาประสมโรงกับเรื่องแบบนี้  นั่งโต๊ะถัดไปจากโต๊ะของรุ่นลูก

คนกลุ่มนี้แอบวิพากษ์วิจารณ์ พวกเขาไม่รู้การเตรียมงานที่โหดยิ่งกว่านั้นของเหมียวอี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะให้ฉินเวยเวยไปดำเนินพิธีด้วยตัวเอง ยิ่งกดดันให้หยางชิ่งกับฉินซีไม่กล้าผ่านงานพิธีนี้ไปอย่างไม่ซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นทั้งสองก็รับผลที่จะตามมาไม่ไหวหากเกิดความวุ่นวายจนฉินเวยเวยถามหาสาเหตุ

ตอนไหว้ฟ้าดินข้างนอกก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว หลังจากเข้าห้องหอ ฉินเวยเวยก็เป็นพิธีกรด้วยตัวเอง บอกให้หยางชิ่งกับฉินซีคล้องแขนดื่มสุรา!

ฉินเวยเวยไม่รู้ว่าหยางชิ่งกับฉินซีเข้าพิธีแต่งงานเพื่อนาง แทบจะถูกนางกดดันให้คล้องแขนดื่มสุราแล้ว

จะโทษว่าเหมียวอี้ทำเรื่องนี้อย่างสุดโต่งไม่ได้ เขาไม่สะดวกจะจัดการหยางชิ่งเพราะติดที่ฉินเวยเวย แต่ครั้งนี้หยางชิ่งมาแตะต้องอวิ๋นจือชิว ทำให้เขาโมโหมากจริงๆ ครั้งนี้เขาจะทำให้หยางชิ่งจดจำไว้นานๆ ว่า อย่านึกว่าตัวเองฉลาดอยู่คนเดียว!

ครั้งนี้หยางชิ่งถูกเหมียวอี้เล่นงานจนเจ็บหนักแล้วจริงๆ เพียงพอที่จะทำให้เขาจดจำไปทั้งชีวิตแล้ว ทำให้เขาสะอิดสะเอียนไปทั้งชีวิตเช่นกัน!

เหมียวอี้กำลังเตือนเขาอย่างชัดเจนว่า ข้าก็จะทำอย่างนี้แหละ และจะไม่ฆ่าเจ้าด้วย ข้าให้โอกาสเจ้าล้างแค้น ถ้าอยากจะล้างแค้นก็จัดมาได้เลย!

อวิ๋นจือชิวกำลังนั่งดื่มสุรามงคลอยู่กับเหมียวอี้ นางอดไม่ได้ที่จะมองดูเขาพูดคุยกับคนข้างๆ อย่างสนุกสนาน นางพบว่าตัวเองเข้าใจเหมียวอี้มากที่สุดในด้านการใช้ชีวิต แต่ในด้านการเผชิญปัญหา เขาเหนือกว่าที่นางจินตนาการเอาไว้ นางประหลาดใจทุกครั้งที่เจอ พบว่าตัวเองประเมินความสามารถของเขาต่ำไปมาก

เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ อวิ๋นจือชิวกลับมาลองครุ่นคิดดู พบว่าที่จริงแล้วเป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องกัน และวิธีการจัดการของเหมียวอี้ก็ยังคงเป็นแบบการรัวดาบฟันเชือก[1] แต่ไม่ใช่การฟันมั่วซั่วแน่นอน เขาฟันได้อย่างแม่นยำถูกจุด ตอบสนองได้รวดเร็วมาก เรื่องราวที่ต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ เมื่อมาถึงมือเขาและโดนตัดทิ้ง ก็จะถูกแก้ไขอย่างง่ายดายทันที!

อวิ๋นจือชิวกำลังยิ้มแย้มพลางยกจอกสุราให้คนที่มาดื่มฉลองด้วย พอจิบสุราไปคำหนึ่งแล้ว นางก็มองเหมียวอี้ที่กำลังกระซิบกระซาบคุยกับสงเวยอีก นางอดไม่ได้ที่จะขำออกมา ก่อนหน้านี้นางกังวลในความบุ่มบ่ามของเหมียวอี้มาตลอด วันนี้ถึงได้เข้าใจ ว่าคนที่จะโยนงานให้ลูกน้องทำแทนได้ก็ต้องมีคุณสมบัติเหมือนกัน และเจ้าหมอนี่ก็มีคุณสมบัติที่จะโยนงานให้ลูกน้องทำแทนจริงๆ!

คนที่โต๊ะฉลองแยกย้าย ในเรือนหอ หยางชิ่งกับฉินซีนั่งเคียงกันอยู่บนเตียงโดยไม่ขยับไปไหน และไม่พูดไม่จากันด้วย นั่งอยู่อย่างนั้นตลอดจนฟ้าสว่าง…

นภาหมื่นปีศาจ ค่ำคืนที่เลือนราง ประดับประดาไม่ด้วยหมู่ดาว

จีเหม่ยลี่ คนงามสมชื่อ หน้าตางดงามมาก เอวบางร่างน้อย เรียวขายาวเป็นพิเศษ ปล่อยผมยาวโดยไม่มัด ทิ้งตัวลงประบ่าโดยไม่มีเครื่องประดับใดๆ ใบหน้าที่ไร้เครื่องปกทินโฉมแหงนมองฟ้า ดวงตางามหน้าผากกว้าง จมูกโด่งคิ้วเข้ม เผยความองอาจแฝงอยู่ในความงามหยาดเยิ้มของใบหน้า สวมกระโปรงบานยาว ผมยาวปลิวพลิ้วขณะที่ก้าวเดิน

นภาหมื่นปีศาจเงียบขรึมอยู่ภายใต้ความมืดยามราตรี ไม่เห็นโคมไฟ ประตูใหญ่กำลังเปิดอยู่ ในดวงตาจีเหม่ยลี่ฉายแววฉงนสนเท่ห์ขณะที่เดินขึ้นบันได รู้สึกว่านภาหมื่นปีศาจในวันนี้ค่อนข้างต่างไปจากปกติ และการที่บิดาเรียกพบนางทันทีที่กลับจากข้างนอก ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากมากเช่นกัน

พอก้าวเข้ามาในตำหนัก ก็พบว่าจีฮวนกำลังเอามือไขว้หลังยืนหันหลังให้อยู่นอกประตู ในตำหนักไม่มีคนอื่นแล้ว จีเหม่ยลี่คำนับแล้วถามว่า “ท่านพ่อ! ไม่ทราบว่าเรียกพบลูกด้วยธุระอะไรคะ?”

จีฮวนหันตัวมามองนาง มองประเมินนางศีรษะจดเท้าอยู่พักหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เจ้าเก้า มีเรื่องหนึ่งที่ข้าจะบอกเจ้า ที่นภาหมื่นปีศาจนี้ นอกจากพ่อกับพี่สองของเจ้า ตอนนี้ก็จะบอกให้เจ้าฟังเท่านั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพิภพใหญ่…”

เขาเล่าเรื่องพิภพใหญ่อย่างละเอียดมาก ถึงขั้นบอกต้นสายปลายเหตุที่เกี่ยวข้องกับพิภพใหญ่ออกมาทั้งหมดด้วย

จีเหม่ยลี่ตั้งใจฟังอย่างละเอียดมาก ยิ่งฟังก็ยิ่งทำสีหน้าตกตะลึง พอฟังจบก็มองจีฮวนอย่างเหม่อค้าง นางไม่รู้ว่าบิดาจะบอกเรื่องนี้ให้นางรู้ทำไม นางไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรที่นภาหมื่นปีศาจเลย ทำไมไม่บอกพี่ชายกับพี่สาวก่อน ทำไมต้องบอกนาง? จึงถามว่า “ท่านพ่ออยากจะให้ลูกทำอะไรคะ?”

จีฮวนจ้องนางพร้อมกล่าวช้าๆ ว่า “มู่ฝานจวินให้เทพธิดาหงเฉินลูกศิษย์ตัวเองแต่งงานเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้แล้ว จะจัดงานอีกครึ่งเดือนหลังจากนี้”

ชั่วพริบตานี้ จีเหม่ยลี่เข้าใจเจตนาของจีฮวนทันที นางกัดริมฝีปาก แล้วบอกว่า “เหม่ยเหมยตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้นะ”

จีฮวนส่ายหน้าเบาๆ พลางถอนหายใจ “ถ้าเทียบกับผลประโยชน์ของทั้งตระกูลจี ความเป็นความตายของคนส่วนใหญ่ในตระกูลจี การตายของเหม่ยเหมยไม่นับว่าสำคัญอะไร ถ้าการตายของพ่อสามารถแลกกับความก้าวหน้าที่รวดเร็วของทั้งตระกูลจีได้ พ่อก็จะไม่สียดายชีวิต!”

“พี่สาวทำงานได้น่าเชื่อถือมากกว่า ได้รับความไว้วางใจจากท่านพ่อมากกว่าด้วย ทำไมไม่ไปหาพี่สาว มาหาข้าทำไมคะ?” จีเหม่ยลี่ถาม

จีฮวนตอบว่า “เพราะในบรรดาลูกสาวของข้าทั้งหมด เจ้าหน้าตาสวยที่สุด ถ้ารูปโฉมไม่งดงามมากพอ จะทำให้เหมียวอี้หวั่นไหวได้เหรอ? เรื่องแบบนี้จะไปหาคนนอกมาทำแทนก็ไม่ได้ และแน่นอน พ่อจะไม่ฝืนใจเจ้าเรื่องนี้เช่นกัน จะตอบตกลงหรือไม่พ่อก็จะฟังเจ้า ถ้าเจ้าไม่ยินยอม ก็คิดเสียว่าพ่อไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้!”

หลังจากจีเหม่ยลี่ครุ่นคิดนานมาก ก็ก้มหน้าตอบอย่างเศร้าสลดว่า “ถ้าท่านพ่อรู้สึกว่าเหมาะสม ลูกสาวเชื่อฟังท่านพ่อก็ได้!”

…………………………

[1] รัวดาบฟันเชือก 快刀斩乱麻 หมายถึง ตัดสินใจเด็ดขาดรวดเร็ว

 

1121

 

 

บทที่ 1122 ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัว

แดนโพ้นสวรรค์ บนยอดเขาที่สูงชะโงกจนแทบเอื้อมคว้าได้มีศาลาอยู่หลังหนึ่ง บนนั้นเขียนว่า “เฟิงหัว”

จื่ออวิ๋นกับจื่อหัวเป็นหญิงรับใช้ของมู่ฝานจวิน กำลังจัดสุราอาหารอยู่ในศาลา ทั้งสองไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ มู่ฝานจวินจึงมีอารมณ์สุนทรีจะดื่มสุราชมทิวทัศน์ตรงนี้

ทั้งสองไม่ได้เป็นหญิงรับใช้ตามความหมายของกำลังพลระดับล่าง ข้างกายหกปราชญ์ก็ไม่มีหญิงรับใช้ประจำตัวเช่นกัน กฎบางอย่างของหกแดนเพิ่งตั้งขึ้นมาตอนหลัง แต่เนื่องจากมู่ฝานจวินเป็นผู้หญิง จึงไม่สะดวกจะใช้ผู้ชายมาเป็นคนปรนนิบัติใกล้ชิด นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทั้งสองติดตามอยู่ข้างกายมู่ฝานจวิน

ส่วนมู่ฝานจวินก็สายตาสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์หรือลูกน้องที่อยู่ข้างกาย ถ้าหน้าตาน่าเกลียดนางก็ไม่รับไว้ จื่ออวิ๋นกับจื่อหัวย่อมเป็นคนที่มู่ฝานจวินเลือกสรรมาเองอย่างรอบคอบ แค่คิดก็รู้ถึงรูปโฉมที่งดงามของพวกนางแล้ว

สุราอาหารเพิ่งจัดวางเสร็จ มู่ฝานจวินก็เหาะเข้ามาแล้ว นางก้าวเบาๆ เข้ามานั่งลงในโถง สองสาวมายืนอยู่ทางซ้ายและขวาข้างหลังมู่ฝานจวินทันที

ใครจะคิดว่ามู่ฝานจวินจะยื่นมือไปทางซ้ายและขวา “ไม่ต้องยืน วันนี้ไม่มีธรรมเนียมอะไรมากขนาดนั้น ทุกคนนั่งลง ดื่มเป็นเพื่อนข้าสักสองจอก”

สองสาวประหลาดใจ แต่ไหนแต่ไรมามู่ฝานจวินเป็นคนที่พิถีพิถันกับธรรมเนียมตลอด วันนี้เป็นอะไรไป?

“มิบังอาจ!” หลังจากสองสาวสบตากัน ก็รีบตอบกลับไป

“ให้พวกเจ้านั่งพวกเจ้าก็นั่ง!” มู่ฝานจวินยื่นมือออกไปอีกครั้ง ทั้งสองไม่กล้าขัดคำสั่ง ถึงได้นั่งลงข้างซ้ายและขวาของนางอย่างระมัดระวัง ทั้งสงต่างก็หย่อนก้นนั่งลงไปแค่ครึ่งเดียว

สิ่งที่ยิ่งทำให้ทั้งสองตกใจในความเมตตาก็คือ ไม่น่าเชื่อว่ามู่ฝานจวินจะยกกาสุรารินให้ทั้งสองด้วยตัวเอง ทั้งสองรีบยืนขึ้นปฏิเสธ บอกเป็นนัยว่ารับไว้ไม่ไหว ทว่าภายใต้การดึงดันบังคับของมู่ฝานจวิน พวกนางก็ทำได้เพียงต้องกัดฟันรับไว้

หลังจากดื่มเป็นเพื่อนมู่ฝานจวินอย่างตัวสั่นหวาดกลัวไปไม่กี่จอก มู่ฝานจวินก็วางจอกสุราแล้วถามว่า “จื่ออวิ๋น จื่อหัว พวกเจ้าติดตามข้ามาหลายปีแล้ว ข้าปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างไร?”

“ท่านปราชญ์มีบุญคุณดุจขุนเขาต่อบ่าวทั้งสองเจ้าค่ะ!” สองสาวรีบตอบเป็นเสียงเดียวกัน

“ถ้าข้าจะให้พวกเจ้าสองคนไปตาย พวกเจ้ายินดีมั้ย?” มู่ฝานจวินถามเสียงเรียบ

สองสาวสบตากันแวบหนึ่ง แล้วตอบว่า “ยินดีบุกน้ำลุยไฟเพื่อท่านปราชญ์ แม้ตายก็ไม่เสียใจ!”

“ดีมาก! ข้าจะบอกอะไรบางอย่างกับพวกเจ้าเอาไว้…” ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก มู่ฝานจวินบอกเรื่องเกี่ยวกับพิภพใหญ่ให้หญิงรับใช้ทั้งสองรับรู้ พร้อมทั้งบอกด้วยว่ากำลังจะให้หงเฉินแต่งงานเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ สุดท้ายก็พูดอธิบายว่า “พวกเจ้าติดตามข้ามาหลายปี ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าไปตายง่ายๆ ได้อย่างไร เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนร่วม พวกเจ้าเองก็รู้จักนิสัยหงเฉิน ข้าไม่วางใจนางและคนข้างกายนาง จึงอยากจะให้พวกเจ้าแต่งงานพ่วงไปด้วย ให้เป็นสาวใช้ร่วมห้องของหงเฉินเพื่อแต่งงานกับเหมียวอี้ ตอนหลังจะได้ควบคุมเร่งรัดให้หงเฉินจัดการเรื่องต่างๆ ได้สะดวก เพียงแต่ถ้าเป็นแบบนี้…ถึงอย่างไรก็เป็นสาวใช้ร่วมห้อง หากวันใดเหมียวอี้ต้องการให้พวกเจ้าปรนนิบัติ เกรงว่าพวกเจ้าก็จะต้องทนรับไว้ ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรหรอก หลายปีที่พวกเจ้าติดตามรับใช้ข้าก็นับว่าลำบากเหมือนกัน ไปหาประสบการณ์เรื่องผู้ชายสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน และแน่นอน ข้าไม่ฝืนใจพวกเจ้าเรื่องนี้ ตอนนี้ข้าแค่จะถามความเห็นของพวกเจ้าสองคนเท่านั้น”

นางเอ่ยปากขนาดนี้แล้ว ทั้งสองยังจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงเอ่ยตอบพร้อมกันว่า “ยินดีน้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะ!”

นภาหยินหยาง

อวี้หนูเจียวเกล้ามวยผมสูง ผิวขาวไม่ธรรมดา สวมชุดกระโปรงยาวผ้ามุ้งสีดำ ใบหน้างดงามเย็นชา นางกำลังเดินอย่างใจเย็นอยู่ในทางเดินใต้ดินที่กว้างขวาง

เมื่อเข้ามาในตำหนักหลักของตำหนักใต้ดินหยินหยาง หลังจากคำนับซือถูเซี่ยวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนที่นั่งโครงกระดูกแล้ว ก็ถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์เรียกศิษย์มาด้วยธุระอะไรคะ?”

แทบจะพูดเหมือนกับจีฮวน ซือถูเซี่ยวเปิดเผยความลับเรื่องพิภพใหญ่ให้นางรู้

หลังจากฟังจบ อวี้หนูเจียวก็ตกตะลึงไม่หยุด บอกว่า “พอเป็นแบบนี้ ไปที่พิภพใหญ่แล้วอนาคตก็ไม่แน่นอน ท่านอาจารย์ต้องระวังตัวหน่อยนะคะ ไอ้เหมียวจัญไรนั่นศิษย์เคยเจอที่สำนักงามวิจิตร มันเจ้เล่ห์สุดๆ ระวังจะโดนหลอกลวง!”

“ข้าจะไม่กังเวลเรื่องนี้ได้อย่างไร นอกจากอวิ๋นอ้าวเทียนแล้ว คนอื่นๆ ก็รู้สึกเป็นทุกข์กันหมด เป็นเพราะหลานสาวของอวิ๋นอ้าวเทียนเป็นภรรยาเอกของไอ้เหมียวจัญไร อวิ๋นอ้าวเทียนย่อมไม่ต้องกังวลเกินไป ดังนั้น มู่ฝานจวิก็เลยกำหนดงานแต่งงานให้เหมียวอี้แล้ว ไม่เสียดายที่จะส่งเทพธิดาหงเฉินไปเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ ให้แต่งงานกับเหมียวอี้ งานแต่งงานกำหนดไว้หลังจากนี้ครึ่งเดือน มู่ฝานจวินทำแบบนี้ถือเป็นแผนการที่ดีภายใต้สถานการณ์แบบนี้!” ซือถูเซี่ยวถอนหายใจอย่างวังเวง แล้วบอกว่า “มู่ฝานจวินมีหงเฉินแบ่งเบาความกังวล ไม่รู้ว่าเจ้าจะเต็มใจช่วยอาจารย์แบ่งเบาความกังวลบ้างรึเปล่า?”

“…” อวี้หนูเจียวยืนตะลึงค้างอยู่ที่เดิม เข้าใจทุกอย่างแล้ว มองซือถูเซี่ยวอย่างเหม่อลอย ถามอย่างทำใจเชื่อได้ยากว่า “อาจารย์จะให้ศิษย์แต่งงานไปเป็นอนุภรรยาของไอ้เหมียวจัญไรเหรอคะ?”

ซือถูเซี่ยวลุกจากที่นั่งโครงกระดูก แล้วก้าวเข้ามาช้าๆ มายืนอยู่ตรงหน้าศิษย์รักแล้วบอกว่า “มีเจตนาอย่างนี้จริงๆ! อาจารย์รู้ว่าทำแบบนี้ไม่ยุติธรรมกับเจ้า แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนรวม อาจารย์ก็หมดทนทางเช่นกันถึงได้เอ่ยปากกับเจ้า!”

“ข้าเป็นนักพรตผี ไอ้เหมียวจัญไรจะชอบข้าได้อย่างไร?” อวี้หนูเจียวถามพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความขื่นขม

ซือถูเซี่ยวส่ายหน้า “พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก! ข้าคิดว่าหน้าตาเจ้าก็ไม่ได้แย่เลย ทั้งยังมีร่างหยิน ไอ้เหมียวจัญไรมีหญิงงามปรนนิบัติอยู่รอบกาย แต่ขาดแค่ผู้หญิงรสชาติอย่างเจ้า นี่ก็คือข้อได้เปรียบของเจ้า จะไม่ชอบเจ้าได้อย่างไร?”

นี่เป็นเรื่องที่ต่อให้นอนฝันอวี้หนูเจียวก็นึกไม่ถึงจริงๆ ในปีนั้นตัวเองขึ้นเสียงตำหนิเหมียวอี้ว่าไอ้เหมียวจัญไร ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้จะต้องแต่งงานเป็นอนุภรรยาของไอ้จัญไรนั่น ทั้งยังต้องแย่งความรักกับผู้หญิงคนอื่นอีก จะให้นางทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร! ถ้าให้นางแต่งงานเป็นภรรยาเอก นางก็คงยอมรับไปแล้ว อยู่ในตำแหน่งสูงส่งมานานขนาดนี้ จู่ๆ จะให้ไปเป็นอนุภรรยา จะให้นางยอมรับได้อย่างไร

นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แทบจะวิงวอนขอร้อง “ท่านอาจารย์! ไม่แต่งไม่ได้เหรอคะ? ให้เวลาข้าหนึ่งวัน ข้าจะเลือกสาวงามในหมู่พรตผีที่สวยกว่าข้ามาแทนได้แน่นอน!”

“ตลกเหรอ! ถ้าให้ใครทำก็ได้ ข้ายังจะต้องให้เจ้ารับความไม่ยุติธรรมอย่างนี้รึไง อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ถึงหน้าที่ของตัวเองหลังจากแต่งงานกับไอ้เหมียวจัญไรไปแล้ว?” ซือถูเซี่ยวถามเสียงต่ำ

อวี้หนูเจียวก้มหน้าไม่พูดอะไร ไม่อยากจะตอบรับจริงๆ นางคิดว่าทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับขายตัว!

ซือถูเซี่ยวจ้องนางครู่หนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ที่อาจารย์ทำแบบนี้ ที่จริงแล้วก็เพราะหวังดีกับเจ้า น่าเสียดายที่เหมียวอี้ไม่ชอบผู้ชาย ไม่อย่างนั้นข้าคงให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องผู้ชายแต่งงานกับเขาไปแล้ว!”

อวี้หนูเจียวที่กำลังอยู่ในอารมณ์หดหู่ดูเหมือนเย็นชา แต่ก็เหมือนจะเส้นตื้นนิดหน่อย พอได้ยินก็หัวเราะออกมา เอามือปิดปากส่งเสียงหัวเราะ “ศิษย์มองไม่ออกจริงๆ ว่าแต่งงานกับเขาแล้วจะมีอะไรดีกับศิษย์ ถ้าพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องผู้ชายชอบ ก็ให้พวกเขาไปแต่งงานเองก็สิ้นเรื่องแล้ว ศิษย์จะอวยพรให้พวกเขาแน่นอน”

“อย่าขำสิ!” ซือถูเซี่ยวเคาะบนกะโหลกของนาง แล้วพูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ข้ารับปากแล้วว่าจะมอบเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางให้ไอ้เหมียวจัญไร เจ้าอยากจะฝึกทั้งฉบับที่มีอยู่ในมืออาจารย์มาตลอดไม่ใช่เหรอ? เจ้าคิดดูสักหน่อย ถึงตอนนั้นในบรรดาอนุภรรยาของเข็จะมีเจ้าคนเดียวที่เป็นพรตผี มีเจ้าคนเดียวที่เหมาะจะฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางที่สุด ขอเพียงเจ้ายอมลดตัวลงไปปรนนบัติ ยังกลัวว่าจะไม่ได้อะไรจากมือเขาอีกเหรอ?”

อวี้หนูเจียวตาเป็นประกายเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเริ่มหวั่นไหวแล้วนิดหน่อย แต่ถ้าเทียบกับการแต่งงานเป็นอนุภรรยาของไอ้เหมียวจัญไร นางยังปฏิเสธไม่หยุด “ศิษย์รู้สึกว่าตอนนี้ดีมากอยู่แล้ว เคล็ดวิชาที่เหลือ ถ้าไม่สามารถฝึกให้ครบได้ก็ไม่มีอะไรน่าเสียดาย ท่านอาจารย์หาคนอื่นไปแต่งงานแทนเถอะค่ะ!”

ซ้ายก็ไม่เข้าใจ ขวาก็ไม่เข้าใจ ไม้อ่อนใช้ไม่ได้ผล ซือถูเซี่ยวขี้เกียจจะเปลืองคำพูดแล้ว ไม่มีเวลามาสิ้นเปลืองกับนางด้วย จึงใช้ไม้แข็งเสียเลย “ไม่แต่งก็ต้องแต่ง! เป็นอาจารย์หนึ่งวันเท่ากับเป็นบิดาไปทั้งชีวิต เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงาน บิดามารดาเป็นผู้ตัดสินใจ ตกลงตามนี้แล้วกัน!”

อิงอู๋ตี๋จับตัวหยางชิ่งไปกะทันหัน ไม่มีใครกังวลใจไปกว่าชิงเหมยกับชิงจวี๋แล้ว เพื่อที่ทั้งสองจะตามไปให้ทัน จึงหาตัวนักพรตบงกชม่วงมาสองคนให้พาไปส่ง กว่าจะไปถึงนภาอู๋เลี่ยงก็เนตอนเช้าของวันถัดไปแล้ว ตอนนี้ถึงได้พบว่าเป็นเพียงกระต่ายตื่นตูมไปเอง หยางชิ่งไม่ใช่แค่ไม่เป็นอะไร ทั้งยังได้เจอเรื่องมงคลด้วย แม้แต่เรือนหอก็ได้เข้าแล้ว เรียกได้ว่ารวดเร็วอย่างน่าทึ่ง

โดยเฉพาะคนที่ได้เข้าหอด้วย ทำให้สาวใช้ทั้งสองตกตะลึงมาก ทั้งสองย่อมรู้จักอยู่แล้ว ทั้งสองเคารพยำเกรงฉินซีมาตลอด หลังจากฉินซีคลอดฉินเวยเวยเอาไว้ นางก็อยู่ในตำแหน่งนายหญิงในสายตาของทั้งสองอยู่แล้ว เพียงแต่นายท่านกับฮูหยินไม่ได้ทำสีหน้าเหมือนคนที่เพิ่งผ่านงานมงคลมาเลย

หลังจากชิงเหมยปรนนิบัติอาบน้ำให้เสร็จแล้ว หยางชิ่งก็เปลี่ยนทัศนคติไวมาก ในเมื่อไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้แล้ว เช่นนั้นก็ต้องยอมรับ จะเสียตำแหน่งในตอนนี้ไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าลูกสาวไม่มีเขาคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ตำแหน่งของนางก็จะน่าเป็นกังวล จึงมาหาฉินซีแล้วบอกว่า “ข้ายังมีงานที่สายมะโรงแดนเซียนอีก ตามข้าไปบอกลานายท่านกับฮูหยินเถอะ!”

ฉินซีพยักหน้าเงียบๆ แล้วเดินเคียงข้างไปด้วยกันอย่างตกกระไดพลอยโจน เพียงแต่ชิงเหมยกับชิงจวี๋ที่เดินตามหลังรู้สึกว่าทั้งสองค่อนข้างไม่คุ้นเคยกัน

“ยินดีด้วย ยินดีด้วย!” เมื่อเจอหน้ากัน อวิ๋นจือชิวก็แสดงความยินดี

ส่วนเหมียวอี้ก็พูดหยอกล้อ “หยางชิ่ง ได้เข้าเรือนหอเมื่อคืนดีใจมั้ยล่ะ?”

ฉินเวยเวยที่อยู่ข้างๆ เป็นเหมือนคนโง่ ไม่รู้สถานการณ์อะไรทั้งนั้น ถึงแม้เมื่อคืนวานตอนที่เป็นพิธีกรนางจะรู้สึกว่าพ่อแม่บุญธรรมมีท่าทีแปลกๆ เพียงแต่ต่อให้นางนอนฝันก็คงจะนึกไม่ถึง ว่าสองคนนี้จะเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของนาง

อวิ๋นจือชิวได้ยินแล้วแอบเอามือบิดเอวเหมียวอี้ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็อยู่ในระดับพ่อตาแม่ยาย จะมาล้อเล่นแบบนี้ได้อย่างไร ไม่เข้าท่าเกินไปแล้ว

เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน หยางชิ่งจูงมือที่อ่อนนุ่มของฉินซี พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่านประทานงานแต่งงานที่งดงงามดุจดอกไม้มาให้ ข้าน้อยย่อมดีใจอยู่แล้ว”

หลังจากพูดจาตามมารยาทพักหนึ่ง หยางชิ่งก็นำฉินซีกล่าวขอตัวอำลา เพียงแต่ก่อนไปถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “ขอเพียงนายท่านทำดีกับเวยเวย ไม่ว่าอะไรหยางชิ่งก็ยอมรับทุกอย่าง!”

เหมียวอี้พยักหน้าพลางหรี่ตายิ้ม เข้าใจถึงความหมายอีกชั้นในคำพูดของอีกฝ่าย

ก็เป็นอย่างนี้ หยางชิ่งที่ถูกจับตัวมา ตอนกลับได้พาเมียกลับไปด้วยหนึ่งคน ช่างเป็นที่น่าอิจฉาของคนรอบกาย!

หลังจากหยางชิ่งไปได้ไม่นาน หงเหมียน ลู่หลิ่วก็มาแล้วเช่นกัน หลังจากคำนับแล้ว ฉินเวยเวยก็พาทั้งสองจากไป จากกันไปหลายวัน ย่อมต้องมีเรื่องคุยกันอยู่แล้ว

ทางนี้เพิ่งจะสงบลง ขณะที่เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวกำลังพูดคุยเดินเล่นกันอยู่ในสวนดอกไม้ เบื้องล่างก็มีคนมารายงานว่า จีฮวนมาแล้ว

“พามาเถอะ!” เหมียวอี้โบกมือพูดอย่างไม่ใส่ใจ

ผ่านไปครู่เดียว จีฮวนก็เดินเข้ามาด้วยย่างก้าวที่มั่นคง ท่าทีสุภาพเยือกเย็น

ที่มาด้วยกันยังมีสตรีชุดกระโปรงขาวที่ปล่อยผมยาวคลุมบ่า หน้าตาดีใช้ได้ มีเสน่ห์ที่แตกต่างไปอีกแบบ ที่โดดเด่นที่สุดก็คือความยาวที่อยู่ใต้กระโปรงที่คลุมเอวบาง แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามีขาทั้งคู่ที่เรียวยาว นางยืนอยู่ข้างหลังจีฮวนเงียบๆ พอพบหน้ากันก็จ้องประเมินเหมียวอี้มาตั้งแต่ไกลๆ

เหมียวอี้เห็นแล้วไม่คุ้นหน้า อวิ๋นจือชิวกลับเคยเห็นมาก่อน แอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ลูกสาวคนที่สามในบรรดาลูกที่ยังเหลืออยู่ของจีฮวน อายุอยู่ในลำดับเก้า ชื่อจีเหม่ยลี่ เมื่อก่อนข้าเคยคุยกับนางหลายครั้ง นิสัยต่างกับจีเหม่ยเหมย ค่อนข้างเย็นชา!”

หลังจากทั้งสองฝ่ายมาเผชิญหน้ากัน เหมียวอี้ก็ถามว่า “มีธุระอะไร?”

จีฮวนไม่สนใจคำพูดของเขา ยื่นมือเชิญอวิ๋นจือชิวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “นางหนูอวิ๋น ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวหน่อย”

อวิ๋นจือชิวรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย มีเรื่องอะไรที่ต้องหลบเหมียวอี้เพื่อคุยกัน? หลังจากสบตากับเหมียวอี้แวบหนึ่ง นางก็พยักหน้า แล้วเดินออกไปคุยกับจีฮวนไกลๆ

ตรงนั้นจึงเหลือแค่เหมียวอี้กับจีเหม่ยลี่ ทั้งสองมองหน้ากันมองหน้ากันมา ไม่รู้จะคุยอะไรกัน!

1122

 

บทที่ 1123 สร้างความประหลาดใจไม่หยุดหย่อน

เหมียวอี้มองนาง ที่จริงเป็นเพราะรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ประหลาดนิดหน่อย ทำไมเอาแต่จ้องข้าอย่างนั้นล่ะ? รู้สึกได้อย่างชัดเจนมากว่าอีกฝ่ายกำลังมองสำรวจตน

เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตนฆ่าจีเหม่ยเหมย แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ตอนนี้เขาไม่เห็นจีฮวนอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ มีหรือที่จะเห็นลูกสาวของจีฮวนอยู่ในสายตา ถึงเอามือไขว้หลังและหันกลับมามองเป็นครั้งคราว

ส่วนใหญ่เขาจ้องไปยังอวิ๋นจือชิวที่อยู่ทอีกด้านหนึ่ง ป้องกันไม่ให้จีฮวนมีเจตนาอะไรไม่ดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าจีฮวนกำลังคุยอะไรกับอวิ๋นจือชิว เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นจือชิวกำลังมองมาทางนี้ด้วยสีหน้างุนงง

ส่วนจีเหม่ยลี่ก็มองเหมียวอี้ศีรษะจดเท้าด้วยสีหน้าเย็นชาจริงๆ แล้วก็มองจากเท้าขึ้นไปที่ศีรษะอีก ไม่หลบเลี่ยงเลยสักนิด

พอเหมียวอี้หันกลับมา ปรากฏว่าผู้หญิงคนนี้ก็ยังจ้องเขาเหมือนเดิม เขาสงสัยนิดหน่อยว่าบนหน้าตัวเองมีอะไรติดหรือเปล่า หรือว่าตอนที่อวิ๋นจือชิวแอบแกล้งอะไรตอนที่อาบน้ำให้เข? แต่ไม่น่าจะใช่นะ ผู้หญิงคนนี้ดูแลเรื่องการแต่งตัวของเขาแบบเข้มงวดมาก เสื้อผ้ายับนิดเดียวก็ดึงให้เขาจนเรียบ เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้เขามีสิ่งสกปรกติดหน้ายามออกจากบ้านมาพบคนอื่น

แต่ถูกมองจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงแสร้งเอามือลูบหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ลูบไม่เจออะไร

เมื่อรอไปได้ครู่หนึ่ง ในที่สุดอวิ๋นจือชิวกับจีฮวนก็กลับมาแล้ว จีฮวนยังคงมีสีหน้าท่าทางเรียบเฉย แต่อวิ๋นจือชิวกลับทำสีหน้าค่อนข้างแปลกอย่างเห็นได้ชัด

“มีเรื่องอะไรทำไมต้องหลบข้าคุย?” เหมียวอี้ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจ

“เจ้ากลับไปก่อน!” จีฮวนโบกมือบอกลูกสาว รอจนจีเหม่ยลี่ออกไปแล้ว เขาถึงได้ถามเหมียวอี้ว่า “ลูกสาวคนเล็กของข้าหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง?”

“เหอะๆ! ขายาว…” เหมียวอี้ที่หัวเราะเบาๆ พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ เรียกได้ว่าสังเกตเห็นจุดเด่นของจีเหม่ยลี่เร็วมาก แต่ไม่นานใบหน้ายิ้มก็ชะงักค้าง คำพูดที่จะตามมาต่อจากนั้นไม่ได้เอ่ยออกมาแล้ว เพราะพบว่าอวิ๋นจือชิวกำลังมองเขาด้วยแววตาที่เหมือนจะแทงเขาให้ตาย

ท่านขุนนางเหมียวไม่ใช่มือใหม่ในด้านนี้แล้ว ในใจแอบปาดเหงื่อ ชมผู้หญิงคนอื่นว่าสวยต่อหน้าฮูหยินของตัวเองไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกเหรอ? จึงหุบปากแล้วยิ้มแห้งๆ ทันที

“พูดมาสิ! ชอบแล้วก็พูดต่อสิ!” อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าค่อนขอด “ท่านปราชญ์จีตั้งใจจะให้ลูกสาวมาเป็นอนุภรรยาของเจ้า วันนี้เลยตั้งใจพามาให้เจ้าดูตัวสักหน่อย ข้าตอบตกลงไปแล้ว ขอเพียงเจ้าเห็นแล้วชอบ ข้าก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร”

เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ “ลูกสาวของปราชญ์ปีศาจผู้สง่าผ่าเผย จะมาเป็นอนุภรรยาของเหมียวได้อย่างไร!” เขาโบกมือบอกใบ้ให้นางเลิกหาเรื่องไม่หยุดได้แล้ว ข้าก็แค่พูดชมส่งเดชไปคำเดียวเอง

เขานึกว่าอวิ๋นจือชิวกำลังพูดหยอกเพื่อเหน็บแนมเขา ไม่ได้คิดไปในทางที่อวิ๋นจือชิวพูดเลย เขาฆ่าลูกสาวของจีฮวนไปแล้ว จะไปคิดได้อย่างไรว่าจีฮวนจะยกลูกสาวอีกคนให้แต่งงานกับเขา ทั้งยังเป็นอนุภรรยาด้วย สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

แต่ใครจะคิดว่าจีฮวนจะกล่าวเสียงเรียบว่า “ลูกสาวคนเล็กของข้าชื่นชมผู้ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด ยินดีเป็นหางหงส์ แต่ไม่ยอมเป็นหัวไก่ มีเจตนาจะแต่งงานกับเจ้าจริงๆ ขอแค่เจ้าตอบรับ ก็สามารถเลือกวันมงคลแต่งงานเข้าประตูบ้านของตระกูลเหมียวได้เลย”

อวิ๋นจือชิวยังคงจ้องเหมียวอี้ด้วยสีหน้าเหน็บแนม

“…” เหมียวอี้กลับเหม่อค้างอย่างเต็มที่ จ้องจีฮวนอย่างงุนงงครู่หนึ่ง แล้วถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”

จีฮวนกล่าวยืนยันอีกครั้ง “ลูกสาวคนเล็กของข้าชอบเจ้า ยินดีแต่งงานเป็นอนุภรรยาของเจ้า!” ครั้งนี้พูดให้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม เชื่อว่าต่อให้เป็นคนโง่ก็ฟังเข้าใจ

เหมียวอี้หันหน้าช้าๆ มามองอวิ๋นจือชิว เหมือนกำลังถามว่า เมื่อครู่พวกเจ้าคุยกันเรื่องนี้เหรอ?

อวิ๋นจือชิวพ่นสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “อย่ามองข้า ขอแค่เจ้าชอบก็พอแล้ว!”

เห็นได้ชัดว่าเป็นคำพูดประชดก่อนที่นางจะปรี๊ดแตก! เหมียวอี้รีบโบกมือติดต่อกัน “ไม่เลย ไม่เลย ไม่รู้จักกัน ข้าจะไปชอบได้ยังไงล่ะ ไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นเลยจริงๆ!”

“ทำไมไม่ชอบ? หรือว่าลูกสาวของข้าสวยไม่พอ?” จีฮวนถาม

ขณะที่ทางนี้กำลังอธิบายเหตุผลกัน ด้านนอกก็มีคนเข้ามาอีกแล้ว ซือถูเซี่ยวพาอวี้หนูเจียวศิษย์รักมาแล้ว

หวังเต้าหลินรีบออกมาต้อนรับ ซือถูเซี่ยวเห็นแล้วถามว่า “ทางนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงใช่มั้ย?” ทิ้งลูกศิษย์ไว้ที่นี่ก็เพื่อให้คอยจับตาดู

“ไม่มีอะไรขอรับ จีฮวนพาจีเหม่ยลี่มาแล้ว สองพ่อลูกข้าไปที่ตำหนักหลังแล้ว” หวังเต้าหลินกล่าว

ขณะกำลังคุยกัน พวกเขาก็เอียงหน้ามองไปทางประตูตำหนักหลัง เห็นเพียงจีเหม่ยลี่เดินออกมาคนเดียว จีเหม่ยลี่มองมาทางนี้แวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร กลับไปยังที่พักชั่วคราวของจีฮวนคนเดียวเงียบๆ

ดวงตาที่อยู่หลังหน้ากากผีของซือถูเซี่ยววูบไหว พอหันกลับมา ก็พบว่าอวี้หนูเจียวกำลังมองมาพอดี

ทั้งสองเหมือนจะใจตรงกัน เหมือนจะเข้าใจพร้อมกันว่าจีฮวนพาลูกสาวมาด้วยเจตนาอะไร ซือถูเซี่ยวโบกมือให้อวี้หนูเจียว “ไปกันเถอะ!”

ขระที่มองส่งสองคนนั้นเดินไป หวังเต้าหลินยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก ในใจกำลังครุ่นคิดว่า ข้าก็อยู่ที่นี่แล้ว อาจารย์ยังจะพาศิษย์น้องมาทำอะไรอีก?

เขาอยากจะไปพิภพใหญ่กับอาจารย์ กังวลว่าศิษย์น้องมาแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า

เหมียวอี้ที่อยู่ในสวนดอกไม้กำลังสะบักสะบอม จู่ๆ เบื้องล่างก็มีคนวิ่งมารายงานอีก “คุณชายห้า ซือถูเซี่ยวมาแล้วขอรับ”

ในที่สุดก็มีธุระให้ฝ่าวงล้อมออกไปแล้ว! เหมียวอี้แอบดีใจหนักมาก โบกมือบอกว่า “เชิญมาเลย!”

จนกระทั่งซือถูเซี่ยวนำอวี้หนูเจียวโผล่หน้ามา สายตาของจีฮวนที่ไปหยุดอยู่บนตัวอวี้หนูเจียวก็เป็นประกายวูบไหวเช่นกัน

เหมียวอี้ฉวยโอกาสหาข้ออ้าง หันหน้าหลบอวิ๋นจือชิวที่ใกล้จะทำให้เขาเหงื่อท่วมหลัง แล้วกุมหมัดคารวะถามว่า “ไม่ทราบว่าปราชญ์ผีมาด้วยธุระอะไร?” ท่าทีสุภาพกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อยเลย

ใครจะคิดว่าซือถูเซี่ยวจะเหลือบมองจีฮวนแวบหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบวังเวง “ข้าก็มาด้วยจุดประสงค์ที่ไม่ต่างจากจีฮวนเท่าไรหรอก ไม่ทราบว่าเจ้ากับจีฮวนกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ล่ะ?”

“หึหึ! หึหึ! หึหึ!” อวิ๋นจือชิหัวเราะแห้งๆ สามที เอามือกอดอกพลางเงยหน้ามองฟ้า ยากที่จะบรรยายสีหน้าเหน็บแนมถากถางออกมาได้

“…” เหมียวอี้งงนิดหน่อย สายตาค่อยๆ ย้ายไปอยู่บนตัวอวี้หนูเจียว แล้วชี้พร้อมถามว่า “เจ้าคงไม่ได้จะให้อวี้หนูเจียวมาเป็นอนุภรรยาของข้าเหมือนกันหรอกใช่มั้ย?”

คำพูดนี้ทำให้อวี้หนูเจียวรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว นางเอียงหน้ามองไปด้านข้าง เรื่องนี้ให้อาจารย์จัดการก็พอแล้ว ยังจะตั้งใจพานางมาเจอเหมียวอี้อีก ทำให้นางเหลือทนจริงๆ แต่จนใจที่ขัดคำสั่งอาจารย์ได้ยาก!

“เรื่องแต่งงานค่อยๆ นั่งลงคุยกันเถอะ” ซือถูเซี่ยวพยักหน้า

“เหอะๆ!” ตอนนี้ถึงคราวที่เหมียวอี้จะเงยหน้าหัวเราะแล้ว เขาไม่ใช่คนโง่ จีฮวนทำแบบนี้คนเดียวก็แย่แล้ว ซือถูเซี่ยวก็ทำแบบนี้อีก เจตนาชัดเจนเกินไปหน่อยรึเปล่า เหมียวอี้เป็นฝ่ายเดินเข้ามาข้างกายอวี้หนูเจียว เดินวนรอบอวี้หนูเจียวพร้อมมองสำรวจ สุดท้ายก็เอามือไขว้หลังยืนตรงข้ามกับอวี้หนูเจียว พร้อมถามว่า “เอ อวี้หนูเจียว พวกเราไม่ได้เจอกันเป็นครั้งแรกแล้ว ไม่ต้องเกรงใจกันหรอก ข้าจะถามเจ้าหน่อย เจ้าเต็มใจแต่งงานมาเป็นอนุภรรยาของข้าจริงเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวหันกลับมามอง ซือถูเซี่ยวและจีฮวนก็มองมาในทันทีเช่นกัน สายตาของทุกคนไปรวมอยู่ที่อวี้หนูเจียว ทำให้อวี้หนูเจียวค่อนข้างรู้สึกกดดัน โดยเฉพาะซือถูเซี่ยวที่กำลังส่งสายตาสั่งนางเป็นนัยๆ

เมื่อเห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าท่าทางหยอกล้อ ในใจอวี้หนูเจียวก็แอบเดือดดาล ทำไมข้าต้องกลัวเจ้าด้วยล่ะ? นางเงยหน้ายืดอก กล่าวอย่างอวดดีว่า “เต็มใจ!”

ประเด็นสำคัญคือเมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันของซือถูเซี่ยว นางไม่มีทางพูดคำว่า ‘ไม่เต็มใจ’ ออกมาได้ ความเกี่ยวโยงต่างๆ ที่ร้ายกาจ ซือถูเซี่ยวได้อธิบายกับนางไว้ชัดเจนมากแล้ว และสุดท้ายนางก็ตอบตกลงที่จะเสียสละตัวเอง คิดปลอบใจตัวเองว่าพุ่งเป้าไปที่ ‘เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง’ มิหนำซ้ำถ้ามากลับคำพูดตอนนี้ก็จะทำให้อาจารย์ไปต่อไม่ถูก

“เหอะๆ!” เหมียวอี้หัวเราะลั่นอีกสามครั้ง “ไม่มีท่าทางเต็มใจเลยสักนิด ถ้าเชื่อก็บ้าแล้ว” จากนั้นก็หันไปทำเสียงฮึดฮัดใส่จีฮวนกับซือถูเซี่ยว “ข้าว่านะ พวกเจ้าใช้มุกนี้จะมีความหมายอะไรเหรอ? ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าพูดคำไหนคำนั้น ในเมื่อตอบตกลงแล้วว่าจะพาพวกเจ้าไปพิภพใหญ่ ข้าก็จะพาไปแน่นอน เรื่องเอาคนสวยมายั่วยวนข้าแบบนี้ เป็นการกระทำที่ชั้นต่ำไปหน่อยรึเปล่า? ข้าเหมียวอี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นผู้หญิงมาก่อน!”

เขาเดินมาข้างกายอวิ๋นจือชิว ยื่นมือจูงมืออวิ๋นจือชิวมาพูดประจบประแจง “ฮูหยินของข้าสวยไม่แพ้ใครทั้งนั้น!”

“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวโบกมือไม่รับไมตรี

ทันใดนั้นเอง ทุกคนก็หันไปมองบนฟ้าพร้อมกัน เห็นเพียงคนสามคนแฉลบผ่านฟ้าเข้ามา กำลังอยู่บนฟ้าพอดี ปราชญ์พุทธฉางเหลย ไต้ซือศีลเจ็ด แล้วยังมีผู้หญิงอีกคนที่กระโปรงพลิ้วสะบัด เหมียวอี้ไม่รู้จัก

ฉางเหลยเองก็ไม่เกรงใจ พาคนเหยียบลงพื้นโดยตรง เขาไม่ใช่เป้าหมาย ไต้ซือศีลเจ็ดก็ไม่ใช่เป้าหมายเช่นกัน สายตาของทุกคนไปรวมอยู่บนตัวผู้หญิงที่อยู่เฉียงด้านหลังเขา

รูปร่างสูงระหงทรงเพรียว เอวบางหน้าอกอิ่ม ดูค่อนข้างผอมบาง สวมกระโปรงสีขาวยาวคลุมหลังเท้า มวยผมที่ห่อด้วยผ้ามุ้งสีขาวเกล้าสูงไว้ข้างหลัง หน้าผากอิ่มนูน เกลี้ยงเกลาดุจหยก คิ้วโก่งยาวดุจภูเขา ดวงตาใสแจ๋วดุจน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ขนตาเป็นแพเล็กน้อย จมูกโด่งปากแดง ใบหน้าขาวสะอาดดุจดอกบัวขาว

นางก้าวเท้าเบาๆ อยู่ข้างหลังฉางเหลยกับไต้ซือศีลเจ็ด ท่วงท่างดงามอ่อนช้อย ในทุกอากัปกิริยาอ้อนแอ้นและไม่บังคับตัวเอง สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดมีเมตตา เป็นผู้หญิงที่สง่าภูมิฐาน งดงามและสุภาพอย่างแท้จริง

ทึ่ง! พอผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัว เหมียวอี้ก็เริ่มถูกทำให้ทึ่งแล้วจริงๆ ถ้าผู้หญิงอย่างฉินซีนับว่าสวยงาม เช่นนั้นผู้หญิงคนนี้ก็คงจะขาดคำว่า ‘สวย’ ไป ไม่สวยและไม่แพรวพราว ไม่ฉูดฉาดและไม่ธรรมดา ผู้หญิงคนนี้มีแต่คำว่า ‘งาม’ อย่างธรรมชาติ เป็นความงามที่ทำให้คนรู้สึกเหมือนกำลังอาบลมในฤดูใบไม้ผลิ สบายทั้งกายทั้งใจ เป็นความงามแบบสง่าภูมิฐาน แววตามีสง่าราศีสดใส ในดวงตาฉายแววเฉลียวฉลาดมีเมตตา ทำให้คนไม่เกิดความคิดที่จะสบประมาท

เหมียวอี้นึกว่าในบรรดาผู้หญิงที่ตัวเองเคยเจอ ฉินซีนับว่างดงามที่สุด นึกไม่ถึงเลย…แน่นอน ถ้าใช้มาตรฐานของเสน่ห์ความเย้ายวนมาประเมินอย่างเดียว รูปโฉมของผู้หญิงตรงหน้าไม่ดึงดูดใจเท่าฉินซี แต่ความงามอีกแบบหนึ่งบนตัวของผู้หญิงคนนี้ เป็นสิ่งที่ฉินซีเทียบไม่ติด

เหมียวอี้แอบทึ่งในใจเงียบๆ ความงามของผู้หญิงต่างก็มีข้อดีไปคนละแบบจริงๆ

“ผู้หญิงคนนี้ชื่อฝ่าอิน เป็นลูกศิษย์ลำดับที่ห้าของฉางเหลย มีร่างหงส์โดยกำเนิด ตอนที่ฉางเหลยรับมาเป็นศิษย์ เป็นเพราะไต้ซือศีลเจ็ดชมว่านางมีปัญญาผล ถึงได้รับความสำคัญเป็นพิเศษจากฉางเหลย ถูกพาออกบวชโดยไม่โกนผม ได้สัมผัสกับปุถุชนในโลกน้อยเป็นพิเศษ ขนาดข้ายังได้เห็นนางเป็นครั้งที่สองเลย หน้าตาดีใช่มั้ยล่ะ? มองจนค้างเลยล่ะสิ?” อวิ๋นจือชิวถ่ายทอดเสียงอยู่ข้างกายเหมียวอี้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ใช้นิ้วสองนิ้วบิดเนื้อที่เอวเหมียวอี้อย่างแรง บิดเหมือนจะเอาให้ถึงตาย

เหมียวอี้เจ็บจนกระตุกมุมปากอย่างรุนแรง

“ไต้ซือก็มาเช่นกัน!” จีฮวนกับซือถูเซี่ยวไม่สนใจฉางเหลย แต่กลับกุมหมัดคารวะไต้ซือศีลเจ็ด

“อามิตาพุทธ!” หลังจากไต้ซือศีลเจ็ดทักทายกลับ สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่เหมียวอี้

เหมียวอี้รีบฉวยโอกาสหลุดพ้นจากกรงเล็บมารของอวิ๋นจือชิวอย่างเนียนๆ ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ “ไต้ซือ!”

ไต้ซือศีลเจ็ดประนมมือยิ้มอย่างมีมุทิตาจิต พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเบี่ยงตัวไปอีกข้าง หลีกให้ฉางเหลยเป็นตัวหลัก

“นี่คือฝ่าอิน ลูกศิษย์คนเล็กของข้า!” หลังจากฉางเหลยแนะนำให้เหมียวอี้ ก็แนะนำเหมียวอี้ให้ลูกศิษย์ “นี่คือโยมเหมียวที่อาจารย์เอ่ยให้เจ้าฟังเมื่อคืนนี้”

บนใบหน้าขาวสะอาดไร้มลทินดุจหยกของฝ่าอินกระเพื่อมระลอกรอยยิ้มบางๆ ฝ่ามือหยกบริสุทธิ์ที่งดงามมากคู่นั้นประนมขึ้น พร้อมกล่าวด้วยเสียงใสนุ่มนวล “ฝ่าอินทักทายโยมเหมียว!”

“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า สายตาไปหยุดอยู่บนตัวฉางเหลย ถามว่า “ฉางเหลย เจ้าพาลูกศิษย์คนนี้มาหมายความว่าอย่างไร?”

ที่จริงเขาอยากจะถามมาก ว่าเจ้าคงไม่ได้พาลูกศิษย์มาเป็นอนุภรรยาของข้าหรอกใช่มั้ย? แต่คำพูดที่มาถึงปากถูกกลืนกลับลงไป รู้สึกว่าพูดแบบนี้ไม่ถูก ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ออกบวช จะมาเป็นอนุภรรยาของตนได้อย่างไร ถ้าพูดอะไรแบบนั้นออกมาจริงๆ คงจะเป็นที่หยามหยันของผู้คนในวงการแล้ว เดาว่านางคงมาด้วยเจตนาอื่น

 

1123

บทที่ 1124 แต่งๆ ไปเถอะ!

ฉางเหลยยิ้มโดยไม่ตอบ กลับเป็นฝ่าอินที่กล่าวอย่างจริงใจว่า “อาตมาสึกแล้ว มาแก้ไขวาสนาทางโลกกับโยมเหมียว”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็เรียกได้ว่าเหมือนโดนฟ้าผ่าล้ม เหมียวอี้ทำสีหน้าประหลาดใจมาก รู้สึกตกตะลึงกับคำพูดแบบนี้ของฝ่าอิน!

อวิ๋นจือชิวงุนงงเล็กน้อย ส่วนพวกจีฮวนก็พากันมองฉางเหลยด้วยสีหน้าแปลกๆ

นางกับเหมียวอี้จะมีวาสนาทางโลกอะไรต่อกันได้ ถ่อมาใช้มุกนี้ในเวลานี้ ต่อให้ไม่ต้องถามก็รู้ว่าฉางเหลยมาด้วยเจตนาอะไร

ทุกคนพบว่าพระอย่างฉางเหลยช่างกล้าทำได้ทุกอย่างจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าฉางเหลยพูดเกลี้ยกล่อมฝ่าอินอย่างไร ถึงทำให้คนที่ไม่แปดเปื้อนทางโลกอย่างฝ่าอินถ่อมาเป็นอนุภรรยาได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ทั้งยังทำท่าเหมือนสมัครใจมากด้วย ช่างผิดกฎธรรมชาติจริงๆ

ซือถูเซี่ยวหันกลับมามองอวี้หนูเจียวที่กำลังทำสีหน้าตกตะลึง เหมือนกำลังเตือนนางว่า เจ้าดูท่าทีของลูกศิษย์คนอื่นเขาสิ แล้วดูท่าทีของตัวเองสิ

“นี่กำลังล้อข้าเล่น หรือแม่งเป็นบ้ากันไปหมดแล้ว? พวกเจ้าอยากจะเล่นอะไรก็เล่นกันไปเถอะ อย่าดึงข้าไปเล่นด้วย ไม่อย่างนั้นอย่ามาหาว่าข้าแปรพักตร์ก็แล้วกัน!” เหมียวอี้ที่ได้สติกลับมายังคงตกตะลึงเล็กน้อย แหกปากด่าและสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป ไม่อยู่ด้วยแล้ว!

หลังจากไต้ซือศีลเจ็ดประนมมืออำลาทุกคนแล้ว ก็เดินตามหลังเหมียวอี้ไปเช่นกัน เดินตามออกไปข้างนอก ทิ้งคนพวกนี้ให้ให้ตะลึงงันอยู่ในสวนดอกไม้

ทุกคนพอจะเข้าใจความรู้สึกของเหมียวอี้ได้ เป็นเพราะฉางเหลยทำตัวสมกับชื่อของตัวเองจริงๆ ราวกับฟ้าผ่าที่ทำให้ทุกคนตกใจไม่เบา

“ให้ไต้ซือเห็นเรื่องน่าขำแล้ว”

เมื่อกลับมาถึงโถงหลัก เหมียวอี้ก็เชิญไต้ซือศีลเจ็ดให้นั่งลง ประเด็นสนทนาเกี่ยวกับศีลแปดเป็นสิ่งที่เลี่ยงไมได้ ตอนนี้เขาไม่ได้ปิดบังเรื่องพิภพใหญ่กับไต้ซือศีลเจ็ดเช่นกัน พูดเรื่องเกี่ยวกับศีลแปดที่พิภพใหญ่ใหญ่ฟัง

สิ่งที่เหมียวอี้สนใจที่สุดก็คือ ศีลแปดได้ติดต่อกับไต้ซือศีลเจ็ดบ้างหรือเปล่า เขาอยากจะรู้สถานการณ์ในตอนนี้ของศีลแปด พี่ใหญ่คนนี้ติดต่อเจ้าเวรนั่นไม่ได้

ทว่าไต้ซือศีลเจ็ดส่ายหน้าถอนหายใจ บอกว่าหลังจากศีลแปดตามเหมียวอี้ไปแล้ว ก็ไม่ได้ติดต่อกับเขาอีกเลย

ปั้ง! เหมียวอี้ตบโต๊ะ ค่อนข้างเดือดดาล “เจ้าคนเลว! อย่าให้ข้าจับตัวได้นะ ไม่อย่างนั้นก็คอยดูว่าข้าทำโทษเขายังไง!”

คนที่ควรเคารพเขาก็ยังเคารพ มีอาจารย์ที่ดีขนาดนี้ แต่เจ้าเวรศีลแปดกลับไม่มีความเคารพเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ถามไถ่ทักทายสักนิดก็ไม่มี จึงทำให้เหมียวอี้โมโหเดือดดาลมาก ในยุคนี้แนวคิดเกี่ยวกับอาจารย์ดุจดั่งบิดายังคงหยั่งรากลึกในจิตใต้สำนึกของเขา นี่ก็คือสาเหตุที่ใหญ่ที่สุดที่มู่ฝานจวินใช้บีบจุดอ่อนเขาได้ เขาไม่อยากบังคับให้เยว่เหยาทำเรื่องที่ไร้บรรทัดฐาน แต่เจ้าเวรศีลแปดกลับทำเรื่องที่ไร้บรรทัดฐานอยู่บ่อยๆ

“จิตใจยังไม่มั่นคง ฝืนขังไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ปล่อยให้เขาไปเถอะ!” ไต้ซือศีลเจ็ดยิ้มเจื่อน ดึงประเด็นสนทนากลับมาที่เรื่องพิภพใหญ่ ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ แล้ว ก็พยักหน้าเบาๆ บอกว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าล่ะเมื่อคืนวานฉางเหลยจึงเกลี้ยกล่อมฝ่าอินให้มาเป็นอนุภรรยาไม่หยุด อาตมาสงสัยใคร่รู้จึงตามมาดูด้วย”

พอพูดถึงฝ่าอิน เหมียวอี้ถามอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน ฉางเหลยใช้วิธีการอะไรกันแน่ ถึงบีบให้คนที่ออกบวชทำเรื่องพรรค์นี้?”

ไต้ซือศีลเจ็ดยิ้มบางๆ “ไม่ได้บีบบังคับ เพียงเทศนาให้ฝ่าอินฟังหนึ่งคืน เกลี้ยกล่อมให้สึกมาแต่งงานเป็นอนุภรรยาของโยม นับว่าชี้เส้นทางฝึกตนให้นางอีกเส้นทางหนึ่งก็แล้วกัน สำหรับเรื่องนี้อาตมาก็เห็นด้วยเหมือนกัน”

“ไต้ซือก็เห็นด้วยที่จะให้ฝ่าอินเป็นอนุภรรยาของข้าเหรอ?” เหมียวอี้ตกตะลึงไม่หยุด

ไต้ซือศีลเจ็ดประนมมืออธิบายว่า “ฝ่าอินไม่ได้แปดเปื้อนในทางโลกมาตั้งแต่เด็ก การละทิ้งความพะวงเรื่องทางโลกแล้ว ถึงแม้จะทำให้การฝึกตนราบรื่น แต่หลังจากฝึกมาถึงระดับหนึ่ง ก็ย่อมประสบกับจุดที่ยาก ไม่เข้าใจความคิดของสรรพสัตว์ ไม่ได้สัมผัสรักโลภโกรธหลง การเกิดแก่เจ็บตายในโลกมนุษย์ แล้วจะสามารถบรรลุธรรมได้อย่างไร? มาเผชิญเคราะห์กรรมทางโลกสักครั้ง สัมผัสความรู้สึกทางกายเนื้อด้วยตัวเองสักรอบ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกตนของฝ่าอิน อาตมาย่อมเห็นด้วยอยู่แล้ว ถ้าจะพูดให้ถูก ผู้ที่เกลี้ยกล่อมให้ฝ่าอินเข้าสู่ทางโลกคืออาตมา ส่วนฉางเหลยเพียงบอกให้ฝ่าอินแต่งงานมาเป็นอนุภรรรยาของโยมเท่านั้น ไม่ใช่เจตนาของอาตมา นั่นคือเจตนาของฉางเหลยคนเดียว ถึงอย่างไรฝ่าอินก็เป็นลูกศิษย์ของฉางเหลย อาตมาไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก บางทีอาตมาอาจจะยึดมั่นถือมั่นกับรูปลักษณ์เข้าแล้ว จะเป็นอนุภรรยาหรือไม่ก็ล้วนเข้าสู่ทางโลกเพื่อปฏิบัติธรรมทั้งนั้น สิ่งที่เรียกว่ารูปโฉมคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าก็คือรูปโฉม บางทีอาตมาอาจจะมองไม่ทะลุเท่าฉางเหลยก็เป็นได้!”

เหมียวอี้กล่าวอย่างอึ้งๆ “สงสัยการปลุกปลั่นให้นักบวชหญิงแต่งงานจะเป็นผลงานของไต้ซือด้วย แต่เรื่องนี้ข้าตอบตกลงไม่ได้เด็ดขาด”

ไต้ซือศีลเจ็ดยิ้มพร้อมกล่าวว่า “จะตกลงหรือไม่ก็ย่อมเป็นโยมที่ตัดสินใจเอง แต่ฉางเหลยให้ฝ่าอินเข้าสู่ทางโลกโดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ฝ่าอินแน่วแน่ที่จะเข้าสู่ทางโลกแล้ว ต่อให้ไม่แต่งงานกับโยม ฝ่าอินก็ยังต้องแต่งงานกับคนอื่นอยู่ดี ไม่ว่าโยมจะตอบตกลงหรือไม่ ที่จริงก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อฝ่าอินเลย เพียงแต่อาจจะไม่สอดคล้องกับเจตนาของฉางเหลยเท่านั้นเอง”

เหมียวอี้ตะลึงค้าง ถ้าตนไม่แต่งงานด้วย ฝ่าอินก็จะแต่งงานกับคนอื่นเหรอ?

ชั่วพริบตาเดียว ในใจเหมียวอี้ก็รู้สึกเลี่ยนนิดหน่อย ผู้หญิงที่งดงามขนาดนั้น ถ้าปล่อยให้ไปแต่งงานกับคนอื่น ไม่สู้ตัวเองแต่งงานรับไว้เองก็สิ้นเรื่องแล้ว

แน่นอน ความคิดแบบนี้แค่แวบเข้ามาในใจเท่านั้น จากนั้นก็ปาดเหงื่ออย่างอับอายทันที พบว่าความคิดของตัวเองสกปรกโสมมเกินไปแล้ว

หลังจากสั่งให้คนจัดหาที่พักให้ไต้ซือศีลเจ็ด อวิ๋นจือชิวก็กลับมาแล้วเช่นกัน เพียงแต่สายตาเยาะเย้ยแบบนั้นทำให้เหมียวอี้ประหม่าไปทั้งตัว

“เจ้าไล่คนพวกนั้นไปรึยัง?” เหมียวอี้ถาม

“หึหึ!” อวิ๋นจือชิวกลับหัวเราะเสียงต่ำไม่หยุด หัวเราะจนพูดอย่างกระหืดกระหอบว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้านี่ใช้ได้เลยนะ ทั้งผีทั้งมารทั้งปีศาจไม่ขาดเลยสักคน ขนาดผู้หญิงที่ออกบวชก็ยังตามมาเป็นอนุภรรยาของเจ้า”

เหมียวอี้กลอกตามองบน “ข้าแต่งงานเพิ่มมาหลายห้อง เจ้าดีใจมากเหรอ? พวกเขามีเจตนาอื่น ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้เสียหน่อย”

อวิ๋นจือชิวโบกมือ หลังจากตบหน้าอกระงับสติอารมณ์แล้ว ก็กล่าวอย่างลังเลนิดหน่อยว่า “หนิวเอ้อร์ ที่จริงเรื่องนี้ ข้ารู้สึกว่าเจ้าสามารถพิจารณาดูได้นะ”

“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้ถามอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ “หรือว่าเจ้าคิดจะให้ข้าแต่งงานกับผู้หญิงพวกนั้นจริงๆ?”

อวิ๋นจือชิวเดินมานั่งลงข้างกายเขา “เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งจะเจรจาเงื่อนไขกับข้า และพูดอย่างตรงไปตรงมาแล้วด้วย ต้องการจะเกี่ยวดองกับเจ้า!”

“ให้เกี่ยวดองกับพวกเขาเหรอ?” เหมียวอี้ถามอย่างดูถูก “ข้าจำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วยเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ประเพณีทั่วไปของพิภพใหญ่ คาดว่าเจ้าก็คงได้ยินมาไม่น้อยแล้วเช่นกัน เพื่อที่จะให้บรรลุเป้าหมายของตัวเอง ผู้มีอำนาจพวกนั้นให้ลูกชายลูกสาวของตัวเองแต่งงานเกี่ยวดองกันเป็นเรื่องปกติมาก มีคนมากมายไม่เสียดายที่จะยกลูกสาวให้แต่งงานกับศัตรู ใช่แล้ว สำหรับเจ้านั้นไม่จำเป็น แต่สำหรับพวกจีฮวน นั่นกลับเป้นสิง่ที่จำเป็นมาก สำหรับพวกเขา พิภพใหญ่แทบจะเป็นโลกที่พวกเขาไม่รู้จัก ด้วยศักยภาพของพวกเขา เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วก็นับว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก แต่เจ้ากลับได้ลงหลักปักฐานที่พิภพใหญ่แล้ว ที่พวกเขาอยากเกี่ยวดองกับเจ้า ที่จริงเป็นเพราะชอบในอำนาจอิทธิพลของเจ้า อยากจะผูกมัดกับเจ้า ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือหวังจะได้รับการสนับสนุนจากเจ้า เพียงแต่การพูดปากเปล่าเพื่อจะโน้มน้าวให้เจ้าผูกมัดด้านผลประโยชน์ ก็ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงเหมือนกัน แล้วพวกเขาก็หาอะไรมาโน้มน้าวเจ้าไม่ได้แล้วจริงๆ ทำได้เพียงสละลูกสาวหรือไม่ก็ลูกศิษย์ให้มาเป็นอนุภรรยาของเจ้า และแน่นอน เจ้าอาจจะไม่ได้โปรดปรานพวกนาง แต่สำหรับพวกเขา นี่นับเป็นการแสดงความจริงใจต่อเจ้าแล้ว หกปราชญ์ที่สง่าผ่าเผยก็มีความหยิ่งผยองของตัวเองเหมือนกัน การทำเรื่องแบบนี้ได้ไม่ได้เรื่องที่มีเกียรติยศอะไร เป็นการทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองแล้ว พูดให้ดูประนีประนอมสักหน่อยแล้วกัน เมื่อไปที่พิภพใหญ่แล้ว ต่อให้เจ้าจะไม่ยอมสนับสนุนพวกเขา แต่แค่ไม่หลอกลวงกลั่นแกล้งกัน แค่นั้นก็คุ้มค่าสำหรับการเสียสละของพวกเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นเมื่อไปที่พิภพใหญ่แล้วเผชิญกับอำนาจของเจ้า พวกเขาก็ไม่มีกำลังใดๆ จะตอบโต้เลย ความเป็นความตายคือสิ่งที่อยู่ในการตัดสินใจของเจ้า พวกเขาทำแบบนี้นับว่าก้มหัวให้เจ้าอย่างแท้จริงแล้ว!”

เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา แล้วถามว่า “พวกเขาให้ผลประโยชน์อะไรกับเจ้า เจ้ากำลังพูดขอร้องให้พวกเขาเหรอ?”

“ข้าไม่ได้กำลังพูดขอร้องให้พวกเขา แต่พวกเขาเสนอข้อแลกเปลี่ยนมาแล้ว ข้ารู้สึกว่าเจ้าพิจารณาดูหน่อยก็ได้” อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าตอบ

“เสนอข้อแลกเปลี่ยนอะไร?” เหมียวอี้ถามอย่างสนใจ

“พวกเขาจะยอมรับว่าเจ้าได้แทนที่เฟิงเป่ยเฉินแล้ว ยอมรับให้เจ้าเป็นหนึ่งในหกปราชญ์ หวังว่าหลังจากไปที่พิภพใหญ่แล้ว ทุกคนจะอยู่ร่วมกันในความสัมพันธ์แบบหกปราชญ์ ไม่ใช่เป็นลูกน้องของเจ้า” อวิ๋นจือชิวตอบ

เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก “ข้าจำเป็นต้องให้พวกเขายอมรับด้วยเหรอ? เมื่อไปที่พิภพใหญ่แล้ว พวกเขามีคุณสมบัติอะไรมาอยู่ร่วมกับข้า? แบบนี้นับว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนได้เหรอ?”

อวิ๋นจือชิวกลอกตามองเขา “เจ้าเองก็อย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก ไว้หน้าพวกเขาสักหน่อยเถอะ อย่าบอกนะว่าดึงดันจะให้พวกเขาก้มหัวฟังคำสั่งเจ้าให้ได้? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็จะไม่มีลูกน้องคนไหนเชื่อฟังคำสั่งพวกเขาแล้ว อีกไม่นานก็จะบากหน้ามาขอทำงานอยู่ข้างกายเจ้าหมด ถ้าพวกเขาไม่เหลือใครแล้ว อาศัยศักยภาพของพวกเขาก็ยิ่งยากที่จะลงหลักปักฐานที่พิภพใหญ่ สาเหตุที่ยอมยกลูกสาวกับลูกศิษย์ให้มาเป็นอนุภรรยาของเจ้า ก็ย่อมเป็นเพราะอยากจะพยายามช่วงชิงผลประโยชน์ให้ตัวเอง”

“ข้าได้ยินแต่ผลประโยชน์ของพวกเขา สิ่งแลกเปลี่ยนที่ข้าต้องการอยู่ที่ไหนล่ะ?” เหมียวอี้ถาม

อวิ๋นจือชิวอธิบายว่า “พวกเขามองออกแล้วว่าเจ้าจะอยากจะใช้พิภพเล็กเป็นทางหนีทีไล่สุดท้าย และพวกเขาก็คิดเหมือนกันกับเจ้า ดังนั้นถ้าหวังจะรักษาสถานการณ์พื้นฐานของพิภพเล็กต่อไป รักษาสถานการณ์การอยู่ร่วมกันของหกปราชญ์ต่อไป ทุกคนไม่รุกล้ำกัน เพียงแต่พวกเขาตอบตกลงแล้วว่าจะให้เจ้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องที่พิภพเล็ก เพียงแต่เจตนาของพวกเขาก็คือ หวังจะให้เหลือเกียรติขั้นพื้นฐานไว้ให้พวกเขาบ้าง พวกเขาเองก็อยากจะรักษารากฐานที่พิภพเล็กและให้ลูกน้องคนสนิทที่ฝึกเลี้ยงไปเติบโตที่พิภพใหญ่ในตอนหลังเหมือนกัน ดังนั้นหากเกิดเรื่องอะไรก็บอกพวกเขาก่อนสักหน่อย ไม่ต้องการให้เจ้าประกาสคำสั่งต่อหกแดนอย่างโจ่งแจ้งให้พวกเขาลำบากใจ ในขณะเดียวกัน พวกเขาเต็มใจที่จะละทิ้งช่องทางไปกลับพิภพเล็ก จะให้เจ้าควบคุมต่อไป เพียงแต่จะตัดช่องทางขนส่งระหว่างพวกเขากับพิภพเล็กไม่ได้ หลังจากไปที่พิภพใหญ่แล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่จำเป็นก็สามารถทำงานให้เจ้าได้เหมือนกัน แต่เป็นการแอบทำงานให้อย่างลับๆ พวกเขาจะไม่เป็นลูกน้องของเจ้า ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ความเป็นความตายของพวกเขา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าให้พวกเขาไปทำเรื่องที่อันตรายถึงที่ชีวิต พวกเขาก็จะไม่เชื่อฟังเจ้า เงื่อนไขที่แลกเปลี่ยนกันก็คือ ถ้าพวกเขาประสบปัญหาอะไรที่พิภพใหญ่ และอยู่ในขอบเขตความสามารถของเจ้า ก็หวังว่าเจ้าจะยื่นมือเข้าไปช่วย นี่ก็คือสิ่งที่พวกเขาหวังจะได้รับเมื่อก้มหัวมาเกี่ยวดองกับเจ้าแล้ว!”

เหมียวอี้เริ่มลูบคางครุ่นคิด ตอนแรกที่เตรียมจะพาคนพวกนี้ไปที่พิภพใหญ่ แค่คิดว่าอยากจะควบคุมพิภพเล็กให้ถึงที่สุด แก้ปัญหาความยุ่งยากที่พิภพเล็ก พร้อมทั้งได้รับเคล็ดวิชาในมือหกปราชญ์ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหกปราชญ์จะเป็นฝ่ายเสนอผลประโยชน์อย่างอื่นออกมาเอง

เขาตอบว่า “ถ้าข้าได้เคล็ดวิชาฝึกตนมาจากมือพวกเขาแล้ว ภายในระยะเวลาหนึ่งก็ย่อมสามารถเลี้ยงดูคนแบบหกปราชญ์อีกชุดหนึ่งเพื่อมาทำงานให้ จำเป็นต้องไปยุ่งยากกับพวกเขาแบบนี้ด้วยเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าว่านะหนิวเอ้อร์ เจ้าไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อหาทรัพยากรมาเลี้ยงคนตลอดไปก็ได้มั้ง? การที่เจ้าเอะอะก็ไปทำเรื่องเสี่ยงอันตรายคนเดียวไม่ใช่แผนการที่ยั่งยืนถาวรหรอก ถ้ารอให้ทุกคนวรยุทธ์สูงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เจ้าจะทำงานคนเดียวไหวเหรอ? ทรัพยากรที่เจ้าหามาได้ด้วยตัวคนเดียวจะพอเลี้ยงปากท้องของทุกคนตลอดไปได้เหรอ? หลักการหาปลามาให้กินไม่สู้สอนวิธีจับปลาให้ เจ้าคงจะเคยได้ยินมาก่อนนะ? เจ้าดูหกปราชญ์ของพิภพเล็กกับราชันสวรรค์ของพิภพใหญ่สิ ล้วนเป็นคนกำหนดกฎเกณฑ์ทั้งนั้น ต้องเป็นคนที่ควบคุมกฎกติกาจึงจะสามารถเติมเต็มผลประโยชน์ของทุกคนได้ ถึงจะผูกมัดผลประโยชน์ของทุกคนได้ จึงจะทำให้เจ้าได้ผลประโยชน์ที่เยอะและกว้างกว่าเดิมได้ ไม่ใช่ให้แต่เจ้าคอยควักกระเป๋าตัวเองเพื่อเอาผลประโยชน์ไปผูกมัดคนอื่น ไม่มีใครกระเป๋าลึกขนาดนั้นหรอก แล้วอีกอย่างนะ ต่อให้เจ้าเลี้ยงคนอีกกลุ่มที่มีศักยภาพเท่าหกปราชญ์ได้ แต่เจ้าลองพูดมาจากใจซิ ว่ามีลูกน้องของเจ้าคนไหนบ้างที่มีฝีมือเทียบหกปราชญ์ได้? ข้างกายเจ้ามีลูกน้องคนสนิทเหลือเฟือเหรอ ความสามารถไม่ถึงคือเรื่องจริงที่ไม่ต้องเถียงแล้ว รอบนอกของเจ้าก็ควรจะมีคนที่ทำงานให้เจ้าเหมือนกัน”

เรื่องที่พูดวกไปวนมาแบบนี้ เหมียวอี้ค่อนข้างปวดหัว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัด จึงขมวดคิ้วบอกว่า “คนพวกนี้มีจิตใจทะเยอทะยาน กลัวว่าจะควบคุมลำบาก”

อวิ๋นจือชิวบอกว่า “คนที่มีความสามารถส่วนใหญ่ก็ทะเยอะทะยานทั้งนั้น ถ้าเจ้ากังวลเรื่องนี้ งั้นก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี ตอนนี้พวกเขาเป็นฝ่ายเอาอำนาจมาแลกถึงมือเจ้าเจ้าเป็นคนกุมโอกาสสำคัญแล้ว ยังมีอะไรต้องกลัวอีก? หรือว่าผู้ชายของอวิ๋นจือชิวจะไม่มีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เลยสักนิด แม้แต่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญก็ไม่มีสักนิดเลยเหรอ?”

หลังจากเงียบไปนาน เหมียวอี้ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ได้! เจ้าไปบอกพวกเขา ข้าตอบตกลง  ส่วนเรื่องแต่งงานรับอนุภรรยาอะไรนั่นก็ไม่ต้องแล้วกัน”

อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเช่นกัน “ถ้าเจ้าไม่แต่งงาน พวกเขาจะวางใจได้เหรอ? ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ พวกเขาให้เจ้าแต่งงานรับอนุภรรยาเสียที่ไหนกัน พวกเขาอยากแทรกคนเข้ามาเป็นหูเป็นตาอยู่ข้างกายเจ้าต่างหาก หรือพูดได้อีกอย่างว่า แทรกคนมาไว้ข้างกายเจ้าเพื่อให้คอยประสานงานกับเจ้าได้ยามเกิดเรื่องขึ้น ถ้าสามารถทำให้เจ้าหลงใหลเพื่อให้พวกเขาได้ใช้ประโยชน์ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ถ้าเจ้าไม่แต่งงาน พวกเขาก็จะไม่วางใจ แต่งก็แล้วกัน! แต่งๆ ไปเถอะ!”

 

 

1124

 

 

บทที่ 1125 ตรงจุดที่แสงไฟริบหรี่

“ท่านปู่เจ้ากับมู่ฝานจวินไม่รู้ว่ามีเจตนาอย่างไร” เหมียวอี้ถามเงียบๆ

“ความคิดของพวกเขาน่าจะไม่ต่างจากพวกจีฮวนสักเท่าไร ข้าจะไปเจรจา น่าจะไม่มีปัยหาอะไร แก้ปัญหาเรื่องทางนี้ให้หมดไปเลยก็ดีเหมือนกัน ต่อไปจะได้ทุ่มเทจิตใจและกำลังจิตใจให้กับทางพิภพใหญ่” อวิ๋นจือชิวกล่าว

“บอกพวกเขาด้วย ถ้าอยากจะให้ข้าตอบตกลงก็ได้เหมือนกัน แต่ข้ายังมีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่ง จากนี้ไปต้องหยุดจัดการปราบจลาจลของทะเลดาวนักษัตร!” เหมียวอี้กล่าวเสริมช้าๆ ด้วยสีหน้าเศร้าสลด

อวิ๋นจือชิวงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้ พยักหน้าตอบว่า “เรื่องนี้น่าจะไม่มีปัญหาอะไร!”

เมื่อเรื่องทุกอย่างเปิดเผยแล้วกลับจัดการง่ายด้วยซ้ำ! อวิ๋นจือชิวไม่มีความเห็นแย้งอะไรทั้งนั้น เหมียวอี้ก็ยอมรับแล้วเช่นกัน ไม่มีคำว่าดีใจหรือไม่ดีใจ

ส่วนเรื่องที่เหลืออวิ๋นจือชิวก็เป็นคนออกหน้าจัดการ ทางเหมียวอี้ยินยอมแล้ว พวกจีฮวนก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร ตอบตกลงเรื่องแต่งงานรับพวกผู้หญิงเข้าตระกูลและจัดในฤกษ์มงคลเร็วๆ นี้ จัดงานวันเดียวกัน ทุกคนไม่อยากเสียเวลาต่อไปอีกแล้ว

พอเป็นแบบนี้ หกแดนก็ส่งกำลังคนมาเตรียมการเรื่องแต่งงาน มาเตรียมตัวที่นภาอู๋เลี่ยงอย่างตั้งอกตั้งใจ

กำลังพลของแดนเซียนสายมะโรงถูกเหมียวอี้ดึงไปจนว่างแล้ว หยางชิ่งนำกำลังพลเข้าไปรักษาการณ์ที่แดนอู๋เลี่ยงอย่างเป็นทางการ สำนักของสายมะโรงถูกหยางชิ่งกดดันให้ย้ายไปอยู่ในอาณาเขตแดนอู๋เลี่ยงทั้งหมด

จากนั้นก็อยู่ภายใต้การควบคุมของหยางชิ่งอีก ที่จริงเป็นผลจากการบอกใบ้ของอวิ๋นจือชิว เกิดเรื่องอีกเรื่องหนึ่งขึ้นแล้ว

หลังจากเตรียมวางแผนลงไปแล้ว หยางชิ่งก็กลับมาที่ตำหนักอู๋เลี่ยงล่วงหน้า

อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่ประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรอยู่ด้วย จู่ๆ หยางชิ่งที่กำลังเดินเป็นเพื่อนอยู่ในสวนดอกไม้ก็ก้าวขึ้นมาขวางทางเหมียวอี้ไว้ กุมหมัดคารวะบอกว่า “ข้าน้อยมีเรื่องจะรายงานขอรับ!”

พอเห็นเขา เหมียวอี้ก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องของเขากับฉินซี จึงยิ้มพร้อมถามว่า “มีเรื่องอะไร? คงไม่ได้รังเกียจว่าฉินซีไม่สวยหรอกใช่มั้ย?”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ทุกคนก็หัวเราะลั่น แม้แต่ฉินเวยเวยที่เดินอยู่ข้างๆ ก็เม้มปากกลั้นขำ

หยางชิ่งตอบว่า “ข้าน้อยไม่ได้ล้อเล่น แต่ท่านปราชญ์ได้โปรดแบ่งกำลังพลหกสายจากสิบสองสายของแดนอู๋เลี่ยงย้ายไปรักษาการณ์ที่ทะเลดาวนักษัตร แล้วย้ายกำลังพลห้าสายของทะเลดาวนักษัตรมากระจายประจำการที่แดนอู๋เลี่ยง พร้อมทั้งให้ทะเลดาวนักษัตรหาสถานที่ที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยของสาวก บุกเบิกสร้างเมืองในขอบเขตขนาดใหญ่ แล้วค่อยย้ายประชากรจำนวนมากของหกแดนไปที่นั่น!”

คนที่อยู่ตรงนั้นหัวเราะไม่ออกแล้ว อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ฉินเวยเวยเองก็มองออกถึงเบาะแสในกระทำของหยางชิ่ง ทำแบบนี้เพราะต้องการตัดกำลังควบคุมที่ประมุขถิ่นสี่ทิศมีต่อทะเลดาวนักษัตรชัดๆ!

อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ทำสีหน้าเรียบเฉย ทำท่าเหมือนไม่รู้อะไรทั้งนั้น

ที่จริงนี่ก็คือเจตนาของนาง เหมียวอี้ไม่รู้เรื่องนี้ เพราะนางเข้าใจเหมียวอี้ดีเกินไป เหมียวอี้ทำเรื่องแบบนี้ไม่ลง มีแต่ต้องให้นางแอบออกหน้าเป็นคนเลวเท่านั้น เมื่อบอกแผนนี้ให้หยางชิ่งรู้ หยางชิ่งก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ไปปฏิบัติตามทันที!

เหมียวอี้มองซ้ายมองขวาดูประมุขถิ่นสี่ทิศที่ก้มหน้าไม่พูดอะไร สีหน้าเครียดขรึมลงแล้ว “เจ้าจัดการเรื่องที่อยู่ในมือตัวเองก่อนเถอะ อย่าคิดเรื่องที่ไม่มีประโยชน์พวกนั้นเลย!”

หยางชิ่งยังกวนใจไม่หยุด กุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ข้าน้อยคิดว่า ในเมื่อทะเลดาวนักษัตรกับแดนอู๋เลี่ยงกลายเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เหตุใดยังต้องแยกกันปกครองอีก หรือมีใครมีเจตนาแอบแฝง?”

ชัดเจนมากว่าแอบบ่งชี้ถึงประมุขถิ่นสี่ทิศ! เหมียวอี้กล่าวอย่างเดือดดาลทันที “บังอาจ! ใครก็ได้! มาลากหยางชิ่งไปเฆี่ยน สำนึกผิดได้เมื่อไรค่อยหยุด!”

อวิ๋นจือชิวแอบส่งสายตาให้ฉินเวยเวยทันที ทำให้ฉินเวยเวยพลันวิ่งออกมา คุกเข่าลงตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วกล่าวขอร้องวิงวอน “ท่านปราชญ์! ได้โปรดเห็นแก่ที่หยางชิ่งเป็นพ่อบุญธรรมของอนุภรรยาที่ต่ำต้อยคนนี้ ละเว้นเขาสักครั้งเถอะค่ะ!”

อีกด้านหนึ่ง หลันโฮ่วที่อยู่ใต้บังคับบัญชาอวิ๋นจือชิวมาหลายปี เป็นคนที่อวิ๋นจือชิวชื่นชมในความสามารถ ตอนนี้ถูกย้ายมาคุมการลงโทษที่นภาอู๋เลี่ยงแล้ว เขาสั่งให้นักพรตสองคนพุ่งเข้ามาคุมตัวหยางชิ่งทันที ต้องการจะลากไปทำโทษ

ส่วนอวิ๋นจือชิวก็เหล่ตามองปฏิกิริยาของประมุขถิ่นสี่ทิศทะเลดาวนักษัตรอย่างเย็นเยียบ

“ช้าก่อน!” ฝูชิงที่กำลังอยู่ในความเงียบพลันเอ่ยปาก ยกมือขึ้นห้ามคนที่กำลังจะลงโทษ ขณะเดียวกันก็พยักหน้าเบาๆ ให้สัญญาณสงเวย อิงอู๋ตี๋และหงเทียน

ทั้งสี่เดินเรียงแถวออกมา ฝูชิงกุมหมัดคารวะพูดแทนทุกคนว่า “ท่านปราชญ์! คำพูดของหยางชิ่งไม่มีอะไรที่ยอมรับไม่ได้ ในเมื่อทะเลดาวนักษัตรกลายเป็นส่วนเดียวกับแดนอู๋เลี่ยงแล้ว ถ้าแบ่งแยกกันปกครองอีก ก็จะทำให้คนนินทาได้จริงๆ ที่จริงผู้การใหญ่หยางกำลังเตือนพวกเราสี่คน เรียกได้ว่าเตือนได้ทันเวลา จะได้ไม่ถูดคนคิดไม่ซื่อใช้ประโยชน์ด้วย”

หลังจากเขามองซ้ายมองขวา ประมุขถิ่นสี่ทิศก็กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ข้าน้อยทั้งสี่กล่าวขอร้องผู้การใหญ่หยาง ท่านปราชญ์ได้โปรดระงับโทสะ!”

เหมียวอี้ไม่สนใจ “เห็นแก่ที่พี่ๆ ทั้งสี่ขอร้องให้ เฆี่ยนสิบครั้งให้ได้บทเรียนยาวๆ!”

“พาตัวไป!” หลันโฮ่วสั่งอย่างเย็นเยียบ

ดังนั้นหยางชิ่งจึงถูกลากตัวไปแบบนี้แล้ว ฉินเวยเวยที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นร้อนใจไม่หยุด รสชาติของแส้มังกรสั่งสอนจะไม่ทรมานได้อย่างไร อวิ๋นจือชิวก้าวขึ้นมาประคองนางด้วยตัวเอง ดึงนางเอาไว้ ไม่ให้นางพูดอะไรอีก เพื่อที่จะให้เรื่องบางเรื่องออกมาดูดี ความขื่นขมทรมานนี้หยางชิ่งต้องทนรับไว้

เดิมทีเป็นเพราะเหยียนซิวและพวกหยางเจาชิงมาที่นี่ อีกทั้งเหมียวอี้ยังได้กลายเป็นหนึ่งในหกปราชญ์ ทุกคนมารวมตัวอยู่ด้วยกันถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก จู่ๆ ก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทำลายอารมณ์สุนทรีในการเดินเล่นชมสวนของทุกคนทันที

เหมียวอี้เหลือบมองอวิ๋นจือชิว สีหน้าฉายแววไม่พอใจ เป็นคนแรกที่สะบัดมือเดินจากไป ระหว่างทางเห็นจิ้งอิ๋งกับจิ้งลั่วที่กวาดพื้นอยู่หน้าประตูตำหนักนอนคำนับก็ไม่สนใจ

พวกสงเวยก็กลับไปโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน หลังจากกลับมาถึงที่พักแล้ว จู่ๆ ฝูชิงก็ถอนหายใจ “พี่ใหญ่ เจ้าสาม เจ้าสี่ วันนี้เจ้าห้าไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่พิภพใหญ่หรือพิภพเล็ก ตอนนี้เขาเป็นเจ้านายเราทั้งนั้น ถ้าจะเรียกว่า ‘เจ้าห้า’ อีกก็ไม่เหมาะแล้ว ต่อไปอย่าลืมเปลี่ยนคำเรียกล่ะ!”

“เจ้าหมายความว่า เจ้าห้ากำลังจงใจเล่นละครให้เราดูเหรอ?” สงเวยไม่แน่ใจ

ฝูชิงส่ายหน้า “เจ้าห้าเป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตร ทำเรื่องแบบนี้ไม่ลงหรอก แต่ฮูหยินของเจ้าห้า…น้องสะใภ้คนนั้นกำลังอาศัยปากของหยางชิ่งมาสร้างกฎกับพวกเรา! นางต้องการสร้างกฎขึ้นทั้งข้างล่างข้างบน และกำลังทดสอบท่าทีของพวกเราด้วย ถ้ายังคิดว่าตัวเองอยู่ในระดับเดียวกับเจ้าห้าอีก เช่นนั้นพวกเราก็ผิดแล้ว น้องสะใภ้คนนั้นไม่มีทางเกรงใจ!”

พี่น้องคนอื่นๆ พลันเงียบไม่พูดอะไร…

ทว่าหยางชิ่งกลับได้รับความทรมานทางกายเนื้ออย่างรุนแรง

แต่หลังจากนั้นอวิ๋นจือชิวก็พาฉินเวยเวยมาเยี่ยม หยางชิ่งที่แผ่นหลังเละไปด้วยเลือดเนื้อเอาเสื้อมาคลุมแล้วลุกขึ้นทันที โดยมีฉินซีประคองเข้ามาคำนับฮูหยินทั้งสอง

“ผู้การใหญ่ลำบากแล้ว!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ แล้วใช้มือยื่นกล่องหยกใบหนึ่งให้ด้วยตัวเอง ข้างในมีสมุนไพรเซียนซิงหัวห้าต้น

หลังจากพูดปลอบใจไปได้สักพัก อวิ๋นจือชิวก็ทิ้งให้ฉินเวยเวยอยู่ที่นี่ก่อน ส่วนตัวเองก็พาเหยียนซิวกับหยางเจาชิงออกไป

รอจนกระทั่งฉินเวยเวยออกไปแล้ว ฉินซีก็ประคองให้หยางชิ่งนอนหมอบลงอีก แล้วถามอย่างค่อนข้างคับแค้น “นี่คือสิ่งที่อวิ๋นจือชิวบอกใบ้ให้เจ้าทำไม่ใช่เหรอ ทำไมยังทำร้ายเจ้าจนกลายเป็นแบบนี้?”

หยางชิ่งที่นอนหมอบอยู่บนหมอนยิ้มเจื่อน “เจ้าไม่ต้องพูดถึงว่าคนอื่นก็รู้ดีอยู่แก่ใจเหมือนกัน ท่านปราชญ์กำลังจะรับอนุภรรยาแล้ว พาเข้าบ้านรวดเดียวสี่คน แต่ละคนมีภูมิหลังและศักยภาพไม่ด้อยไปกว่าพวกเรา ฮูหยินเป็นคนคุมตำหนักหลัง ถ้าเวยเวยอยากจะมีที่ยืนในตำหนักหลัง ถ้าข้าไม่แสดงความจงรักภักดีแล้วใครจะแสดงความจงรักภักดี? มิหนำซ้ำท่านปราชญ์ก็เคยชินกับการโยนงานให้ลูกน้องทำ เรื่องบางเรื่องไม่ใช่ว่าข้าอยากจะไปยุ่งหรอก แต่เป็นเพราะฮูหยินมีอำนาจมาก! จำไว้นะ ต้อไปอย่าเรียกว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ อีก ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง จำไว้ว่าต่อไปนี้ต้องเรียกว่าฮูหยิน ป้องกันไว้เผื่อหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง!”

“รับอนุภรรยาเข้าเป็นฝูงแล้ว ทั้งยังจะจัดงานแต่งงานด้วย เวยเวยจะกลายเป็นอะไรไปแล้ว?” ฉินซีถ่ายอย่างไม่ค่อยพอใจ

“การแต่งงานแบบนี้เป็นเพียงการใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกันเท่านั้น” หยางชิ่งส่ายหน้าตอบ

ในวันแต่งงาน ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะบอกไว้แล้วว่าขอจัดงานแบบเรียบง่าย แต่นภาอู๋เลี่ยงก็ยังคึกคักไม่ธรรมดา ที่บอกว่าจัดอย่างเรียบง่ายก็แค่ไม่ได้เชิญแขกเยอะ ที่จริงพวกจีฮวนไม่ค่อยอยากให้คนในใต้หล้ารู้เรื่องนี้ จึงไม่ได้ประกาศล่วงหน้าแบบกว้างขวาง ถึงแม้จะรู้ว่าสักวันข่าวก็ต้องแพร่ออกไปก็ตาม

โคมไฟที่งดงามเพิ่งจะส่องแสง ภายใต้ม่านราตรีที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉอง ทุกที่ในตำหนักอู๋เลี่ยงถูกประดับประดาไปด้วยผ้าและโคมไฟหลากสี ท่ามกลางเสียงดนตรีบรรเลงเหมียวอี้ที่สวมชุดพิธีคำนับเจ้าสาวทั้งสี่คนที่มีผ้าแดงคลุมหน้า ทำให้คนที่กำลังดูพิธีอดไม่ได้ที่จะขำออกมา กำลังพลเบื้องล่างโห่ร้องยินดี

โชคดีที่ท่านขุนนางเหมียวไม่ได้ผ่านงานแบบนี้เป็นครั้งแรก ครั้งก่อนแต่งงานรวดเดียวสามคน ครั้งนี้แต่งงานรวดเดียวสามคน ถือว่าไม่เยอะ แค่เพิ่มจากครั้งก่อนคนเดียวเท่านั้น แต่สาวใช้ที่แต่งงานพ่วงเข้ามาด้วยก็ไม่น้อยเหมือนกัน เท่ากับแต่งงานรวดเดียวสิบสองคน

ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ตรงจุดที่แสงไฟริบหรี่ อวิ๋นจือชิวยืนเงียบๆ ตรงจุดที่มืดสลัวบนหลังคา มองดูจุดที่มีงานมงคลคึกคักอยู่ไกลๆ บนใบหน้ามีน้ำตาสองสายไหลลงมาโดยไร้เสียง น้ำตาทำให้ดวงตาสองข้างพร่ามัว

“ทำไมไม่แสดงความใจกว้างของเจ้าแล้วล่ะ? ทำไมมาหลบร้องไห้อยู่ตรงนี้คนเดียว?”

จู่ๆ ข้างกายก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น อวิ๋นจือชิวหันขวับ เห็นเพียงอวิ๋นอ้าวเทียนมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ผมยาวที่คลุมหลังพัดเบาๆ อยู่ท่ามกลางสายลม ยืนเอามือไขว้หลังด้วยสีหน้าเรียบเฉย สังเกตมองไปยังจุดที่คึกคักเหมือนกัน

คนทางนภาจอมมารไม่มีใครมาประสมโรงด้วย

“ท่านปู!” อวิ๋นจือชิวถูกจมูกนิดหน่อย เอามือปาดน้ำตาแล้วคำนับ

“แต่งงานกับเขา เจ้ามานึกเสียใจทีหลังแล้วเหรอ?” อวิ๋นอ้าวเทียนถามอย่างสุขุมเยือกเย็น

อวิ๋นจือชิวฝืนยิ้มอย่างมีความสุขขณะที่ตอบ “ไม่นึกเสียใจทีหลังค่ะ การได้แต่งงานกับเขา ข้าไม่เคยนึกเสียใจทีหลังเลย! ตอนที่ท่านย่าบุญธรรมยังมีชีวิตอยู่ ข้ายังจำที่นางบอกข้าได้ ว่าผู้หญิงเราไม่ควรแต่งงานกับผู้ชายมีอนาคต ถ้าแต่งไปแล้วก็ไม่ต้องคิดมาก…เมือ่ก่อนนี้ข้าไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว!”

“แต่เจ้าก็ยังร้องไห้ไปแล้ว” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าว

อวิ๋นจือชิวเอามือปาดน้ำตาอีก แล้วบอกว่า “เรื่องในวันนี้ ถ้าหากข้าไม่ตอยตกลง เหมียวอี้ก็มได้แต่งงานเด็ดขาด เรื่องนี้ผ่านการยินยอมจากข้าแล้ว”

“ในเมื่อในใจเจ้าไม่เต็มใจ แล้วยังจะตอบตกลงทำไม?” อวิ๋นอ้าวเทียนถาม

อวิ๋นจือชิวตอบว่า “ถึงแม้ข้าจะแต่งงานไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรตระกูลอวิ๋นก็ยังเป็นครอบครัวของข้า ถึงอย่างไรท่านก็เป็นท่านปู่ของข้า ข้ายังต้องคิดไตร่ตรองเพื่อตระกูลอวิ๋น ข้าจะอาศัยที่ข้าตอบตกลงเขาเรื่องนี้ เพื่อขอร้องเขาอีกเรื่องหนึ่งที่เขาจะทำใจปฏิเสธไม่ลง หลังจากไปที่พิภพใหญ่แล้ว ข้าสามารถนำเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินทั้งหมดให้ท่านปู่ได้!”

คำพูดนี้เหลวไหลมาก ที่จริงเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินทั้งหมดอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของนาง นางได้รับความยินยอมจากเหมียวอี้ตั้งแต่ก่อนที่เหมียวอี้จะแต่งงานรับอนุภรรยาแล้ว ไม่ผิดหรอก นางสามารถดูแลตระกูลเดิมของตัวเองได้จริงๆ แต่นางต้องดูแลครอบครัวของตัวเองก่อน ถ้าไม่มีครอบครัวของตัวเองแล้ว ยังจะไปดูแลตระกูลเดิมของตัวเองได้อย่างไร? ดังนั้นนางต้องขยายผลประโยชน์ให้มากที่สุด ขอเพียงตระกูลอวิ๋นได้เคล็ดวิชาภาคดินไปแล้ว ในภายหลังก็จะต้องดูแลนาง เมื่อดูแลนางก็ต้องดูแลเหมียวอี้ด้วย และต้องดูแลครอบครัวนางด้วย

อวิ๋นอ้าวเทียนหันขวับมองนาง นึกไม่ถึงว่าหลานสาวคนนี้จะเสียสละมากขนาดนี้เพื่อตระกูลอวิ๋นได้ มาหลบร้องไห้คนเดียวเพราะเรื่องนี้ เขารู้สึกปวดใจมาก ถามเสียงต่ำว่า “ใครต้องการให้เจ้าทำแบบนี้? ผู้ชายของตระกูลอวิ๋นสามารถตายได้ แต่ไม่เคยเอาผู้หญิงของตระกูลไปแลกกับอนาคต ทำไมไม่บอกเรื่องนี้กับข้าล่วงหน้า?”

อวิ๋นจือชิวกล่าวว่า “ท่านปู่ อย่าบอกนะว่าท่านคิดจริงๆว่า หกเคล็ดวิชาพิเศษของพิภพใหญ่จะหาพบได้ง่ายๆ ขนาดนั้น? เมื่อตระกูลไปที่พิภพใหญ่แล้ว หากไม่มีศักยภาพติดตัว ท่านจะให้หลานสาวคนนี้สงบใจได้อย่างไร?”

อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวเน้นทีละคำว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องทนรับความไม่ยุติธรรมแบบนี้ ข้าจะหาทางเอามาจากมือเหมียวอี้เอง!”

“มาถึงขนาดนี้แล้ว ตอนนี้จะยกเลิกงานแต่งงานได้เชียวหรือ?” อวิ๋นจือชิวถาม

อวิ๋นอ้าวเทียนกระตุกมุมปากเล็กน้อย…

1125

 

 

บทที่ 1126 ตรงจุดที่แสงไฟริบหรี่

อีกมุมหนึ่งของงานพิธีที่มีเสียงดนตรีดังสนั่น ที่จวนผู้การใหญ่ที่ตั้งขึ้นใหม่นอกตำหนักอู๋เลี่ยง ฉินเวยเวยออกจากตำหนักอู๋เลี่ยงมาหลบอยู่ที่นี่ นั่งหดหู่อยู่คนเดียวในศาลา นางไม่ให้คนอื่นเข้าใกล้ ฉินซีเองก็ทำได้เพียงขมวดคิ้วมองอยู่ไกลๆ บางครั้งก็หันไปมองยังทิศทางที่เสียงดนตรีดังครึกครื้นดังแว่วมา

หลังจากหยางชิ่งกลับมาพร้อมกลิ่นสุรา เห็นฉินซีก่อนเป็นคนแรก จึงถามว่า “มายืนทำอะไรตรงนี้?”

เขาก็เป็นคนแบบนี้ ในเมื่อเป็นเรื่องที่ยอมรับแล้ว เขาก็จะจัดการเรื่องนั้นให้ดี ถึงแม้ตอนแรกจะไม่เต็มใจอยู่กับฉินซี แต่ตอนนี้จัดการให้ฉินซีโอนอ่อนผ่อนตามแล้ว เขาไม่ได้ต้องการแค่ตัวของนาง ยังต้องการหัวใจของนางด้วย ถึงอย่างไรความงามเลิศล้ำของฉินซีก็ยังเป็นจุดที่ควรค่าแก่การชื่นชม

และฉินซีก็ไม่ทำตัวเหมือนตอนที่อยู่ข้างกายเฟิงเป่ยเฉินเช่นกัน บนตัวนางเริ่มจะมีรสชาติขึ้นมาบ้างแล้ว

กุญแจที่สำคัญที่สุดก็คือ ระหว่างทั้งสองคนยังมีฉินเวยเวยอยู่อีกคนหนึ่ง ตอนนี้นางเพิ่งจะทำตัวเหมือนผู้หญิงอย่างแท้จริง รับบทบาทภรรยาและมารดา

ฉินซีดึงแขนเขาเล็กน้อย แล้วบุ้ยปากไปทางศาลา

หยางชิ่งเอียงหน้ามองไปทางนั้น เห็นฉินเวยเวยนั่งโดดเดี่ยวอยู่ในศาลา หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็เดินเข้าไปอย่างช้าๆ

“ท่านพ่อ! ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ” พอได้ยินเสียงฝีเท้า ฉินเวยเวยก็รู้ว่าเขามาแล้ว นางพึมพำเสียงต่ำโดยไม่เงยหน้ามอง

หยางชิ่งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วนั่งลงข้างๆ นาง จากนั้นฉินซีก็เดินตามมา ถือกาน้ำชามารินให้เขา

หลังจากรับถ้วยน้ำชามาจิบจนชุ่มคอ หยางชิ่งก็ถามปนเหน็บแนมว่า “ตอนนี้รู้จักไม่เบิกบานใจแล้วเหรอ? ตอนนั้นที่เจ้าต้องการจะแต่งงานกับเขา ข้าไม่ตอบตกลง แต่เจ้าจะเป็นจะตายก็ไม่ยอม จะแต่งงานกับเขาให้ได้ ตัวเองเป็นคนเลือกเส้นทางนี้เอง ตอนนี้มานึกเสียใจทีหลังจะมีประโยชน์อะไร เรื่องแบบนี้กลับตัวไม่ได้แล้ว”

ฉินเวยเวยตอบเสียงต่ำว่า “ข้าไม่ได้นึกเสียใจทีหลัง แต่ข้างกายเขามีอนุภรรยาเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าในภายหลังข้าจะเป็นอะไรในสายตาเขา?”

หยางชิ่งอธิบายว่า “การแต่งงานในครั้งนี้ เขาเองก็ไม่ได้เต็มใจ เป็นความสอดคล้องกันของผลประโยชน์ ต่อให้เขาจะไม่อยากแต่ง แต่ก็จะมีคนปลุกใจให้เขาแต่งอยู่ดี ถ้าคนเราต้องการจะเดินไปในทิศทางที่เป็นใหญ่ จะมีผู้หญิงมากเท่าไรก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเลย ในภายหลังผู้หญิงของเขาอาจจะมีมากกว่านี้ด้วย เจ้าไม่พอใจไปก็ไร้ประโยชน์ นี่คือสิ่งที่เจ้าเลือกเอง ในปีนั้นข้าให้เจ้าแต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองสามารถยึดฉวยไว้ได้ แต่เจ้าเองก็ไม่ยอม ส่วนในภายหลังเจ้าจะกลายเป็นอะไรในสายตาเขา จะมีฐานะเป็นอย่างไร นั่นก็ต้องดูที่ความพยายามของเจ้า คนเราเมื่อขึ้นมาอยู่ในฐานะบางฐานะแล้ว หญิงงามเป็นสิ่งที่ได้มาอย่างง่ายดาย ถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือ เจ้าต้องมีศักยภาพถึงจะมีที่ยืนในตำหนักหลัง! สิ่งที่เจ้าต้องทำตอนนี้ไม่ใช่ไปแย่งความโปรดปรานกับผู้หญิงคนอื่น ไม่ต้องสนใจว่าท่านปราชญ์จะรักเจ้ามากเท่าไร หรือจะแบ่งใจมาไว้ที่ตัวเจ้ากี่ส่วน ละทิ้งความคิดที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงแบบนั้นไปเสีย พยายามยืนอยู่ข้างฮูหยินเข้าไว้ สร้างจุดยืนที่มั่นคงของตัวเองในตำหนักหลังให้ได้ก่อน ไม่ว่าจะอยากช่วงชิงอะไร ก่อนอื่นจะต้องมีคุณสมบัตินั้นก่อน นี่ก็คือเงื่อนไข!”

ฉินเวยเวยสีหน้าเศร้าสลด นี่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ชายหญิงอันงดงามที่นางเคยใฝ่ฝันไว้ในปีนั้น

“เฮ้อ!” ฉินซีถอนหายใจ นางเองก็เคยผ่านความคิดของเด็กสาวมาก่อน สามารถเข้าใจความคิดฉินเวยเวยได้ จึงพูดเกลี้ยกล่อมว่า “เวยเวย พ่อของเจ้าพูดไว้ไม่ผิด จำไว้ให้ดี ไม่มีผลเสียต่อเจ้า…”

งานเลี้ยงยังไม่เลิก มีบางคนชอบดื่มสุรา เล่นทำสัญลักษณ์มือกันในวงสุราคึกคักมาก

ในเขตลานบ้านหนึ่ง มีห้องหอสี่ห้อง สี่ปราชญ์ใช้อีกวิธีการเพื่อชดเชยให้ลูกสาวและลูกศิษย์ของตัวเอง ทุกคนล้วนใช้ความคิดไปมากเพื่อตกแต่ง เรียกได้ว่าหรูหรามากจริงๆ

ในห้องหอ เหมียวอี้ยกมือป้องของที่ยื่นเข้ามา ขี้คร้านจะทำอะไรยุ่งยาก ยื่นมือดึงผ้าแดงบนศีรษะหงเฉินทิ้งเสียเลย

หงเฉินที่สวมมงกุฎทองเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างค่อนข้างจนใจ แล้วลุกขึ้นยืน

ทั้งสองหยิบจอกสุรามาแล้ว เหมียวอี้เริ่มจ้องสำรวจนาง หน้าผากกว้างคิ้วโก่ง ผิวเนื้อเกลี้ยงเกลา ดวงตางามสดใสวูบไหว จมูกโด่งปากแดง ถึงแม้วันนี้จะมีกลิ่นอายของเครื่องประทินโฉมหลายส่วน แต่กลับยากที่จะปิดบังความงามเลิศล้ำในแผ่นดินของนางได้ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพผู้หญิงที่ได้เจอครั้งแรกในปีนั้น

ที่เหมียวอี้คิดว่ายุ่งยากก็ส่วนยุ่งยาก แต่เหมือนจะไม่ใช่เรื่องแย่อะไร สามารถรับผู้หญิงที่สวยขนาดนี้มาเป็นอนุภรรยาได้ ในใจเขาก็ภูมิใจอยู่หลายส่วนเหมือนกัน

เมื่อเห็นว่าเขาจ้องตนไม่หยุดเสียที หงเฉินจึงถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ใช่ว่าจะไม่เคยเห็น รีบทำให้เสร็จพิธีเถอะ ยังมีอีกสามคนรออยู่”

เหมียวอี้หัวเราะนิดหน่อย แล้วคล้องแขนดื่มสุรากับนางตามพิธี

เมื่อวางจอกสุราลงแล้ว หงเฉินก็ย่อเข่าคำนับ “ท่านสามี!”

เสียงนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกตื่นเต้นหวั่นไหว ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะเรียกตนแบบนี้ได้

“ฮูหยิน!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ มีเพียงคืนนี้เท่านั้นที่อีกฝ่ายจะมีสิทธิ์ใช้คำว่า ‘ฮูหยิน’ ถ้าผ่านคืนนี้ไปก็จะเป็น ‘หรูฮูหยิน’

หลังจากประคองหงเฉินกลับมานั่งที่เตียง เหมียวอี้ก็หันกลับมามองสาวใช้สองคนที่แต่งงานพ่วงเข้ามาด้วย แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ทำไมเป็นพวกเจ้าสองคนที่แต่งงานมาพร้อมกัน พวกเจ้าเป็นหญิงรับใช้ข้างกายมู่ฝานจวินไม่ใช่เหรอ? มู่ฝานจวินเล่นบ้าอะไร?”

จื่ออวิ๋นกับจื่อหัวสบตากันแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะถามเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร กลับเป็นหงเฉินที่ช่วยตอบให้ “ข้าเลือกมาเอง”

“อ้อเหรอ!” เหมียวอี้เลิกคิ้ว เรื่องบางเรื่องทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว

เขาเดินมาข้างกายสาวใช้ทั้งสองคน ยื่นมือช้อนคางจื่ออวิ๋น พร้อมถามว่า “ข้ามีสิทธิ์พาสาวใช้ร่วมห้องเข้าห้องหอ พวกเจ้าต้องเตรียมใจไว้ดีๆ นะ”

สองสาวฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาไม่ฟังดูเป็นมิตรเลย จึงรีบตอบว่า “ตั้งแต่วันนี้ไปบ่าวเป็นคนของท่านเขย”

เหมียวอี้ปล่อยมือ แล้วหันกลับมาบอกหงเฉิน “ยังมีอีกสามห้องที่ต้องไป ลำบากเจ้าแล้ว”

หงเฉินพยักหน้า

จื่ออวิ๋นกลับรีบบอกว่า “ท่านเขยกับฮูหยินคนใหม่เป็นคนรู้จักกันมานานแล้ว อีกสามห้องเทียบความสัมพันธ์นี้ไม่ติด อย่าลืมกลับมาค้างที่นี่นะเจ้าคะ อย่าเย็นชากับเจ้าสาว”

นางมาพร้อมกับภารกิจ คำบางคนหงเฉินไม่สะดวกจะเอ่ยออกมา แต่นางกลับต้องพูด กำลังเตือนเหมียวอี้ว่า หลังจากทำพิธีเสร็จแล้วต้องมาเข้าห้องหอทางนี้

เหมียวอี้ยกมุมปากยิ้มหยอกล้อ หันกลับมาถามหงเฉินว่า “เจ้าเองก็อยากให้ข้าเข้าห้องหอกับเจ้าคืนนี้เหรอ? ถ้าเจ้าอยากจริงๆ ข้าก็จะกลับมาจริงๆ”

หงเฉินถอนหายใจแล้วตอบว่า “ตามใจเจ้าเถอะ”

จื่ออวิ๋นกับจื่อหัวสบตากันแล้วขมวดคิ้ว คำพูดของหงเฉินทำให้ทั้งสองไม่ค่อยพอใจ

เหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เดินก้าวยาวจากไป ไปยังห้องต่อไป เป็นห้องหอของจีเหม่ยลี่

เปิดผ้าแดงคลุมศีรษะ คล้องแขนดื่มสุรา ทำพิธีของสามีภรรยาเสร็จแล้ว จีเหม่ยลี่ก็บอกอย่างตรงไปตรงมามาก “คืนนี้ท่านสามีอย่าลืมมาอยู่กับข้านะคะ!”

ผู้หญิงคนนี้พยายามขอให้เหมียวอี้มาเข้าห้องหอตรงๆ เลย ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องที่นางเต็มใจ แต่ในเมื่อได้รับคำสั่งให้มาแต่งงานแล้ว ร่างกายผูกติดกับผลประโยชน์ของครอบครัว นางจึงไม่สะดวกจะอิดออดอะไร ต้องทำมูลค่าของตัวเองให้บรรลุผลเพื่อตระกูล ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นการเสียสละโดยเปล่าประโยชน์

เหมียวอี้ไม่ได้ตอบตกลงแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ไปยังห้องถัดไป เป็นห้องของอวี้หนูเจียว

พอเขาออกประตูมา จีเหม่ยลี่ก็พูดกับหญิงรับใช้สองคนทันทีว่า “ออกไปจับตาดูเขาเอาไว้ ถ้าอยู่ที่ห้องอื่นนานไม่ยอมออกมา ก็ไปเคาะประตูให้ข้าด้วย”

หญิงรับใช้ทั้งสองเข้าใจและไปปฏิบัติตาม

ที่ห้องหออีกห้องหนึ่ง เมื่ออวี้หนูเจียวอยู่ภายใต้เหตุการณ์แบบนี้ เห็นได้ชัดว่านางค่อนข้างประหม่าเมื่อเผชิญหน้ากับเหมียวอี้ โดยเฉพาะตอนที่คำนับ นางเรียกว่า “ท่านสามี” อย่างติดอ่าง เหมือนจะกลัวเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ที่จะเกิดตามมา

ในปีนั้นผู้หญิงคนนี้เอาแต่เรียกตนว่าไอ้เหมียวจัญไร ทั้งยังคิดจะฆ่าเขาด้วย เย่อหยิ่งอวดดีมาก! เหมียวอี้หัวเราะเยาะในใจ พูดหยอกว่า “อะไรนะ? ข้าฟังไม่ชัด เจ้าเรียกว่าอะไรนะ?”

อวี้หนูเจียวอยากจะเตะเขาให้ตาย นางกัดฟันและพยายามกล่าวอย่างสงบเยือกเย็นว่า “ท่านสามี!”

“อะไรนะ?” เหมียวอี้ยังก่อกวนไม่เลิก “เสียงเบาไป คงไม่ได้เรียกว่าไอ้เหมียวจัญไรหรอกใช่มั้ย?”

อวี้หนูเจียวโมโหแล้ว ตะโกนเสียงดังเหมือนคอจะแตกว่า “ท่านสามี!”

พอตะโกนเสร็จนางก็มองหญิงรับใช้ทางซ้ายและขวาที่กำลังเหม่องง แล้วก็มองเหมียวอี้ที่กำลังตกใจเสียงตะโกนของนาง นางเองก็เหม่องงนิดหน่อยเหมือนกัน คาดว่าคนข้างนอกคงได้ยินเสียงตะโกนนี้กันหมดแล้ว ถ้าข่าวแพร่ออกไปตนจะทนความรู้สึกได้อย่างไร

อวี้หนูเจียวที่กำลังอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จู่ๆ ก็พบว่าเหมียวอี้กำลังกลั้นขำ จึงกระชากคอเสื้อเหมียวอี้ แล้วตะคอกอย่างโมโหว่า “เจ้าล้อข้าเหรอ!”

“เจ้าแข็งข้อแล้ว ตอนนี้เจ้าเป็นอนุภรรยาของข้า ข้าให้เจ้ายืน เจ้าก็นั่งไม่ได้ ยังจะกล้าลงมือกับข้าอีกเหรอ?” เหมียวอี้รู้สึกบันเทิงแล้ว ชี้ที่มือนาง พร้อมถามว่า “เจ้าจะปล่อยหรือไม่ปล่อย?”

นี่เป็นจังหวะตอนเตรียมจะลงมือต่อยตีกันชัดๆ ! หญิงรับใช้สองคนที่อยู่ข้างๆ กลัวแล้วรีบมาจับทั้งสองแยก ถ้าตีกันให้ห้องหอขึ้นมาจริงๆ แบบนั้นก็แย่แล้วล่ะ

พอแยกออกจากกัน เหมียวอี้ก็ทำเรื่องประเภทตบเมียที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ไม่ลง เพียงแต่ชี้นางพร้อมเตือนว่า “อวี้หนูเจียว เจ้าฟังให้ดีนะ ในเมื่อเจ้าแต่งงานกับข้าแล้ว เจ้าก็เป็นคนของข้า เจ้าจะปากแข็งตามอำเภอใจไม่ได้แล้ว ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะเย่อหยิ่งไปได้นานแค่ไหน ถ้าเก่งนักทั้งชาตินี้ก็อย่าก้มหัวยอมแพ้แล้วกัน!”

พูดจบก็หัวเราะเยาะ หันหน้าจเดินจากไป สะบักแขนเสื้อเดินออกจากประตูไป

“ไอ้จัญไรอย่าหนีนะ! เจ้าคิดว่าข้าอยากแต่งรึไงล่ะ…” อวี้หนูเจียวดิ้นรนขณะกำลังโมโห อยากจะประลองฝีมือกับเหมียวอี้ให้รู้แล้วรู้รอด

“ฮูหยิน พูดแบบนี้ไม่ได้เจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้สองคนตกใจแทบแย่ ตอนนี้คุกเข่าลงแล้ว กอดขานางไว้คนละข้างพร้อมพูดขอร้อง “ฮูหยิน ท่านผ่านเข้าประตูมาแล้ว เป็นคนของตระกูลเหมียวแล้ว ถ้าท่านทำแบบนี้ต่อไปจะไม่เป็นผลดีกับท่าน…”

ที่ห้องหออีกห้องหนึ่ง พอเปิดผ้าคลุมสีแดงออก ฝ่าอินที่สวมชุดเจ้าสาวก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบจริงๆ เหมียวอี้หัวใจเต้นแรงแล้ว

แต่ฝ่าอินก็ประหลาดมากเช่นกัน หลังจากทำพิธีระหว่างสามีภรรยาเสร็จแล้ว ฝ่าอินก็เป็นฝ่ายถามก่อนว่า “ท่านสามีแต่งงานรวดเดียวสี่คน เวลาเข้าห้องหอทำอย่างไร?”

เหมียวอี้รู้สึกบันเทิง ถามกลับว่า “เจ้าคิดว่าทำอย่างไรล่ะ?”

ฝ่าอินบอกว่า “ข้าอยากสัมผัสความรักระหว่างสามีภรรยา ในคืนเข้าห้องหอย่อมไม่อยากพลาดไป แต่ถ้ารั้งท่านไว้ก็เหมือนจะไม่ยุติธรรมกับเจ้าสาวอีกสามคน จึงอยากจะฟังว่าท่านวางแผนไว้อย่างไร คืนนี้ท่านจะสลับกันมา หรือจะไปอยู่กับห้องเดียว? ถ้าเป็นอย่างหลัง คืนนี้ท่านก็อยู่กับข้าได้ ข้าเฝ้าคอยมาก และจะตั้งใจปรนนิบัติท่านสามีด้วย ก่อนหน้านี้ข้าหาคนมาช่วยสอนแล้ว เตรียมพร้อมมาอย่างเต็มที่ คงไม่ทำให้ท่านสามีผิดหวัง!”

เมื่อคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากของนาง นางก็ทำท่าเอาจริงเอาจังมาก ไม่มีความเขินอายหรือการเสแสร้งใดๆ

เหมียวอี้ยืนเหม่ออยู่ที่เดิม ตกใจถึงขีดสุด นึกไม่ถึงว่าคนที่ไม่เคยแปดเปื้อนเรื่องทางโลกจะพูดแบบนี้ออกมาได้ ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะตอบนางอย่างไรดี

แต่สุดท้าย เหมียวอี้ก็ไม่ได้ไปห้องไหนทั้งนั้น แต่ออกมาจากลานบ้านเล็ก ไปที่ตำหนักนอนของภรรยาเอก เป็นตำหนักนอนของเขากับอวิ๋นจือชิว หรือที่เรียกว่าตำหนักหลัก

สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้นึกไม่ถึงก็คือ อวิ๋นจือชิวมาหลบฝึกตนอยู่ในห้องสมาธิคนเดียว

ตอนที่ประตูหินของห้องสมาธิเปิดออกเสียงดังครืน อวิ๋นจือชิวที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหยกก็ลืมตามอง เห็นเหมียวอี้ที่สวมชุดพิธีเดินเข้ามาแล้ว นางอึ้งนิดหน่อย หยุดฝึกตนแล้วหย่อนขาสองข้างลงจากเตียง ถามอย่างแปลกใจว่า “คืนเข้าห้องหอ เจ้าดันไม่ไปอยู่กับเจ้าสาว มาทำอะไรที่นี่? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“วันมงคลแบบนี้ จะเฉยเมยกับฮูหยินได้อย่างไร” เหมียวอี้เดินเข้ามา แล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง อุ้มนางเดินก้าวยาวออกไปข้างนอก

“เจ้าทำอะไร!” อวิ๋นจือชิวตกใจ ขัดขืนพร้อมบอกว่า “เจ้าไม่ไปห้องหอ แต่ถ่อมาหาข้าที่นี่ เดี๋ยวต่อไปคนจะนินทาข้าอย่างไร?”

เหมียวอี้กอดแน่นไม่ยอมปล่อย พอกลับถึงห้องนอน ก็กดอวิ๋นจือชิวลงบนเตียงทันที จูบอย่างดุเดือด! สองมือก็ยิ่งขยับอย่างเร่าร้อนอยู่บนตัวนาง

ตอนแรกอวิ๋นจือชิวก็ยังขัดขืนนิดหน่อย แต่ตอนหลังเสื้อผ้าถูกฉีกขาด หลังจากถูกกดลงบนเตียงนุ่ม ก็ยอมแล้ว…

หลังจากพายุฝนสงบ อวิ๋นจือชิวที่ได้เสพสุขจนพึงพอใจไปยกหนึ่งก็ยังทุบหน้าอกเหมียวอี้ “เจ้านี่ไม่ไหวเลย เดี๋ยวต่อไปข้าอาจจะโดนอนุภรรยาพวกนั้นของเจ้าลอบกัดอย่างไรบ้างก็ไม่รู้!”

“พวกนางน่ะเหรอ เจ้าไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ประหลาดขนาดไหน…” เหมียวอี้ที่กำลังกอดนางเล่าเหตุการณ์ตอนทำพิธีกับอนุภรรยาสี่คนเมื่อครู่นี้ให้นางฟัง

ทำให้อวิ๋นจือชิวหัวเราะไม่หยุด โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินว่าเหมียวอี้แทบจะตีกับอวี้หนูเจียว เรื่องนั้นทำให้นางหัวเราะจนไหล่สั่นจริงๆ หัวเราะจนท้องแข็ง หัวเราะจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา นางทุบหน้าอกเหมียวอี้ไม่หยุดพร้อมบอกว่า “หนิวเอ้อร์ แต่ละคนต่างมีดอกลักษณ์เฉพาะตัว ยินดีด้วย!”

“ยังจะหัวเราะอีก!” เหมียวอี้ตีก้นที่ขาวงอนอวบอัดของนางหลายฉาดอย่างแรง หลังจากตีจนนางร้องวิงวอน ถึงได้ดึงนางมาไว้ในอ้อมกอดแล้วนอนมองเพดานเงียบๆ ใช้มือลูบไล้เรือนร่างของนางนานมาก พร้อมพึมพำอย่างเคลิบเคลิ้ม “สุราแหละหญิงงามเป็นเรื่องธรรมดา เกรงว่าจะหมกมุ่นไม่พัฒนาตัวเอง จะเสียเวลาไม่ก้าวหน้า หากความงดงามคงอยู่ชั่วนิรันดร์ คงได้แต่เพียงรอคอยวันเวลาที่จะทำลายนางผู้นั้นกระมัง เหตุใดจึงกล่าวว่าเอื้อมไม่ถึง…”

อวิ๋นจือชิวที่ผมยาวยุ่งสยายเงยหน้าเล็กน้อย มองเขาด้วยแววตาวูบไหว “หนิวเอ้อร์ คำพูดพวกนี้ ไม่เหมือนสิ่งที่เจ้าจะพูดออกมาได้เลยนะ”

“ในปีนั้นข้ายังเป็นเด็กหนุ่มที่อยู่ในโลกมนุษย์ แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเปิด ครั้งแรกที่ได้เจอหงเฉินข้าตกตะลึงมาก…” หลังจากเหมียวอี้เล่าเหตุการณ์ตอนที่เจอหงเฉินครั้งแรกให้ฟัง ก็ถอนหายใจแล้วถามว่า “ตอนหลังเมื่อได้พบเหล่าไป๋อีก ก็มาอยู่ใต้ต้นหลิวตรงเมืองโบราณอีก ข้าพูดถึงหงเฉิน รู้สึกว่าหงเฉินอยู่ไกลเกินเอื้อม จากนั้นเหล่าไป๋ก็บอกข้าแบบนั้น ตอนนี้พอมาลองคิดดู ก็พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ หงเฉินเป็นอนุภรรยาของข้าแล้ว อยู่ไกลเกินเอื้อมเสียที่ไหนกัน?”

อวิ๋นจือชิวพลิกตัว นอนตะแคงข้างแล้วเอามือหนุนศีรษะ ใช้ต้นขากดอยู่บนตัวเหมียวอี้ ปล่อยให้มือเหมียวอี้บีบคลำอยู่บนหน้าอกตัวเอง พร้อมถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้าพูดบ่อยๆ ว่าเหล่าไป๋หน้าตาดีอย่างนั้นหน้าตาดีอย่างนี้ ดูเป็นคนสบายอกสบายใจ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าบนโลกจะมีมนุษย์ธรรมดาที่มีโลกทรรศน์ไม่ธรรมดาขนาดนี้ ทั้งยังมีเคล็ดวิชาที่โดดเด่นไม่เหมือนใครขนาดนี้ ข้าสงสัยว่าเขาเป็นนักพรตหรือเปล่า?”

เหมียวอี้ส่ายหน้าบอกว่า “ข้าเองก็เคยสงสัยเหมือนกัน แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ นักพรตไม่มีทางเข้าไปในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งได้…” แต่ในหัวก็มีความคิดบางอย่างแวบเข้ามา ไม่รู้ว่าเคล็ดวิชาอัคนีดาราจะทำให้เข้าไปตอนแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเปิดได้หรือเปล่า? ถ้าสามารถเข้าไปได้จริงๆ ก็เป็นไปได้เหมือนกันว่าเหล่าไป๋จะเป็นนักพรต

“แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าเป็นนักพรตที่มีหน้าตาแบบที่เจ้าบอกจริงๆ เอกลักษณ์แบบนั้นนั้นก็ชัดเจนเกินไปแล้ว มิหนำซ้ำวิชาที่สอนเจ้าก็ไม่ธรรมดา ข้าอยู่ที่แดนฝึกตนมาหลายปี ถ้าในแดนฝึกตนมีคนแบบนี้อยู่ ก็ไม่น่าจะถึงขั้นไม่เคยได้ยินชื่อนะ” อวิ๋นจือชิวเดาะลิ้น “อยากจะเปิดหูเปิดตาสักหน่อยจริงๆ อยากจะดูว่าผู้ชายสักคนจะสุดยอดไร้ที่เปรียบขนาดนั้นได้อย่างไร”

“ห้ามคิดถึงผู้ชายคนอื่น คิดถึงแค่ข้าได้คนเดียว เจ้าคือเนื้อของเหมียวอี้ที่คนอื่นจะแตะต้องไม่ได้” เหมียวอี้ยื่นมือไปประคองหน้านางให้มองตัวเอง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าต้องจำไว้นะ ต่อให้ข้าจะแต่งงานมีเมียเยอะกว่านี้ แต่เจ้าก็คือคนที่ข้ารักที่สุดตลอดไป! อวิ๋นจือชิว ข้ารักเจ้า!”

1126

 

 

1127

 

 

1128

 

 

1129

 

1130

 





กลับ

next

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น