หน้าเว็บ

room 772-001

 room 772-001

https://fiction-no-limit1.blogspot.com/p/room-772-001.html

ตอนต่อไป

ตอนที่ 1 – 1100 เข้าอ่านนิยาย


Room 2   {920-943}

Room 3   {944 -952}



Room 10 {1200-1224}


913

ใช้วิธีสกปรกไปแล้ว

เมื่อเห็นอานุภาพที่แท้จริงของเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้า จงเจิ้นและลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเผยแววตาอิจฉา ทว่าช่วยไม่ได้ เคล็ดวิชาไม้ตายของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า มู่ฝานจวินไม่มีทางถ่ายทอดออกมาง่ายๆ ไม่อย่างนั้นหากลูกศิษย์ของตัวเองเกิดเจตนาชั่วร้ายขึ้นมา ดีไม่ดีอาจจะไม่สามารถยุติเรื่องได้และโดนลูกศิษย์แว้งกัด

ที่จริงหกปราชญ์ทุกคนก็เป็นเช่นนี้ ยามอาจารย์ส่วนใหญ่ถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์  แต่ไหนแต่ไรมาก็จะสงวนไว้ส่วนหนึ่ง คำโบราณกล่าวไว้ว่า แมวสอนเสือต้องออมมือเอาไว้ ห้ามสอนเสือปีนต้นไม้

หงเทียนกับฝูชิงที่พยายามขัดขวางเต็มที่ ถึงแม้การโจมตีจะรุนแรงดุเดือด แต่กลับทำอะไรเฟิงเป่ยเฉินไม่ได้ มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงคือการสะท้อนพลังกลับ กอปรกับการโจมตีด้วยพลังอิทธิฤทธิ์หลายชั้น ทำให้เกิดเสียงระเบิดดังสองครั้ง สองคนที่เข้ามาขวางกระเด็นถอยหลังไปทันที

คนที่สร้างความยุ่งยากใจให้เขามากที่สุดกลับเป็นอิงอู๋ตี๋ การรุกโจมตีของอิงอู๋ตี๋เรียกได้ว่าโด่งดังเรื่องความเร็วมากในพิภพเล็ก ในใต้หล้าไม่มีใครทัดเทียม ไม่ได้ใช้พลังโจมตี แต่ใช้ความเร็วโจมตี กรงเล็บเหยี่ยวโดนจุดสำคัญของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ่วงเวลาเขาได้แล้ว

ใช้เวลาห่างกันแค่นิดเดียว มู่ฝานจวินโจมตีเข้ามาแล้ว เฟิงเป่ยเฉินฟาดกลับหนึ่งฝ่ามือภายใต้ความฉุกละหุก ทำให้เกิดเสียงระเบิดบึ้มดังขึ้นหนึ่งครั้ง

มู่ฝานจวินกับเฟิงเป่ยเฉินสะเทือนถอยหลังพร้อมกัน เมื่อเจอกับมู่ฝานจวิน มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเฟิงเป่ยเฉินได้ผลน้อยลงเยอะมาก วรยุทธ์ยังไม่สูงถึงระดับที่สามารถคลายการโจมตีของสายฟ้าได้ เรียกได้ว่าสีหน้าบิดเบี้ยวแยกเขี้ยวยิงฟันร่ายอิทธิฤทธิ์ทนรับการโจมตีที่ต่อเนื่องของอัสนีบาดเจ็ดสาย

แต่มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงก็มีจุดที่พิเศษเช่นกัน ถึงแม้จะต้านทานการโจมตีของสายฟ้าไม่อยู่ แต่กลับต้านทานการโจมตีจากพลังจริงได้ มู่ฝานจวินก็ย่อมไม่ได้ดีกว่ากันไปสักเท่าไร

ส่วนเฟิงเป่ยเฉินก็ฉวยโอกาสเหาะขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูง หลุดออกจากการพัวพันของอิงอู๋ตี๋ แต่บนตัวยังมีกระแสฟ้าไหลเวียน เหาะขึ้นฟ้าไปไกลอย่างรวดเร็ว

เขาไม่คิดจะลงมือสังหารเหมียวอี้อีก เพราะพลาดโอกาสไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าขนาดมาที่นี่แล้ว ประมุขถิ่นสี่ทิศจะยังเตรียมพร้อมปกป้องเหมียวอี้ในระดับสูงอยู่อีก การพัวกันที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้ ทำให้เขาพลาดโอกาสดีในการสังหารไป เมื่อมู่ฝานจวินมีการเตรียมพร้อม ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าเหมียวอี้สำเร็จ ทำได้เพียงออกไปจากตรงนั้น ไม่อย่างนั้นถ้าสู้กับมู่ฝานจวินก็ไม่มีทางได้ผลลัพธ์แพ้ชนะ ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงโดยเปล่าประโยชน์

ที่จริงระหว่างทางที่มา ไม่มีสายตาคนจับจ้องเยอะเท่าไหร่ เฟิงเป่ยเฉินอยากจะลงมือฆ่าเหมียวอี้ทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด แต่จนใจที่ชุยหย่งเจินอยู่ในมือเหมียวอี้ ทั้งยังมีกลุ่มของนภาจอมมารกับทะเลดาวนักษัตรคุ้มกันอีก หาโอกาสลงมือไม่ได้

หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตั้งแต่ตอนอยู่สำนักงามวิจิตร ตอนที่ตนบอกให้เหมียวอี้ส่งตัวชุยหย่งเจินมาให้ ตอนนั้นก็คิดจะลงมือฆ่าเหมียวอี้แล้ว แต่ตอนนั้นอยู่ต่อหน้าคนทั้งใต้หล้า จะต้องแสดงมาดของปราชญ์เต๋าผู้สง่าผ่าเผยที่พูดจาคำไหนคำนั้น ลงมือสังหารไม่ได้ แต่หลังจากออกสำนักงามวิจิตรมาก็ต้องการจะลงมือ แต่ใครจะไปคิดล่ะ! ว่าเหมียวอี้จะเลือกสละชีวิตท่านทูตสี่คน แทนที่จะยอมปล่อยชุยหย่งเจิน ต่อให้ตายก็จะต้องเอาชุยหย่งเจินมาเป็นเกราะกำบัง!

เข้าถึงขั้นอยากจะสละชีวิตชุยหย่งเจินเพื่อสังหารเหมียวอี้ทิ้ง แต่คนที่อยู่ในฐานะระดับเขา ไม่สามารถทำตามอารมณ์ได้ง่ายๆ อีก จะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลดีและผลเสีย การเอาชีวิตของชุยหย่งเจินไปแลกกับชีวิตเหมียวอี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่า

กว่าจะเลี้ยงดูฝึกฝนลูกศิษย์คนหนึ่งให้ถึงระดับบงกชทองได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ทรัพยากรฝึกตนไปเยอะมาก ทั้งยังเป็นคนสนิทที่ใช้ให้ทำงานแทนได้ ถ้าจะให้ฝึกเลี้ยงใหม่อีกคน ก็ใช่ว่าจะทำได้ภายในเวลาสั้นๆ ถ้าไม่ได้ใช้ทรัพยากรฝึกตนจำนวนมหาศาลกับเวลาหลายหมื่นปี ก็ไม่มีทางทำสำเร็จได้เลย

ดังนั้นถึงได้รอจนมาถึงที่นี่ รอให้ได้ตัวชุยหย่งเจินกลับมาก่อนค่อยลงมือ ถึงแม้จะรู้ว่าอาจทำไม่สำเร็จ แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยเหมียวอี้ไปเฉยๆ ลองลอบโจมตีดูสักหน่อยดีกว่า แต่ผลที่ได้ก็คือความล้มเหลว

เหมียวอี้ได้ผูกความแค้นใหม่กับเขาอีกแล้ว ความคิดอยากจะฆ่าเหมียวอี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเรื่องในวันนี้ แต่คิดจะฆ่ามาตั้งนานแล้ว หลังจากเฟิงเสวียนตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ที่ทะเลทรายม่านเมฆา เขาก็คิดจะลงมือแล้ว แต่ใครจะคิดว่าอยู่ดีๆ อวิ๋นอ้าวเทียนก็เข้ามาแทรก จู่ๆ ก็มาลอบโจมตีเขาก่อน โจมตีจนเขาบาดเจ็บสาหัส และขู่เตือนเขาไว้ด้วย ทำให้เขายังกังวลไม่กล้าแตะต้องเหมียวอี้ แต่ครั้งนี้เหมียวอี้กลับมาหาถึงที่และชิงตัวลูกศิษย์ของเขาเป็นตัวประกัน เขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงได้ลอบโจมตีครั้งนี้

มู่ฝานจวินลอยอยู่กลางอากาศ มองตามเฟิงเป่ยเฉินจนหายลับไปในท้องฟ้า นางไม่ได้ตามไปอีก เพราะรู้เช่นกันว่าสู้กันไปก็หาคนชนะไม่ได้ ตอนนี้นางจึงเหล่ตามองอิงอู๋ตี๋อย่างเย็นเยียบ

ในกรงเล็บของอิงอู๋ตี๋ขยุ้มแขนเสื้อไว้ชิ้นหนึ่ง ตอนนี้เขาคลายกรงเล็บโยนทิ้งไป เมื่อครู่นี้เพิ่งฉวยโอกาสดึงมาจากแขนเสื้อของเฟิงเป่ยเฉิน สุดท้ายก็ยังพลาดไปนิดเดียว ยังทำให้เฟิงเป่ยเฉินเจ็บตัวไม่ได้

ฝูชิงและหงเทียนที่สะเทือนปลิวออกไป ร่ายอิทธิฤทธิ์คุมให้เลือดลมที่ปั่นป่วนอยู่ในร่างกายหายเป็นปกติ แล้วลอยกลับมาอย่างช้าๆ

เหมียวอี้ที่เพิ่งรีบสวมเกราะทองถอนหายใจเบาๆ วางทวนยาวที่ถือไว้ในมืออย่างช้าๆ เรียกได้ว่ายังหวาดผวาไม่หาย

เป็นเพราะเฟิงเป่ยเฉินลงมือกะทันหันเกินไป เคราะห์ดีที่ประมุขถิ่นสี่ทิศไม่ได้ประมือกับเฟิงเป่ยเฉินเป็นครั้งแรก พอจะรู้จักนิสัยใจคอของเฟิงเป่ยเฉินอยู่บ้าง จึงเตรียมพร้อมเฝ้าระวังเฟิงเป่ยเฉินอยู่ตลอด ถึงได้ป้องกันการลอบจู่โจมได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะต้องประสบหายนะแล้วจริงๆ ความคิดที่แวบขึ้นมาเมื่อครู่นี้ก็คือ ต้องใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหาร พยายามใช้วรยุทธ์ทั้งหมดที่มี ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้านทานเฟิงเป่ยเฉินไหวหรือไม่

บนท้องฟ้า อวิ๋นเป้าก็โล่งใจแล้วเช่นกัน เป็นเพราะเฟิงเป่ยเฉินลงมือได้รวดเร็วเกินไป ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาต้านไม่ไหว ต่อให้ต้านไหวก็ต้านไม่ทันอยู่ดี

“เด็กเปรตของนภาจอมมาร ถ่อมาทำอะไรที่แดนโพ้นสวรรค์ของข้า?” มู่ฝานจวินพลันจ้องอวิ๋นเป้าพลางตะคอก

อวิ๋นเป้าพูดไม่ออก และไม่แก้ตัวอะไรด้วย นภาจอมมารเตือนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อตระกูลอวิ๋นมาเจอกับผู้หญิงคนนี้ ก็ไม่สามารถพูดกันด้วยเหตุผลได้เลย นภาจอมมารไม่ให้พวกเขาไปยุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ เวลาที่ควรจะอดทนก็ต้องอดทน ถึงอย่างไรก็คุ้มกันเหมียวอี้มาส่งถึงที่แล้ว เขาถ่ายทอดเสียงบอกลาเหมียวอี้ แล้วดึงกลุ่มปีศาจของทะเลดาวนักษัตรออกไปจากที่นี่ด้วยกันอย่างเซ็งๆ

พวกเขานัดกันไว้แล้วว่าจะรอฟังข่าวของเหมียวอี้อยู่นอกแดนโพ้นสวรรค์

มู่ฝานจวินเหาะลงมาเหยียบที่ด้านนอกตำหนักเก้าชั้นฟ้า แล้วคลายจุดที่เฟิงเป่ยเฉินสกัดไว้บนตัวอันหรูอวี้ โคจรพลังอิทธิฤทธิ์ให้อันหรูอวี้ที่เซื่องซึมไร้ชีวิตชีวา ทำให้กำลังวังชาฟื้นตัวกลับมาเร็วมากจนสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า

“ขอบคุณท่านอาจารย์!” หลังจากอันหรูอวี้คำนับปราชญ์เซียนแล้ว ก็พลันชี้ไปที่เหมียวอี้

แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร มู่ฝานจวินก็หันตัวเดินกลับเข้าไปในตำหนักแล้ว พูดทิ้งท้ายไว้เพียงว่า “เจ้ามานี่หน่อย!”

อันหรูอวี้ที่คำพูดติดอยู่ในลำคอทำได้เพียงเดินตามหลังนางไป ก่อนไปยังหันหน้ามาจ้องเหมียวอี้อย่างดุร้ายด้วย

เหมียวอี้หันหน้าไปทางอื่น แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น

แต่คนอื่นๆ กลับไม่คิดจะปล่อยเขาไปแน่นอน ท่านทูตแปดคนที่เหลือเดินลงจากบันไดอย่างช้าๆ เพื่อมาคิดบัญชีกับเขา

โดยเฉพาะโอวหยางกวง พอเจอหน้าก็ด่าเขาทันที “ไอ้จัญไร ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะตายอย่างไร!”

“ข้าจะอยู่หรือจะตายแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ? เจ้าไม่ใช่ท่านทูตสายมะโรงเสียหน่อย เจ้าควบคุมได้เหรอ?” เหมียวอี้พูดดูถูก แล้วกวาดมองท่านทูตแปดคนที่เข้ามาล้อมตัวเอง พร้อมเตือนว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? พวกหนอนบ่อนไส้ วางแผนลอบสังหารข้าที่สำนักงามวิจิตรไม่ได้ แล้วยังคิดจะลงมือกับข้าที่นี่อีกเหรอ?”

กลุ่มท่านทูตเดือดดาลทันที “เจ้าว่าใครเป็นหนอนบ่อนไส้?”

“ใครที่วางกับดักทำร้ายข้า ข้าก็ว่าคนนั้นแหละ! หลีกไป!” เหมียวอี้เบียดตัวออกมาจากวงล้อมโดยตรง เพราะเขาแน่ใจว่าคนพวกนี้ไม่กล้าลงมือที่นี่ จึงขี้คร้านจะสนใจ ถึงอย่างไรคนพวกนี้ก็ควบคุมเขาไม่ได้อยู่แล้ว เขาวิ่งขึ้นมาด้านบน แล้วคำนับจงเจิ้น ถังจวิน หงเฉินและเยว่เหยา “คุณชายสาม คุณชายสี่ คุณชายห้า คุณชายหก!”

ทั้งสี่มองเขาด้วยสีหน้าประหลาด จงเจิ้นกับถังจวินพยักหน้าพลางยิ้มตามมารยาท ถ้ามู่ฝานจวินยังไม่ได้จัดการ ทั้งสองก็ไม่คิดที่จะแสดงความเห็นอะไร

หงเฉินมองเหมียวอี้อย่างพูดไม่ออก ทำท่านทูตตายไปแล้วสี่คน ยังกล้าเหยียบจมูกขึ้นหน้าท่านทูตคนอื่นอีก หรือคิดว่าตัวเองเป็นพี่ใหญ่ของเยว่เหยาแล้วจะไม่สนใจอะไรได้?

เยว่เหยากลับมองเขาอย่างโมโหฉุนเฉียว

ตอนที่เอียงหน้าหลบสายตาของกลุ่มคน เหมียวอี้ก็กะพริบตาให้นาง จากนั้นก็มายืนรอโดนทำโทษอยู่ข้างๆ ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างใจเย็น เขาครุ่นคิดจนใจลอย ไม่รู้ว่าเฟิงเป่ยเฉินจะช่วยชีวิตชุยหย่งเจินได้หรือไม่…

ในป่าภูเขาที่อยู่ไม่ห่างจากแดนโพ้นสวรรค์เท่าไรนัก เฟิงเป่ยเฉินลงมาซ่อนตัวที่นี่ เขาไม่ได้ออกไปไหนไกล และไม่ได้คิดจะออกไปด้วย เตรียมจะรออยู่ที่นี่ก่อน เพราะเขารู้ว่าหลังจากอีกสี่ปราชญ์ทราบว่าเยารั่วเซียนอยู่ในมือมู่ฝานจวิน ก็จะต้องรีบตามมาที่นี่แน่นอน ความคึกครื้นนี้จะขาดเขาไปได้อย่างไร

สาเหตุรองลงมา ก็คือจะหาโอกาสลงมือสังหารเหมียวอี้อีก ตอนที่อีกสี่ปราชญ์ยกพวกมาเอาเรื่องที่นี่ เขาจะต้องมีโอกาสลงมือแน่นอน แค่คนต่ำต้อยคนเดียว แต่กลับมามีเรื่องกับเขาครั้งแล้วครั้งแล้ว ถ้าไม่ฆ่าทิ้งก็ไม่สามารถหยุดเสียงวิจารณ์ของผู้คนในใต้หล้าได้ เขาเกือบจะเสียหน้าจนหมดสิ้นเพราะเหมียวอี้ จะปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร!

เขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ นำชุยหย่งเจินออกจากกระเป๋าสัตว์ เตรียมจะถามชุยหย่งเจินว่าเมื่อคืนวานเกิดเรื่องอะไรกันแน่

ทว่าผลที่เกิดขึ้นกลับทำให้เขาตกใจมาก ชุยหย่งเจินมีเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ที่รูจมูกมีฟองเลือดผุดออกมา ร่างกายร้อนจี๋ ทั้งตัวยังสั่นระริก พูดอะไรไม่ออกสักคำ เพียงมองเขาด้วยสายตาวิงวอนขอความช่วยเหลือ

เฟิงเป่ยเฉินรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูอาการในร่างกายของนาง ทำให้สังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว พบว่าน้ำเลือดในร่างกายนางเดือดเหมือนน้ำต้มโดยไม่รู้สาเหตุ จึงช่วยร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับอาการให้ทันที แต่ในร่างกายนางเหมือนจะมีของประหลาดบางอย่างเจือปน ไม่น่าเชื่อว่ามันจะละลายพลังอิทธิฤทธิ์ของเขา ทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนแผดเผา

สิ่งนี้คืออะไร? เฟิงเป่ยเฉินตกใจมาก อาศัยวรยุทธ์อย่างเขาไม่สามารถช่วยชุยหย่งเจินกำจัดของประหลาดนี้ได้ และไม่มีทางระงับได้ด้วย!

เมื่อเห็นชุยหย่งเจินทำท่าเหมือนไม่ไหวแล้ว เฟิงเป่ยเฉินก็รีบนำดวงจิตน้ำแข็งออกมา นำมาแช่เย็นร่างกายที่ร้อนผ่าวของชุยหย่งเจิน ถึงขั้นยัดเข้าปากชุยหย่งเจินไปเม็ดหนึ่งด้วย ร่ายอิทธิฤทธิ์บังคับให้เข้าไปในร่างกายนาง จากนั้นก็นำสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาอีก เป่าหมอกประกายดาวออกมาช่วยไม่หยุด

สรุปก็คือนึกถึงวิธีการอะไรได้ก็ใช้ไปหมดแล้ว

แต่ก็ยังไม่ได้ผล ดวงจิตน้ำแข็งก็ไม่สามารถระงับของประหลาดที่อยู่ในร่างกายชุยหย่งเจินได้ สมุนไพรเซียนซิงหัวที่มีสรรพคุณอัศจรรย์ก็ไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย ฤทธิ์ยาที่อยู่ในหมอกดาว พอเข้าไปอยู่ในร่างกายชุยหย่งเจินก็ถูกเผาทันที

สุดท้ายมันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ชุยหย่งเจินตาเหลือก ร่างกายหยุดชักกระตุกแล้ว ไม่มีลมหายใจอีกต่อไป ตายจนไม่รู้จะตายยังไงแล้ว แต่ยังมีฟองเลือดพ่นปุดๆ ออกมาจากจมูก

จนถึงตอนนี้แล้ว มีหรือที่เฟิงเป่ยเฉินจะไม่รู้ว่าชุยหย่งเจินโดนเล่นสกปรกใส่ แต่สิ่งที่ทำให้เขายิ่งตกใจก็คือ เขาไม่เคยพบพิษประหลาดชนิดนี้มาก่อน ทำให้เขาคิดหาทางช่วยเยียวยารักษาไม่ได้เลยสักนิดเดียว

ขณะมองดูร่างที่ผิวกายเป็นสีแดงสดของชุยหย่งเจิน เฟิงเป่ยเฉินก็หน้าดำเหมือนเมฆครึ้ม กำหมัดสองข้างไว้แน่นจนสั่นระริก ไอ้จัญไรมันช่างใจกล้านัก ขนาดปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินออกโรงเองยังกล้าใช้วิธีการสกปรก ตัวเองดันพลาดให้กับฝีมืออันต่ำต้อยประเภทนี้ สิ้นเปลืองความพยายามไปขนาดนี้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยกลับมาได้แค่ร่างคนตาย…

ในตำหนักเก้าชั้นฟ้า อันหรูอวี้ที่สภาพสะบักสะบอมยืนนิ่งอยู่ตรงเบื้องล่างของบัลลังก์ เห็นเพียงมู่ฝานจวินนั่งหลับตาเงียบๆ อยู่บนบัลลังก์หยกเย็น ลูกตาที่อยู่ใต้หนังตากำลังกลิ้งไปมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ นางที่ยืนอยู่เบื้องล่างก็ไม่กล้าเอ่ยเสียงรบกวนเหมือนกัน

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ มู่ฝานจวินก็เหมือนจะตัดสินใจได้เลย ลืมดวงตาหงส์อย่างช้าๆ จ้องอันหรูอวี้ที่อยู่เบื้องล่างด้วยแววตาคมกริบ พร้อมถามว่า “ใครอนุญาตให้เหมียวอี้ไปที่สำนักงามวิจิตร?”

อันหรูอวี้เกร็งหนังศีรษะ นึกไม่ถึงว่าท่านปราชญ์จะถามคำถามนี้เป็นอันดับแรก นายไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย ก้มหน้าตอบว่า “คงจะเป็นเยว่เทียนโปพาไปค่ะ”

“เยว่เทียนโปตายแล้ว ตายแล้วก็พิสูจน์ไม่ได้เสียด้วยสิ!” มู่ฝานจวินทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “หรูอวี้ เจ้ากับข้าอยู่ในฐานะอาจารย์กับลูกศิษย์ อาจารย์เองก็ไม่อยากทำรุนแรงเกินไป! อาจารย์จะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าได้วางแผนทำร้ายเหมียวอี้รึเปล่า? คิดให้ดีแล้วค่อยตอบ เหลือทางกลับตัวไว้ให้อาจารย์สักหน่อย และเหลือทางกลับตัวไว้ให้ตัวเองด้วย!”


914

ฝนตกฟ้าผ่าล้วนแฝงความเมตตาจากสวรรค์

คำพูดนี้ค่อนข้างแทงใจดำ นับว่าเป็นการยื่นคำขาดสุดท้าย เท่ากับเป็นการบอกอันหรูอวี้ว่านางไม่อยากฟังคำโกหก

สามารถพูดแบบนี้ออกมาได้ ก็แสดงออกถึงปัญหาอย่างชัดเจนแล้ว แสดงว่านางรู้อะไรมาบ้างแล้ว นางเหลือทางกลับตัวไว้ให้อันหรูอวี้อย่างที่นางบอก ถ้าอันหรูอวี้ยังอ่านสถานการณ์ไม่ออกอีก ไมตรีระหว่างศิษย์กับอาจารย์ก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

อันหรูอวี้ยังจะกล้าปากแข็งได้อย่างไร นางไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว นางมีสามี มีลูกสาว มีน้องชายแท้ๆ นางแบกรับผลที่ตามมาไม่ไหว จึงกัดริมฝีปากและคุกเข่าลง กล่าวพร้อมน้ำตาทันทีว่า “ศิษย์เลอะเลือนไป ศิษย์เลอะเลือนไปเอง ท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตา!”

มู่ฝานจวินจ้องมองข้างล่างอย่างเย็นชา ถามอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “โอวหยางกวงเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า?”

อันหรูอวี้พลันหวาดหวั่นพรั่นพรึง ผงกศีรษะโขกพื้นทันที พลางแก้ตัวอย่างร้อนรน “ท่านอาจารย์ ศิษย์เลอะเลือนเอง ศิษย์เลอะเลือนคนเดียว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับโอวหยางกวง โอวหยางกวงเกลี้ยกล่อมศิษย์ตั้งหลายครั้ง แต่ศิษย์เหมือนโดนภูติผีดลใจ ไม่เชื่อฟังเขา!”

ตอนนี้นางนึกเสียใจทีหลังแล้วจริงๆ เสียใจที่ไม่เชื่อฟังโอวหยางกวง ตอนนี้เหมือนโดนภูติผีดลใจจริงๆ

มู่ฝานจวินกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “ท่านทูตสี่คน นักพรตบงกชทองสี่คน ตายไปเพราะความคิดชั่ววูบของเจ้า ถ้าไม่ลงโทษเจ้า แล้วจะให้อาจารย์อธิบายกับคนในใต้หล้าอย่างไร? เจ้าว่ามาเถอะ อาจารย์ควรจะลงโทษเจ้าอย่างไร?”

อันหรูอวี้ตอบพร้อมเสียงสะอื้น “เป็นความผิดของศิษย์คนเดียวค่ะ อาจารย์โปรดเมตตาสักครั้ง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับโอวหยางกวงจริงๆ!”

ถ้าสองสามีภรรยาได้รับโทษทั้งคู่ นางก็ไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าลูกสาวทั้งสองของตนจะทำอย่างไรเมื่อขาดที่พึ่ง นี่คือสังคมคนกินคน หากคนหนึ่งสิ้นอำนาจลง ก็มีคนอีกเป็นโขยงรอเหยียบ ฮูเหยียนไท่เป่าศิษย์พี่ใหญ่ก็เป็นตัวอย่างให้ดูแล้ว นางกลัวว่าลูกสาวตัวเองจะมีจุดจบเหมือนตระกูลฮูเหยียน บางครั้งผู้ชายก็แค่ตายไป แต่ผู้หญิงอาจจะลำบากยิ่งกว่าตายเสียอีก

“เจ้าทำแบบนี้ทำไม? หรือว่าเรื่องที่ลูกสาวเจ้าเสียความบริสุทธิ์ให้เหมียวอี้คือเรื่องจริงๆ?” มู่ฝานจวินถาม

อันหรูอวี้เอามือยืนพื้น ตอบว่า “ค่ะๆ” นับว่ายอมรับแล้ว

“ทำไมลูกสาวทั้งสองของเจ้าถึงไปอยู่กับเหมียวอี้ได้? เล่าที่มาที่ไปให้ชัดเจน!” มู่ฝานจวินตะคอกถาม

อันหรูอวี้หวาดกลัวยำเกรง จำเป็นต้องเล่าความจริงออกมา เรื่องนี้ย่อมมีที่มาจากทะเลทรายม่านเมฆา…

หลังจากรู้ว่าเหมียวอี้โดนฝาแฝดคู่นั้นขืนใจ ขนาดคนที่เยือกเย็นเงียบขรึมอย่างมู่ฝานจวิน ในดวงตาก็ยังฉายแววแปลกใจ

“เหมียวอี้ไม่ได้ผิดอะไร เจ้าวางแผนทำร้ายเขาเพราะเรื่องนี้น่ะเหรอ? ข้าเฝ้าดูเจ้าเติบโตมาตลอด เจ้าจิตใจคับแคบขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”

“มีบางอย่างที่ท่านอาจารย์ยังไม่ทราบ! เดิมทีข้าตั้งใจจะให้ลูกสาวทั้งคู่แต่งงานกับเขา แต่ไอ้เหมียวจัญไรนั่นทำตัวน่ารังเกียจ…” อันหรูอวี้เล่าว่าตัวเองประจบเอาใจเหมียวอี้ย่างไร ถึงขนาดเล่าเรื่องที่บังคับให้ลูกสาวเย็บเสื้อผ้าให้เหมียวอี้ด้วย ใครจะคิดว่าเบื้องหลังเหมียวอี้จะแอบคบกับเถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ทั้งยังแต่งงานกับอีกฝ่ายด้วย หลังจากเกิดเรื่องนั้นนางก็อับอายจนโกรธแค้น ลูกสาวที่โดนบังคับให้จับเข็มเย็บผ้าก็ยิ่งอับอายจนเกินทน แทบจะฆ่าตัวตายไปพร้อมกันแล้ว นางข่มความแค้นไม่ไหวจริงๆ

หลังจากได้ฟังความจริงจนจบ มู่ฝานจวินก็นับว่าเข้าใจแล้ว ตอนแรกที่เหมียวอี้ชิงตัวอวิ๋นจือชิวแล้วไม่กล้ากลับแดนเซียน สงสัยจะมีเหตุผลนี้แอบแฝงอยู่

แต่ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง ก็เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ชอบอวิ๋นจือชิวจริงๆ เขาไม่ใช่แค่สร้างศัตรูไปทั่วเพราะเรื่องนี้ ทั้งยังยอมทิ้งอนาคตที่ดีอีกด้วย

มู่ฝานจวินจึงกล่าวว่า “ธรรมเนียมของสังคมก็เป็นเช่นนี้ เรื่องร่างกายด่างพร้อยทำให้ฝ่ายหญิงรับไม่ได้ที่สุด ต่อให้แข็งแกร่งอย่างอาจารย์ ก็ไม่มีอาจเปลี่ยนธรรมเนียมของสังคมได้อยู่ดี ไหนๆ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีก ลูกสาวคู่นั้นของเจ้า เจ้าอยากจะให้พวกนางแต่งงาน หรืออยากจะให้เป็นอย่างนี้ไปทั้งชีวิต? ถ้าเจ้าอยากจะให้พวกนางแต่งงาน อาจารย์ก็จะช่วยเตรียมการให้เอง!”

อันหรูอวี้ที่ร้องไห้จนตาพร่าพลันเงยหน้า “ในโลกนี้มีแม่คนไหนไม่อยากให้ลูกสาวเป็นฝั่งเป็นฝาบ้างคะ อาจารย์ได้โปรดช่วยให้สมปรารถนา!”

ชีวิตการแต่งงานของลูกสาวทั้งคู่ หากมีท่านอาจารย์ออกหน้าสนับสนุนให้ได้ แบบนั้นก็ดีจนไม่รู้จะดียังไงแล้ว อย่างน้อยในภายหลังก็ไม่มีใครในแดนเซียนกล้านินทาว่าร้ายหรือสร้างความไม่เป็นธรรมต่อลูกสาวนาง นี่คือสิ่งที่นางปรารถนามาก

“ก่อนหน้านี้เจ้าอยากให้ลูกสาวแต่งงานกับเหมียวอี้ไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อพวกนางเสียความบริสุทธิ์ให้เหมียวอี้แล้ว ถ้าจะดันทุรังให้แต่งกับคนอื่นก็จะฟังดูไม่เข้าท่า อาจารย์จะตัดสินใจเรื่องนี้ให้เจ้า แต่งกับเหมียวอี้ก็แล้วกัน แต่งให้เป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้!” มู่ฝานจวินกล่าว

ตอนแรกอันหรูอวี้ก็ดีใจ เมื่อฟังที่พูดตอนแรก ก็ยังนึกว่าท่านอาจารย์จะให้เหมียวอี้ทิ้งอวิ๋นจือชิวแล้วมาแต่งงานกับลูกสาวนาง ใครจะคิดว่าพอฟังถึงตอนท้าย ถึงได้รู้ว่าจะให้ลูกสาวทั้งสองของนางเป็นอนุภรรยา นางชะงักทันที หลังจากได้สติกลับมาแล้ว ก็โขกศีรษะพูดช่วงชิงทันที “ท่านอาจารย์ อวิ๋นจือชิวชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปไกลแล้ว ถ้าจะให้หย่าร้างก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ศิษย์ไม่อยากให้ลูกสาวได้รับความไม่เป็นธรรม ท่านอาจารย์ได้โปรดออกคำสั่งให้เหมียวอี้เลิกกับอวิ๋นจือชิวด้วยค่ะ!”

มู่ฝานจวินที่เดิมทีสีหน้าเรียบเฉย ตอนนี้กลายเป็นบึ้งตึงในชั่วพริบตาเดียว ในดวงตาฉายแววขุ่นเคือง กล่าวเสียงเย็นว่า “อวิ๋นจือชิวน่ะ ข้าเป็นคนประทานงานแต่งงานให้เหมียวอี้เอง ที่ข้าอนุญาตให้ลูกสาวเจ้าแต่งงานกับเหมียวอี้อีกก็นับว่าเมตตาแล้ว! คำสั่งของข้าจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้อย่างไร คิดว่าคำสั่งของข้าเป็นของเด็กเล่นอย่างนั้นเหรอ?”

อันหรูอวี้ไม่รู้ว่าทำไมนางต้องไม่พอใจขนาดนี้ ก็แค่ทิ้งผู้หญิงจากแดนมารแค่คนเดียว นางจึงโขกศีรษะกับพื้นอีกครั้ง “ศิษย์มิบังอาจ! ศิษย์เพียง…”

“พอแล้ว!” มู่ฝานจวินพูดตัดบทเสียเลย “ผู้หญิงเราน่ะ ได้แต่งงานกับคนที่ใช่ถือว่าสำคัญที่สุด การจะมีชีวิตดีหรือไม่นั้น ไม่ได้เกี่ยวว่าเป็นภรรยาเอกหรือเป็นอนุภรรยา อาจารย์เป็นคนประทานงานสมรสด้วยตัวเอง เหมียวอี้ยังจะกล้าปฏิบัติต่อลูกสาวเจ้าอย่างโหดร้ายเชียวหรือ? ลูกสาวเจ้าเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว แต่งกับเหมียวอี้ก็ดีกว่าแต่งกับคนอื่นให้โดนหมางเมินไปทั้งชีวิตไม่ใช่เหรอ? ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ ว่าความบริสุทธิ์ของสตรีหมายความว่าอย่างไรในธรรมเนียมของสังคม คำพูดคนนั้นน่ากลัว สามารถล่องหนฆ่าคนได้ ใช่ว่าในใจเจ้าจะไม่กังวลเรื่องนี้ เพียงแต่ฐานะของเจ้าทำให้เจ้าเสียหน้าไม่ลง ตอนนี้อาจารย์จะประทานงานสมรสเพื่อหาทางออกให้เจ้าแล้ว เจ้ายังจะเอาอย่างไรอีก? แต่งหรือไม่แต่ง ตอบข้ามาตรงๆ เดี๋ยวนี้เลย!”

อันหรูอวี้จำต้องยอมรับว่าโดนพูดเปิดโปงความกังวลในใจ การจะให้ลูกสาวไม่ได้แต่งงานไปทั้งชีวิต คนเป็นแม่ไม่อาจทำเรื่องแบบนั้นได้ ถึงแม้จะรู้สึกไม่ยอมที่ต้องไปเป็นอนุภรรยาของอีกฝ่าย แต่การที่ผู้ชายมีภรรยาหลายคนก็เป็นเรื่องปกติสำหรับโลกใบนี้ และในใจนางก็คิดว่าแต่งงานกับเหมียวอี้เหมาะสมที่สุด เพราะความบริสุทธิ์ของผู้หญิงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่นางแค่ทำใจเสียหน้าไม่ลง วันนี้ปราชญ์เซียนจะตัดสินใจให้แล้ว ถือเป็นการหาทางออกให้นางแล้วจริงๆ

นางเอามือยันพื้นพลางไตร่ตรองครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กัดฟันตอบว่า “ศิษย์ยินดีเชื่อฟังตามที่อาจารย์เตรียมการ แต่งค่ะ!”

มู่ฝานจวินสีหน้าผ่อนคลายลงแล้ว “อย่าเพิ่งประกาศเรื่องนี้ให้ภายนอกรู้ อีกสองปีก็แล้วกัน! หลังจากส่งส่วยประจำปี อาจารย์จะประทานงานสมรสให้ลูกสาวทั้งสองของเจ้า รอให้ลูกสาวเจ้าแต่งงานเสร็จ เจ้าก็ไปรับช่วงต่อจากศิษย์พี่ใหญ่ที่เขตต้องห้ามของภูเขาด้านหลัง ไปยืนหันหน้าเข้าหากำแพงเพื่อทบทวนความผิดก็แล้วกัน! โอวหยางกวงควบคุมไม่ได้แม้แต่เมียของตัวเอง ข้าว่าตำแหน่งท่านทูตของเขาควรจะเปลี่ยนคนได้แล้ว รอจัดการทุกอย่างหลังจากจบงานแต่งงานของลูกสาวเจ้า เดี๋ยวให้โอวหยางกวงไปรับงานต่อจากอันเจิ้งเฟิงที่สมาคมร้านค้าทะเลทรายม่านเมฆา ส่วนตำแหน่งท่านทูตสายชวด ก็เปลี่ยนให้อันเจิ้งเฟิงน้องชายเจ้ามารับต่อแล้วกัน!”

ฝนตกฟ้าผ่าล้วนแฝงความเมตตาจากสวรรค์ อันหรูอวี้สะอึกสะอื้นพร้อมกล่าวว่า “ขอบคุณที่ท่านอาจารย์ช่วยให้สมปรารถนา!”

นางเองก็รู้ว่าท่านอาจารย์ไว้หน้านางเต็มที่แล้ว ถ่วงเวลาลงโทษพวกเขาสองสามีภรรยาเอาไว้หลังจากลูกสาวแต่งงาน ก็นับว่าให้เกียรติลูกสาวนางแล้ว ไม่ได้ลงโทษสามีกับน้องชายนางไปด้วย เพียงแค่สลับตำแหน่งเพื่อเป็นการตักเตือน นับว่าใจกว้างโอบอ้อมอารีแล้วเช่นกัน

“จงเจิ้น! เยว่เหยา!” มู่ฝานจวินพลันร่ายอิทธิฤทธิ์เรียก เสียงทะลุออกไปนอกตำหนักเก้าชั้นฟ้าโดยตรง

จงเจิ้นกับเยว่เหยารีบเดินเข้ามา เมื่อเห็นอันหรูอวี้นั่งคุกเข่าเช็ดน้ำตา ทั้งสองก็แอบแปลกใจ ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ทำอะไรผิดมา  ทั้งสองยืนนิ่งแล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ท่านอาจารย์!”

“เยว่เหยา ไปที่เขตต้องห้ามของภูเขาด้านหลัง เรียกศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้ามาพบข้า” มู่ฝานจวินกล่าว

เยว่เหยาอึ้งไปชั่วขณะ แต่ก็รีบเอ่ยรับคำสั่ง แล้วเร่งฝีเท้าเดินออกไปทันที

ผ่านไปไม่นาน ฮูเหยียนไท่เป่าที่ยืนสำนึกผิดอยู่ที่เขตหวงห้ามก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา พอเห็นอันหรูอวี้กำลังคุกเข่า เขาก็แอบแปลกใจอยู่บ้าง ส่วนตัวเองก็คุกเข่าหน้าแนบพื้นเช่นกัน “ศิษย์เข้าพบท่านอาจารย์พร้อมความผิดติดตัว!”

“ทั้งคู่ลุกขึ้นเถอะ!” มู่ฝานจวินกล่าว

ฮูเหยียนไท่เป่ากับอันหรูอวี้ที่นั่งคุกเข่าสบตากันแวบหนึ่ง แล้วยืนขึ้นพร้อมกัน

“ไท่เป่า ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้ามารับงานต่อจากหรูอวี้ เดี๋ยวพวกเจ้าสองคนไปส่งมอบงานกันด้วย” มู่ฝานจวินถามกล่าว

ฮูเหยียนไท่เป่างงทันที แต่ก็แอบดีใจ หมายความว่าตัวเองจะไม่ต้องยืนหันหน้าหากำแพงเพื่อสำนึกผิดแล้ว จึงกุมหมัดเอ่ยรับทันที “ขอรับ!”

“ค่ะ!” อันหรูอวี้เอ่ยรับเช่นกัน

มู่ฝานจวินมองไปที่จงเจิ้นอีก “จงเจิ้น นี่เป็นเวลาที่ต้องใช้งานคน ควรจะใช้งานคนเก่าคนแก่ของสมาคมร้านค้าได้แล้ว เดี๋ยวเจ้าไปเลือกนักพรตบงกชทองจากสมาคมร้านค้ามาสามคน ให้มารับตำแหน่งท่านทูตสายฉลู สายมะเมียกับสายกุนแล้วกัน”

“ขอรับ!” จงเจิ้นเอ่ยรับ จากนั้นก็ขอคำชี้แนะอีกว่า “ท่านอาจารย์ ท่านทูตสายมะโรง…”

“แต่งตั้งไว้แล้ว ให้เจ้าควบตำแหน่งท่านทูตสายมะโรงไปก่อนแล้วกัน” มู่ฝานจวินพูดตรงๆ

“ขอรับ!” จงเจิ้นกุมหมัดเอ่ยรับ

“หรูอวี้ ตอนนี้ท่านจื่อหยางนั่นอยู่ในมือของเหมียวอี้ใช่มั้ย?” มู่ฝานจวิน

อันหรูอวี้กุมหมัดตอบ “ยินดีกับท่านอาจารย์ ท่านจื่อหยางอยู่ในมือเหมียวอี้แล้วค่ะ”

“โง่เง่า! ยังต้องการคนคนนั้นอีกเหรอ? เดี๋ยวตาแก่คนอื่นๆ จะต้องมาหาถึงที่แน่  ใครเก็บไว้ก็โชคร้าย!” มู่ฝานจวินไม่พอใจมาก

อันหรูอวี้ก้มหน้าเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร แต่ตำหนิในใจไม่หยุด ใครจะไปรู้ว่าท่านจะวางแผนแบบนี้ ถ้าพากลับมาได้ก็ย่อมต้องพากลับมาอยู่แล้ว ถ้าตกอยู่ในมือคนอื่นท่านก็ยิ่งไม่พอใจ ถ้าอยู่ในมือตัวเองจะฆ่าหรือจะเก็บไว้ก็ได้ทั้งนั้น มิหนำซ้ำข้าก็ไม่ได้เป็นคนพากลับมาด้วย

แต่นางก็จะผลักความรับผิดชอบไปให้เหมียวอี้ไม่ได้ เพราะเขากำลังจะกลายเป็นลูกเขยของนางแล้ว พอนึกถึงลูกเขยคนนี้ นางก็ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือกลุ้มใจ ในภายหลังเขาคงไม่ไประบายอารมณ์ใส่ลูกสาวของนางหรอกใช่มั้ย? พอคิดถึงตรงนี้ นางก็นึกเสียใจทีหลังอีกครั้งที่ตัวเองลงมือทำร้ายเหมียวอี้

มู่ฝานจวินก็พอจะรู้คร่าวๆ ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร รู้ว่าเรื่องที่ท่านจื่อหยางถูกจับตัวมาไม่เกี่ยวกับนาง จึงโบกมือบอกว่า “เจ้าออกไปได้แล้ว เรียกเหมียวอี้เข้ามา”

พวกเขาโค้งตัวคำนับแล้วถอยออกมา  พอออกจากตำหนักเก้าชั้นฟ้า โอวหยางกวงก็ไม่สบายใจนิดหน่อย มองออกว่าอันหรูอวี้เพิ่งร้องไห้ ในใจก็แอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว

แต่กลับพบว่าอันหรูอวี้ค่อนข้างให้ความสนใจเหมียวอี้ เขาจึงมองตามนาง

เหมียวอี้ก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าสองสามีภรรยากำลังมองเขา จึงท่าทางเหมือนบอกว่า ‘กลัวที่ไหนล่ะ เจ้ากล้ากัดข้าเหรอ’ หันหน้าไปอีกทาง มองดูท้องฟ้า ขี้คร้านจะสนใจ

เขาเดาว่าว่าสองผัวเมียคู่นี้คงแค้นเขาแทบตาย แต่ในเมื่อก่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาก็ไม่สนใจอะไรแล้วไม่จำเป็นต้องเกรงใจสองคนนี้ เขาได้เตรียมกลั่นกรองคำพูดเอาไว้แล้ว กะว่าอีกประเดี๋ยวถ้ามีโอกาสได้พบมู่ฝานจวิน ต่อให้ต้องเปลืองคำพูดไปมากมาย ก็ต้องหาทางดึงสองผัวเมียคู่นี้ลงจากตำแหน่งให้ได้

จงเจิ้นเดินมาหยุดข้างกายเหมียวอี้ เหลือบมองเจ้าคนใจกล้าบุ่มบ่าม พร้อมเตือนว่า “เหมียวอี้ ท่านปราชญ์เรียกพบ!”

915

มีนงงนิดหน่อย


“รบกวนคุณชายสามแล้ว!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ ขณะที่หันตัวก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอันหรูอวี้ เมื่อเห็นคนมาล้อมเรียกอีกคนว่าคุณชายใหญ่ ก็เดาออกว่าคนคนนี้คือฮูเหยียนไท่เป่า เขาจึงก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ “เหมียวอี้คารวะคุณชายใหญ่!”

อันที่จริงหลังจากอันหรูอวี้กับฮูเหยียนไท่เป่าออกมา ทั้งสองก็ยืนอยู่ด้วยกันแล้ว การที่เขาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอันหรูอวี้ ทำให้อันหรูอวี้วุ่นวายใจมาก ตอนนี้จะโมโหเหมียวอี้ก็ทำไม่ลง จะแค้นก็ทำไมลง จะด่าก็ไม่ได้ จะทำร้ายก็ไม่ได้ อยากจะลดตัวเข้าไปตีสนิท… แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานนางยังวางกับดักลอบสังหารเขาอยู่เลย หัวใจนางพัวพันกันอุตลุด

ฮูเหยียนไท่เป่ามองเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้าคือเหมียวอี้เหรอ?”

“ขอรับ!” เหมียวอี้ตอบอย่างเคารพ แต่ในใจหงุดหงิด เขามีความแค้นกับคุณชายใหญ่ท่านนี้เหมือนกัน แต่พอนึกว่าอีกฝ่ายต้องยืนหันหน้าเข้าหากำแพงเพื่อสำนึกตัวหนึ่งหมื่นปี ภายนอกเขาจึงปล่อยผ่านไป หนึ่งหมื่นปีหลังจากนี้ก็ยังไม่รู้ว่าใครจะกลัวใครกันแน่

ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าฮูเหยียนไท่กลับคืนสู่ตำแหน่งแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร

ฮูเหยียนไท่เป่าพยักหน้าเล็กน้อย “อย่าให้ท่านปราชญ์รอนาน รีบไปเถอะ!”

“ขอรับ!” เหมียวอี้เอ่ยรับแล้วรีบเดินไป

พอเข้ามาในตำหนักเก้าชั้นฟ้า ก็เห็นมู่ฝานจวินนั่งอยู่บนบัลลังก์ เหมียวอี้ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า พบว่าหญิงแต่งชายที่สีหน้าเรียบเฉยคนนี้มองตัวเองด้วยสายตาที่ค่อนข้างแปลก บอกไม่ถูกว่าแปลกอย่างไร สรุปว่ารู้สึกแปลกนั่นแหละ

“ข้าน้อยคารวะท่านปราชญ์!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะอย่างเคารพนบนอบ

มู่ฝานจวินขานรับ แล้วใช้สายตาแปลกๆ มองสำรวจเขาพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นว่า “เหมียวอี้ เจ้าใจกล้าไม่เบา บังอาจเอาชีวิตของท่านทูตแดนเซียนไปต่อรองแลกเปลี่ยน!”

เหมียวอี้พลันเงยหน้า สีหน้าเคารพเปลี่ยนเป็นสีหน้าเศร้าโศกในชั่วพริบตาเดียว “ท่านปราชญ์! ข้าน้อยโดนกดดันจนไม่มีทางเลือก ในกลุ่มพวกเขามีคนสมคบกับแดนปีศาจ แดนอู๋เลี่ยง ทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้วางแผนลอบทำร้ายข้าน้อย ข้าน้อย…”

ยังไม่ทันพูดจบ มู่ฝานจวินก็ตัดบทแล้ว “เจ้ากำลังบอกว่า กำลังทำความสะอาดบ้านเพื่อข้าเหรอ?”

“มิบังอาจ! ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ ว่าใครกันแน่ที่ต้องการทำร้ายข้าน้อย ก็เลย…”

ยังไม่ทันพูดจบ ก็โดนตัดบทอีก มู่ฝานจวินถามว่า “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ว่าใครต้องการทำร้ายเจ้า?”

“ไม่ทราบจริงๆ ขอรับ!” เหมียวอี้ปฏิเสธอย่างแน่วแน่

“ไม่ใช่ว่าแกล้งโง่เพื่อให้ตัวเองรอดตัวหรอกนะ?” มู่ฝานจวินถาม

เหมียวอี้เสียวสันหลังวาบ รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เหมือนจะรู้อะไรมาบ้างแล้ว จึงกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย แต่ต่อให้ตายก็ไม่ยอมรับ ปฏิเสธด้วยอารมณ์ฮึกเหิมเร่าร้อน “ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ!”

มู่ฝานจวินมองเขานิ่งๆ มองจนเขาเริ่มรู้สึกไม่สงบใจ

เรื่องบางเรื่องมู่ฝานจวินก็รู้อยู่แก่ใจแล้ว และนางก็รู้สึกนับถือชายที่อยู่อยู่เบื้องล่างจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าภายใต้สถานการณ์แบบนั้น จะสามารถรอดพ้นจากเงื้อมมือของเฟิงเป่ยเฉินได้ ไม่แปลกใจที่สามารถผ่านอุปสรรคชีวิตตั้งแต่การปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตรจนรอดมาถึงวันนี้ได้ ถ้าอันหรูอวี้มีความสามารถในการปรับตัวสักหน่อย เรื่องราวก็คงไม่บานปลายถึงขั้นนี้

แต่นางก็ไม่ได้พูดเปิดโปงเหมียวอี้ เมื่ออยู่ในฐานะอย่างนาง เรื่องไหนที่ควรจะปิดตาข้างเดียว นางก็รู้ชัดอยู่แก่ใจ ถ้าใช้วิธีการโหดเหี้ยมกับทุกเรื่อง ฮูเหยียนไท่เป่าคงไม่รอดชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้หรอก ครั้งนี้อันหรูอวี้ก็ยากที่จะพ้นโทษตายเช่นกัน แต่ถ้าฆ่าคนทิ้งหมดก็จะไม่มีใครทำงานให้นาง ใต้หล้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่วรยุทธ์อย่างนางจะควบคุมด้วยตัวคนเดียวไหว

ถ้านางเปิดโปงเหมียวอี้ ก็จะต้องลงโทษเหมียวอี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถให้คำอธิบายกับคนอื่นได้ นางถามเสียงเรียบว่า “คนที่ทำร้ายเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น อันหรูอวี้ทำคนเดียว นางยอมรับแล้ว เจ้าคิดว่าข้าควรจะลงโทษนางอย่างไร?”

“คุณชายรองหรือขอรับ?” เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนตกใจมาก จากนั้นก็กุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยมิบังอาจตัดสินใจ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับท่านปราชญ์!”

“ข้าย่อมจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว!” มู่ฝานจวินกดเรื่องนี้เอาไว้ยังไม่พูดถึง เปลี่ยนเรื่องถาม “ข้าถามเจ้าหน่อย คืนที่เจ้าโดนลอบโจมตีที่สำนักงามวิจิตร ที่บอกว่ามีพระสงฆ์มาช่วยเจ้าไว้ เป็นใครกัน?”

บทพูดที่เหมียวอี้เตรียมมา ตอนนี้ถูกนางทำให้ยุ่งเหยิงหมดแล้ว ไม่ได้พูดตามจังหวะของตัวเอง อีกฝ่ายไม่ทันเปิดโอกาสให้เขาพูดว่าร้ายอันหรูอวี้ ก็ตัดสินใจไปเองเสียแล้ว ที่จริงเขาก็อยากรู้มากว่าจะลงโทษอันหรูอวี้อย่างไร แต่จนใจที่ถามมาไปก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ และไม่ใช่สิ่งที่ประมุขปราสาทเล็กๆ อย่างเขาควรถามด้วย

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอันหรูอวี้ เหมียวอี้รู้ตั้งแต่แรกว่ามู่ฝานจวินจะต้องถามเรื่องพระสงฆ์แน่นอน เขาตอบว่า “เป็นเทพพยากรณ์ขอรับ!”

เขาเองก็หมดหนทางแล้วจริงๆ ทำได้เพียงก้าวผ่านด่านต่อด่าน ตอนนี้ทำได้เพียงอ้างเทพพยากรณ์ที่ทำตัวลึกลับเหมือนเทพเจ้ามังกรเห็นหัวมิเห็นหาง ถึงอย่างไรก็ไม่ค่อยมีใครหาชายคนนั้นเจออยู่แล้ว

“เทพพยากรณ์?” มู่ฝานจวินแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้า ยืนขึ้นถามซ้ำว่า “เทพพยากรณ์ช่วยชีวิตเจ้าไว้เหรอ? ทำไมเขาต้องช่วยเจ้าด้วย?”

เหมียวอี้ตอบว่า “เพราะว่าข้าน้อยกับเทพพยากรณ์รู้จักกันมานานแล้ว ครั้งแรกที่ไปปฏิบัติภารกิจที่ทะเลทรายม่านเมฆาในปีนั้น ข้าน้อยก็ได้พบกับเขาแล้ว เป็นตอนที่หาเรือมังกรอเวจีพบ ตอนหลังข้าน้อยไปทะเลทรายม่านเมฆาก็ได้พบเขาอีก จึงสนิทสนมกัน ครั้งนี้บังเอิญเจอที่เจ้าสำนักงามวิจิตรพอดี เขาเองก็ได้ข่าวการประลองของวิเศษ จึงจะมาดูเอาสนุกเหมือนกันขอรับ”

“เทพพยากรณ์ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งใดๆ เขาฆ่าท่านทูตเพื่อเจ้าเหรอ?” มู่ฝานจวินทั้งตระหนกทั้งสงสัย

“ที่จริงเขาไม่ได้ฆ่าหรอก เป็นข้าน้อยที่ฉวยโอกาสลงมือตอนที่เขากำลังควบคุมคนพวกนั้น ข้าน้อยเป็นคนสังหารเอง… พวกเขาต้องการสังหารข้า ไม่มีเหตุผลที่ข้าต้องปล่อยพวกเขาไป ด้วยเหตุนี้ข้าน้อยจึงทำให้เทพพยากรณ์โกรธ ทั้งยังตัดขาดความสัมพันธ์กับข้าน้อยด้วย!” เหมียวอี้ตอบด้วยท่าทางที่ซื่อสัตย์จริงใจ

“เป็นอย่างนี้เหรอ…” มู่ฝานจวินจมดิ่งอยู่ในความคิด แววตาที่ชำเลืองเหมียวอี้อยู่เป็นระยะค่อนข้างหวาดระแวง ถามอีกว่า “เจ้ามีวรยุทธ์เท่าไรแล้ว?”

เหมียวอี้ยกมือเช็ดตรงหว่างคิ้ว เผยวรยุทธ์บงกชม่วงขั้นเก้า “บงกชม่วงขั้นเก้าขอรับ!”

มู่ฝานจวินตกใจอีกครั้ง ดวงตาหงส์ทั้งคู่พลันหรี่ลงและฉายแววดุดัน กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบชวนขนลุกว่า “ฝึกตนได้เร็วขนาดนี้ ดูท่าทางแล้ว เจ้ากับเยียนเป่ยหงคงจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาจริงๆ!”

เหมียวอี้รู้สึกได้ถึงเจตนาสังหารที่แผ่มาจากตัวนาง จึงรีบตอบว่า “ตอบท่านปราชญ์ ถึงแม้จะน้อยจะเป็นสหายของเยียนเป่ยหง แต่สาเหตุที่เยียนเป่ยหงฝึกตนได้เร็วขนาดนี้ ข้าน้อยก็ไม่ทราบเช่นกัน ที่ข้ากับอวิ๋นจือชิวฝึกตนได้เร็วขนาดนี้ ก็เป็นเพราะบุญคุณของเทพพยากรณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาให้ยาแก่นเซียนมาจำนวนหนึ่ง พวกเราสองสามีภรรยาคงไม่อาจฝึกตนได้เร็วขนาดนี้ขอรับ”

“ยาแก่นเซียน?” มู่ฝานจวินอุทานถาม เรื่องประหลาดอัศจรรย์ที่ทยอยโผล่มาไม่ขาดสาย ทำให้นางรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ รีบถามว่า “เทพพยากรณ์มียาแก่นเซียนเหรอ?”

เหมียวอี้อธิบายว่า “มีบางอย่างที่ท่านปราชญ์ไม่ทราบ ครั้งแรกที่ข้าน้อยไปทะเลทรายม่านเมฆาแล้วเจอเทพพยากรณ์ ตอนนั้นก็เจอเรือมังกรอเวจีแล้วเช่นกัน เป็นครั้งที่ท่านปราชญ์มาด้วยตัวเอง และตอนที่พบเทพพยากรณ์ที่ทะเลทรายม่านเมฆาอีกครั้ง ข้าน้อยก็เจอเขากำลังไล่ตามเรือมังกรอเวจี พอได้คุยถึงทราบว่าเขาก็ตามหาเรือมังกรอเวจีมาตลอด และเป็นครั้งนั้นเช่นกัน ข้าน้อยเห็นกับตาว่าเทพพยากรณ์กับเรือมังกรอเวจีปะทะกัน เขาโจมตีจนได้ของบางอย่างมาจากตัวผีดิบพวกนั้น ในจำนวนนั้นมียาแก่นเซียนจำนวนมหาศาล แต่เหมือนเขาจะไม่สนใจมันเท่าไร เหมือนสนใจเรือมังกรอเวจีมากกว่า จึงมอบยาแก่นเซียนให้ข้าน้อยทั้งหมด หลังจากข้าน้อยได้เลื่อนขั้นเป็นประมุขปราสาทดำเนินสุริยัน ก็เก็บตัวฝึกฝนหลายร้อยปีเพื่อใช้ยาแก่นเซียนพวกนั้นเพิ่มวรยุทธ์ อวิ๋นจือชิวก็อาศัยยาแก่นเซียนพวกนี้เพิ่มวรยุทธ์จนถึงระดับบงกชทองแล้วเช่นกัน เป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้าน้อยวรยุทธ์ต่ำเกินไป ใช้ยาแก่นเซียนจนหมดก็หยุดแค่ระดับบงกชม่วงขั้นเก้า ไม่สามารถบรรลุระดับบงกชทองได้”

ตอนนี้เรื่องราวลุกลามใหญ่โต ดีไม่ดีตอนหลังอาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ เขารู้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาไม่อาจปิดบังวรยุทธ์ไปตลอด จึงถือโอกาสอธิบายรวดเดียวไปเลย จะได้ไม่มีปัญหาอะไรตามมาในภายหลัง

มู่ฝานจวินกลับแววตาวูบไหว กำลังไตร่ตรองคำพูดของเขา มีอยู่จุดหนึ่งที่นางมั่นใจได้ นั่นก็คือครั้งแรกที่เหมียวอี้เจอเรือมังกรอเวจี นางเองก็เจอเทพพยากรณ์เช่นกัน ที่แท้เทพพยากรณ์ก็ตามหาเรือมังกรอเวจีมาตลอด

ส่วนคำพูดในตอนท้ายของเหมียวอี้ เรื่องที่นางไม่สามารถยืนยันได้ นางก็ไม่มีทางเชื่อได้ง่ายๆ เลย

หลังจากหายเหม่อลอย นางก็ตะคอกถามเสียงเข้ม “ทำไมไม่รายงานเรื่องนี้ให้เร็วว่านี้?”

เหมียวอี้ตอบเสียงต่ำว่า “ตอนนั้นสถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน ยาแก่นเซียนก็เป็นของดีมากจริงๆ พวกเราสองสามีภรรยาอยากจะเพิ่มวรยุทธ์ใหสูงขึ้นไว ก็เลย…” ไม่ต้องพูดอะไรมากกว่านี้แล้ว

มู่ฝานจวินหมั่นไส้นิดหน่อย แต่ก็พอจะเข้าใจได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นได้ยาแก่นจำนวนมากขนาดนั้น ก็คงจะไม่มีใครเปิดเผยเช่นกัน นางค่อยๆ ข่มความโมโหเอาไว้ แล้วถามว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าวรยุทธ์ของอวิ๋นจือชิวบรรลุถึงระดับบงกชทองเหรอ?”

อวิ๋นจือชิวเองก็ปิดบังวรยุทธ์ของตัวเองมาตลอด ไม่กล้าเปิดเผย

“ขอรับ!” เหมียวอี้พยักหน้า

เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ อย่างน้อยก็มีจุดหนึ่งที่แน่ใจได้  นั่นก็คือเหมียวอี้ไม่ได้ฮุบยาแก่นเซียนเอาไว้คนเดียว และไม่ปฏิบัติต่อเมียตัวเองอย่างไม่เป็นธรรม ผู้ชายที่เต็มใจให้วรยุทธ์ของเมียสูงกว่าตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่รักเมีย เมื่อนึกถึงตรงนี้ ความโมโหของมู่ฝานจวินก็คลายลงแล้วไม่น้อย เพียงพึมพำเบาๆ ว่า “บรรลุถึงระดับบงกชทองแล้ว…”

ขณะที่นางพูดคำนี้ ในดวงตาก็ฉายแววปลื้มใจเล็กน้อย

เหมียวอี้ที่กำลังแอบมองนางสังเกตได้ว่าดวงตานางฉายแววปลื้มใจแวบหนึ่ง ในใจรู้สึกสงสัยทันที ข้ามองผิดไปรึเปล่า?

มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม แล้วนั่งลงอย่างช้าๆ วางเรื่องนี้เอาไว้ก่อน นางทำสีหน้าเย็นชาพร้อมบอกว่า “ประมุขปราสาทเล็กๆ คนเดียว บังอาจนำชีวิตของท่านทูตไปแลกเปลี่ยนต่อรอง เดิมทีมีโทษถึงตาย! แต่เห็นว่าเรื่องนี้มีสาเหตุ และเห็นแก่หน้าน้องสาวเจ้า ข้าจะให้โอกาสเจ้าไถ่โทษ ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะคว้าโอกาสนี้ไว้รึเปล่า!”

เหมียวอี้หงุดหงิดใจทันที ยังกัดไม่ปล่อยอีกเหรอ? เจ้าไม่อยากใช้ประโยชน์จากประมุขถิ่นสี่ทิศแห่งทะเลดาวนักษัตรแล้วเหรอ?

เป็นเพราะเขาสามารถดึงประมุขถิ่นสี่ทิศแห่งทะเลดาวนักษัตรมาเป็นพวกได้ เขาถึงได้มั่นใจว่าเรื่องในครั้งนี้จะผ่อนหนักเป็นเบาได้ ตอนนี้ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเล่นบ้าอะไรอีก จึงกล่าวหยั่งเชิงว่า “ข้าน้อยจะตั้งใจฟังขอรับ!”

มู่ฝานจวินกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าเองก็มีความแค้นกับแดนมารอยู่บ้าง เจ้าคงเคยได้ยินมาแล้ว ถ้าเจ้าสามารถเกลี้ยกล่อมให้ฮูหยินของเจ้าประกาศต่อสาธารณะ ให้นางเต็มใจเข้ามาอยู่ในทะเบียนรายชื่อเซียนได้ แบบนี้ก็นับว่าช่วยให้ข้าได้ระบายความโกรธ ข้าก็จะพิจารณาเรื่องผ่อนโทษให้เจ้า!”

เรื่องแค่นี้เองเหรอ? เหมียวอี้ถอยหายใจหนักๆ ยังนึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก ถ้าเจ้าอยากจะตบหน้านภาจอมมาร ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าหรอก จึงกล่าวรับประกันทันที “ข้าน้อยต้องเกลี้ยกล่อมให้นางตอบตกลงได้แน่นอน!”

“เจ้าอย่ารับปากเร็วเกินไปนักเลย!” มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม “เจ้าคิดว่าเจ้าก่อเรื่องขนาดนี้แล้ว ยังจะเป็นประมุขปราสาทต่อไปได้อีกเหรอ?”

“…” เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ แต่พอลองคิดอีกที พวกเราต้องการแค่ชีวิตที่สงบสุข จะได้เป็นประมุขปราสาทหรือไม่ เขาก็ไม่แยแสเลยจริงๆ จะโดนลดขั้นกลับไปเป็นประมุขถ้ำคล้อยบูรพาก็ไม่เป็นไร จึงกุมหมัดตอบทันทีว่า “ข้าน้อยยินดีรับการลงโทษจากท่านปราชญ์!”

มู่ฝานจวินกล่าวอย่างคล่องปากว่า “ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ การลงโทษตักเตือนเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เพื่อเห็นแก่หน้าน้องสาวเจ้า ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากหรอก ตำแหน่งประมุขปราสาทนั่น ยกให้ฮูหยินของเจ้าก็แล้วกัน ส่วนเจ้าก็ลดขั้นไปเป็นที่ปรึกษาของนาง ผลประโยชน์ที่ควรได้ก็ยังเป็นของพวกเจ้าสองสามีภรรยา ใครจะเป็นประมุขปราสาทหรือใครจะเป็นลูกน้อง ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหน ใช่มั้ยล่ะ?”

“อะไรนะ?” เหมียวอี้อุทานถาม มึนงงนิดหน่อย

“ทำไมล่ะ? เจ้าไม่เต็มใจเหรอ?” มู่ฝานจวินทำหน้าเข้ม

916

โดนจู่โจมแดนโพ้นสวรรค์


“ข้าน้อยยินดีขอรับ!” เหมียวอี้รีบเอ่ยรับ

ไม่ใช่ว่าไม่อยาก! เหมียวอี้ไม่ได้แยแสตำแหน่งประมุขปราสาทเลย ให้ใครเป็นก็ไม่ให้เป็น ประเด็นสำคัญคือให้เขาไปเป็นลูกน้องของอวิ๋นจือชิว เขารู้สึกแปลกนิดหน่อย ทำไมรู้สึกเหมือนได้กลับไปอยู่ที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุอีกรอบล่ะ ตัวเองกลายเป็นบริกรแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งมู่ฝานจวินเป็นคนเตรียมการ ทำให้เขารู้สึกว่ามีบางจุดที่ไม่ชอบมาพากล

เมื่อได้ยินเขาตอบตกลงแล้ว มู่ฝานจวินก็พยักเล็กน้อยหน้าอย่างพอใจ “ยังคงเป็นอย่างที่บอก ผลประโยชน์ทุกอย่างยังเป็นของพวกเจ้าสองสามีภรรยา ใครจะเป็นประมุขปราสาทหรือใครจะเป็นลูกน้องก็เหมือนกัน เดี๋ยวในภายหลังข้าจะให้รางวัลชดเชยเจ้า”

“ขอรับ!” เหมียวอี้พยักหน้าซ้ำๆ ไม่รู้ว่าจะให้รางวัลอะไรได้ แต่ภายนอกยังคงเจียดร้อยยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณที่ท่านปราชญ์ช่วยให้สมปรารถนา!”

เรื่องนี้ก็จบลงอย่างนี้แล้ว มู่ฝานจวินไม่ได้ถามอะไรมากอีก เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ท่านจื่อหยางนั่นอยู่ในมือเจ้าใช่มั้ย?”

“อยู่ในกระเป๋าสัตว์ของข้าน้อยขอรับ” เหมียวอี้พูดจบก็เรียกออกมา

“ไม่ต้องแล้ว!” มู่ฝานจวินยกมือห้าม” ส่งตัวให้อวิ๋นอ้าวเทียนแล้วกัน นี่คืออีกเรื่องที่จะให้เจ้าไปจัดการ”

ตั้งแต่ที่เฟิงเป่ยเฉินมาถึงแดนโพ้นสวรรค์แล้วไม่เอ่ยถึงเรื่องเยารั่วเซียนสักคำ เหมียวอี้ก็เดาออกแล้วมู่ฝานจวินก็ไม่ต้องการเยารั่วเซียนเหมือนกัน ตอนนี้ก็พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่ามู่ฝานจวินจะส่งต่อหายนะไปให้นภาจอมมาร

สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้เข้าใจอย่างแท้จริงแล้ว ว่าเยารั่วเซียนไม่อาจลงหลักปักฐานที่พิภพเล็กได้อีกต่อไป ถ้าปล่อยไว้ก็มีแต่จะตายสถานเดียว ไม่มีหกปราชญ์คนไหนย่อมปล่อยเขาไป

“ขอรับ! ข้าน้อยจะนำเขาไปส่งให้นภาจอมมารเดี๋ยวนี้! หากท่านปราชญ์ไม่มีอะไรจะกำชับแล้ว ข้าน้อยขอตัวอำลา!”

“ไม่จำเป็นต้องไปนภาจอมมาร ถ้าเจ้าไปตอนนี้ ถึงตอนนั้นถ้าอวิ๋นอ้าวเทียนได้คนไปแล้วไม่ยอมรับ คนอื่นก็นึกว่าข้าซ่อนคนเอาไว้น่ะสิ ต่อให้มีเป็นร้อยปากก็อธิบายไม่ได้ รออยู่ที่นี่แล้วกัน คาดว่าอีกไม่กี่วันตะแก่พวกนั้นก็คงจะมาถึง ถึงตอนนั้นก็ส่งมอบคนให้อวิ๋นอ้าวเทียนต่อหน้าทุกคน”

เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ ทำแบบนี้เท่ากับไม่เหลือทางรอดไว้ให้เยารั่วเซียนเลย แต่ก็ทำได้เพียงเอ่ยรับ

หลังจากได้รับคำสั่งจากมู่ฝานจวิน เหมียวอี้ก็ขอตัวออกจากตำหนักเก้าชั้นฟ้า แล้วโบกมือบอกพวกท่านทูตที่รออยู่ด้านนอก “ท่านปราชญ์ให้พวกเจ้าไปเข้าพบ”

กลุ่มท่านทูตเดินเข้าตำหนักทันที ส่วนเหมียวอี้ก็รออยู่ด้านนอก ถือโอกาสตอนไม่มีใครสนใจส่งสายตาให้เยว่เหยา

เยว่เหยาเข้าตำหนักไปพบมู่ฝานจวินทันที หลังจากออกมา ก็เรียกเหมียวอี้ “ประมุขปราสาทเหมียว”

เหมียวอี้ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะทันที “คุณชายหกมีอะไรจะกำชับขอรับ?”

“ตามข้ามานี่หน่อย” เยว่เหยาที่สวมชุดกระโปรงสีขาวเอ่ยเรียก แล้วดึงหงเฉินเหาะออกไปด้วยกัน เหมียวอี้เหาะตามไปทันที

พวกอันหรูอวี้แค่มองมาสองสามครั้ง และไม่ได้สนใจอะไร คิดว่ามู่ฝานจวินคงสั่งให้พวกเขาไปทำอะไรบางอย่าง

เยว่เหยากับหงเฉินพักอยู่ด้วยกัน อยู่บนภูเขาลูกเดียวกัน อยู่ในตำหนักที่งดงามราวกับวิมานหยก สิ่งของที่จัดวางไว้ล้วนเป็นของที่งดงามประณีตและหาพบได้น้อยในโลกนี้ เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์จะมาชื่นชมสภาพแวดล้อมของที่นี่ เพียงแต่ใช้สายตาสื่อสารกับเยว่เหยา

เยว่เหยาเข้าใจที่เขาสื่อ จึงไล่ให้ลูกน้องออกไป แล้วเข้ามาคล้องแขนเหมียวอี้ “พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ท่านอาจารย์ไม่ได้ทำอะไรท่านใช่มั้ย?”

“ไม่มีอะไร แค่ไม่ได้เป็นประมุขปราสาทแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องนี้หรอก” เหมียวอี้มองเทพธิดาหงเฉินที่อยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง แต่ไม่ได้หลบเลี่ยงนาง เพราะรู้ว่าทั้งสองเป็นพวกเดียวกัน เขาใช้มือสองข้างประคองไหล่ของเยว่เหยา พร้อมาถามว่า “เจ้าสาม พี่ใหญ่ขอถามเจ้าอย่างจริงจังสักครั้ง ถ้าพี่ใหญ่กับอาจารย์ของเจ้าเกิดขัดแย้งอะไรกัน เจ้าจะยืนอยู่ฝ่ายไหน?”

เทพธิดาหงเฉินตะลึงงัน หันหน้าช้าๆ ไปมองทั้งสองคน บนใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง

เยว่เหยาก็ยิ่งตกใจไม่เบา ดวงตางามสดใสเบิกโพลงทันที ถามอย่างรู้สึกเหลือเชื่อว่า “พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงพูดแบบนี้ออกมาล่ะ? ท่านอยากทรยศแดนเซียนไปพึ่งพาแดนมารเพื่อฮูหยินคนนั้นใช่มั้ย?” สองไหล่สั่นเทิ้ม ใช้มือปัดของเขาที่อยู่บนบ่าตัวเองออก แล้วส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ “ข้าไม่ตอบตกลงหรอก!”

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “เจ้าสาม เจ้าอย่านอกเรื่องไปไกล ไม่เกี่ยวกับพี่สะใภ้ของเจ้า ข้าแค่อยากถามเจ้าสักคำ ถ้าพี่ใหญ่พาเจ้าออกไปจากที่นี่ เจ้าจะยอมไปหรือเปล่า?”

“ไปที่ไหน?” เยว่เหยาถาม

“เจ้าไม่ต้องสนใจหรอกว่าจะไปที่ไหน พี่ใหญ่จะดูแลเจ้าอย่างดีแน่นอน”

“พี่ใหญ่ ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่? ถ้ามีข้าอยู่ ท่านอาจารย์ก็ไม่ทำอะไรท่านหรอก”

เหมียวอี้เริ่มร้อนใจนิดหน่อย ถามเสียงต่ำว่า “เจ้าสาม อย่าบอกนะว่าเจ้าดูไม่ออก? อาจารย์เจ้าใช้เจ้าเพื่อบีบจุดอ่อนข้ามาตลอด ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่ข้าก็ทำอะไรได้ไม่เต็มที่ ไปกับข้าเถอะ!”

เยว่เหยามองเทพธิดาหงเฉินอย่างกังวลมาก อยู่ดีๆ เหมียวอี้ก็จะให้นางทรยศอาจารย์ตัวเอง ทำให้นางทำอะไรไม่ถูกเลย

“เจ้าทิ้งศิษย์พี่หญิงของเจ้าไม่ลงใช่มั้ย?” เหมียวอี้หันไปมองเทพธิดาหงเฉิน” หงเฉิน ถึงอย่างไรเจ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่สมปรารถนาอยู่แล้ว ไม่สู้ไปกับข้าดีกว่า ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่ด้วยกัน เจ้าช่วยเกลี้ยกล่อมเจ้าสามหน่อย”

“ข้าอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ” เทพธิดาหงเฉินเดินลากกระโปรงยาวเข้ามาเบาๆ ถอนหายใจ แล้วบอกว่า “เหมียวอี้ ฝั่งหนึ่งก็อาจารย์ ฝั่งหนึ่งก็พี่ชาย อาจารย์ดูแลนางอย่างดีมาตั้งแต่ยังเด็ก เจ้าจะให้นางตัดสินใจเลือกได้อย่างไร ถ้าเปลี่ยนเป็นข้า ก็คงจะเลอะเลือนตามเจ้าไปไม่ได้เหมือนกัน”

เยว่เหยาพยักหน้า “พี่ใหญ่ ท่านอาจารย์ดูแลข้าอย่างดี ข้าทรยศนางไม่ได้หรอก พี่ใหญ่ ท่านไม่พอใจที่ท่านอาจารย์ถอดท่านออกจากตำแหน่งประมุขปราสาทเหรอ? พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องห่วงนะ รอให้อาจารย์หายโกรธก่อน ข้าจะไปขอร้องให้ ให้ท่านกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม ถ้ามีท่านอยู่ อาจารย์ก็ไม่กลั่นแกล้งท่านหรอก”

พอเหมียวอี้ได้ฟังคำตอบของนาง ก็รู้ว่านางไม่สามารถตัดสินใจเลือกระหว่างเขากับมู่ฝานจวินได้ รู้ว่าพูดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร

แล้วจู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาที่แน่วแน่กล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งพลันรู้สึกห่อเหี่ยวใจ ใช้สองมือปิดหน้า ค่อยๆ นั่งยองๆ ลงบนพื้น แล้วก้มหน้าเงียบงันอยู่นานมาก

เทพธิดาหงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าบนตัวของผู้ชายคนนี้เต็มไปด้วยความจนใจ

เยว่เหยาเริ่มกลัวแล้ว นางนั่งย่อเข่าบนพื้น ใช้มือประคองแผ่นหลัง พลางถามอย่างกังวลว่า “พี่ใหญ่ ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ท่านอย่าทำให้ข้าตกใจสิ!”

เหมียวอี้ถอยหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ใช้สองมือถูหน้าตัวเองอย่างแรง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มสดใสพลางลุกขึ้นยืน ยื่นมือใบลูบใบหน้าเยว่เหยาที่ลุกขึ้นยืนตามเขา พลางกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่มีอะไรหรอก ข้าก็พูดไปเรื่อยเปื่อย พี่ใหญ่ไม่ฝืนใจเจ้าหรอก ตราบใดที่เจ้าอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกมีความสุขก็ดีแล้ว”

โดนเขาลูบใบหน้าแบบนี้ เยว่เหยาก็หน้าแดงนิดหน่อย เชิดปากพูดว่า “พี่ใหญ่ ท่านบอกแล้วว่าจะแต่งงานกับข้าและศิษย์พี่หญิง ถ้าท่านแต่งงานกับพวกเราสองคนแล้ว พวกเราก็จะตามท่านไปได้อย่างสง่าผ่าเผย!”

เทพธิดาหงเฉินพูดไม่ออก เอามือลูบหน้าผากนางเบาๆ อย่างจนใจ

เหมียวอี้เองก็พูดไม่ออก เจ้าเด็กคนนี้เอาแต่คิดเรื่องนี้อยู่เสมอ จึงหัวเราะแห้งๆ พร้อมบอกว่า “เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว พี่ใหญ่แต่งงานกับพี่สะใภ้เจ้าแล้วนะ เออใช่ ทำไมข้าได้ยินพี่สะใภ้บอกว่าเจ้าทำตัวไม่เป็นมิตรกับนางตลอดเลย มันเรื่องอะไรกันแน่?”

เยว่เหยาทำสีหน้าเย็นชาทันที “นางไม่ใช่พี่สะใภ้ข้า ข้าไม่ยอมรับ”

เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “นี่เป็นงานสมรสที่อาจารย์เจ้าประทานให้เองเลยนะ ถ้าเจ้าไม่พอใจก็ไปต่อว่าอาจารย์เจ้าสิ”

“พี่ใหญ่ ท่านเล่นลูกไม้กับข้าใช่มั้ย?”

“ไม่เถียงกับเจ้าแล้ว!” เหมียวอี้ปัดมือที่นางชี้เข้ามา แล้วหันตัวไปบอกเทพธิดาหงเฉิน “หาห้องเงียบๆ สักห้อง เราไปคุยกันเป็นการส่วนตัวสักหน่อย”

เทพธิดาหงเฉินอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็พยักหน้าทันที ดึงกระโปรงเดินนำไปข้างหน้า เหมียวอี้เดินตามไปทันที

เยว่เหยาเดินตามอยู่หลังสุด “พี่ใหญ่ ท่าจะทำอะไร?”

“ศิษย์พี่เจ้าสวยขนาดนี้ ข้าก็ต้องไปคุยเกี้ยวพาราสีศิษย์พี่เจ้าสักหน่อยสิ!” เหมียวอี้พูดหยอก

หงเฉินเอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วพาเหมียวอี้ไปยังห้องสมาธิฝึกตนที่ใช้เป็นประจำ พอปิดประตูหิน เยว่เหยาที่ถูกกั้นให้อยู่ข้างนอกก็กระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด

หลังจากในห้องสมาธิเหลือแค่พวกเขาสองคน หงเฉินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เรื่องอะไร ทำไมต้องคุยกันส่วนตัว?”

“ข้าประสบปัญหาแล้ว เจ้าจะช่วยข้าสักหน่อยได้มั้ย?” เหมียวอี้กลับถ่ายทอดเสียง…

พอประตูหินเปิดออก ตอนที่ทั้งสองเดินออกมาอีกครั้ง แววตาของหงเฉินก็จริงจังเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน เยว่เหยาเข้ามากอดแขนนางทันที อยากรู้อยากเห็นแทบแย่แล้ว “ศิษย์พี่หญิง พวกท่านคุยอะไรกันเหรอ?”

“พี่ชายเจ้าชอบข้า!” หงเฉินยิ้ม

เยว่เหยาไม่เชื่อ จึงมองไปทางเหมียวอี้ “จริงหรือเปล่า?”

“ศิษย์พี่เจ้าปฏิเสธข้า!” เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน

เยว่เหยาพูดค่อนขอด “โกหก!” จากนั้นก็ถามอีกว่า “จริงหรือโกหกคะ?”

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เทพธิดาหงเฉินก็ปรากฏตัวอยู่ในป่าลึกนอกแดนโพ้นสวรรค์ บังเอิญเจอกับพวกอวิ๋นเป้าและพวกทะเลดาวนักษัตรที่กำลังรอเหมียวอี้พอดี

ถึงแม้ทุกคนจะรอเหมียวอี้ แต่กลับรู้จักแยกแยะชัดเจน ต่างคนต่างยืนคนละฝั่ง ความสัมพันธ์ของสองฝ่ายไม่ได้ดีสักเท่าไร

“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?” หงเฉินตะคอก

อวิ๋นเป้าหัวเราะร่า ไม่ตอบคำถามนาง แต่หันซ้ายหันขวาแล้วพูดหยอกล้อ “อย่าว่าไปเชียว เวลามู่ฝานจวินรับลูกศิษย์ แต่ละคนนี่เป็นยอดหญิงงามในโลกมนุษย์ เห็นแล้วน้ำลายไหล”

บรรดาท่านทูตของแดนมารหัวเราะลั่น ฝ่ายทะเลดาวนักษัตรก็มีคนขำเบาๆ เช่นกัน สายตาจ้องอยู่บนตัวหงเฉินอย่างกำเริบเสิบสาน

หงเฉินขมวดคิ้วเดินมาอยู่ตรงหลางระหว่างคนทั้งสองกลุ่ม แล้วเตือนว่า “ที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ของพวกเจ้า รีบออกไปซะ ถ้ายั่วให้อาจารย์โมโห พวกเจ้าได้รับบทเรียนกลับไปแน่”

เหมือนจะไม่อยากคลุกคลีอยู่กับคนสกปรกพวกนี้นาน พอเตือนเสร็จก็หันหน้าเดินออกไปเลย ทำให้ผู้ชายกลุ่มนี้แอบหัวเราะ

หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ฝูงชิงที่อยู่ฝ่ายทะเลดาวนักษัตรกลับอาศัยต้นไม้ใหญ่พรางตัว แอบลงจากเขาฝั่งนี้อย่างเงียบๆ หนีออกมาอย่างไร้สุ้มเสียงไม่นานก็มาถึงหุบเขาอีกแห่ง จากนั้นเหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบๆ

ที่ด้านหลังภูเขาหินลูกหนึ่ง เงาร่างของเทพธิดาหงเฉินวนออกมา นางไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เพียงโบกมือนำแผนหยกแผ่นหนึ่งขว้างออกมา

ฝูชิงรับมาไว้ในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย แต่หลังจากอ่านเนื้อหาในนั้นแล้ว ก็ทำท่าครุ่นคิด…

เหมียวอี้มาที่แดนโพ้นสวรรค์เป็นครั้งแรก ย่อมบอกเยว่เหยาว่าอยากจะออกไปเดินเล่นดูสักหน่อย ด้วยฐานะของเยว่เหยาไม่สะดวกจะไปเดินเล่นเป็นเพื่อน แต่ถ้าไม่ไปด้วยก็กลัวว่าเหมียวอี้จะบุกไปยังสถานที่ที่ไม่ควรล่วงล้ำ จึงให้หลันรั่วหญิงรับใช้ของตัวเองไปเป็นเพื่อน

ไม่ต้องพูดถึงทิวทัศน์อันงดงามของแดนโพ้นสวรรค์เลย เป็นสวรรค์บนโลกมนุษย์อย่างแท้จริง พื้นที่ของหนึ่งภูเขาซ่อนธรรมชาติเอาไว้สี่ฤดู มีน้ำตกลำธารใส ภูเขาสูงปกคลุมไปด้วยหิมะ ในหุบเขาละลานตาไปด้วยมวลหมู่ดอกไม้ เหล่าวิหคร้องขับขาน ศาลาที่อยู่โดยรอบปรากฏให้เห็นรางๆ

“ช่างเป็นสถานที่ที่งดงาม!” เหมียวอี้กล่าวชมมาตลอดทาง พอเดินมาถึงริมหน้าผาของซอกเขาแห่งหนึ่ง เขาทอดสายตามองด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

ข้างกายมีต้นสนเขียวชอุ่มหลายต้น พุ่มใบของมันกำลังปะทะลมสู้หมอก ด้านล่างของหน้าผามีกระแสน้ำไหลเชี่ยวกราก ล้วนเป็นน้ำที่ละลายจากหิมะบนภูเขา มีไอหมอกกระเพื่อมขึ้นมา

หลันรั่วกำลังแนะนำสถานที่ เหมียวอี้เพิ่งจะยื่นหน้ามองลงไปด้านล่างหน้าผา แต่จู่ๆ ก็มีเงาสีดำพุ่งพรวดขึ้นมาจากด้านล่าง สับฝ่ามือไปที่เหมียวอี้อย่างบ้าคลั่ง

หลันรั่วกับเหมียวอี้ตกใจมาก รีบหนีอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ที่มาเคลื่อนไหวเร็วเกินไป ทั้งยังพุ่งเป้าไปที่เหมียวอี้ เหมียวอี้หนีไม่ทัน โบกมือโจมตีกลับภายใต้ความตื่นตะหนก

บึ้ม! เกิดเสียงดังสะเทือน หน้าผาพังทลาย “อั้ก” เหมียวอี้กระอักเลือกสดออกมาคำหนึ่ง โดนฝ่ามือสับจนตกลงไปพร้อมกับหน้าผาถล่ม คนชุดดำที่ปิดบังใบหน้ากระโดดตามลงไป


917

สละดาบเพื่อปกป้องตัวเอ

ต้นสนและก้อนหินถล่มลงมาเสียงดังโครม ทั้งคนทั้งหินตกลงสู่ลำธารที่ไหลเชี่ยวกรากใต้หน้าผา บึ้ม! ละอองน้ำที่ระเบิดพุ่งขึ้นฟ้าเป็นเครื่องพิสูจน์ศึกเดือดที่อยู่ใต้กระแสน้ำอันเชี่ยวกราก

ใต้เสาน้ำมีแสงสีฟ้าลอยวนเวียน ไม่รู้ว่าคืออะไร ดูน่าตกใจกลัวมาก แต่เสียงความเคลื่อนไหวดุเดือดก็เงียบสงบลงเร็วมาก

หลันรั่วที่เหาะขึ้นฟ้าตกใจไม่เบา มองไม่ชัดว่าสถานการณ์ข้างล่างเป็นอย่างไร จึงร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกน “ข้าศึกโจมตี ช่วยด้วย!”

ที่จริงนางไม่ต้องร้องขอความช่วยเหลือเลย ความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ คนของแดนโพ้นสวรรค์ไม่ได้หูหนวก เงาคนเหาะแฉลบมาคนแล้วคนเล่า เรียกได้ว่าใครที่มาได้ก็มาหมด สะเทือนไปถึงปราชญ์เซียนมู่ฝานจวินเช่นกัน ถึงกับต้องมาดูด้วยตัวเอง

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ฮูเหยียนไท่เป่าจ้องหลันรั่วที่อยู่ในอาการหวาดกลัวพลางตะคอกถาม

เยว่เหยาที่มาถึงช้ากว่าคนอื่น พอเห็นแค่หลันรั่วแต่ไม่เห็นเหมียวอี้ นางก็ยิ่งตกใจ รีบถามว่า “หลันรั่ว เป็นอะไรไป?”

หลันรั่วชี้ไปใต้หน้าผาที่ถล่ม “มีคนปิดบังใบหน้าลอบโจมตีประมุขปราสาทเหมียว!”

พอพูดจบก็ไม่จำเป็นต้องบอกอะไร ฮูเหยียนไท่เป่า อันหรูอวี้ จงเจิ้นรวมทั้งท่านทูตคนอื่นๆ ก็เคลื่อนไหวทันที กลุ่มนักพรตบงกชทองรีบค้นหาอย่างรวดเร็ว

มู่ฝานจวินที่อยู่บนฟ้าส่งสายตาให้หงเฉิน หงเฉินเข้าใจความหมาย จึงเข้ามาดึงเยว่เหยาที่อยู่ในอาการร้อนรน เตือนนางว่าอย่าแสดงออกเกินไป ไม่อย่างนั้นทุกคนจะดูออกว่านางกับเหมียวอี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา

“เหมียวอี้ล่ะ?” มู่ฝานจวินถามหลันรั่ว

หลันรั่วชี้ไปใต้หน้าผา “โดนคนที่ปิดบังใบหน้าโจมตีตกหน้าผาไปแล้ว เป็นตายอย่างไรไม่ทราบเจ้าค่ะ”

เยว่เหยาแทบจะน้ำตาไหลพราก ยังดีที่หงเฉินร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเอาไว้

ดวงตามู่ฝานจวินฉายแววเย็นเยียบ เอียงศีรษะไปทางถังจวิน ถังจวินเข้าใจที่นางจะสื่อ ขณะกำลังจะเหาะลงไปหาที่ใต้หน้าผา ใครจะคิดว่าเงาร่างที่สะบักสะบอมจะกระโดดออกมาจากใต้หน้าผาที่มีไอน้ำขมุกขมัว ทั้งตัวเปียกโชก แกว่งแขนข้างหนึ่งขึ้นมาบนหน้าผา ส่วนแขนอีกข้างถือดาบสีม่วงยันพื้นเพื่อประคองร่างที่โซเซ จ้องมองกลุ่มคนบนฟ้าด้วยสีหน้าดุร้าย นอกจากเหมียวอี้แล้วจะเป็นใครไปได้อีก!

“มีเรื่องอะไรกันแน่?” มู่ฝานจวินถามตรงๆ

เหมียวอี้ปากสั่นระริก อยากจะบอกแต่พูดไม่ออก “อั้ก…” จู่ๆ ก็อ้าปากกระอักเลือดออกมาอีกคำ พยุงร่างตัวเองไม่ไหวแล้ว ก้นกระทกลงพื้นและหงายหลัง นอนหายใจรวยรินอยู่อย่างนั้น

ทุกคนเหาะลงมาเหยียบพื้น ถังจวินก้าวเข้ามานั่งคุกเข่าข้างเดียว หลังจากยื่นมือเข้าไปร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอาการของเหมียวอี้เสร็จแล้ว ก็เงยหน้ารายงานว่า “ท่านอาจารย์ แขนหักหนึ่งข้าง กระดูกซี่โครงหักหมด บาดเจ็บสหัสมาก!”

ถ้าเยว่เหยาไม่ได้ถูกหงเฉินควบคุมไว้ ก็คงจะโผเข้าไปตั้งนานแล้ว

มู่ฝานจวินทำสีหน้าเคร่งเครียด สั่งเพียงว่า “ช่วยชีวิต!”

“ขอรับ!” ถังจวินนำสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาทันที เป่าหมอกประกายดาวหลายกลุ่มเพื่อรักษาเยียวยา

หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง คนที่ตามหาจนทั่วทุกที่ก็กลับมา ที่พากลับมาด้วยคือพวกอวิ๋นเป้าและกลุ่มปีศาจทะเลดาวนักษัตร พวกเขาอยู่แถวนี้พอดี จึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัย แต่พอได้ยินว่าเหมียวอี้โดนจู่โจมจนได้รับบาดเจ็บ พวกเขาก็เป็นฝ่ายตามมาเองโดยไม่ต้องบังคับ

“เจ้าห้า นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ประมุขถิ่นสี่ทิศรีบมาล้อมถาม

หลังจากหยียบลงพื้นและชำเลืองมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง อวิ๋นเป้าก็เงยหน้ามองมู่ฝานจวิน “ใครเป็นคนทำ?”

มู่ฝานจวินไม่แยแสเขาเลย แต่สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนถ่อมาลอบโจมตีถึงที่นี่ แต่อาจจะเลือกสถานที่ได้ดีเกินไปหน่อย บังเอิญว่าเป็นที่นี่พอดี ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวและรู้ตัวว่าเกิดอะไร แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาคน ตกลงไปใต้หน้าผาเสียแล้ว

นางรู้สึกว่าคนที่ลอบโจมตีคุ้นเคยกับแดนโพ้นสวรรค์มาก สายตากวาดมองกลุ่มคนทีละคน แต่กลับไม่เจอเบาะแสอะไร

แม้แต่ฮูเหยียนไท่เป่ากับพวกศิษย์พี่เองก็ยังรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล เหลียวซ้ายแลขวาอยู่เป็นระยะ

อันหรูอวี้กำลังมองเหมียวอี้ที่ได้รับบาดเจ็บหนัก บอกไม่ถูกว่ากำลังทำสีหน้ากังวลหรือสีหน้าอะไร

โอวหยางกวงมองเหมียวอี้ที่บาดเจ็บสาหัสพลางขมวดคิ้ว เขารู้สึกจนใจมากกับเรื่องบางเรื่อง ก่อนหน้านี้อันหรูอวี้บอกให้เขารู้ถึงผลลัพธ์แล้ว เขาได้รู้ว่าลูกสาวทั้งสองของตัวเองจะต้องแต่งงานกับเจ้าบ้านี่ ที่น่าหงุดหงิดใจก็คือแต่งไปเป็นอนุภรรยา ลูกสาวทั้งคู่ของเขาต้องแต่งไปเป็นอนุภรรยาของอีกฝ่ายเหรอ? บอกไม่ถูกเลยว่าในใจมีรสชาติเป็นอย่างไร!

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม เหมียวอี้ที่อาการบาดเจ็บทุเลาลงก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา มู่ฝานจวินย่อมถามว่า “รู้มั้ยว่าใครทำ?”

เหมียวอี้ที่อยู่ในอาการอ่อนเพลียตอบอย่างเดือดดาลว่า “อีกฝ่ายปิดหน้า ข้าน้อยมองไม่ชัด แต่อีกฝ่ายกลับใช้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ข้าน้อยสงสัยว่าเฟิงเป่ยเฉินเป็นคนทำ เขาแย่งกระเป๋าสัตว์ของข้าไปแล้ว ท่านจื่อหยางอยู่ในกระเป๋าสัตว์”

เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ทุกคนก็ตใจมาก แม้แต่เทพธิดาหงเฉินก็ยังมองมาแบบงงๆ

ประมุขถิ่นสี่ทิศสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขาค่อนข้างพูดไม่ออก พบว่าเหมียวอี้กับเฟิงเป่ยเฉินจงเวรกันไม่จบไม่สิ้น ขอแค่มีโอกาสก็จะลากเฟิงเป่ยเฉินลงไปเจอความย่อยยับ

แต่เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา แม้แต่อวิ๋นเป้าก็ยังไม่เชื่อ เป็นญาติกันก็ส่วนเป็นญาติกัน ผลประโยชน์ก็ส่วนผลประโยชน์ ท่านจื่อหยางโดนคนแย่งไปแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยด้วย จะไม่ทำเรื่องนี้ให้ชัดเจนไม่ได้ จึงถามด้วยสีหน้าสงสัยว่า “เหมียวอี้ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายใช้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง?”

เหมียวอี้หันมาตอบว่า “หลานชายของเฟิงเป่ยเฉินตายด้วยน้ำมือของข้า ข้าเคยประมือกับมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงมาแล้ว จะไม่รู้ได้อย่างไร!”

อวิ๋นเป้าพูดกลั้วหัวเราะว่า “พูดได้ดีนี่ หลานชายเขาตายด้วยน้ำมือเจ้า ถ้าเฟิงเป่ยเฉินลงมือล่ะก็ ทั้งความแค้นเก่าทั้งความแค้นใหม่รวมกัน เขาคิดว่าเฟิงเป่ยเฉินจะปล่อยเจ้าได้เหรอ? ได้ยินว่าเมื่อครู่นี้มีคนลอบจู่โจมเจ้า ไม่รู้ว่าตอนโดนลอบจู่โจม ข้างกายเจ้ามียอดฝีมือปกป้องรึเปล่า?”

“อวิ๋นเป้า ท่านหมายความว่าอย่างไร?” เหมียวอี้ถามอย่างโมโห

อวิ๋นเป้าตอบกลั้วหัวเราะอีก “อย่าใจร้อนไป ข้าแค่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลอย่างยิ่ง” เขากวาดสายตามองกลุ่มคนของแดนโพ้นสวรรค์ “คงไม่ได้จงใจช่วยกันเล่นละครตบตาหรอกใช่มั้ย?”

“เจ้าลูกมาร ถ้าพูดเหลวไหลไร้สาระอีก เชื่อมั้ยว่าข้าจะฉีกปากเหม็นๆ ของเจ้า?” มู่ฝานจวินอ่ยปากพูดแล้ว

อวิ๋นเป้าหัวเราะแล้วหุบปาก ถึงอย่างไรก็ได้แสดงความคิดเห็นไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัว

เช่นเดียวกัน มู่ฝานจวินก็เคลือบแคลงสงสัยเช่นกัน “ถึงแม้เจ้าลูกมารจะพ่นแต่อุจจาระออกจากปาก แต่ก็ใช่ว่าคำพูดของเขาจะไม่มีเหตุผล เหมียวอี้ ถ้าเป็นเฟิงเป่ยเฉินจริง เกรงว่าเขาคงจะฆ่าเจ้าทิ้งไปแล้ว เจ้าคงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้หรอก”

เหมียวอี้เขย่าดาบยาวสีม่วงที่อยู่ในมือ ทำให้เกิดแสงสีฟ้าเปล่งออกมา แสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาหลายจั้ง เขากล่าวเสียงดังว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะข้ามีของวิเศษชิ้นนี้ปกป้อง โจมตีจนอีกฝ่ายทำอะไรไม่ถูก ข้าก็คงตายไปแล้วจริงๆ เป็นเพราะคนที่ข้าสู้ด้วยวรยุทธ์สูงเกินไป!”

ทุกคนทำสีหน้าตกตะลึงมาก พวกเขาเคยสัมผัสมาก่อน คนที่รู้ว่ามันคืออะไรพากันอุทานเสียงหลงว่า “เรือมังกรอเวจี!”

แม้แต่มู่ฝานจวินก็เบิกตาโพลงเช่นกัน

ส่วนคนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พอได้ยินเสียงร้องอุทานก็พากันทำสีหน้างุนงง อะไรกัน? ดาบนี้คือเรือมังกรอเวจีในตำนานเหรอ? แต่หน้าตาแตกต่างกับที่ร่ำลือกันมากเกินไปหน่อย

ประมุขถิ่นสี่ทิศมองหน้ากันเลิกลั่ก พวกเขาคุ้นเคยกับของเล่นชิ้นนี้ดี เพราะไปปล้นที่เกาะศักดิ์สิทธิ์มาด้วยกัน

“เหมียวอี้ เจ้าเอาของชิ้นนี้มาจากไหน?” อวิ๋นเป้าตาลุกวาว

แสงสีฟ้าพลันหดเก็บเข้าในตัวดาบ เหมียวอี้ถือดาบไว้ในแนวนอน หันตัวมาเลิกคิ้วถามว่า “ท่านไม่สนใจหรอกว่าข้าจะเอามาจากไหน อยากจะลิ้มลองอานุภาพของดาบนี้สักหน่อยมั้ยล่ะ?”

สำหรับอานุภาพของดาบด้ามนี้ ในบรรดาคนที่อยู่ในเหตุการณ์ สงเวยประมุขถิ่นทิศตะวันออกคงจะรู้สึกสะเทือนอารมณ์ที่สุด ทุกวันนี้ในใจยังหวาดกลัวไม่หาย

“…” อวิ๋นเป้าหัวเราะแห้งๆ ทันที แล้วยื่นมือเข้าไปโดยตรง “เหมียวอี้เอ๊ย! ดาบนี้หน้าตาดีใช้ได้ ส่งมาให้อาแปดดูสักหน่อยสิ”

“มาแย่งของถึงแดนโพ้นสวรรค์ของข้าเลยเหรอ เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วใช่มั้ย?” มู่ฝานจวินพูดห้ามอย่างเด็ดขาด “ไสหัวออกจากแดนโพ้นสวรรค์ไปเดี๋ยวนี้!”

มือที่ยื่นออกไปชะงักทันที อวิ๋นเป้าไม่มีทางเลือก มู่ฝานจวินกำลังจะระเบิดอารมณ์แล้ว ทำได้เพียงหนีไปอย่างหน้าม่อยคอตก แต่อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองดาบในมือเหมียวอี้ด้วยแววตาตะกละ

พอเหมียวอี้แอบส่งสายตาให้ ประมุขถิ่นสี่ทิศก็ถอยออกไปเงียบๆ เช่นกัน

“เหมียวอี้มานี่หน่อย!” มู่ฝานจวินหันมาพูดทิ้งท้าย แล้วถลันตัวกลับเข้าไปในตำหนักเก้าชั้นฟ้า

ฮูเหยียนไท่เป่ามองเหมียวอี้ที่เดินตามเข้าไปแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมาสั่งพวกลูกน้องให้ค้นหาที่แดนโพ้นสวรรค์ต่อไป

ในตำหนักเก้าชั้นฟ้า มู่ฝานจวินไม่ได้กลับขึ้นนั่งในบัลลังก์ แต่ยืนอยู่ในโถง ขณะที่มองดูเหมียวอี้เดินเข้ามาคำนับ นางก็ไม่เปลืองคำพูดอะไรแล้ว ยื่นมือขอตรงๆ เลยว่า “นำดาบมาให้ข้าดูหน่อย!”

เหมียวอี้ทำได้เพียงนำดาบออกมา แล้วใช้สองมือยื่นให้ มู่ฝานจวินขยุ้มนิ้วทั้งห้าดูดมาไว้ในมือ หลังจากดูไปครู่เดียว นางก็กำจัดต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ที่อยู่ในนั้นทิ้งไป แล้วใส่ของตัวเองเข้าไปแทน พอร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นเล็กน้อย ก็เห็นแสงสีฟ้าลอยขึ้นมา พอพลิกดาบในมือสองสามที แสงสีฟ้าก็ถูกลากดึงออกมา

“ช่างเป็นของล้ำค่าจริงๆ!” มู่ฝานจวินถือเล่นในมือสองสามครั้งพลางกล่าวชม จากนั้นเงยหน้าขึ้นถามว่า “เจ้านำสมบัติชิ้นนี้มาจากไหน?”

“เป็นของที่เทพพยากรณ์ตีได้มาจากเรือมังกรอเวจีในครั้งนั้นเช่นกัน นอกจากยาแก่นเซียนพวกนั้นแล้ว เขายังให้สมบัติชิ้นนี้กับข้าด้วย” เหมียวอี้ตอบ

“ข้าก็คิดอย่างนั้น ของประเภทนี้ข้าเคยเห็นแค่ที่เรือมังกรอเวจีเท่านั้น ถึงแม้จะเป็นของวิเศษขั้นสี่ แต่คุณสมบัติไม่ธรรมดา เป็นสิ่งที่หาไม่ได้ในพิภพเล็ก” มู่ฝานจวินพยักหน้า โปรดปรานดาบที่อยู่ในมือจนวางไม่ลง นางลูบบนตัวดาบพร้อมกล่าวว่า “เหมียวอี้ ของแบบนี้ถ้าตกอยู่ในมือเจ้า เกรงว่าจะนำหายนะมาให้เจ้า เจ้าคิดว่าอย่างไร?” นางเหล่ตาจ้องมองมา

ความหมายแฝงในคำพูดนี้ชัดเจนมาก คือให้เหมียวอี้รู้จักอ่านสถานการณ์เป็นและมอบให้นาง แต่เหมียวอี้กลับแกล้งโง่ ไม่พูดอะไรตอบ

มู่ฝานจวินเองก็ไม่เกรงใจ เมื่อเห็นเขาตัดใจทิ้งไม่ลง ก็พูดตรงๆ เสียเลยว่า “ข้าว่าเก็บดาบนี้ไว้ที่ข้าเถอะ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

เหมียวอี้แอบถอนหายใจ แบบนี้ต่างอะไรกับการปล้น เขารู้อยู่แล้วว่าถ้านำดาบเล่มนี้ออกมาแล้วจะรักษาไว้ไม่ได้ แต่ก็ไม่มีทางเลือก ถ้าอยากจะช่วยชีวิตเยารั่วเซียนก็ต้องเสียสละดาบเล่มนี้ แต่ทุกคนไม่เชื่อว่าเยารั่วเซียนถูกคนชิงตัวไปแล้ว มีแค่การจ่ายค่าตอบแทนให้มากพอ ถึงจะทำให้คนเชื่อจริงๆ ว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

เขาโดนกดดันจนหมดทางเลือกแล้วจริงๆ จะรักษาชีวิตของเยารั่วเซียน หรือจะรักษาดาบเล่มนี้ไว้ ขณะที่ตัดใจทิ้งไม่ลง สุดท้ายเข้าก็เลือกรักษาชีวิตของเยารั่วเซียนไว้

แต่ของแบบนี้จะให้ไปง่ายๆ ก็ไม่ได้ ถ้าใจกว้างเกินไปจะทำให้คนสงสัย ดังนั้นเหมียวอี้จึงก้มหน้าพูดเสียงต่ำว่า “ในเมื่อท่านปราชญ์โปรดปราน ข้าน้อยก็ยินดีมอบให้ เพียงแต่อาการบาดเจ็บบนตัวข้าน้อยยังไม่หายดี อยากจะขอสมุนไพรเซียนซิงหัวสักสองต้นขอรับ…”

มู่ฝานจวินไม่พูดพร่ำทำเพลง สะบัดมือปล่อยสมุนไพรเซียนซิงหัวที่มีอายุกำลังได้ที่ให้ลอยเข้ามา สองต้น

เหมียวอี้รับมาไว้ในมือแล้วกล่าวขอบคุณ ในที่สุดในใจของเขาก็สงบลงบ้างแล้ว

ถึงแม้สมุนไพรเซียนซิงหัวจะมีค่ามากในพิภพเล็ก แต่ในพิภพใหญ่นั้นมีค่ามากกว่า ไม่ใช่เพราะในพิภพใหญ่มีสมุนไพรเซียนซิงหัวอยู่น้อย แต่เป็นเพราะโดนตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีผูกขาด ต่อให้มีคนได้มาก็ไม่อาจนำมาจำหน่ายได้ ยามหน้าสิ่วหน้าขวานสามารถหยิบออกมาช่วยชีวิตได้ ถ้าไม่โดนกดดันจนหมดทางเลือก ก็ไม่มีใครทำออกมาขาย

เหมียวอี้มีปัจจัยที่จะนำไปขายต่อที่พิภพใหญ่ แต่คนที่ต้องเสี่ยงอันตรายบ่อยๆ แบบเขามีแต่จะรู้สึกว่ามันน้อยไป จะนำไปขายได้อย่างไร มิหนำซ้ำของสิ่งนี้ก็หาไม่ได้ง่ายๆ ที่พิภพเล็ก สมาคมร้านค้าแต่ละแดนนั้นมีขาย แต่ก็ขายจำกัดให้แค่คนบางระดับของทางการเท่านั้น นับว่าเป็นสวัสดิการให้กับคนที่ทำงานให้หกปราชญ์ ทั้งยังมีนโยบายซื้อในจำนวนจำกัดด้วย

เช่นเดียวกัน ถ้านำสิ่งนี้ไปขายที่พิภพใหญ่ก็จะสะดุดตาเกินไป ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องแบบนี้ใส่ตัว


918

หกปราชญ์

ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ ก่อนที่เหมียวอี้จะออกไป มู่ฝานจวินก็พูดเสริมอีกว่า “ข้าไม่ตักตวงผลประโยชน์จากเจ้าเฉยๆ เหรอ หลังจากส่งส่วยปีนี้ข้ามีเรื่องตื่นเต้นประหลาดใจจะบอกเจ้า ตอนส่งส่วยอย่าลืมพาอวิ๋นจือชิวมาด้วย”

เหมียวอี้งงทันที ตอนที่เดินออกจากตำหนักเก้าชั้นฟ้าก็ยังครุ่นคิด นางป้าคนนี้คิดจะทำอะไร? มีเรื่องตื่นเต้นประหลาดใจจะบอกข้า? เรื่องตื่นเต้นประหลาดใจอะไร?

เมื่อออกจากตำหนักเก้าชั้นฟ้า ก็บังเอิญเจอกับคนที่ไม่อยากเจอ อันหรูอวี้เหมือนกำลังรอเขาอยู่ด้านนอก หลังจากเดินเข้ามาใกล้ก็ถามอย่างไม่เป็นธรรมชาติว่า “อาการบาดเจ็บเจ้าไม่เป็นไรมากใช่มั้ย?”

แมวร่ำไห้แก่หนู แสร้งทำเมตาสงสาร! เหมียวอี้พูดดูถูกในใจ แล้วกุมหมัดคารวะ “ขอบคุณที่คุณชายรองสนใจ!” ในคำพูดซ่อนอารมณ์ถากถาง

อันหรูอวี้หมั่นไส้จนคันฟันทันที ไม่รู้ว่าอาจารย์บอกเรื่องนั้นกับเจ้าบ้านี่หรือยัง ถ้าบอกแล้วแต่ยังกล้าพูดกับนางแบบนี้ ก็ถือว่าทำเกินไปแล้ว

แต่ตอนนี้นางก็โกรธไม่ลง จากนั้นก็ดีดแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่เขา แล้วหันตัวลอยละลิ่วออกไป

เหมียวอี้มองของที่อยู่ในแหวนเก็บสมบัติ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นสมุนไพรเซียนซิงหัวหนึ่งต้น เขางุนงงนิดหน่อย นี่นางให้เขามารักษาตัวเองเหรอ?

คิดว่าใช้สมุนไพรเซียนซิงหัวต้นเดียวก็จะจบเรื่องได้แล้วเหรอ? รอข้าก่อนเถอะ ถ้ามีโอกาสก็คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร! เหมียวอี้ยิ้มเย้ยในใจ แต่เขาไม่กลัวว่าจะมีของสิ่งนี้เยอะเกินไป ถ้าไม่รับไว้ก็เสียของ จึงเก็บไว้เสียเลย

ในตำหนักเก้าชั้นฟ้า มู่ฝานจวินกำลังเล่นดาบยาวสีม่วง อารมณ์ดีใช้ได้เลย

ที่พิภพเล็ก ของวิเศษระดับสูงสุดก็คือของวิเศษขั้นสี่ คนที่วรยุทธ์สูงถึงระดับอย่างพวกเขา ของวิเศษขั้นสี่ทั่วไปแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกเขาเลย หกปราชญ์ไม่สามารถหาของวิเศษที่เหมาะมือเจอได้อีกแล้ว ส่วนใหญ่สู้กันโดยใช้มือเปล่า ถึงแม้ดาบยาวเล่มนี้จะเป็นของวิเศษขั้นสี่ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของวิเศษขั้นสี่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่ใช้ทำ หรือจะเป็นแสงสีฟ้าที่อยู่บนตัวดาบ เมื่อมีของวิเศษชิ้นนี้ก็เหมือนกับเสือติดปีก ไม่อย่างนั้นปราชญ์เซียนผู้สง่าผ่าเผยอย่างนางคงไม่ถึงขั้นใช้อำนาจแย่งของวิเศษของลูกน้องตัวเองหรอก

“อวิ๋นอ้าวเทียน คอยดูเถอะว่าข้าจะทำลายความโอหังอวดดีของเจ้าอย่างไร…” มู่ฝานจวินลูบดาบสีม่วงพลางพึมพำ

ท่ามกลางภูเขาที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ในหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง ชายชุดดำที่ปิดบังใบหน้าโผล่ออกมาจากป่าภูเขา หลังจากมองสำรวจรอบๆ แล้ว ก็คว้ากระเป๋าสัตว์ออกมาใบหนึ่ง แล้วเรียกคนออกมาโดยตรง

เยารั่วเซียนที่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้งส่ายหน้า พอเงยหน้าเห็นชายปิดบังใบหน้าก็ตะลึงงัน ถามอย่างตกใจนิดหน่อยว่า “เจ้าเป็นใคร?”

ชายที่ปิดบังใบหน้าตอบด้วยเสียงแหบพร่า “ข้าเป็นใครก็ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือเจ้าต้องรีบออกจากที่นี่ เหมียวอี้ฝากให้ข้ามาบอกเจ้า ว่าให้ไปซ่อนตัวที่อู่ต่อเรือ บอกว่าเจ้ารู้ว่าอยู่ที่ไหน ระหว่างทางอย่าลืมปิดบังใบหน้าที่แท้จริง ถึงตอนนั้นเขาจะไปหาเจ้าที่อู่ต่อเรือ” พูดจบก็หันตัวเดินจากไป

“เหมียวอี้อยู่ที่ไหน?”เยารั่วเซียนตะโกนถาม

“หุบปาก!” ชายที่ปิดบังใบหน้าพลันหันตัวมา “ตรงนี้ห่างจากแดนโพ้นสวรรค์ไม่ไกล ตะโกนดังขนาดนี้อยากจะรนหาที่ตายรึไง? เพื่อที่จะช่วยเหลือเจ้าในครั้งนี้ เหมียวอี้แทบเอาชีวิตไม่รอดครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเจ้าไปรนหาที่ตายถึงที่อีก ก็ไม่มีใครช่วยเจ้าได้แล้ว รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้!” พูดจบก็แวบหายไป

เยารั่วเซียนยืนเงียบอยู่ที่เดิมนานมาก สุดท้ายก็เดินออกไปอย่างโดดเดี่ยว

หลังจากเขาไปแล้ว ชายที่ปิดหน้าก็ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง มองไปยังทิศทางที่เยารั่วเซียนหายไป แล้วก็ถอดหน้ากากของตัวเองออกมา เผยใบหน้าของฝูชิงประมุขถิ่นทิศตะวันตก

“เพื่อที่จะช่วยสหาย เจ้าเด็กนั่นยอมเสี่ยงอันตรายโดยไม่พูดอะไรสักคำ…” ฝูชิงทอดถอนใจเบาๆ  จากนั้นก็รีบถอดชุดคลุมสีดำ และหายตัวไปในป่าภูเขาอย่างรวดเร็ว…

“พี่ใหญ่ ท่านไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”

เหมียวอี้เพิ่งกลับมาถึงที่พักของเยว่เหยา เยว่เหยาก็ดึงตัวเขามาสอบถามทันที

“ไม่เป็นอะไร! ไม่เป็นไร บาดเจ็บนิดหน่อย ไม่นานก็ฟื้นตัวแล้ว” เหมียวอี้ตอบอย่างร่าเริง

“เจ้าตามข้ามาหน่อย!” เทพธิดาหงเฉินเดินออกมาจากด้านข้าง สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร พูดทิ้งท้ายแล้วหันตัวเดินลากกระโปรงนำไปทันที

เหมียวอี้ยิ้มรับ แล้วเดินตามไปทันที

เยว่เหยารีบก้าวเข้ามา แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “ศิษย์พี่หญิง พวกท่านสองคนทำลับๆ ล่อๆ อะไรกัน? คงไม่ได้แอบคบกันจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”

ยังคงเป็นห้องสมาธิห้องนั้น เทพธิดาหงเฉินปล่อยให้เหมียวอี้เข้าไป แต่กลับขวางเยว่เหยาเอาไว้ ประตูหินที่ปิดสนิทกันเยว่เหยาไว้ด้านนอก ทำให้นางกระทืบเท้าโวยวายอย่างหงุดหงิดอีกครั้ง

ขณะที่มองเทพธิดาหงเฉินผู้งดงามดุจพระจันทร์ประชิดเข้ามาพร้อมแววตาเย็นเยียบ เหมียวอี้ก็ยิ้มบางๆ พลางถามว่า “เทพธิดา เหตุใดจึงมองข้าเช่นนี้ คงไม่ได้ชอบข้าจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”

“อย่ามาแกล้งโง่หน่อยเลย เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ!” หงเฉินกล่าว

“เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?” เหมียวอี้ถาม

หงเฉินกล่าวพร้อมแววตาที่แฝงความดุร้าย “เจ้าอย่ามาหลอกข้าเหมือนคนโง่! เจ้าไม่ได้บอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่านจื่อหยาง!”

“แล้วเกี่ยวอะไรกันล่ะ! เชื่อใจข้าเถอะ ข้าไม่ได้มีเจตนาชั่วร้ายแน่นอน ที่ข้าทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีเยว่เหยาจริงๆ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เยว่เหยาก็คงไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขเหมือนกัน” เหมียวอี้กล่าว

หงเฉินเถียงกลับว่า “เหลวไหลทั้งนั้น! ท่านจื่อหยางกับเยว่เหยาเกี่ยวอะไรกัน? เหมียวอี้ เจ้าทำแบบนี้เพราะมีเจตนาอะไรกันแน่ ถ้าท่านจื่อหยางตกอยู่ในมือปราชญ์อีกห้าคน ก็ไม่ใช่เรื่องดีกับแดนโพ้นสวรรค์แน่นอน ข้าจำที่เจ้าถามเยว่เหยาก่อนหน้านี้ได้ ว่าถ้าเจ้ากับอาจารย์มีเรื่องขัดแย้งกัน เยว่เหยาจะยืนอยู่ฝ่ายใคร พอมาคิดดูตอนนี้ อย่าบอกนะว่าเจ้ามีเจตนาน่าอับอายอะไรจริงๆ ?”

“เจ้าคิดมากไปแล้ว” เหมียวอี้กล่าว

“ถ้าวันนี้เจ้าไม่พูดความจริง ข้าจะไปขอให้อาจารย์ลงโทษเจ้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปบอกความจริง!” หงเฉินบทจะไปก็ไปเลย หันตัวเตรียมจะไปทันที

เหมียวอี้คว้าแขนนางเอาไว้ แล้วดึงนางกลับมา “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ! เจ้าไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้หรอก บอกไปแล้วจะเกิดผลดีอะไรกับเจ้าเหรอ?”

“เจ้าทำแบบนี้ขู่ข้าไม่ได้หรอก!” หงเฉินมองแขนของตัวเองที่โดนเขาดึงไว้ แล้วดิ้นรนพร้อมสั่งว่า “ปล่อยข้า!”

เหมียวอี้จับไว้ไม่ปล่อย “หงเฉิน เจ้าฟังข้านะ ต่อให้ข้าจะทำร้ายใคร แต่ก็ไม่ทำร้ายเยว่เหยาหรอก ข้าจะบอกความจริงกับเจ้าก็ได้ ท่านจื่อหยางเป็นสหายของข้า เจ้าน่าจะเข้าใจนะ ว่าถ้าจื่อหยางตกอยู่ในมือหกปราชญ์ ก็จะต้องตายสถานเดียว ข้ามองดูเขาตายไปเฉยๆ ไม่ได้หรอก ข้ารับประกันกับเจ้าเลย ว่าต่อไปนี้ท่านจื่อหยางจะปิดบังชื่อแซ่ที่แท้จริง จะไม่เข้าไปยุ่งกับบุญคุณความแค้นในพิภพเล็กอีก… แล้วอีกอย่าง ถ้าอาจารย์เจ้าทำโทษข้า คนที่ทุกข์ใจที่สุดก็ยังเป็นเยว่เหยาอยู่ดี”

“คนอย่างเจ้าน่ะทำอะไรไม่สนวิธีการอยู่แล้ว เจ้าหลอกข้าไปแล้วรอบหนึ่ง ยังจะให้ข้าเชื่อเจ้าอีกได้ยังไง?” หงเฉินกล่าวอย่างแค้นใจ

“ไม่สนวิธีการเหรอ?” เหมียวอี้ถามเหน็บแนม แล้วกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “ที่ก่อนหน้านี้ข้าบอกให้เยว่เหยาไปกับข้า ก็เพราะอะไรล่ะ? ขอเพียงเยว่เหยาตอบตกลงว่าจะไปกับข้า ข้าก็สามารถพาท่านจื่อหยางหนีไปได้โดยตรง เจ้าเองก็รู้เรื่องความสัมนพันธ์ระหว่างข้ากับแดนมาร ข้าไปขอพึ่งพาที่แดนมารได้ทุกเมื่อ ถ้าไม่ใช่เพื่อเยว่เหยา เจ้าคิดว่าข้าจะทำไปทำไมล่ะ คิดว่าข้ากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ ก็เลยเล่นละครให้ตัวเองบาดเจ็บสาหัสงั้นเหรอ? เจ้าคิดว่าข้าเลือดไหลแล้วไม่ต้องใช้เงินหรือไง เจ้าคิดว่าข้าเป็นท่อนไม้ที่เจ็บไม่เป็นเหรอ? ข้าทำได้ทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการก็เพื่อใครล่ะ? ถ้าข้าอยู่ที่นี่ก็มีอันตรายถึงชีวิตได้ทุกเมื่อ ถ้ามัวแต่เลือกวิธีการที่ถูกต้อง อาจารย์เจ้าจะปล่อยข้าไปเหรอ หรือว่าเจ้ามีความสามารถมากพอที่จะช่วยข้า? ข้าแค่อยากจะมีชีวิตรอดต่อไปโดยไม่ทำร้ายเยว่เหยา ข้าทำอะไรผิด?

หงเฉินสองจิตสองใจ แต่สุดท้ายก็เลิกกัดฟัน แล้วจ้องเขาพร้อมเตือนว่า “เหมียวอี้ เห็นแก่หน้าเยว่เหยา ข้าจะเชื่อเจ้าอีกสักครั้ง! ปล่อยข้า!”

“ข้าจะถือว่าเจ้ารับปากแล้ว!” เหมียวอี้คลายมือปล่อยนาง

หงเฉินเอามือลูบแขนตัวเองที่โดนบีบจนรู้สึกเจ็บนิดหน่อย ขณะที่มองดูวรยุทธ์บงกชม่วงขั้นก้าของเหมียวอี้ที่ค่อยๆ จางไป นางก็รู้สึกสับสนมาก ในปีนั้นเป็นแค่หนุ่มน้อยที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้ ตอนนี้วรยุทธ์สูงกว่านางเยอะมากแล้ว พอลงมือขึ้นมาก็ทำให้นางขยับตัวไม่ได้เลย

นางหันตัวไปและโบกแขนเสื้อเพื่อเปิดประตูหิน เยว่เหยาที่เฝ้าอยู่ข้างนอกกำลังยืนกอดอก ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัยใคร่รู้…

หลังจากนั้นเกือบครึ่งวัน คนที่ควรจะมาก็มาถึงแล้ว ปราชญ์พุทธะฉางเหลยมาถึงก่อน

สาเหตุเพราะระยะทาง เขามาถึงก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เดิมทีทั้งหกแดนก็ตั้งอยู่บนพื้นที่รูปวงพระจันทร์เสี้ยวอยู่แล้ว แดนพุทธะ แดนเซียนกับแดนอู๋เลี่ยงครอบครองพื้นที่วงพระจันทร์เสี้ยว ส่วนแดนมาร แดนผีและแดนปีศาจครองแผ่นดินอีกส่วนหนึ่ง ระยะทางใกล้กันก็ย่อมมาถึงก่อน

จากนั้นปราชญ์ที่เหลือก็ทยอยกันมาถึง

เหมียวอี้เพิ่งเคยเห็นปราชญ์พุทธะฉางเหลยเป็นครั้งแรก เขาสวมจีวรสีทองอร่ามทั้งตัว อ้วนเตี้ยผิวขาว หน้าอ้วนหูใหญ่ ผิวหน้าสีแดงเปล่งปลั่ง บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเมตตากรุณาอยู่ตลอด และตั้งฝ่ามือข้างเดียวไว้ที่หน้าอกตลอดเช่นกัน

ตอนที่ถูกเชิญเข้าตำหนักเก้าชั้นฟ้า สายตาของเหมียวอี้ก็ไปหยุดอยู่บนตัวเขาแวบหนึ่ง ขนาดฝาไห่ยังยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ต้องบอกก็รู้ถึงฐานะของเขา

ในตำหนักเก้าชั้นฟ้ามีเก้าอี้เพิ่มมาห้าตัวแล้ว มู่ฝานจวินยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์ของตัวเอง ส่วนปราชญ์อีกห้าคนนั่งคนละตำแหน่ง

จีเต๋อไห่ก็มาแล้วเช่นกัน ยืนอยู่ข้างหลังชายชราที่ไว้เครายาวและหน้านิ่งเหมือนรูปแกะสลัก ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ คนคนนี้ดูอายุมากที่สุด ที่ศีรษะสวมมงกุฎทอง สวมชุดคลุมยาวสีเงินทั้งตัว นั่งอย่างวางมาดสง่าผ่าเผย ก่อนเหมียวอี้จะเข้ามา คนคนนี้หลับตาอยู่ตลอด แต่พอเหมียวอี้เข้ามา จีเต๋อไห่ก็โน้มตัวกระซิบกระซาบข้างหู คนคนนั้นเอียงหน้าถลึงตามองมาทันที ดวงตาฉายแววดุดัน

ไม่ค้องให้ใครแนะนำเลย คนที่สามารถทำให้จีเต๋อไห่อยู่ข้างหลังได้ จะต้องเป็นปราชญ์ปีศาจจีฮวนแน่นอน ชื่อของเขาฟังดูเหมือนมีความสุข แล้วคนกลับหน้าตาแข็งทื่อ

ยังมีอีกท่านที่ไม่รู้จัก เขาสวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว บนใบหน้าใส่หน้ากากผีสีขาว มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง นั่งปล่อยกลิ่นอายที่เย็นเยียบพิศวงอยู่อย่างนั้น ดูจากอวี้หนูเจียวที่ยืนอยู่ข้างหลังอีกฝ่าย ก็ตัดสินได้แล้วว่าคนคนนี้คือปราชญ์ผีซือถูเซี่ยว

ปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินกำลังมองมาด้วยสายตาเคียดแค้นอยากจะฉีกเนื้อ เหมียวอี้มองข้ามไปเสียเลย เดินไปกุมหมัดคารวะปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนก่อน อวิ๋นอ้าวเทียนพยักหน้าเบาๆ อวิ๋นเป้าที่อยู๋ข้างหลังก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้เหมียวอี้เล็กน้อย

“คารวะท่านปราชญ์!” เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาคารวะเฟิงเป่ยเฉินอย่างระวังตัว ไม่ระวังคงไม่ได้ เพราะเจ้าจมูกวัวนี่อาจจะลอบโจมตี

“เรียกเจ้ามาเพื่ออธิบายเรื่องราวให้ชัดเจน” มู่ฝานจวินโบกมือบอกใบ้ให้เจ้าไปยืนอยู่ใต้บัลลังก์ด้านข้าง

เฟิงเป่ยเฉินจ้องเหมียวอี้พลางแสยะยิ้มไม่หยุด “ไอ้จัญไร ไอ้สุนัขใจกล้า บังอาจเล่นสกปรกกับลูกศิษย์ข้า ทั้งยังกล้าใส่ร้ายว่าข้าลอบโจมตีเจ้าอีก!”

“ไม่รู้ว่าไอ้หลานคนไหนมันลอบโจมตีข้าเหมือนกันนะ!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ

เฟิงเป่ยเฉินเลิกคิ้ว “เจ้าด่าใคร? ลองพูดอีกรอบสิ!”

ก่อเรื่องจนลุกลามมาถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเขาอีกต่อไป “ใครลอบโจมตีข้า ข้าก็ด่าคนนั้นนั่นแหละ ถ้าเจ้าไม่ใช่ไอ้หลานที่มันลอบโจมตีข้า เจ้าจะเดือดร้อนอะไร? อย่าว่าแต่ด่าคำเดียวเลย ด่าอีกสิบคำข้าก็จะด่า ไม่รู้ว่าไอ้หลานเวรที่ไหนมันลอบโจมตีข้า คนที่ลอบโจมตีข้ามันเป็นไอ้หลานเวรตะไล ตัดขาดลูกหลาน…”

เฟิงเป่ยเฉินพลันลุกขึ้น ใกล้จะระเบิดอารมณ์เต็มที ไม่ได้โดยยั่วโมโหแบบนี้มาหลายปีแล้ว

อวิ๋นอ้าวเทียนที่นั่งพิงเก้าอี้พลันกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าจมูกวัว เจ้าคิดจะทำอะไร จะฆ่าปิดปากกันเชียวเหรอ? เห็นพวกเรานั่งอยู่เฉยๆ รึไง? ถ้าเจ้าไม่ได้ลอบโจมตีเขา เจ้าจะเดือดร้อนอะไรล่ะ? ด่าไปเรื่อยเปื่อยก็ไม่โดนตัวเจ้าหรอก เห็นเจ้าเดือดร้อนแบบนี้ เจ้ายังกล้าบอกอีกเหรอว่าไม่ได้แย่งตัวท่านจื่อหยางไป?” อวิ๋นอ้าวเทียนจ้องเขาด้วยแววตาเย็นเยียบ

ตอนนี้สายตาของคนที่เหลือก็จ้องอยู่ที่ตัวเฟิงเป่ยเฉินเหมือนกัน ดวงตาฉายแววสอบสวนสำรวจอย่างชัดเจน

919

เฟิงเป่ยเฉินหัวเราะเพราะเดือดดาลสุดขีด เขาเลอะเลือนพูดผิดไปชั่วขณะ แค่มุขของเด็กน้อยที่ใช้การพูดจาทั้งแถไถไหลลื่นนิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ตัวเองเข้าไปพัวพันได้ เขาทั้งโมโหทั้งอยากขำ

ถึงแม้เขาจะหวาดกลัวอวิ๋นอ้าวเทียน แต่ก็ต้องอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน “ก็จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้ข้าเคยโจมตีเขา แต่เป็นตอนก่อนที่เขาจะโดนจู่โจมที่นี่ ที่บอกว่าปล้นตัวท่านจื่อหยางอะไรนั่น เป็นคำพูดที่ไม่มีมูลเลย ถ้าให้ข้าลงมือเอง ยังจะต้องปิดบังใบหน้าด้วยเหรอ? ถ้าข้าลงมือเอง มันจะยังมีชีวิตอยู่เหรอ?”

“เจ้าจมูกวัวผู้สง่าผ่าเผย จะสู้กับตัวละครเล็กๆ อย่างนี้ยังต้องใช้การลอบโจมตี ขายขี้หน้ามั้ยล่ะ?” อวิ๋นอ้าวเทียนพูดเหยียด

“ตัวละครเล็กๆ ? แล้วตัวละครเล็กๆ คู่ควรให้เจ้าช่วยพูดแก้ตัวให้ด้วยเหรอ อวิ๋นอ้าวเทียน?” เฟิงเป่ยเฉินพูดเหน็บแนมกลับ

ฉางเหลยพลันกล่าวว่า “เฟิงเป่ยเฉิน เจ้าก็มีจุดที่น่าสงสัยจริงๆ ข้ามาถึงคนแรก แต่กลับบังเอิญพบเจ้าอยู่นอกแดนโพ้นสวรรค์ เลยร่วมทางมาพร้อมกัน นั่นแปลว่าเจ้าอยู่ใกล้ๆ แดนโพ้นสวรรค์มาตลอด มีความเป็นไปได้จริงๆ ว่าจะลงมือลอบจู่โจม”

เฟิงเป่ยเฉินหันกลับมาเถียง “พระอาจารย์ ข้าจะบอกอีกครั้งนะ ถ้าข้าต้องการจะแย่งตัวจื่อหยาง ข้าสังหารไอ้จัญไรเพื่อปิดปากไปนานแล้ว จะปล่อยให้มันมาชี้ตัวข้าอย่างนี้เหรอ?”

อวิ๋นอ้าวเทียน “เจ้าก็ต้องอยากฆ่าปิดปากเขาอยู่แล้วล่ะ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าบนตัวเขาจะมีของวิเศษคอยปกป้อง เจอเหตุไม่คาดคิดจนทำพลาด แต่กลัวโดนจับได้ เลยต้องรียหนีเอาตัวรอดไป”

“อยากเล่นงานใคร ก็ย่อมหาเหตุผลมาอ้างได้เสมอ!” เฟิงเป่ยเฉินตะคอก

อวิ๋นอ้าวเทียนเอียงหน้ามองเหมียวอี้ “เหมียวอี้ ได้ยินว่าในมือเจ้ามีดาบวิเศษอยู่ด้ามหนึ่ง ช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้ตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน ทำไมไม่นำออกมาให้ทุกคนดูสักหน่อยล่ะ?”

เหมียวอี้พูดไม่ออก หันไปมองมู่ฝานจวินแวบหนึ่ง

พอมู่ฝานจวินโบกแขนเสื้อ ดาบยาวสีม่วงเล่มหนึ่งก็อยู่ในมือ นางไม่ปิดบังอะไรทั้งนั้น ใช้มือข้างเดียวถือดาบชี้ออกมา ทำให้เกิดแสงสีฟ้าสายหนึ่งหดเข้าและปล่อยออก

“เรือมังกรอเวจี!” เฟิงเป่ยเฉินและคนอื่นๆ ทำสีหน้าจริงจัง มีเพียงอวิ๋นอ้าวเทียนคนเดียวที่นั่งชำเลืองมองเหมียวอี้อย่างไม่สะทกสะท้าน เห็นได้ชัดเจนมาก ดาบวิเศษของเหมียวอี้โดนมู่ฝานจวินแย่งไปแล้ว

มู่ฝานจวินเหลือบมองอวิ๋นอ้าวเทียนแวบหนึ่ง แล้วมองเฟิงเป่ยเฉินอย่างหยิ่งยโส “เฟิงเป่ยเฉิน ดาบเล่มนี้ทำให้กลัวไปแล้วสามส่วนยามลอบจู่โจมใช่มั้ยล่ะ?”

“ตลกแล้ว!” เฟิงเป่ยเฉินกล่าวอย่างรู้สึกขำ “อาศัยแค่สิ่งนี้คิดว่าจะขู่ให้ข้ากลัวได้เหรอ? ก็แค่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาเพิ่มมา ใช่ว่าพวกเราจะเห็นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ ในปีนั้นมีใครไม่เคยโดนบ้าง?”

“แบบนี้นับเป็นเหตุผลได้ด้วยเหรอ? ในปีนั้นมีไต้ซือศีลเจ็ดช่วยคลายพิษให้ ตอนนี้เจ้าอยากจะลิ้มลองรสชาติอีกสักครั้งมั้ยล่ะ?” มู่ฝานจวินถาม

เหมียวอี้ที่ฟังอยู่ข้างๆ เกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจ ไต้ซือศีลเจ็ด อาจารย์ของเจ้ารองสามารถแก้พิษเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาได้ด้วยเหรอ?

“ฮ่าๆ…” เฟิงเป่ยเฉินเงยหน้าหัวเราะลั่น แล้วชี้เข้ามา “มู่ฝานจวิน เจ้าช่างวางแผนเก่งจริงๆ นะ เรื่องเกิดที่แดนโพ้นสวรรค์เจ้า จื่อหยางอะไรนั่นไม่ได้มีใครแย่งไปหรอก ไม่มีคนนอกที่ไหนเห็นทั้งนั้น ก่อนที่เจ้าจะมายัดเยียดความผิดให้ข้า ทำตัวเองให้บริสุทธิ์ก่อนดีกว่ามั้ย”

เสียงที่เย็นเยียบพิศวงชวนขนลุกดังอยู่ใต้หน้ากากของเทพผีซือถูเซี่ยว “ในเมื่อพวกเจ้าสองคนมีส่วนเกี่ยวข้อง นั่นก็แสดงว่าน่าสงสัยทั้งคู่ พวกเจ้าที่เหลือคิดว่าอย่างไร?” ดวงตาที่อยู่หลังหน้ากากผีกวาดมองคนอื่นๆ

จีฮวน ฉางเหลย อวิ๋นอ้าวเทียนพยักหน้า ต่างก็จัดมู่ฝานจวินกับเฟิงเป่ยเฉินไว้ในรายชื่อผู้ต้องสงสัยแล้ว ไม่มีใครสงสัยเหมียวอี้ ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ที่เหมียวอี้จะตัดสินใจอะไรได้

โดยเฉพาะอวิ๋นอ้าวเทียน ก็ยิ่งกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “จากที่ข้าดู เก็บสองคนนี้ไว้ไม่ได้แล้ว พวกเราสี่คนร่วมมือกันกำจัดทิ้งเสียเลยดีกว่า!”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เฟิงเป่ยเฉินกับมู่ฝานจวินก็ทั้งโมโหทั้งตกใจ เฟิงเป่ยเฉินรีบสังเกตปฏิกิริยาของคนอื่นๆ ทันที ส่วนมู่ฝานจวินลุกพรวดขึ้น กวาดดาบชี้ออกมา พลางกล่าวอย่างเดือดดาล “อวิ๋นอ้าวเทียน อยากจะสังหารข้าเหรอ ต้องถามดาบวิเศษของข้าก่อนว่าจะยอมมั้ย!”

ตรงทิศทางที่ดาบชี้ไป มีแสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งออกมา คุกคามไปยังอวิ๋นอ้าวเทียนที่กำลังนั่งอยู่ แต่กลับเห็นอวิ๋นอ้าวเทียนดีดนิ้วชี้ครั้งเดียว เกิดระลอกคลื่นลอยขึ้นกลางอากาศ เป็นระลอกคลื่นสีดำ แผ่กระจายออกมาจากตัวอวิ๋นอ้าวเทียนอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวปราณมารก็กลายเป็นม่านสีดำ ขยายออกอย่างรวดเร็วราวกับผ้าสีดำผืนหนึ่ง หนาแน่นมาก กั้นแสงสีฟ้าไม่ให้ทะลุมาถึงตัว

พลังอิทธิฤทธิ์โดยทั่วไปไม่มีทางกั้นแสงสีฟ้าได้ เพราะคุณสมบัติของมันคือแสง แต่ปราณมารกลับสกัดการแทรกซึมของแสงสีฟ้าได้

อวิ๋นอ้าวเทียนที่ปล่อยปราณมารออกมาพูดเหยียดว่า “นางป้าขี้บ่น อย่าคิดว่ามีดาบเส็งเคร็งเล่มเดียวจะทำอะไรก็ได้  ของเล่นแบบนี้สู้กับเฟิงเป่ยเฉินกับฉางเหลยยังพอไหว แต่ไม่ได้ผลกับข้า จีฮวนและซือถูเซี่ยวเลย ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าทำให้ตัวเองขายหน้าเลยดีกว่า”

เมื่อเห็นว่าทำอะไรเขาไม่ได้ มู่ฝานจวินก็แอบตกใจ ขณะเดียวกันก็ชำเลืองมองจีฮวนกับซือถูเซี่ยวอย่างนิ่งเฉย เมื่อได้รับคำเตือนจากอวิ๋นอ้าวเทียนแล้ว ในภายหลังจะได้ไม่ไปบุ่มบ่ามสู้กับอีกสองคนให้ตัวเองเสียเปรียบ

เหมียวอี้ที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็ฉลาดขึ้นบ้างแล้ว ได้เพิ่มพูนความรู้แล้ว

มู่ฝานจวินทำเสียงฮึดฮัด เรียกได้เก็บดาบอย่างแค้นใจ จากนั้นก็มองไปยังคนที่เหลือ “ทุกคนอย่าไปตกกลุมพรางเจ้าจอมมารนี่นะ!”

พออวิ๋นอ้าวเทียนกวักมือ ปราณมารก็ถูกเก็บเข้าในแขนเสื้อ จากนั้นก็กล่าวตรงๆ อย่างไม่เกรงกลัวว่า “ฆ่าพวกเขาสองคน แล้วแบ่งอาณาเขตของพวกเขามาให้พวกเราคนละสี่ส่วน!”

จีฮวน ซือถูเซี่ยวและฉางเหลยสบตาประเมินกันแวบหนึ่ง หกปราชญ์วรยุทธ์ต่างกันไม่เท่าไร ถ้าใครอยากจะฆ่าใครทิ้งก็เป็นเรื่องยาก เคล็ดวิชาของทั้งหกต่างก็มีจุดเด่นคนละอย่าง ต่อให้สู้กันไม่ชนะ แต่ก็สามารถถ่วงเวลารอให้คนที่เหลือมาช่วยได้ ในบรรดาพวกเขาทั้งหกคน แน่นอนว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคืออวิ๋นอ้าวเทียน ถ้าสู้กันตัวต่อตัวก็ไม่มีใครเอาชนะอวิ๋นอ้าวเทียนได้ อวิ๋นอ้าวเทียนสู้กับอีกสองคนก็ไม่ได้ด้อยกว่า แต่ถ้าสู้กับสามคน อวิ๋นอ้าวเทียนก็ทำได้เพียงดันทุรังประคับประคอง แต่ถ้าสู้กับสี่คน อวิ๋นอ้าวเทียนต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานสามารถหลบหนีได้เก่งมาก ถ้าอีกห้าคนอยากจะร่วมมือกันกำจัดเขาทิ้งก็เป็นเรื่องยาก กลับยั่วให้จอมมารท่านนี้โต้กลับด้วยซ้ำ

ด้วยเหตุนี้เอง หลายปีมานี้หกปราชญ์ถึงได้รักษาความสมดุลอันน้อยนิดระหว่างกันมาตลอด ถ้าเชื่อคำพูดของอวิ๋นอ้าวเทียนจริงๆ ถ้ากำจัดทิ้งไปรวดเดียวสองคน เช่นนั้นอีกสามคนที่เหลือก็อยู่ในอันตรายแล้ว อย่าว่าแต่กำจัดสองคนเลย ต่อให้กำจัดทิ้งคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรแล้ว มีแต่จะทำให้อวิ๋นอ้าวเทียนได้เปรียบ ถ้ามีเพิ่มมาอีกสักคน ยามหน้าสิ่วหน้าขวานก็จะมีคนมาช่วยเสริมทัพได้ทันเวลาเพิ่มอีกคน เหมือนครั้งก่อนที่เฟิงเป่ยเฉินประสบอันตราย มู่ฝานจวินกับฉางเหลยก็รีบมาช่วยไว้ หลักการมันก็เป็นอย่างนี้แหละ

ดังนั้นแล้ว อย่าว่าแต่แบ่งอาณาเขตของสองแดนนั้นเป็นสี่ส่วนเลย ต่อให้อวิ๋นอ้าวเทียนจะไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น แต่อีกสามคนก็ต้องชั่งน้ำหนักดูสักหน่อย

“อามิตตาพุทธ!” ฉางเหลยตั้งฝ่ามือตรงหน้าอกทันที แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ทุกคนอยู่ร่วมกันที่แดนฝึกตนมาหลายปีขนาดนี้ เป็นทั้งศัตรูเป็นทั้งมิตร เหตุใดต้องเข่นฆ่ากันด้วยเล่า มีอะไรก็นั่งคุยกันดีๆ ได้”

อวิ๋นอ้าวเทียนเหล่ตามองมา “พระอาจารย์ อย่ามาเล่นบทคนมีจิตเมตตากรุณาหน่อยเลย คนที่ตายด้วยน้ำมือเจ้ามีน้อยกว่าคนอื่นรึไง?”

ฉางเหลยหัวเราะโดยไม่พูดอะไร จีฮวนก็บอกเช่นกันว่า “มีอะไรก็คุยกันดีๆ!” ซือถูเซี่ยวก็พยักหน้าด้วยท่าทางพิศวงเช่นกัน แสดงออกมาเช่นด้วย

เฟิงเป่ยเฉินโล่งใจแล้ว มู่ฝานจวินก็พยักหน้าเช่นกัน “มักจะมีคนที่แฝงเจตนาชั่วร้าย อยากเสี้ยมเขาควายให้ชนกันเสมอ!”

เมื่อเห็นพวกเขามีท่าทีแบบนี้ เหมียวอี้ก็ผิดหวังนิดหน่อย ดูท่าทางแล้ว การจะทำลายความสมดุลของหกปราชญ์นั้นยากเย็นพอสมควร เห็นได้ชัดว่าอีกห้าคนมีแนวโน้มอยากจะร่วมมือกันสู้กับอวิ๋นอ้าวเทียนมากกว่า อยากจะให้พวกเขาเข่นฆ่ากันเองนั้นไม่ง่ายเลย ถ้าอยากจะเล่นงานเฟิงเป่ยเฉินให้ถึงตาย ระดับความยากก็ค่อนข้างสูง!

อวิ๋นอ้าวเทียนยืนขึ้นแล้วบอกว่า “ในเมื่อพวกเจ้าสามคนไม่แยแสอะไร ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว เจดีย์งามวิจิตรอะไรนั่นไม่ได้อยู่ในสายตาข้าหรอก พวกเจ้าค่อยๆ คุยกันไปก็แล้วกัน! ข้าไม่อยู่ต่อแล้ว!” พอพูดจบก็กวักมือเรียกเหมียวอี้ “เจ้ามานี่หน่อย!” จากนั้นก็หันตัวนำอวิ๋นเป้าเดินก้าวยาวออกไป

เหมียวอี้ลำบากใจมาก ที่นี่คือแดนโพ้นสวรรค์ไม่ใช่นภาจอมมาร จึงอดไม่ได้ที่จะมองมู่ฝานจวิน แต่ใครจะไปคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแปลก ไม่น่าเชื่อว่ามู่ฝานจวินจะโบกมือบอกใบ้ให้เขาออกไปเหมือนกัน

เหมียวอี้เดินออกจากตำหนักเก้าชั้นฟ้าด้วยความฉงนใจ เหมือนเห็นอวิ๋นอ้าวเทียนยืนเอามือไขว้หลังอยู่ไม่ไกล ก็รีบก้าวเข้ามาคำนับอย่างเป็นทางการ “ท่านปู่!”

“เจ้าไม่แปลกใจเหรอว่าทำไมนางป้ามู่ฝานจวินถึงยอมให้เจ้าออกมาพบข้าได้?” อวิ๋นอ้าวเทียนถามเสียงเรียบ

เหมียวอี้ยิ้มแห้งแล้วตอบว่า “ที่จริงก็สงสัยขอรับ”

“สาเหตุไม่ซับซ้อนเลย ตอนนี้พวกเขาต้องการจะวางแผนทำร้ายข้าไง ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นหลานเขยข้า แค่ไม่อยากให้เจ้าได้ยินเท่านั้นเอง” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าว

เหมียวอี้งงเล็กน้อย ค่อนข้างคิดไม่ตก จึงถามอย่างสงสัยว่า “วางแผนทำร้ายท่านเหรอ? ท่านจื่อหยางตกอยู่ในมือพวกเขาแล้ว พวกเขาควรจะระแวงกันเองสิถึงจะถูก ทำไมต้องวางแผนทำร้ายท่านด้วยล่ะ?”

อวิ๋นอ้าวเทียนทำสีหน้าค่อนขอด “เฟิงเป่ยเฉินกับมู่ฝานจวินไม่ยอมรับหรอกว่าจื่อหยางอยู่ในมือตัวเอง แต่ถ้าจะกำจัดสองคนนั้นทิ้ง คนอื่นๆ ก็จะระแวงข้าอีก ผลลัพธ์สุดท้ายที่พวกเขาเจรจากันได้ จะต้องเป็นอย่างที่ข้าคิดแน่นอน นั่นก็คือไม่ว่าจื่อหยางจะตกอยู่ในมือใคร ขอเพียงหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรออกมาได้ ก็จะต้องทำมาใช้กับข้าเป็นคนแรก เหตุผลที่ใช้เกลี้ยกล่อมก็คือ ถ้าทำให้คนอื่นตายก่อน หากเล่นงานให้ข้าถึงตายไม่ได้ขึ้นมา แบบนั้นข้าก็จะได้เปรียบแล้ว แดนที่เหลือจะต้องร่วมสร้างความสัมพันธ์ที่ร้ายกาจ หารู้ไม่ว่าถ้าข้าตายขึ้นมา ในใต้หล้านี้ก็จะวุ่นวาย ถึงตอนนั้นถ้าพวกเขาห้าคนไม่มีอุปสรรคขัดขวางแล้ว ต่อให้คิดจะต่อสู้ให้รู้แพ้รู้ชนะ คิดจะสู้ให้ตายกันไปข้าง ก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี”

เหมียวอี้เข้าใจกระจ่างในทันที หันไปมองตำหนักเก้าชั้นฟ้าแวบหนึ่ง แต่ก็ยังถามอย่างแปลกใจนิดหน่อย “ท่านปู่ ในเมื่อท่านรู้ชัดอยู่แก่ใจแล้ว อย่าบอกนะว่าท่านไม่กลัวว่าพวกเขาจะใช้เจดีย์งามวิจิตรมาสู้กับท่าน?”

อวิ๋นอ้าวเทียนแสยะยิ้ม “คนอื่นน่ะข้าไม่รู้หรอก เจ้ายังไม่รู้อีกเหรอ? ดาบของเยียนเป่ยหงอยู่ในมือข้า ถ้ากล้ามาปะทะกับข้าตรงๆ เจดีย์งามวิจิตรก็เป็นเรื่องน่าขำเท่านั้น ก่อนที่เจดีย์จะดูดข้าเข้าไป ข้าจะใช้ดาบฟันให้พังก่อนเลย แต่น่าเสียดายที่ข้าสำแดงอานุภาพของดาบวิเศษได้ไม่เต็มที่ ไม่อย่างนั้นคงไม่มาเปลืองคำพูดกับพวกเขาหรอก เจ้าต้องรักษาเรื่องนี้เป็นความลับ ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากเห็นท่านปู่ของน้องชิวโดนคนอื่นทำร้ายตายหรอกใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ปาดเหงื่อนิดหน่อย ลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร สงสัยท่านจอมมารจะอยากเห็นทุกคนสิ้นเปลืองกำลังทรัพย์มหาศาลก่อน แล้วตัวเองค่อยทำพังทีหลัง ดีไม่ดีถ้าใครสร้างเจดีย์ออกมาได้ ภายใต้ความลำพองใจจนลืมตัว ห้าคนนั้นจะขัดแย้งกันเองก็ได้ ถ้าอยากจะเล่นงานให้ตายสักคนสองคนจริงๆ ท่านที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ได้เปรียบเยอะมาก

อวิ๋นอ้าวเทียนถามอีกว่า “ที่เรียกเจ้าออกมาเพราะอยากจะถามสักหน่อย ท่านจื่อหยางที่หลอมของวิเศษนั่นโดนเฟิงเป่ยเฉินชิงตัวไปแล้วจริงๆ เหรอ?”

“ไม่แน่ใจขอรับ เพียงแต่ผู้ที่ชิงไปมีวรยุทธ์สุงกว่าข้า ทั้งยังใช้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง!” เหมียวอี้ยังไม่พูดความจริง

“แล้วเจ้าเอาดาบนั่นมาจากไหน?” อวิ๋นอ้าวเทียนถามอีก

“เอามาจากเทพพยากรณ์…” เหมียวอี้เล่าเรื่องที่ตัวเองเล่าให้มู่ฝานจวินฟังซ้ำอีกรอบ

อวิ๋นเป้าที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วตกใจมาก

อวิ๋นอ้าวเทียนเงียบไปพักใหญ่ แล้วพูดเบาๆ ว่า “วรยุทธ์ของน้องชิวบรรลุถึงระดับบงกชทองแล้ว นางเด็กนี่ปิดบังเก่งจริงๆ…” จากนั้นสายตาก็มองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดปลายเท้า แล้วพยักหน้าเบาๆ “เจ้าไม่ถือสาที่วรยุทธ์นางสูงกว่าเจ้า มองออกเลยว่าเจ้ารักน้องชิวจากใจจริง ข้าเฝ้าดูนางหนูนั่นเติบโตมา ถึงแม้จะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่กลับเป็นคนที่จริงใจต่อความรัก การที่เจ้าได้หัวใจนางไปก็ถือเป็นวาสนาของเจ้า ดีกับนางให้มากๆ ทั้งชีวิตนี้นางคือคนของเจ้าแล้ว ไม่รังแกเจ้าแน่นอน”

“ข้าจะจำไว้ขอรับ!” เหมียวอี้ตอบด้วยความเคารพ

“เจ้าฆ่าลูกสาวของจีฮวน ทั้งยังทำให้ลูกศิษย์ของเฟิงเป่ยเฉินตาย พวกเขาสองคนปล่อยเจ้าไปไม่ได้หรอก ตอนที่พวกเขากำลังวางแผนกันอยู่ที่นี่ เจ้ารีบฉวยโอกาสหนีไปจากที่นี่เสีย ไม่อย่างนั้นระหว่างทางอาจจะมีคนลอบลงมือกับเจ้าก็ได้ กลับไปที่อาณาเขตของตัวเองเถอะ พวกเขาไม่กล้าลงมืออย่างโจ่งแจ้งจนทำลายกฏระเบียบระหว่างกันหรอก ไม่อย่างนั้นถ้าล้างแค้นกันไปล้างแค้นกันมา ไม่ว่าใครก็อย่าคิดจะอยู่อย่างสงบสุขเลย” อวิ๋นอ้าวเทียนเตือนด้วยความหวังดี


920








ตอนต่อไป



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น